Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เฉลยข้อสอบพระอภธิรรม

เฉลยข้อสอบพระอภธิรรม

Published by kittivara.namwaan, 2021-01-12 10:01:32

Description: เฉลยข้อสอบพระอภธิรรม ปีการศึกษา ๒๕๔๓-๒๕๖๑
อภิธรรมโชติกะวิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ชั้น มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท

Keywords: เฉลยข้อสอบพระอภธิรรม

Search

Read the Text Version

เฉลยขอ สอบพระอภธิ รรมปก ารศึกษา ๒๕๔๓-๒๕๖๑ อภธิ รรมโชติกะวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ช้ัน มชั ฌมิ อาภิธรรมิกะโท สอบสามวัน.(ศุกร, เสาร, อาทิตย) ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ - ๒๕๖๑ วนั แรก (วนั ศกุ ร) วชิ า : ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บญั ญตั ิ (๗ ขอ ๗๐ คะแนน) วันทีส่ อง (วนั เสาร) วชิ า : สมถะ วปิ สสนา (๗ ขอ ๗๐ คะแนน) วันทีส่ าม (วันอาทติ ย) : สมั ภาษณ (๖ ขอ ๓๐ คะแนน) สิ่งทสี่ าํ คญั คือการเขา เรียน-ศกึ ษากับอาจารยผสู อน เพือ่ ความรคู วามเขาใจที่ถกู ตอง แจมแจง หากสงสยั จะไดส อบถามทนั ที การ รวบรวมขอสอบท่เี คยออกมาแลว นี้ เปน เพยี งแนวทางสาํ หรบั ผศู ึกษา นาํ มาเนน+ทรงจําไว (หากความสามารถมากกวา นี้ ก็ควรจะทรงจาํ ใหไ ด ทั้งหมด จงึ จะชอ่ื วา สตุ ะดว ยดี เพอ่ื การจินตาและภาวนาตอไป) การสอบไมใ ชที่สดุ ของชวี ิต แตขอใหต้ังจิตศึกษาและทรงจาํ เพ่อื ธํารงและรักษาไวซ ึง่ พระศาสนา รอู รรถะและพยญั ชนะ ทั้ง เขาใจและเขา ใหถงึ ธรรมะ แมยังมิบรรลุคณุ ธรรมอันสูงถงึ ขัน้ อรยิ ะ ก็ขอจงเปน ผรู ธู รรมะ (ตามสมควร) และจงเปน ผมู ีธรรมะ วายเมเถว ปรุ ิโส ยาว อตถฺ สฺส นิปปฺ ทา เกดิ เปน คนควรจะพยายาม จนกวาจะประสบความสําเร็จ สําเนาประกอบการเรยี นหรือแจกไดโดยไมตองขออนญุ าต (สงวนสิทธ์ิในการนําไปจาํ หนาย) ผดิ ตกขออภยั และกรณุ าแจง ดว ยคะ ที่ 081-860-2466 (Line ID), fb: Kanrasi Sengking, E-mail: [email protected], [email protected] ดาวนโ หลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอ ความเพ่ิมเติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว)

มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท 1 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน เฉลยขอ สอบขอ เขยี นพระอภธิ รรม ภาคเรียนท่ี ๒ ปก ารศกึ ษา ๒๕๔๓-๒๕๖๑ อภธิ รรมโชตกิ ะวิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ชนั้ มัชฌมิ อาภธิ รรมิกะโท สอบวนั แรก......ท.่ี ......ธันวาคม พ.ศ. ............. วิชา : ปฏิจจสมปุ บาท ปฏฐาน บญั ญัติ ๗ ขอ ๗๐ คะแนน เวลา ๔ ช.ม. (วันแรก) ๑. จงแสดงคาถาปฏญิ ญาของพระอนรุ ทุ ธาจารย และคาถาบทสดุ ทา ยท้ังทเ่ี ปนภาษาบาลี และคาํ แปล ? 56 ๑. ก. จงแสดงคาถาปฏิญญาของพระอนรุ ทุ ธาจารยท งั้ บาลแี ละคาํ แปล ? 48, 55, 58, 60 ๑. ก. จงแสดงคาถาดังตอไปนี้ เยสํ สงฺขตธมฺมานํ ฯลฯ ปวกขฺ ามิ ยถารหํ ? 39 ๑. จงแปลคาถาดงั ตอ ไปน?ี้ 42, 45 ก. เยสํ สงฺขตธมฺมานํ เย ธมมฺ า ปจฺจยา ยถา ตํ วภิ าคมเิ หทานิ ปวกขฺ ามิ ยถารหํ [P1] ตอบ ก. แสดงคาถาปฏญิ ญาของพระอนรุ ุทธาจารย ทัง้ บาลแี ละคาํ แปลดงั น้ี เยสํ สงฺขตธมฺมานํ เย ธมฺมา ปจฺจยา ยถา ตํ วิภาคมเิ หทานิ ปวกขฺ ามิ ยถารหํ ฯ ธรรมท้งั หลายเหลา ใด คอื สงั ขตธรรม อสังขตธรรม และบัญญัตธิ รรม เปน ปจ จยั ชว ยอปุ การะแกปจจยปุ บันธรรมเหลาใด คือสงั ขตธรรม โดยอาการตางๆ มเี หตสุ ตั ติ อารัมมณ-สัตตเิ ปน ตน บดั น้ี ในปจจยสังคหะนี้ ขา พเจาจะแสดงซง่ึ ประเภทตา งๆ กัน แหง อาํ นาจการอปุ การะของปจจยั และ ปจจยุปบันเหลา นน้ั ตามสมควร (56) แสดงคาถาบทสดุ ทา ย ดังนี้ วฏฏมาพนธฺ มจิ ฺเจวํ เตภมู กมนาทกิ ํ [P6-7] ปฏจิ จฺ สมุปฺปาโทติ ปฏ เปสิ มหามนุ ิ ฯ โดยนยั ดงั ทไ่ี ดก ลา วมาแลวนนั้ การหมุนเวยี นของวัฏฏะท้ัง ๓ ที่ผูกพันกนั อยไู มขาดสาย อันเกิดอยใู น ภมู ิ ๓ ซ่ึงเปนธรรมชาติท่หี าเบื้องตน มิไดน ้ันแหละ พระจอมมุนี ยอ มตรัสไวว า เปนปฏจิ จสมุปบาท ดงั น้ี ๑. ปฏิจจสมปุ บาทพระบาลที ีย่ กมานี้ แปลเปนไทยวา อยางไร ? [P2]  ตตถฺ อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา (สมภฺ วนตฺ )ิ ? 52(1ค), 57(ค/ค)  ตตถฺ อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา, สงขฺ ารปจฺจยา วิฺ าณ,ํ ฯลฯ ภวปจจฺ ยา ชาต,ิ ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ โสก ปรเิ ทวทกุ ฺขโทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนฺต,ิ เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ สมุทโย โหตีติ ? 49, 59  ตตถฺ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ฺ านํ, วิ ฺ าณปจจฺ ยา นามรปู , ฯลฯ ภวปจจฺ ยา ชาต,ิ ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ โสกปรเิ ทวทกุ ฺขโทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนตฺ ,ิ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ สมทุ โย โหตีติ ? 53, 56(2)  อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา, สงขฺ ารปจจฺ ยา วิฺาณํ, ฯลฯ ภวปจฺจยา ชาต,ิ ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ, โสกปริเทว ทกุ ฺขโทมนสฺสุปายาสา สมภฺ วนตฺ ,ิ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทกุ ฺขกขฺ นธฺ สสฺ สมทุ โย โหต.ิ ? 50 (ไมม ตี ตถฺ ลง โหต)ิ ตอบ (ดคู ําตอบในตารางดา นลาง  ตอบตามโจทย เฉพาะคทู ถ่ี าม) ๒. จงแสดงปฏจิ จสมุปบาทพระบาลคี ทู ี่ ๑, ๒, ๓ และคทู ่ี ๑๐, ๑๑ พรอมบทสดุ ทา ย ท้ังบาลแี ละคําแปลมาใหส มบูรณ ? [P2-3] 58 ตอบ แสดงปฏิจจสมุปบาทพระบาลคี ูท ี่ ๑, ๒, ๓ ดงั นี้ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา, สงฺขารปจจฺ ยา วิ ฺ าณ,ํ วิฺ าณปจจฺ ยา นามรูป พระบาลีคทู ี่ ๑๐, ๑๑ แสดงดงั นี้ ภวปจจฺ ยา ชาต,ิ ชาติปจจฺ ยา ชรามรณํ โสกปริเทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา สมภฺ วนตฺ ิ บทสุดทาย แสดงดังน้ี เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สฺส สมทุ โย โหติ คาํ แปล ... (ดคู ําตอบในตารางดา นลางเฉพาะ คทู ี่ ๑, ๒, ๓ และคูที่ ๑๐, ๑๑ และ บทสุดทาย ) ดาวนโหลดขอมูลตา งๆไดจาก ขอความเพ่ิมเติมที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 2 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน แสดงการอปุ าระระหวางปจ จัยธรรมและปจจยุปบนั ธรรม ตามนัยแหง ปฏจิ จสมปุ บาท คูท ่ี ๑ คูท่ี ๒ คูท ่ี ๓ คทู ่ี ๔ ตตถฺ อวชิ ชฺ าปจฺจยา สงฺขารา, สงขฺ ารปจฺจยา วิ ฺ าน,ํ วิ ฺ าณปจจฺ ยา นามรปู , นามรูปปจฺจยา สฬายตน,ํ คทู ่ี ๕ คทู ี่ ๖ คทู ่ี ๗ คทู ่ี ๘ สฬายตนปจจฺ ยา ผสโฺ ส, ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา, เวทนา ปจจฺ ยา ตณฺหา, ตณหฺ าปจฺจยา อุปาทาน,ํ คทู ี่ ๙ คูท ี่ ๑๐ คูท ่ี ๑๑ อปุ าทานปจจฺ ยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาต,ิ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา สมภฺ วนฺต,ิ บทสุดทา ย เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทุกฺขกขฺ นธฺ สฺส สมทุ โย โหตตี ิ ตตถฺ ในนยั ทัง้ ๒ นนั้ ความเปน ไปแหง ปจ จยั ธรรมและปจจยปุ บนั ธรรม โดยนัยแหงปฎิจจสมปุ บาท คอื ปญุ ญาภสิ ังขาร อปุญญาภสิ ังขาร อาเนญชาภสิ งั ขาร ธรรมทง้ั ๓ ประการนี้ ปรากฏเกิดขน้ึ คูท ี่ ๑ เพราะอาศยั อวิชชา คือ ความไมร ูในสจั จะ ๔ ความไมร ูในปุพพนั ตะ ๑ ความไมร ูในอปรนั ตะ ๑ ความไมร ูในปพุ พนั ตาปรันตะ ๑ ความไมร ูในปฏิจจสมปุ บาท ๑ รวม ๘ ประการนี้ เปนเหตุ คทู ่ี ๒ วิญญาณ คอื โลกียวปิ ากจติ ๓๒ ปรากฏเกดิ ขน้ึ เพราะอาศัยสงั ขาร ๓ เปนเหตุ คูท่ี ๓ นามรปู คอื เจตสิกท่ีประกอบกบั โลกยี วบิ ากและกมั มชรปู ปรากฏเกดิ ขึน้ เพราะอาศยั เปนเหตุ วิญญาณ คอื กศุ ล อกุศล (กมั มวญิ ญาณ) ท่ีในภพกอ นๆ และวปิ ากวญิ ญาณทีใ่ นภพน้ี คูท่ี ๔ สฬายตนะ คืออชั ฌัตตกิ ายตนะ ๖ มีจักขายตนะเปน ตน ปรากฏเกิดขึน้ เปนเหตุ เพราะอาศยั นามรูป คูท่ี ๕ ผัสสะ ๖ มจี ักขุสมั ผสั สะเปน ตน ปรากฏเกิดขนึ้ เพราะอาศัย อัชฌัตติกายตนะ ๖ เปน เหตุ คทู ี่ ๖ เวทนา ๖ มจี กั ขุสมั ผัสสชาเวทนาเปน ตน ปรากฏเกิดขึน้ เพราะอาศยั ผสั สะ ๖ เปน เหตุ คูที่ ๗ ตัณหา ๖ หรอื วา โดยพิสดาร ๑๐๘ มรี ูปตณั หาเปน ตน ปรากฏเกดิ ขนึ้ เพราะอาศัย เวทนา ๖ เปน เหตุ คูที่ ๘ อปุ าทาน ๔ มีกามุปาทานเปน ตน ปรากฏเกิดขึ้น เพราะอาศัย ตัณหา ๖ หรอื ๑๐๘ เปนเหตุ คูท่ี ๙ ภวะ คอื กมั มภวะและอุปปต ตภิ วะทง้ั ๒ ปรากฏเกดิ ขน้ึ เพราะอาศัย อุปาทาน ๔ เปนเหตุ คูที่ ๑๐ ชาติ คอื ความเกดิ ขึน้ แหงโลกียวปิ ากจติ เจตสกิ และกมั มชรปู ปรากฏเกิดขึน้ เพราะอาศยั กมั มภวะ เปนเหตุ คูท่ี ๑๑ ชราความแก มรณะความตาย และโสกะความเศราโศก ปรเิ ทวะการรองไหร าํ พนั ทกุ ขะความทกุ ขก าย โทมนัสสะความทุกขใ จ อปุ ายาสะความคับแคน ใจ ทง้ั ๗ นป้ี รากฏเกิดขึ้น เพราะอาศยั ชาติ เปน เหตุ เอว ฯ ความเกดิ ขนึ้ แหงกองทุกขแทๆ ทง้ั ปวงน้ี เพราะอาศยั ปจ จัยตา งๆ มีอวิชชาเปน ตน ดงั ทีไ่ ดก ลาวมาแลว น้ี ๑. จงแปลบาลีปฏิจจสมุปบาท ดังตอ ไปนี้ ? [P2-3] 44, 54(1ก) เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา, ตณหฺ าปจจฺ ยา อุปาทานํ, อปุ าทานปจจฺ ยา ภโว, ภวปจจฺ ยา ชาติ, ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ โสกปรเิ ทวทกุ ฺขโทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนฺ, เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทกุ ฺขกขฺ นธฺ สสฺ สมุทโย โหติ ตอบ ก. แปลบาลปี ฏิจจสมปุ บาท ดังน้ี (ตอบตาม คทู ี่ ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๑ และบทสุดทา ย) ...... ปฏิจสมุปบาท อวิชชา สงั ขาร วิญญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภวะ ชาติ ชรามรณะ องค องคธ รรม อวชิ ชา๘ ปุญ อ อาเจต วิญโลกีวิ๓๒ น-รเจ กรํ ปู สฬาอัช๖ ๖จกั -ผสั สะ ๖จกั -เวทนา ๖รปู -หา-๑๐๘ ๔กามฯุ กัม-อปุ โลวิ เจ กํ ชรา-อุปายาส๗ ๑๒ กาล ๓ อดตี อดีต ปจ จบุ นั อนาคต อนาคต อทั ธา ๓ อนาคต อดตี อดีต กอํ ดีตปจ จุ อนาคต อนาคต อดตี อดตี ปจ จุบนั ปจจบุ ัน กอํ ดีตปจจุ - เหตุ ปจ จุบนั ปจ จุบนั ปจจุบนั - ผล อนาคต อดีต อดีต อดีต อดตี ปจ จบุ ัน ปจจบุ นั ปจ จุบนั ปจจบุ นั -- -- ดาวนโหลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอความเพม่ิ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 3 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๑. ค. องคป ฏิจจสมุปบาทมีเทาไร คอื อะไรบาง? ใหจาํ แนกองคป ฏจิ จสมุปบาทเหลา นัน้ โดยกาลทงั้ ๓ ? [P4] 36, 43, 49(2ค), 54(1ข), 55(1ข), 59, 60(ข) ตอบ องคป ฏจิ จสมุปบาทมี ๑๒ คือ ๑. อวชิ ชา ๒. สงั ขาร ๓. วญิ ญาณ ๔. นามรูป ๕. สฬายตนะ ๖. ผสั สะ ๗. เวทนา ๘. ตณั หา ๙. อุปาทาน ๑๐. ภวะ ๑๑. ชาติ ๑๒. ชรามรณะ จําแนกองคป ฏจิ จสมปุ บาท โดยกาล ๓ ดังนี้ คือ อวิชชา และสังขาร ท้งั ๒ น้ี เปน อตตี กาล คอื เปน ธรรมท่ีเกดิ ในภพกอ นๆ ชาติ ชรามรณะ ทง้ั ๒ (หรอื ๓) น้ี เปน อนาคตกาล คือ เปนธรรมทเ่ี กิดในภพหนา องคธ รรม ๘ ท่อี ยตู รงกลาง คอื วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน กมั มภวะ เหลาน้ี เปน ปจจบุ นั กาล คอื เปนธรรมทเ่ี กดิ ในภพน้ี ๒. ก. องคปฏจิ จสมุปบาทมีเทา ไร คอื อะไรบา ง ใหจาํ แนกองคป ฏจิ จสมปุ บาทเหลานี้ โดยอาการ หรอื ประเภท ๒๐ ? [P4-5] 46, 51 ตอบ ก. องคป ฏจิ จสมุปบาทมี ๑๒ คอื ๑. อวชิ ชา ...... ๑๒. ชรามรณะ จําแนกองคป ฏจิ จสมปุ บาทเหลานี้ โดย อาการหรอื ประเภท ๒๐ ดังนี้ คือ ...... ๑. ปฏจิ จสมุปบาท (กลา วโดยองค มี ๑๒ แต) เมือ่ แสดงโดยประเภทหรอื อาการมมี ากถงึ ๒๐ นนั้ แสดงการนับสงเคราะหอยา งไร และประเภทหรืออาการ ๒๐ นัน้ ไดแ กอ ะไรบาง ? [P5] 36(2), 47, 59(4) ตอบ ปฏจิ จสมุปบาท (กลาวโดยองค มี ๑๒ แต) เมอ่ื แสดงโดยประเภทหรอื อาการมมี ากถึง ๒๐ น้นั แสดงการนบั สงเคราะหดงั น้ี สาํ หรบั ในอัทธา ๓ น้ัน โดยยก อวิชชาและสังขารขน้ึ แสดงแลว แมต ณั หา อุปาทาน กมั มภวะ ทง้ั ๓ น้ี ก็พึงนับเขา ในอดีตอทั ธาดว ย โดยการยก ตณั หา อปุ าทาน กมั มภวะ ขึ้นแสดงแลว อวิชชา สังขารทัง้ สองนี้ ก็พึงนบั เขาในปจจุบันอธัทธา ดวยเหมอื นกนั โดยการยก ชาติ ชรา มรณะ ขึน้ แสดงแลว ผลทงั้ ๕ อยา ง อนั ไดแ ก วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา กพ็ ึงนบั เขา ในอนาคตอทั ธาดวย ฉะนนั้ ประเภทหรืออาการ ๒๐ จงึ เปน ไปดงั นี้ เหตใุ นอดตี ภพ มี ๕ คอื อวิชชา สังขาร ตณั หา อุปาทาน กัมมภวะ ผลในปจ จุบนั ภพ มี ๕ คือ วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา เหตใุ นปจจบุ นั ภพ มี ๕ คอื ตัณหา อปุ าทาน กมั มภวะ อวิชชา สังขาร ผลในอนาคตภพ มี ๕ คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ๑. จงแปลคาถาดังตอไปน้ี ? ข. อตีเต เหตโว ปฺจ อิทานิ ผลปจฺ กํ อิทานิ เหตโว ปจฺ อายตึ ผลปฺจกนตฺ ิ วสี ตาการา ตสิ นธฺ ิ จตสุ งฺเขปา จ ภวนฺติ ฯ ? [P5] 42 ตอบ ข. อาการ ๒๐ สนั ธิ ๓ สังเขป ๔ จึงเปน ไปดงั น้ี ใน สําหรบั ในอัทธา ๓ น้ัน ....... ๒. ค. จงจําแนกปฏจิ จสมุปบาท ท่ีวา โดยประเภท ๑๘ วามอี ยางละเทาไร? คืออะไรบา ง? ดงั ตอ ไปน้ี ? [P] ๑. เปนปจจัย ได แตเปน ปจ จยปุ บนั ไมได ๒. เปน ปจ จยปุ บัน ได แตเ ปนปจ จัย ไมได ๓. เปน ปจจยั และปจ จยุปบัน ไดท ง้ั ๒ ๔. เปน ปจจัย และปจ จยปุ บนั ไมไดท ้ัง ๒? 48, 45(2ก) ตอบ ค. ๑. เปนปจจัยได แตเปน ปจจยปุ บนั ไมไ ด มี ๑ คือ อวิชชา ๒. เปนปจจยปุ บันได แตเ ปน ปจจัยไมไ ด มี ๗ คอื ๑) ชรา ๒) มรณะ ๓) โสกะ ๔) ปริเทวะ ๕) ทุกขะ ๖) โทมนสั สะ ๗) อุปายาสะ ดาวนโ หลดขอมูลตา งๆไดจ าก ขอ ความเพิม่ เติมที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 4 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๓. เปนปจจัย และปจ จยปุ บันไดท งั้ ๒ มี ๑๐ คือ ๑) สงั ขาร ๒) วญิ ญาณ ๓) นามรปู ๔) สฬายตนะ ๕) ผัสสะ ๖) เวทนา ๗) ตณั หา ๘) อปุ าทาน ๙) ภวะ ๑๐) ชาติ ๔. เปนปจจยั และปจ จยปุ บันไมไ ดท ้งั ๒ ไมม ี ๑. จากการศกึ ษาในปฏจิ จสมปุ บาทมาแลว จงตอบคาํ ถามดังตอ ไปนี้ ? [P7] 49 ก. ปรจิ เฉทที่ ๘ มชี ่ือวาอยา งไร ทม่ี ชี ่ือเชน นน้ั เพราะเหตไุ ร ? [P7] 36, 49(2), 52, 57, 59, 61(ก/ค) ข. ธรรมท่ีเปน ปจ จัย (ที่แสดง) ในปฏิจจสมุปบาท และ (ใน)ปฏฐาน นัน้ ตา งกันอยา งไร ? [P7] 49(2), 59, 61 ๑. ค. ธรรมทเี่ ปนปจ จัยในปฏิจจสมปุ บาท และ ปฏ ฐานนั้นไดแกอ ะไร ? [P7] 48 ๑. ข. ธรรมที่เปนปจจยั และปจ จยุปบนั ในปฏจิ จสมุปบาท และ ปฏฐานนนั้ ไดแ กอ ะไร ? [P7] 51 ตอบ ก. ปริจเฉท ๘ ทชี่ อื่ วา ปจ จยสังคหะนั้น เพราะ พระอนรุ ทุ ธาจารยไ ดแ สดงรวบรวมธรรมทเี่ ปน ปจ จัยและปจจยปุ บนั ตามนยั แหงปฏิจจสมปุ บาท และนัยแหง ปฏฐานทง้ั หมดอยใู นปริจเฉทนี้ ฉะนนั้ ปรจิ เฉท ๘ นจ้ี ึงช่ือวา ปจ จยสังคหะ ข. ธรรมทเี่ ปนปจจัยทแี่ สดงในปฏจิ จสมปุ บาทนัน้ เปนปรมตั ถลวนๆ ไมม ีบญั ญตั เิ ขา เจือปนดวยเลย สว นธรรมทเี่ ปนปจ จยั ทแ่ี สดงในปฏ ฐานนนั้ มที งั้ ปรมตั ถแ ละบัญญตั ิ ดวยเหตนุ ้ี พระอนุรทุ ธาจารย จึงไดแ สดงบัญญตั ติ างๆ ไวใ นสุดทา ยแหง ปริจเฉทนี้ (49, 51, 59, 61) สําหรบั ธรรมท่ีเปนปจจยุปบนั น้นั เปนปรมตั ถโ ดยสว นเดียว ทัง้ ๒ นยั ๑. ก. ปฏิจจสมุปบาท หมายความวา อยา งไร ? [P] 51 ตอบ ก. ปฏจิ จสมุปบาท หมายความวา ธรรมทเ่ี ปนเหตุ ทีท่ ําใหผลธรรมเกิดขึ้นสมา่ํ เสมอพรอ มกนั โดยอาศยั ความพรอมเพรยี งแหง ปจ จยั ท่เี กีย่ วเนอื่ งกบั เหตนุ นั้ ๆ ๑. ข. ปจ จยสงั คหะ หมายความวาอยางไร ? [P7] 48, 58 ตอบ ข. ปจจยสงั คหะ หมายความวา การรวบรวมธรรมทเ่ี ปนปจจยั และปจ จยุปบัน ตามนยั แหง ปฏจิ จสมุปบาท และปฏ ฐานท้งั หมดอยูในปริจเฉท (ที่ ๘) นี้ ๑. ค. ธรรมที่เปน ปจ จัยในปฏิจจสมุปบาท และปฏ ฐานน้ันไดแ กอ ะไร ? [P7] 58 ตอบ ค. ธรรมทเี่ ปน ปจจยั ในปฏจิ จสมปุ บาท ไดแก ปรมตั ถลว นๆ ไมม บี ญั ญตั เิ ขา เจือปนดว ยเลย สว นธรรมที่เปน ปจ จยั ในปฏ ฐานนน้ั ไดแก ปรมตั ถแ ละบญั ญัติท้ังหมด Note ปฏ ฐาน : (ปจ. =) 89+52 รูป28E นพิ บัญกาลวมิ ตุ ิ  89+52 รปู 28E (= ปย.) ๒. ก คาํ วา ปจ จัย กบั คาํ วา ปจจยปุ บนั หมายความวา อยางไร ? [P7] 36(1ข), 42(1ข), 46, 48 ข. คําวา ปจ จยา แปลวา อะไร ? มกี ่อี ยาง ? คืออะไรบาง ? [P8] 48 ตอบ ก. คาํ วา ปจ จยะ หรอื ปจจัย น้นั หมายความวา เปน เหตุของผลทเี่ ก่ียวเนอื่ งดว ยเหตนุ ั้นๆ คาํ วา ปจจยปุ บัน หมายความวา เปนผลทเี่ กิดข้ึนโดยอาศยั ธรรมที่เปน เหตนุ นั้ ๆ สรุปความวา ปจจยั ไดแก ธรรมทเ่ี ปนเหตุ ปจ จยปุ บนั ไดแก ธรรมท่ีเปนผล ข. คาํ วา ปจจยา แปลวา เปน ปจจยั ชวยอปุ การะ (อุปการกา) การชวยอปุ การะมี ๒ อยาง คือ ๑. ชว ยอุปการะแกปจ จยปุ บันธรรมท่ียงั ไมเกดิ ใหเกดิ ขึน้ อยา งหน่ึง ๒. ชวยอปุ การะแกปจ จยุปบนั ธรรมที่เกดิ ข้นึ แลว ใหต ง้ั มั่นและเจรญิ ขึน้ อยางหน่งึ ๒. ข. ปจ จัย (ปจ จยะ) แปลวา อยางไร? หมายความวาอยางไร? และปจ จยุปบนั หมายความวาอยา งไร ? [P8] 45, 61() ตอบ ข. ปจจัย แปลวา เปนปจ จัยชวยอุปการะ หรือ ธรรมทช่ี ว ยอปุ การะ หมายความวา เปน เหตขุ องผลที่ ดาวนโหลดขอมลู ตา งๆไดจาก ขอความเพ่ิมเตมิ ท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมิกะโท 5 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน เกี่ยวเนื่องดว ยเหตนุ ั้นๆ และปจ จยปุ บนั หมายความวา เปน ผลทีเ่ กดิ ขนึ้ โดยอาศยั ธรรมทเี่ ปน เหตนุ ้ันๆ สรุปความวา ปจจัย ไดแ ก ธรรมทีเ่ ปน เหตุ ปจ จยปุ บัน ไดแก ธรรมทีเ่ ปน ผล ๒. จงแสดงเหตผุ ลตามนยั แหง ปฏจิ จสมุปบาท มาใหสมบรู ณ ? และวจนตั ถะทย่ี กมานี้ แปลวา อยา งไร ? [P10] ปฏจิ จฺ สมํ สห จ อุปปฺ ชชฺ ติ เอตสฺมาติ = ปฏจิ จฺ สมุปปฺ าโท ? [P10] 52 ตอบ แสดงเหตผุ ลตามนัยแหงปฏจิ จสมปุ บาทนัน้ คือ แสดงแตเ พยี งใหร วู า สตั วท ้งั หลายท่ีปรากฏอยใู นโลกนี้ ลวนแตเปนผลทเี่ กดิ มาจากธรรมที่เปน เหตทุ งั้ สนิ้ ท่จี ะเกดิ ขนึ้ เองหรือมีผสู รา งใหเ กดิ โดยไมไ ด อาศัยธรรมทเี่ ปน เหตนุ ้นั ยอมไมม เี ลย หมายความวา เมอ่ื มีเหตุมีปจจยั ครบบรบิ ูรณแ ลว ผลยอ ม ปรากฏขนึ้ เปนธรรมดา แตไ มไ ดแ สดงถึงอํานาจของปจจยั นัน้ ๆ วา การชวยอปุ การะของปจ จัยนั้นๆ เปน ไปโดยอํานาจเหตบุ า ง อารมณบ า ง อธบิ ดีบา ง เปนตน และวจนตั ถะทีย่ กมานี้ แปลวา ผลธรรมมีสงั ขารเปน ตน เมื่อไดอ าศัยการประชุมรว มกันแหงปจ จัยแลว ยอมเกิดขึน้ สมํา่ เสมอพรอมเพรียงกนั เพราะอาศยั เหตตุ า งๆ มี อวชิ ชาเปน ตน ฉะนน้ั เหตตุ า งๆ มี อวิชชา เปน ตน เหลา นั้น จงึ ชอ่ื วาปฏิจจสมุปบาท ไดแ ก อวิชชาเปน ตน จนถึงชาติ ๑. ในปรจิ เฉทท่ี ๘ นี้ ทา นแสดงการอปุ การะไวก ี่นัย คอื อะไรบา ง และนัยนัน้ ๆ มคี วามแตกตางกนั อยา งไร ? [P10-11] 38, 40 ตอบ ในปริจเฉทที่ ๘ น้ี ทานแสดงการอปุ การะไว ๒ นยั คอื ๑. ปฏจิ จสมุปบาทนยั ๒. ปฏฐานนยั และนัยท้งั ๒ นน้ั มีความแตกตางกันดังนี้ การแสดงเหตผุ ล (ของการอปุ การะกนั ) ตามนัยปฏิจจสมุปบาทนัน้ แสดงแตเ พียงใหรวู า สตั วท งั้ หลายท่ี ปรากฏอยูในโลกนี้ ลว นแตเ ปนผลทเ่ี กิดมาจากธรรมทเี่ ปนเหตุทงั้ ส้ิน ทจ่ี ะเกิดขน้ึ เองหรอื มผี ูสรางใหเ กดิ โดย ไมไ ดอ าศัยธรรมทเ่ี ปนเหตุนั้นยอ มไมมีเลย หมายความวา เม่ือมีเหตมุ ีปจ จยั ครบบรบิ ูรณแลว ผลยอมปรากฏขนึ้ เปน ธรรมดา แตไ มไดแ สดงถงึ อาํ นาจของปจจยั นั้นๆ วา การชว ยอุปการะของปจ จัยน้นั ๆ เปน ไปโดยอํานาจเหตุ บา ง อารมณบ า ง อธบิ ดีบาง เปนตน สวนการแสดงเหตผุ ล (ของการอุปการะกัน) ตามนยั แหง ปฏฐานน้นั แสดงใหร วู าส่ิงที่มชี วี ติ และไมม ี ชีวติ ทงั้ หลายทป่ี รากฏอยใู นโลกนี้ ลว นแตเ ปนเหตุผลทเี่ กย่ี วเนอื่ งกนั ตามสมควร ทป่ี รากฏขน้ึ โดยไมเ กยี่ วของ กับเหตผุ ลนน้ั ไมม ีเลย และแสดงถึงอาํ นาจของปจจยั นนั้ ๆ ดว ยวา การอุปการะของปจจยั นนั้ ๆ เปน ไปดวย อํานาจเหตบุ า ง อารมณบ า ง อธิบดีบา ง เปน ตน ๒ การ (ความ) ไมร ูตามความเปน จรงิ ของอวชิ ชา มกี ี่อยา ง (ประการ) คืออะไรบาง ? 40, 42 ......ใหยกบาลีและคําแปลดวย? 39 (2ก) /......จงบอกพรอ มความหมาย ? 46(2ข), 55(2ก) , 57(3ก) ๓. อวชิ ชา แปลวา อยางไร องคธ รรมไดแ กอ ะไร มีก่ีประการ คืออะไรบา ง ? [P16] 36 ๓. อวชิ ชาท้ังหมดนี้สรุปความหมายวาอยา งไร มีกป่ี ระการ คืออะไรบา ง จงบอกพรอมความหมา ? [P16] 61 ตอบ (36) อวชิ ชา แปลวา ไมร ู หรือ ธรรมชาตทิ ่เี ปน ไปตรงกนั ขา มกับปญ ญา องคธ รรมไดแ ก โมหเจตสิก ตอบ 61 อวิชชา ทง้ั หมดน้ีสรุป สรปุ ความหมายวา การไมร ตู ามความเปน จริงท่คี วรรู รแู ตส งิ่ ท่ีไมเ ปน ไป ตามความเปน จริงที่ไมค วรรู ความไมรตู ามความเปน จริงของ อวิชชา น้นั มีอยู ๘ ประการ คอื / (39, 40, 46) การไมร ูตามความเปนจริงของอวิชชา มี ๘ อยา ง คือ ๑. ทุกเฺ ข อาณํ ไมรใู นทกุ ข ๒. ทุกขฺ สมุทเย อาณํ ไมรเู หตทุ ีท่ ําใหเ กิดทกุ ข ๓. ทกุ ฺขนิโรเธ อาณํ ไมร ธู รรมอันเปน ทีด่ บั แหงทกุ ข ๔. ทุกฺขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทาย อาณํ ไมรหู นทางทใ่ี หเ ขา ถงึ ความดบั ทุกข ๕. ปพุ ฺพนเฺ ต อาณํ ความไมร ใู นขันธ อายตนะ ธาตุ ทเี่ ปน อดตี ดาวนโหลดขอ มูลตางๆไดจาก ขอ ความเพมิ่ เตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 6 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๖. อปรนเฺ ต อาณํ ความไมร ใู นขนั ธ อายตนะ ธาตุ ทเ่ี ปน อนาคต ๗. ปุพฺพนตฺ าปรนเฺ ต อาณํ ความไมร ใู นขันธ อายตนะ ธาตุ ทเ่ี ปน อดตี และอนาคต ๘. อิทปฺปจฺจยตาปฏจิ ฺจสมุปฺปนฺเนสุ ธมฺเมสุ อาณํ ความไมรใู นรูปนามทเ่ี กดิ ข้นึ โดยอาศัยมเี หตใุ หเกดิ ตามในปฏิจจสมุปบาท ๕. ก. อวิชชา ตามวจนัตถะมีความหมายหลายอยาง เมอ่ื กลาวโดยสรปุ หมายความวาอยา งไร พรอมท้ังแสดงลักขณาทจิ ตกุ กะของอวิชชา ? [P16, 35] 57(5ก) ๓. จงแสดงลักขณาทิจตุกกะ (จงแสดงลักษณะ รส ปจจุปฏฐาน ปทัฏฐาน) ของอวิชชา และตณั หา มาให ถูกตอง ? [P35, 110-111] 49, 55(2ข) / อวิชชา และ กมั มภวะ ? [P35, 80] 45(3ก) / อวชิ ชา และอุปายาสะ ? [P35, 144] 44, 50, 58 / อวชิ ชา และ กมั มภวะ ? [P35, 121] 45(3ก) ตอบ 57(5ก) ก. อวชิ ชา ตามวจนตั ถะมคี วามหมายหลายอยาง เม่ือกลาวโดยสรุป หมายความวา การไมรตู ามความเปน จริงทค่ี วรรู รแู ตส ่งิ ทไี่ มเ ปนไปตามความเปน จรงิ ที่ไมค วรรู นี้แหละช่ือวา อวชิ ชา แสดงลักขณาทิจตกุ ะ (แสดงลักษณะ รส ปจจุปฏฐาน ปทฏั ฐาน) ของอวชิ ชา ดังน้ี ๑. อาณลกฺขณา มคี วามไมรู เปนลกั ษณะ หรือ เปนปฏิปก ษต อ ปญ ญา เปน ลกั ษณะ ๒. สมโฺ มหนรสา ทําใหธรรมทป่ี ระกอบกับตนและผูท โ่ี มหะกําลังเกดิ อยนู ้ัน มีความหลงหรือมดื มน เปน กิจ ๓. ฉาทนปจจฺ ุปฏ านา เปน ธรรมชาติท่ีปกปด สภาวะที่มอี ยใู นอารมณน ัน้ ๆ เปนอาการปรากฏ ในปญญาของบณั ฑิตทั้งหลาย ๔. อาสวปทฏ านา มอี าสวะ ๓ เปน เหตใุ กล (เวนตัวเอง) ๒. ก. ภัยทัง้ ๔ นน้ั คอื อะไรบา ง ? [P25-26] 53 คอื ยงั ไมพน จากการเคารพนบั ถอื ศาสดาตา งๆ ตอบ ก. ภัยทง้ั ๔ คอื ๑. นานาสตั ถอลุ โลกนภัย คอื การไปเกดิ ในทไี่ มแ นน อน คอื ยงั ไมพนจากการไปเกดิ ในอบายภมู ิ ๒. วินิปาตภยั คอื ยังไมพ น จากการกระทาํ อนั เปน ทจุ รติ ตางๆ ๓. อปายภยั ๔. ทจุ ริตภยั ๒. ผทู ่ีมอี วิชชาหนามาก ผทู ีม่ อี วิชชาเบาบางแลว และผูที่มีอวิชชาบางทีส่ ดุ ทงั้ ๓ พวกน้ี ไดแ ก บคุ คลชนิดไหนบาง ? [P33] 54 ตอบ บุคคล ๓ พวกนไ้ี ดแ ก ๑. บคุ คลบางพวก ไมร ูวา การกระทาํ อยา งนดี้ ีเปนกศุ ล การกระทาํ อยางนไ้ี มด เี ปนอกศุ ล ดว ยอํานาจ แหงอวชิ ชาทปี่ กปด ไวไ มใ หรู ฉะน้นั บุคคลพวกน้ีจึงกลาทาํ ในทุจรติ ตางๆ อยา งไมร สู กึ เกรงกลัวและละอายใจ อวิชชาชนดิ นี้เปน อวิชชาทห่ี นามาก ๒. บคุ คลบางพวก รวู า การกระทําอยางน้ีดีเปนกุศล อยา งนไ้ี มด เี ปนอกุศล ฉะนน้ั บคุ คลจาํ พวกนี้เม่อื ขณะทีม่ อี กุศลเกดิ ขนึ้ กส็ ามารถระงบั ไดไมป ลอ ยใหลว งถงึ กาย วาจา แลวเปลยี่ นจติ ใจและการกระทาํ นั้นใหเปน กศุ ลเกดิ ขน้ึ อวชิ ชาของบุคคลจําพวกนี้ จดั วา เปน อวชิ ชาท่ีบางมากแลว ๓. บุคคลท่สี าํ เรจ็ เปน โสดาบนั สกทาคามี อนาคามีนั้นไดชอ่ื วา เปน ผเู ห็นแจงในอริยสจั ๔ แลว แตก็ยัง ไมไ ดท ําลายอวิชชาใหห มดสน้ิ ไป อวิชชาของพระอรยิ บุคคลเหลา นีเ้ ปนอวิชชาท่ีบางทสี่ ดุ ขอ กาํ หนดใน ๙ ชาติ ปจ จัยทเ่ี ปน... ปจจยั ธรรม (ธ.ทเี่ ปนเหต)ุ ปจ จยปุ บันธรรม (ธ.ทเ่ี ปน ผล) ๑. สหชาตชาติ (๑๕) ๒. อารมั มณชาติ (๘) เกดิ พรอ มกนั (ถาจติ =ในจติ ดวงเดียวกัน) เกิดพรอมกนั กบั ปจ จยั ธรรม อารมณ (ผถู กู รู 89+52 28E นพิ บัญกาลวมิ ุต) ผรู ูอารมณ (นามขนั ธ ๔ 89+52) ดาวนโ หลดขอ มูลตา งๆไดจ าก ขอความเพ่มิ เตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 7 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๓. อนนั ตรชาติ (๗/๖) เกิดตดิ ตอกันไมม รี ะหวา งคนั่ (ดับไปแลว) เกดิ ตดิ ตอ กันไมม รี ะหวา งคั่น (กาํ ลงั เกิด) ๔. วตั ถปุ เุ รชาตชาติ (๖) วตั ถุรูป ๖ (จัก โส ฆา ชวิ กา หทย+วัตถุ) นาม คอื วญิ ญาณธาตุ ๗ พรอ มเจตสกิ ท่ี ที่เกดิ กอน และ กําลงั ต้ังอยู ประกอบ เปนผอู าศัยวตั ถรุ ูปท่ีเกดิ กอน ๕. ปจ ฉาชาตชาติ (๔) นาม คือ จติ ๘๕ (-อรูปว.ิ ๔) เจ.๕๒ รปู คอื เอก ทวิ ติ จตุสมุฏฐานิกรปู หรอื กาย คือ เอก ท่ีเกดิ ทีหลงั ทวิ ติ จตุชกาย ที่เกิดกอนและกําลังตง้ั อยู ๖. รปู อาหารชาติ (๓) รปู คอื พหทิ ธโอชาไดแก อาหาร เชน ขา ว นํา้ รูป คอื อาหารชรูป หรือ และ อตุ ุ ไดแก อากาศ เปน ตน และ อชั ฌตั ต จตุสมุฏฐานิกรปู (ท่ีเหลอื เวน โอชา) โอชาท่ีอยูในจตสุ มฏุ ฐานกิ รปู ๗. รปู ชวี ติ นิ ทรยิ ชาติ (๓) รูป คือ รปู ชีวิตนิ ทรีย (ชีวติ รปู ) รปู คอื กมั มชรปู ทเี่ หลอื ซึง่ อยใู น ที่อยใู นกมั มชกลาป ๙ หรือ ๘ กมั มชกลาป ๙ หรือ ๘ (๑๐/๙-ชี.รูป) ท่อี ยูใ นกลาปอนั เดยี วกับปจ จยั ธรรม ๘. ปกตปู นสิ สย- (๒/๑) จิต เจตสกิ รูป ที่มกี ําลงั มากท่เี กิดกอนๆ และ จิต และ เจตสิก ท่เี กิดทีหลงั บญั ญัติ เจตนาทีเ่ กดิ ตา งขณะกันกับปจจยุปบนั นาม (วปิ ากจติ ๓๖ เจตสกิ ๓๘) ๙. นานกั ขณกิ กมั ม- (๑) ซงึ่ ดบั ไปแลว ไดแ ก เจตนากรรม ๓๓ รูป (กมั มชรูป ๒๐) ท่เี กิดขนึ้ (เจตนา->อกุ.๑๒ กุ.๒๑) ทดี่ บั ไปแลว โดยอาศัยกรรมทีด่ ับไปแลว ๙ ชาต=ิ ส(๑๕) อา(๘) นนั (๗/๖) วตั (๖) ฉษ(๔) หา(๓) รปู (๓) ต(ู ๒/๑) นา(๑) ๔. จงแสดงปจ จยั สงเคราะหดังตอ ไปนี้ ? [P] 56 สหชาตชาต๑ิ ๕ ก. อวิชชา เปนปจ จัยชวยอุปการะแกอปญุ ญาภสิ ังขารทเ่ี กิดพรอมกับตน ? 56(4ก/ค) ๔. ข. อวชิ ชา เปนปจ จยั ใหอ ปญุ ญาภสิ งั ขารท่ีเกิดพรอ มกันกับตนไดอ าํ นาจปจ จยั เทา ไร คืออะไร ? [P] 51 ตอบ ข. อวิชชาเปนปจจยั ใหอปญุ ญาภิสงั ขารทเ่ี กดิ พรอมกนั กับตน อวชิ ชา->อปญุ ญาภสิ งั ขาร เกดิ พรอม(สห) ไดอาํ นาจปจจยั ๗ ปจ จัย คอื (ญ๔=ส นิส ถิ อ+อญั ปา สัม วปิ +เห) เห *ธิ สห อัญ *นิส ๑. เหตปุ จจัย ๒. สหชาตปจจยั ๓. อัญญมัญญปจจัย *กํ ปา น.หา *อิน ฌา ๔. นิสสยปจ จยั (สหชาตนสิ สยปจจยั ) ๕. สัมปยุตตปจจยั มคั สมั *วปิ *ถิ *อวิ ๖. อัตถิปจ จยั (สหชาตตั ถปิ จ จัย) ๗. อวคิ ตปจจยั (สหชาตอวคิ ตปจจัย) ๔. ก. อวิชชาที่เปน ออาารัมรมมณณชอ ายตา ิ ง๘เอาใจใสเ ปอาน พธิ ิเณศษู เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแกอปญุ ญาภสิ ังขารนนั้ ไดอาํ นาจปจจยั เทา ไร คืออะไรบา ง ? [P] 57(4ก/ค) ตอบ ก. ไดอ าํ นาจปจจยั ๓ คอื ๑. อารมั มณปจ จยั ๒. อารัมมณาธปิ ตปิ จจยั ๓. อารมั มณปู นสิ สยปจจัย ๔. ใหแสดงอํานาจปจจัยที่เขา กันไดในการชวยอปุ การะดังตอไปน้ี ? [P] อนนั ตรชาติ ๗/๖ ก. อวิชชาเปน ปจจัยชว ยอปุ การะแกอ ปญุ ญาภสิ ังขาร ทเ่ี กดิ ขึน้ ตดิ ตอ กันกับตนโดยไมมี ระหวางคั่นนน้ั ? 48, 52(6ก), 59(5ก) ไดอ าํ นาจปจ จยั เทา ไร คืออะไรบาง? 46(5ก) ตอบ ก. อวชิ ชาเปน ปจ จัยชวยอุปการะแกอปญุ ญาภสิ งั ขารทเ่ี กดิ ข้นึ ตดิ ตอ กนั กบั ตนโดยไมม รี ะหวางค่นั น้ัน ไดอาํ นาจปจ จยั ๖ คอื ๑. อนนั ตรปจ จยั ๒. สมนันตรปจ จัย ๓. อนันตรปู นสิ สยปจ จยั ๔. อาเสวนปจจัย ๕. นัตถิปจจัย ๖. วิคตปจจัย (นํ๕+เส = นํ สนํ รู เส นา น ต) ๒. อวชิ ชา ตามวจนัตถะมีความหมายหลายอยา ง เชน ธรรมชาตทิ เ่ี ปน ไปตรงกนั ขา มกบั ปญ ญา ธรรมชาติท่ี ยอ มไดท ุจรติ ท่ีไมค วรได เปน ตน เมอื่ สรปุ ความแลว หมายความวาอยางไร และอวชิ ชาเปนปจ จยั ชวย อปุ การะแกอ ปญุ ญาภิสงั ขารนัน้ ไดอาํ นาจปจจัยเทาไร คอื อะไรบาง ? [P12, 45] 44 ดาวนโ หลดขอมูลตา งๆไดจ าก ขอ ความเพ่มิ เติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 8 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๒. อวิชชาทง้ั หมดน้ี สรุปความหมายอยางไร สังขารในปฏจิ จสมุปบาทน้ัน หมายความวา อยางไร และอวิชชา เปน ปจจัยชวยอปุ การะแกอปญุ ญาภิสงั ขารนนั้ ไดอ ํานาจปจจัยเทา ไร คอื อะไรบา ง ? [P12, 36, 45] 38 ๔. ก. อวิชชา เปน ปจจัยชวยอุปการะแกอ ปญุ ญาภสิ งั ขาร ไดอํานาจปจ จยั กี่ปจ จยั ? [P12, 36, 45] 61 ตอบ อวชิ ชา เมือ่ สรุปความแลว หมายความวา การไมร ูตามความเปน จรงิ ทค่ี วรรู รูแตส งิ่ ทไี่ มเ ปน ไปตาม ความเปนจรงิ ทไ่ี มควรรู [(38) สงั ขารในปฏจิ จสมปุ บาทนั้น หมายความวา ธรรมท่ีปรงุ แตงใหผลธรรมเกดิ ข้ึน] และ (61) อวิชชา เปน ปจจัยชว ยอปุ การะแก อปุญญาสงั ขารน้นั ไดอ าํ นาจปจ จัย ๑๕ ปจจัย คอื ๑. เหตปุ จ จัย ๒. อารมั มณปจ จัย อวิชชา->อปญุ ญาภสิ งั ขาร (รวม=สห อาธิ นํ) ๓. อธิปตปิ จจยั (อารัมมณาธปิ ตปิ จจัย) ๔. อนันตรปจ จัย เห อา อาธิ นํ สนํ สห ๕. สมนนั ตรปจจัย ๖. สหชาตปจ จยั ๗. อัญญมัญญปจจยั อญั *นิส๘.อ(ุสปหชาปตุ )นิสปสจ ยปจจเสัย ๙. อปุ นสิ สยปจ จยั (ทง้ั ๓ ปจจยั ) ๑๐. อาเสวนปจจัย *กํ ปา หา อนิ ฌา มคั ๑๑. สมั ปยุตตปจจัย ๑๒. อัตถปิ จจยั (สหชาตตั ถิปจจัย) สัม *วปิ *ถิ น ต *อวิ ๑๓. นตั ถปิ จ จัย ๑๔. วิคตปจจัย ๑๕. (สหชาต)อวคิ ตปจจยั [ส๑๕>๗(ญ๔+อัญ สัม+เห), อา๘>อา ธิ ณู, น๖ํ /๗=นํ๕+เส, วัต ปจ หา รู ตู นา)] ๓. คาํ วา สังขาร หมายความวา อยา งไร และสงั ขารทเี่ ปนผลของอวชิ ชานัน้ มีเทา ไร คืออะไรบา ง ใหแสดงองคธ รรมโดยเฉพาะๆ ดว ย ? [P36] 39, 52, 59 ๒. สงั ขารท่ีเปน ผลของอวิชชามกี ่อี ยา ง คืออะไรบา ง? จงแสดงพรอมดวยความหมาย และองคธรรมโดยเฉพาะๆ ? [P36] 41,.47, 55(3) ตอบ (๓.) สงั ขาร หมายความวา ธรรมทปี่ รุงแตง ใหผลธรรมเกดิ ขน้ึ (๒.) สังขารที่เปนผลของอวชิ ชานัน้ มี ๖ อยา ง คือ ๑. ปุญญาภสิ งั ขาร กศุ ลเจตนา เปน ผปู รงุ แตงโลกียกศุ ลวบิ าก และกุศลกมั มชรูปโดยตรง องคธรรมไดแ ก มหากศุ ลเจตนา ๘ รปู าวจรกุศลเจตนา ๕ ๒. อปุญญาภสิ งั ขาร อกศุ ลเจตนา เปน ผปู รงุ แตงอกุศลวบิ าก และอกศุ ลกมั มชรูปโดยตรง องคธ รรมไดแก อกศุ ลเจตนา ๑๒ ๓. อาเนญชาภสิ ังขาร กุศลเจตนาทต่ี ง้ั มนั่ ไมห วนั่ ไหว เปน ผปู รงุ แตง อรปู วบิ ากโดยตรง องคธ รรมไดแก อรปู าวจรกศุ ลเจตนา ๔ ๔. กายสงั ขาร เจตนาท่เี ปนผูปรงุ แตง กายทจุ ริตและกายสจุ รติ ใหสาํ เร็จลง องคธ รรมไดแก อกุศลเจตนา ๑๒ มหากศุ ลเจตนา ๘ ทีเ่ กีย่ วกบั ทางกาย ๕. วจสี งั ขาร เจตนาทเ่ี ปนผปู รุงแตง วจีทจุ รติ และวจีสจุ รติ ใหสาํ เรจ็ ลง องคธรรมไดแก อกศุ ลเจตนา ๑๒ มหากุศลเจตนา ๘ ทเี่ กี่ยวกบั ทางวาจา ๖. จิตตสงั ขาร เจตนาที่เปนผูปรงุ แตง มโนทุจริตและมโนสุจรติ ใหสาํ เรจ็ ลง องคธรรมไดแ ก อกุศลเจตนา ๑๒ โลกียกศุ ลเจตนา ๑๗ ท่เี กย่ี วกับทางใจ ๒. ก. สงั ขารที่เปนผลของอวิชชา ที่มุง หมายเฉพาะในปฎจิ สมุปบาท มกี ่อี ยา ง คืออะไรบา ง? จงแสดงพรอม ดว ยความหมาย และองคธ รรมโดยเฉพาะๆ และจงใหเหตุผลวา ทาํ ไมโลกตุ ตรกศุ ลเจตนาจึงไมจดั เปน ปญุ ญาภสิ งั ขารทแี่ สดงในปฎิจสมุปบาท ? [P36] 61 ตอบ สงั ขาร ทม่ี งุ หมายเฉพาะในปฎจิ สมปุ บาท มี ๓ อยาง คอื (......๑. ปุญ ๒.อปญุ ๓. อาเนญชา) สาํ หรบั โลกุตตรกศุ ลเจตนาไดชอ่ื วา บุญก็จริง แตไ มช ื่อวา ปุญญาภสิ งั ขาร เพราะวาไมม หี นา ท่ที าํ ใหเกดิ ภพชาตทิ ีเ่ ปน สังสารวัฏฏ มหี นาท่ีทําลายภพชาติเทานน้ั ฉะนน้ั จงึ ไมน ํามาแสดงในปฏิจจสมปุ บาทน้ี ๓. จงจาํ แนกกามปฏสิ นธิวญิ ญาณ โดย อปญุ ญาภสิ งั ขาร, ปญุ ญาภิสงั ขารคอื มหากุศลเจตนา ๘ ๑๑ ธ.ค. ๖๑ ดาวนโ หลดขอมลู ตางๆไดจ าก ขอความเพิ่มเตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว)

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 9 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ใหแ สดงโดยเฉพาะๆ ? [P49-50] 36(4), 51, 56, 60 [กามปฎ.ิ วญิ . ๑๐=ณ- ณ+ ม.วิ.๘] ตอบ จําแนกกามปฏสิ นธิวญิ ญาณ ดังตอ ไปน้ี [..อเหตุก/ทวิ/ตบิ ุ,. โอมกะ-อุกฏั ฐะ] ๑. อปญุ ญาภสิ ังขาร ๑๑ (เวนอทุ ธจั จเจตนา) เปนเหตุ อุเบกขาสนั ตรี ณอกุศลวบิ ากจติ ๑ เปน ผล ใหปฏิสนธใิ นอบายภมู ิ ๔ เปน พวกทคุ ตอิ เหตกุ บคุ คล คือ พวกอบายสตั วทงั้ หลาย ๒. ปุญญาภิสงั ขาร อันไดแ ก มหากุศลทวิเหตกุ โอมกะเจตนา ๔ เปนเหตุ อเุ บกขาสนั ตรี ณกุศลวบิ ากจติ ๑ เปน ผล ใหป ฏสิ นธใิ นมนุษยภมู ิ ๑ จาตุมหาราชิกาภูมิ ๑ เปนพวกสุคตอิ เหตกุ บคุ คล คือ มนุษยแ ละเทวดาชน้ั ตา่ํ ที่พิกลพิการ ใบ บา บอด หนวก เปน ตน [(52) หมายถงึ วา เปน มนษุ ยช ั้นตํา่ ท่ีพกิ ลพิการ ใบ บา บอด หนวก เปนตน และเปนเทวดาชัน้ ตํ่า ไดแ ก วินิปาตกิ อสุรามีรปู รางนาเกลียดนา กลัว ความเปน อยกู ล็ ําบากมากคลายกบั พวกเปรต)] ๓. ปุญญาภิสังขาร อันไดแ ก มหากศุ ลทวิเหตกุ อุกกัฏฐะเจตนา ๔ และตเิ หตกุ โอมกะเจตนา ๔ เปนเหตุ มหาวบิ ากญาณวปิ ปยตุ ตจิต ๔ เปนผล ใหป ฏิสนธิในมนษุ ยภมู ิ ๑ เทวภมู ิ ๖ เปนพวกทวเิ หตกุ บคุ คล คือ มนษุ ยแ ละเทวดาชนั้ กลาง ๔. ปญุ ญาภิสงั ขาร อันไดแก มหากุศลติเหตกุ อุกกัฏฐะเจตนา ๔ เปนเหตุ มหาวบิ ากญาณสมั ปยตุ ตจติ ๔ เปนผล ใหป ฏสิ นธิในมนษุ ยภมู ิ ๑ เทวภูมิ ๖ เปน พวกติเหตกุ บคุ คล คือ มนษุ ยแ ละเทวดาชนั้ สงู ๔. ใหจาํ แนกปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ ๙ คือ อุเบกขาสนั ตรี ณกศุ ลวิบาก ๑ มหาวบิ าก ๘ โดย ปญุ ญาภสิ งั ขาร คือ มหากศุ ลเจตนา ๘ มาโดยเฉพาะ ๆ ? [P49-50] 52 ตอบ ๑. ปญุ ญาภสิ ังขาร อันไดแก มหากุศลทวเิ หตกุ โอมกเจตนา ๔ เปน เหตุ ฯ ...... ๒. ปุญญาภิสงั ขาร อันไดแ ก มหากศุ ลทวิเหตุกอกุ กฏั ฐะเจตนา ๔ และตเิ หตกุ โอมกเจตนา ๔ เปน เหตุ ฯ ๓. ปุญญาภสิ งั ขาร อันไดแก มหากศุ ลตเิ หตุกอกุ กัฏฐะเจตนา ๔ เปนเหตุ ฯ ...... ดูคําตอบดานบน ๓. จงจาํ แนก ปวตั ติวิญญาณ ทเี่ กดิ ขน้ึ โดยอาศัย ปุญญาภิสังขาร ๑๓ เปน เหตุ ? [P50-51] 54 ตอบ จาํ แนกไดด งั ตอ ไปนี้ [ปวตั ติวญิ . ไมแ สดงปฎสิ นธิจติ ] ๑. ปุญญาภิสงั ขาร อนั ไดแ ก มหากุศลเจตนา ๘ เปน เหตุ อเหตกุ กุศลวบิ าก ๘ ไดแ ก การเห็น การไดยนิ การไดก ลิน่ การรรู ส การถกู ตอง การรบั อารมณ การไตส วนอารมณ และการรบั อารมณต อ จากชวนะทด่ี ี เปนผล ในกามภูมิ ๑๑ ๒. ปญุ ญาภสิ ังขาร อนั ไดแ ก มหากศุ ลเจตนา ๘ เปน เหตุ มหาวบิ าก ๘ ไดแ ก การรับอารมณต อจากชวนะทดี่ ี เปนผล ในกามสคุ ติภมู ิ ๗ ๓. ปุญญาภิสังขาร อันไดแ ก มหากศุ ลเจตนา ๘ เปนเหตุ อเหตกุ กุศลวบิ าก ๕ ไดแ ก การเห็น การไดยนิ การรบั อารมณ การไตส วนอารมณท ี่ดเี ปนผล ในรูปภมู ิ ๑๕ ๔. ปุญญาภสิ ังขาร อนั ไดแก รปู าวจรกศุ ลเจตนา ๕ เปนเหตุ รปู าวจรวิบาก ๕ ไดแ ก การรกั ษาภพ เปนผล ในรูปภมู ิ ๑๕ ๔. จงแสดงอํานาจปจ จัย ทเ่ี ขากันไดใ นการชวยอปุ การะดังตอไปน?้ี (ขา มชาติ ขามวิถี) ง. สงั ขารท้ัง ๓ เปน ปจจัยชวยอุปการะแกว ปิ ากวญิ ญาณ ? [P53] 45, 53, 60(5) ๑. สงั ขาร ๓ เปน ปจจยั ชว ยอปุ การะแกว ปิ ากจิต ? [P53] 50(ก-๑) ตอบ ง. ไดอ ํานาจปจจัย ๒ คือ ๑) ปกตูปนสิ สยปจ จัย ๒) นานักขณกิ กัมมปจจัย ๑. ค. จงแสดงประเภทวญิ ญาณทเี่ ปนเหตขุ องนามรูปพรอ มดวยองคธรรม ? [P53] 51 ดาวนโหลดขอ มูลตา งๆไดจาก ขอ ความเพ่มิ เติมที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 10 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๕. ก. วิญญาณทเ่ี ปนเหตขุ องนามรปู มีก่อี ยาง อะไรบาง ? จงแสดงพรอ มองคธ รรม วญิ ->นามรปู  และคาํ วา นามรูป นนั้ นามรูปไดแ กอ ะไรบา ง ? [P53] xx, 61 (3ข) ตอบ ค. วญิ ญาณ ทเี่ ปน เหตใุ หเกดิ นามรปู น้ัน มี ๒ อยา ง คอื ๑. วิปากวญิ ญาณ องคธ รรมไดแก โลกยี วปิ ากจติ ๓๒ ๒. กัมมวิญญาณ องคธ รรมไดแ ก อกุศลจติ มหากุศลจติ รูปาวจรกุศลจติ ทปี่ ระกอบกับ กศุ ล อกุศลเจตนา ทใี่ นอดีตภพ และคาํ วา นามรปู  นัน้ นาม ไดแก เจตสิก ๓๕ ทปี่ ระกอบกบั โลกยี วิปากจิต ๓๒ รูป ไดแ ก ปฏิสนธกิ มั มชรปู ปวตั ตกิ มั มชรูป จติ ตชรปู ๒. ข. วิญญาณเปน ปจ จยั อปุ การะแกน ามในอรปู ภมู ิ และปญจโวการภมู ิ แสดงไวอ ยา งไร จงแสดงมาดู ? [P55-56] 53 ตอบ ข. วญิ ญาณเปนปจ จัยชว ยอุปการะแกนามในอรูปภูมิ คอื อรูปวปิ ากจติ ๔ เปนปจจยั ชว ยอุปการะแกเ จตสิก ๓๐ ท้ังในปฏิสนธกิ าล และปวตั ติกาล ในอรปู ภูมิ ๔ วิญญาณเปนปจ จัยชว ยอุปการะแกนามในปญจโวการภมู ิ คือ ทวปิ ญจวิญญาณจิต ๑๐ เปนปจจัย ชว ยอุปการะแกสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ในปวตั ติกาลเทา นั้น ในปญ จโวการภมู ิ ๒๖ ตามสมควร ๔. จงแสดงอาํ นาจปจ จยั ทเี่ ขากันไดใ นการชวยอปุ การะดงั ตอ ไปนี้ ? 54 ก. ปฏสิ นธิวิญญาณ เปนปจ จยั ชว ยอุปการะแกห ทยวตั ถุ (รปู ) ? [P57] 40(3ก), 50(7ก-๒), 54 ๓. ข. ปฏสิ นธวิ ิญญาณ เปน ปจ จัยชวยอุปการะแกห ทยวตั ถรุ ปู นั้นไดอ าํ นาจปจ จยั เทา ไร คืออะไรบาง ? [P57] 45, 58, 61(6ก/ค) (นาม->ปฏ.ิ กาล=สห=ญ๔+อญั ปา วิป+หา อนิ ) ปฏสิ นธวิ ิญญาณ->หทยวตั ถุ (นาม->รูป) ตอบ ก. ปฏสิ นธิวญิ ญาณเปนปจจยั ชวยอุปการะแกหทยวตั ถรุ ปู เห *ธิ สห อัญ *นิส *กํ ปา น.หา *อนิ ฌา ไดอ ํานาจปจ จัย ๙ คือ ๑. สหชาตปจ จัย ๒. อัญญมญั ญปจ จัย ๓. นิสสยปจจยั (สหชาตนิสสยปจจัย) มัค สัม *วิป *ถิ *อวิ ๔. วปิ ากปจจยั ๕. อาหารปจจยั (นามอาหารปจจยั ) ๖. อนิ ทรยิ ปจจัย (สหชาตนิ ทรยิ ปจจยั ) ๗. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (สหชาตวิปปยตุ ตปจ จยั ) ๘. อตั ถิปจจยั (สหชาตตั ถปิ จ จยั ) ๙. อวคิ ตปจจยั (สหชาตอวคิ ตปจจยั ) (ญ๔+อัญ ปา วปิ +หา อิน) ๔. ข. นาม คอื วริ ิยะ สติ ปญ ญา ท่ปี ระกอบกบั โลกียวบิ าก เปนปจ จัยชวยอปุ การะแกม นายตนะ ไดแ ก โลกยี วิบากทเี่ กดิ พรอ มกันกับตนน้ัน ไดอ าํ นาจปจจยั เทา ไร คอื อะไรบาง ? [P61(7)] 57(4ข/ค) ตอบ ข. ไดอาํ นาจปจ จัย ๙ คือ (นาม->นาม=สห=ญ๔+อัญ ปา สัม+อนิ มคั ) วริ ยิ ะ สติ ปญ ญา->โลกียวบิ าก เกดิ พรอ ม ๑. สหชาตปจจยั ๒. อัญญมัญญปจจยั ๓. สหชาตนิสสยปจ จยั ๔. วิปากปจจัย ๕. สหชาตนิ ทรยิ ปจ จัย ๖. มัคคปจจยั เห *ธิ สห อญั *นิส ๗. สมั ปยุตตปจจยั ๘. สหชาตอตั ถิปจจยั ๙. สหชาตอวิคตปจ จยั *กํ ปา น.หา *อิน ฌา มคั สมั *วิป *ถิ *อวิ ๔. จงแสดงอาํ นาจปจ จัยที่เขา กันได ในการชว ยอปุ การะดังตอ ไปนี้ ? ก. นามคอื เอกัคคตาทีป่ ระกอบกับโลกียวิบาก เปน ปจ จัยชวยอุปการะแกม นายตนะ ซ่ึงไดแ กโ ลกียวิบาก ที่เกดิ พรอมกันกบั ตน ? [P61(8)] 49, 58(4ข) เอกคั คตา->มนายตนะ (นาม->นาม) ตอบ ก. ไดอ ํานาจปจจยั ๑๐ คือ ๑. สหชาตปจ จยั ๒. อญั ญมญั ญปจ จยั เห *ธิ สห อัญ *นิส ๓. สหชาตนิสสยปจ จัย ๔. วปิ ากปจ จัย ๕. สหชาตนิ ทริยปจจยั *กํ ปา น.หา *อนิ ฌา ๖. ฌานปจ จยั ๗. มัคคปจ จยั ๘. สมั ปยุตตปจ จัย มคั สัม *วิป *ถิ *อวิ ๙. สหชาตัตถปิ จจัย ๑๐. สหชาตอวคิ ตปจจัย (ญ๔+อญั ปา สัม+อิน ฌา มคั ) ดาวนโหลดขอ มลู ตา งๆไดจ าก ขอความเพ่ิมเติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท 11 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๔. ข. นามคอื เจตสิกขนั ธ ๓ ท่ีประกอบกบั ปญจโวการวิบากเปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแกป ญจายตนะ ในปวัตตกิ าลแหงปญจโวการภูมิ ? [P61(10)] 43(4ข), 47(3ข), 48(4ค), 52(6ค), 55(4ก), 59(5ค), 61(4ค) ตอบ ข. นามคอื เจตสิกขันธ ๓ ทปี่ ระกอบกับปญ จโวการวบิ าก เปน ปจ จยั ชว ยอุปการะแกปญจายตนะ ในปวตั ตกิ าลแหงปญจโวการภมู ิน้นั ไดอ าํ นาจปจจยั ๔ คือ ๑. ปจฉาชาตปจ จยั ๒. ปจ ฉาชาตวิปปยุตตปจ จัย (นามล->รปู ก=ฉา๔= ฉา วปิ ถิ อ) ๓. ปจฉาชาตตั ถปิ จ จยั ๔. ปจ ฉาชาตอวคิ ตปจ จัย ๔. ค. รูป คือ หทยวัตถทุ ี่เกดิ กอ นและกําลงั ต้งั อยู เปน ปจ จยั ชว ยอุปการะแกมนายตนะซงึ่ ไดแก ปญ จโวการวิบาก ๑๘ (เวนทวิ ๑๐) ในปวัตตกิ าลแหง ปญจโวการภมู ิ ? [P62(12)] 49, 57(4ค/ค) ไดอ าํ นาจ ปจจยั เทา ไร คอื อะไรบา ง ? 61(6ข/ค) ตอบ ค. ไดอ ํานาจปจจัย ๕ คอื ๑. วัตถปุ ุเรชาตนสิ สยปจจัย ๒. วัตถปุ ุเรชาตปจ จยั (รูปก->นามล, ≠อินทรยี ) ๓. วตั ถปุ ุเรชาตวปิ ปยตุ ตปจ จัย ๔. วตั ถุปเุ รชาตัตถปิ จ จัย ๕. วตั ถปุ เุ รชาตอวิคตปจ จัย (ถุ=ถุนสิ ถุปุ อนิ ถุวปิ ถุถิ ถุอ) ๔. จงแสดงอาํ นาจปจ จัยท่เี ขา กันไดในการชวยอปุ การะดังตอไปน?ี้ 54 (วัตถุปเุ รชาตชาติ=รูปก->นามล) ข. รปู คือ จกั ขายตนะ ทเ่ี กิดกอ นและหลังตงั้ อยู เปน ปจจัยชว ยอุปการะแกม นายตนะ ซึง่ ไดแ ก จกั ขวุ ญิ ญาณจิต ๒ ในปวัตติกาล แหง ปญจโวการภมู ินั้น ? [P62(13)] 54, 56(4ข/ค) ๔. ข. รปู คอื ปญจายตนะ ทเี่ กดิ กอนและกําลงั ต้ังอยู เปน ปจ จยั ชว ยอุปการะแกม นายตนะ ซ่ึงไดแ กท วิปญจวิญญาณจิต ๑๐ ในปวตั ตกิ าลแหง ปญจโวการภูมิ ? [P62(13)] 53, 55(4ข), 60(5) ๔. ค. จักขายตนะ เปน ปจจยั ชวยอปุ าการะแกจ ักขสุ ัมผสั สะ ? [P62(13)] 45 ๓. ก. โสตายตนะ เปนปจจยั ชวยอปุ การะแกโ สตสมั ผสั สะ ? [P] 40(3ก), 50(7ก-๓), 58(4ค) (ถ๕ุ =6=ถุนสิ ถุปุ อนิ ถุวิป ถุถิ ถุอ) ตอบ ข./ค. ไดอาํ นาจปจจัย ๖ คอื ๑. วตั ถปุ ุเรชาตนิสสยปจจยั ๒. วตั ถปุ ุเรชาตปจจยั ๓. ปุเรชาตินทรยิ ปจ จยั ๔. วัตถุปุเรชาตวิปปยุตตปจ จัย ๕. อตั ถิปจจัย (วตั ถปุ เุ รชาตตั ถิปจจยั ) ๖. อวิคตปจจัย (วตั ถปุ เุ รชาตอวคิ ตปจ จัย) ๔. จงแสดงอาํ นาจปจ จยั ท่ีเขา กนั ไดในการชวยอุปการะดงั ตอ ไปน?้ี (หา๓=รปู หา หาถิ หาอ) ข. กมั มชโอชา เปนปจ จัยชวยอปุ การะแกปญ จายตนะ ? [P63(16)] 45 ตอบ ข. ไดอาํ นาจปจ จัย ๓ คอื ๑. รปู อาหารปจ จัย ๒. อัตถิปจ จัย (อาหารตั ถิปจจัย) ๓. อวคิ ตปจ จยั (อาหารอวิคตปจ จยั ) ๓. ก. จงจําแนกผสั สะ ๖ โดยภูมิ ? [P67] 48, 51(2ข) ข. จักขสุ ัมผสั สะจะเกิดข้นึ ไดต อ งอาศัยอายตนะกี่อยาง คืออะไรบาง ใหแ สดงองคธ รรมดว ย ? [P] 48 ๓. ข. ผัสสะ ๖ เม่ือจาํ แนกโดยภมู ิ ๓๐ (เวน อสญั ญสตั ตภมู )ิ นนั้ ในภูมิไหน ผสั สะเกดิ ข้นึ ไดเ ทา ไร คอื อะไรบา ง ? [P67] 57(3ข) ตอบ ก. จาํ แนกผัสสะ ๖ โดยภมู ิ / จําแนกได ดังนี้ ในกามภูมิ ๑๑ ผสั สะ ๖ ยอมเกิดขึ้นได ในรปู ภูมิ ๑๕ (เวน อสัญญสัตตภมู )ิ ผสั สะยอ มเกดิ ได ๓ คอื จักขุสัมผัสสะ โสตสัมผสั สะ มโนสมั ผัสสะ ในอรูปภมู ิ ๔ ผสั สะยอมเกดิ ได ๑ คือ มโนสมั ผสั สะ 57(3ข) สวนในอสญั ญสัตตภูมนิ น้ั ผสั สะทงั้ หมดยอ มเกิดไมได เพราะไมมอี ัชฌตั ตกิ ายตนะ ๖ เกิดในภูมนิ ้ี ข. จักขุสมั ผัสสะจะเกิดข้ึนไดต องอาศัยอายตนะ ๔ อยา ง คือ ๑. จักขายตนะ ไดแ ก จักขุปสาท ๓. มนายตนะ ไดแก จักขุวิญญาณ ๒. รปู ายตนะ ไดแก รปู ารมณ ๔. ธมั มายตนะ ไดแ ก สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ ๖ (เวน ผัสสะ) ดาวนโหลดขอ มูลตางๆไดจ าก ขอความเพ่มิ เติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 12 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน เพราะรูปารมณ (รูปายตนะ) มา, จกั ขปุ สาท (จกั ขายตนะ ตง้ั ดอี ย)ู จติ จึงไปอาศยั เกดิ เปน จักขวุ ิญญาณจิต (มนายตนะ) + ผสั สะ รบั กระทบ เพอื่ รับรสู ัททารมณนนั้ ๆ โดยมเี จตสิกเกดิ รว มดวย อีก ๖ ดวง คอื สพั .๖–ผสั สะ (ธมั มายตนะ) ๕. ข. โสตสมั ผสั สะจะเกดิ ข้นึ ไดต องอาศัยอายตนะกอี่ ยา ง คอื อะไรบา ง ใหแสดงองคธรรมดวย ? [P] ตอบ ข. ตอ งอาศัยอายตนะ ๔ อยา งคอื ๑. โสตายตนะ ไดแ ก โสตปสาท ๒. สัททายตนะ ไดแ ก สัททารมณ ๓. มนายตนะ ไดแ ก โสตวิญญาณ ๔. ธมั มายตนะ ไดแ ก สพั พจติ ตสาธารณเจตสกิ ๖ (เวน ผสั สะ) เพราะสัททารมณ (สัททายตนะ) มา, โสตปสาท (โสตายตนะ ต้งั ดอี ย)ู จิตจงึ ไปอาศัยเกดิ เปน โสตวิญญาณจิต (มนายตนะ) +ผัสสะ รบั กระทบ เพือ่ รับรสู ทั ทารมณน ัน้ ๆ โดยมีเจตสกิ เกิดรวมดว ย อกี ๖ ดวง คอื สพั .๖–ผัสสะ (ธัมมายตนะ) ๓. ใหแ สดงอาํ นาจปจจัย ทีเ่ ขา กันไดในการชว ยอุปการะดังตอไปน้ี ? 43(4), 47, 53 ก. ผสั สะทั้ง ๖ เปนปจ จยั ชว ยอุปการะแก เวทนาทงั้ ๖ ? [P72] 43(4), 47, 55(4ค) ข. จกั ขสุ มั ผัสสะ เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก จักขสุ มั ผสั สชาเวทนา ? [P72-ประยุกต] 48, 52(6ข), 59(5ข) ค. กายสมั ผสั สะ เปน ปจ จัยชว ยอปุ การะแก กายสัมผสั สชาเวทนา ? [P72-ประยกุ ต] 53, 60(5) ตอบ ก. /ข. /ค. (ลอกโจทยล งมา) ไดอํานาจปจ จยั ๘ คอื ...ผสั สะ..->...เวทนา.. (นาม->นาม) ๑. สหชาตปจ จัย ๒. อัญญมญั ญปจ จัย ๓. สหชาตนิสสยปจ จัย เห *ธิ สห อญั *นิส ๔. วิปากปจจัย ๕. นามอาหารปจจัย ๖. สมั ปยตุ ตปจจัย *กํ ปา น.หา *อนิ ฌา ๗. สหชาตตั ถปิ จจยั ๘. สหชาตอวคิ ตปจจัย (ญ๔+อัญ ปา สมั +หา) มัค สัม *วปิ *ถิ *อวิ ๒. ตณั หาทช่ี อื่ วาธมั มตัณหาน้ัน มงุ หมายเอาในขณะมคี วามยนิ ดพี อใจ หรือในขณะทนี่ กึ ถึงอะไร ? [P75] 43 ตอบ ตณั หาทช่ี ือ่ วา ธมั มตณั หานัน้ มงุ หมายเอาในขณะมีความยินดีพอใจ หรือในขณะนึกถงึ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทฏิ ฐิ เปน ตน ทเี่ ปนฝา ยอกุศล และนกึ ถึง ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา ฌาน อภญิ ญา เปนตน ทเ่ี ปน ฝายโลกยี กศุ ลและกรยิ า หรอื นกึ ถึง การเหน็ การไดยนิ การไดก ลน่ิ การรรู ส การถกู ตอง การนอนหลบั ที่ เปนฝา ยกามวบิ าก หรอื นกึ ถงึ ปสาทรปู สขุ มุ รปู และบญั ญตั ิตางๆ เหลา น้ี แลวมคี วามยนิ ดพี อใจเกิดขนึ้ เรียกวา ธัมมตัณหา ๔. จงแสดงอาํ นาจปจจัยทเี่ ขากันไดใ นการชว ยอปุ การะดังตอไปน?้ี 45 ง. เวทนา เปน ปจ จัยชวยอปุ การะแกต ัณหา ? [P80] 45 ตอบ ง. เวทนา เปนปจ จัยชว ยอปุ การะแกตัณหาไดอ ํานาจปจจัย ๑ คอื ปกตปู นสิ สยปจ จยั ๓. ถามีผกู ลาววา รปู ตณั หาน้ี เปน กามตัณหากไ็ ด เปน ภวตัณหาก็ได เปนวภิ วตณั หาก็ไดดงั น้ี ทา นจะคัดคา น หรือ เหน็ ดวยประการใด ใหแสดงมาตามความเปนจรงิ ? [P] 46 ตอบ ขาพเจาเห็นดว ยทกุ ประการ เพราะวา รปู ตัณหา กเ็ ปน กามตัณหาสว นหนงึ่ ในกามตณั หาท้ังหลาย หมายถึงวา กามตัณหา ก็ไดแ ก ความยินดตี ดิ ใจในรปู หรอื รปู ารมณ ทเ่ี กีย่ วกับกามคณุ อยา งหนึง่ ในกามคณุ ทัง้ ๕ แตไ มป ระกอบดวยสสั สสตทฏิ ฐิ และอุจเฉททิฏฐิ รูปตัณหาน้ีแหละ ก็เปน ภวตณั หาสว นหนง่ึ ในภวตณั หาทัง้ หมด หมายถึงวา ภวตัณหา ก็ไดแ ก ตัณหา ทเ่ี กิดพรอ มดว ย สสั สตทิฏฐิ โดยอาศัยรปู หรือรปู ารมณ กลาวคอื ผทู มี่ ีความเหน็ วา รูปหรอื รปู ารมณท ี่ตนกาํ ลงั ไดร บั อยนู ้ี ตงั้ อยเู ปน นจิ ไมเ ขาใจวามกี ารเกิดดบั รปู ตณั หานแ้ี หละ กเ็ ปน วิภวตณั หาสวนหนึ่ง ในวภิ วตัณหาท้งั หมด หมายถงึ วา วภิ วตณั หา กต็ ัณหาท่ี เกิดพรอมกนั กบั อุจเฉททฏิ ฐิ โดยอาศัยรปู หรือรปู ารมณ กลาวคอื ผูท ่ีมคี วามเห็นวา รปู หรือรปู ารมณ ซึง่ ไดแ ก สง่ิ ท่มี ชี วี ติ และไมมชี วี ติ ทง้ั หลายในโลกน้ี มตี ัวมตี นอยู และตวั ตนนไ้ี มส ามารถตง้ั อยไู ดต ลอด ยอ มสญู หายไป ดาวนโ หลดขอมลู ตา งๆไดจ าก ขอ ความเพ่ิมเติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 13 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน แลวมคี วามยนิ ดตี ดิ ใจในรปู ารมณน ัน้ ๓. จงแสดงลกั ขณาทจิ ตุกกะ (จงแสดงลกั ษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน) ของอวชิ ชา และตัณหา มาให ถกู ตอง ? [P35, 80] 49, 55(2ข) ตอบ แสดงลักขณาทิจตกุ ะ (แสดงลักษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน) ของตณั หา คอื ๑. เหตลุ กขฺ ณา มีการเปนเหตขุ องทุกขท ั้งปวง เปนลกั ษณะ ๒. อภินนทฺ นรสา มีความยนิ ดพี อใจในอารมณภมู ิและภพ เปน กจิ ๓. อตติ ตฺ ภาวปจฺจุปฏ านา มคี วามไมอ ม่ิ ในอารมณต า งๆ ของจติ หรอื บุคคล เปน อาการปรากฏ ในปญญาของบณั ฑิตทัง้ หลาย ๔. เวทนาปทฏ านา มเี วทนา เปน เหตุใกล ๔. จงแสดงอํานาจปจ จยั ทเ่ี ขา กันได ในการชว ยอุปการะดังตอไปน้ี ? [P111(1)] 49 ดับแลว ขา มวถิ ี ง. ตณั หาที่เกดิ กอน ๆ เปนปจ จัยอุปการะแกกามุปาทานทเ่ี กดิ หลัง ๆ ? [P111(1)] 49 ท่ีเกิด ๆ ไดห อํานาจปจจัย กป่ี จจัย ? [P111(1)] 61 ตอบ ไดอาํ นาจปจจยั ๑ คอื ปกตูปนสิ สยปจ จัย ๕. ข. ภวะ แบง ออกเปน กอี่ ยา งคอื อะไรบาง ใหแ สดงความหมายและองคธรรมดว ย ? [P111] 58 ๔. ภวะมกี ี่อยา ง คอื อะไรบาง ใหแ สดงท้ังธมั มาธิษฐานและปคุ คลาธษิ ฐาน ? [P111-112] 46 ตอบ (ข.) ภวะมีอยู ๒ อยาง คอื ๑. กัมมภวะ การปรุงแตง ท่ีทําใหผ ลเกิดขน้ึ วา โดยธมั มาธิษฐาน ไดแ ก อกุศลเจตนา ๑๒ โลกยี กุศลเจตนา ๑๗ รวมเจตนา ๒๙ ๒. อปุ ปต ตภิ วะ ผลทเ่ี กิดขึน้ ในภพนนั้ ๆ โดยอาศยั กมั มภวะ วา โดยธมั มาธษิ ฐาน ไดแ ก โลกียวปิ ากจติ ๓๒ เจตสกิ ๓๕ กัมมชรปู ๒๐ (46) เม่อื วา โดยปุคคลาธิษฐานแลว กมั มภวะ ไดแ ก การกระทาํ ดวย กาย วาจา ใจ ในสิ่งที่ดีและไมดี อปุ ปตติภวะ ของบุคคลทวั่ ไป (ยกเวน พระอรหันต) ไดแ ก สัตวทง้ั หลายทอ่ี ยูใน ๓๑ ภูมิ พรอมทั้งการเหน็ การไดย นิ การไดก ลนิ่ การรรู ส การสัมผัส การนอนหลบั ๓. อปุ ปต ตภิ วะ ๙ เมอ่ื ยอ ลงแลว ไดเทาไร คอื อะไรบา ง ? และกมั มภวะกับอุปปต ตภิ วะทั้ง ๒ น้ี เปน เหตเุ ปน ผลซงึ่ กันและกนั ไดนน้ั เปนไดอ ยางไร ? ใหอ ธิบายพอเขา ใจ ? [P115] 43 ตอบ อปุ ปต ติภวะ ๙ เมอ่ื ยอ ลงแลวได ๓ คือ ๑. กามภวะ ๒. รูปภวะ ๓. อรปู ภวะ และกมั มภวะกบั อุปปตตภิ วะทัง้ ๒ น้ี เปน เหตเุ ปนผลซงึ่ กันและกันไดน นั้ กลาวคอื ถา กลา วถงึ กาลที่ เปน อนาคตแลว กมั มภวะเปนเหตุ อปุ ปต ตภิ วะเปน ผล หมายความวา สัตวท งั้ หลายที่เปน อปุ ปตตภิ วะนั้น จะ ปรากฏข้ึนไดก็เพราะอาศัยการกระทําตางๆ ดวยกาย วาจา ใจ ซง่ึ เปน อกศุ ลกมั มภวะ และโลกียกศุ ลกัมมภวะ เปนเหตุ นจี้ ัดเปนชนกเหตุ ถากลา วถึงกาลทเี่ ปน ปจจบุ นั แลว อปุ ปตตภิ วะเปนเหตุ กัมมภวะเปนผล เพราะการงานทงั้ หลายทเ่ี กี่ยว ดว ยกาย วาจา ใจ (กัมมภวะ) จะปรากฏขนึ้ ได กต็ อ งอาศัยสตั วท ง้ั หลาย ซงึ่ เปนอปุ ปตตภิ วะเปน เหตุ ๓. จงแสดงลกั ขณาทิจตุกกะ ของอวิชชา และ กัมมภวะ ? [P35, 121] 45(3ก) ตอบ แสดงลกั ขณาทจิ ตกุ ะ (แสดงลกั ษณะ รส ปจจปุ ฏฐาน ปทัฏฐาน) ของกัมมภวะ ดงั น้ี ๑. กมฺมลกฺขโณ มคี วามเปน กรรม เปนลักษณะ ๒. ภาวนรโส มีการทาํ ใหเกดิ เปน กิจ (กจิ จรส) ดาวนโ หลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอ ความเพิ่มเติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 14 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๓. กสุ ลากุสลปจจฺ ปุ ฏ าโน มีความเปนกุศลอกศุ ล เปนอาการปรากฏ ในปญ ญาของบณั ฑิตท้งั หลาย ๔. อุปาทานปทฏ าโน มีอุปาทาน เปนเหตใุ กล ๕. ข. กามุปาทานเปนปจจยั ชว ยอปุ การะแก กมั มภวะที่ประกอบกับตนนั้น ไดอาํ นาจปจ จัยเทา ไร คืออะไร ? [P122(1)] 46 โล ทิ->นาม ประกอบกบั ตน (สห) ตอบ ข. กามุปาทาน เปน ปจจยั ชว ยอปุ การะแก กัมมภวะ เห *ธิ สห อญั *นิส ทป่ี ระกอบกบั ตนนนั้ ไดอ าํ นาจปจจยั ๗ ปจจัย คอื *กํ ปา น.หา *อิน ฌา ๑. เหตปุ จจัย ๒. สหชาตปจ จัย ๓. อัญญมญั ญปจจัย มคั สมั *วิป *ถิ *อวิ ๔. นิสสยปจ จัย (สหชาตนิสสยปจจัย) ๕. สมั ปยุตตปจ จัย ๖. อตั ถปิ จจยั (สหชาตตั ถปิ จ จัย) ๗. อวคิ ตปจจยั (สหชาตอวคิ ตปจ จัย) (สห.=ญ๔+อญั สมั +เห) ๔. จงแสดงปจ จัยสงเคราะหด งั ตอไปนี้ / จงแสดงอาํ นาจปจจยั ท่เี ขา กันได ในการชว ยอปุ การะดังตอไปนี้ ? ก. อุปาทานท้ัง ๔ เปน ปจ จัยชวยอปุ การะแกก ัมมภวะ ทเ่ี กิดขึ้นตดิ ตอกันกับตน (นํ๕+นํ สนํ รู เส นา น ต) โดยไมมีระหวา งคั่น ? [P122(3)] 53, 56(4ค/ค), 58, 60(5), 61(4ข) ข. อปุ าทาน ๔ อยางใดอยา งหน่งึ เปนอารมณอยา งเอาใจใสเปน พเิ ศษ (อา ธิ ณู) เปนปจจยั ชว ยอปุ การะแกก ุศลอกุศลกัมมภวะ ? [P123(6)] 43(4ค), 47(3ค), 49 ง. ตัณหาท่เี กดิ กอ น ๆ เปน ปจจยั อุปการะแกก ามปุ าทานท่ีเกิดหลัง ๆ ? [P111(1)] 49 (ไมม ีอะไร ไดปกตู) ตอบ ก. ไดอาํ นาจปจจยั ๖ คือ ๑) อนนั ตรปจ จยั ๒) สมนนั ตรปจ จยั ๓) อนนั ตรปู นสิ สยปจ จยั ๔) อาเสวนปจจยั ๕) นตั ถปิ จจยั ๖) วคิ ตปจจัย ข. อุปาทาน ๔ อยางใดอยางหนง่ึ เปนปจ จัยชว ยอปุ การะแกกุศลอกศุ ลกัมมภวะนั้น ไดอาํ นาจปจ จยั ๓ คือ ๑. อารมั มณปจจยั ๒. อารัมมณาธปิ ติปจจยั ๓. อารมั มณูปนิสสยปจ จัย ง. ไดอ าํ นาจปจจัย ๑ คือ ปกตูปนิสสยปจ จยั ๔. ชาติ ในบท ภวปจจฺ ยาชาตนิ ้ัน มุง หมายอะไร? เมื่อวา โดยกําเนดิ และวา โดยขนั ธแลว มีเทาไรคอื อะไรบาง ใหแ สดงความหมายดว ย และคําวาชาตนิ ค้ี ือการเกดิ ของสตั วในท่ีไหนใหอ ธบิ าย ? [P125] 39(5), 44 ตอบ ชาตใิ นบทภวปจ จยาชาตินี้ มงุ หมายเอาปฏิสนธชิ าตเิ ทานนั้ เมื่อวา โดยกําเนิดมี ๔ คือ ๑. ชลาพุชชาติ = การเกดิ ข้นึ ในมดลูก ๓. สังเสทชชาติ = การเกดิ ขึน้ ในที่ทม่ี ียาง ๒. อณั ฑชชาติ = การเกดิ ขึ้นในฟอง ๔. โอปปาตกิ ชาติ = การเกิดผดุ โตขึ้นทันที วาโดยขนั ธมี ๓ คอื ๑. ปญ จโวการชาติ = การเกดิ ข้นึ ของขันธ ๕ ๒. จตโุ วการชาติ = การเกดิ ขึ้นของนามขนั ธ ๔ ๓. เอกโวการชาติ = การเกดิ ข้นึ ของรปู ขันธอยา งเดยี ว และคาํ วา ชาติ นี้คอื การเกิดขึ้นของสตั วท ง้ั หลายใน ๓๑ ภมู ิ โดยประการตา งๆ มพี วกอบายสตั ว มนษุ ย เทวดา พรหม เหลา นี้ กโ็ ดยเนอ่ื งมาจากกัมมภวะ คอื การกระทาํ ดว ยกายวาจาใจ ท่ีเปน กศุ ลบางอกศุ ลบางนนั้ เอง ฉะนน้ั จงึ เหน็ ไดว า สัตวท ัง้ หลายในโลกนี้ ไมมีใครเปน ผสู ราง นอกจาก กุศลกรรม อกศุ ลกรรม เทา นนั้ ๔. ง. กมั มภวะ เปน ปจ จัยชว ยอุปการะแกช าติ ? [P126] 48, 52(6ง), 58(4ง), 59(5ง), 61(6ค) ตอบ ง. ไดอ าํ นาจปจจยั ๒ คือ ๑. ปกตปู นิสสยปจจัย ๒. นานกั ขณิกกมั มปจ จยั ๓. ก. จงแสดงลักขณาทจิ ตกุ ะของอวิชชา และอปุ ายาสะ มาใหครบ ? [P35, 144] 44, 50, 58 ๕. ข. อุปายาสะ แปลวา อยา งไร และมีลกั ขณาทจิ ตุกกะวาอยางไร ? [P144] 57(5ข) ตอบ 57(5ข) ข. อุปายาสะ แปลวา ความลาํ บากใจอยา งหนกั หรอื ความคับแคน ใจ ดาวนโ หลดขอ มูลตางๆไดจ าก ขอความเพิ่มเติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 15 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน แสดงลกั ขณาทิจตกุ ะ (แสดงลกั ษณะ รส ปจ จปุ ฏฐาน ปทฏั ฐาน) ของอุปายาสะ ดงั น้ี ๑. จติ ฺตปริทหนลกฺขโณ มีการเผาจิตอยา งหนัก เปน ลักษณะ ๒. นติ ถฺ ุนนรโส มกี ารทอดถอนใจ เปนกจิ ๓. วิสาทปจฺจปุ ฏ าโน มีกายและใจขาดกําลงั ลง เปนอาการปรากฏในปญ ญาของบัณฑิตทงั้ หลาย ๔. หทยวตถฺ ปุ ทฏ าโน มีหทัยวตั ถุ เปนเหตุใกล ๕. ก. พระสัมมาสมั พทุ ธเจาทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทไวในสงั ยุตตนกิ ายมกี นี่ ยั คืออะไรบา งใหแ สดงพรอ มดวยความหมาย ? [P149] 58 ตอบ ก. การแสดงปฏจิ จสมุปบาทของพระสัมมาสมั พุทธเจา ในสงั ยตุ ตนกิ ายนน้ั มีประเภทแหง การแสดงเปน ๔ นยั คือ ๑. แสดงจากตนไปถงึ ปลาย คือ ตง้ั แตอวชิ ชาไปตามลาํ ดับจนถงึ ชรามรณะเปนที่สดุ เรียกวา อาทปิ รโิ ยสานอนุโลมเทศนา ๒. แสดงจากกลางไปถึงปลาย คือ ตงั้ แตเ วทนาไปตามลาํ ดบั จนถงึ ชรามรณะเปนทีส่ ดุ เรียกวา มชั ฌปรโิ ยสานอนโุ ลมเทศนา ๓. แสดงจากปลายไปถงึ ตน คือ ตง้ั แตชรามรณะถอยหลงั ไปตามลาํ ดบั จนถงึ อวชิ ชาเปนทส่ี ดุ เรยี กวา ปรโิ ยสานอาทิปฏิโลมเทศนา ๔. แสดงจากกลางไปถึงตน คือ ตง้ั แตต ณั หาถอยหลงั ไปตามลาํ ดบั จนถงึ อวิชชาเปนที่สดุ เรยี กวา มชั ฌอาทปิ ฏิโลมเทศนา ๔. ก. ปฏจิ จสมุปบาท เมือ่ วา โดยภวจักรแลว มีก่ีอยา งคอื อะไรบา ง ใหแ สดงถงึ ความเปน ไปแหง องคป ฏิจจสมุปบาทในภวจกั รเหลานั้นมาดว ย ? [P160] 50 ๒. ปฏิจจสมุปบาทธรรมเมื่อแบงออกเปนภวจกั รแลว มี ๒ คอื ปุพพันตภวจกั ร และอปรนั ตภวจักร ทานแสดงรายละเอยี ดไววา อยางไร ? [P160-161] 57 ตอบ (50) ก. มี ๒ อยาง คือ ต้ังแตอ ดตี เหตเุ ปนตน จนถึงปจจุบนั ผลเปนภวจกั รอันหน่ึง ชื่อวา ปุพพันตภวจักร เปนภวจักรแรก ตง้ั แตปจจบุ ันเหตเุ ปน ตน จนถงึ อนาคตผล เปน ภวจกั รอนั หนงึ่ ชอ่ื วา อปรนั ตภวจกั ร เปน ภวจักรหลงั (50, 57) ในปุพพนั ตภวจักร มีองคป ฏิจจสมุปบาท ๗ องค คอื อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ในองคท ัง้ ๗ เหลา นี้ อวชิ ชาเปน ตนเหตุ หรอื เปน ทต่ี ัง้ นาํ ใหถ ึงเวทนา ในอปรนั ตภวจกั ร มีองค ๕ คอื ตัณหา อปุ าทาน กมั มภวะ ชาติ ชรา มรณะ ในองค ๕ เหลา นี้ ตณั หาเปน ตน เหตุ หรือ เปน ท่ตี งั้ นําใหถงึ ชรามรณะ (57) ในปพุ พันตภวจักรที่มีองค ๗ นน้ั มงุ หมายเอาเฉพาะองคทป่ี รากฏออกหนา แตใ นขณะทีอ่ งค ๗ หมนุ เวยี น อยูนัน้ ตณั หา อปุ าทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ องคท ัง้ ๕ เหลา นี้ (ที่เปน อปรันตภวจักร) ก็หมุนตามไปดว ย ในอปรันตภวจกั รที่มีองค ๕ นนั้ มุง หมายเอาแตเ ฉพาะองคทปี่ รากฏออกหนา เชนเดียวกนั แตใ นขณะ ทอี่ งค ๕ หมนุ เวียนอยนู นั้ อวชิ ชา สังขาร วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา องคท ั้ง ๗ เหลา น้ี (ทเ่ี ปน ปพุ พนั ตภวจักร) ก็หมุนตามไปดว ย ๔. จงอธบิ ายในเหตทุ ่ที ําใหวัฏฏะทั้ง ๓ ขาดลง ? [P165] 43(5), 47 ตอบ ตามธรรมดาตนไมย อ มงอกงามเจรญิ ไดกโ็ ดยอาศยั รากแกว ถา รากแกวถกู ทําลายเสยี แลว ตน ไมน ้ันก็จะ เกิดอาการอับเฉาลงทันที และผลสุดทา ยกต็ าย ขอ นีฉ้ ันใด รปู นาม คอื สตั วท ้งั หลายทเ่ี จริญอยใู นสงั สารวฏั โดย ไมม ที ่ีสนิ้ สุดนนั้ ก็เพราะอาํ นาจแหงอวชิ ชาและตณั หา เมอื่ ใดอวิชชาและตัณหาทง้ั ๒ นีถ้ ูกทาํ ลายลงดว ยอาํ นาจ แหงอรหตั ตมรรคแลว ความเจรญิ ของรปู นาม อนั ไดแ ก การเวยี นวา ยของสตั วทง้ั หลายนัน้ กเ็ ปน อันส้นิ สดุ ลง ดาวนโหลดขอมลู ตา งๆไดจ าก ขอความเพม่ิ เติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 16 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ดงั นน้ั พระอนุรุทธาจารย จงึ แสดงวา “เตสเมว จ มูลานํ นโิ รเธน นริ ชุ ฌฺ ต”ิ ซ่ึงแปลวา เมอ่ื วัฏฏมูลทง้ั ๒ นนั้ ดบั สน้ิ ลง ไมม ีเหลอื ดว ยอาํ นาจแหง อรหัตมรรคแลว การหมนุ เวยี นแหงปฏจิ จสมปุ บาท คอื วฏั ฏะทงั้ ๓ กย็ อ มดบั ลงทนั ที (ฉันนน้ั ) ๒. ข. จงจาํ แนกองคป ฏิจจสมุปปาทโดยสจั จะ (ตามอภิธรรมภาชนียนยั ) ? [P172] 50 ตอบ ข. จงจําแนกองคปฏิจจสมุปปาทโดยสจั จะดงั น้ี อวชิ ชา สงั ขาร จดั เปน สมทุ ยสจั จะ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา จดั เปน ทกุ ขสจั จะ ตัณหา อปุ ทาน กมั มภวะ จัดเปน สมทุ ยสจั จะ อปุ ปต ติภวะ ชาติ ชรา มรณะ จัดเปน ทกุ ขสจั จะ ๕. ก. การแสดงปฏจิ จสมปุ บาทธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา มีอยู ๒ นยั นน้ั คืออะไรบา ง ตางกนั อยางไร ? [P180] 53 ตอบ ก. การแสดงปฏจิ จสมปุ บาทธรรมของพระสมั มาสัมพุทธเจามีอยู ๒ นัย คือ สตุ ตนั ตภาชนียนัย และ อภธิ รรมภาชนยี นัย การแสดงโดยสุตตนั ตภาชนยี นัย ไดแ สดงถึงความเปนไปแหง ปฏิจจสมปุ บาทในจติ หลายๆ ดวง ชื่อวา “นานาจติ ตกั ขณกิ ปฏจิ จสมปุ บาท” สว นการแสดงโดยอภิธรรมภาชนียนัย ไดแสดงถงึ ความ เปนไปแหง ปฏจิ จสมุปบาท ในจติ ดวงหนงึ่ ๆ ช่อื วา “เอกจติ ตกั ขณกิ ปฏจิ จสมปุ บาท” ๕. ก. การแสดงปฏจิ จสมุปบาทโดยสตุ ตนั ตภาชนียนัยและอภิธรรมภาชนียนัยนน้ั ตา งกันอยางไร ? 58(6ก) และในอภิธรรมภาชนียนยั นั้น แบง การแสดงออกเปน กพ่ี วก คอื อะไรบา ง ? [P180] 44, 47, 51(5ก), 52(5ก) ๖. ข. อภิธัมมภาชนยี นัยในจติ ๘๙ เจตสกิ ๕๒ แบง เปน กพ่ี วกคอื อะไรบาง ? [P180] 58 ตอบ ก. การแสดงโดยสตุ ตนั ตภาชนียนยั ไดแ สดงถงึ ...... (44, 47, 51, 52) ในอภิธรรมภาชนียนยั แบงการแสดงออกเปน ๓ พวก คือ [58(ข)] อภิธรรมภาชนยี นัย ในจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ แบงการแสดงออกเปน ๓ พวก คอื ๑. อกุศลบท ๒. กศุ ลบท ๓. อพยากตบท ๖. ข. การแสดงความเปน ไปแหง ปฏิจจสมุปบาทในจติ ดวงหนง่ึ ๆ มีชอ่ื วา อะไร มีการแสดงไดก ่ีบทคอื อะไร บาง และในกศุ ลบทท้ังหมด แสดงองคป ฏิจจสมุปบาทไดก่อี งค คืออะไรบาง ? (ใหแ สดงเฉพาะองค) ? [P183] 53 ตอบ ข. การแสดงความเปน ไปแหง ปฏิจจสมุปบาทในจติ ดวงหนง่ึ ๆ มีชือ่ วา “เอกจติ ตกั ขณกิ ปฏจิ จสมปุ บาท” มีการแสดง ๓ บทคือ อกศุ ลบท กศุ ลบท อพั ยากตบท และในกศุ ลบททงั้ หมดมีการแสดงองคปฏิจจได ๑๒ องค ดงั น้ี ๑. กุศลมูล ๒. สงั ขาร ๓. วญิ ญาณ ๔. นาม ๕. ฉัฏฐายตนะ ๖. ผสั สะ ๗. เวทนา ๘. ปสาทะ ๙. อธิโมกข ๑๐. ภวะ ๑๑. ชาติ ๑๒. ชรา มรณะ ๕. ก. จงแปลปฏจิ จสมุปบาทโดยอภธิ รรมภาชนยี นยั ในจิตตุปบาททงั้ หมด ดงั นี้ ? วิฺ าณปจจฺ ยา นามํ, นามปจจฺ ยา ฉฎายตน,ํ ฉฎายตนปจจฺ ยา ผสฺโส, ผสสฺ ปจจฺ ยา เวทนา ? 57 ตอบ ก. แปลดงั นี้ เพราะจิต 89 เปน เหตุ เจตสกิ ขันธ 3 ที่ประกอบกับจิต 89 จงึ เกิด เพราะเจตสิกขันธ 3 ท่ปี ระกอบกบั จติ 89 เปน เหตุ มนายตนะ คือ จติ 89 จึงเกิดข้ึน เพราะมนายตนะคือจิต 89 เปน เหตุ ผสั สะ ท่ปี ระกอบกับจิต 89 จึงเกิดขนึ้ เพราะผสั สะทป่ี ระกอบกับจติ 89 เปน เหตุ เวทนา ทีป่ ระกอบกับจติ 89 จงึ เกิดขึ้น ๕. ข. ในการทอ่ี ภธิ รรมภาชนยี นยั พระพทุ ธองคไ มทรงแสดง โสก ปรเิ ทวะ เปน ตน ซง่ึ เปนผลของชาตินน้ั เพราะเหตุ ? [P182] 57 ดาวนโหลดขอ มูลตา งๆไดจาก ขอความเพมิ่ เติมที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ที่แปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 17 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ตอบ ข. ในการทอี่ ภธิ รรมภาชนยี นัย พระพุทธองคไ มท รงแสดง โสก ปรเิ ทวะ เปน ตนซึง่ เปนผลของชาติน้นั เพราะในจติ ตกั ขณะดวงหนง่ึ ๆ นนั้ โสกะ ปรเิ ทวะ เปนตน เหลา นี้ ยอมเกดิ ขน้ึ ไมไ ด และอกี ประการหน่งึ โสกะ ปรเิ ทวะ เปน ตน เหลา น้ี กไ็ มไ ดเ กิดในภูมทิ วั่ ไป เชน ในรูปภูมิ อรูปภูมิ ดว ยเหตนุ ี้ พระพทุ ธองคจึงไมท รงแสดง โสกะ ปริเทวะ เปน ตนใหเ ปนผลของชาติ ปฏิจสมปุ บาท อวิชชา สังขาร วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ภวะ ชาติ ชรามรณะ องค องคธรรม อวชิ ชา๘ ปุญ อ อาเจต วิญโลกวี ิ๓๒ น-รเจ กํรูป สฬาอชั ๖ ๖จัก-ผสั สะ ๖จัก-เวทนา ๖รูป-หา-๑๐๘ ๔กามฯุ กัม-อปุ โลวิ เจ กํ ชรา-อปุ ายาส๗ ๑๒ อกศุ ล อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามเจ ฉัฏฐายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๒ ท.ิ สมั .๔ตปุ อวิชชา อปญุ สัง.ทิสมั วญิ ทิสมั นามเจ ฉัฏฐายตนะ ผัสสะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๒ ท.ิ วิป.๔ตุป อวชิ ชา อปุญสงั .ทสิ มั วิญทิวปิ นามเจ ฉฏั ฐายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อธโิ มกข ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๒ วิ.ส.ํ ตปุ อวิชชา อปญุ สัง.ว.ิ สํ วิญว.ิ สํ นามเจ ฉัฏฐายตนะ ผสั สะ เวทนา วิจิกจิ ฉา - ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๑ อุท.สํ.ตปุ อวิชชา อปุญสงั .ว.ิ สํ วญิ ว.ิ สํ นามเจ ฉฏั ฐายตนะ ผัสสะ เวทนา อุทธัจจะ อธิโมกข ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๒ กุศล กศุ ลมูล๓,๒ สังขาร วิญญาณ นามเจ ฉัฏฐายตนะ ผัสสะ เวทนา ปสาทะ อธโิ มกข ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๒ ทว๑ิ ๐สพั ๗ - สังขาร วิญญาณ นามเจ ฉฏั ฐายตนะ ผสั สะ เวทนา - - ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๙ อเห๘-ทวิ๑๐ สงั ขาร วิญญาณ นามเจ ฉฏั ฐายตนะ ผสั สะ เวทนา อธิโมกข ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๐ สว๒ิ ๑ สก๑ิ ๗ - สังขาร วิญญาณ นามเจ ฉัฏฐายตนะ ผัสสะ เวทนา ปสาทะ อธโิ มกข ภวะ ชาติ ชรามรณะ ๑๑ ๕. ก.จงแสดงถงึ ความเปนไปแหง ปฏิจจสมุปบาทเฉพาะภาษาไทย ใน ทฏิ ฐคิ ตสัมปยตุ ตจิต เฉพาะคทู ี่ ๑ และคสู ุดทาย พรอมท้ังบทสุดทายมาดู ? [P181-182] 49, 54(5ก) ตอบ ก. คูท่ี ๑ เพราะอวิชชาเปน เหตุ อปญุ ญาภสิ งั ขาร คือ ทฏิ ฐคิ ตสมั ปยุตตอกศุ ลเจตนา ทเี่ ปน ไปพรอ มดว ยอวชิ ชา จงึ เกดิ ขน้ึ , คูส ุดทา ย เพราะนามชาติ คอื อาการท่เี กดิ ขน้ึ ของทฏิ ฐคิ ตสมั ปยตุ ตจติ ตุปบาท เปน เหตุ นามชรา นามมรณะ คอื ขณะตั้งและขณะดบั ของทิฏฐคิ ตสมั ปยุตตจิตตปุ บาท จงึ เกิดขน้ึ , บทสดุ ทา ย ความเกดิ ขนึ้ แหงกองทกุ ขแทๆ ท้งั ปวงน้ี เพราะอาศยั ปจ จัยตางๆ มีอวชิ ชาเปน ตน ดงั ที่ไดก ลาวมาแลว นี้ ๖. จงแสดงความเปน ไปของปฏจิ จสมุปบาทในทฏิ ฐคิ ตวิปปยุตตจติ ๔ เจตสิก ๒๑ เฉพาะภาษาไทย ? (เวน ๓ องค คือ ฉฏั ฐายตนะ ผสั สะ เวทนา) ? [P] 57 ตอบ เพราะอวิชชาเปนเหตุ อปญุ ญาภสิ งั ขาร คอื ทฏิ ฐคิ ตวปิ ปยตุ ตอกศุ ลเจตนา ทเ่ี ปน ไปพรอมดว ยอวิชชานน้ั จงึ เกิดขนึ้ เพราะอปญุ ญาภิสงั ขาร คอื ทฏิ ฐคิ ตวิปปยตุ ตอกุศลเจตนาเปนเหตุ ทิฏฐคิ ตวปิ ปยตุ ตจติ จงึ เกิดขึน้ เพราะทฏิ ฐคิ ตวปิ ปยตุ ตจติ เปน เหตุ เจตสกิ ขนั ธ ๓ ท่ปี ระกอบกบั ทิฏฐคิ ตวปิ ปยุตตจติ จงึ เกิดขนึ้ เพราะตัณหา ท่ปี ระกอบกบั ทิฏฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ เปนเหตุ อธิโมกข ที่ประกอบกับทิฏฐคิ ตวปิ ปยตุ ตจติ จงึ เกดิ ขน้ึ เพราะอธิโมกข ท่ปี ระกอบกบั ทิฏฐิคตวปิ ปยุตตจติ เปน เหตุ ภวะ คือ ทิฏฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ ตปุ บาท (เวนอธโิ มกข) จึงเกิดขน้ึ เพราะภวะ คอื ทิฏฐคิ ตวิปปยตุ ตจติ ตปุ บาท (เวนอธิโมกข) เปนเหตุ นามชาติ คอื อาการท่เี กดิ ขึน้ ของทิฏฐิคตวปิ ปยตุ ตจติ จงึ เกดิ ขน้ึ เพราะนามชาติ คอื อาการทเี่ กิดขน้ึ ของทิฏฐคิ ตวปิ ปยุตตจติ ตปุ บาทเปนเหตุ นามชรา นามมรณะ คือ ขณะตง้ั และขณะดบั ของทิฏฐคิ ตวปิ ปยตุ ตจติ ตปุ บาท จงึ เกดิ ขน้ึ ความเกดิ ขนึ้ แหงกองทุกขแ ทๆ ท้งั ปวงนี้ เพราะอาศยั ปจ จัยตางๆ มอี วิชชา เปน ตน ดังท่ีไดก ลาวมาแลว นี้ ๖. ค. ในวิจิกจิ ฉาสมั ปยุตตจิตตปุ บาทและในอรปู าวจรกศุ ลจติ ตปุ บาท ทงั้ สองบทนี้ ๑๑ ธ.ค. ๖๑ มีองคป ฏิจจสมปุ บาทก่ีองค คืออะไรบา ง ? [P18..] ดาวนโหลดขอ มูลตางๆไดจาก ขอ ความเพ่ิมเติมที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว)

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 18 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ตอบ ค. ในวจิ ิกจิ ฉาสมั ปยุตตจิตตปุ บาท มอี งคป ฏิจจสมุปบาท ๑๑ คอื ๑. อวิชชา ๒. สงั ขาร ๓. วญิ ญาณ ๔. นาม ๕. ฉฏั ฐายตนะ ๖. ผัสสะ ๗. เวทนา ๘. วิจกิ ิจฉา ๙. ภวะ ๑๐. ชาติ ๑๑. ชรา มรณะ อรปู าวจรกศุ ลจติ ตปุ บาท มีองคป ฏิจจสมปุ บาท ๑๒ คอื ๑. กุศลมลู ๒. สังขาร ๓. วิญญาณ ๔. นาม ๕. ฉัฏฐายตนะ ๖. ผสั สะ ๗. เวทนา ๘. ปสาทะ ๙. อธิโมกข ๑๐. ภวะ ๑๑. ชาติ ๑๒. ชรา มรณะ ๖. ก. จงแสดงถงึ ความเปน ไปแหง ปฏจิ จสมปุ บาท ในอภธิ รรมภาชนียนยั เฉพาะภาษาไทยในมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต ดงั พระบาลีดังน้ี ? [P181-182] 53 “ภวปจจฺ ยา ชาต,ิ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ, เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทกุ ขฺ กฺขนธฺ สสฺ สมุทโย โหติ ฯ” ตอบ ก. แสดงความเปน ไปแหงปฏิจจสมุปบาท ในมหากศุ ลญาณสมั ปยตุ ตจิต ๔ ดงั น้ี เพราะ ภวะ คือ มหากศุ ลญาณสมั ปยตุ จติ ตปุ บาท (เวนอธโิ มกข) เปนเหตุ นามชาติ คืออาการเกิดขนึ้ ของมหากุศลญาณสมั ปยตุ จติ ตุปบาท จึงเกิดขนึ้ เพราะ นามชาติ คือ อาการเกดิ ข้ึนของมหากศุ ลญาณสมั ปยุตจติ ตปุ บาท เปนเหตุ นามชรา นามมรณะ คือขณะต้งั และขณะดบั ของมหากุศลญาณสมั ปยตุ จิตตปุ บาท จงึ เกดิ ขนึ้ ความเกดิ ขน้ึ แหง กองทุกขแ ทๆ ทัง้ ปวงน้ี เพราะอาศยั ปจ จยั ตา งๆ มีกศุ ลมูลเปนตนดงั ทีไ่ ดก ลา วมาแลว นี้ ๕. ข. ในมหากศุ ลญาณสมั ปยตุ ตจิตตปุ บาท ๔ นน้ั ความเปน ไปขององคปฏจิ จสมปุ บาท มจี าํ นวนเทา ไร คืออะไรบาง (ใหแ สดงเฉพาะองค) ? [P18..] 49, 50(4ก), 54(5ก) ตอบ ข. ในมหากศุ ลญาณสัมปยตุ ตจิตตปุ บาท ๔ นน้ั ความเปน ไปขององคป ฏจิ จสมปุ บาท มีจาํ นวน ๑๒ คอื ๑. กุศลมูล ๓ ๒. สงั ขาร ๓. วญิ ญาณ ๔. นาม ๕. ฉัฏฐายตนะ ๖. ผสั สะ ๗. เวทนา ๘. ปสาทะ ๙. อธโิ มกข ๑๐. ภวะ ๑๑. ชาติ ๑๒. ชรามรณะ ๕. ก. จงแสดงความเปนไปของปฏิจจสมุปบาทในโลกตุ ตรกศุ ลจติ มา ๓ คู คือคูที่ ๑ คูท ่ี ๒ และคูสดุ ทา ย พรอ มดวยบทสดุ ทาย ทั้งท่ีเปน บาลีและคาํ แปล ? [P183] 38(4ก), 45, 48(6ก), 51(5ข), 59(6), 60(6ข) ตอบ ก. แสดงเปน บาลี ดงั นี้ (ความเปน ไปของปฏจิ จสมุปบาทในโลกตุ ตรกศุ ลจิต ๓ คู คือ คูท่ี ๑ คูท่ี ๒ และ คูสดุ ทา ย พรอ มดวยบทสุดทา ย คือ ) กสุ ลมลู ปจฺจยา สงขฺ าโร, สงขฺ ารปจจฺ ยา วิฺ านํ ฯลฯ ชาติปจจฺ ยา ชรามรณํ เอวเมเตสํ ธมมฺ านํ สมทุ โย โหติ แปล เพราะกุศลมูล ๓ เปนเหตุ ปญุ ญาภิสังขาร คือ โลกตุ ตรกุศลเจตนาทเี่ ปน ไปพรอ มดวยกุศลมูล ๓ จงึ เกิดขน้ึ เพราะปญุ ญาภสิ งั ขาร คอื โลกตุ ตรกุศลเจตนา เปนเหตุ โลกุตตรกศุ ลจติ จงึ เกิดขนึ้ เพราะนามชาติ คอื อาการเกดิ ขนึ้ ของโลกตุ ตรกุศลจติ ตปุ บาท เปนเหตุ นามชรา นามมรณะ คอื ขณะตั้ง และขณะดบั ของโลกุตตรกุศลจิตตปุ บาท จงึ เกดิ ขึ้น ความเกิดขึน้ แหงโลกุตตรกศุ ลธรรม ยอมเปน ไปดังน้ี ๖. ก. ใหแปลบาลที แี่ สดงความเปน ไปของปฏจิ จสมุปบาท ในโลกตุ ตรกศุ ลจติ ตอ ไปนี้ (แปลเฉพาะทม่ี ีตวั บาล)ี กุสลมลู ปจฺจยา สงขฺ าโร ฯลฯ ชาติปจจฺ ยา ชรามรณํ เอวเมเตสํ ธมฺมานํ สมุทโย โหติ. ? [P18..] 43 ตอบ ก. ความเปน ไปของปฏจิ จสมุปบาทในโลกุตตรกศุ ลจิตนั้นแปลวา เพราะกศุ ลมลู ๓ เปน เหตุ ปญุ ญาภิสังขาร คือ โลกุตตรกุศลเจตนาท่ีเปน ไปพรอ มดวยกุศลมูล ๓ จงึ เกิดขึ้น ฯลฯ เพราะนามชาติ คือ อาการเกดิ ขนึ้ ของโลกตุ ตรกุศลจิตตปุ บาท เปน เหตุ นามชรา นามมรณะ คอื ขณะต้ัง และขณะดบั ของโลกุตตรกศุ ลจติ ตปุ บาท จงึ เกิดขึน้ ความเกิดขึ้นแหง โลกตุ ตรกศุ ลธรรม ยอ มเปน ไปดังนี้ ๖. ก. จงแสดงความเปน ไปของปฏิจจสมุปบาทในโลกตุ ตรวิปากจิต ๔ เจตสกิ ๓๖ นนั้ วา ๖. เวทนา มอี งคป ฏิจจสมุปบาทก่ีองค คืออะไรบาง ? [P18..] 46, 60 ๑๑ ธ.ค. ๖๑ ตอบ ก. โลกตุ ตรวปิ ากจติ ๔ เจตสกิ ๓๖ นั้นวา มอี งคป ฏิจจสมปุ บาท ๑๑ องค คือ ๑. สงั ขาร ๒. วญิ ญาณ ๓. นาม ๔. ฉัฏฐายตนะ ๕. ผสั สะ ดาวนโหลดขอ มูลตา งๆไดจ าก ขอความเพ่มิ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว)

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท ๙. ภวะ 19 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๗. ปสาทะ ๘. อธิโมกข ๑๐. ชาติ ๑๑. ชรา มรณะ ๕. จงแปลเปน ไทยในปฏจิ จสมุปบาทโดยอภธิ รรมภาชนยี นัย เฉพาะในทวปิ ญจวิญญาณจติ ๑๐ ดงั ตอ ไปนี้ ? [P185-186] 36 ก. สงขารปจจฺ ยา วิ าณํ, วิ าณปจฺจยา นาม ฯ ? [P185] 36 ข. ภวปจฺจยา ชาต,ิ ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ, เอวเมตสฺส เกวลสสฺ ทกุ ขฺ กฺขนธฺ สสฺ สมุทโย โหติ ฯ ? [P186] 36 ตอบ ก. เพราะปญุ ญาภสิ ังขาร อปญุ ญาภสิ ังขาร คอื มหากศุ ลเจตนา ๘ อกุศลเจตนา ๑๒ เปนเหตุ ทวิปญจวิญญาณจติ ๑๐ จงึ เกิดขนึ้ เพราะทวปิ ญ จวญิ ญาณจติ ๑๐ เปนเหตุ เจตสิกขนั ธ ๓ ทป่ี ระกอบกบั ทวปิ ญจวิญญาณจติ ๑๐ จงึ เกดิ ขึน้ ข. เพราะภวะ คือ ทวปิ ญ จวญิ ญาณจิตตุปบาท (เวนเวทนา) เปน เหตุ นามชาติ คอื อาการท่ีเกดิ ข้นึ ของ ทวปิ ญ จวิญญาณจิตตุปบาทจงึ เกดิ ข้ึน เพราะนามชาติ คือ อาการท่เี กิดขึ้นของทวปิ ญจวญิ ญาณจิตตปุ บาทเปน เหตุ นามชรา นามมรณะ คอื ขณะตงั้ และขณะดบั ของทวปิ ญ จวญิ ญาณจติ ตปุ บาท จงึ เกดิ ขน้ึ ความเกดิ ขนึ้ แหงกองทกุ ขแทๆ ทงั้ ปวงน้ี เพราะอาศัยปจ จัยตา งๆ มปี ญุ ญาภิสังขาร อปญุ ญาภิสงั ขาร เปน ตน ดังทไี่ ดก ลา วมาแลว น้ี ๕. ข. ในทวิปญจวิญญาณจติ ๑๐ สพั พจติ ตสาธารณเจตสิก ๗ ดวงนน้ั มอี งคปฏจิ จสมปุ บาทก่ีองค คืออะไรบาง ? [P18..] 44, 47, 52(5ข) ๕. ข. (จงแสดงความเปน ไปของ) ปฏิจจสมุปบาททเี่ ปนไปทางตา (จกั ขวุ ิญญาณ) เมื่อวาโดยองคแ ลว มเี ทาไร ? คืออะไรบา ง ? [P18..] 48(6ข), 53 ตอบ ข. ในทวปิ ญจวิญญาณจิต ๑๐ สัพพจิตตสาธารณเจตสกิ ๗ ดวงนนั้ มีองคป ฏจิ จสมปุ บาท ๙ องค คือ  ข. ปฏิจจสมปุ บาททเี่ ปน ทางตา (จกั ขวุ ญิ ญาณ) เมอ่ื วา โดยองคแ ลว มี ๙ องค คือ ๑) สังขาร ๒) วิญญาณ ๓) นาม ๔) ฉัฏฐายตนะ ๕) ผสั สะ ๖) เวทนา ๗) ภวะ ๘) ชาติ ๙) ชรามรณะ ๕. ค. อพั ยากตบท ไดแ สดงถึงความเปน ไปแหงปฏจิ จสมุปบาทในจิตพรอ มดวยเจตสกิ กดี่ วง คอื อะไร บาง ? [P185-186] 40(6ข), 52 ตอบ ค. อพั ยากตบท ไดแ สดงถึงความเปน ไปแหง ปฏจิ จสมปุ บาทในจติ ๕๖ ดวง คือ วปิ ากจติ ๓๖ กริ ยิ าจติ ๒๐ เจตสิก ๓๘ ขอ ๖ พระบาลแี ละคําแปล : ปจจัยโดยยอ ๒๔ / ปจ จยั โดยพิสดาร ๔๗ ๖. ก. ใหแสดงชอื่ ปจ จยั พรอ มดวยคําแปลมาตามลําดบั ๕ ปจ จยั ? [P188] 44 ตอบ ก. แสดงชอื่ ปจ จยั พรอมดวยคําแปลตามลาํ ดับ ๕ ปจจยั ดังน้ี ๑. เหตุปจจโย ธรรมทช่ี ว ยอุปการะโดยความเปนเหตุ ๒. อารมั มณปจจโย ธรรมที่ชวยอปุ การะโดยความเปนอารมณ ๓. อธปิ ตปิ จ จโย ธรรมทชี่ ว ยอุปการะโดยความเปนอธิบดี ๔. อนนั ตรปจจโย ธรรมทีช่ ว ยอปุ การะโดยความตดิ ตอกันไมม รี ะหวางคน่ั ๕. สมนนั ตรปจ จโย ธรรมทีช่ วยอุปการะโดยความติดตอ กนั ไมมีระหวา งคน่ั ทเี ดยี ว ๖. ข. ใหแ สดงความหมายของปจ จยั ดงั ตอ ไปน้ี อปุ นสิ ฺสยปจฺจโย ปุเรชาตปจจฺ โย ปจฉฺ าชาตปจฺจโย กมมฺ ปจฺจโย วิปากปจฺจโย ? [P188] 46 ตอบ ข. แสดงความหมายของปจจยั ดังน้ี คอื ดาวนโหลดขอ มลู ตา งๆไดจ าก ขอความเพ่มิ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ที่แปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 20 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน อปุ นสิ ฺสยปจจฺ โย ธรรมทช่ี วยอุปการะโดยความเปน ท่อี าศยั ท่ีมีกําลงั มาก ปุเรชาตปจฺจโย ธรรมทช่ี ว ยอุปการะโดยความเกิดกอ น ปจฉฺ าชาตปจฺจโย ธรรมท่ชี ว ยอุปการะโดยความเกิดทหี ลัง กมฺมปจฺจโย ธรรมท่ชี วยอุปการะโดยความปรุงแตงเพอ่ื ใหกิจตา งๆ สาํ เร็จลง วิปากปจฺจโย ธรรมทช่ี วยอปุ การะโดยความเปน วิปาก คือ เขา ถงึ ความสกุ งอมและหมดกําลังลง พระบาลแี ละคําแปล ปจจยั ๒๔ : อุทเทส ช่ือปจจัย ธรรมท่ชี ว ยอุปการะโดยความ ชอ่ื ปจจัย ธรรมทช่ี วยอุปการะโดยความ ๑๓ กมฺมปจจฺ โย๒ ปรงุ แตง เพื่อใหกิจตา งๆ สําเรจ็ ลง ๑ เหตุปจจโย เปนเหตุ ๒ อารมั มณปจจโย เปน อารมณ ๑๔ วปิ ากปจฺจโย เปนวปิ าก คือ เขา ถึงความสุกงอมและหมดกาํ ลังลง ๓ อธิปติปจ จโย๓ เปน อธบิ ดี ๑๕ อาหารปจ จโย๒ เปนผนู ํา ๔ อนันตรปจจโย ติดตอ กนั ไมม รี ะหวางค่นั ๑๖ อินทริยปจจโย๓ เปน ผปู กครอง ๕ สมนนั ตรปจจโย ติดตอกันไมม รี ะหวางคน่ั ทเี ดยี ว ๑๗ ฌานปจ จโย เปน ผูเพง อารมณ ๖ สหชาตปจจโย เกดิ พรอม ๑๘ มัคคปจ จโย เปนหนทาง ๗ อัญญมัญญปจจโย แกกันและกัน ๑๙ สมั ปยตุ ตปจ จโย เปนผูประกอบ ๘ นิสสยปจ จยั โย๓ เปนที่อาศัย ๒๐ วิปปฺ ยุตฺตปจฺจโย๔ ผูไมป ระกอบ ๒๑ อตถฺ ิปจฺจโย๖ ผูยังมอี ยู ๙ อปุ นิสสฺ ยปจฺจโย๓ เปนท่อี าศยั ที่มีกาํ ลังมาก ๒๒ นตฺถิปจจฺ โย ผูไมม ี ๑๐ ปุเรชาตปจฺจโย๒ เกดิ กอ น ๑๑ ปจฉฺ าชาตปจฺจโย เกดิ ทหี ลงั ๒๓ วคิ ตปจฺจโย ผปู ราศจากไป ๑๒ อาเสวนปจฺจโย เสพบอย ๆ ๒๔ อวิคตปจฺจโย๖ ผูยงั ไมป ราศจากไป ๕. ข. ในปจจยั ๒๔ นั้น จงแสดงทงั้ พระบาลแี ละคาํ แปลในปจ จัยท่ี ๑๐, ๑๑ และ ๑๒ มาดู ? [P188] 50 ตอบ ข. ปจจยั ท่ี ๑๐ คอื ปเุ รชาตปจฺจโย = ธรรมทช่ี ว ยอุปการะโดยความเกิดกอ น ปจ จัยท่ี ๑๑ คือ ปจฉฺ าชาตปจจฺ โย = ธรรมท่ีชวยอุปการะโดยความเกิดทหี ลงั ปจจัยที่ ๑๒ คอื อาเสวนปจฺจโย = ธรรมท่ชี ว ยอปุ การะโดยความเสพบอย ๆ ๕. ใหแ สดงความหมายของปจ จัยดงั ตอ ไปน้ี ? [P189] 38, 48 ก. ๑) วิปปฺ ยตุ ฺตปจจฺ โย ๒) อตถฺ ปิ จฺจโย ๓) นตฺถิปจฺจโย ๔) วิคตปจจฺ โย ๕) อวิคตปจฺจโย ? [P189] 38, 48 ตอบ ก. แสดงความหมายของปจ จัยดงั ตอไปนี้ ๑) วิปปฺ ยตุ ตฺ ปจฺจโย หมายความวา ธรรมทีช่ วยอปุ การะโดยความเปน ผไู มป ระกอบ ๒) อตถฺ ิปจจฺ โย หมายความวา ธรรมที่ชว ยอุปการะโดยความเปนผูยงั มอี ยู ๓) นตฺถปิ จจฺ โย หมายความวา ธรรมที่ชว ยอุปการะโดยความเปน ผไู มมี ๔) วิคตปจจฺ โย หมายความวา ธรรมที่ชวยอปุ การะโดยความเปน ผปู ราศจากไป ๕) อวิคตปจจฺ โย หมายความวา ธรรมทีช่ วยอปุ การะโดยความเปน ผยู งั ไมป ราศจากไป ๖. ก. ปจ จัยโดยยอ ๒๔ ปจ จัยน้ัน ปจจยั ที่เปนคกู ันมีกคี่ ู ไดแ กอ ะไรบาง (ใหแ สดงเฉพาะช่อื ของปจ จัย)? 47 ข. ในปจจัย ๒๔ นน้ั ปจ จัยท่ีประชุมแหงปจ จัยทั้งปวง ไดแกป จจัยอะไรบา ง ? และในปจ จัยเหลา นัน้ แตล ะปจ จยั มีกีป่ จจัยคืออะไรบา ง ? [P] 54 ตอบ ก. ปจจยั โดยยอ ๒๔ ปจ จยั น้นั ปจจยั ทเี่ ปน คูกันมี ๗ คู คือ คทู ่ี ๑ ไดแก อนันตรปจ จยั กับ สมนันตรปจจัย ดาวนโ หลดขอมลู ตางๆไดจ าก ขอ ความเพิ่มเตมิ ที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท 21 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน คทู ่ี ๒ ไดแ ก นิสสยปจ จยั กบั อุปนสิ สยปจจยั คูท ่ี ๓ ไดแก ปุเรชาตปจจัย กับ ปจฉาชาตปจจยั คูท่ี ๔ ไดแ ก กัมมปจ จยั กับ วปิ ากปจจัย คทู ่ี ๕ ไดแก สมั ปยุตตปจ จัย กบั วิปปยุตตปจจยั คูท ่ี ๖ ไดแก อัตถิปจจัย กับ นัตถิปจ จยั คทู ี่ ๗ ไดแ ก วิคตปจจัย กบั อวคิ ตปจจยั ข. ในปจ จัย ๒๔ นั้น ปจจยั ทปี่ ระชมุ แหงปจจัยทัง้ ปวง ไดแก ๑. อารมั มณปจจัย ๒. อปุ นิสสฺ ยปจจฺ โย ๓. กัมมปจจยั ๔. อตั ถิปจจัย และในปจ จยั เหลาน้ี แตล ะปจ จยั มีดงั น้ี ๑. อารัมมณปจ จัย มี ๑ ปจ จยั คือ อารมั มณปจ จัย ๒. อุปนิสฺสยปจจฺ โย มี ๓ ปจ จยั คอื ๑. อารมั มณปู นิสสยปจ จยั ๒. อนันตรปู นสิ สยปจจัย ๓. ปกตูปนิสสยปจจัย ๓. กมั มปจ จยั มี ๒ ปจ จัย คอื ๑. สหชาตกมั มปจจัย ๒. นานกั ขณกิ กมั มปจจยั ๔. อัตถิปจ จัย มี ๖ ปจจัย คอื ๑. สหชาตตั ถปิ จจัย ๒. วตั ถุปเุ รชาตตั ถิปจ จยั ๓. อารัมมณปเุ รชาตตั ถปิ จ จัย ๔. ปจฉาชาตตั ถิปจจัย ๕. อาหารัตถปิ จ จยั ๖. อนิ ทรยิ ัตถิปจจัย ๕. ก. ปจ จยั อันเปน ท่ปี ระชุมแหงปจ จยั ทงั้ ปวงไดนั้น ไดแ กปจ จยั อะไรบา ง และใหแ สดงรูปที่ชอื่ วา “สหชาตรปู ” (รปู ท่เี กิดพรอมกบั จิต) ? [P] 46(6ค, ง), 50, 51(6ก) ๖. ค. สหชาตรปู แปลวา อยางไร มีเทาไร คืออะไร ? [P196] 44 ตอบ ก. ปจ จยั อนั เปน ทป่ี ระชมุ แหงปจ จยั ทง้ั ปวงไดนน้ั ไดแ กป จจยั ๔ ปจ จัย คอื ๑. อารมั มณปจจยั ๒. อุปนิสฺสยปจฺจโย ๓. กัมมปจจยั ๔. อตั ถิปจจัย แสดงรปู ทชี่ อื่ วา “สหชาตรปู ” ในสหชาตชาติทว่ั ไปทงั้ หมดนน้ั แบง ออกเปน ๒ อยาง คอื [ตอบ ค. สหชาตรปู แปลวา รปู ทเ่ี กดิ พรอ มกนั กับจติ มี ๒ อยา งคือ (44)] ๑. จติ ตชรูป ทเี่ กิดใน ปวตั ติกาล อยา งหนง่ึ ๒. กัมมชรูป ทเ่ี กิดใน ปฏิสนธิกาล อยางหนึง่ ๖. ก. ปจจยั โดยยอ มี ๒๔ เมื่อแสดงโดยพสิ ดารแลว มี จาํ นวนเทา ไร? พิสดารอยูทีป่ จจยั อะไรบาง ? [P] 36, 50 ๖. ข. ปจจยั ที่มมี ากกวา หนงึ่ ปจ จัยนนั้ มจี าํ นวนเทา ไร คืออะไรบาง ? [P] 43, 47, 51, 53(3ก), 60(4) ตอบ ก. ปจจยั โดยยอ มี ๒๔ เมือ่ แสดงโดยพิสดาร แลวมี ๔๗ ปจ จัย พิสดารอยทู ่ปี จ จัย ๑๐ ปจจัย คือ ก./ข. ปจ จยั ท่มี มี ากกวา หน่งึ ปจ จยั นนั้ มจี ํานวน ๑๐ ปจ จัย คือ ๑. อธปิ ตปิ จจัย ๒. นสิ สยปจ จัย ๓. อปุ นิสสฺ ยปจ จยั ๔. ปุเรชาตปิ จจัย ๕. กมั มปจจัย ๖. อาหารปจจยั ๗. อินทริยปจ จยั ๘. วปิ ปยุตตปจจยั ๙. อัตถิปจจยั ๑๐. อวคิ ตปจจัย ดาวนโ หลดขอมลู ตา งๆไดจ าก ขอความเพม่ิ เตมิ ที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมิกะโท 22 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๕. ปจ จยั พิสดาร แตล ะปจจยั มจี ํานวนเทาไร คืออะไรบา ง ? 61 ตอบ ปจ จยั พสิ ดาร มี ๑๐ ปจจยั แตล ะปจ จัยมจี ํานวนดงั ตอไปน้ี ๑. อธปิ ตปิ จ จยั มี ๒ ปจจยั คอื ๑. สหชาตาธิปติปจจยั ๒. อารมั มณาธปิ ตปิ จ จยั ๒. นิสสยปจจยั มี ๓ ปจจัย คอื ๑. สหชาตนิสสยปจ จัย ๒. วตั ถปุ เุ รชาตนสิ สยปจจัย ๓. วัตถารมั มณปุเรชาตนิสสยปจจยั ๓. อปุ นิสสฺ ยปจฺจโยมี ๓ ปจจัย คอื ๑. อารมั มณูปนิสสยปจ จยั ๒. อนันตรปู นิสสยปจจัย ๓. ปกตปู นสิ สยปจ จยั ๔. ปุเรชาตปจ จยั มี ๒ ปจ จยั คอื ๑. วัตถุปเุ รชาตปจ จยั ๒. อารัมมณปเุ รชาตปจ จยั ๕. กัมมปจ จัย มี ๒ ปจจยั คอื ๑. สหชาตกมั มปจจยั ๒. นานักขณกิ กัมมปจจยั ๖. อาหารปจจยั มี ๒ ปจ จยั คอื ๑. รปู อาหารปจจัย ๒. นามอาหารปจ จัย ๗. อินทรยิ ปจ จยั มี ๓ ปจจยั คอื ๑. สหชาตนิ ทรยิ ปจจยั ๒. ปุเรชาตนิ ทรยิ ปจจยั ๓. รูปชีวติ ินทริยปจ จยั ๘. วปิ ปยตุ ตปจจยั มี ๔ ปจ จัย คอื ๑. สหชาตวปิ ปยตุ ตปจ จัย ๒. วตั ถปุ ุเรชาตวปิ ปยตุ ตปจจัย ๓. วัตถารัมมณปเุ รชาตวิปปยุตตปจ จัย ๔. ปจ ฉาชาตวปิ ปยุตตปจจยั ๙. อตั ถิปจจัย มี ๖ ปจจัย คอื ๑. สหชาตัตถิปจจัย ๒. วตั ถปุ เุ รชาตตั ถปิ จ จยั ๓. อารมั มณปุเรชาตตั ถปิ จจัย ๔. ปจฉาชาตตั ถปิ จ จัย ๕. อาหารตั ถิปจ จัย ๖. อนิ ทรยิ ตั ถปิ จจยั ๑๐. อวคิ ตปจจัย มี ๖ ปจจัย คอื ๑. สหชาตอวคิ ตปจ จยั ๒. วตั ถุปเุ รชาตอวคิ ตปจจยั ๓. อารมั มณปุเรชาตอวคิ ตปจจัย ๔. ปจฉาชาตอวคิ ตปจจัย ๕. อาหารอวิคตปจจยั ๖. อินทริยอวิคตปจจยั ๗. ก. อนิ ทริยปจ จัย และอตั ถิปจ จยั มีอยางละกีป่ จ จัยคอื ปจ จยั อะไรบา ง ? [P] 43, 55(6ข) ตอบ ก. อนิ ทริยปจจัย มี ๓ ปจ จยั คือ ๑ สหชาตนิ ทริยปจจยั ๒. ปเุ รชาตินทริยปจจยั ๓. รูปชวี ิตินทริยปจจยั อัตถปิ จจยั มี ๖ ปจ จยั คอื ๑. สหชาตัตถปิ จจัย ๒. วตั ถปุ เุ รชาตตั ถปิ จ จัย ๓. อารมั มณปเุ รชาตตั ถิปจ จยั ๔. ปจฉาชาตตั ถปิ จ จยั ๕. อาหารตั ถิปจจัย ๖. อินทริยัตถปิ จ จัย ๓. จงตอบคําถามเกี่ยวกบั ปจ จัยดังตอไปน้ี ? 53 ข. ในปจจยั เหลาน้ี ปจ จัยที่มี ๒ ปจจยั ๓ ปจจัย ๔ ปจ จัยน้ัน แตล ะปจจยั ไดแกปจ จยั อะไรบา ง ? [P] 53, 60 ตอบ ขอตอบคําถามเกย่ี วกับปจ จัยดังตอ ไปน้ี ข. ปจจยั ท่ีมี ๒ ปจจัย มี ๔ ปจ จยั คือ ๑. อธิปตปิ จจยั ๒. ปเุ รชาตปจ จยั ๓. กัมมปจ จยั ๔. อาหารปจจัย อธปิ ตปิ จ จยั มี ๒ ปจจยั คอื ๑. สหชาตาธิปติปจจัย ๒. อารมั มณาธปิ ติปจจัย ปเุ รชาตปจ จัย มี ๒ ปจ จัย คอื ๑. วตั ถุปเุ รชาตปจจยั ๒. อารมั มณปุเรชาตปจ จัย กมั มปจ จัย มี ๒ ปจ จยั คอื ๑. สหชาตกมั มปจจยั ๒. นานกั ขณกิ กัมมปจจยั อาหารปจจยั มี ๒ ปจจยั คอื ๑. รปู อาหารปจ จยั ๒. นามอาหารปจจัย ปจจัยท่มี ี ๓ ปจ จยั มี ๓ ปจจยั คือ ๑. นสิ สยปจ จยั ๒. อปุ นิสฺสยปจจฺ โย ๓. อินทริยปจ จยั นิสสยปจ จัย มี ๓ ปจจยั คอื ๑. สหชาตนิสสยปจจยั ๒. วัตถปุ เุ รชาตนสิ สยปจ จัย ๓. วตั ถารัมมณปุเรชาตนสิ สยปจ จยั อปุ นิสฺสยปจฺจโยมี ๓ ปจจัย คอื ๑. อารัมมณปู นสิ สยปจจยั ๒. อนนั ตรปู นิสสยปจ จยั ๓. ปกตปู นิสสยปจจัย อินทรยิ ปจ จยั มี ๓ ปจจยั คอื ๑. สหชาตนิ ทริยปจ จัย ๒. ปุเรชาตนิ ทรยิ ปจ จัย ๓. รูปชวี ติ นิ ทรยิ ปจ จัย ปจ จยั ท่ีมี ๔ ปจ จัย มี ๑ ปจจยั คือ วปิ ปยตุ ตปจ จัย วิปปยตุ ตปจจัย มี ๔ ปจจยั คือ ๑. สหชาตวปิ ปยตุ ตปจจัย ๒. วัตถปุ ุเรชาตวิปปยุตตปจ จยั ๓. วัตถารัมมณปุเรชาตวปิ ปยุตตปจ จยั ๔. ปจ ฉาชาตวปิ ปยุตตปจจยั ๕. ข. ในปจจยั ๒๔ นัน้ เมอ่ื แบงออกเปนหมวดๆ แลว มกี ห่ี มวด คอื ? [P189(2)] 38(4ข), 45 ๑๑ ธ.ค. ๖๑ ดาวนโหลดขอ มูลตา งๆไดจ าก ขอความเพิ่มเตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว)

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 23 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๗. ก. จงแปลคาถาสงั คหะทแี่ สดงถึงปจจัย ๖ จําพวก ? [P189(2)] 37(7ก) ตอบ ข. ในปจจยั ๒๔ นั้น เม่ือแบง ออกเปน หมวดๆ แลว มี ๖ หมวด คอื (37) จําแนกปจจัย ๒๔ ออกเปนพวกๆ คอื นาม เปนปจ จยั ชว ยอุปการะแกนาม มี ๖ ปจ จัย นาม เปน ปจจัยชว ยอปุ การะแกนามรูป มี ๕ ปจ จัย นาม เปน ปจ จยั ชวยอุปการะแกรปู มี ๑ ปจจยั รปู เปนปจจัยชว ยอปุ การะแกนาม มี ๑ ปจ จยั บญั ญตั ินามรปู ท้ัง ๓ เปน ปจ จยั ชวยอุปการะแกนาม มี ๒ ปจจัย นามรปู ทงั้ ๒ เปน ปจ จัยชวยอุปการะนามรปู ทง้ั ๒ มี ๙ ปจจัย ๕. ข. นาม เปน ปจ จัยชวยอปุ การะแกน าม ๖ ปจจยั คอื อะไรบาง ? ใหแสดงพรอ มทง้ั ความหมาย ? [P190(3)] ตอบ ข. นาม เปน ปจจัยชว ยอุปการะแกน าม ๖ ปจจยั คือ [นํ๕ (=นํ สนํ เส น ต)+สมั ] จิตและเจตสิกธรรม ท่เี กดิ ขน้ึ และดบั ไปโดยไมมรี ะหวา งค่นั เหลา นน้ั เปน ปจจัยชว ยอุปการะแก จติ เจตสิก ที่ เกิดขึ้นใหมต ดิ ตอ กนั ดว ยอาํ นาจ อนันตรปจ จัย สมนนั ตรปจ จยั นตั ถปิ จจัย วคิ ตปจ จยั ชวนะทีเ่ กดิ ขึน้ กอนๆ เหลา น้ี เปนปจ จยั ชว ยอุปการะแกชวนะที่เกิดหลงั ๆ ดวยอาํ นาจอาเสวนปจจยั จติ เจตสกิ ธรรม ทเ่ี กดิ พรอ มกนั เหลา น้ี เปนปจ จัยชว ยอุปการะแกกันและกนั ดว ยอาํ นาจสัมปยตุ ตปจจัย ๖. นามรปู เปน ปจ จัย นามรปู เปน ปจ จยุปบนั มกี ี่ปจ จยั คอื อะไรบา ง ? 36(6ข), 44, 50(6ข) และในปจ จัยเหลา นี้ แตละปจ จยั มกี ีป่ จ จยั หรือแบงออกเปน กปี่ จจยั คืออะไรบาง ? [P189] 56, 57 ๕. ค. นามรูป เปน ปจ จัยชว ยอุปการะ แก นามรปู มกี ี่ปจจัย อะไรบา ง ? [P189] 53 ตอบ (ข.) นามรปู เปน ปจ จยั นามรปู เปนปจจยุปบัน มี ๙ ปจจัย คือ ค. นามรปู เปนปจจัยชว ยอปุ การะ แกน ามรปู มี ๙ ปจจัย คือ ๑. อธปิ ตปิ จจัย ๒. สหชาตปจ จยั ๓. อญั ญมญั ญปจ จยั ๔. นสิ สยปจจัย ๕. อาหารปจจัย ๖. อนิ ทรยิ ปจ จยั ๗. วปิ ปยตุ ตปจ จยั ๘. อัตถิปจจัย ๙. อวคิ ตปจจยั (56) และในปจจยั เหลาน้ี แตล ะปจ จยั มี ๑ ปจ จยั บา ง ๒ ปจ จัยบา ง เปน ตน ดงั น้ี คือ อธปิ ตปิ จจยั มี ๒ ปจจัย คอื ๑. สหชาตาธปิ ติปจจัย ๒. อารมั มณาธปิ ติปจจัย สหชาตปจ จัย มี ๑ ปจ จยั คอื สหชาตปจ จัย อัญญมญั ญปจ จัย มี ๑ ปจ จยั คอื อัญญมัญญปจจัย นสิ สยปจ จยั มี ๓ ปจจยั คอื ๑. สหชาตนสิ สยปจ จยั ๒. วตั ถปุ เุ รชาตนิสสยปจจัย ๓. วตั ถารัมมณปุเรชาตนิสสยปจจยั อาหารปจ จยั มี ๒ ปจ จยั คอื ๑. รปู อาหารปจ จัย ๒. นามอาหารปจจัย อนิ ทรยิ ปจ จัย มี ๓ ปจจยั คอื ๑. สหชาตนิ ทริยปจ จยั ๒. ปุเรชาตนิ ทริยปจจัย ๓. รปู ชวี ติ นิ ทริยปจ จยั วปิ ปยตุ ตปจจัย มี ๔ ปจ จัย คอื ๑. สหชาตวิปปยตุ ตปจจยั ๒. วตั ถปุ เุ รชาตวปิ ปยตุ ตปจจยั ๓. วตั ถารัมมณปเุ รชาตวปิ ปยตุ ตปจ จัย ๔. ปจฉาชาตวปิ ปยตุ ตปจจยั อัตถปิ จจยั มี ๖ ปจจัย คอื ๑. สหชาตตั ถิปจ จัย ๒. วัตถปุ ุเรชาตตั ถปิ จจัย ๓. อารมั มณปเุ รชาตตั ถิปจจัย ๔. ปจฉาชาตตั ถิปจจยั ๕. อาหารตั ถปิ จ จยั ๖. อินทริยตั ถิปจจัย อวคิ ตปจจยั มี ๖ ปจจัย คอื ๑. สหชาตอวคิ ตปจ จัย ๒. วตั ถปุ เุ รชาตอวคิ ตปจ จยั ๓. อารมั มณปเุ รชาตอวคิ ตปจ จยั ๔. ปจฉาชาตอวิคตปจ จยั ๕. อาหารอวคิ ตปจ จัย ๖. อินทรยิ อวคิ ตปจ จยั ๑. สหชาตชาติ : ปจ จัย กบั ปจ จยุปบนั “เกิดพรอ มกัน” มี ๑๕ ปจ จัย แบง ออกเปน ๓ กลมุ คอื ๑) ญ4 = ส๖ นิส1-5๑๑ ถิ อ1-5๑๗ <*ถา นข.๔ เปน ‘วปิ ากจติ ’ (+1ปจ.) ๒) ก4 = อัญ๓ ปา สัม วปิ ๒๒ ๓) เลก็ ๗ ดาวนโ หลดขอมูลตางๆไดจาก ขอ ความเพม่ิ เตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 24 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๑. จตฺตาโร ขนฺธา อรปู โน อฺมฺ สหชาต/นิสสย/อตฺถ/ิ อวิคต//สมปฺ ยตุ ตฺ ปจฺจเยน ปจจฺ โย. ญ๔+สัม นามขนั ธ ๔ เปนปจ จยั คอื ชว ยอุปการะ() ซ่งึ กนั และกนั หรอื แกกันและกัน ดวยอํานาจสหชาตปจ จัย/สหชาตนสิ สยปจจยั / สห ชาตัตถปิ จ จัย/ สหชาตอวิคตปจจัย/ สัมปยุตตปจ จยั 89, 52  89, 52 ๑. จตตฺ าโร ขนฺธา อรปู โน อฺมฺ ปจฺจเยน ปจจฺ โย. นามขันธ ๔  (อฺมฺ ) ซึง่ กนั และกนั หรือแกกนั และกัน ดว ยอาํ นาจอญั ญมญั ญปจจัย 89, 52  89, 52 ๑. วิปากา จตฺตาโร ขนฺธา อรปู โน อฺมฺ วิปากปจจฺ เยน ปจจฺ โย. นามขนั ธ ๔ ทเี่ ปน วิปากซึง่ กนั และกนั หรือแกกันและกัน ดว ยอาํ นาจวปิ ากปจจยั ว.ิ 36, 38 วิ.36, 38 ๒. จตฺตาโร มหาภตู า อฺมฺ สหชาต/นิสสย/อตถฺ ิ/อวิคตปจฺจเยน ปจฺจโย. มหาภูตรูป ๔ เปนปจจัยคือชว ยอุปการะ() ซง่ึ กนั และกัน หรือแกกันและกัน ดวยอาํ นาจสหชาต/สหชาตนิสสย/สหชาตัตถิปจ จัย/สหชาตอวคิ ตปจ จัย มหาภ.ู 4  มหาภ.ู 4 ๒. จตฺตาโร มหาภตู า อฺมฺปจจฺ เยน ปจจฺ โย. มหาภตู รปู ๔  (อฺมฺ ) ซงึ่ กนั และกัน หรือแกกันและกนั ดว ยอาํ นาจอญั ญมญั ญปจจยั ๓. โอกกฺ นฺติกขฺ เณ นามรูป อฺมฺ สหชาต/นิสสย/อตฺถ/ิ อวิคตปจฺจเยน ปจจฺ โย. นามขันธ ๔ และหทยวัตถใุ นขณะปฏสิ นธกิ าลในปญจโวการภูมิ ซ่งึ กนั และกัน หรือแกกนั และกนั ดว ยอาํ นาจสหชาตปจ จยั / สหชาตนสิ สยปจ จัย/ สหชาตัตถิปจจัย/ สหชาตอวคิ ตปจจยั ๓. โอกกฺ นฺติกฺขเณ นามรูป อฺมฺ ปจจฺ เยน ปจจฺ โย. ในขณะปฏสิ นธกิ าล ปญจโวการนามขนั ธ และหทยวตั ถรุ ปู (อฺ มฺ ) ซึง่ กนั และกัน หรือแกกันและกนั ดวยอํานาจอัญญมญั ญปจจยั ปฏ.ิ 15, 35   ปฏ.ิ 15, 35  ๔. จิตฺตเจตสิกา ธมมฺ า จิตฺตสมุฏานานํ รปู านํ สหชาต/นิสสย/อตฺถ/ิ อวิคตปจฺจเยน ปจฺจโย. 75(-10 -4 จ.ุ อร), 52  จิร,ุ ปกํ. ธรรมทั้งหลาย คือ จติ ๗๕ เจตสิก ๕๒ (เวนทวปิ ญจวิญญาณจิต ๑๐ อรูปวิปากจติ ๔ และจุติจติ ของพระอรหันต) เปนปจ จยั คือชว ยอุปการะแกรูปทม่ี จี ติ เปนสมฏุ ฐาน ดว ยอาํ นาจสหชาตปจจยั /สหชาตนสิ สยปจ จยั / สหชาตัตถิปจจยั / สหชาตอวคิ ตปจ จยั ๕. มหาภตู า อุปาทารูปาน สหชาต/นิสสย/อตฺถ/ิ อวิคตปจจฺ เยน ปจจฺ โย. ส *นสิ *ถิ *อวิ =4 มหาภ.ู 4  อปุ าทา.24 มหาภตู รปู เปน ปจจยั คอื ชว ยอุปการะแกอ ปุ าทายรปู ดวยอาํ นาจสหชาตปจ จยั /สหชาตนสิ สยปจจัย/สหชาตัตถปิ จจยั /สหชาตอวิคตปจจยั ๖. รูปโน ธมมฺ า อรปู น ํ ธมมฺ านํ กิจฺ กิ าเล สหชาตปจจฺ เยน ปจจฺ โย กิ ฺจกิ าเล น สหชาตปจฺจเยน ปจฺจโย. ในขณะปฏสิ นธกิ าล หทัยวตั ถรุ ปู ทัง้ หลาย เปน ปจจยั คือชวยอุปการะแกปญจโวการปฏสิ นธินามขันธ ๔ ดว ยอาํ นาจสหชาตปจจัย, แต ในปวัตติกาล เปน ปจ จยั คือชวยอุปการะแกนามขันธ ๔ ดวยอาํ นาจสหชาตปจจยั ไมไ ด ปจ จัย  ปจจยุปบนั #ปจ. ปจ.สงเคราะห ญ4 อญั ปา สัม วิป น-น ๑) 89, 52  89, 52 6/7* ญ4 อญั <ปา* สัม  ๑) วิ.36, 38 ว.ิ 36, 38 (๗ ปจ.)  - ร-ร ๒) มหาภ.ู 4  มหาภ.ู 4 5 ญ4 อญั  - นร-นร ๓) ปฏ.ิ 15, 35  ปฏ.ิ 15, 35  6/7* ญ4 อัญ <ปา* วิป  ๓) ปฏ.ิ 15, 35  (๗ ปจ.) -  น-ร ๔) 75(-10 -4 จุ.อร), 52  จริ ,ุ ปกํ. 5/6* ญ4 <ปา* วปิ - ๔) ว.ิ 22, 38ว.ิ จิร,ุ ปกํ. (๖ ปจ.) -  ร-ร ๕) มหาภ.ู 4  อุปาทา.24 4 ญ4 - -- ๖. ก. จงแสดงปจ จยุปบนั ธรรม ของอญั ญมญั ญปจจัยดังตอไปน้ี ? [P193] 55(6ก) ๑. จิต เจตสกิ เปน อญั ญมัญญปจจัย ? ๒. มหาภูตรูป ๔ เปน อญั ญมัญญปจจยั ? ๓. ปฏสิ นธินามขนั ธ ๔ เปน อญั ญมญั ญปจจัย ? ๔. ปฏสิ นธิทหยวตั ถุ เปน อญั ญมัญญปจ จัย ? ตอบ ก. ปจจยุปบนั ธรรมของ อัญญมัญญปจจัย คอื ๑. จิต เจตสิก เปนอญั ญมญั ญปจ จยุปบนั ธรรม พระบาลี ขอ ๑ ๒. มหาภูตรปู ๔ เปนอญั ญมัญญปจ จยปุ บนั ธรรม พระบาลี ขอ ๒ ดาวนโหลดขอมูลตางๆไดจาก ขอ ความเพมิ่ เตมิ ที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ที่แปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 25 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๓. ปฏสิ นธหิ ทยวตั ถุ เปนอญั ญมญั ญปจ จยุปบนั ธรรม พระบาลี ขอ ๓ ๔. ปฏิสนธนิ ามขนั ธ ๔ เปน อญั ญมญั ญปจจยุปบนั ธรรม พระบาลี ขอ ๓ นิสสยปจ จยั ๓๗ มี ๑๑ พระบาลนี ิทเทส พิสดาร ๓ ปจจยั นิทเทสขอ ๑-๕ สหชาตชาติ เปน สหชาตนิสสยปจจยั (ดูตารางดานบน), ขอ ๖-๑๐+๑๑ วัตถุปเุ รชาตชาติ เปนวตั ถุปเุ รชาตนิสสยปจจยั , อารัมณชาติ คอื ขอ ๑๑ เปน วัตถารัมมณปุเรชาตนิสสยปจ จัย ๖. ข. ใหแสดงปจ จยุปบันธรรม ของนสิ สยปจ จยั ธรรมดงั ตอไปน้ี ? 45 นิสสยปจจัย๓๑๑ ๑. จติ เจตสิก เปน นสิ สยปจจยั ธรรม ? [P] ๒. มหาภตู รูป ๔ เปน นสิ สยปจจยั ธรรม ? [P] ๓. วตั ถรุ ูป ๖ เปนนสิ สยปจ จยั ธรรม ? [P] ใหเ หตุ (ปจ) -> หาผล (ปย) ตอบ ข. แสดงปจจยปุ บันธรรมของนิสสยปจ จยั ธรรม ดงั นี้ ๑. จิต เจตสิก จติ ตชรปู ปฏสิ นธิกมั มชรปู เปน นิสสยปจ จยปุ บนั ธรรม พระบาลี ขอ ๑+๔ ๒. มหาภตู รปู ๔ และอปุ าทายรปู ๒๔ เปนนิสสยปจจยปุ บนั ธรรม พระบาลี ขอ ๒+๕ ๓. วญิ ญาณธาตุ ๗ เปนนิสสยปจจยุปบนั ธรรม พระบาลี ขอ ๖-๑๑ พระบาลนี ิทเทส-วัตถุปเุ รชาตชาติ(มี ๖ ปจ จัย นิส ปุ ติน วิป ถิ อ) เนนวัตถุปุเรชาตนิสสยปจ จัย (ขอ ๖-๑๑) [๘] นิสฺสยปจจฺ โยติ๓๑๑:(ส.๑-๕ / ถ.ุ ๖-๑๐ ๑๑ / ถา.๑๑)/[๑๐] ปุเรชาตปจจฺ โยต๒ิ ๑๓:(ถ๗ุ =๑-๕ ๑๒-๑๓ / อาปุ.๗=๖-๑๑ ๑๓)/ [๒๑] อตฺถปิ จจฺ โยติ๖๑๗ [๒๔] อวิคตปจจฺ โยติ๖๑๗:(ส๕=๑-๕/ ถ๖ุ =๖-๑๐ ๑๗/ อาปุ๗=๑๑-๑๖ ๑๗) ๖. จกขฺ ายตนํ จกขฺ วุ ิ ฺาณธาตุยา ตสํ มปฺ ยตุ ฺตกานจฺ ธมมฺ านํ นิสฺสย/ปเุ รชาต/อตถฺ /ิ อวิคตปจจฺ เยน ปจฺจโย. มัชฌมิ ายุกจกั ขายตนะท่ีเกดิ พรอ มกันกบั อตีตภวังคด วงแรก หรือฐีตปิ ตตจักขายตนะ ๔๙แกจักขวุ ิญญาณธาตุ และสัพพ จติ ตสาธารณเจ. ๗ ดวง ที่ประกอบกบั จกั ขุวิญญาณธาตุ ดวยอาํ นาจวตั ถุปเุ รชาตนสิ สยปจจัย/วัตถปุ ุเรชาตปจ จัย/วัตถปุ ุเรชาตตั ถิ ปจจยั /วัตถุปุเรชาตอวิคตปจจัย จกั ขุ->จักขุวญิ -ธาต+ุ สพั ๗ป ๗. โสตา - โสต. ๘. ฆานา - ฆาน. ๙. ชวิ ฺหา - ชิวหา. ๑๐. กายา. - กาย. ปสาท๕->ทว.ิ ๑๐+สัพ๗ป [๘] นสิ ฺสยปจฺจโยติ๓๑๑ : (ส.๑-๕ / ถ.ุ ๖-๑๐ ๑๑ / ถา.๑๑) (มี ๑๑ ขอ ) [P73-74] ๑๑. ยํ รปู  นสิ ฺสาย มโนธาตุ จ มโนวิ ฺ าณธาตุ จ วตฺตนฺติ, ตํ รูป มโนธาตุยา จ มโนวิฺ าณธาตุ จ ตสํ มฺปยตุ ฺตกานจฺ ธมฺมานํ นสิ ฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย. ->มโน๓ มโนวิญ.๗๒-อรูปว๔ิ +๕๒ป มโนธาตุ ๓ และมโนวิญญาณธาตุ ๗๒ เจ.๕๒ (-อรูปว.ิ ๔) อาศยั หทยั วตั ถใุ ดเกดิ ขึน้ หทยั วัตถนุ ัน้ เปนปจ จยั คือชว ยอุปการะ ()แกมโนธาตุ ๓ และมโนวญิ .๗๒ (เวนอรูปวิ.๔) เจ.๕๒ ทป่ี ระกอบกบั มโนธาตแุ ละมโนวิญญาณธาตุ ดวยอาํ นาจวัตถปุ เุ รชาต นสิ สยปจ จัย และวัตถารมั มณปเุ รชาตนิสสยปจ จยั (ถุ ถา) ๖. จงหาปจ จยุปบัน ของปจ จัย ดงั ตอ ไปน้ี ? 49 ใหเ หตุ (ปจ) -> หาผล (ปย) ก. จิตและเจตสิกธรรม เปนนสิ สยปจจยั ? [P] ข. มหาภตู รปู ๔ เปนนสิ สยปจจัย ? [P] ค. ปสาทรปู ๕ เปน อนิ ทริยปจจยั ? [P] ง. รูปชวี ติ นิ ทรีย เปน อนิ ทรยิ ปจจัย ? [P] จ. นามอินทรียองคธรรม ๘ มีชวี ิตินทรียเ จตสกิ เปน ตน เปนอนิ ทริยปจจัย ? [P] ตอบ ก. จิต เจตสิก และจติ ตชรปู ปฏิสนธกิ ัมมชรปู เปน นิสสยปจจยุปบนั พระบาลี ขอ ๑+๔ สห ข. มหาภตู รูป ๔ และอปุ าทายรปู ๒๔ เปนนิสสยปจจยปุ บนั พระบาลี ขอ ๒+๕ สห ค. ทวปิ ญจวิญญาณจติ ๑๐ เปนอนิ ทรยิ ปจจยปุ บนั อินทริยปจ จัยขอ ๑-๕ วตั ถุ ง. อปุ าทนิ นรปู คือ กัมมชรปู เปนอนิ ทรยิ ปจจยปุ บัน อินทรยิ ปจจัยขอ ๖ รปู ชี จ. นามรปู คือ จติ เจตสกิ จิตตชรูป ปฏสิ นธกิ มั มชรปู เปนอนิ ทริยปจ จยปุ บนั อินทรยิ ปจ จยั ขอ ๗ สห ๑๖. อนิ ทรยิ ปจจัย๓๗ มพี ระบาลนี ทิ เทส ๗ ขอ มปี จจยั พสิ ดาร ๓, พระบาลีนิทเทส ขอ ๑-๕ เปนปุเรชาตนิ ทริยปจจัย ดาวนโ หลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอ ความเพิ่มเตมิ ท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 26 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน (วัตถุปุเรชาตชาติ), ขอ ๖ เปน รปู ชวี ติ ินทรยิ ปจจัย/ชาต,ิ ขอ ๗ เปน สหชาตินทรยิ ปจจยั (สหชาตชาต-ิ เล็ก) [๑๖] อนิ ฺทรฺ ยิ ปจจฺ โยติ๓๗ : (สห ๗ / วตั ถุ๕=๑-๕ /รปู ชี ๖) (มี ๗ ขอ) [P117-118] ๑. จกฺขุนฺทฺริยํ จกฺขุวิฺ าณธาตุยา ตสํ มฺปยตุ ตฺ กานจฺ ธมฺมานํ อนิ ฺทรฺ ิยปจฺจเยน ปจฺจโย. รูป->นาม มชั ฌมิ ายุกจักขุนทรยี  คอื จักขุปสาทท่มี อี ายุเทา กันกบั รปู ารมณที่มากระทบ ไดแกจ กั ขุปสาททเ่ี กิดพรอมกนั กบั อตีตภวังคดวง แรก หรือฐีตปิ ตตจกั ขุนทรยี  ๔๙ เปน ปจจัยคอื ชว ยอุปการะ แกจักขวุ ญิ ญาณธาตุ และสพั พจิตตสาธารณเจตสกิ ๗ ดวง ที่ประกอบกบั จกั ขุวญิ ญาณธาตุ ดวยอาํ นาจปุเรชาตนิ ทรยิ ปจ จยั จักขนุ ทรยี / ปสาท(วัตถ)ุ ->จักขุวิญญาณธาต+ุ สพั .๗ป ๒. โสตนิ ฺ.-โสต. ๓. ฆานนิ ฺ.-ฆาน. ๔ ชวิ หฺ นิ ฺ.-ชวิ ฺหา. ๕. กายนิ ฺ.-กาย. ๑-๕=ปสาทรูป ๕->ทว-ิ วิญ-ธาตุ ๑๐+สัพ.๗ป ๖. รปู ชวี ิตินทฺ ฺริยํ กฏตตฺ า รปู านํ อินทฺ รฺ ิยปจจฺ เยน ปจฺจโย. รปู ->รูป รูปชวี ติ นิ ทรีย ทีเ่ กดิ ขึ้นในปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล เปนปจ จยั คือชวยอปุ การะ แกก ัมมชรูปท่ีเหลือ ๙ หรือ ๘ ทอ่ี ยใู นกลาปอัน เดียวกันกบั ตน ดวยอาํ นาจรูปชวี ิตินทริยปจ จยั รปู ชีวติ ินทรีย (ชวี ิตรปู )->รูป ท่เี หลือ๙/๘ใน(กัมมช)กลาป(๙) ๗. อรูปโน อนิ ทฺ ฺรยิ า สมฺปยตุ ตฺ กานํ ธมฺมานํ ตสํ มฏุ  านานฺจ รปู านํ อนิ ฺทรฺ ยิ ปจจฺ เยน ปจฺจโย. นาม->นามรปู นามอินทรีย ๘ คือ ชีวติ นิ ทรีย จิต เวทนา สทั ธา วิริยะ สติ เอกัคคตา ปญญา เปนปจจัยคอื ชว ยอุปการะแกจิต ๘๙ เจตสกิ ๕๒ ทปี่ ระกอบกบั นามอนิ ทรยี  ๘ และจิตตชรปู ปฏสิ นธิกัมมชรปู ซ่งึ มนี ามอนิ ทรยี  ๘ และสัมปยตุ ตธรรมเปน สมฏุ ฐาน ดว ยอาํ นาจ สหชาตินทริยปจ จัย นามอนิ ทรีย ๘->นามรูป (๘๙+๕๒ป จิรุ ปก)ํ ๔. ก. จงแสดงปจจยุปปน ธรรมของปจ จยั ดงั นี้ ? 51 ใหเหตุ (ปจ) -> หาผล (ปย) นามอนิ ทรยี  องคธรรม ๘ เปนอนิ ทรยิ ปจจัย ? [P] รูปชวี ติ นิ ทรีย เปน อนิ ทริยปจจยั ? [P] อนิ ทรยิ ปจ จยั ๓๗ ตอบ ก. นามอินทรยี  องคธ รรม ๘ เปนอนิ ทรยิ ปจจัย นามรปู คอื จติ ๘๙ เจตสกิ ๕๒ และ จิตตชรปู ปฏสิ นธกิ มั มชรปู เปน อนิ ทริยปจจยปุ ปน รปู ชวี ติ ินทรยี  เปนอนิ ทรยิ ปจ จัย อปุ าทินนรปู คอื กมั มชรปู เปนอนิ ทริยปจ จยุปปน ๖. ก. ใหแ สดงปจ จัยธรรมของอนิ ทริยปจ จยปุ บนั ธรรม ดังตอไปน้ี ? 45, 54(6ก) หาเหตุ (ปจ) -> ใหผล (ปย) ๑. ทวิปญ จวญิ ญาณจติ ๑๐ เปน อินทริยปจ จยปุ บันธรรม ? [P] อนิ ทริยปจ จัย ขอ ๑-๕ วตั ถุ ๒. อปุ าทนิ นรปู คอื กัมมชรูป เปนอนิ ทริยปจ จยุปบนั ธรรม ? [P] อินทริยปจ จยั ขอ ๖ รปู ชี ๓. นามรูป จิต เจตสกิ จิตตชรูป ปฏิสนธิกัมมชรูป เปนอินทรยิ ปจจยุปบนั ธรรม ? [P] อนิ ทริยปจ จัย ขอ ๗ สห ตอบ ก. แสดงปจจยั ธรรมของอนิ ทรยิ ปจจยุปบนั ธรรม ดงั นี้ ๑. ปสาทรปู ๕ เปนอนิ ทริยปจจัยธรรม ๒. รูปชีวิตนิ ทรยี  เปน อนิ ทรยิ ปจ จัยธรรม ๓. นามอนิ ทรยี องคธ รรม ๘ มชี ีวติ ินทรยี เ จตสกิ เปน ตน เปนอนิ ทริยปจจัยธรรม ขอ ๗ ๗. คาํ วา บัญญัติ หมายความวา อยางไร ใหแสดงวจนัตถะของอรรถบัญญัตขิ อ ที่ ๑ สัททบัญญัติขอ ท่ี ๒ และจงแสดงสรปุ ความดวย ? [P202-203] 58 ตอบ คําวา บัญญตั ิ หมายความวา เนอ้ื ความ คือ วตั ถุ สิ่งของ เรอ่ื งราวตางๆ ทพี่ งึ ใหถกู รูได ชนดิ น้ีเรยี กวา อตั ถบญั ญตั ิ ดงั แสดงวจนตั ถะวา “ปฺ าปยตตฺ า = ปฺ ตตฺ ”ิ เนอ้ื ความ คอื วตั ถุส่งิ ของเรอื่ งราวตา งๆ ทีพ่ งึ ใหถ ูกรไู ด ชอ่ื วา บญั ญตั ิ ไดแ ก อตั ถบญั ญตั ิ “ปกาเรน าเปตตี ิ = ปฺ ตตฺ ”ิ เสยี ง คือ คาํ พดู ยอ มทําใหร เู นื้อความ คือ วตั ถสุ ่งิ ของเรื่องราว และสภาพปรมัตถไ ดดว ยประการตา งๆ ฉะนัน้ ชอื่ วา บญั ญตั ิ ไดแ ก สัททบญั ญตั ิ ดาวนโหลดขอ มลู ตางๆไดจ าก ขอ ความเพิ่มเติมที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมิกะโท 27 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๗. ก./ข. วจนตั ถะตอไปนี้ แปลวาอยา งไร ไดแ กบ ญั ญตั อิ ะไร ? [P202-203] 48, 59 ๑. ปกาเรน าปยตตี ิ = ปฺ ตตฺ ิ ๒. ปกาเรน าเปตีติ = ปฺตตฺ ิ ตอบ ก. ข. วจนัตถะตอไปนี้ แปลดงั น้ี ๑. ปกาเรน าปยตตี ิ = ปฺ ตฺติ แปลวา วตั ถุสิ่งของเรือ่ งราวตางๆ ช่อื วา บัญญตั ิ เพราะพึงใหถกู รูได โดย ประการตา งๆ ไดแ ก อัตถบญั ญตั ิ ๒. ปกาเรน าเปตตี ิ = ปฺ ตตฺ ิ แปลวา เสยี งคือคาํ พดู ยอ มทาํ ใหร ูเนอ้ื ความ คอื วตั ถสุ ง่ิ ของเรอื่ งราว และ สภาพปรมตั ถไดด ว ยประการตางๆ ไดแ ก สัททบญั ญตั ิ ๗. ก. ใหแ ปลคาํ บาลดี งั ตอไปน้ี ? [P202-3] 45 ปฺ าปยตฺตา = ปฺ ตฺติ ปฺ าปนโต = ปฺ ตตฺ ิ ตอบ ก. แปลคําบาลีดงั น้ี อัตถบญั ญตั ิ เพราะเปนบญั ญตั ิท่ีพึงใหถ ูกรูไดโ ดยประการตา ง ๆ สทั ทบัญญัติ เพราะเปนบญั ญตั ิที่พึงใหร เู น้ือความไดโ ดยประการตา ง ๆ ๗. ก. บญั ญตั เิ มอื่ กลา วโดยประเภทใหญแลว (มเี ทาไหร) มกี ่ีประเภท (อยาง) คืออะไรบาง ? 54 จงแสดงพรอมดว ยความหมาย ? 48, 59 และตวั อยางประกอบดวย ? [P202-203] 46, 47 ก. เน้ือความทเี่ หลือจากรูปนามนนั้ เรียกวาอะไร มีกอ่ี ยา ง คอื อะไรบา ง ? [197, P202-203] 44, 51, 53 จงแสดงพรอมดวยความหมาย? 48 ตอบ ก. บัญญตั ิเม่ือกลา วโดยประเภทใหญแลว มี ๒ ประเภท (อยา ง) คอื ก. เนือ้ ความทเ่ี หลอื จากรูปนามนั้น เรียกวา บัญญัติ แบง ออกเปน ๒ อยา ง คอื ๑. อตั ถบัญญตั ิ เพราะเปนบัญญัติทีพ่ งึ ใหถกู รไู ดโ ดยประการตา งๆ ตัวอยาง เชน แผนดิน บาน บุคคล ทศิ ตะวนั ออก ถ้าํ บริกรรมนมิ ติ เปน ตน ๒. สทั ทบัญญตั ิ เพราะเปน บัญญัตทิ พ่ี งึ ใหรูเนื้อความไดโ ดยประการตางๆ ตัวอยา งเชน รูป เวทนา ภูเขา ตน ไม ฉฬภญิ โญบุคคล เตวิชโชบคุ คล เปน ตน ๗. จงยกตัวอยางในสิง่ ทมี่ ีชวี ติ เชน งู วาเปน ไดท ั้งสทั ทบญั ญตั ิ อตั ถบญั ญตั ิ และเปน ปรมตั ถ พรอมทงั้ สรุปความมาดวย ? [P204] 36(7ข), 52 ตอบ ยกตัวอยา งในสง่ิ มชี วี ติ เชน งู ที่ชื่อวา งเู ปน สทั ทบญั ญัติ รปู รา งของงูมตี วั ยาวกลมเปน ตน เปน อตั ถบัญญตั ิ สีของงทู าํ ใหเราเหน็ ได ถางนู น้ั ทาํ เสียงขู เราก็ไดย ินเสยี งได ถาจบั ตวั ดู กร็ สู ึกวาออน งนู ั้นก็มีการมองเหน็ สง่ิ ตา งๆ ได ไดยนิ เสียงได ถา ถกู คนตี กม็ คี วามรูสกึ เจบ็ และมีความกลัวโกรธได สี เสยี ง ออน เปนตน เหลา นี้ เปน รปู ปรมัตถ การเห็นการไดยนิ การรูสกึ เจบ็ การกลัว การโกรธของงเู หลา น้ี เปนจติ และเจตสกิ ปรมัตถ สรุปความวา ชือ่ ตา งๆ ภาพตา งๆ และคาํ พูดตา งๆ เปนสัททบญั ญัติ วัตถุสง่ิ ของเรอ่ื งราวตา งๆ เปน อตั ถบญั ญตั ิ สภาวลักษณะของชื่อทเ่ี กีย่ วกับรูปนาม และสภาวลกั ษณะท่อี ยูในสงิ่ ของตางๆ เปน ปรมัตถ ๗. คาํ ตอ ไปน้ี หมายความวา อยา งไร ? [P202, 211-212] 56 ก. อัตถบัญญัติ (แสดงตามวจนัตถะ) [P202] ข. สัททบญั ญตั ิ (แสดงตามวจนตั ถะ) [P202] ค. วชิ ชมานบัญญัติ [P211] ฆ. วชิ ชมาเนนวิชชมานบัญญัติ [P211] ง. อวิชชมาเนนอวชิ ชมานบัญญัติ [P212] ตอบ คาํ ตอไปนี้ หมายความวาดังน้ี ก. อตั ถบัญญัติ = เนือ้ ความคือวตั ถสุ ง่ิ ของเรอ่ื งราวตา ง ๆ ทีพ่ ึงใหถูกรไู ด ข. สัททบญั ญตั ิ = เสียงคอื คาํ พดู ยอมทาํ ใหร ูเนื้อความ คอื วัตถุสง่ิ ของเรื่องราว และ สภาพปรมัตถได ดว ยประการตา ง ๆ ค. วชิ ชมานบญั ญตั ิ = เปน สทั ทบัญญัติ ที่มสี ภาวปรมัตถปรากฏอยู ฆ. วิชชมาเนนวชิ ชมานบญั ญตั ิ = เปนสทั ทบัญญตั ิ ทกี่ ลา วถงึ ธรรมท่มี ีสภาวปรมตั ถป รากฏ กับ ดาวนโหลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอความเพิม่ เติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมิกะโท 28 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ธรรมท่มี ีสภาวปรมตั ถปรากฏรวมกนั อยู ง. อวิชชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ = เปน สทั ทบญั ญัติ ท่ีกลา วถงึ ธรรมที่ไมม ีสภาวปรมตั ถป รากฏ กบั ธรรมทไ่ี มม ีสภาวปรมตั ถปรากฏรวมกันอยู ๗. สัททบญั ญัติอยา งเดียวเรียกช่ือไดก อ่ี ยา ง คอื อะไรบา ง ใหแ สดง/จงบอก ความหมาย(ของสัททบญั ญตั นิ นั้ ๆ) มาดวย ? [P208-210] 38, 60 ตอบ สทั ทบัญญัติ เรยี กชอื่ ได ๖ อยาง คอื ๑. นามะ ไดแ ก ชอ่ื ตา งๆทม่ี ีสภาพนอมเขา สเู นอื้ ความ คอื อัตถบญั ญัติ [P] และทาํ ใหเ น้อื ความน้นั นอ มเขาสูตน คือ ชอ่ื ตา งๆ นนั้ ดว ย ๒. นามกมั มะ ไดแ ก นามบญั ญัตทิ นี่ กั ปราชญทงั้ หลายในสมยั โบราณ เรียกขานกันมา [P] เชนเรียกวา แผนดนิ ภเู ขา เปน ตน ๓. นามเธยยะ ไดแ ก นามบัญญัตทิ น่ี ักปราชญทั้งหลายในสมัยโบราณ สมมุตติ ้ังชอื่ ไวจ นถงึ ทุกวันน้ี [P] เชน เรยี กวา แผน ดิน ภูเขาเปนตน ๔. นิรตุ ติ ไดแ ก นามบญั ญัตทิ น่ี ักปราชญทงั้ หลาย คดิ นกึ พิจารณาแลวตง้ั ชอื่ สงิ่ ตา งๆ ใหปรากฏขน้ึ [P] ๕. พยญั ชนะ ไดแ ก นามบัญญัตทิ ีส่ ามารถแสดงเน้ือความ คอื อตั ถบญั ญตั ใิ หป รากฏ [P] ๖. อภิลาปะ ไดแ ก นามบัญญัตทิ ่ีผกู ลา วเรียก ยอมมุงสตู รงเน้อื ความ แลว กก็ ลา วเรยี กขน้ึ [P] ๗. ข. สัททบญั ญตั ิอยางเดยี ว เรียกชอ่ื ได ๖ อยา งมีนามะ นามกัมมะเปน ตนนนั้ (ทราบแลวไมถ าม แตขอถามวา) เมื่อสรปุ แลวไดความวาอยางไร ? [P210] (46, 47), 49, 55(7ก/ค) ตอบ สทั ทบัญญตั อิ ยางเดียวเรียกชื่อได ๖ อยา ง (มีนามะ นามกัมมะเปน ตน ) นนั้ เมอื่ สรปุ แลว ไดค วามวา คาํ วา ภูมหิ รือแผน ดนิ น้ี มชี ่ือได ๖ อยางดงั ทีก่ ลา วมานี้ แมใ นช่อื อื่นๆ มี ภูเขา ตนไม ชาย หญิงเปนตน และภาษา ตา งๆ ท่ีใชก ันอยใู นโลกนค้ี ําหนง่ึ ๆ ก็มชี ่ือได ๖ อยางมี นามะ นามกมั มะ เปน ตน เชนเดยี วกนั เพราะคําพดู และ ภาษาตา งๆ เหลานี้ก็เปนสัททบัญญตั ดิ วยกนั ทั้งนัน้ อปุ มาเหมือนคนคนเดยี วมชี ื่อ ๖ อยา งดว ยกนั ฉันนน้ั และ สัททบัญญตั เิ หลา นี้ เรียกวา นามบัญญตั กิ ไ็ ด ๗. วิชชมานบญั ญัติ อวิชชมานบญั ญตั ิ หมายความวา อยางไรใหยกตัวอยาง และแสดงวจนัตถะดวย ? [P211] 57 ตอบ วิชชมานบัญญตั ิ หมายความวา เปน สัททบัญญตั ทิ ่ีมีสภาวปรมตั ถปรากฏอยู เชน คําวา รปู เวทนา สัญญา สังขาร วญิ าณ นิพพาน เปน ตน หรอื เมอื่ กลา วโดยสรปุ แลว กไ็ ดแ กค ําพดู ทเี่ ก่ียวกบั จติ เจตสกิ รปู นิพพาน นั้นเอง ดังแสดงวจนัตถะวา “วิชชฺ ามานสสฺ ปฺ ตตฺ ิ = วิชชฺ มานปฺ ตตฺ ”ิ คาํ สมมุตขิ องธรรมท่ีมีสภาวปรมตั ถปรากฏอยูชอื่ วา วิชชมานบญั ญตั ิ อวชิ มานบัญญตั ิ หมายความวา เปน สทั ทบัญญตั ทิ ไ่ี มม สี ภาวปรมตั ถปรากฏอยู เชน คาํ วา แผนดนิ ภเู ขา ตน ไม แมน ้าํ มหาสมทุ ร บาน ชาย หญงิ เปน ตน ดงั แสดงวจนตั ถะวา “อวิชชฺ มานสสฺ ปฺ ตตฺ ิ = อวิชชฺ มานปฺ ตฺต”ิ คําสมมตุ ิของธรรมที่ไมม ีสภาวปรมัตถปรากฏอยชู ่ือวา อวชิ ชมานบญั ญัติ ๗. ข. ใหแ ปลในบาลดี งั ตอ ไปนี้ (ที่ละไวกใ็ หแ ปลใหห มด) ? [P200] 43 สา วิชชฺ มานปฺ ตฺติ ฯลฯ อวิชชฺ มานเนน อวชิ ชฺ มานปฺ ตตฺ ิ เจติ ฉพพฺ ิธา โหต.ิ ตอบ ข. บาลีน้ี แปลวา สทั ทบัญญัตนิ ้ีมี ๖ ประเภท คอื ๑. วชิ ชมานบญั ญตั ิ ๒. อวิชชมานบัญญตั ิ ๓. วิชชมาเนนอวชิ ชมานบัญญัติ ๔. อวิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ ๕. วิชชมาเนนวชิ ชมานบัญญตั ิ ๖. อวชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ ดาวนโหลดขอ มูลตา งๆไดจ าก ขอความเพิม่ เตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ที่แปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท 29 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๗. ข. วชิ ชมานบญั ญัตแิ ละอวิชชมานบญั ญตั ิ หมายความวา อยา งไร ใหแ สดงตัวอยางดว ย ? [P211-2] 36(7ก), 50 ๗. ก. สทั ทบัญญตั ิประเภทที่ ๑ และท่ี ๒ ช่ือวา อยางไร? จงแสดงพรอมดวยความหมาย และยกตวั อยา งดวย ? 49, 54 / ก. สัททบญั ญัติประเภทที่ ๑, ๒, ๕, ๖ ไดแ กอ ะไรบาง ? [P211-212] 54 ๗. ก. สทั ทบัญญัติขอ ที่ ๓ คอื อะไร ใหบอกความหมายและยกตวั อยา งดว ย ? [P211-212] 51, 55(7ข/ค) ๗. ข. สัททบญั ญตั ปิ ระเภทที่ ๓ และ ๔ น้นั ช่อื วาอะไร จงแสดงพรอมดวยความหมาย ยกตัวอยา งประกอบดว ย ? [P211-212] 53 ๗. สทั ทบญั ญตั มิ ีกปี่ ระเภท คอื อะไรบาง ใหแสดงความหมายมาดว ย (ไมตอ งยกตัวอยาง) และคาํ วา คนใจบญุ ผลของกรรม เปนสทั ทบญั ญตั ิ ประเภทไหน ? [P211-212] 37 ๗ ข. จงแสดงสทั ทบญั ญัติ ๖ ประเภท พรอมทั้งความหมาย ? [P211-212] 39(7ข) ๗. สทั ทบัญญตั ิ ๖ ประเภทน้ัน คืออะไรบา ง? ใหแสดงความหมายและยกตวั อยางดว ย ? [P211-212] 41, 61 ตอบ สัททบญั ญตั ิ มี ๖ ประเภท คือ ๑. วิชชมานบญั ญตั ิ เปน สัททบัญญตั ิท่มี สี ภาวปรมตั ถป รากฏอยู เชน รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญาณ นิพพาน เปนตน ๒. อวิชชมานบัญญตั ิ เปนสัททบญั ญตั ิทไี่ มม สี ภาวปรมตั ถปรากฏอยู เชน แผน ดนิ ภูเขา ตนไม แมน ้ํา มหาสมทุ ร บา น ชาย หญิง เปน ตน ๓. วิชชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ เปนสทั ทบัญญัติทีก่ ลา วถงึ ธรรมทม่ี สี ภาวปรมตั ถป รากฏ กับธรรมทไ่ี ม มีสภาวปรมตั ถปรากฏ รวมกันอยู เชน ฉฬภิ ฺโ เตวชิ โฺ ช ปฏสิ มฺภทิ ปฺปตโฺ ต โสตาปนฺโน เปน ตน ๔. อวชิ ชมาเนนวิชชมานบญั ญตั ิ เปนสัททบัญญตั ทิ ีก่ ลา วถงึ ธรรมทไี่ มม ีสภาวปรมตั ถปรากฏ กบั ธรรมท่ี มีสภาวปรมัตถป รากฏ รวมกนั อยู เชน อิตถฺ ิสทฺโท เสยี งหญงิ สวุ ณฺณวณโฺ ณ สีทอง ปปุ ผฺ คนโฺ ธ กลนิ่ ดอกไม เปน ตน ๕. วชิ ชมาเนนวชิ ชมานบัญญตั ิ เปน สทั ทบัญญตั ทิ ี่กลาวถงึ ธรรมที่มีสภาวปรมัตถป รากฏ กบั ธรรมทมี่ สี ภาว- ปรมตั ถป รากฏ รวมกนั อยู เชน จกขฺ วุ ิฺ าณํ วญิ ญาณทีอ่ าศยั จกั ขุวตั ถเุ กดิ , จกฺขสุ มผฺ สโฺ ส การกระทบทางตา เปน ตน ๖. อวิชชมาเนนอวิชชมานบญั ญัติ เปนสทั ทบัญญัตทิ กี่ ลาวถงึ ธรรมทไ่ี มม ีสภาวปรมัตถป รากฏ กบั ธรรม ทไ่ี มม ีสภาวปรมัตถปรากฏ รวมกันอยู เชน ราชปตุ ฺโต = บตุ รของพระราชา, ราชนตตฺ า = หลานของพระราชา, เสฏ ภริยา = ภรรยาเศรษฐี, เชฏ ภคนิ ี = พส่ี าว เปน ตน คนใจบุญ เปน อวิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ ผลของกรรม เปนวชิ ชมาเนนวิชชมานบญั ญตั ิ ๗. ข. สทั ทบัญญัตปิ ระเภทท่ี ๓ นนั้ ชอ่ื วาอะไร? จงแสดงพรอมดว ยความหมาย ตวั อยางของประเภทที่ ๓ น้ี เชน ฉฬภิ โฺ  เตวิชฺโช ปฏสิ มฺภทปปฺ ตฺโต เปน ตน ถาแปลเปน ภาษาไทยแลว จะกลับเปนตวั อยางของสัทท บัญญตั ปิ ระเภทไหน ช่อื วา อะไร ใหแ สดงพรอ มดว ยความหมาย และตวั อยางทย่ี กมาน้ีแปลวาอยางไร ? [P211] 44 ตอบ ข. ชอื่ วา วชิ ชมาเนนอวิชชมานบญั ญัติ หมายความวา เปน สัททบัญญตั ิทีก่ ลาวถึงธรรมทีม่ สี ภาวปรมัตถ ปรากฏกับธรรมทไ่ี มม ีสภาวปรมตั ถปรากฏ รวมกนั อยู ตวั อยางของประเภทท่ี ๓ น้ี ถาแปลเปนภาษาไทยแลวก็ จะกลับเปน ตัวอยา งของสัททบัญญัติประเภทท่ี ๔ ชอ่ื วา อวิชชมาเนนวิชชมานบัญญตั ิ หมายความวา เปน สทั ท บัญญัติท่กี ลา วถงึ ธรรมท่ีไมม ีสภาวปรมตั ถปรากฏกับธรรมที่มีสภาวปรมัตถปรากฏรวมกันอยู และตวั อยางท่ยี ก มาน้ี แปลวา บคุ คลที่ไดอ ภญิ ญา ๖ บุคคลทีไ่ ดวชิ ชา ๓ บุคคลท่ไี ดบ รรลปุ ฏิสมั ภิทาญาณ ๗. ก. ข. ค. อัตถบัญญตั ิ ท่เี ก่ียวกบั โรงเรยี น สตั ว เดือน ป และวนั มชี อื่ วาอยา งไร ? [P205-207] 51, 55(7ค/ค) ตอบ ก. ข. ค. อตั ถบญั ญตั ทิ ่ีเกีย่ วกับโรงเรียน มชี อ่ื วา สมูหบญั ญตั ิ [P205] อตั ถบญั ญัตทิ ี่เกยี่ วกบั สัตว มีช่อื วา สตั วบัญญตั ิ [P206] อัตถบญั ญัตทิ ีเ่ กย่ี วกับเดอื น มชี อ่ื วา มาสบัญญตั ิ [P207] อัตถบญั ญตั ิที่เกีย่ วกบั ป มีช่อื วา สงั วจั ฉรปญ ญตั ิ [P207] ดาวนโ หลดขอมลู ตางๆไดจาก ขอความเพิม่ เตมิ ที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมิกะโท 30 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน อตั ถบัญญตั ิทเ่ี ก่ยี วกับวนั มีชือ่ วา วารบญั ญัติ [P207] ๗. ข. ใหบ อกชอื่ ชนดิ ของบัญญตั ใิ นคาํ ดงั ตอ ไปน้ี วาเปน อตั ถบญั ญตั แิ ละสัททบญั ญตั ิประเภทไหนอาจารย, วันอาทติ ย, นักศึกษาปรมตั ถธรรม, พระโสดาบนั บุคคล ? [P206-213] 45 ตอบ ข. อาจารย เปนอตั ถบญั ญัติ ประเภทสัตวบญั ญตั ิ เปนสทั ทบัญญตั ิ ประเภทอวชิ ชมานบัญญัติ วนั อาทิตย เปน อตั ถบัญญตั ิ ประเภทวารบญั ญตั ิ เปนสทั ทบญั ญัติ ประเภทอวิชชมานบญั ญตั ิ นักศกึ ษาปรมัตถธรรม เปน สทั ทบัญญัติ ประเภทอวิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ โสดาบนั บคุ คล เปน อัตถบญั ญัติ ประเภทสัตวบญั ญตั ิ เปนสทั ทบัญญัติ ประเภทวชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ *************************** สิง่ ทสี่ าํ คญั คือการเขา เรยี น-ศึกษากบั อาจารยผูสอน เพอ่ื ความรูความเขา ใจท่ถี ูกตอง แจม แจง หากสงสยั จะได สอบถามทนั ที การรวบรวมขอ สอบทเี่ คยออกมาแลว น้ี เปน เพยี ง แนวทางสาํ หรบั ผูศ กึ ษา นํามาเนน+ทรงจาํ ไว (หาก ความสามารถมากกวาน้ี ก็ควรจะทรงจําใหไดท ัง้ หมด จงึ จะชือ่ วา สุตะดว ยดี เพอื่ การจนิ ตาและภาวนาตอไป) การสอบไมใ ชท ี่สุดของชีวิต ขอใหต ้ังจติ ศึกษา และทรงจํา เพอ่ื ธํารงและรกั ษาไวซ ง่ึ พระศาสนา รูอ รรถะ และพยัญชนะ ท้งั เขา ใจและเขา ใหถึงธรรมะ แมย งั มิ บรรลคุ ุณธรรมอนั สูงถงึ ขนั้ อริยะ ก็ขอจงเปน ผรู ูธรรมะ (ตามสมควร) และจงเปน ผมู ธี รรมะ วายเมเถว ปรุ โิ ส ยาว อตถฺ สสฺ นปิ ปฺ ทา เกดิ เปน คนควรจะพยายาม จนกวาจะประสบความสาํ เรจ็ สาํ เนาประกอบการเรยี นหรือแจกโดยไมต อ งขออนญุ าต (สงวนสิทธใิ์ นการจําหนาย) ผิด-ตกขออภัย และกรุณาแจง ดว ยคะ ที่ 081-860-2466, Line ID: 081-860-2466, fb: Kanrasi Sengking, E-mail: [email protected], [email protected] ขออนโุ มทนาในการศึกษาธรรมะ และทกุ ๆกุศลทที่ า นกระทาํ ไวดแี ลว และที่จะกระทําในอนาคต ใหเ ราน้นั มปี จจยั ถงึ พรอ มเพอ่ื การทาํ กศุ ลใหสําเร็จโดยสะดวก งายดาย และเรว็ ไว จนถึงมัคคกศุ ล โดยเร็วพลนั เทอญ ดาวนโหลดขอ มูลตา งๆไดจาก ขอ ความเพิม่ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 31 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน เฉลยขอ สอบขอ เขยี นพระอภธิ รรม ภาคเรียนท่ี ๒ ปการศึกษา ๒๕๔๓-๖๑ อภิธรรมโชติกะวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ช้ัน มัชฌมิ อาภธิ รรมิกะโท สอบวนั เสารท ่ี....ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕...... วิชา : สมถะ วปิ ส สนา ๗ ขอ ๗๐ คะแนน เวลา ๔ ช.ม. (วันหลัง) สมถกมั มัฏฐาน ขอ ๑-๔ ๑. ก. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ นัน้ แบง ออกเปนก่หี มวด คอื อะไรบาง ? [P1, 25] 44, 45, 48, 53(1ข) ตอบ ก. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ แบง ออกเปน ๗ หมวด คือ ๑) กสณิ ๑๐ ๒) อสภุ ะ ๑๐ ๓) อนสุ สติ ๑๐ ๔) อัปปมัญญา ๔ ๕) สญั ญา ๑ ๖) ววัตถาน ๑ ๗) อารุปป ๔ ๑. ก. กมั มฐานสงั คหะ หมายความวา อยา งไร ใหแ สดงวจนัตถะพรอ มทง้ั คาํ แปล ? [P15] ตอบ ก. กมั มฐานสงั คหะ หมายความวา เปนปรจิ เฉททแ่ี สดงการรวบรวมกรรมฐานตางๆ แสดงวจนตั ถะวา กมฺมฏ านานํ สงฺคโห = กมมฺ ฏ านสงฺคโห ปรจิ เฉททแี่ สดงการรวบรวมกรรมฐานท้งั หมด ชอ่ื วา กัมมฐานสังคหะ ๑. ก. คาํ วา ภาวนา แปลวา อยางไร แสดงวจนัตถะวาอยา งไร ? [P15] 47 ๑. ก. คาํ วา ภาวนา แปลวา อยา งไร ใหแ สดงวจนัตถะ พรอ มทง้ั คําแปลมาดวย ? [P15] 59 และภาวนา มีอยกู อี่ ยา ง คอื อะไรบา ง ? 61 ตอบ ก. คําวา ภาวนา แปลวา ธรรมท่ีควรเจรญิ คือ ใหเกิดขน้ึ บอยๆ ในสนั ดานของตน ชอื่ วา ภาวนา ดังแสดงวจนัตถะวา “ภาเวตพพฺ าติ = ภาวนา” ธรรมทบี่ ณั ฑติ ทัง้ หลาย พึงทาํ ใหเกดิ ขนึ้ เปน ครงั้ แรก และ ครง้ั หลงั ๆ ใหต ดิ ตอกนั เปน นจิ จนถึงเจริญข้ึน ฉะนน้ั จงึ ชอื่ วา ภาวนา ภาวนา มี ๒ อยา ง คือ ๑. สมถภาวนา ๒. วปิ ส สนาภาวนา ๑. ก. ภาวนา แปลวา อยางไร มีกอ่ี ยา งคืออะไรบา ง? ใหแสดงวจนตั ถะของสมถภาวนานัยท่ี ๑ และของวิปส สนาภาวนา ? [P15-16, 18] 51 ๑. ข. ภาวนา แปลวาอยา งไร / ข. ธรรมที่ช่อื วา ภาวนา มอี ยูก่ีอยาง คอื อะไรบาง ? [P15] 44, 45, 47, 49, 53(3ก) ตอบ ก./ข. ภาวนา แปลวา ธรรมทค่ี วรเจริญ คอื ใหเกดิ ขน้ึ บอ ย ๆ ในสนั ดานของตน ชอ่ื วา ภาวนา ภาวนา มี ๒ อยา ง คอื ๑. สมถภาวนา ๒. วปิ ส สนาภาวนา (51) แสดงวจนัตถะของสมถภาวนานยั ท่ี ๑ วา กเิ ลเส สเมตีติ = สมโถ ธรรมใดทาํ ใหก เิ ลสมกี ามฉันทนวิ รณเ ปน ตน สงบลง ฉะน้นั ธรรมนั้นช่ือวา สมถะ แสดงวจนัตถะของวปิ ส สนาวา วเิ สเสน ปสฺสตตี ิ = วปิ สฺสนา ธรรมชาตใิ ดยอมเหน็ แจง เปน พิเศษ ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ ้นั ช่อื วา วปิ ส สนา ดาวนโ หลดขอมลู ตางๆไดจ าก ขอ ความเพม่ิ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 32 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ๒. กเิ ลเส สเมตตี ิ = สมโถ วจนัตถะขอท่ี ๑ น้ี แปลวา อยางไร? และจงอธบิ ายในวจนัตถะขอน้ี มาใหถ กู ตอง ? [P16] 49 ตอบ วจนตั ถะขอท่ี ๑ นี้ แปลวา ธรรมใด ทาํ ใหก ิเลสมกี ามฉนั ทนวิ รณ เปน ตน สงบลง ฉะนั้น ธรรมน้ันช่ือวา สมถะ ไดแก สมาธิ คือ เอกคั คตาทใ่ี นมหากุศลจติ ๘ และ รปู าวจรปฐมฌานกศุ ลจิต ๑ อธบิ ายวา ปถุ ุชนท้งั หลายทกี่ าํ ลังเจริญสมถกรรมฐานอยูน นั้ ในเวลาน้ัน มหากศุ ลจติ ตปุ บาท ยอมเกดิ ขนึ้ เรอื่ ยๆ ถาผนู ้นั เปนตเิ หตกุ ปุถุชน และมีความพยายามอยา งเพยี งพอแลว กจ็ ะสามารถสาํ เรจ็ เปน ฌานลาภบี คุ คลคือ รู ปา-วจรปฐมฌานกศุ ลยอ มเกดิ ขนึ้ มหากศุ ลจติ ตุปบาทและปฐมฌานกศุ ลจติ ตปุ บาทเหลา นี้ มีเอกคั คตาเจตสกิ เปนประธานทานมงุ หมายเอาเฉพาะ เอกคั คตาเจตสิกดวงนแี้ หละจึงแสดงวจนตั ถะวา กิเลเส สเมตีติ = สมโถ ๒. ก. สมถะมกี ่อี ยา ง คอื อะไรบา ง ใหอ ธบิ ายในสมถะนั้นๆ ดว ย ? [P17] 45, 50, 53(4ก) ตอบ ก. สมถะมี ๒ อยาง คอื ๑. ปริตตสมถะ การเจรญิ สมถกมั มฏั ฐานของบคุ คลที่ยงั ไมเ ขาถึงอปั ปนาภาวนา ช่ือวา ปรติ ตสมถะ เพราะใน ขณะน้ัน มแี ตม หากศุ ล หรือมหากิรยิ าชวนะเทา นน้ั ท่เี กดิ ขน้ึ องคฌานทปี่ ระกอบอยนู ั้นยงั มี กาํ ลังออนอยู ๒. มหคั คตสมถะ การเจรญิ สมถกัมมัฏฐานของบคุ คลทเี่ ขา ถงึ อัปปนาภาวนาคอื มหคั คตฌาน ชอื่ วา มหคั คต สมถะ เพราะในขณะนนั้ มหคั คตกุศล หรอื กิรยิ าชวนะเทา น้นั ท่เี กดิ ขนึ้ และองคฌ านท่ีประกอบ อยูน้ันมกี าํ ลงั มาก สามารถเขา ไปเพง ในสมถอารมณอยา งแนวแน สวนองคฌ านที่ประกอบ กับมหคั คตกุศลนัน้ เลา ก็มกี ําลังมาก สามารถประหาณนวิ รณธ รรม โดยวกิ ขมั ภนะอีกดวย ดาวนโ หลดขอ มลู ตา งๆไดจ าก ขอความเพิม่ เตมิ ที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 33 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๒. ข. วิปส สนามีกีอ่ ยาง คืออะไรบา ง จงแสดงความหมายดว ย ? [P21] 45, 50 ๔. ข. วิปส สนาแปลวา อยา งไร มีกปี่ ระการ คอื อะไรบาง ใหแสดงความหมายดว ย ? [P21] 47 ตอบ ข. วิปสสนามี ๓ อยา ง คอื / ข. วปิ ส สนา แปลวา ความเหน็ แจงเปน พเิ ศษ มี ๓ ประการ คอื ๑. สงฺขารปริคคฺ ณหฺ นกวิปสสฺ นา คอื วปิ สสนาญาณทมี่ กี ารกําหนดรใู นสงั ขารธรรม รูปนาม ๒. ผลสมาปตตฺ วิ ปิ สสฺ นา คือ วปิ ส สนาญาณทเ่ี ปน เหตุใหเขา ผลสมาบัตไิ ด ๓. นิโรธสมาปตตฺ วิ ิปสสฺ นา คอื วปิ ส สนาญาณทเ่ี ปน ใหเขานิโรธสมาบตั ไิ ด ๑. ก. คาํ วา “กมฺมฏ าน” หมายความวาอยางไร (แปลวาอยางไร) เมือ่ แยกบทแลว ไดก บ่ี ท คืออะไรบาง และแปลวาอยางไร ? [P23] 47, 53, 59(ค) ตอบ ก. คําวา “กมมฺ ฏ าน” แปลวา เปนทตี่ ัง้ แหง การเจริญ สมถะ และวิปส สนา เม่อื แยกบทแลว ได ๒ บท คอื กมมฺ +าน กมมฺ แปลวา การกระทาํ าน แปลวา เปน ทตี่ ง้ั ๑. ก. กรรมฐาน แปลวา อะไร ? มีกี่อยางคืออะไรบา ง สาํ หรับอารมั มณิกภาวนากรรมฐานนน้ั ใหแสดงวจนัตถะและอธิบายประกอบดว ย ? [P23] 56, 58, 61(ข) ตอบ ก. กรรมฐาน แปลวา เปน ทตี่ ง้ั แหงการเจรญิ สมถะและวปิ สสนามี ๒ อยา ง คอื อารมณก รรมฐานอยาง หนึง่ อารัมมณกิ ภาวนากรรมฐานอยา งหนง่ึ ใน ๒ อยา งนี้ อารมณกรรมฐาน ไดแ ก อารมณข องสมถะ มีปถวี กสิน เปนตน และอารมณของวิปสสนา มีเตภูมกิ สงั ขารธรรม คอื รปู นามทเ่ี กดิ อยใู นภูมทิ งั้ ๓ อารัมมณิกภาวนากรรมฐาน ไดแ ก การพยายามเจรญิ สมถะและวปิ สสนา ทเ่ี กดิ ขนึ้ กอนๆ ดังมวี จนัตถะ แสดงวา กมฺมสสฺ านํ = กมฺมฏ านํ ความพยายามทีเ่ กดิ ขึ้นกอนๆ อันเปน ทต่ี งั้ ของความพยายามทเ่ี กิดขึน้ หลังๆ ช่อื วากัมมัฏฐาน อธิบายวา ความพยายามทเี่ กิดข้ึนในคร้ังหลงั ๆ น้ี มคี วามพยายามท่ีเกดิ ขึน้ แลว ในขณะกอนๆ เปน ระยะสบื ตอ กนั มาน้นั เองเปนท่ตี ้ัง ฉะนัน้ ความพยายามที่เกิดขนึ้ กอนๆ นนั้ จึงชื่อวา อารัมมณิกภาวนากรรมฐาน ๑. อารมณกรรมฐานและอารัมมณกิ ภาวนากรรมฐานตางกันอยางไร จงยกวจนตั ถะขนึ้ แสดงดวย? 51(1ข) ใหย กวจนตั ถะ และอธบิ ายประกอบดว ย ? [P23] 50(3), 59(2) ตอบ ข. อารมณกรรมฐานและอารัมมณิกภาวนากรรมฐาน ตางกนั ดงั นี้ อารมณก รรมฐาน ไดแ ก อารมณของสมถะมปี ถวีกสณิ เปน ตน และอารมณของวปิ ส สนา มเี ตภูมกิ สังขารธรรมคอื รปู นามทเี่ กิดอยูในภมู ทิ งั้ ๓ ดงั มวี จนตั ถะแสดงวา กมฺมสสฺ านํ = กมฺมฏ านํ อารมณอันเปน ทีต่ ัง้ แหงการเจรญิ สมถะ วิปสสนา ชอื่ วา กมั มัฏฐาน อารมั มณกิ ภาวนากรรมฐาน ไดแก การพยายามเจรญิ สมถะและวิปสสนา ทเี่ กดิ ขน้ึ กอนๆ ดังมวี จนัต ถะแสดงวา กมฺมสสฺ านํ = กมฺมฏ านํ ความพยายามทเ่ี กิดขน้ึ กอนๆ อนั เปนทีต่ งั้ ของความพยายามทีเ่ กดิ ขน้ึ หลงั ๆ ช่ือวา กมั มัฏฐาน (50) สําหรบั วจนตั ถะในขอน้ีนนั้ หมายความวา ความพยายามที่เกิดขนึ้ ในคร้งั หลงั ๆ น้ี มคี วามพยายามทเี่ กดิ ขึ้นแลว ในขณะกอนๆ เปน ระยะสบื ตอ กนั มานั่นเองเปน ทตี่ งั้ ฉะน้นั ความพยายามท่เี กิดข้นึ กอนๆ น้ันจึงชอ่ื วา อารัมมณกิ ภาวนากรรมฐาน ๑. ค. อารมณกรรมฐานและอารัมมณกิ ภาวนากรรมฐาน ไดแ กอ ะไร ? [P23] 45, 49(1ข), 53(3ข) ตอบ ค. อารมณก รรมฐาน ไดแ ก อารมณข องสมถะมปี ถวกี สณิ เปนตน อารมณของวปิ ส สนา มเี ตภมู กิ สังขาร ธรรม คือ รปู นามทีเ่ กดิ อยใู นภมู ิทง้ั ๓ ดาวนโหลดขอมูลตา งๆไดจาก ขอ ความเพม่ิ เติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 34 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน อารมั มณกิ ภาวนากรรมฐาน ไดแ กการพยายามเจริญสมถะและวปิ ส สนาทเี่ กิดข้ึนกอ น ๆ ๑. ค. จงจําแนกกรรมฐาน ๔๐ โดยอารมณก รรมฐาน และอารัมมณิกกรรมฐาน ? [P23-24] 53 ตอบ ค. จาํ แนกกรรมฐาน ๔๐ โดยอารมณก รรมฐานและอารัมมณกิ กรรมฐาน ดงั น้ี คอื จําแนกโดยอารมณก รรมฐาน มี ๓๔ คือ กสณิ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมญั ญา ๔ จาํ แนกโดยอารัมมณกิ กรรมฐาน มี ๖ คอื อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ๑ จตธุ าตวุ วัตถาน ๑ อรปู กรรมฐาน ๔ ๑. ภาวนาอยา งไหนไดช อ่ื วา บริกรรม จงแสดงวจนตั ถะดว ย และบริกรรมภาวนาน้ันเปน วถิ จี ิตชนดิ ไหน มวี จนัตถะวาอยา งไร ? [P36] 50 ตอบ มหากศุ ล มหากริ ิยาทีเ่ กดิ ขนึ้ กอนๆ นบั ต้ังแตไดเ ร่มิ ตนเจรญิ กรรมฐานใหมๆ ตลอดมาจนถงึ จดขอบเขตแหงอคุ คหนิมติ นนั้ ชอื่ วา บรกิ รรม ดงั แสดงวจนตั ถะวา “อปฺปนํ ปริกโรติ ปริสงฺขโรตตี ิ = ปริกมฺม”ํ (วา) “ปรอิ าทภิ ตู ํ กมมฺ ํ = ปริกมฺม”ํ วถิ จี ติ อันใดยอมจัดแจงปรงุ แตง อัปปนา ฉะน้ันวถิ ีจิตนั้นชอ่ื วา บริกรรม หรอื อีกนยั หน่งึ วถิ จี ติ ทเ่ี ปนเหตแุ หง การเจรญิ กรรมฐานเบ้อื งตน ชอ่ื วา บรกิ รรม วถิ จี ติ ทจ่ี ัดแจงปรงุ แตง อัปปนา หรอื วิถจี ติ ท่เี ปน เหตแุ หง การเจรญิ กรรมฐานเบ้อื งตน น้ี พระโยคบี คุ คล ควรกระทําใหเกดิ ขนึ้ ตดิ ตอกนั อยูเรอื่ ยๆ และทวมี ากยง่ิ ขน้ึ ไปเปน ลําดับ ฉะนนั้ วิถีจติ นนั้ ชื่อวา บริกรรมภาวนา วถิ จี ิตทเี่ กดิ ขน้ึ ตดิ ตอกันอยูเร่อื ยๆ ในขณะท่กี ําลงั บรกิ รรมวา ปถวๆี อยู เปนตน นน้ั วิถจี ติ นน้ั ชื่อวา บริกรรมภาวนา ดงั มวี จนตั ถะแสดงวา “ปรกิ มมฺ ฺจ ตํ ภาวนา จาติ = ปรกิ มฺมภาวนา” วิถีจติ ใดชอ่ื วา บรกิ รรมดว ย ชื่อวา ภาวนาดว ย ฉะนัน้ วถิ จี ติ นนั้ ชอ่ื วา บริกรรมภาวนา ๑. ค. บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา หมายความวา อยางไร ? [P36-37] 49, 53(3ค) ๑. ง. บรกิ รรมภาวนา, อปุ จาร, อุปจารภาวนา คําเหลา นี้หมายความวาอยางไร ? [P36-37] 45 ๑. คําวา บรกิ รรม บริกรรมภาวนา อปุ จาร อุปจารภาวนา อัปปนา อัปปนาภาวนา หมายความวาอยา งไร ? [P36-37] 54, 55, 57(2), 60 ตอบ บริกรรม หมายความวา มหากุศล มหากิรยิ าที่เกิดขึ้นกอ นๆ นับตง้ั แตไ ดเรม่ิ ตน เจริญสมถกรรมฐานใหมๆ ตลอดมา จนถึงจดขอบเขตแหงอคุ คหนิมิตนนั้ ช่อื วา บรกิ รรม บรกิ รรมภาวนา หมายความวา วิถีจิตทจี่ ดั แจงปรงุ แตง อัปปนา หรือวิถีจติ ทีเ่ ปนเหตแุ หง การเจรญิ กรรม-ฐานเบื้องตน น้ี พระโยคบี ุคคลควรกระทําใหเกดิ ขน้ึ ตดิ ตอกันอยเู รอ่ื ยๆ และทวมี ากยงิ่ ขนึ้ ไปเปน ลาํ ดับ ฉะนัน้ วิถจี ติ นน้ั ชือ่ วา บรกิ รรมภาวนา อุปจาร หมายความวา มหากศุ ล มหากิรยิ า ที่เกดิ ขน้ึ ใกลกันกบั อัปปนาฌาน ช่ือวา อุปจาร อปุ จารภาวนา หมายความวา วถิ ีจติ ทีช่ ื่อวา อุปจาระนแ้ี หละ พระโยคบี คุ คลควรกระทําใหเ กิดข้ึน ดาวนโหลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอ ความเพิ่มเติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมิกะโท 35 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน เรอ่ื ยๆ โดยใหทวมี ากย่งิ ขึ้นไป ฉะน้นั วถิ จี ติ นน้ั ชือ่ วา อปุ จารภาวนา อปั ปนา หมายความวา เปนชือ่ ของวติ กโดยตรง สว นมหคั คตจิต โลกุตตรจิต เจตสิก ท่ีเรียกวา อปั ปนา นั้น เปนการเรยี กโดยออ ม ตามนัยอวยวปู จารนยั หมายความวา ยกชือ่ ของวติ กขน้ึ มา ตง้ั ไวใ นธรรมท่ีประกอบ กบั วติ ก อัปปนาภาวนา หมายความวา ธรรมชาติใดยอมยกสมั ปยตุ ตธรรมขนึ้ สอู ารมณเ ฉพาะหนา หรือ ธรรมชาติใดเปนอัปปนาดว ย เปน การกระทาํ ทถ่ี ึงแลว ซง่ึ ความเจรญิ นนั้ ดว ย ฉะนน้ั ธรรมชาตนิ น้ั ชื่อวา อัปปนา ภาวนา ๑. คําวา อัปปนา เปน ชอื่ ของสภาวะชนิดไหน มวี จนตั ถะวาอยางไร ? เม่ือรวมคาํ วา อัปปนากับคําวา ภาวนาเขาเปน บทเดยี วกนั แลว มใี จความวาอยางไร ? [P37] 43 ตอบ คําวา อปั ปนา เปนชื่อของวติ กโดยตรง สว นมหคั คตจิต โลกุตตรจติ เจตสกิ ที่เรียกวา อปั ปนานน้ั เปน การเรียกโดยออม ตามนยั อวยวปู จารนัย หมายความวา ยกชื่อของวติ กข้ึนมาตงั้ ไวใ นธรรมทปี่ ระกอบกันกบั วติ ก ดังมี วจนตั ถะแสดงวา อปเฺ ปติ สมฺปยุตตฺ ธมฺเม อารมฺมณํ อภนิ ิโรเปตีติ = อปปฺ นา ธรรมชาติใด ยอมยกสมั ปยตุ ต ธรรมขึน้ สูอารมณเฉพาะหนา ฉะนนั้ ธรรมชาตนิ น้ั ช่อื วา อปั ปนา ไดแก วติ กองคฌ านทปี่ ระกอบกบั มหคั คต โลกุตตรธรรม เมอื่ รวมคาํ วาอปั ปนากบั คาํ วาภาวนาเขา เปน บทเดียวกนั แลว มีใจความวา ธรรมชาติที่ยกสัมปยุตตธรรม ข้ึนสอู ารมณเ ฉพาะหนา (อัปปนา) และเปน การกระทําทถี่ ึงแลว ซ่งึ ความเจรญิ นน้ั ชื่อวา อัปปนาภาวนา หรอื จะตอบวา ธรรมชาตทิ เี่ ปนอัปปนาดวย เปน การกระทาํ ที่ถงึ แลว ซ่งึ ความเจริญนั้นดว ย ช่อื วา อัปปนาภาวนาก็ได 2. ก. บรกิ รรมนมิ ิต อคุ คหนมิ ิต และ ปฏภิ าคนมิ ิต มคี วามแตกตา งกนั อยา งไร มีวจนัตถะรับรองวา อยางไร ? [P37-39]60 ตอบ ก. อารมณก รรมฐานทเี่ ปน บริกรรมนมิ ติ อุคคหนมิ ิต ทงั้ สองน้ี ตางกันกแ็ ตเพียงวา บริกรรมนิมติ นน้ั พระโยคบี คุ คลเหน็ ไดดว ยตา เปนปจจบุ นั รูปารมณ สวนอุคคหนิมติ นน้ั เปน ภาพที่พระโยคบี คุ คลเหน็ ไดด ว ยใจ เปนอดตี รูปารมณ เม่อื วาโดยรปู รา งสัณฐาน สีสรร วรรณะ ตลอดจนประมาณความเลก็ หรือ ใหญแ ลว ก็คงเหมือนกันทัง้ ส้ิน ปฏภิ าคนิมติ อารมณกรรมฐานทมี่ สี วนคลายชอื่ วา ปฏภิ าค ฉะนนั้ ปฏภิ าคนิมติ นั้น จึงเปน อารมณ กรรมฐานที่มสี ภาพคลา ยกนั กบั อุคคหนิมิต ดงั มีวัจนัตถะวา “ปฏภิ าคํ นมิ ิตตฺ ํ = ปฏิภาคนมิ ิตฺต”ํ อารมณ กรรมฐานทีม่ สี ภาพคลา ยกนั กบั อุคคหนมิ ติ ชอ่ื วา ปฏภิ าคนมิ ติ ๒. ก./ง. การแสวงหาอมตธรรมมอี ยกู ่ีอยา ง คืออะไรบาง ? [P41] 47(1ง), 51(ก) ตอบ ก. การแสวงหาอมตธรรมท่ีมีอยู ๒ อยา ง คอื ๑. ทางตรง ไดแก การเจรญิ วปิ ส สนาตามแนวสตปิ ฏ ฐานท้ัง ๔ ๒. ทางออ ม ไดแ ก การเจริญสมถภาวนากอน ตอเมื่อไดส ําเร็จเปนญาณลาภบี คุ คลแลว จงึ จะเจรญิ วปิ สสนาตอไป ๓. ก. วสี หมายความวาอะไร ? มีเทาไร ? อะไรบา ง ? จงแสดงพรอ มความหมาย ? [P11, 67] 47 ๑๑ ธ.ค. ๖๑ ดาวนโหลดขอ มลู ตา งๆไดจาก ขอความเพิ่มเติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว)

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 36 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ตอบ ก. วสี หมายความวา ผูมีความสารถ มี ๕ อยา งคอื ๑. อาวชั ชนวสี สามารถในการพจิ ารณาองคฌ านของมโนทวารวชั ชนะ ๒. สมาปช ชนวสี สามารถในการเขา ฌาน ๓. อธษิ ฐานวสี สามารถในการกาํ หนดเวลาเขา ๔. วุฏฐานวสี สามารถในการกาํ หนดเวลาออก ๕. ปจ จเวกขณวสี สามารถในการพิจารณาองคฌ านของชวนะ ๔. ก. ผปู ฏิบัติตอ งการจะไดฌ านเรว็ นนั้ จะเจรญิ กรรมฐานชนิดไหน จึงจะสาํ เร็จตามความประสงค ใหอ ธิบายดวย ? [P89] 43(2), 48(4ก), 52(3) ตอบ ก. ในบรรดากรรมฐาน ๓๐ ทใี่ หถงึ ฌานไดนน้ั กสณิ ๑๐ เปน กรรมฐานที่ทําใหถงึ ฌานไดเ ร็วกวา กรรมฐานอื่นๆ ท้งั น้กี เ็ พราะการเพง กสณิ นนั้ อุคคหนมิ ติ และอปุ จารสมาธิเกิดขนึ้ ไดง าย เม่ืออคุ คห นิมติ และอุปจารสมาธเิ กดิ งา ย การไดฌ านก็เรว็ ยงิ่ เปน วณั ณกสณิ ๔ ดว ยแลว อุคคหนมิ ิต และ อุปจารสมาธิ ตลอดจนถึงการไดฌ านเหลา นี้ ยอมเกดิ ไดโดยงา ยและเรว็ ยงิ่ กวากสณิ อืน่ ๆ อีกดว ย ย่ิงกวานนั้ ในวัณณกสิณดว ยกันน้ี พระพุทธองคก ็ยังทรงยกยองโอทาตกสิณวา เปน กสณิ ท่ปี ระเสริฐเลิศ ย่งิ กวา กสณิ ท่ีเหลือ ๓ โดยเหตวุ า ทาํ ใหจ ิตใจของพระโยคีบคุ คลทก่ี ําลังเจริญอยนู ี้มคี วามผอ งใส ปราศจากถีนมทิ ธะเปน พิเศษ และในขณะที่อคุ คหนมิ ิตยงั ไมป รากฏ หรอื ปรากฏแลว กต็ าม โอทาตก สิณยงั เปน กสณิ ท่ที าํ ใหพระโยคีบคุ คลสามารถทราบเหตกุ ารณต า งๆ คลา ยกบั ผไู ดฌ านอภญิ ญา ๔. ข. คําวา เยยฺ ธรรม หมายความวา อยา งไร มีก่ีอยา ง คอื อะไรบา ง และไดแ กอ ะไร ? [P109] 48 ตอบ ข. เยฺยธรรม หมายความวา ธรรมที่ควรรู มี ๕ อยา งคือ ๑. สังขาร ไดแก จิต เจตสิก และนิปผันนรปู ๒. วกิ าร ไดแก วิการรปู ๕ ๓. ลักขณะ ไดแ ก ลกั ขณรปู ๔ ๔. นิพพาน ไดแ ก ธรรม ทน่ี อกจากขนั ธ ๔ และบัญญตั ิ ๕. บญั ญตั ิ ไดแ ก สทั ทบญั ญัติ คือช่อื ตางๆ ภาษาตา งๆ อตั ถบญั ญัติ ไดแก เนอ้ื ความ คอื คาํ อธบิ ายใจความในเร่อื งนนั้ ๆ และรปู รา งสัณฐานของ มนุษย เทวดา พรหม อบายสตั ว ตน ไม แผน ดิน ภูเขา แมน ํ้า ปา เปน ตน ๔. ก. จงแสดงความหมายในอนสุ สตติ อ ไปน้ี ? [P107, 121, 123, 136, 165] 43 ๑. พทุ ธานสุ สติ ๒. สีลานสุ สติ ๓. จาคานุสสติ ๔. มรณานุสสติ ๕. อานาปานสั สติ ตอบ ก. แสดงความหมายในอนุสสตินน้ั ดงั น้ี ๑. พุทธานุสสติ การระลึกถึงคณุ ของพระพุทธเจา มี อรหํ เปนตน เนือง ๆ ๒. สีลานุสสติ การระลึกถึงความบริสุทธขิ์ องศีลทต่ี นรกั ษาไว โดยปราศจากโทษ ๔ อยา งมอี ขัณฑะเปนตน อยูเนอื ง ๆ ๓. จาคานุสสติ การระลึกถึงการบรจิ าคทานของตน ท่เี ปน ไปโดยบรสิ ทุ ธ์ิ ไมม กี ารโออ วด หรือ การเอาหนา เอาชอื่ เสยี ง แมแ ตป ระการใด ๆ อยเู นือง ๆ ๔. มรณานสุ สติ การระลกึ ถงึ ความตาย ทตี่ นจะตองไดประสบ แลว เกดิ ความสงั เวชสลดใจอยูเ นือง ๆ ๕. อานาปานสั สติ การระลึกอยูใ นลมหายใจเขาออก ๓. ข. แสดงศลี ท่พี น ไปจากโทษ มีเทา ไร อะไรบา ง ? [P122] 47, 60(2ข) ตอบ ข. ศีลที่พน ไปจากโทษ ศีลทไ่ี มม โี ทษ มี ๔ อยา ง คือ ดาวนโ หลดขอ มูลตา งๆไดจ าก ขอความเพ่ิมเตมิ ที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 37 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๑. อขณั ฑสลี ศีลไมขาด ๒. อฉทิ ทสลี ศลี ไมเ ปนรู ๓. อสพลสีล ศีลไมดา ง ๔. อกมั มาสสีล ศีลไมพรอย ๓. ค. การเจริญจาคานุสสตนิ ้ี ผูเจรญิ จะตองมกี ารบรจิ าคทานทีถ่ งึ พรอ มดวยคณุ ความดี ๓ ประการ (กี่ประการ) ไดแ กอ ะไรบา ง ? [P123-124] 47, 54(4ก), 60(2ค) ตอบ ค. ตองถึงพรอ มดวยคุณความดี ๓ ประการ คอื ๑. ธัมมยิ ลทั ธวตั ถุ คอื วตั ถสุ งิ่ ของท่เี ปนเทยยธรรมนัน้ ไดม าโดยชอบธรรม ๒. บรบิ รู ณด วยเจตนาทัง้ ๓ คือ ปุพพเจตนา มญุ จเจตนา อปรเจตนา ๓. มุตตจาคี คือ การบรจิ าคท่ีสละ ละพน ไปจากความตระหนแ่ี ละ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ๓. กรรมฐานอะไรในสมถกรรมฐาน ๔๐ นนั้ ซึง่ ผเู จรญิ ใชเ ปนอารมณก รรมฐานแลว ใหไ ดถ งึ รปู ปฐมฌาน (เพียงฌานเดยี ว) ใหไดรูปฌานทัง้ ๕ และใหไดม รรคผลโดยมิไดเปลยี่ นอารมณก รรมฐาน ใหอ ธิบายเหตุผลประกอบดว ย ฯ ? [P142-156] 44 ตอบ ในกรรมฐาน ๔๐ นน้ั กรรมฐานที่ผเู จริญใชเ ปน อารมณก รรมฐานแลว ใหไดถึงรปู ปฐมฌาน (เพียงฌาน เดียว) ใหไดถ งึ รูปฌานทงั้ ๕ และใหไดมรรคผล โดยมิไดเ ปล่ยี นอารมณกรรมฐานไดแ ก กายคตาสตกิ รรมฐาน อธบิ ายวา ผูเจรญิ กายคตาสติกรรมฐาน ขณะที่กาํ ลงั ทอ งบน พจิ ารณาอยนู นั้ ถา ปฏิกลู นมิ ติ ปรากฏ ผลท่ี ไดร บั จากการทอ งบน พจิ ารณาโดยความเปน ของปฏิกูลตอไปนัน้ คือใหไ ดถ ึงรปู ปฐมฌาน ถา วณั ณนมิ ติ ปรากฏ ผลท่ีไดร บั จากการเพง วณั ณนิมติ ตอไปนั้น คือใหไดร ปู ฌานทง้ั ๕ ถาธาตุนมิ ิตปรากฏ กก็ ําหนดพิจารณาธาตุ เหลานน้ั ใหเ ห็นเปน รูปธรรม แลว นามธรรมก็จะปรากฏ ใหเ ห็นทางผัสสะ ทางเวทนา และทางวญิ ญาณ ตอไปก็ กาํ หนดทง้ั นามและรูป สําเรจ็ เปนนามรูปปริจเฉทญาณ แลว ญาณตางๆ ก็จะเกดิ สืบเน่ืองกนั ไปจนสาํ เร็จมรรค ผล เปนอันวา วธิ เี จรญิ กด็ ี อารมณท ี่ใหไ ดม รรคผลกด็ ี มิไดเปลย่ี นออกไปจากกายคตาสติกรรมฐานแตอยางใด คง อาศยั กายคตาสตกิ รรมฐาน เจริญตอไป เพียงแตท อ งบน ใหป รากฏโดยความเปน ธาตอุ ยางเดยี ว ฉะนั้น จงึ ไดกลา ววา การเจรญิ กายคตาสตกิ รรมฐาน ก็สามารถสําเรจ็ มรรคผลได ๒. ก. อานาปานสั สติ หมายความวาอยางไร? และมพี ระบาลชี ี้แนวทางการปฏิบตั ไิ วกป่ี ระการ คอื อะไรบา ง? (ตอบเฉพาะภาษาไทย) ? [P165, 167, 169] 44, 51(2ข), 54(4ข) ข. ขอ เพม่ิ เติม ทีต่ องดําเนนิ งานการปฏบิ ัติมกี น่ี ัยคืออะไรบา ง ? [P168] 44 ตอบ ก. อานาปานัสสติ หมายความวา การระลึกอยใู นลมหายใจเขาออก และมพี ระบาลชี ้แี นวทางการปฏบิ ัตไิ ว ๕ ประการ คอื ๑. ผูปฏบิ ัตินั่งคูบัลลังก ต้ังกายตรง ดํารงสติเฉพาะหนา อารมณกรรมฐาน ณ สถานที่เงียบสงัด ยอมตง้ั สติทํา ความรูส กึ ตวั แลวจงึ หายใจเขา และหายใจออก ๒. เมือ่ หายใจเขา ยาวและหายใจออกยาว ก็รูวา หายใจเขา ยาวและหายใจออกยาว ๓. เมื่อหายใจเขาสั้นและหายใจออกสัน้ กร็ ูวาหายใจเขา สน้ั และหายใจออกสน้ั ๔. ยอ มสําเหนยี กวา เราจะหายใจเขา และหายใจออกก็ตอ งรูโดยแจง ชดั ตน ลม กลางลม ปลายลม ๕. ยอ มสําเหนียกวา เราจะทาํ ลมเขา และลมออกทีห่ ยาบใหล ะเอยี ด แลวจึงหายใจเขาและหายใจออก ข. ขอ เพ่ิมเตมิ ทตี่ อ งดาํ เนนิ งานการปฏิบตั มิ ี ๔ นยั คือ ๑. คณนานยั การนบั ลมหายใจเขาออกเปนหมวดๆ มี ๖ หมวดตัง้ แตห มวดปญจกะเปนตน จนถึงหมวดทสกะ ๒. อนพุ นั ธนานัย การกาํ หนดรตู ามลมเขาและลมออกทกุ ๆ ขณะ โดยไมพ ลง้ั เผลอทกุ ระยะทหี่ ายใจเขา ออก ๓. ผสุ นานัย ในขณะทกี่ ําหนดรตู ามคณนานัยและอนุพันธนานยั อยนู น้ั จะตอ งกําหนดรูก ารกระทบของลม พรอมไปดวย หมายความวา ผุสนานยั น้ีเขาอยใู นคณนานัยและอนพุ นั ธนานัยท้ัง ๒ น้นั เอง หาไดมีอยโู ดยเฉพาะไม ๔. ฐปนานัย การกําหนดรูลมหายใจเขาออกโดยอนพุ ันธนานยั กับผสุ นานยั ท่เี ปน ไปอยา งดีอยนู ั้น ครนั้ เม่ือ ดาวนโ หลดขอ มูลตา งๆไดจ าก ขอความเพ่มิ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 38 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ปฏิภาคนิมติ ปรากฏ จติ ก็เปลย่ี นจากการกาํ หนดรกู ารกระทบของลม แลว เขา ไปตง้ั ม่นั จดจอ อยูในปฏิภาคนมิ ติ อยางเดียวตลอด จนกระทงั่ รูปฌานเกิด นแ้ี หละเปน ฐปนานยั หมายความ วาการกาํ หนดรโู ดยฐปนานยั โดยเฉพาะนัน้ ไมมี เชนเดยี วกบั ผสุ นานัยนั้นเอง ๔. ก. การแผเมตตาแกต นมกี ่ปี ระการ คืออะไรบาง ? [P182] 47 ตอบ ก. การแผเ มตตาแกต นมี ๔ ประการ คือ ๑. อหํ อเวโร โหมิ ขอขาพเจาจงเปนผูไมมี ศตั รูภายในและภายนอก ๒. อหํ อพยฺ าปชฺโช โหมิ ขอขา พเจาจงเปนผไู มม ี ความวิตกกังวล เศรา โศก พยาบาท ๓. อหํ อนโี ฆ โหมิ ขอขาพเจา จงเปน ผูไมมี ความลําบากกาย ใจ พน จากอปุ ทวภัย ๔. อหํ สุขี อตตฺ านํ ปรหิ รามิ ขอขาพเจาจงเปนผนู าํ อัตภาพทเี่ ปน อยูด ว ยความสขุ กาย สุขใจ ตลอดกาลนาน ๔. การเจรญิ เมตตา ตามแบบบรกิ รรมทองจําทัว่ ไปอยางสามัญน้ันวา โดยอาการแหง เมตตา วา โดยบคุ คลท่ี ไดรบั การแผ มีอยา งละเทาไร คอื อะไรบา ง? (ใหแสดงการแผแกบ คุ คลตั้งแต ๒ คนข้นึ ไป) ? [P183, 186] 44 ตอบ วาโดยอาการแหงเมตตามี ๔ อยา ง คอื ๑. อเวรา โหนตุ ขอจงไมมศี ตั รูภายในและภายนอกทัว่ กนั ๒. อพฺยาปชฺชา โหนตฺ ุ ขอจงไมม ีความวติ กกงั วลเศราโศกพยาบาททว่ั กนั ๓. อนีฆา โหนตฺ ุ ขอจงไมมีความลาํ บากกายใจพนจากอปุ ทวภยั ทวั่ กนั ๔. สขุ ี อตตฺ านํ ปริหรนฺตุ ขอจงนาํ อตั ตภาพทเ่ี ปน อยดู ว ยความสขุ กาย สขุ ใจ ตลอดกาลนานทวั่ กนั วา โดยบคุ คลทีไ่ ดร บั การแผม ี ๑๒ จําพวก คือ อโนทิสบคุ คล บุคคลท่ัวไปมไิ ดเ จาะจงมี ๕ จาํ พวก คือ ๑. สพเฺ พ สตตฺ า = สัตวท้งั หลาย ๒. สพเฺ พ ปาณา = สัตวทมี่ ีชีวิตทง้ั หลาย ๓. สพเฺ พ ภูตา = สัตวท ่ีปรากฏชดั ท้งั หลาย ๔. สพฺเพ ปุคฺคลา = บุคคลทง้ั หลาย ๕. สพฺเพ อตตฺ ภาวปรยิ าปนนฺ า = สตั วทม่ี ีอตั ตภาพทั้งหลาย โอทสิ บุคคล บคุ คลทเ่ี จาะจงมี ๗ จําพวก คอื ๑. สพพฺ า อิตถฺ โิ ย = หญงิ ทั้งหลาย ๒. สพฺเพ ปุรสิ า = ชายทง้ั หลาย ๓. สพเฺ พ อรยิ า = พระอรยิ บุคคลทงั้ หลาย ๔. สพเฺ พ อนริยา = ปุถชุ นทงั้ หลาย ๕. สพเฺ พ เทวา = เทวดาทง้ั หลาย ๖. สพเฺ พ มนสุ ฺสา = มนุษยท ้ังหลาย ๗. สพฺเพ วนิ ปิ าติกา = พวกวนิ ปิ าตกิ อสรุ าท้งั หลาย ๓. ข. การเจรญิ เมตตา ตามแบบบรกิ รรมทองจาํ ท่ัวไปอยางสามัญนน้ั วาโดยอาการแหง เมตตา วาโดยบคุ คลที่ ไดร บั การแผ มอี ยา งละเทา ไร คืออะไรบา ง? (ใหแ สดงการแผแกบุคคลตงั้ แต ๒ คนขนึ้ ไป) ? [P183, 186-187] 54 ๓. บุคคลที่ไดรับการแผเ มตตา ตามแบบบริกรรมทองจาํ นัน้ มกี จ่ี าํ พวก ไดแ กใ ครบา ง ? [P186-187] 43 ๔. การเจรญิ เมตตาแบบบรกิ รรมทอ งจาํ ทว่ั ไปอยา งสามญั นัน้ วา โดยอาการแหง เมตตา วาโดยบคุ คลทไี่ ดรับ การแผ วา โดยทิศที่จะทาํ การแผไ ป มีอยางละเทา ไร คืออะไรบา ง (สําหรบั ทศิ ใหแ สดงเพยี ง ๔ ทิศขางตน ) ? [P183, 186-187] 55, 60 ตอบ (55) การเจรญิ เมตตา แบบบรกิ รรมทองจาํ ทัว่ ไปอยา งสามัญน้นั วาโดยอาการแหงเมตตามี ๔ อยา ง คอื (54) ข. วาโดยอาการแหงเมตตามี ๔ อยา งคอื ๑. อเวรา โหนตฺ ุ ขอจงไมมศี ตั รภู ายในและภายนอกท่วั กนั ๒. อพฺยาปชชฺ า โหนตฺ ุ ขอจงไมมคี วามวติ กกงั วลเศราโศกพยาบาททั่วกนั ๓. อนฆี า โหนฺตุ ของจงไมม คี วามลําบากกายใจพน จากอุปทวภยั ทั่วกนั ๔. สุขี อตตฺ านํ ปรหิ รนตฺ ุ ขอจงนาํ อตั ตภาพทีเ่ ปน อยดู วยความสขุ กาย สขุ ใจ ตลอดกาลนานท่ัวกัน (43) บคุ คลทไ่ี ดร บั การแผเมตตา ตามแบบบริกรรมทองจําน้ันมี ๑๒ จาํ พวก คอื อโนทสิ บคุ คล (บุคคลท่วั ไปมไิ ดเจาะจง) มี ๕ จําพวก โอทิสบคุ คล (บคุ คลทเ่ี จาะจง) มี ๗ จําพวก (54, 55) วา โดยบุคคลท่ีไดรบั การแผมี ๑๒ จาํ พวก คอื อโนทิสบคุ คล บุคคลทว่ั ไปมไิ ดเจาะจงมี ๕ จาํ พวก คอื ดาวนโหลดขอ มลู ตางๆไดจาก ขอ ความเพิ่มเติมที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมกิ ะโท 39 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๑. สพฺเพ สตฺตา = สัตวท ้งั หลาย ๒. สพฺเพ ปาณา = สตั วทม่ี ีชวี ติ ทง้ั หลาย ๓. สพฺเพ ภตู า = สตั วท ี่ปรากฏชดั ทัง้ หลาย ๔. สพฺเพ ปคุ ฺคลา = บุคคลทง้ั หลาย ๕. สพฺเพ อตฺตภาวปรยิ าปนฺนา = สัตวท ีม่ อี ัตตภาพทงั้ หลาย (43, 54, 55) โอทสิ บคุ คล บคุ คลที่เจาะจงมี ๗ จําพวก คอื ๑. สพฺพา อติ ถฺ ิโย = หญิงทงั้ หลาย ๒. สพฺเพ ปุริสา = ชายท้ังหลาย ๓. สพเฺ พ อรยิ า = พระอรยิ บคุ คลทง้ั หลาย ๔. สพฺเพ อนรยิ า = ปถุ ุชนทง้ั หลาย ๕. สพเฺ พ เทวา = เทวดาทง้ั หลาย ๖. สพฺเพ มนุสฺสา = มนุษยท ้ังหลาย ๗. สพเฺ พ วนิ ิปาตกิ า = พวกวินิปาตกิ อสรุ าท้งั หลาย (55) วา โดยทิศท่ีจะทําการแผไป มี ๑๐ ทศิ และ ๔ ทิศ ขางตนนั้นคอื ๑. ปรุ ตถฺ มิ าย ทสิ าย ทิศตะวนั ออก ๒. ปจฺฉิมาย ทิสาย ทศิ ตะวันตก ๓. อตุ ฺตราย ทิสาย ทศิ เหนอื ๔. ทกฺขณิ าย ทิสาย ทศิ ใต ๓. จงแสดงการแผเ มตตาแบบบริกรรมทองจําท่ัวไปแกบุคคล ๑๒ ที่อยใู นทิศท้ัง ๑๐ เปน ภาษาบาลีและแปลเปนไทย ? [P187-189] 59, 61(4) บาล:ี ทศิ คน แผ, แปล คน ทศิ แผ ตอบ แสดงดงั ตอไปน้ี ปรุ ตถฺ มิ าย ทิสาย ปจฺฉิมาย ทสิ าย อตุ ฺตราย ทิสาย ทกขฺ ณิ าย ทสิ าย ปุรตถฺ ิมาย อนทุ สิ าย ปจฺฉิมาย อนทุ สิ าย อุตตฺ ราย อนทุ สิ าย ทกขฺ ณิ าย อนทุ สิ าย เหฏ ม าย ทิสาย อปุ รมิ าย ทสิ าย สพฺเพ สตตฺ า สพฺเพ ปาณา สพเฺ พ ภูตา สพเฺ พ ปคุ ฺคลา สพเฺ พ อตตฺ ภาวปริยาปนนฺ า สพฺพา อิตฺถิโย สพฺเพ ปรุ ิสา สพเฺ พ อริยา สพฺเพ อนริยา สพเฺ พ เทวา สพเฺ พ มนสุ สฺ า สพฺเพ วินปิ าตกิ าา อเวรา โหนฺตุ อพยฺ าปชฌฺ า โหนตฺ ุ อนีฆา โหนตฺ ุ สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนฺตุ. แปลวา ขอสตั วท ้งั หลาย สตั วท ี่มชี ีวิตท้งั หลาย สตั วที่ปรากฏชัดท้ังหลาย บุคคลท้งั หลาย สัตวท่ีมอี ตั ภาพ ท้งั หลาย หญิงทง้ั หลาย ชายทั้งหลาย พระอริยบคุ คลท้ังหลาย ปุถชุ นทั้งหลาย เทวดาท้ังหลาย มนษุ ยทั้งหลาย พวก วนิ ปิ าติกอสรุ าท้ังหลาย ท่ีที่อยทู างทศิ ตะวันออก ทอี่ ยูทางทิศตะวนั ตก ทอ่ี ยูท างทิศเหนือ ทอ่ี ยูทางทศิ ใต ทอ่ี ยูท างทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต ที่อยทู างทิศตะวนั ตกเฉยี งเหนือ ท่ีอยทู างทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนือ ที่อยทู างทศิ ตะวนั ตกเฉยี ง ใต ที่อยทู างทศิ เบ้ืองลา ง ทอ่ี ยทู างทศิ เบ้ืองบน จงไมม ศี ตั รภู ายในและภายนอกทวั่ กัน จงไมม คี วามวติ ก กังวล เศรา โศกพยาบาททว่ั กนั จงไมม คี วาม ลาํ บากกาย ใจ พนจากอุปท วภยั ทว่ั กนั จงนําอตั ภาพทีเ่ ปน อยดู วยความสขุ กาย สุขใจ ตลอดกาลนานทั่วกนั ๔. ข. จงแสดงการแผเ มตตา ใหแกโอทิสบคุ คล ๗ จําพวก ท่ีอยูใ นทิศท้งั ๔ มีทศิ ตะวันออก เปนตน เปนภาษาบาลีและแปลเปน ไทย ? ? [P187-189] 49(3), 53 ๔. จงแสดงการแผเ มตตา แบบบรกิ รรมทองจาํ ท่ัวไปอยางสามญั ใหแกบ คุ คล ๑๒ ทอ่ี ยใู นทศิ ใหญ ๔ ทั้งบาลีและไทยมาใหสมบูรณ ? ? [P187-189] 51, 58 ตอบ แสดงดังตอไปนี้ ปรุ ตถฺ มิ าย ทิสาย ปจฺฉมิ าย ทสิ าย อุตตฺ ราย ทสิ าย ทกฺขณิ าย ทิสาย [(49, 53) เหฏ ม ายทิสาย อปุ รมิ าย ทิสาย] สพฺเพ สตตฺ า สพเฺ พ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพเฺ พ ปุคคฺ ลา สพฺ เพ อตตฺ ภาวปรยิ าปนฺนา สพพฺ า อิตฺถิโย สพเฺ พ ปรุ สิ า สพเฺ พ อรยิ า สพเฺ พ อนริยา สพเฺ พ เทวา สพเฺ พ มนุสฺสา สพเฺ พ วนิ ิปาติกา อเวรา โหนตฺ ุ อพฺยาปชชฺ า โหนฺตุ อนีฆา โหนฺตุ สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนตฺ ุ แปลวา ขอสตั วท ้งั หลาย สตั วท ่ีมีชวี ติ ทงั้ หลายสตั วท ปี่ รากฏชัดท้งั หลาย บุคคลทง้ั หลาย สัตวท ีม่ ีอตั ต ภาพท้ังหลาย (แปลวา ขอ) หญงิ ทง้ั หลาย ชายทั้งหลาย พระอริยบคุ คลทงั้ หลาย ปุถุชนทั้งหลาย เทวดา ทั้งหลาย มนุษยท งั้ หลาย พวกวนิ ปิ าติกอสุราทัง้ หลาย ท่ีอยูทางทศิ ตะวันออก ทอี่ ยทู างทศิ ตะวนั ตกทอ่ี ยทู างทิศ เหนือ ท่ีอยทู างทศิ ใต [(49) ทอี่ ยูทางทิศเบอื้ งลา ง ทอ่ี ยูท างทศิ เบ้อื งบน] จงไมม ีศตั รภู ายในและภายนอกทว่ั กัน จงไมมคี วามวติ กกังวลเศรา โศกพยาบาททวั่ กัน จงไมมคี วามลาํ บากกายใจ พนจากอปุ ทวภยั ทว่ั กนั จงนาํ ดาวนโ หลดขอมลู ตางๆไดจ าก ขอความเพ่มิ เตมิ ที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 40 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน อตั ภาพทเ่ี ปนอยดู ว ยความสขุ กาย สขุ ใจ ตลอดกาลนานท่ัวกัน ๓. ก. จงแสดงการแผกรณุ า มุทติ า และอเุ บกขา ใหแกตนเอง ท้งั ภาษาบาลแี ละคําแปลมาตามลําดบั ? [P193, 196-7, 202] 54 ตอบ ก. คาํ แผก รณุ าใหแ กต นเองวา อหํ ทุกขฺ า มจุ จฺ ามิ = ขอใหข าพเจา จงพน จากความทุกขกาย ทุกขใ จ คาํ แผม ทุ ติ าใหแ กต นเองวา อหํ ยถาลทธฺ สมฺปตตฺ โิ ต มา วิคจฺฉามิ = ขอขาพเจา อยา ไดสญู ส้ินจากความสุขความเจรญิ ทม่ี ีอยู คําแผอ เุ บกขาใหแ กต นเองวา อหํ กมฺมสฺสโก = เรามกี รรมเปน ของของเรา ๓. จงแสดงเหตุผลทใ่ี นกรณุ า ใหไ ดแตเ พยี งรปู ฌานเบื้องต่ํา ๔ มาโดยละเอียด ? [P191-4] 60 ตอบ อน่งึ ผเู จริญกรุณา ที่ใหสําเรจ็ แตเพยี งฌานเบ้อื งต่ํา ๔ นนั้ กเ็ พราะวา กรุณากรรมฐานนี้ เปน เหตุใหพ น จากวหิ งิ สาคอื ความเบยี ดเบยี น ซงึ่ เกดิ มาจากโทสะ ธรรมดากรณุ านนั้ มีความสงสารตอสตั วทก่ี าํ ลังไดร ับความ ทุกข ความลําบาก หรือจะไดรบั ความลาํ บากในภายหนา น่ิงดอู ยไู มไ ด มจี ิตคิดที่จะชว ยใหพน จากความทุกข ยากลาํ บากเหลา นน้ั สว นวหิ งิ สาน้ันมกี ารเบยี ดเบยี นสตั ว ไมม คี วามสงสารตอ ผอู นื่ เม่อื วา โดยองคธรรมก็ไดแก โทสเจตสกิ ท่เี กิดพรอ มดว ยโทมนสั เวทนา ฉะน้นั กรณุ าซง่ึ เปน ธรรมท่ตี รงขา มกบั วหิ งิ สา จึงเปนธรรมทตี่ อ งเกดิ พรอมดว ยโสมนัสเวทนา เหตนุ ผี้ ไู ดฌ านทเี่ กดิ จากการเจรญิ กรุณา จึงไดแตเ พียงรปู ฌานเบ้อื งต่าํ ๔ ซึง่ เปน ฌาน ทีเ่ กดิ พรอ มดว ยโสมนัสเวทนา ๑. ก. สมถกรรมฐาน ๒๖ อยาง ที่เปนอารมณของรปู ฌานน้ัน ตองการทราบวา กรรมฐานอะไร เหมาะสมแกจริตอะไร ? [P7, 25-35, 227] 52 ตอบ ก. ปถวีกสิน อาโปกสณิ เตโชกสิณ วาโยกสิณ อากาสกสิณ อาโลกกสณิ ยอมเหมาะสมแกบ คุ คลทั่วไป ไมว า จริตใด วรรณกสณิ ๔ คอื นลี กสิณ ปตกสิณ โลหติ กสณิ โอทาตกสิณ, อปั ปมัญญา ๔ คอื เมตตา กรณุ า มทุ ิตา อุเบกขา ยอ มเหมาะสมแกผทู ่ีมโี ทสจริต อสุภะ ๑๐ มอี ุทธมุ าตกอสภุ ะ เปน ตน และกายคตาสติ ๑ ยอมเหมาะสมแกผูท่ีมรี าคจรติ อานาปานัสสติ ๑ ยอ มเหมาะสมแกผ ูท่ีมี โมหจรติ และวติ กจริต ๑. ข. คนท่มี ีศรทั ธาจรติ และพทุ ธจิ รติ เจรญิ กรรมฐานท่เี หมาะสมแกจ รติ ไดค นละเทา ไร คอื กรรมฐานอะไรบาง ? [P7, 228] 52 ตอบ ข. ผทู ี่มีศรทั ธาจริต เจรญิ กรรมฐานทีเ่ หมาะสมได ๖ อยา ง คือ พุทธานสุ สติ ธมั มานุสสติ สังฆานสุ สติ สีลานสุ สติ จาคานสุ สติ และเทวตานสุ สติ ผทู ี่มีพทุ ธิจริต เจริญกรรมฐานทเ่ี หมาะสมได ๔ อยาง คอื มรณานุสสติ อุปสมานสุ สติ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา และ จตุธาตวุ วตั ถาน ๒. จงจําแนกกรรมฐาน ๔๐ ที่เหมาะสมกับจรติ ? 47, 48 และทีเ่ หมาะสมแกบคุ คลทว่ั ไปไมวาจริตใด ? [P7, 25-35, 227] 45(3), 50(4), 53(2ก), 54, 55, 61(3) ตอบ (ก.) จาํ แนกกรรมฐาน ๔๐ ที่เหมาะสมแกจ รติ ๖ และที่เหมาะสมแกบ ุคคลทวั่ ไปวา จรติ ใด ดังน้ี ก. อสภุ ะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ เหลา น้ี ยอมเหมาะสมแกผ ทู ่ีมีราคจริต ข. อปั ปมัญญา ๔ กสิณ ๔ มีนีลกสณิ เปนตนเหลา น้ี ยอมเหมาะสมแกผทู ่มี โี ทสจริต ดาวนโหลดขอมลู ตา งๆไดจ าก ขอ ความเพิม่ เติมที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 41 ปฏจิ จสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ค. อานาปานสั สติ ๑ ยอ มเหมาะสมแกผทู ม่ี ีโมหจริตและวิตกจรติ ฆ. อนสุ สติ ๖ มีพุทธานสุ สตเิ ปน ตน จนถึงเทวตานุสสตเิ หลาน้ี ยอมเหมาะสมแกผ ทู ่ีมีศรทั ธาจริต ง. มรณานสุ สติ อปุ สมานสุ สติ อาหาเรปฏิกูลสญั ญา จตุธาตวุ วัตถาน เหลา น้ี ยอมเหมาะสมแกผูทีม่ ีพทุ ธิจริต จ. สว นกรรมฐานทเี่ หลือทง้ั หมด ซงึ่ ไดแ ก ปถวกี สิณ อาโปกสณิ เตโชกสณิ วาโยกสิณ อากาสกสณิ อาโลกกสิณ อรูปกรรมฐาน ๔ เหลา นี้ ยอมเหมาะสมแกบ ุคคลทวั่ ไปไมวาจริตใด ฉ. บรรดากรรมฐานเหลา นัน้ ในกสิณ ๑๐ องคก สณิ ตอ งมปี ระมาณกวางเทา ลานขาว ยอ มเหมาะสมแกผูทม่ี โี มหจรติ องคกสิณตองมปี ระมาณเลก็ เทา กระดง ยอ มเหมาะสมแกผ ทู มี่ วี ิตกจรติ (47) ๒. ผทู ีม่ รี าคจริต โทสจรติ พุทธิจรติ วิตกจริตเหลาน้ี อยากทราบวา แตล ะคนจะเจริญกรรมฐานไดคนละเทาไร คอื กรรมฐานอะไรบาง ? [P7, 25-35, 227-228] 58 ตอบ ผทู ม่ี ีราคจรติ จะเจรญิ กรรมฐานได ๒๑ คือ กรรมฐานทเี่ หมาะสมแกจ รติ มี ๑๑ คอื อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ และกรรมฐานทเี่ หมาะสมแกบ ุคคลทวั่ ไปไมว า จรติ ใด อกี ๑๐ คือ ภูตกสณิ ๔ อากาสกสณิ อาโลกกสณิ อรปู กรรมฐาน ๔ ผูท ่มี โี ทสจรติ จะเจริญกรรมฐานได ๑๘ คือ กรรมฐานที่เหมาะสมแกจ ริต มี ๘ คอื วณั ณกสิณ ๔ อัปปมญั ญา ๔ และกรรมฐานทเ่ี หมาะสมแกบุคคลทว่ั ไปไมว าจริตใด อกี ๑๐ คอื ภตู กสิณ ๔ อากาสกสิณ, อาโลกกสิณ, อรปู กรรมฐาน ๔ ผูท่มี ีพทุ ธิจริต จะเจรญิ กรรมฐานได ๑๔ คอื กรรมฐานทเ่ี หมาะสมแกจรติ มี ๔ คอื มรณานุสสติ อปุ สมานุสสติ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา จตธุ าตวุ วัตถาน และกรรมฐานทเี่ หมาะสมแกบคุ คลทว่ั ไป ไมว า จรติ ใดอกี ๑๐ คอื ภตู กสณิ ๔ อากาสกสิณ, อาโลกกสิณ, อรูปกรรมฐาน ๔ ผทู มี่ ีวติ กจรติ จะเจรญิ กรรมฐานได ๑๑ คอื กรรมฐานทเี่ หมาะสมแกจ รติ มี ๑ คอื อานาปานัสสติ และกรรมฐานท่เี หมาะสมแกบุคคลทวั่ ไปไมวาจริตใด อีก ๑๐ คือ ภตู กสณิ ๔ อากาสกสิณ, อาโลกกสณิ , อรปู กรรมฐาน ๔ ๔. จงจาํ แนกกรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ อารมณกรรมฐานและอารัมมณิกกรรมฐาน ? [P225, ] 52 ตอบ จําแนกกรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ ดงั นี้ ในบรรดากรรมฐาน ๔๐ ในมนสุ สภูมิไดก รรมฐาน ๔๐ ในเทวภมู ิ ๖ ช้ัน ไดก รรมฐาน ๒๘ (เวน อสภุ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑) ในรปู ภมู ิ ๑๕ ไดกรรมฐาน ๒๗ (เวน อสภุ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑ อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑) ในอรูปภมู ิ ๔ ชั้นนนั้ ชัน้ ที่ ๑ ไดอ รูปกรรมฐาน ๔ เทา นน้ั ชั้นที่ ๒ ไดอรปู กรรมฐาน ๓ (เวน อากาสบญั ญัตกิ รรมฐาน) ชัน้ ที่ ๓ ไดอรปู กรรมฐาน ๒ (เวนอากาสบัญญตั ิกรรมฐาน และ อากาสานญั จายตนฌาน) ชัน้ ท่ี ๔ ไดอ ากิญจัญญายตนฌานกรรมฐานอยา งเดยี ว จาํ แนกโดยอารมณกรรมฐาน มี ๓๔ คอื กสณิ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ จาํ แนกโดยอารัมมณิกกรรมฐาน มี ๖ คอื อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ๑ จตธุ าตุววตั ถาน ๑ อรูปกรรมฐาน ๔ ๒. ก. จงจําแนกกรรมฐาน ๔๐ โดยภูมิ ปรมัตถ บัญญตั มิ าดู ? [P225-226] 55 ตอบ ก. จาํ แนกกรรมฐาน ๔๐ โดยภมู ิ ปรมตั ถ บัญญตั ิ ดงั น้ี ในมนุสสภูมิ ๑ เจริญกรรมฐานได ๔๐ ทัง้ หมด ในเทวภูมิ ๖ เจรญิ กรรมฐานได ๒๘ (เวน อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา ๑) ในรปู ภมู ิ ๑๕ เจรญิ กรรมฐานได ๒๗ (เวนอสภุ ะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑ อาหาเรปฏิกลู สญั ญา ๑) ดาวนโหลดขอ มลู ตา งๆไดจาก ขอความเพมิ่ เติมที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 42 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน ในอรปู ภมู ิ ๔ เจริญกรรมฐานไดเฉพาะอรปู กรรมฐาน ๔ เทา น้นั ตามสมควร ในบรรดากรรมฐาน ๔๐ นั้น บัญญตั กิ รรมฐานมี ๒๘ คอื กสณิ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานัสสติ ๑ อัปปมัญญา ๔ อากาส- บัญญตั ิ ๑ นัตถภิ าวะบญั ญตั ิ ๑ ท่เี ปน อารมณข องปฐมารปุ ปวิญญาณ และ ตตยิ ารปุ ปวญิ ญาณ ปรมตั ถก รรมฐานมี ๑๒ คือ อนสุ สติ ๘ (เวนกายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑) อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ จตุธาต-ุ ววตั ถาน ๑ อากาสานญั จายตนฌาน และ อากิญจัญญายตนฌาน ท่เี ปน อารมณข องทุตยิ า- รุปปวิญญาณ และ จตตุ ถารปุ วิญญาณ ๑. ค. บุคคลทอ่ี ยูในมนุสสภมู สิ ามารถเจรญิ สมถกรรมฐานไดถงึ ๔๐ กจ็ รงิ แตถ า ตอ งการเจริญกรรมฐาน เพ่ือใหไดบรรลปุ ฐมฌานแลว จะเจรญิ กรรมฐานไดเ ทาไรคอื อะไรบา ง ? [P9, 225, 231] 44 ตอบ ค. บคุ คลทอ่ี ยใู นมนุสสภูมิ สามารถเจรญิ กรรมฐานไดถ ึง ๔๐ ก็จรงิ แตถ า ตอ งการเจรญิ กรรมฐาน เพื่อใหไ ดบ รรลปุ ฐมฌานแลว จะเจริญกรรมฐานได ๒๕ อยาง คือ กสิณ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ กายคตสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑ อปั ปมญั ญา ๓ (เวน อุเบกขา) ๔. จงจําแนกกรรมฐานโดยบญั ญตั ิ ปรมัตถ อารมณก รรมฐานและอารัมมณกิ กรรมฐาน ? [P226] 49 ๒. ก. จงจําแนกกรรมฐาน ๔๐ โดยบญั ญตั ิ และ ปรมัตถ ไดอยา งละเทาไร คอื อะไรบา ง ? 61 ตอบ (ก.) โดยบัญญตั กิ กรรมฐาน มี ๒๘ คอื กสิณ ๑๐ อสภุ ๑๐ โกฏฐาสบัญญัติท่เี ปนอารมณข องกายคตาสติ อสั สาสปส สาสบัญญตั ทิ ่เี ปนอารมณ ของอานาปานัสสติ สตั วบัญญัติ ๔ ที่เปน อารมณของอปั ปมญั ญา ๔ อากาสบญั ญตั ิ และนัตถภิ าวบัญญัตทิ ่เี ปน อารมณข องปฐมารปุ ปวิญญาณ และ ตติยารุปปวิญญาณ โดยปรมตั ถกรรมฐานมี ๑๒ คือ อนสุ สติ ๘ (เวน กายะ อานาปานะ) อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ จตธุ าตุววตั ถาน ๑ อากาสานญั จายตนฌาน และอากญิ จัญญายตนฌาน ทเี่ ปนอารมณข องทตุ ยิ ารุปปวิญญาณ และ จตตุ ถารปุ ปวิญญาณ (43) จาํ แนกโดยอารมณก รรมฐานมี ๓๔ คอื กสณิ ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อปั ปมญั ญา ๔ จาํ แนกอารมั มณิกกรรมฐานมี ๖ คอื อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ จตุธาตุววตั ถาน ๑ อรปู กรรมฐาน ๔ ๔. ก. บรรดากรรมฐาน ๔๐ นน้ั อยากทราบวากรรมฐานท่ีเปน บญั ญตั มิ เี ทาไร กรรมฐานทเี่ ปนปรมัตถมเี ทาไร จงแสดงชอ่ื เฉพาะ ? [P226] 45 ตอบ ก. ในกรรมฐาน ๔๐ น้นั กรรมฐานท่ีเปนบญั ญัตมิ ี ๒๘ คอื กสณิ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ โกฏฐาสบญั ญัติ ๑ อานาปานบัญญัติ ๑ อปั ปมญั ญา ๔ อากาสบญั ญตั ิ ๑ นตั ถิภาวบญั ญตั ิ ๑ กรรมฐานท่ีเปน ปรมัตถม ี ๑๒ คือ อนสุ สติ ๘ (เวนกายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ๑) อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ จตธุ าตุววตั ถาน ๑ อากาสานัญจายตนฌาน ๑ อากิญจัญญายตนฌาน ๑ ๑. ข. กรรมฐานที่ไดถึงอุปจารภาวนาเทาน้ัน อปั ปนาภาวนาคอื ฌานยอมไมเกดิ มเี ทา ไร คืออะไรบาง ? [P8, 228] 48 ตอบ ข. กรรมฐานทีไ่ ดถ ึงอปุ จารภาวนาเทา น้ัน อปั ปนาภาวนาคอื ฌานยอ มไมเ กิด มี ๑๐ อยา ง คือ ดาวนโหลดขอมูลตางๆไดจาก ขอความเพม่ิ เติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ที่แปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 43 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน อนุสสติ ๘ มีพทุ ธานุสสติ เปน ตน จนถึง มรณานสุ สติ อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา ๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ ๔. ค. กรรมฐานท่ีทาํ ใหไดสาํ เร็จแคอ ุปจารภาวนาเทานน้ั อปั ปนาภาวนาคอื ฌานไมเ กิด มเี ทาไร คืออะไรบา ง ? [P P8, 229] 45 ตอบ ค. กรรมฐานทีท่ ําใหไ ดส าํ เรจ็ แคอ ุปจารภาวนาเทานน้ั อปั ปนาภาวนาคอื ฌานไมเ กิด มี ๑๐ คือ อนุสสติ ๘ (เวนกายคตาสติ ๑ อานาปานัสสติ ๑) อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ จตธุ าตวุ ตั ถาน ๑ ๓. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ นน้ั ตองการทราบดงั ตอ ไปน้ี ? 51, 58 ก. กรรมฐานท่ีไดถงึ อปุ จารภาวนา เทา นั้น อปั ปนาภาวนา คอื ฌานไมเกดิ และกรรมฐานที่ไดถงึ อัปปนา ภาวนาคอื ฌานมอี ยางละเทาไร คอื อะไรบาง ? [P229-230 ] 51, 58(4ก), 61(2ข) ตอบ ก. กรรมฐานท่ไี ดถงึ อุปจารภาวนาเทานนั้ อปั ปนาภาวนาคอื ฌานไมเกดิ มี ๑๐ คอื พทุ ธานุสสติ ธัมมา นสุ สติ สงั ฆานสุ สติ สีลานุสสติ จาคานสุ สติ เทวตานสุ สติ อปุ สมานุสสติ มรณานุสสติ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา และ จตธุ าตวุ ตั ถาน และกรรมฐานทีไ่ ดถงึ อัปปนาภาวนา คือ ฌานมี ๓๐ คอื ..... ๑. ค. กรรมฐานทใี่ หสําเรจ็ ถงึ อปั ปนาภาวนา คอื ฌาน มีเทาไร คอื อะไรบา ง ? [P8, 230] 45(4ข), 48 ตอบ ค. กรรมฐานท่ที ําใหส ําเร็จถึงอัปปนาภาวนา คอื ฌาน มี ๓๐ คือ กสณิ ๑๐ อสุภ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑ อปั ปมัญญา ๔ อรปู กรรมฐาน ๔ ๑. ข. ในกรรมฐาน ๓๐ ทถ่ี งึ อปั ปนาเหลาน้นั รูปา ๑๕ : บัญญตั ิ ๒๖ ปฐม ท-ุ จตุ ปญจ กรรมฐานอะไรใหถึงฌานอะไรไดบ าง ? [P9, 231-237] 56 กสิน ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ตอบ ข. ในกรรมฐาน ๓๐ ทถ่ี งึ อัปปนาเหลา นั้น อสภุ ะ ๑๐ ๑๐ - - กรรมฐานเหลานี้ใหถ ึงฌานไดดงั ตอ ไปนี้ โกฏฐาสะ ๑ ๑- - กสณิ ๑๐ อานาปานัสสติ ๑ ใหไดถ งึ รปู ฌานทั้ง ๕ อานาปานัสสติ ๑ ๑ ๑ ๑ อัปปมญั - ป[เมย อโททส ุกกรุสมขุ ุท]ิ ๓ ๓ - อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ ใหไ ดถ ึงเฉพาะปฐมฌาน เทา นั้น ญา ๔ มัชอเุฌบกตั ขตา=สตัตตั รว - - ๑ พรหมวหิ าร ๓ มเี มตตา เปน ตน ใหไดถงึ รปู ฌานเบ้อื งต่าํ รวม บญั ญัติ ๒๕ ๑๔ ๑๒ อุเบกขาพรหมวหิ าร ใหไดถ งึ รปู ปญ จมฌาน เทาน้ัน สวนอรปู กรรมฐาน ๔ เหลาน้ี ใหไดถึงอรปู ฌาน ๔ อา วญิ กิญ เนว ๒. ข. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ นนั้ กรรมฐานท่ใี ชเ จรญิ เปน อารมณกรรมฐานแลว ใหไ ดเฉพาะปฐมฌาน ใหไดร ปู ฌานท้งั ๕ และใหไดเฉพาะฌาน มีอยา งละเทาไร ? คืออะไรบาง ? [P231, , 234, ] 55 ตอบ ข. กรรมฐานทใ่ี หไดเ ฉพาะปฐมฌาน มี ๑๑ กรรมฐาน คอื อสุภะ ๑๐ กายคตาสตกิ รรมฐาน ๑ กรรมฐานที่ใหไ ดร ปู ฌานทง้ั ๕ มี ๑๑ กรรมฐาน คือ กสิณ ๑๐ อานาปานสั สติ ๑ และกรรมฐานท่ีใหไ ดเฉพาะฌาน มี ๕ กรรมฐาน คอื อเุ บกขาพรหมวิหาร ๑ ใหไ ดเ ฉพาะ รูปปญจมฌาน อรูปกรรมฐาน ๔ ใหไดเ ฉพาะ อรูปฌาน ๔ ๓. ในสมถกรรมฐาน ๔๐ นนั้ ตองการทราบดังตอ ไปน้ี ? 51 ข. ในกรรมฐาน ๓๐ ที่เขาถึงอปั ปนาฌานท้ัง ๙ อยากทราบวา กรรมฐานท่ใี หเ ขา ถึงเฉพาะ ฌานใดฌานหนง่ึ (เพยี งฌานเดยี ว)เทานัน้ มีเทาไร คอื อะไรบาง ? [P231, 234,] 51, 58(4ข) ตอบ ข. กรรมฐานทเ่ี ขาถึงฌานใดฌานหนึ่งเทานน้ั มี ๑๑ คอื อสภุ ๑๐ กายคตาสติ ๑ ยอ มทาํ ให ปฐมฌาน เกดิ ข้ึนได อุเบกขาพรหมวหิ าร ๑ ยอมทาํ ให รูปปญจมฌาน เกดิ ขึน้ ได และอรูปกรรมฐาน ๔ ยอ มทําให อรูปฌาน ๔ เกิดขึ้นได ดาวนโ หลดขอ มลู ตา งๆไดจ าก ขอความเพมิ่ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 44 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๔. ในกรรมฐาน ๔๐ นน้ั ขอถามเปน ขอ ๆ ดงั ตอไปน้ี ? 59 ก. กรรมฐานที่ไดนิมติ ทั้ง ๒ คอื บรกิ รรมนิมติ และอคุ คหนิมิตโดยปริยายมีเทา ไร คืออะไรบา ง จงแสดงเหตุผลดวย ? [P235-6] 56(3), 59 ข. กรรมฐานทไ่ี ดน มิ ติ ทงั้ ๒ หรอื ท้ัง ๓ โดยตรงมีเทาไร คืออะไรบา ง จงแสดงเหตุผลดว ย ? [P235-6] 56(3), 59 ค. กรรมฐานที่ไดนมิ ิตทั้ง ๒ โดยปรยิ าย และที่ไดป ฏภิ าคนิมติ แตอนุโลมเขาโดยปริยายเชนเดยี วกัน มเี ทาไร คอื อะไรบาง จงอธบิ าย ? [P235-6] 56(3), 59 ตอบ ก. กรรมฐานทไ่ี ดนมิ ติ ทง้ั ๒ โดยปริยาย มี ๑๘ อยาง คอื อนุสสติ ๘ (กายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑) อัปปมัญญา ๔ สัญญา ๑ ววตั ถาน ๑ อารปุ ปะ ๔ เน่ืองดว ยการเจรญิ กรรมฐานประเภทน้ี ไมมกี ารเพง การกระทบ ไมมีภาพมาปรากฏทางใจ ข. กรรมฐานที่ไดน มิ ติ ทัง้ ๒ หรอื ทงั้ ๓ โดยตรงมี ๒๒ อยาง คือ กสิณ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานสั สติ ๑ ทเ่ี ปน เชนน้ีกเ็ พราะกรรมฐานเหลา นมี้ กี ารเพง การกระทบ มีภาพปรากฏตดิ ทางใจ ค. กรรมฐานท่ีไดน ิมติ ทั้ง ๒ โดยปรยิ ายและที่ไดปฏิภาคนิมิตแตอนโุ ลมเขา โดยปริยายเชนเดยี วกนั นนั้ มี ๘ อยา ง คอื อัปปมัญญา ๔ อารปุ ปะ ๔ อธบิ ายวา การเจริญกรรมฐาน ๘ อยางนี้ แมว า จะไมไ ด ปฏภิ าคนมิ ติ โดยตรงกต็ ามแตฌ านจิตกเ็ กดิ ขนึ้ ได ดงั นนั้ จึงจัดเปน ปฏภิ าคนมิ ติ แตอ นุโลมเขา โดย ปริยาย ซึง่ เปน ไปดังที่กลา วไวว า การแผเ มตตาในระหวา งท่ีไดอ ุคคหนมิ ติ และปฏิภาคนิมติ นน้ั เรียกวา อุปาจารภาวนา เมอ่ื รปู ฌานเกิดข้นึ เรยี กวา อัปปนาภาวนา ๒. ข. กรรมฐาน ท่ีมบี ริกรรมนมิ ิตและอคุ คหนมิ ิตโดยปริยาย มีเทาไร คืออะไรบาง เพราะเหตไุ ร จงึ เปนเชนนั้น ? [P235] 53 ตอบ ข. กรรมฐานที่มบี ริกรรมนมิ ติ และอคุ คหนิมิต โดยปริยายนน้ั มี ๑๘ กรรมฐาน คือ อนสุ สติ ๘ (เวน กาย- คตาสติ อานาปานสั สติ) อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ จตธุ าตุววตั ถาน ๑ อปั ปมญั ญา ๔ อรูปกรรมฐาน ๔ ท่เี ปน เชนนี้ เพราะวา การเจรญิ กรรมฐานเหลา นี้ไมม กี ารเพง การกระทบ ไมม ภี าพมาปรากฏทางใจ ๓. ก. กรรมฐานท่ีไดบ ริกรรมนมิ ิต และอุคคหนมิ ติ โดยปริยายมกี ่กี รรมฐาน อะไรบา ง เพราะเหตุใดจงึ ไดโดยปรยิ าย ? [P235-236] 48 ข. กรรมฐานทไี่ ดน ิมิตทงั้ ๒ ดังกลา วโดยตรงมกี ่ีกรรมฐาน อะไรบา ง เพราะเหตใุ ดจงึ ไดโดยตรง ? [P] 48 ตอบ ก. ทไี่ ดโ ดยปรยิ ายมี ๑๘ กรรมฐาน คอื อนุสสติ ๘ (เวนกายคตาสติ และอานาปานสั สต)ิ อปั ปมญั ญา ๔ สญั ญา ๑ ววัตถาน ๑ อรุปป ๔ เพราะการเจรญิ กรรมฐานนไี้ มม กี ารเพง การกระทบ ไมม ภี าพมาปรากฏทางใจ ข. ทไี่ ดโ ดยตรงมี ๒๒ กรรมฐาน คือ กสณิ ๑๐ อสุภ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อานาปานัสสติ ๑ เพราะกรรมฐานเหลานม้ี กี ารเพงการกระทบ มภี าพปรากฏติดทางใจ ๒. ก. กรรมฐานที่ไมไ ดป ฏภิ าคนมิ ติ มเี ทาไร คอื อะไรบา ง ? ในกรรมฐานเหลา นี้ ภาวนาจิตของผเู จรญิ คร้ังแรกและครั้งหลังเปนอยางไร ? [P235-6] 52, 58(1ข) ข. สว นการเจรญิ กรรมฐาน ๒๒ อยา ง ยอ มไดปฏิภาคนิมิตโดยตรงอยางแนน อน เพราะเหตไุ ร ? [P235-6] 52 ตอบ ก. กรรมฐานท่ไี มไ ดป ฏภิ าคนมิ ิต มี ๑๘ อยา ง คือ อนสุ สติ ๘ (เวน กาย. อานาปาน.) อัปปมญั ญา ๔ สญั ญา ๑ ววตั ถาน ๑ อารปุ ปะ ๔ เหลานี้ ภาวนาจิตของผเู จรญิ ครงั้ แรก ขณะท่ีสมาธยิ ังออ นอยู และครัง้ หลังขณะท่ีสมาธไิ ดแ กกลาขนึ้ แลว กค็ งมพี ทุ ธคณุ เปนตน เปนอารมณอ ยูเ ชน เดมิ ไม เปล่ียนแปลง ฉะนัน้ การเจรญิ กรรมฐาน ๑๘ อยา งนีจ้ ึงไมไดป ฏภิ าคนมิ ติ ข. สว นการเจรญิ กรรมฐาน ๒๒ อยา งนั้น ผเู จริญยอ มไดปฏภิ าคนมิ ติ โดยตรงอยา งแนน อน เพราะ กรรมฐานเหลา นม้ี กี ารเปล่ยี นแปลงอารมณไ ดกลา วคอื ภาวนาจติ ครั้งแรกขณะท่ีสมาธยิ งั ออนอยูกม็ ี บริกรรมนมิ ิต อคุ คหนิมติ เปนอารมณ ครน้ั ตอ มาเมื่อภาวนาจติ ครง้ั หลงั มีสมาธิแกก ลาขึน้ แลว กม็ ี ดาวนโ หลดขอมูลตา งๆไดจาก ขอ ความเพิม่ เติมที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่ีแปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมิกะโท 45 ปฏิจจสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ปฏภิ าคนมิ ิตเปนอารมณแ ละฌานจติ ทเ่ี กิดขน้ึ น้นั ก็รบั ปฏิภาคนิมติ เปน อารมณตอ ไป วปิ ส สนากัมมฏั ฐาน ขอ ๕-๗ ๕. ก. ในวปิ สสนากรรมฐานนั้น มธี รรมอยกู ีห่ มวด คอื อะไรบาง? ใหแ สดงเฉพาะชอ่ื และจํานวนเทานนั้ ? 49 ๔. ข. หวั ขอธรรมในวปิ สสนากรรมฐานนน้ั มกี ี่หมวดคอื อะไรบา ง ? [P1-3] 43 ตอบ ก. มธี รรมอยู ๖ หมวด คอื ๑. วสิ ทุ ธิ ๗ ๒. ลักษณะ ๓ ๓. อนปุ ส สนา ๓ (43, 49, 53) ๔. วปิ ส สนาญาณ ๑๐ ๕. วิโมกข ๓ ๖. วิโมกขมุข ๓ ๕. ในวิปส สนากรรมฐาน (พระอนรุ ทุ ธาจารย) ทา นแสดงธรรมไวกี่หมวด คืออะไรบา ง จงแสดงพรอมท้ังชื่อของธรรมท่ีอยูในหมวดนั้น ๆ มาดว ย (ไมตอ งแสดงความหมาย) ? 44, 50, 51, 55, 61 ๖. ก. ในวปิ ส สนากรรมฐานนัน้ มีธรรมอยูกี่หมวด? คอื อะไรบาง? จงแสดงพรอมทั้งชื่อของธรรมที่อยใู นหมวดนั้นๆ มาดวย ? [P1-3] 58 (ไมตองแสดงความหมาย) ? 53  ตอบ (ก.) มี ๖ หมวด คือ 44, 50, 51, 55, 58 ๑. วิสุทธิ มี ๗ คือ สีลวสิ ทุ ธิ จติ ตวสิ ทุ ธิ ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ กังขาวิตรณวสิ ทุ ธิ มคั คามัคคญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ปฏิปทาณาณทสั สนวิสุทธิ และญาณทสั สนวิสุทธิ ๒. ลักขณะ มี ๓ คือ อนจิ จลกั ษณะ ทุกขลักษณะ และอนตั ตลกั ษณะ ๓. อนุปส สนา มี ๓ คอื อนจิ จานุปสสนา ทกุ ขานุปสสนา และอนตั ตานปุ ส สนา ๔. วิปส สนาญาณ มี ๑๐ คอื สัมมสนญาณ อทุ ยพั พยญาณ ภงั คญาณ ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มญุ จิตกุ ัมยตาญาณ ปฏสิ งั ขาญาณ สงั ขารเุ ปกขาญาณ และอนโุ ลมญาณ ๕. วิโมกข มี ๓ คอื สุญญตวิโมกข อนิมติ ตวโิ มกข และอปั ปณหิ ิตวโิ มกข ๖. วิโมกขมขุ มี ๓ คอื สุญญตานุปสสนา อนมิ ติ ตานปุ สสนา และ อปั ปณหิ ิตานุปส สนา ๕. ข. คาํ วา จตุปารสิ ุทธิศลี นนั้ หมายความวาอยางไร? ไดแ กอะไรบา ง? [P14] 47, 49(6) ตอบ ข. คาํ วา จตปุ ารสิ ทุ ธิสีล นน้ั หมายความวา ความบรสิ ทุ ธข์ิ องศลี มี ๔ อยาง คือ ๑. ปาติโมกขสงั วรสลี ไดแ ก ศลี ท่ีสาํ รวมในพระปาตโิ มกข ๒. อนิ ทรยิ สังวรสีล ไดแ ก ศลี ทีส่ าํ รวมในอนิ ทรีย ๖ ๓. อาชีวปาริสุทธิสลี ไดแก ศลี ท่มี ีอาชีพบรสิ ทุ ธิ์ ๔. ปจ จยสันนสิ สิตสีล ไดแ ก ศีลทีอ่ าศยั ปจจยั ๔ ๕. ก. ในวปิ ส สนากรรมฐานนี้ พระโยคบี ุคคลควรรูวิสุทธิสังคหะก่ีอยาง คอื อะไรบาง (ใหแ สดงพรอมดวยความหมาย) ? [P1, 23, 24, 246] 47, 49(6) ๕. คําวา วสิ ทุ ธิ ในวิปส สนากรรมฐานนี้ หมายความวา อยางไร มีเทาไร คืออะไรบา ง จงแสดงมาพรอมดวย ความหมาย และจงสงเคราะหว ิสทุ ธิ ๗ ลงใน ญาน ๑๖ มาดู ? [ P1, 23, 24, 246] 48, 50(7), 54(6), 60(6) ตอบ คาํ วา วิสทุ ธิในวปิ สสนากรรมฐานน้ี หมายความวา ความบริสทุ ธิ์จากกเิ ลสเปนพิเศษ ชื่อวา วสิ ุทธิ ไดแ ก ศลี สมาธิ ปญ ญา มอี ยู ๗ อยางคือ ก. ในวปิ ส สนากรรมฐานนี้ พระโยคบี คุ คลควรรวู สิ ทุ ธสิ งั คหะ ๗ อยา งคือ ๑. สลี วิสุทธิ ความบรสิ ทุ ธแ์ิ หงศีล ๒. จิตฺตวิสุทธฺ ิ ความบรสิ ทุ ธ์แิ หงจิต ๓. ทิฏว ิสุทธิ ความบริสทุ ธ์ิแหงความเหน็ ๔. กงขฺ าวติ รณวสิ ุทฺธิ ความบรสิ ทุ ธิ์ของญาณที่ขา มพนจากความสงสัย ๕. มคฺคามคคฺ าณทสฺสนวิสทุ ธฺ ิ ความบริสุทธิ์ในการเห็นแจงของญาณ วาเปนมัคคปฏปิ ทาและมิใชม ัคคปฏิปทา ๖. ปฏปิ ทาาณทสสฺ นวสิ ทุ ฺธิ ความบริสุทธิ์ในการเห็นแจงของญาณ อันเปนเคร่ืองดําเนนิ ไปสูมัคคปฏปิ ทา ดาวนโ หลดขอมูลตางๆไดจาก ขอความเพิ่มเติมท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแี่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌมิ อาภิธรรมิกะโท 46 ปฏิจจสมุปบาท ปฏฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน โดยสว นเดยี ว ๗. ญาณทสสฺ นวสิ ุทฺธิ ความบรสิ ุทธ์ิในการเหน็ แจงโดยสว นเดยี วของญาณ สงเคราะหว สิ ุทธิ ๗ ลงในญาณ ๑๖ ไดด ังตอ ไปน้ี สลี วสิ ทุ ธิและจติ ตวสิ ุทธิ เปน พนื้ ฐานของวปิ สสนา ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ สงเคราะหลงใน นามรูปปริจเฉทญาณ กงั ขาวิตรณวิสทุ ธิ สงเคราะหลงใน ปจจยปริคคหญาณ มคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ สงเคราะหลงในสัมมสนญาณ และตรณุ อุทยพั พยญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ สงเคราะหลงในวิปสสนาญาณ ๙ คือ ต้ังแต พลวอุทยัพพยญาณ จนถึงอนุโลม ญาณ เปนตน จนถึง อนโุ ลมญาณ และสงเคราะหในโคตรภญู าณ โดยปรยิ าย ญาณทสั สนวิสุทธิ สงเคราะหลงในมัคคญาณ และสงเคราะหลงใน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณโดย ปรยิ าย ๖. ก. จงสงเคราะหวสิ ทุ ธิ ๕ มีทฏิ ฐวิ สิ ุทธเิ ปน ตน ลงในญาณ ๑๓ (เวน โคตรภญู าณ ผลญาณ ปจ จเวกขณ ญาณ) มาใหถูกตอง ? [P] 45 ตอบ ก. การสงเคราะหวสิ ทุ ธิ ๕ มที ิฏฐวิ สิ ุทธิ เปนตน ลงในญาณ ๑๓ (เวนโคตรภญู าณ ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ) แลว ยอมเปน ไปดงั น้ี ทิฎฐวิ สทุ ธิ สงเคราะหล งในนามรูปปริจเฉทญาณ กงั ขาวติ รณวิสุทธิ สงเคราะหลงในปจจยปริคคหญาณ มัคคามัคคญาณทสั สนวิสทุ ธิ สงเคราะหลงในสมั มสนญาณ และตรณุ อทุ ยัพพญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ สงเคราะหลงในวิปส สนาญาณ ๙ คอื ๑. พลวอทุ ยพั พยญาณ ๒. ภังคญาณ ๓. ภยญาณ ๔. อาทนี วญาณ ๕. นิพพิทาญาณ ๖. มญุ จติ ุกมั ยตาญาณ ๗. ปฏิสังขาญาณ ๘. สงั ขารเุ ปกขาญาณ ๙. อนุโลมญาณ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ สงเคราะหลงในมรรคญาณ ๖. ข. จงสงเคราะหญ าณ ๑๖ ลงในวิสทุ ธิเหลานั้นตามสมควรท่ีเปนไปได ? [P] 49(7ก), 53, 58(5ข), 56(5ก), 59(6ก), 61 ตอบ ข. สงเคราะหญาณ ๑๖ ลงในวสิ ทุ ธเิ หลาน้นั ตามสมควรดงั นี้ นามรูปปริจเฉทญาณ สงเคราะหลงใน ทฏิ ฐวิ ิสทุ ธิ ปจจยปริคคหญาณ สงเคราะหลงใน กังขาวิตรณวสิ ุทธิ สัมมสนญาณ ตรุณอทุ ยัพพยญาณ สงเคราะหลงใน มัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ วปิ ส สนาญาณ ๙ คอื พลวอุทยพั พยญาณเปน ตน จนถึงอนโุ ลมญาณ สงเคราะหลงใน ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ โคตรภูญาณ สงเคราะหลงใน ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ โดยปริยาย มคั คญาณ สงเคราะหลงใน ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ สงเคราะหล งใน ญาณทสั สนวิสุทธิ โดยปริยาย ๗. ก. ญาณ ๑๖ เหลา น้ี เมอื่ สงเคราะหล งในสมาธิ ๓ มีขณกิ สมาธิ เปน ตน แลว ญาณอะไรบางทเ่ี ขาอยูในสมาธินน้ั ๆ ? [P246] 56 ตอบ ก. สงเคราะหญ าณ ๑๖ ลงในสมาธิ ๓ ดงั น้ี นามรปู ปรจิ เฉทญาณ ปจ จยปริคคหญาณ สมั มสนญาณ อทุ ยัพพยญาณ ภังคญาณ ภยญาณ อาทนี วญาณ นิพพิทาญาณ มญุ จติ ุกมั ยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สงั ขารุเปกขาญาณ และปจ จเวกขณญาณ รวม ๑๒ ญาณน้ี สงเคราะหลงใน “ขณิกสมาธิ” อนุโลมญาณ โคตรภญู าณ รวม ๒ ญาณน้ี สงเคราะหลงใน “อปุ จารสมาธ”ิ ดาวนโหลดขอมลู ตางๆไดจ าก ขอความเพ่ิมเติมที่ youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทแ่ี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 47 ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วิปสสนา กรรมฐาน มคั คญาณ ผลญาณ รวม ๒ ญาณน้ี สงเคราะหลงใน “อปั ปนาสมาธ”ิ ๕. วปิ ส สนาญาณ ทส่ี งเคราะหเขาในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธนิ ั้น มีก่ ่ญี าณคอื ญาณอะไรบาง? ใหแ สดงความหมายดว ย ? [P] 43 ตอบ มี ๙ ญาณคอื ๑. พลวอุทยัพพยญาณ ปญ ญท่ีมีกาํ ลงั เห็นความเกิดขึน้ และความดับไปของรปู นาม ๒. ภงั คญาณ ปญ ญาเห็นความดับไปของรปู นาม ๓. ภยญาณ ปญ ญาเห็นรูปนามเปนภัยที่นา กลัว ๔. อาทีนวญาณ ปญ ญาเหน็ โทษของรูปนาม ๕. นพิ พิทาญาณ ปญญาเกดิ ความเบือ่ หนา ยในรูปนาม ๖. มญุ จติ ุกัมยตาญาณ ปญ ญาอยากหนใี หพนจากรปู นาม ๗. ปฏิสงั ขาญาณ ปญญาพจิ ารณาไตรลักษณะของรูปนามอยางกวางขวาง ๘. สังขารเุ ปกขาญาณ ปญญาพจิ าณาหาทางแลววางเฉยตอรูปนาม ๙. อนโุ ลมญาณ ปญญาเห็นสอดคลอ งกบั วปิ ส สนาญาณ ๘ ขางตน และ ถึงพรอ มดวยกําลังเพอ่ื ใหมรรคญาณเกดิ ๕. ตามทีพ่ ระอรรถกถาจารยแสดงไวว า ลกขฺ ณํ นาม ปฺ ตฺตคิ ตกิ ํ น วตฺตพพฺ ธมมฺ ภตู ํ นนั้ แปลวาอยา งไร ? นักศึกษาพระอภธิ รรมมีความเขา ใจขอ ความน้วี า อยางไร? ทานอัฏฐสาลนิ ีมลู ฎกี าจารย อธบิ ายวาอยางไร ? 45 ๖. พระอรรถกถาจารยแสดงไวว า ลกขฺ ณํ นาม ปฺ ตตฺ ิคตกิ ํ น วตฺตพพฺ ธมมฺ ภตู ํ นนั้ แปลวาอยา งไร ทา นเขาใจขอความน้ีวา อยางไร อัฏฐสาลินีมูลฎกี าจารย อธบิ ายวาอยา งไร ? [P33-35] 54(7), 58 ตอบ ขอ ความทพี่ ระอรรถกถาจารยแสดงไวนัน้ แปลวา ตามธรรมดาไตรลักษณนั้น มีสภาพเปนบัญญัติ หา ใชเ รยี กวาเปน กามธรรม มหคั คตธรรม โลกตุ ตรธรรมแตป ระการใดไม ขาพเจาเขาใจขอความน้ีวา เปนไตรลักษณที่ผูปฏิบัติบริกรรมพิจารณาเอาเองโดยเฉพาะ ซง่ึ ไมมีการ กําหนดรรู ูปนามท่ปี รากฏอยเู ฉพาะหนา เปนไตรลกั ษณ ทไ่ี มมีสภาวปรมัตถ จัดเปนบญั ญตั ิ (อวิชชมานบัญญัติ) และก็เปนอารมณข องวปิ สสนาไมได (45) สําหรับทานมลู ฎกี าจารย อธบิ ายวา คาํ วา ลกฺขณํ นาม เปน ตน ทพ่ี ระอรรถกถาจารยกลาวไว คือ  (54, 58) สาํ หรบั อฏั ฐสาลนิ ีมลู ฎีกาจารย อธบิ ายวา คาํ วา ลกขฺ ณํ นาม เปน ตน ท่ีพระอรรถกถาจารย กลาวไว คอื ไตรลักษณท ่พี ระโยคพี จิ ารณาเอาโดยเฉพาะ ซง่ึ ไมเ ก่ยี วกับการกาํ หนดรูร ปู นามทเ่ี กิดอยเู ฉพาะหนา วา เปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นัน้ มสี ภาพเปน บญั ญัติ ไมม ีสภาวปรมตั ถป รากฏ เหตทุ ีพ่ จิ ารณาไตรลกั ษณเ อา โดยเฉพาะ ไมม สี ภาวปรมัตถปรากฏนน้ั แหละ จงึ กลาวไมไดเ ลยวา เปนกามธรรมเปนตน แตอยางใด ๗. คาํ วา ลกฺขณํ นาม เปนตน แปลวา ธรรมดาไตรลักษณนน้ั มสี ภาพเปนบญั ญตั ิ หาใชเ รยี กวา เปน กามธรรม มหัคคตธรรม โลกตุ ตรธรรมแตประการใดไม ดังน้ี ไตรลกั ษณทก่ี ลา วถึงนเี้ ปนไตรลกั ษณแ ท หรอื เทยี ม ท่ี ตอบเชน นนั้ อาศัยอะไรเปน หลกั ? [P33-35] 48, 53, 60 ตอบ ไตรลกั ษณ ทกี่ ลาวถึงนี้เปน ไตรลกั ษณเ ทียม คอื เปนไตรลกั ษณทผี่ ปู ฏบิ ตั บิ ริกรรมพิจารณาเอาเอง โดยเฉพาะ ซง่ึ ไมม กี ารกําหนดรรู ปู นามทีป่ รากฏอยูเ ฉพาะหนา เปนไตรลกั ษณท ไ่ี มม สี ภาวปรมตั ถ จดั เปน อวิช ชมานบัญญัติ เปนอารมณข องวิปสสนาไมไ ด ที่ตอบเชน น้ี อาศัยคาํ อธบิ ายของทานมูลฎีกาจารยเ ปน หลกั ซง่ึ ทานอธบิ ายวา คาํ วา ลกขฺ ณํ นาม เปน ตน ทท่ี า นพระอรรถกถาจารยก ลาวไว คอื ไตรลกั ษณท พ่ี ระโยคพี จิ ารณา เอาโดยเฉพาะ ซึง่ ไมเ ก่ยี วกบั การกําหนดรรู ปู นามทีเ่ กดิ อยเู ฉพาะหนาวา เปน อนิจจงั ทุกขัง อนตั ตานัน้ มีสภาพ เปนบญั ญตั ิ ไมม สี ภาว-ปรมตั ถป รากฏ เหตทุ พ่ี ิจารณาไตรลักษณเ อาโดยเฉพาะไมมสี ภาวปรมัตถปรากฏนนั้ จงึ กลา วไมไดเ ลยวา เปน กามธรรม เปนตน แตอ ยา งใด ดาวนโ หลดขอ มลู ตา งๆไดจาก ขอ ความเพ่มิ เติมท่ี youtube หรือ Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ท่แี ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มชั ฌมิ อาภิธรรมิกะโท 48 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญัติ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน ๕. ข. ลกั ษณะและอนปุ ส สนามีอยางละเทาไร คอื อะไรบา ง? จงแสดงพรอ มดว ยความหมาย และจงบอกดว ยวา ธรรม ๒ อยา งน้ีเกี่ยวของกนั อยางไร ? [P2] 49, 56 ตอบ ข. ลักษณะมี ๓ อยา งคอื ๑. อนิจจลักขณะ คอื ลักษณะท่ีไมเ ทยี่ ง ๒. ทกุ ขลักขณะ คอื ลกั ขณะท่ีเปนทุกข ๓. อนัตตลักขณะ คือ ลักขณะทเ่ี ปน อนัตตา อนุปส สนามี ๓ อยางคอื ๑. อนิจจานุปส สนา คือ การพิจารณารูเห็นอยูเนอื งๆ โดยความไมเ ทย่ี ง ๒. ทุกขานุปส สนา คือ การพจิ ารณารเู ห็นอยูเนอื งๆ โดยความเปนทุกข ๓. อนตั ตานุปส สนา คือ การพิจารณารูเหน็ อยเู นอื งๆ โดยความเปนอนัตตา ธรรม ๒ อยางน้ี เก่ยี วขอ งกนั ดังน้ี ลกั ษณะเปน อารมณข องอนปุ สสนา หรือเปน อารมณกรรมฐาน สว นอนปุ สสนา เปนผรู ลู ักษณะหรอื เปนอารัมณกิ ภาวนากรรมฐาน ๕. อนุปส สนา วโิ มกข วิโมกขมุข แตล ะประเภทมีจํานวนเทา ไร คืออะไรบา ง? ใหแ สดงความหมายดว ย ? [P2-4] 52 ตอบ อนปุ สสนา มี ๓ อยาง คอื อนจิ จานุปส สนา การพิจารณารเู หน็ อยเู นอื ง ๆ โดยความไมเทย่ี ง ทุกขานปุ ส สนา การพจิ ารณารเู หน็ อยเู นือง ๆ โดยความเปนทุกข อนตั ตานปุ ส สนา การพจิ ารณารูเหน็ อยูเ นือง ๆ โดยความเปนอนัตตา วิโมกข มี ๓ อยา งคือ สุญญตวโิ มกข หลดุ พน ดว ย ความเปนของสญู อนิมิตตวโิ มกข หลุดพนดวย ความไมมนี มิ ิตเคร่อื งหมาย อัปปณหิ ติ วโิ มกข หลดุ พน ดวย ไมเ ปนทต่ี ้งั แหง ตณั หา วโิ มกขมขุ มี ๓ อยา งคือ สุญญตานปุ ส สนา การหลดุ พนดวยการพจิ ารณาเหน็ วา เปนของสญู อนมิ ติ ตานุปส สนา การหลดุ พน ดว ยการพิจารณาเหน็ วา ไมม นี มิ ติ เคร่อื งหมาย อปั ปณิหติ านุปส สนา การหลดุ พนดวยการพิจารณาเหน็ วา ไมเ ปน ทตี่ ั้งแหง ตณั หา ขอ ๖ ๖. วโิ มกขมุข ๓ มีสุญญตานุปส สนาเปน ตน น้ัน หมายความวา ขณะทว่ี ุฏฐานคามินวี ิปส สนากําลังดาํ เนินไปน้ัน รปู นามมีอาการอยางไร ? จงชี้แจงใหช ัดเจน ? [P249] 43 ตอบ สุญญตานปุ ส สนา หมายความวา ขณะที่วุฏฐานคามนิ ีวปิ สสนา กําลงั ดําเนินไปน้ัน รูปนาม มีอาการ สุขมุ ละเอยี ดอยา งยง่ิ แลวก็คอ ยๆ นอยลงๆ เหมือนเสนดา ย ทเี่ ล็กท่สี ุดแลวขาดหายไปดบั ไป ลักษณะอาการ อยางน้ชี ่อื วา สญุ ญตวิโมกขมขุ คอื หลดุ พน ดว ยอนตั ตา หรือเขา สมู รรคดว ยอนตั ตา อนมิ ิตตานปุ สสนา หมายความวา ขณะทวี่ ุฏฐานคามนิ วี ิปสสนา กาํ ลังดาํ เนินไปนน้ั รูปนามมีอาการ สขุ ุมละเอียดอยา งยิ่งแลวคอ ย ๆ นอ ยลง ๆ ในทสี่ ดุ ก็ดบั ไปเลย ลกั ษณะอาการอยา งนีช้ อ่ื วาอนมิ ิตตวโิ มกขมขุ คอื หลดุ พน ดว ยอนิจจงั หรือเขาสูมรรคดว ยอนจิ จงั อปั ปณหิ ิตานปุ ส สนา หมายความวา ขณะทวี่ ุฏฐานคามินีวปิ สสนา กาํ ลังดําเนินไปนน้ั รูปนามมีอาการ สขุ มุ ละเอยี ดอยางยิ่งแลวลดลง นอยลงในท่ีสดุ กด็ บั ไป ลกั ษณะอาการอยา งน้ชี อื่ วา อัปปณหิ ติ วโิ มกขมขุ คอื หลดุ พนดว ยทกุ ขงั หรอื เขาสมู รรคดว ยทุกขัง ๖. ข. มัคคญาณทงั้ ๔ นน้ั มรรคไหน ประหาณกเิ ลส ๑๐ เปนสมจุ เฉทประหาณไดเทา ไร คืออะไรบาง ? [P] 45 ตอบ ข. โสดาปตตมิ ัคคญาณ ประหาณกเิ ลสเปน สมุจเฉทประหาณได ๒ อยางคือ ทิฏฐกิ เิ ลสและวจิ กิ จิ ฉากิเลส สกทาคามมิ คั คญาณ ประหาณกเิ ลสเปนสมจุ เฉทประหาณไมไ ดเ ลย แตส ามารถทําใหกิเลสท้ังหลายเบาบางลงได ซงึ่ เรยี กวา อนกุ รปหาน อนาคามิมคั คญาณ ประหาณกเิ ลสเปน สมจุ เฉทประหาณได ๑ อยาง คือ โทสกิเลส ดาวนโ หลดขอมลู ตางๆไดจ าก ขอความเพิม่ เติมที่ youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ทีแ่ ปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑

มัชฌิมอาภิธรรมกิ ะโท 49 ปฏิจจสมุปบาท ปฏ ฐาน บัญญตั ิ : สมถ+วปิ สสนา กรรมฐาน อรหตั ตมัคคญาณ ประหาณกิเลสเปนสมุจเฉทประหาณได ๗ อยาง คือ โลภกิเลส โมหกิเลส มานกิเลส ถีน กิเลส อทุ ธจั จกิเลส อหิริกกิเลส และ อโนตตัปปกิเลส ๖. วิปส สนูปกิเลส แปลวาอยา งไร? มเี ทาไร? ไดแ กอะไรบา ง? (ใหแสดงแตช อ่ื ไมตองบอกความหมาย) วิปสสนปู กเิ ลสเหลา น้นั ไมเกดิ ขน้ึ แกใ ครบา ง และเกดิ ข้นึ แกบคุ คลท่ีไดบรรลญุ าณอะไร? และญาณนน้ั จดั เขา ในวสิ ทุ ธิอะไร ? [P] 47 ตอบ วปิ สสนูปกเิ ลส แปลวา สิ่งที่ทําใหวปิ ส สนาญาณหมน หมองหรอื เศรา หมอง มี ๑๐ อยางคอื ๑. โอภาส ๒. ญาณ ๓. ปติ ๔. ปสสัทธิ ๕. สขุ ๖. อธโิ มกข ๗. ปคคหะ ๘. อุปฏฐาน ๙. อุเบกขา ๑๐. นิกันติ วปิ สสนปู กเิ ลส ไมเกดิ ขน้ึ แกบ ุคคล ๓ จําพวกคอื ๑. พระอริยบคุ คลผไู ดบรรลปุ ฏิเวธแลว ๒. โยคีผปู ฏิบตั ิผดิ แนวทางวปิ สสนา ๓. โยคผี เู กียจครานทอดทง้ิ กรรมฐาน วิปส สนูปกิเลส จะเกิดขนึ้ แกโยคีผปู ฏบิ ตั ิถูกทางวิปส สนา พยายามกาํ หนดวปิ สสนาไมท อถอย ทไี่ ดบ รรลตุ รุณอุทยพั พยญาณ คือ อุทยพั พยญาณอยางออน และจดั เขา ในมัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ๖. อาการบญั ญตั ิ และวชิ ชมานบญั ญตั ิ ทั้ง ๒ คาํ นี้ แตกตา งกันอยา งไร ? จงอธิบาย ? [P] 52 ตอบ อาการบญั ญัติ และวิชชมานบญั ญัตนิ น้ั แตกตา งกนั ดงั นี้ อาการบัญญตั ิ คือ ความเปน ไปแหง รปู นามขันธ ๕ นิพพาน และบญั ญัติ หาใชเปนตวั สภาวปรมตั ถ และ สทั ทบัญญตั ิ อตั ถบญั ญัติ แตประการใดไม (ทก่ี ลาววา หาใชเ ปนตวั สภาวปรมตั ถไ มนนั้ หมายความวา เปน เพยี งอาการหรอื เครอื่ งหมายใหรูไดจําไดข องสภาวปรมตั ถเทา นน้ั ) ฉะนัน้ อาการบญั ญตั ิของรปู นามขนั ธ ๕ ก็ ไดแ กอาการทด่ี ับไปสน้ิ ไปนนั้ เอง อาการบญั ญตั ขิ องนพิ พาน กไ็ ดแ ก อาการท่ไี มมคี วามเกดิ ดบั มคี วามสงบจาก กเิ ลสขนั ธ ๕ ท้งั ปวง อาการบัญญัตขิ องสทั ทบญั ญตั แิ ละอัตถบัญญตั ิ กไ็ ดแก อาการทไ่ี มม ีความเกิดดบั วิชชมานบัญญตั ิ คือ สัททบญั ญัติท่มี ีสภาวปรมตั ถปรากฏอยู เชน รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ นิพพาน เปน ตน หมายถงึ เปนคาํ สมมตุ ิของธรรมทม่ี ีสภาวปรมตั ถปรากฏอยู หรอื เปน การบัญญตั ขิ อง ตัวสภาวปรมัตถโดยตรง ไมใชเปน อาการหรอื เคร่อื งหมายใหร ไู ดจ าํ ไดของสภาวปรมตั ถ เมอื่ กลา วโดยสรุปแลว ก็ไดแ ก คําพูดทเี่ กีย่ วกบั จิต เจตสิก รูป นพิ พาน ๕. อนิจจัง ทุกขงั อนตั ตา อนิจจลกั ขณะ ทุกขลกั ขณะ อนตั ตลกั ขณะ และอนิจจานุปส สนา ทุกขานุปสสนา อนัตตานุปส สนา เหมือนกนั หรือตางกนั อยา งไร จงแสดงมาพอใหเขาใจ ? [P] 48(6), 51(6), 54, 55, 59, 60 ตอบ อนิจจงั และ ทุกขัง ไดแก สังขตธรรม คือ รูปนาม ขันธ ๕ ที่เปนปรมตั ถอยา งเดยี ว อนัตตา ไดแก สังขตธรรมและอสังขตธรรม คือ รูปนาม ขันธ ๕ นิพพาน บัญญัติ ซึ่งเปนไปในธรรม ท้ังหมด อนจิ จลกั ขณะ ทุกขลกั ขณะ อนตั ตลักขณะ ไดแ ก อาการบญั ญตั คิ ือความเปนไปของรปู นาขนั ธ ๕ นพิ พาน และบญั ญตั ิ หาใชเ ปนตวั สภาวปรมตั ถ และสทั ทบัญญตั ิ อตั ถบัญญตั แิ ตป ระการใดไม ฉะนน้ั อาการ บัญญัติของรปู นามขนั ธ ๕ ก็ไดแ ก อาการทดี่ ับไปส้ินไปนนั้ เอง อาการบญั ญัติของนิพพาน กไ็ ดแ ก อาการท่ไี มมี การเกดิ ดบั มีแตความสงบจากกิเลสขนั ธ ๕ ทัง้ ปวง อาการบัญญตั ิของสทั ทบญั ญตั แิ ละอตั ถบญั ญตั ิก็ไดแ ก อาการทไี่ มมีการเกดิ ดบั สวนอนิจจานปุ ส สนา ทกุ ขานุปสสนา และอนัตตานุปส สนาน้นั เปนผรู ูอารมณกรรมฐาน คอื อาการ บัญญัติ คือ พิจารณารเู หน็ อยเู นืองๆ (หมายความวา เปน ผูพ ิจารณารเู หน็ เนอื งๆ) โดยความไมเ ทย่ี ง โดยความ เปน ทุกข และ โดยความเปน อนตั ตา {(48) สรปุ อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา เปนตัวสภาวธรรม คอื รูปนาม (48) อนิจจลักขณะ ทกุ ขลกั ขณะ อนตั ตลกั ขณะ เปนอาการบัญญตั ขิ อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดาวนโ หลดขอมูลตางๆไดจ าก ขอความเพ่ิมเตมิ ท่ี youtube หรอื Post ใน fb ID: Kanrasi Sengking (ตาม link ที่แปะไว) ๑๑ ธ.ค. ๖๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook