Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธ์ุในอาเซียน

การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธ์ุในอาเซียน

Published by Guset User, 2021-10-04 14:52:30

Description: เอกสาร-PDF (1)

Keywords: อาเซียน

Search

Read the Text Version

การทอ งเทีย่ วเชิงชาตพิ ันธุ ในอาเซยี น นางสาว ธีรจ์ ฑุ า บญุ ศาสตร์ เลขที ชนั ม. / รายวิชา ส อาเซียนศึกษา ประจาํ ภาคเรียนที ปี การศึกษา โรงเรียนเบญจมราชทู ิศ จงั หวนั ครศรีธรรมราช

แหลง่ ทอ่ งเทียวเชงิ ชาตพิ นั ธซ์ุ าปา • ความเป็ นมา ซาปา เมืองเลก็ ๆ แห่งนีเริมตน้ เป็นเมืองแห่งการพกั ผอ่ น เมือฝรังเศสซึงปกครองเวยี ดนามอยใู่ นขณะนนั ไดม้ าสร้างสถานีบนภเู ขาขึนในปี พ.ศ. จากนนั จึงเริมมีชาวต่างชาติซึงอยใู่ นฮานอย มาพกั ผอ่ นในช่วงวนั หยดุ เป็นประจาํ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จนเมือนกั เดินทางไดร้ ับข่าว และมาเห็นถึงบรรยากาศจริงๆ รวมไปถึงเหล่านกั เดินทางจากทวั โลกกไ็ ดร้ ับสารเหล่านีเช่นกนั นนั จึงทาํ ใหป้ ัจจุบนั ทีนีไดร้ ับความนิยมเป็นอยา่ งมาก ที สาํ คญั นอกจากบรรยากาศแลว้ บรรดาชาวเขาทีอยบู่ ริเวณนีกน็ ่าสนใจไปเยยี มชมมากเช่นกนั พนื ที ซาปา เตม็ ไปดว้ ยนาขนั บนั ไดทีมากมายท่ามกลางลาด ไหล่เขาทีทอดตวั อยา่ งมีเสน่ห์ หรือถา้ ชอบเดินป่ ากม็ ียอดเขา ฟานสีปัน ใหพ้ ชิ ิตบนความสูง , เมตร จากระดบั นาํ ทะเล ซึงสูงสุดในละแวกอินโดจีน • อตั ลกั ษณ์ทีสาํ คญั ซาปา (Sa Pa) ตงั อยทู่ างทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศเวยี ดนาม ในเขตจงั หวดั ลาวไค ใกลก้ บั ชายแดนจีน ภมู ิประเทศตงั อยบู่ น ระดบั ความสูงจากระดบั นาํ ทะเลปานกลาง , เมตร จึงมีอากาศหนาวเยน็ ตลอดปี ทาํ ใหเ้ พาะปลูกผกั ผลไมไ้ ดด้ ี มี ตลาดบกั ห่า ทีขึนชือของเวยี ดนาม เหนือ เป็นศูนยร์ วมของกินของใชข้ องชาวเมืองภมู ิภาคนี ปัจจุบนั ซาปามีประชากรอาศยั อยรู่ าว , คน นบั เป็นดินแดนแห่งดอย ทีมีความหลากหลาย ของชาติพนั ธุ์มากทีสุดในประเทศเวยี ดนาม • ประเพณีพิธีกรรม บริเวณตวั เมือง ซาปา เริมตน้ เริงร่ากนั ตงั แต่เชา้ ตรู่ เพราะชาวเขาในหมู่บา้ นห่างไกล เดินออกมาหาจบั จ่ายใชส้ อยกนั ตงั แต่เพงิ เริมสวา่ ง นนั ทาํ ใหต้ ลาดค่อนขา้ งคึกคกั ไปดว้ ยผคู้ น ทียงั คงแต่งกายประจาํ เผา่ แบบเตม็ ยศออกมา ซึงในตลาด ซาปา จะมีอยดู่ ว้ ยกนั ชนั ชนั ล่างแบ่งเป็นของสด จาํ พวกปลา เนือ หมู อยทู่ างดา้ นซา้ ยมือ ตรงกลางเป็นพวกร้านขายอาหารมีก๋วยเตียว ขา้ วเกรียบปากหมอ้ อาหารตามสงั ทงั หมดเป็นสไตลเ์ วยี ดนาม

แหลง่ ทอ่ งเทียวเชงิ ชาตพิ นั ธล์ุ นั เจีย ลอดจ์ • ความเปน มา ยอนกลบั ไปในป พ.ศ. 2534 พ้นื ทบี่ รเิ วณน้ียงั กนั ดารมาก ไมมีไฟฟา ไมม ี ถนน ไมมกี ารคมุ กาํ เนิด แตย งั โชคดีทีม่ หี นว ยงานรฐั บาลและองคก รไมแสวงหากาํ ไรเขา มาพฒั นาพืน้ ทีอ่ ยเู ปนระยะ จนกระท่ังป พ.ศ. 2550 จึงหนั มาใหความสาํ คญั ในเรอื่ งการ สรา งอาชีพใหกับชาวบาน ประชาคมหมูบา นในตอนน้ันเห็นพอ งตองกันวามคี วามสนใจ เรือ่ งการทอ งเท่ียว แตช าวบา นเองก็ไมแ นใ จวานกั ทอ งเทีย่ วทไ่ี หนจะอยากมาเทยี่ วบาน ชาวเขาแบบน้ี ไกลกไ็ กล ไมเ ห็นจะมีอะไรเลย ! โดยท่พี วกเขาลมื ไปวา จรงิ ๆ แลวพวกเขา มีส่งิ ทน่ี ักทอ งเทย่ี วตอ งหวั ใจพองโตเมื่อไดส มั ผัสแนน อน นัน่ คือวถิ ชี วี ติ ความเปน อยูแ ละ ประเพณอี นั ดีงามของชุมชนซึง่ เปนมรดกตกทอดมาอยางยาวนานนัน่ เอง • อัตลักษณท ี่สําคัญ เปนท่พี ักเชงิ อนุรักษธรรมชาติที่แทรกตวั อยทู า มกลางขุนเขาทสี่ ลับ ซอน นอกจากเปน ท่ีพกั กายแลว แตล ่ันเจยี ลอดจ ยงั ทาํ หนาท่ีเปนทพี่ ักใจสําหรับใครท่ี เหนอ่ื ยลาใหร สู ึกมีชวี ิตชวี าไดอ กี คร้งั • ประเพณพี ิธกี รรม วิถดี ง้ั เดมิ ของชาวบา นสว นใหญจ ะเปน การทาํ ไร มีการตัดไมใ นปา แต

แหลง่ ทอ่ งเทียวเชงิ ชาตพิ นั ธโ์ุ ทนา โทราจา • ความเปน มา กอนคริสตศตวรรษท่ี 20 ชาวโตราจาอาศัยอยใู นหมูบานทม่ี ลี กั ษณะปกครองตนเอง มีพิธีกรรม เก่ียวกับวิญญาณ และไมค อยมกี ารติดตอ กับโลกภายนอก จนกระทง่ั ตน ครสิ ตทศวรรษ 1900 มชิ ชันนารีชาว ดตั ชไ ดเดนิ ทางเขา มาในพนื้ ทแี่ ละโนม นา วใหชาวโตราจาหนั ไปนบั ถอื ศาสนาครสิ ต เมอื่ อาํ เภอตานาโตราจา เปดกวา งสโู ลกภายนอกยิ่งขน้ึ ในคริสตทศวรรษ 1970 ตานาโตราจาไดกลายเปนสญั ลกั ษณอยางหนึง่ ของการ ทอ งเทย่ี วในประเทศอินโดนีเซยี และถกู นํามาใชประโยชนเ พ่ือการพัฒนาเชิงทองเทีย่ วและกลายเปน เปาหมาย การศึกษาในทางมานุษยวทิ ยา[6] ในครสิ ตทศวรรษ 1990 ซง่ึ การทอ งเที่ยวในตานาโตราจามาถงึ จุดสูงสุด สังคมโตราจาไดเ ปลย่ี นแปลงไปอยา งมากจากสงั คมเกษตรกรรมท่ซี ่ึงชวี ิตทางสงั คมและจารีตประเพณมี ี รากฐานจากอาลกุ โตโดโล ไปสสู งั คมที่มวี ฒั นธรรมคริสตเปนสวนใหญ[7] ในปจจุบัน • อัตลักษณท ส่ี าํ คญั ชาวทส่ี งู โตราจาแยกอตั ลักษณของตนโดยใชหมูบานและไมม ีความรสู กึ รว มตอ อตั ลักษณในฐานะชาวโตราจา แมว า พิธกี รรมตาง ๆ จะสรางสายสมั พนั ธระหวางหมบู านเหลา น้ี แตใ นแถบทส่ี งู ของซูลาเวซีก็ยังปรากฏความแตกตา งระหวางหมบู าน ดังที่สงั เกตไดในภาษาถน่ิ การจดั ลําดบั ชน้ั ทางสังคม และรูปแบบการประกอบพิธกี รรม • ประเพณพี ิธีกรรม วัฒนธรรมทองโกนัสาม ทองโคนันในหมูบานโทราจนั อาคารอาํ นวยการในรันเตเปาทงโค นันเปน บานของบรรพบรุ ษุ โทราจนั แบบดง้ั เดมิ พวกเขาต้งั ตระหงานอยูบนกองไมสูง หลังคามงุ ดว ยไมไ ผแยก เปน ชัน้ ๆมรี ูปรางเปน แนวโคงทีก่ วางใหญ และมีรอยแกะสลักไมท ่ีมีรายละเอยี ดสแี ดง สดี ํา และสีเหลืองบนผนัง

แหลง่ ทอ่ งเทยี วเชงิ ชาตพิ นั ธซ์ุ าราวกั และซาบาร์ • ประวตั คิ วามเปนมาในป 2562 กระทรวงการทอ งเท่ยี วมาเลเซยี ตงั้ เปารองรับ นกั ทองเทีย่ วจาํ นวน 28.1 ลา นคน ซ่งึ เปน หนึง่ ในแผนการริเริ่มภายใตช ื่อ Visit Malaysia ทต่ี อ งการใหมาเลเซียมจี ํานวนนกั ทอ งเทย่ี วตา งชาติจํานวน 30 ลานคน ภายในป 2563 เบื้องตนกระทรวงการทอ งเทยี่ วมาเลเซยี มีแผนการผลักดันดวยการเขา รวมเปน พันธมิตรกับสายการบินในการเชื่อมตอการเดินทาง อตั ลักษณท ส่ี าํ คัญ ซาบาร เมอื งท่พี รอ มมอบประสบการณการทองเท่ยี วเชิงผจญภยั ตัง้ แตก ารดําดงิ่ ใตน ้ํา เดินปา ไปจนถงึ การปน ภเู ขาสูงทส่ี ดุ ของมาเลเซยี จํานวน 3 ลกู ไดแก ภเู ขาคินาบาลู ภูเขาทรสั มาดี และภเู ขาทมั บายูคอน ซาราวกั ความโดดเดนอยูท่ี เมอื งกชู งิ เมอื งหลวงรมิ แมนา้ํ สายหลักของรฐั ซาราวักหรือพิพิธภัณฑมีชวี ติ ในหมูบาน วฒั นธรรมซาราวักทรี่ วบรวมวถิ ีชีวติ ของกลมุ ชาตพิ ันธุ • ประเพณีวัตณธรรม ผสมผสานวฒั นธรรมจากตะวันออกและตะวันตกไดอยางลงตัว จน ไดร ับการขน้ึ ทะเบยี นเปน มรดกโลกโดยองคก ารยูเนสโกในป 2551 และปุตราจายา สถานทท่ี องเทยี่ วสําคญั อาทิ สเุ หราปุตราทรงโดม สรางขน้ึ จากแกรนิตสชี มพอู นั เปน

แหลง่ ทอ่ งเทยี วเชงิ ชาตพิ นั ธเ์ุ ปอรานากนั • ประวัติความเปน มา เปอรานากนั เปนกลมุ ชาวจนี ทีม่ ีเชอื้ สายมลายูเน่อื งจากในอดตี กลุมพอ คา ชาวจีนโดยเฉพาะกลุมฮกเก้ียนเดินทางเขา มาคา คา ในบริเวณดนิ แดนคาบสมุทรมลายู และตดั สนิ ใจตงั้ ถิน่ ฐานในเมอื งมะละกา ประเทศมาเลเซีย ในตอนตนทศวรรษท่ี 14 โดย แตง งานกับชาวมลายทู องถิ่น[1] โดยภรรยาชาวมลายูจะเปน ผดู ูแลกิจการการคา ทน่ี ่ี แมแต คนในระดบั พระราชวงศก ็มสี ัมพนั ธไมตรีระหวา งกนั ระหวางสุลตา นมะละกากับจักรพรรดิ ราชวงศห มิง โดยในป ค.ศ. 1460 สลุ ตานมนั โซชาหทรงอภเิ ษกกบั เจา หญงิ ฮังลีโปแหง ราชวงศห มงิ และทรงประทบั บนภูเขาจีน หรอื บูกติ จนี า (Bukit Cina) พรอ มเชอ้ื พระวงศอีก 500 พระองค[2] • อตั ลักษณทสี่ าํ คัญ บาบา ยา หยา หรือ เพอรานากัน มีวิถวี ฒั นธรรมอนั โดดเดนเปน เอกลกั ษณหลายสิง่ หลายอยา งดวยกัน ไมวาจะเปน การแตง กาย อาหารการกิน ภาษา ประเพณี งานแตง งาน และงานสถาปตยกรรม ซงึ่ ส่ิงเหลานี้ตางแสดงใหเ ห็นถึงจิตวญิ ญาณ ของความเปน บา บา ยา หยา ทีส่ ืบทอดตอกันมายาวนานหลายรอ ยป • ประเพณพี ิธกี รรม วัฒนธรรมผสมผสานของชาวเปอรานากนั จืดจางลงไปเลย การผสมผสาน

แหลง่ ทอ่ งเทียวเชงิ ชาตพิ นั ธซ์ุ าไก • ประวัติความเปน มา ภาษาซาไกมีตนตระกลู มาจากภาษามอญ-เขมร เปน ภาษาในตระกูลออสโตร- เอเชยี ติค (Austro-Asiatic) เปนภาษาคาํ โดด ไมม กี ารเปลย่ี นรปู คาํ เมื่อนําไปเขาประโยค ขอมลู จาก หนงั สอื พระราชนพิ นธของรัชกาลท่ี 5 เรอื่ ง เงาะปา ระบุวา ภาษาพดู ของเงาะปา เปน ภาษาก็อยแท มี คาํ ใชน อ ย หางเสียงคลา ยภาษาอังกฤษและเยอรมนั แตไมค รบทกุ สาํ เนียง มกี ารใชภ าษาไทยและ มลายปู นคอนขา งมาก ภาษาของซาไกในประเทศไทยมีอยู 4 ภาษาคือ ภาษากันซิว เปนภาษาซาไก แถบ จ. ยะลา ภาษาแต็นแอน เปน ภาษาซาไกแถบ จ. สตลู พทั ลงุ ภาษาแตะเตะ เปนภาษาซาไกแถบ อ.รอื เสาะ อ. ระแงะ จ.นราธิวาส ภาษายะฮายย เปน ภาษาซาไกในแถบ อ.แวง จ. นราธวิ าส • อตั ลักษณทส่ี าํ คัญ อตั ลักษณด านชาติพันธขุ องชนเผา ซาไกท่ีพบเหน็ ได คือ สผี ิวและสีผมท่ีดาํ คลา้ํ หยกิ ขอดตดิ หนังศีรษะ จมูกใหญ ริมฝป ากหนา ลาํ ตัวหนาคอ นขา งเตี้ย มีอุปนิสยั คอนขา งสันโดษ รกั สงบ ไมน ยิ มการทะเลาะเบาะแวงกันเองหรือกบั บุคคลภายนอก มภี าษาพูดคําศพั ทเฉพาะเปนของตน เอง (หนา 21, 131) • ประเพณีพิธกี รรม ความเชือ่ เก่ยี วกบั ผแี ละวิญญาณ ซาไกยึดถอื ในขนบประเพณีทีส่ บื ทอดกนั มา และ มคี วามเชอ่ื ในอํานาจของภูตผวี ญิ ญาณตา งๆ จากหลักฐานพบวา ซาไกมคี วามเช่อื วา ผมี ีอยใู นท่มี ืด ทุกแหงจงึ มักกอไฟไวใ นทับตลอดเวลาเพราะกลวั ความมืด เม่อื คนเสียชวี ิตลงจะหลงเหลือวิญญาณ

ผลกระทบเชงิ บวกและเชงิ ลบ • ผลกระทบเชิงบวก การทองเท่ยี วโดยชุมชนถกู ใชเ ปน เคร่อื งมือในการบอกกลาว วถิ ที ีแ่ ทจรงิ ของชมุ ชนใหภ ายนอกรบั รเู พื่อสรา งความเขา ใจโดยการชักชวน คนนอกในฐานะนักทองเที่ยวเขา ไปเรยี นรูในชมุ ชน โดยเฉพาะชุมชนบนพ้นื ที่ สูง ทเ่ี ปนกลมุ ชาตพิ นั ธุท่มี ักถูกตกเปนจาํ เลยในสายตาของคนนอกวา เปน ผู ทําลายทรัพยากรธรรมชาติ • ผลกระทบเชงิ ลบ ผลกระทบของการทอ งเที่ยวเชิงนเิ วศทม่ี ีตอชุมชนบานรวม มติ ร ดานสงิ่ แวดลอ ม พบวา กอใหเกิด ปญ หาขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลตา งๆ ปญหามลพษิ ทางอากาศและทางเสยี งท่ีเกิด จากเรือหางยาวรบั สง นักทองเทย่ี ว ดา นเศรษฐกจิ เกดิ ปญ หาการกระจายรายไดแ ละการแบงปนผล ประโยชนไมเ ปนธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook