ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ห้อง ๑๐ นำเสนอ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน
ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ จัดทำโดย ๑. กัญญ์นิษฐา พงษ์พิละ เลขที่ ๒ ๒. ณัฐภา เทียนงาม เลขที่ ๕ ๓. ธวัลรัตน์ ทวีสิงห์ เลขที่ ๗ ๔. ภัทรานิษฐ์ เป็งตะพันธ์ เลขที่ ๑๖ ๕. ณัฐวุฒิ โรจน์บุญถึง เลขที่ ๒๖ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ห้อง ๑๐ นำเสนอ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน วารสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย (ท๓๓๑๐๑) ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี
ก หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย(ท๓๓๑๐๑) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้ และนำเสนอในเรื่องราวของวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสส ภูมิ โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น หนังสือเรียน ห้องสมุด และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั้งนี้ในรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาซึ่ง ประกอบไปด้วยความรู้เกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา เนื้อเรื่อง และ คุณค่าของวรรณคดีที่ผู้อ่านจะได้รับ เพื่อให้เกิดประโยชน์และนำมา ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน คณะผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดเอกสารฉบับนี้จะ ให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาวรรณคดีเรื่องไตรภูมิ พระร่วง ตอน มนุสสภูมิ นี้เป็นอย่างดี คณะผู้จัดทำ ๒๕ มิถุยายน ๒๕๖๕ ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ................................................................................... ก สารบัญ ................................................................................ ข ความเป็นมา ......................................................................... ๑ ประวัติผู้แต่ง ........................................................................ ๓ ลักษณะคำประพันธ์ ............................................................... ๔ เนื้อเรื่องเต็ม (แบบย่อ) .......................................................... ๕ เนื้อเรื่องเต็ม (เฉพาะตอนที่เรียน) .......................................... ๗ วิเคราะห์คุณค่า ..................................................................... ๙ บรรณานุกรม ......................................................................... ๑๙ ภาคผนวก ............................................................................ ๒๐ ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๑ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ความเป็นมา ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมศาสนาพุทธที่ แต่งในสมัยสุโขทัยประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๘ โดย พระราชดำริในพระมหาธรรมราชาที่ ๑ รวบรวม จากคัมภีร์ในศาสนาพุทธ มีเนื้อหาเกี่ยวกับโลก สัณฐานที่แบ่งเป็น ๓ ส่วน หรือ ไตรภูมิ ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ วรรณคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ คติความ เชื่อของชาวไทย เป็นจำนวนมาก เช่น นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ทวีปทั้งสี่ (เช่น ชมพูทวีป ฯลฯ) กัป กลียุค วาระสุดท้ายของโลก พระศรีอริยเมตไตรย พระเจ้าจักรพรรดิ ฯลฯ เป็นหนังสือสำคัญสมัยกรุงสุโขทัยตกทอดมา จนถึงปัจจุบันและเป็นวรรณคดีทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมาก เดิมเรียกว่า “เตภูมิกถา” หรือ “ไตรภูมิพระร่วง” ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “ไตรภูมิ พระร่วง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่พระร่วงเจ้ากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย (พระยาลิไท) ซึ่ง เป็นผู้พระ ราชนิพนธ์ นับว่าเป็นหนังสือวรรณคดีเล่มแรกที่เกิดจากการค้นคว้าจากคัมภีร์พุทธศาสนาถึง ๓๐ คัมภีร์ และมีลักษณะเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ คือ บอกชื่อ วัน เดือน ปี และความมุ่งหมายในการแต่ง ไว้อย่างครบถ้วนเป็นวรรณคดีไทยที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา มาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติความเชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้นหลายเผ่าพันธุ์มา ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดีในการ ทำบุญทำกุศลอาจหาญมุ่งมั่นในการกระทำคุณงามความดี ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๒ (ต่อ) พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชารอบรู้แตกฉาน ในพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกาอนุฎีกา และปกรณ์ พิเศษต่าง ๆ พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์จนถึงขั้นทรงบัญญัติ คัมภีร์ศาสตราคมเป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมาจนถึง ปัจจุบัน หอพระสมุดวชิรญาณได้ต้นฉบับไตรภูมิพระร่วงมา จากจังหวัดเพชรบุรี เป็นใบลาน ๑๐ ผูก จารด้วยอักษร ขอม ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยบอกไว้ใน ตอนจบว่า “พระมหาช่วยจารพระไตรภูมิกถา วักปากน้ำ ชื่อวัดกลาง แล้วแต่ในเดือน ๔ ปีจอ วันอาทิตย์ เมื่อ เวลาตะวันบ่าย สามโมงเศษ เมื่อพระพุทธศักราชลางไป ได้ ๒๓๒๑ พระวรรษา เศษสังขยาเดือนได้ ๙ เดือน ๒๖ วัน เป็นสำเร็จแล้วแล” พระมหาช่วยผู้คัดลอกจะได้ ต้นฉบับมาจากที่ใดไม่ปรากฏหอพระสมุด วชิรญาณได้ ถอดความออกเป็นอักษรไทย โดยมิได้แก้ไขถ้อยคำให้ ผิดไปจากต้นฉบับเดิม @ หอพระสมุดวชิรญาณ ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๓ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ประวัติผู้แต่ง “พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท)” เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งกรุงสุโขทัย ขึ้นครอง ราชย์ต่อจากพญางัวนำถม จากหลักฐานในศิลา จารึกวัดมหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลักที่ ๘ ข. ค้น พบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อพญาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พญางั่วนำถมได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาพญาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติ และ ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ใน ศิลาจารึกมักเรียกพระนามเดิมว่า พญาลิไท หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑ เสด็จ สวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑ พญาลิไท ทรง เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาพระ เถระชาวลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชในกรุงสุโขทัย ได้สละราชสมบัติออกทรงผนวชที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก พญาลิไททรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ทรงสน พระทัยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก และทรงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วงตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุงสุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม (กำแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง และสร้างพระพุทธชิน ราช พระพุทธชินสีห์ ที่ฝีมือการช่างงดงามเป็นเยี่ยม ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๔ ลักษณะคำประพันธ์ ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิมีลักษณะคำประพันธ์เป็นแบบ ร้อยแก้วประเภทความเรียงสำนวนพรรณนา ดังตัวอย่าง ...เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้อง แม่ แลกำมือทั้งสอง คู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือ หัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้นดั่งนั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตน ยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดั่งลิงเมื่อฝนตก อละนั่งกำมือเซาเจ่า อยู่ในโพรงไม้นั้นแล ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอา ใบตองเข้าจ่อตน เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชัก ท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยาก ลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อ คังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั้น เมื่อคลอดออกตนกุมาร นั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระ หนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่ สวรรค์ลงมาเกิดนั้น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็น เนื้อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุข สำราญ บานใจ และเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด... ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๕ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ เนื้อเรื่องเต็ม(แบบย่อ) ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ทั้ง ๓ ภูมิแบ่งออกเป็น ๘ กัณฑ์ ดังนี้ รูปภูมิ มี ๑ กัณฑ์ คือ รูปาวจรภูมิ เป็นแดนของพรหมที่มีรูป แบ่งเป็น ๑๖ ชั้น ตามภูมิธรรม เรียกว่า โสฬสพรหม อรูปภูมิ มี ๑ กัณฑ์และกายภูมิมี ๖ กัณฑ์ คือ อรูปาวจรภูมิ เป็นแดนของพรหมไม่มีรูป มีแต่จิต แบ่งเป็น ๔ ชั้น กายภูมิ มี ๖ กัณฑ์ ดังนี้ (๑) นรกภูมิ เป็นแดนนรก (๒) ดิรัจฉานภูมิ เป็นแดนของสัตว์ที่เจริญตามขวาง (๓) เปตภูมิ เป็นแดนของเปรตที่เคยเป็นมนุษย์และ ทำความชั่วเกิดเป็นเปรต (๔) อสุรกายภูมิ เป็นแดนของยักษ์มารหรือผีที่หลอก มนุษย์ให้ตกใจกลัว (๕) มนุสสภูมิ เป็นแดนของมนุษย์ (๖) ฉกามาพจร เป็นแดนของเทวดาที่ยังเกี่ยวข้อง ในกามมี ๖ ชั้น คือ จาตุมหาราชิก, ดาวดึงส์, ยามะ, ดุสิต, นิมมานรดี และปรนิม-มิตวสวดี ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๖ (ต่อ) ซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และ เทวดา ที่ตั้งเหล่านี้มีเขาพระสุเมรุเป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขา และทะเลล้อมทิวเขามีชื่อต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ยุคนธร ๒. อิสินธร ๓. สุทัศ ๔. เนมินธร ๕. เนมินทร ๖. วินันตก ๗. อัศกรรณ ซึ่งอัศกรรณเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบ ริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ ๗ ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร น้ำในมหาสีทันดรทั้งเจ็ดชั้นนั้น มีความแตกต่างกันออกไป คือ น้ำนม น้ำนมส้ม น้ำเนย น้ำอ้อย น้ำเหล้า น้ำจืด น้ำเค็ม เมื่อนับ จากชั้นในไปชั้นนอกโดยลำดับ ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๗ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ เนื้อเรื่องเต็ม (เฉพาะตอนที่เรียน) ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแล น้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้น ได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้น ถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นตุ่มออก ได้ ๕ แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูดนั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูด เป็นหัวนั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไป ถึง ๗ วัน คำรบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีนเล็บมือ เป็นเครื่องสำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่ รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕o แต่รูปอันมีหัวได้ ๘๔ แต่รูปอันมีเบื้องต่ำได้ ๕๐ ผสมรูปทั้งหลายอันเกิด เป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้ ๑๘๔ แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหารอันแม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั้นอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่น ตืดแลเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่ เร่ว ฝูงตึดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่ง หนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล อันว่าสายสะคือแห่งกุมารนั้นกลวง ดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำ อาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในท้องกุมารนั้นแล สะหน่อย ๆ แลผู้น้อยนั้นก็ได้กินทุกค่ำเช้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไปอยู่เหนือกระหม่อมทับหัวกุมาร อยู่นั้นแล แลลำบากนักหนา แต่อาหารอันแม่กินก่อนไสร้ แลกุมารนั้นอยู่เหนืออาหารนั้น เบื้อง หลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสอง คู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอา หัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้นดั่งนั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดั่ง ลิงเมื่อฝนตก แลนั่งกำมือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั้นแลในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอา ใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๘ (ต่อ) ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบมิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้น จะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้า ออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักดาบหนึ่งเลย แลกุมารนั้นเจ็บ เนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ ในไหอันดับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจ นักหนา เหยียดตีนมือบ่มิได้ ดั่งท่านเอาไส่ไว้ในที่คับ ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้ นตนก็ดี กุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบ่มิดุจดั่ง คนอันเมาเหล้า ผิบมิดุจดั่งลูกงูอันหมองูงเอาไปเล่นนั้นแล อันอยู่ลำบากยากใจดุจดั่งนั้น บ่มิได้ ลำบากแต่ ๒ วาร ๓ วารแลจะพ้นได้เลย อยู่ยากแล ๗ เดือน ลางคาบ ๘ เดือน ลางคน ๙ เดือน ลางคน ๑๐ เดือน ลางคน ๑๑ เดือน ลางคนคำรบปีหนึ่งจึงคลอดก็มีแล คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดนั้น บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๗ เดือนแลคลอดนั้น แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่ นรกมาเกิดนั้น เมื่อดลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแล กระหนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้นเมื่อจะคลอด ออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ แลเนื้อ แม่นั้นก็เย็นด้วยโสด คนผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดนั้นก็ดีด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมใน ท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุม ตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้น อันลึกได้แลร้อยวานั้น เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออก แลไปบ่มิพันตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตู ลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อ คังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล ครั้นออกจากท้องแม่ไสร้ ลมอันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัด ออกก่อน ลมอันมีภายนอกนั้นจึงพัดเข้านั้นนักหนา พัดเข้าถึงต้นลิ้นผู้น้อยจึงอย่า ครั้นออกจาก ท้องแม่ แต่นั้นไปเมือหน้ากุมารนั้นจึงรู้หายใจเข้าออกแล ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๙ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ (ต่อ) ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อ ก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ทั่วทั้งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี เมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลทั้ง ๓ นั้นย่อมหลงบ่มิได้ดำนึงรู้อันใดสักสิ่ง ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์ อัครสาวกเจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมาเอาปฏิสนธินั้นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั้นก็ดี แลสองสิ่งนี้เมื่ออยู่ ในท้องแม่นั้นบ่ห่อนจะรู้หลง แลยังคำนึงรู้อยู่ทุกอัน เมื่อจะออกจากท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลม กรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะออก แลคับแคบแอ่นยันนักหนา เจ็บเนื้อเจ็บตน ลำบากนักดั่งกล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลงบ่มิได้รู้สึกสักอัน บ่เริ่มดั่งท่านผู้จะออกมาเป็นพระ ปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะมาเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี คำนึงรู้สึกตนแลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี้คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แล เมื่อจะออกจากท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้ แล ส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไสร้ย่อมหลงทั้ง ๓ เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล กลละ อัมพุทะ เปสิ ฆนะ เบญจสาขาหูด ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๑๐ วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี ด้านเนื้ อหา ๑. แต่งแบบร้อยแก้ว เนื้อหาเข้าใจง่าย ลักษณะคำประพันธ์ของเนื้อเรื่องของไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิแต่งเป็นแบบร้อยแก้ว ทำให้สามารถอ่านแล้วเข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย เพราะใช้คำแต่งในเรื่องไม่ยากจนเกินไป ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้ อหาที่ผู้แต่งต้องการจะสื่ อออกมาถึงผู้อ่าน ๒. มีสัมผัสคล้องจอง มีทั้งสัมผัสใน(ในวรรค) และสัมผัสนอก (ระหว่างวรรค) ทำให้เกิดความสละสลวยเวลาอ่าน “...แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา...” “...เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้นดั่งนั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุก เมื่ อแล...” ๓. สาระของเรื่อง แสดงการเกิดของมนุษย์ทั้งชายและหญิง ตั้งแต่อยู่ในท้องจนถึงคลอด ดำเนินผ่านไป อย่างเป็นลำดับขั้นตอนอย่างชัดเจน โดยผู้แต่งเข้าใจเรื่องการกำเนิดของมนุษย์อย่างมี ความคิดแบบวิทยาศาสตร์อยู่มากดังนี้ ลำดับการเกิดของมนุษย์ในไตรภูมิพระร่วง เริ่มจาก • ปฏิสนธิ เรียกว่า กลละ (ขนาดเศษ ๑ ส่วน ๒๕๖ ของเส้นผม) • ๗ วัน เรียกว่า อัมพุทะ (น้ำล้างเนื้อ) • ๑๔ วัน เรียกว่า เปสิ มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อ • ๒๑ วัน เรียกว่า ฆนะ มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ แท่งเนื้อ ขนาดเท่าไข่ไก่ • ๒๘ วัน เรียกว่า เบญจสาขาหูด เริ่มมี ๒ แขน ๒ ขา และหัว (ครบ ๑ เดือน) • ๓๕ วัน มีฝ่ามือ นิ้วมือ ลายนิ้วมือ • ๔๒ วัน มีขน เล็บเท้า เป็นมนุษย์ครบสมบูรณ์ • ๕๐ วัน ท่อนล่างของทารกเจริญเติบโตสมบูรณ์ • ๘๔ วัน ท่อนบนของทารกเจริญเติบโตสมบูรณ์ • ๑๘๔ วัน เป็นเด็กสมบูรณ์ และนั่งกลางท้องแม่ (ครบ ๖ เดือน) ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๑๑ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาในด้านวิทยาศาสตร์ ดังรูป ๔. โครงเรื่อง มีการลำดับความเป็นไปตามทีละขั้นตอนตามช่วงเวลา โดยเริ่มตั้งแต่เกิดเป็น กลละ (เซลล์) ที่มีขนาดเล็กมาก ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นเบญจสาขาหูด (หูดห้ากิ่ง) และเจริญ เติบโตเป็นตัวคนที่อยู่ในท้อง จนกระทั่งถึงตอนคลอดออกมา “…เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำ ล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดัง ตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง ๗ วัน แข็งเป็น ก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่ง ดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูดนั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัว นั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไป ถึง ๗ วัน คำรบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีนเล็บมือ เป็นเครื่องสำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอัน แล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕o แต่รูปอันมีหัวได้ ๘๔ แต่รูปอันมีเบื้องต่ำได้ ๕๐ ผสมรูปทั้ง หลายอันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้ ๑๘๔ แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่... ...เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพันตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บ ตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประดูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยาก ลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบด บี้นั้นแล ครั้นออกจากท้องแม่ไสร้ ลมอันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอก นั้นจึงพัดเข้านั้นนักหนา พัดเข้าถึงตันลิ้นผู้น้อยจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่ แต่นั้นไปเมือ หน้ากุมารนั้นจึงรู้หายใจเข้าออกแล...” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๑๒ ด้านวรรณศิลป์ ๑. บรรยายโวหาร เนื้อเรื่องของไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมินั้นมีลักษณะเป็นบรรยายโวหาร เพราะเนื้อ เรื่องบรรยายแต่ละขั้นตอนของการเจริญเติบโตของทารกในท้องมารดาตั้งแต่หลังมีการ ปฏิสนธิ ไปจนถึงตอนคลอดบุตรอย่างละเอียด “...ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวัน แลน้อย ครั้งถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวาร ไสร้ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ ไปทุกวัน ครั้งถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไป...” ๒. พรรณนาโวหาร มีบางส่วนของเนื้ อเรื่องที่ มีลักษณะเป็นแบบพรรณนาโวหารทำให้เห็นภาพพจน์ได้อย่างชัด ตัวอย่างดังนี้ (๑) “...เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสอง คู้ คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่ในนั้นดั่งนั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อย ลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่ อแล...” จากคำประพันธ์ข้างต้น สามารถให้ภาพพจน์ของทารกที่อยู่ในท้องนั้นนั่งกำมือทั้งสอง ข้างโดยที่นั่งงอตัวให้หัวเข่าชนกับศีรษะ และมีน้ำคร่ำในท้องล้อมรอบทารกอยู่ ๓. อุปมาโวหาร (๑) เปรียบเหล่าตัวตืดและพยาธิที่ชอนไชเด็กในท้องนั้นเหมือนหนอนที่อยู่ในปลาเน่า “...ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า...” (๒) เปรียบสายสะดือของเด็กมีลักษณะเหมือนกับก้านบัว ที่มีลักษณะกลวงตรงกลาง เหมือนกัน “...อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้น กลวงดั่งสายก้านบัวมีชื่อว่าอุบล...” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๑๓ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ (๓) เปรียบความร้อยในท้องแม่ร้อนเหมือนเอาใบตองห่อทารกแล้วนำไปต้มในหม้อ “...ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั้นไสร้...” (๔) เปรียบลักษณะของเด็กในท้องที่ศีรษะอยู่ด้านล่าง ลำตัวอยู่บน เหมือนกับยมบาลใน นรกที่จับเท้าแล้วห้อยหัวคนลง “...พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาล กุมตีนแลหย่อนหัวลงในขมนรก...” (๕) เปรียบเด็กในท้องแม่ว่าถูกโยนตัวไปมาเหมือนลูกเนื้อทรายที่โคลงเคลงไปมาอยู่ใน มือของชายเมาเหล้า หรือเหมือนลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น “...ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบ่ดุจดั่งคนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดุจดั่งลูก งูอันหมองูเอาไปเล่นนั้นแล...” ๔. อุปลักษณ์โวหาร เปรียบการคลอดลูกผ่านช่องคลอดเล็ก ๆ เหมือนกับการเข็นเอาช้างออกจากประตูเล็ก ๆ หรือไม่เช่นนั้น ก็เหมือนกับมีภูเขาคังไคยที่หนีบ ทับ และบดบี้อยู่ “...เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตน นักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษณอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยาก ลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบและเหงแล บดบี้นั้นแล...” ๔. อติพจน์ (๑) กล่าวถึงความร้อนในท้องแม่ที่ร้อนมากจนเหมือนถูกต้นอยู่ในหม้อ “…ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้นในหม้อนั้นไสร้…” (๒) กล่าวถึงการคลอดเด็กออกมาจากท้องว่าเหมือนเป็นการเข็ญช้างออกจากประตูเล็ก “…เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตน นักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น…” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๑๔ ๖. คำไวพจน์ (๑) อุบล แปลว่า บัว (๒) ตืด, เอือน แปลว่า พยาธิ (๓) สาร แปลว่า ช้าง (๔) บรรพต แปลว่า ภูเขา (๕) กุมาร แปลว่า เด็กในท้อง, ทารก (๖) พระปัจเจกโพธิเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วไม่ได้สั่งสอนเวไนยสัตว์ (๗) อรหันตาขีณาสพ แปลว่า พระอรหันต์ ๗. คำอัพพาส (๑) “...เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล...” ๘. สัมผัสในและสัมผัสนอก (๑) “...ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญ บานใจ...” (๒) “…เป็นเครื่องสำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕๐…” (๓) “…แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่…” (๔) “…แต่ก่อนนั้นอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น…” (๕) “…กระหม่อมทับหัวกุมารอยู่นั้นแล แลลำบากนักหนา แต่อาหารอันแม่กินก่อน ไสร้…” (๖) “…เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสอง คู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้นดังนั้น…” ๘. จินตภาพ (๑) ด้านกลิ่น (๑.๑) กลิ่นเหม็นในท้องแม่ “...ก็ชื้นและเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็น แลออกลูกออกเต้า...” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๑๕ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ (๒) ด้านภาพ (๒.๑) ภาพลักษณะการคดคู้ของเด็กในท้อง “...แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสอง คู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาไว้เหนือหัว เข่าเมื่ อนั่งอยู่ในนั้นดั่งนั้น...” (๒.๒) ภาพภายในท้องแม่ที่คับแคบจนเด็กไม่สามารถเหยียดมือเหยียดเท้าได้ “…แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดมือตีน มือออกดั่งเราท่านทั้งหลายสักคาบหนึ่งเลย แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอัน ท่านขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา…” (๓) ด้านการเคลื่อนไหว (นาฏการ) (๓.๑) เห็นภาพการเคลื่อนไหวของทารกที่ลมพัดให้ศีรษะของเด็กคว่ำลงเมื่อใกล้จะ คลอด “…เมื่อถึงจักคลอดนั้นก็ดีด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัว กุมารนั้นขึ้นบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อน หัวลงในขุมนรุกนั้น…” (๓.๒) การเคลื่อนไหวของเด็กในท้องแม่ถูกโยนตัวไปมาเหมือนลูกเนื้อทรายที่ โคลงเคลงไปอยู่ในมือของชายเมาเหล้า “...กุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า...” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๑๖ ๙. มีการใช้คำที่เป็นจังหวะน่าฟัง (๑) “…ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี…” (๒) “…พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก…” (๓) “…เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงให้บ่มิไหม้บ่มิตายเพื่อดั่ง นั้นแล…” (๔) “…แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อ แค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา…” (๕) “…บ่มิทนแดดทนฝนได้แล…” (๖) “…ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า…” ๑๐. การซ้ำคำ (๑) “…ครั้นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุก วารไสร้ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้น ค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไป ทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจ สาขาหูดนั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวนั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้อง หน้าทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไปถึง ๗ วัน คำรบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีนเล็บมือ เป็นเครื่องสำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล…” (๒)“…ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้น ว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่า ออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ทั่วทั้งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี เมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาล ทั้ง ๓ นั้นย่อมหลงบ่มิได้ดำนึงรู้อันใดสักสิ่ง ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แล เป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมาเอา ปฏิสนธินั้นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั้นก็ดี…” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๑๗ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ด้านสังคม ๑. สะท้อนความเชื่อ (๑) ความเชื่อเรื่องกรรม “…เมื่อถึงจักคลอดนั้นก็ดี ด้วยกรรมนั้นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง…” “…เมื่อจะออกจากท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะ ออก…” (๒) ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ว่ามีจริง “...คนผู้จากสวรรค์ลงมาเกิดนั้นเมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ เมื่อ ยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ แลเนื้อแม่ก็เย็นด้วยโสด...” (๓) ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ (๓.๑) ยมบาล นรก “…ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้น อันลึกได้แลร้อยวา นั้น…” (๓.๒) สวรรค์ “…ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นออกมาไสร้ ก็ย่อม หัวร่อก่อนแล…” (๔) เชื่อว่าถ้าลูกที่เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์มาเกิด เมื่อลูกออกมาจะหัวเราะ แต่ถ้าลูกที่ออกมาแล้วร้องไห้ เด็กที่เกิดมานั้นมาจากนรก “…ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่า ออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออก มาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล…” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๑๘ ๒. คุณค่าศาสนา (๑) ผู้คนในสมัยนั้นนับถือพระพุทธศาสนา เพราะมีการกล่าวถึงพระปัจเจกโพธิเจ้า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระอัครสาวก “…ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมา เป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี …” ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
๑๙ หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๖๔. หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. โครงงานไตรภูมิพระร่วง (ออนไลน์). (ม.ป.ป.). สืบค้นจาก : https://sites.google.com /site/rannichanrakthex/ran-ni-chan-rak-thex-1 [๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๕]. ไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา) (ออนไลน์). (ม.ป.ป.). สืบค้นจาก : https://sites.google.com /site/wannakade12345/tirphumi-phrarwng-te-phumi-ktha [๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. ไตรภูมิพระร่วง (ออนไลน์). (ม.ป.ป.). สืบค้นจาก : http://www.digitalschool.club/ digitalschool/social1_1_1/social1_4/more/page29.php [๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. ไตรภูมิพระร่วง (ออนไลน์). (ม.ป.ป.). สืบค้นจาก :https://th.m.wikipedia.org/wiki/ ไตรภูมิพระร่วง[๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. บวร แก้วหมื่นทรง และสาวธัญญเรศ ศรเดช. (ม.ป.ป.). ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://bit.ly/3Oba2dC [๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๕]. RayRainy. (๒๕๖๔). พิภพหิมพานต์ (ออนไลน์). สืบค้นจาก : https://twitter.com/ Raynuka_r/ status/1366049255530536961 [๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕]. ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ๖ ๒๐ ภาคผนวก ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: