[1] เอกสารประกอบการเรยี น วิชา ขนมไทย ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 2-3 ผสู อน นางสาวปณชดา ไชยมงคล ตาํ แหนง ครู คศ.2 โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31
[2] อ.แมแ จม จ.เชยี งใหม สังกดั สํานักบริหารงานการศกึ ษาพิเศษ ความรทู ัว่ ไปและวัตถุดิบในการทาํ ขนมไทย ………………………………………………………………… ประวัติความเปน มา ประวัติความเปนมาของขนมไทย ตามหลักฐานที่คนควาไดจากหนังสือไตรภูมิพระรวงใน สมัยสุโขทัยไดกลาวถึงชื่อ ขนมตม และในหนังสือจดหมายเหตุคําใหการขุนหลวงหาวัดในสมัย อยุธยา ซ่ึงไดกลาวไวตอนหน่ึงวา “ บานหมอปนหมอขาวหมอแกงใหญเล็ก และกระทะ เตาขนม ครก ขนมเบอื้ ง ” และอีกฉบบั กลา วถึง “ยานปา ขนม ขายขนมชะมด กงเกวยี น ตมถัว่ สําปนนี ” มีไวเพยี งเทาน้ี มไิ ดบ อกแนช ัดวา ทาํ ขึน้ เปน ครัง้ แรกเมอ่ื ใดและดว ยวตั ถปุ ระสงคใ ด ในหนังสือประชมุ พงศาวดารภาคท่ี 40 ฉบบั หอสมุดแหงชาติ “เรื่องจดหมายเหตขุ องคณะ พอคาฝรั่งเศษ” ซ่ึงเปนสําเนาจดหมายมองชิเออรเดลานดมีไปถึงมองชิเออรบารอง ผูอํานวยการ ใหญใ นประเทศสยาม ลงวันท่ี 26 ธนั วาคม ค.ศ.1682 (พ.ศ.2225) มีความวา “ยังมีขาราชการอยูคนหน่งึ ซ่ึงพระเจา กรุงสยามไดยกยอ งตงั้ ใหเปนพระ ซึ่งเปน ตําแหนงชั้น ที่ 2 ของเมืองนี้ ขุนนางผูนี้ชอื่ คอนสตันติน ฟอลคอน เปนคนเกิดที่เมืองโซฟาโลนี และเคยเปน นักเรียนเมืองอังกฤษแลว และไดแตงงาน มีภรรยาในเมืองนี้เอง ขุนนางผูน้ีเปนคนฉลาด ไหวพริบ ตรึกตรองการลึกซ้ึง จึงไดทําการงานจนเปนคนโปรดปรานมาได 2 ปแลว และคนทั้งหลายเรียก ลอเลนวาเปนเจา พระยาพระคลังหนที่ 2 ขุนนางผนู ้ีทําการคาขายมากกวาพอคาทั้งปวง” ภรรยาของคอนสตันติน ฟอลคอน รูจักกันในนาม ทาวทองกีบมา ซ่ึงรับราชการเปน หัวหนาเครื่องในโรงครัวหลวง แผนดินสมเด็จพระเจาอยูหัวทายสระ เม่ือประมาณป พ.ศ.2251- 2275 ทาวทองกีบมามีช่ือจริงวา มารี กีมาร (Marie Guimar) เกิดในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ มหาราช ราวปพ.ศ.2201 หรอื พ.ศ.2202 บิดาชื่อ ฟานิก เปนลูกครึ่งญี่ปุนผสมแขกเบงกอล แต บางแหงสนั นิษฐานวาบิดาของมารี กีมาร มีเช้อื สายโปรตเุ กสจากยาของเธอ มารดาของทาวทองกีบ มา เปนชาวญ่ปี ุน ช่ือ อุรชลู า ยามาดา ทาวทองกีบมาผูน้ีเปนผูเร่ิมตนสอนใหชาวสยามทําขนมหวาน คือ ขนมทองหยิบ ขนม ทองหยอด ขนมทองโปรง ขนมผิง ขนมไขเตา ขนมทองมวน ขนมสําปน นี ขนมหมอแกง ในครั้ง นี้อาจถือเปนจุดพลิกเปล่ียนโฉมหนาของขนมไทยคร้ังสําคัญ โดยมีการนําไขเขามาเปนสวนประกอบ หลัก และมีการใชนํ้าตาลหรือนํ้าตาลทรายละเอียดมาเปนสวนประกอบรองอีกดวย ซึ่ง นอกเหนอื ไปจากแปงและนํา้ ตาลมะพราวทม่ี ีอยูแ ตเ ดิม ทาวทองกีบมาเปนคนซื่อสัตย ใจบุญ ชอบชวยเหลือผูอ่ืน โดยมักรับอุปการะเด็กกําพรา และบรรดาเด็กสาวที่นางอุปการะนี้ ทุกคนจะไดรับการอบรมสั่งสอนการทําขนมและเผยแพรตอๆไป
[3] อีก ทําใหตํารับการทําขนมหวานและอาหารคาวที่ปรุงแตงอยางพิเศษ เปนของสูงในพระราชวัง ไดรบั การเผยแพรออกมาสูป ระชาชนท่ัวไป จะเห็นไดวา ขนมไทยมปี ระวตั คิ วามเปนมาอันยาวนาน ซงึ่ มขี อสังเกตวาเปนของที่เกิดจากขาวที่นํามาตํา หรือบดจนปนละเอียดเรียกวา แปง แลวผสม กับน้ําตาลเพียงสองอยางเทาน้ันกอน ตอ มามีมะพราวเขา ไปผสม ขนมไทยยุคแรกจึงมีสวนประกอบ หลักคือ แปง น้ําตาล และมะพราว ซ่ึงของสามสิ่งนี้ก็เปนของพื้นบานพื้นเมืองที่มีอยูโดยท่ัวไป ขนมประเภทท่ีใชขาว (แปง) นํ้าตาล และมะพราว คงมีมาแตสมัยสุโขทัย สวนขนมที่มีสวนผสม ของไขป นนั้น ตามหลักฐานพบวามีมาแตส มัยอยุธยาในแผนดนิ สมเดจ็ พระนารายณมหาราช และใน สมัยอยุธยานนั้ มีตลาดขายขนมเรยี กวา “ ปา ขนม ” ขนมไทยซง่ึ เปนท่ีนิยมกันโดยทั่วไปน้ัน จะตอ งมสี ว นประกอบท่ีสาํ คญั หลายอยา ง เชน มรี ส หวาน มีกล่ินหอม มีสีสันสวยงาม ตามลักษณะช่ือของขนมนั้นๆ ขนมโบราณสวนมากมีสีตาม ธรรมชาตทิ ่ีมีอยูในทองถ่ิน หรอื ที่หาไดงายๆทีใ่ ชกนั เชน สีจากใบไม ดอกไม ผลไม โดยนํามาตม เผา โขลก หรือคั้นใชเนื้อนํ้า เชน ใบเตยหอม ดอกอัญชัน ฟกทอง มะละกอ เปนตน ถึงแมใน สมัยนี้วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเจริญ มีการพัฒนาของใหมๆ เชน สี กล่ินที่สังเคราะหข้ึนมาใช มากมาย แตเรายังไมท ้ิงของเดิมทไ่ี ดจ ากธรรมชาติ เนื่องจากยังชอบกลิ่นหอมของดอกมะลสิ ด กลิ่น ใบเตย กล่ินเทียนอบมากกวากล่ินสังเคราะห ขนมไทยมีหลายชนิดที่ตองใชกลิ่นดอกมะลิสด กลิ่น เทียนอบ ถาขาดไปจะทําใหขนมน้ันไมหอม ทําใหไมชวนรับประทาน ในเร่ืองน้ีชางทําขนมหวาน สมยั โบราณพถิ ีพิถันมาก จนกลา วไดว า ขนมจะตอ งมกี ลนิ่ หอมนอกหอมในดว ย เชน ขนมไทยชนดิ ตา ง ขนมไทยมีมากมาย สามารถจัดแบงเปนชนิดตามลักษณะของเครื่องปรงุ ลักษณะของขนมมี กรรมวธิ ีในการทํา ลกั ษณะการหุงตม ดงั นี้ 1. ขนมจากไข เชน สังขยา ทองหยบิ ทองหยอด ฝอยทอง เมด็ ขนนุ 2. ขนมน่ึง เชน ขนมถว ย ขนมปุยฝาย ขนมสอดไส ขนมกรวย 3. ขนมตม เชน ขนมตม แดง ถ่วั แปบ เผือก-มันตม นาํ้ ตาล 4. ขนมอบ เชน ขนมดอกลาํ ดวน ขนมหนา นวล ขนมโสมนัส 5. ขนมทอด เชน ขนมสามเกลอ ขนมทองพลุ ขา วเมาทอด 6. ขนมผิง เชน ขนมผงิ ขนมบาบนิ่ ขนมหมอ แกง 7. ขนมปง เชน ขา วเหนยี วปง ขนมจาก 8. ขนมกวน เชน กลว ยกวน มะมวงกวน ทุเรยี นกวน 9. ขนมเชือ่ ม เชน กลว ยเช่อื ม สาเกเชือ่ ม ฟกทองเชื่อม 10. ขนมนาํ้ กะทิ เชน ลอดชอ งนํา้ กะทิ ขาวเหนียวนา้ํ กะทิ 11. ขนมแชอ ่มิ เชน มะมว งแชอ ิ่ม มะขามแชอ ิม่ มะดนั แชอ ่ิม
[4] ขนมไทยในภาคตางๆ ขนมไทยภาคเหนือ มักจะทาํ จากขา วเหนยี วและจะใชวิธีการตมเชนขนมเทยี น ขนมวง ขาวตมหัวหงอก โดย มักจะทาํ ในเทศกาลเขาพรรษา หรอื ประเพณีสงกรานต ขนมทีน่ ยิ มทาํ ในงานบุญทกุ เทศกาลคือขนมใสไส หรือขนมจอก ขนมปาด ขาวเหนียว แดง ขาวแตนหรือขา วแตน ขนมไทยภาคกลาง มักจะทาํ มาจากขาวเชนขา วตงั ขนมนางเล็ต ขาวเหนยี วมูล และ ขนมลูกชบุ หมอ ขาวหมอแกงฝอยทอง ทองหยบิ ทองหยอด ขนมตาล ขนมกลวย ขนมเผือก ขนมเปยกปูน ขนมไทยภาคอสี าน มกั จะเปนขนมท่ีไดงาย ๆ ขนมพื้นบา นอสี านไดแ ก ขาวจี่ ขาวโปง และมกั เปน ขนมใน งานบุญพิธี เรยี กวาขาวประดับดนิ โดยชาวบานจะนาํ ขาวที่หอ ใบตอง มัดดว ยตอกแบบขาวตม มัด กระยาสารท ขาวทพิ ย ขาวยาคู และขนมปาดนิยมทาํ มากในงานบญุ ตาง มีลักษณะเหมือมขนม เปย กปนู ของภาคกลาง ขนมไทยในภาคใต ชาวใตม คี วามเชื่อในเทศกาลสารทเดอื นสบิ จะทาํ บญุ ดวยขนมที่มเี ฉพาะในทองถ่ิน ภาคใตเ ทา นนั้ เชนขนมลา ขนมพอง ขาวตมหอใบพอ ขนมบา หรือขนมลูกสะบา ขนมเจาะหูหรือขนม เจาะรู ขนมไขป ลาหรือขนมแดง ตัวอยา ขนมพ้ืนบานของภาคใต เชนขนมหนา ไข ขนมจูจุน ขนมคอเปน ขนมคนที ขนม กอแหละ ขนมกานบัว ขา วเหนียวเสือเกลอื ก ขนมในพธิ ีกรรมและงานเทศกาล ขนมไทยมีสว นรวมในวิถชี ีวิตไทยในทุกเทศกาลและโอกาสตา ง ๆ แสดงใหเหน็ ถึงความ ผูกพันและเปนสว นสําคัญของวัฒนธรรมไทยต้ังแตส มยั โบราณ ขนมที่ใชใ นงานเทศกาลและพิธกี รรม ตา ง ๆ ของไทยตลอท้ังปเชน 1 งานตรุษจีนและสงกรานต ใชกะละแม 2 สารทไทย เดือน 10 ทกุ ภาคยกเวน ภาคใต ใชกระยาสารทเปน ขนมหลกั สว นภาคใต จะมขี นมสารทเดือนสบิ โดยใชขนมลา ขนมพอง ขนมเจาะหู ขนมตม (ขาวตมหอดว ยใบพอ) มี ความหมายคือขนมพองเปนแพพาขา งหว งมหรรณพ ขนมลาเปน เสือ้ ผา แพรพรรณ 3 เทศกาลออกพรรษา การตักบาตรเทโวเดอื น 11 นาํ ยมทาํ ขา วตมผดหอ ดวยใบตอง หรือใบออย มาจากความเชื่อทางศาสนา ท่วี า เมื่อประชาชนไปรอรับเสด็จพระพุทธเจาเมือทรงพุทธ ดาํ เนินจากเทวโลกกลับสูโลกมนษุ ย ณ เมืองสังกสั สะ ชาวเมอื งท่ีไปรอรบั เสด็จไดน ําขา วตมผดั ไปเปน
[5] เสบียงระหวางรอ บางทองท่ีนิยมทําขาวตม ลูกโยนใสบ าตรดว ย เชน ชาวไทยเชื้อสายมอญทจี่ งั หวัด ราชบุรี 4 บญุ เดือนสาม ทางภาคอสี านมีประเพณีบุญขาวจ่ี ซจึ่ ะนขา วจี่ไปทําบุญทีว่ ดั ขาวเหนียวแกว 5 ขนมท่ีใชในงานแตง งานมักนิยมใชข นมทองเอก ขนมชะมด ขนมสามเกลอ ขนมโพรง แสม ขา วเหนียวแดง ขาวเหนียวแกว ขนมช้นั เปน ตน 6 ขนมที่นิยมใชในงานบวช และงานกฐินขแงชาวไทยเชือ้ สายมอญ เชน ขนมปลาหาง ดอก ขนมลอดชองนาํ้ กะทิเปนตน ขนมลกู ชบุ
[6] วตั ถดุ บิ การเลอื กใชว ัตถดุ บิ ใหถ กู ตองนนั้ เปนสวนสาํ คัญ ซึง่ จะสง ผลตอลักษณะของขนม ฉะนัน้ กอน ทําขนมไทยจึงควรศึกษาเรื่องวตั ถุดิบหลกั ๆในการทําขนมไทย ซงึ่ มีดงั น้ี 1. แปง แปง ทน่ี ํามาใชใ นการทําขนมไทยมีหลายชนดิ ดวยกัน ดังนี้ 1.1 แปง ขา วเจา มี 3 ชนิด คอื 1.1.1 แปงเกา เปนแปงท่ีทําจากขาวเกา มีคุณสมบัติในการดูดซึมนํ้าไดดี เปนขาวท่ีคางป นํามา ขัดสีและโมจนเปนเน้ือแปงละเอียด แปงชนิดนี้เหมาะสําหรับทําขนมครก ขนมเรไร ขนม ตาล เปนตน 1.1.2 แปงใหม เปนแปงท่ีผลิตจากขาวใหม มีกลิ่นหอม แปงชนิดน้ีดูดซึมน้ําไดนอย เพราะใน แปง จะมีความชื้นสงู เหมาะสําหรบั ทําขนมเปย กปูน ขนมกรวย ขนมอาลวั ฯลฯ 1.1.3 แปง สด เปนแปงทโี่ มก ับนา้ํ ลักษณะของแปงจะมีความช้ินมาก การนําไปใชตองลดปริมาณ นํ้าจากตํารับปกติท่ัวไป ในปจจุบันจะมีเฉพาะรานขนมท่ีทําการโมขึ้นมาใชเอง เพราะไม สะดวกในการเก็บรักษา หากมีกลิ่นเปรี้ยวจําไมนํามาใช สามารถใชกับขนมไทยทุกชนิด เชน ขนมตม แดง ขนมตมขาว ขนมถวย ลอดชองไทย ฯลฯ การเลอื กซอื้ และการเก็บรกั ษา ควรเลือกแปงที่มีเนื้อละเอียด เพราะจะทําใหเน้ือสัมผัสเนียนละเอียด มีสีขาว ไมมีตัวมอด ถา สามารถดมดูไดจะไมมีกล่นิ อับ หรือกล่ินสาบ แปงสดตองไมมีกล่ินเปรี้ยว กลิ่นอับ แปง แหงควร เก็บในท่ีท่ีมีอากาศแหง ใชแลวควรปดปากถุงใหสนิท ปองกันมด แมลง หรือความช้ืนจากอากาศ แปงสดควรเก็บในตูเย็น ควรปดใหสนิท มิฉะน้ันแปงจะดูดกลิ่นจากตูเย็นทําใหแปงมีกล่ินท่ีไมพึง ประสงค หากมีกลิน่ เปรย้ี วไมค วรนํามาใช 2.1 แปง ขา วเหนียว มี 2 ชนิด คอื 2.1.1 แปงขาวเหนียวขาว เปนแปงท่ีไดจากการนําขาวเหนียวขาวโมจนละเอียด จะมี 2 ลักษณะ คือ แปงสดและแปงแหง แปงสดจะทําเชนเดียวกับแปงขาวเจาสด นิยมนํามาใชทําขนมบัวลอย ขนมบาบ่ิน ขนมไขหงส ขนมถั่วแปบ เปนตน สําหรับแปงแหงเปนแปงท่ีสามารถเก็บไวใชไดนาน สะดวกในการเก็บและการนาํ มาใช สามารถใชทําขนมไทยไดทุกชนิด ควรเลือกซ้ือแปง ที่ไมมีกล่นิ อับ หรือตวั มอด 2.1.2 แปงขาวเหนียวดํา ทําจากขาวเหนียวดํา โดยปกติจะมีการผสมแปงขาวเหนียวขาวลงไปดวย เพราะแปงจะมสี ีดํามาก และเนอ้ื แปงเมือ่ นาํ มาทําขนมจะมีความกระดางไมนมุ นวล เม่ือเตมิ แปงขา ว เหนียวขางลงไป จะชวยใหสีและเนื้อขนมมีความนุมนวล มีท้ังชนิดแปงสดและแปงแหงเชนเดียวกับ แปง ขาวเหนียวขาว นยิ มนํามาทาํ ขนมถัว่ แปบ ขนมสอดไส
[7] การเลอื กซ้อื และการเก็บรักษา ในปจจุบันแปงขาวเหนียวในทองตลาดจะบรรจุถุง สามารถดูวันหมดอายุไดจากฉลากหนา ซองหรือถุงแปง นอกจากนี้อาจมีรายละเอียดอ่ืนๆบอกไวดวย จึงควรศึกษาจากฉลากที่ติดไว สวน การเกบ็ รักษาเชน เดยี วกบั แปงขา วเจา 3.1 แปงสาลี ในการทําขนมไทยสามารถเลือกใชใหเหมาะสมกับงาน เพราะแปงสาลีแบงได 3 ชนดิ คอื 3.1.1 แปงสาลีชนิดเบา นิยมนํามาใชกับขนมท่ีมีลักษณะเบาฟู เชน ขนมปุยฝาย ขนมสาลี่ ขนม ไข เปนตน 3.1.2 แปงสาลีเอนกประสงค นิยมนํามาใชทําขนมกรอบเค็ม เชน ครองแครงกรอบ ทองมวน ขนมเกลยี ว เปนตน 3.1.3 แปงสาลีชนิดหนัก แปงชนิดนี้ไมน ิยมนํามาใชกับขนมไทย เพราะมีโปรตีนสงู จะทําใหขนมมี ความเหนียวและแนน การเลอื กซื้อและการเกบ็ รักษา ในปจจุบันแปงสาลีจะมีจําหนายในลักษณะของการบรรจุในถุงพลาสติก ถุงกระดาษ และ กลองกระดาษ จะมีฉลากบอกรายละเอียด เชน ชนิดของแปง การนําไปใช ตํารับการใชแปง น้าํ หนัก วันผลิต วันหมดอายุ ฉะนั้นผูซ้ือจะศึกษารายละเอียดจากฉลากได และนําวธิ ีการเลือกซ้ือ จากแปง ขา วเจา มาประกอบกันได การเกบ็ รักษาควรทําเชน เดยี วกบั แปงอื่นๆ 4.1 แปงถั่วเขียว เปนแปงท่ีทําจากถ่ัวเขียว เม่ือกอนจะมีลักษณะเปนเม็ดเล็กๆสีขาว กอนนํามาใช ตองบดหรือโขลกใหละเอียด แตในปจจุบันแปงชนิดน้ีจะมีเน้ือเปนผงละเอียด มีสีขาวสะอาด ไมมีส่งิ เจือปน มคี ุณสมบัติในการทรงตัวไดด ี จึงนิยมนําแปงถั่วเขียวไปผสมในสวนผสมของขนม ไทยชนิดตางๆ เพื่อการทรงตัวที่ดีและมีลักษณะใส นิยมนําไปทําขนมซาหร่ิม ตะโก ขนมลืม กลนื การเลอื กซอ้ื และการเกบ็ รักษา ควรเลือกซ้ือแปงใหมจากวิธีการตางๆท่ีกลาวมาแลว และควรเก็บรักษาในท่ีที่มีอากาศแหง ปด ถงุ ใหสนิท 5.1 แปงเทายายมอม แปงชนิดน้ีทํามาจากหัวเทายายมอม นํามาผานกระบวนการผลิตจนออกมา เปนแปงท่ีมีลักษณะเปนเม็ดเล็กๆ สีขาวนวล มีราคาสูง มีคุณสมบัติคลายกับแปงถั่วเขียวคือ เม่ือ นํามาใชจ ะมีสีใส ทรงตวั ไดดี เชน การนําไปผสมในสว นผสมของขนมช้ัน ทับทิมกรอบ ขาวเกรยี บ ออ น ขาวเกรียบปากหมอ กะละแม เปน ตน
[8] การเลอื กซื้อและการเก็บรักษา ควรเลือกซื้อแปงใหม มีสีขาวนวล ไมมีกล่ินอับ ไมมีตัวแมลง ตัวมอด เมื่อใชแลวควรปด ปากถงุ ใหส นิท เกบ็ ในท่ที ่มี ีอากาศแหง 6.1 แปงมัน ผลิตภัณฑท่ีมาจากมันสําปะหลัง มีลักษณะพิเศษกวาแปงอื่นๆคือ มีลักษณะลื่น เน้ือ ละเอียดนุม มีสขี าวสะอาด นยิ มนํามาผสมกบั แปงอืน่ ๆ เพอื่ เพิ่มคุณสมบัติของแปง แปงชนิดนี้จะมี ราคาคอนขางต่ํา สามารถหาซื้อไดงายตามทองตลาดท่ัวไป ซึ่งปจจุบันจะมีการผลิตออกมาหลาย บริษัท ซึ่งแตละบริษัทจะมีคุณสมบัติท่ีแตกตางกันออกไป กอนนํามาใชในจํานวนมากจึงควรศึกษา หรือทดลองนํามาใชกอน เพ่ือจะไดแปงที่มีคุณสมบัติตามความตองการ เชน แปงมันบางชนิดเมื่อ นํามาใช ลักษณะขนมท่ีไดจะเปอยยุยเร็วกวาบางบริษัท บางบริษัทจะมีความเหนียวคงทนมาก จึง ควรเลอื กใชใหเ หมาะสมกับงาน เชน การใชแปง ทําขนมชนั้ ขนมสังขยา ฯลฯ การเลอื กซอื้ และการเก็บรักษา 1. เลอื กตราฉลากท่ีเราเคยใชแลวมีคณุ สมบัตติ รงกบั ความตองการ 2. ศกึ ษารายละเอยี ดบนฉลากเพ่ือท่จี ะไดแปง ใหม 3. การซือ้ จํานวนมากจะไดราคาถกู กวาซ้ือจํานวนนอ ย 4. เมอ่ื ใชแลวปดปากถุงใหสนิท เกบ็ ในที่ทีม่ อี ากาศแหง หรือสามารถเก็บไวใ นตูเยน็ เปนการยืด อายกุ ารใชงานของแปงได 7.1 แปงขาวโพด เปนผลิตภัณฑจากขาวโพด เม่ือนํามาทําเปนแปงขาวโพดจะมีลักษณะเนื้อเนียน ละเอียด มีลักษณะล่ืนเชนเดียวกับแปงมัน แตแปงจะมีสีขาวนวล ไมขาวสนิทเหมือนแปงมัน นิยมนํามาผสมกับแปงชนิดอ่ืนเพ่ือเพ่ิมคุณสมบัติในการทรงตัว การข้ึนเงาวาว และความนุม เชน การทําขนมชนั้ ขนมสงั ขยา การเลอื กซอ้ื และการเก็บรกั ษาเชนเดยี วกับแปง มนั 8.1 แปงกวนไสหรือแปงโมดิฟายด เปนแปงที่มีลักษณะเน้ือละเอียดขาว นิยมนํามาผสมกับแปง ชนิดอื่นๆ เพื่อใหไดคุณสมบัติพิเศษเชนเดียวกับแปงขาวโพด แตแปงกวนไสจะมีคุณสมบัติในการ ทรงตัวไดดีกวา จะไมคืนตัวเชนแปงขาวโพด นิยมนํามาเปนสวนผสมในการทําขนมท่ีมีลักษณะกวน เชน สังขยาทางขนมปง การผสมลงในกะทิสําหรับแตงหนาขนม เพ่ือใหกะทิทรงตัวอยูไดนาน ไม คืนตวั การเลือกซอื้ และการเกบ็ รักษาเชน เดยี วกบั แปงมนั 2. ไข ไขท่ีนํามาใชในการทําขนมไทยนิยมใชไขไกเปนสวนมาก และรองลงมาคือ ไขเปด สวนไข อนื่ ๆ เชน ไขห าน ไขน กกระทา จะไมน ยิ มนํามาใช ไขไกจะมีลักษณะเปลือกสีนวล มีขนาดเล็กกวาไขเปด นํ้าหนักของไขอยูท่ี 50,60,70 กรัม หรือมีเบอรตางๆ เชน เบอร 2,3,4 เปนตน ในการทําขนมไทยนิยมใชไขไกมากกวาไขเปด เพราะ ไขเปดมีกลิ่นคาวมากกวาไขไก และตองใชกลิ่นจากนํ้าหอมหรือดอกไมมาดับกลิ่นคาว ไขไกท่ีนิยม นํามาใชใ นการทาํ ขนมไทย เชน ขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน เปนตน
[9] การเลือกซอื้ และการเก็บรักษา การเลือกซอื้ ควรเลอื กไขใ หม เพราะจะไดขนมทีม่ คี ณุ สมบัตดิ ี ดังนี้ 1. ควรเลอื กจากรา นทีข่ ายดี มีการหมุนเวียนไขเ ขา -ออกตลอดเวลา ทาํ ใหไขใหมอ ยเู สมอ 2. การเลือกไขใหมจะสังเกตจากเปลือกไขที่มีนวลเกาะบางๆ ผิวไมเปนเงาวาว ถาไขเปนเงา วาว แสดงวาไขเ กาแลว 3. จากการตอ ยไขใสภ าชนะจะเห็นวา ไขแดงมที รงกลม นูน ไมแบนราบ และมไี ขข าวเปนวุน เกาะรอบไขแดง ถาเปนไขเกา ไขแดงจะแบนราบกับภาชนะ ถานํามาแยกไขแดงไขขาว ไขแ ดงจะแตกไดงา ย ไขขาวทีไ่ ดเ มื่อนาํ ไปตีใหข น้ึ ฟูจะไดปริมาณนอยกวาไขใหม ในการเก็บรกั ษาควรเกบ็ ในตูเยน็ หรอื หองเย็น โดยจัดวางใหสว นท่ีปานอยูดานบน ดานแหลมอยู ดานลาง ทาํ ใหไ ขมีความสดนานกวา หมายเหตุ ไขนา้ํ คาง คือ สวนของไขขาวท่ีเปนนํ้าใสๆ ติดอยูที่เปลือกไขใกลๆ เย่ือไข นิยมนาํ มาเปน สว นผสมของการทําฝอยทอง เปลือกไข นําเปลือกไขท่ีลางสะอาดมาขยํากับนํ้าตาลทราย เพื่อใหไดน้ําเช่ือมท่ีใสวาว สะอาด ไมมีส่งิ เจอื ปน 3. น้ําตาล ในการทําขนมไทย การเลือกใชนํ้าตาลใหถูกกับงานจะทําใหขนมมคี ุณภาพดี รวมทั้งไดกล่ิน หอมจากนา้ํ ตาลดวย นํ้าตาลทีใ่ ชในการทําขนมไทยมีดงั นี้ 3.1 นํ้าตาลทราย ทีท่ าํ มาจากออ ยมี 2 ชนดิ 3.1.1 น้ําตาลทรายขาว เปนนํ้าตาลท่ีผานกระบวนการฟอกสีแลว น้ําตาลจะมีสีขาวบริสุทธ์ิ มีท้ัง เม็ดละเอยี ดและเม็ดหยาบ นิยมนาํ มาใชกับขนมไทยท่ีตองการใหขนมมีสสี วยใส ไมข ุนมัว เชน การ นาํ มาทํานํ้าเชือ่ มในการทําขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง จะไดข นมสเี หลืองทองใส ไมค ลํ้ามัว หากนาํ้ ตาลมสี ีน้ําตาลเขม ขนมที่ไดจ ะมีสเี หลืองคลํ้า ไมนารบั ประทาน 3.1.2 นํ้าตาลทรายสีน้ําตาล เปนน้ําตาลทรายเชนเดียวกัน แตมีสีเขมกวา เมื่อนํามาใชเปน สวนผสมของขนมไทยจะทําใหขนมสีคลํ้า ไมนารับประทาน จึงนิยมใชกับขนมท่ีไมตองการใหเห็นสี ชดั เจน เชน การทาํ นาํ้ เชื่อม ขนมกวนทุกชนดิ 3.2 น้ําตาลมะพรา ว ไดมาจากตนมะพราว มีลกั ษณะเปนกอนและเหลว มสี ีนาํ้ ตาล ถาชนิดิดเหลว บรรจุอยูในปป แตในปจจบุ ันมกี ารบรรจุถงุ พลาสติกหรือภาชนะพลาสติกขายในปรมิ าณ 1 กิโลกรัม ชนิดที่เปนกอนจะมีกลิ่นหอม บรรจุใสถุงพลาสติกวางขายท่ัวไป น้ําตาลชนิดน้ีมีกลิ่นหอมจาก ธรรมชาติ นยิ มผสมในสว นผสมขนมไทยที่ตองการกล่ินหอมจากนํา้ ตาล เชน สงั ขยา ขนมหมอแกง นาํ้ กะทลิ อดชอ ง ในการเกบ็ รกั ษานาํ ใสภ าชนะที่มีฝาปด สนทิ 3.3 น้ําตาลโตนด ไดมาจากตนตาล นิยมทําเปนกอน จะมีกลิ่นหอมของตาล มีรสหวานแหลม มี ราคาสูงกวา นาํ้ ตาลมะพรา ว การนําไปใชกบั ขนมไทยเชนเดียวกับนํา้ ตาลมะพราว
[10] 3.4 นํ้าตาลปน ไดมาจากนํ้าจากนํ้าตาลทราย นิยมปนใหละเอียด นํามาใชกับขนมไทยบางชนิด เชน ขนมหนา นวล ขนมปยุ ฝา ย 3.5 แบะแซ มีลักษณะขน เหนียวหนืด มีสีใสเหมือนนํ้า ใชสําหรับเปนสวนผสมในขนมที่ตองการ ใหมีความเปนกอน เชน ถ่ัวกวนอัดพิมพ ลูกชุบ และขนมกวนชนิดอื่นๆ เชน กะละแม ในการ เลือกซ้อื และเก็บรกั ษามวี ิธกี ารเชนเดยี วกบั น้าํ ตาลมะพรา ว 4. มะพรา ว ในการทาํ ขนมไทยเราสามารถนํามะพรา วมาใชในลกั ษณะตา งๆ ดังนี้ 4.1 มะพราวหาว คอื มะพรา วที่แกจ ัด นาํ มาขดู แลวคน้ั ใหเปนน้ํากะทิ ซงึ่ น้าํ กะททิ ี่ไดจะมีลักษณะ ดังน้ี 4.1.1 กะทิสด ไดจากการขูดมะพราวแลวนํามาค้ัน จะได 2 สวน คือ สวนท่ีเขมขน เรียกวา หัว กะทิ สวนเจือจางเรียกวา หางกะทิ การทําขนมไทยนิยมใชกะทิจากมะพรา วขูดขาว คือมะพราวท่ี กะเทาะเนื้อออกจากกะลาแลวขดู สวนที่เปนเปลือกสีนํ้าตาลเขมบนเน้ือมะพราวออก เมื่อนําไปขูดจะ ไดกะทิที่ขาวสะอาด เหมาะทจ่ี ะใชกบั ขนมที่ตองการใหเห็นเนอ้ื ขนมชัดเจน เชน ขนมสอดไส ขนม ที่ใชนาํ้ กะททิ กุ ชนิด เชน ครองแครงกะทิ บัวลอย ทบั ทมิ กรอบ ตะโก วุนกะทิ 4.1.2 กะทิสําเร็จรูป ในปจจุบันมีกะทิสําเร็จรูปผลิตออกจําหนาย โดยการบรรจุในถุงพลาสติก กลองกระดาษ หรือกระปองอะลูมิเนียม ซ่ึงเราสามารถเลือกใชแทนกะทิสดได คุณสมบัติท่ีดีของ กะทสิ ําเรจ็ รปู คอื สามารถเก็บไวใ ชไดน าน อาจซอ้ื สํารองไวใช และเม่ือนํามาใชทาํ ขนมไทยแลว จะ มีอายุในการเก็บมากกวากะทิสด เชน การทําวุนกะทิ น้ํากะทิของขนมตางๆ เชน ลอดชอง ทับทิมกรอบ แตบางครั้งคนไทยจะไมนิยมใช เพราะมีความคิดวากะทิสดมีความหอมกวากะทิ สําเรจ็ รปู และมรี าคาสงู กวากะทิสด การเลอื กซ้อื และการเกบ็ รกั ษา ควรเลือกซื้อของจากรานท่ีขายดี เพราะจะมีมะพราวเขา -ออกอยตู ลอดเวลา เลือกกะทิท่ีไม มีกล่ินจากการคางของมะพราวท่ีปอกไวเปนเวลานาน มีสีขาวสะอาด ชนิดสําเร็จรูปควรศึกษาจาก ฉลากของบรรจุภัณฑเพ่ือดูวันหมดอายุ และบรรจุภัณฑอยูในสภาพท่ีเรียบรอย ควรเก็บไวในที่เย็น ปดฝาใหส นิท 4.2 มะพราวทึนทึก คือ มะพราวกลางออนกลางแก กะลาจะเปนสีน้ําตาลออน ถาเปนสีดําแสดง วาเปนมะพราวแก เปลือกเปนสีขาว นิยมนํามาขูดดวยมือแมว ขนมที่ใชกับมะพราวทึนทึก เชน ขนมถว่ั แปบ ขนมมนั ขนมขหี้ นู มะพราวแกว การเลือกซื้อและการเก็บรักษา การเลือกซื้อใหสังเกตจากเปลือกมะพราวเปนสีน้ําตาลออน กะลาสีนํ้าตาล เก็บรักษาโดย การทําใหส กุ และควรเกบ็ ไวในตูเย็น 4.3 มะพราวออน คือ มะพราวที่มีเปลือกบาง มีสีขาว เนื้อมะพราวจะนุม นิยมนํามาใชกับ ขนมตางๆ ดังน้ี วนุ กะทิมะพราวออน สาคูเปย กมะพราวออน ขา วเหนียวเปย ก เปนตน
[11] การเลอื กซื้อและการเกบ็ รกั ษา สังเกตจากเปลือกสีขาว เมื่อเขยาดูจะมีน้ํานอย แสดงวาจะไดมะพราวเน้ือหนา หากมีน้ํา มากแสดงวาออนมาก เน้ือจะบางนาํ มาใชไมได ควรเก็บไวใ นตเู ย็น 4.4 มะพราวกะทิ คือ มะพราวท่ีมีลักษณะพิเศษ จะมีเนื้อหนาเปนปุยขาว นํ้าจะขนหนืดเปนยาง นิยมนํามาใสเปนสว นผสมของขนมตางๆ เชน นา้ํ แข็งใส ทับทมิ กรอบ การเลอื กซ้ือและการเกบ็ รกั ษา การซ้ือควรส่ังซ้ือจากรานประจํา และสัง่ ซื้อในปริมาณทต่ี องการ ไมควรใหเหลือ ถา ใชมาก ควรเก็บในตูเย็น 5. เผอื ก มนั ฟกทอง 5.1 เผอื ก เผือกที่นํามาใชในขนมไทยนิยมใชเผือกท่ีมีลักษณะรวนซุย ขนมท่ีทํามาจากเผือก เชน เผอื กกวน ขนมเผอื ก เผอื กน้ํากะทิ 5.2 มัน มันที่ใชในขนมไทยนยิ ม 2 ชนดิ คอื 5.2.1 พันธุไ ทจุง มลี ําตน เปน พมุ ใบเปน แฉก หัวมีรปู รา งคลา ยไข มเี น้อื ในสเี หลือง เมื่อนาํ มาตม หรอื น่งึ มคี วามเหนียวไมเละ นยิ มนํามาทาํ เปน แกงบวด 5.2.2 พันธุหวยสีทน มีลักษณะเปนเถาเล้ือย มีใบกวางพอประมาณ เนื้อในมีสีแดงอมเหลือง มี รสหวาน นิยมนํามาเชื่อม มนั ฉาบ มนั รงั นก จะไดสีสมสวยนารับประทาน 5.3 ฟกทอง ฟก ทองทใี่ ชทําขนมไทย เชน แกงบวดฟก ทอง บัวลอย สงั ขยาฟกทอง ฟก ทองกวน 6. ถัว่ ตา งๆ ในการทาํ ขนมไทยนิยมนําถว่ั ตา งๆมาใช เชน ถว่ั เขยี ว ถ่วั ดาํ ถวั่ ตาดํา ถว่ั แดง 6.1 ถ่ัวเขยี ว ถวั่ เขียวเปนถว่ั ทใ่ี ชกันมากทส่ี ดุ ในการทาํ ขนมไทยที่มีจําหนา ยในปจ จุบันมี 2 ชนดิ คือ 6.1.1 ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก ใชกันมากในการทําขนมไทย ซึ่งผูใชบางคนไมเขาใจจะสับสนกับถ่ัว เหลอื ง เพราะถั่วเหลอื งชนดิ น้ีเม่ือกะเทาะเปลอื กออกจะเห็นเปนเมลด็ สีเหลือง กอ นใชจ ะนําไปแชน ้ํา ใหอ่ิมตัว ไมควรใชเวลาในการแชยาวนานเกินไป เพราะจะทําใหถั่วมีกลิ่นไมดี ควรใชเวลาแชเพียง 2-3 ช่ัวโมงจะอ่ิมตัว นําไปน่ึงหรือตมไดตามตองการ นิยมนําไปทําขนมไทยดังน้ี เตาสวน ถั่วกวน ลกู ชบุ ขนมหมอแกง ถั่วทอง คือ ถ่ัวเขียวกะเทาะเปลือก นําไปคั่วจนมีกล่ินหอมแลวนํามาบดจนละเอียด ปจจบุ นั มจี าํ หนา ยทัว่ ๆไป นิยมนาํ มาทําขนมไทย เชน ขนมเบ้อื งไทย สําหรับถ่ัวคั่วโดยไมบด จะใช โรยหนา ขาวเหนยี วมะมว ง 6.1.2 ถั่วเขียวไมกะเทาะเปลือก ถ่ัวชนิดน้ีนิยมนําไปตมน้ําตาลหรือทําถ่ัวเขียวแกงบวด ใชเปนน เคร่ืองปรุงน้ําแขง็ ใส ซง่ึ กอนใชค วรนําไปแชน า้ํ ประมาณ 4-5 ช่ัวโมง กอนจะนาํ มาใชตอ ไป
[12] 6.2 ถ่ัวดํา เปนถ่ัวท่ีมเี ปลือกหนา ฉะน้ันกอนใชต องนํามาแชนํ้าคางคืนใหถัว่ อ่ิมตัว จึงนาํ มาตมเพื่อ ใชงานอื่นๆ เชน การกวนเปนไสขนม การนํามาทําแกงบวด ใสใ นขาวตม มดั 6.3 ถ่วั ตาดํา มีลกั ษณะคลายถ่ัวดํา แตจะมเี ปลือกสีขาวตรงสวนตา มสี ีดํา ถั่วชนิดน้ีจะมกี ล่ินหอม เฉพาะ วิธีการใชเ ชนเดียวกบั ถั่วดาํ นิยมนํามาทําถ่ัวแกงบวด การเลือกซื้อและการเกบ็ รกั ษา ถวั่ ทุกชนิดมีวิธีการเลือกซ้ือเหมือนกัน ควรเลือกถ่ัวใหมไมมีตัวมอด ไมมีสเี จือปนอื่นๆ การ เก็บควรปดถุงใหสนิท เก็บในท่ีท่มี อี ากาศแหง 7.สี การใชสีในการทําขนมไทยเปนสวนสําคัญท่ีจะทําใหขนมน้ันมีความสวยงาม นารับประทาน และสามารถเรียกความสนใจจากผูคนได ซึ่งการใชสีนั้นเราควรศึกษาความรูเรื่องสีใหเขาใจกอน นําไปใช เพราะเม่ือมีความรูแลว เราจะสามารถเลือกใชสีไดถูกตอง ซึ่งสีที่ใชมี 2 ชนิด คือ สี สังเคราะห และสีธรรมชาติ 7.1 สสี งั เคราะห เปนสีทมี่ าจากองคการเภสัชกรรม มดี ังน้ี 7.1.1 สนี ํ้า บรรจุอยูในขวดหรอื หลอด เม่ือตองการใชควรใชที่ดูดสีขึ้นมาเล็กนอย อาจผสมในนํ้า กอนเพอื่ ใหส ีเจือจาง เพราะถา สเี ขม จดั แลว เราไมส ามารถแกไขได 7.1.2 สฝี ุนหรือสีผง บรรจุอยูในซอง กอนใชตองนํามาละลายกับนํ้ากอน ควรจะหยดสีลงไปผสม ในขนมทีต่ อ งการ เทคนิคการใชสีสังเคราะห สีบางสีหากเราใชผสมกันตามทฤษฎีสี เมอ่ื ผลออกมาสีอาจจะไม สดใสเทา ทคี่ วร เชน การนําสีแดงผสมกับสีน้ําเงินจะไดสมี วง ซึ่งเราจะไดส ีมว งคลํ้าไมส ดใส ควรเล่ียงมาใชสีชมพูผสมสีฟา จะไดสีมวงใสนารับประทาน ฉะนั้นการใชสีสังเคราะห เรา ควรศกึ ษาหรอื นาํ มาทดลองใชในขนมท่ีมปี ริมาณนอยๆกอน จงึ จะนาํ ไปใชในสวนมาก 7.2 สธี รรมชาติ เปนสที ี่ไดมาจากสวนตา งๆของพชื เชน ดอก ใบ ผล เมลด็ แกน ราก 7.2.1 สจี ากดอกไม ดอกอญั ชัน สวนที่นํามาใชคือ ดอกสีนํา้ เงิน มกี ลีบบอบบาง มีลักษณะคลายดอก ถ่ัว ตรงปลายสีมวงคราม ตรงกลางสีเขียว เวลาใชใหเลือกเอาแตสวนท่ีเปนสีมวงคราม กอนนํามาใชตองลางใหสะอาด นํามาโขลกเบาๆแลวเติมนํ้ารอนเล็กนอย ขยําใหสีออกจาก เนื้อดอกไมแลวกรองดวยผาขาวบาง หรือกระชอนตาถ่ีๆ จะไดสีนํ้าเงิน หากตองการสีมวง แดง ใชนํ้ามะนาวหยดลงไปเล็กนอย ผสมใหเขากัน นําไปผสมในขาวเหนียวมูน ขนมชอ มว ง ขนมนํ้าดอกไม ขนมมัน ดอกกรรณการ สวนที่นํามาใชคือสวนดอกที่มีสีเหลือง นําไปตมในน้ําเดือดสักครู พอมสี ีออกมายกลงแลว กรองดว ยผา ขาวบาง ใชเ ฉพาะสวนนา้ํ ดอกดิน จะมีเฉพาะหนาฝน ออกปนกับรากไมชนิดอื่น เชน รากหญาคา ราก เปราะ รากออน ดอกดินโผลออกมาจากดิน มีสีมว งเขม นําสีจากดอกดินมาผสมขนมแลว ทําใหสุก ขนมจะมสี ดี าํ
[13] 7.2.2 สจี ากรากหวั ขมนิ้ เปน พืชท่ีมีหัวใตดนิ มีลกั ษณะเปน แงง คลา ยขิง มีเนือ้ สีเหลือง กล่ินหอม ใช ผสมในขนมที่ตองการสีเหลือง โดยการนําขม้ินมาทุบใหแตกหรือโขลกละเอียด หอดวยผา ขาวบางแชในนา้ํ เล็กนอย จะไดน้าํ ขมิ้นสําหรับแทนสเี หลือง เชน ในการทําขาวเหนียวหนา กุง ใชสีจากนํ้าขมิ้นเทผสมในขาวเหนียวแลวแชไวจนสีซึมเขาไปในขาวเหนียวทั่วกัน ทําให ขา วเหนียวมสี เี หลอื งและมีกลิน่ หอม ในปจจบุ นั มขี มิ้นผงจําหนา ย ทําใหใ ชง านไดสะดวกขึ้น บวั สาย นาํ เน้อื มาผสมในเน้ือขนม จะใหส มี ว งออ นๆ 7.2.3 สจี ากผล ลูกปลัง มีลักษณะคลายมะเขือพวง มีผลกลมเล็กๆสีมวง วิธีสกัดสีนําลูกปลังลาง ใหสะอาด แชในนํ้าเดือดสักครู สีจะละลายออกมาเปนสีมวงคลายลูกหวา นํามากรองเอา กากและเมล็ดออก ใชผสมขนมทต่ี องการสมี วง เชน ขนมน้าํ ดอกไม ขนมมนั กาบมะพราว ใหน้ําสีดํา โดยนํากาบมะพราวเผาไฟใหไหมแลวคน้ั กับนํา้ กรองเอา กากออกใหห มด จะไดน ้าํ สดี าํ มีกลนิ่ หอม นิยมนําไปใชกับขนมเปยกปนู 7.2.4 สจี ากสวนใบ ใบเตย มีลักษณะใบยาวเรียว มีสีเขียวเขม มีกลิ่นหอม เตยมี 2 ชนิด คือ เตย หอมและเตยธรรมดา ใบเตยหอมจะมีขนาดเล็กกวาใบเตยทั่วไป เมื่อใบเตยออกจากกอเตย จะมีกลนิ่ หอม แมจ ะไมไดคั้นนํ้า การค้นั น้าํ ใบเตยมวี ธิ ที ําดงั น้ี ทาํ ความสะอาดใบเตยแลวหั่นหยาบตามขวาง จะโขลกหรือใชเคร่ืองปนไฟฟา โดย การใสนํ้าลงไปเล็กนอย นํามากรองเอากากออกไปจะไดนํ้าใบเตยสีเขียว นิยมนําไปผสมใน ขนมดงั น้ี ขนมชัน้ ขนมนาํ้ ดอกไม วนุ กะทิ ขนมเปย กปนู ขนมลอดชอง ฯลฯ หญา ฝร่นั มีลักษณะคลา ยเกสรดอกไมตากแหง มีกลน่ิ หอม เม่ือนําไปแชในนาํ้ รอน จะใหสีเหลือง กรองใชเ ฉพาะสวนท่เี ปน น้ํา 8. การแตงกล่นิ การทําขนมไทยมิใชวา จะทําใหส วยหรือถูกวธิ ีเทานั้น ส่ิงทสี่ ําคัญมากคือ กลนิ่ ซ่งึ อาจเกิดจาก กลิ่นของแปง ไข นํ้าตาล หรือสารปรุงแตงกลิ่น ฉะน้ันการทําขนมไทยจึงควรศึกษาเร่ืองกลิ่นให เขาใจ เพ่ือจะนําไปใชไดอยางถูกตองและมีประสิทธิภาพ กล่ินที่ใชในการปรุงแตงขนมไทยมี 2 ประเภท คอื กล่ินสังเคราะห คือ กล่ินที่สกัดโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร มีขายเปนขวด เชน กลิ่น มะลิ กล่ินสม กล่นิ สับปะรด กลิน่ นา้ํ นมแมว ฯลฯ กลิ่นธรรมชาติ คือ กลิ่นที่ไดจากสวนตางๆของพืชท่ีมีอยูในธรรมชาติ เชน กลิ่นมะลิกลิ่น กุหลาบ (จากดอกกหุ ลาบมอญ) กลิ่นใบเตย เปน ตน
[14] การเลอื กกล่ินที่จะใชกับขนมจะตองดูใหเหมาะสม ขนมชนิดใดควรใชกลิ่นอะไร เชน ถาขนมสี เขียวควรใชกล่ินใบเตย การทําวุนกะทิควรใชกล่ินมะลิ การใชกลิ่นของขนมควรใชกล่ินเดียว ไมใช หลายกลนิ่ รวมกันในขนมชนดิ เดยี วกัน มะลิ ควรเลือกดอกสีขาวเกือบจะบาน คือ ดอกแก ถาเปนมะลอซอนควรเลือกท่ียังไมพรมน้ํา ซ้ือตอนเชา ถาซ้ือตอนเย็นคนขายจะพรมน้ํามาก ทําใหมะลิสําลักน้ําชํ้า มีกล่ินเหม็นเขียวไมหอม ดอกมะลิทีใ่ ชควรเปน ดอกมะลิทไ่ี มมยี าฆาแมลงปะปนอยู หรอื แชส ารทเี่ ปน อนั ตราย การลอย เด็ดขั้วออกแลวคอยๆวางลงในน้าํ ทีใ่ สภาชนะไว ถา เปนมะลิซื้อ ไมค วรลอยนา้ํ โดยตรง เพราะมะลิอาจมยี าฆา แมลงอยู ใหใสมะลิในภาชนะทม่ี ีลกั ษณะแบนและเบา กอ นนาํ ลงลอยในน้ํา กระดังงา มีลักษณะกลีบดอกยาว เวลาจะนํามาลอยนํ้าควรเลือกดอกที่มีสีคอ นขางเหลืองแตไม เหลอื งจดั ถาเหลืองจดั จะไมหอม การลอย จุดเทียนอบแลวนําดอกกระดังงาทั้งดอกคอยๆลนกลีบจนทั่ว แลวบีบที่กระเปาะให กลบี หลนลงในนํา้ หามฉีกกลีบเพราะจะทําใหก ลบี ชํ้า กุหลาบมอญ คือ กุหลาบท่ีมีกลีบซอนกันมากมาย มีสีแดงออกชมพู กลิ่นหอม สมัยกอนมัก นิยมนํากลีบมาแตงบนตัวขนม เชน ตะโก แตในปจจุบันมียาฆาแมลงจึงไมนิยมใช เพียงแตนํามา ลอยน้าํ โดยใสใ นภาชนะกอนลอย เพ่ือใหมีกลิ่นหอม ใบเตยหอม ลกั ษณะเปนใบยาวสเี ขยี ว สําหรับใบเตยใชไ ดท ้ังสีและกลนิ่ ควรเลือกใบท่ีแกจ ดั การใช ห่ันเปนทอนๆแลวโขลก ค้ันนํ้าขนๆใสในขนมใหมีกล่ินหอมและมีสีเขียว หรือจะใชมัด เปน กาํ ๆ ใสใ นนาํ้ เชื่อมสําหรับทําขนมประเภทไข เชน ทองหยิบ เทยี บอบมี 2 ชนิด คือ 1. ชนดิ ทใี่ ชเ คร่ืองหอมหลายๆชนดิ มาผสมกนั แลว ปนเปนแทง 2. ชนิดท่ีใชขี้ผ้ึงแทเ ปนแทงใหญๆนํามาตดั เปนชิน้ เล็กๆแลวอบ ชนิดแรกจะใชไมขีดไฟ จุดที่ไสใหไฟลุกทั้ง 2 ดาน วางในภาชนะ เชน ถวย แลวนําไปใส ภาชนะท่ีมีขนมท่ตี องการอบแลวปดฝา ไฟจะดับและมีควนั อบอวลอยูในภาชนะ จะเปดกต็ อเมื่อควัน หมด ชนิดท่ี 2 จะใชถานแดงกอนเล็กๆวางในกะลา ฝานข้ีผึ้งวางบนถาน นําไปใสภาชนะท่ีมีขนมอยู แลว การอบชนิดนสี้ วนใหญจะใหเทียนอบอยูดานลา งของภาชนะ เพื่อใหควันข้ึนดานบน สว นใหญ จะอบในลงั ถงึ เทยี นอบชนดิ นีจ้ ะมกี ล่นิ หอมออ นๆตามธรรมชาติ ราคาของเทยี นจะแพงกวาชนิดแรก
[15] กจิ กรรมท่ี 1 ใหผ้ เู้ รียนตอบคาํ ถามทา้ ยบทเรียน 1.ใหผ้ เู้ รียนอธิบายความสาํ คญั ของขนมไทยมาพอสงั เขป ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... 2.ใหผ้ เู้ รียนบอกเอกลกั ษณ์/จุดเด่นของขนมไทย มา 3 ขอ้ ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... 3.เพราะเหตุใดการเลือกวตั ถุดิบ จึงมีความสาํ คญั ในการทาํ ขนมไทย ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 4.แป้งขา้ วเจา้ และแป้งขา้ วเหนียว มีคุณสมบตั ิเหมือนกนั หรือแตกต่างกนั อยา่ งไรบา้ ง จงอธิบาย ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
[16] ตอนที่ 2 เทคนคิ การทาํ ขนมไทย ………………………………………………………………… * การทําน้ําเชือ่ ม 1. การสงั เกตความขนของน้าํ เช่อื ม 1.1 ใชเทอรโมมิเตอรวัดอุณหภูมินํ้าเช่ือม โดยจุมลงในน้ําเชื่อมใหไดท่ีตองการ อยาใหปลายของ ปรอทกระทบกบั ภาชนะหงุ ตม เพราะอณุ หภูมขิ องภาชนะจะสงู กวา นํ้าเชื่อม 1.2 ดูดวยสายตาโดยใชไมพายตักนํ้าเช่ือมยกขึ้น จะมีความเหนียวหยดลงภาชนะชาๆ หรือโดยการ ตกั หยดในนาํ้ แลว สังเกตลกั ษณะ 2. ขอควรระวงั สาํ หรบั การใชน ํ้าเช่ือมทําขนม 2.1 อยาใหน้ําเชื่อมกระเด็นถึงขอบกระทะ จะทําใหบริเวณน้ันตกทราย ถาบริเวณนั้นตกทราย จะตองใชผ าชบุ นํา้ เชด็ ใหสะอาด อยา ขูดลงไปในนาํ้ เชื่อม จะทําใหน ํา้ เชื่อมตกทรายไดงาย 2.2 ขณะท่ีทําถาเห็นวานํ้าเชื่อมขน หรือมีอุณหภูมิสูงข้ึนตองคอยเติมนํ้า มิฉะน้ันจะทําใหการทํา ขนมมีการผิดพลาด * ขนมประเภทอบ การอบขนมนอกจากจะทําใหขนมสุกแลว การอบยังทําใหเกิดกล่ินหอมนารับประทาน ตลอดจนทําใหเกิดสีนํ้าตาลเขมได นอกจากนี้การอบใหแหงยงั เปนการยืดอายุในการเก็บขนมออกไป ได ขนมไทยทีใ่ ชวิธีการอบ เชน ขนมดอกลําดวน ขนมหนานวล ขนมบา บ่ิน ขนมผงิ เปนตน การทําขนมประเภทอบมีขอควรคํานึงดังนี้ 1. ภาชนะ ภาชนะทใี่ ชในการอบขนมไทยมีต้ังแตก ารพิมพช นดิ ตางๆ ถาดทรงเต้ีย ถาดมีขอบ ดังน้ี 1.1 พมิ พ พิมพท่ีใชสวนมากทํามาจากอะลูมิเนียมและอะลุมิเนียมฟอยด เชน พิมพรปู เรือของขนม หนานวล พพิ มร ปู ถว ยของขนมหมอ แกง ถว ยทอง พิมพถ วยจีบของขนมไข ฯลฯ 1.2 ถาด ถาดท่ีใชสว นมากทาํ มาจากอะลูมิเนียม ไมน ิยมสแตนเลสเพราะจะทาํ ใหมคี วามรอนสูงและ เก็บความรอนไดนาน ทําใหขนมไหมเร็ว การอบขนมเปนชิ้นเล็กๆจํานวนมาก นิยมใชถาดอบ เตี้ย หรือถาดท่ีไมมีขอบ เพราะจะทําใหความรอนกระจายทั่วถึง สําหรับการอบขนมชิ้นใหญ เชน ขนมบาบ่ิน ขนมหมอแกง ใชถาดมีขอบ อาจสูงประมาณ 1 นิ้ว มีทั้งการใชถาดขนาด ใหญ เมือ่ อบเสร็จตัดเปนชิ้นๆ หรือการใชถาดขนาดเล็ก เมื่ออบแลวยกเสริรฟหรือจัดจําหนาย ไดท ัง้ ถาด เชน ขนมหมอ แกง 2. เทคนคิ การอบ 2.1 การเตรียมเตา ควรเปดเตาอบและต้ังอุณหภูมิที่ตองการกอนอบขนมประมาณ 20 นาที เพือ่ ใหเ ตาอบรอ นและไดอ ุณหภมู ิท่ตี องการ แลว จงึ ไปทีข่ ั้นตอนการเตรียมทาํ ขนมตอไป
[17] 2.2 การเตรียมภาชนะ ภาชนะที่ใชอบขนมสวนมากมาจากอะลูมิเนียม จึงควรทาไขมัน เชน เนย ขาวหรือนํ้ามันพืช หรือเตรียมรองดวยกระดาษไข ทั้งน้ีขึ้นอยูกับชนิดของขนมอบ กอนถึงข้ันตอน การทาํ ขนมจงึ ควรเตรยี มภาชนะใหเ รียบรอ ยพรอ มใชงานทนั ที 2.3 อุณหภูมิที่ใชในการอบ อุณหภูมิในเตาอบจะมีมาตรวัด 2 มาตร คือ องศาฟาเรนไฮด และ องศาเซลเซียส ผูใชเตาจึงควรศึกษาใหชัดเจนวาตํารับใหใชมาตราใด เพราะถาใชผิดจะทําใหขนม เสียหายได เชน อุณหภูมิ 400 องศาฟาเรนไฮด ในการทําขนมไทยทั่วไปจะนิยมใชอุณหภูมิที่ 350 องศาฟาเรนไฮด หรือประมาณ 145 องศาเซลเซียส * ขนมประเภทตม ขนมไทยหลายชนิดท่ีใชวิธีการตมเพ่ือทําใหขนมสุก ซึ่งการตมขนมแตละอยางจะใชความ รอนในการตมไมเทากัน เชน ขนมบางชนิดไมตองการใหน้ําเดือดพลาน บางชนิดตองการแคนํ้า เดือดปุดๆเทาน้ัน ฉะน้ันการทําขนมไทยประเภทตมจึงควรศึกษารายละเอียดใหเขาใจ เพ่ือปองกัน การผดิ พลาดท่จี ะเกิดขน้ึ ได ขอ ควรคํานงึ ในการทําขนมประเภทตมมีดังน้ี 1. ภาชนะ ภาชนะที่ใชควรเลือกใชภาชนะเคลือบหรือภาชนะสแตนเลส เพราะภาชนะดังกลาวเมื่อใช งานจะไมทําใหขนมมีสีผิดปกติ หรือไดสีที่ละลายออกมาจากภาชนะ ทําใหสีของขนมไมนา รบั ประทาน เชน การเตรยี มนา้ํ กะทิ หากใชหมออะลูมิเนียม สีของกะทิจะหมนกวา การใชภาชนะที่ ทมี าจากสแตนเลสหรอื ภาชนะเคลือบ 2. เทคนคิ การตม อุณหภูมิท่ีใชในการตมโดยทั่วไปจะใชท่ี 100 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิที่นํ้าเดือด แต ขนมไทยหลายชนิดๆ จะใชระดบั ความรอ นท่ีแตกตางกนั ออกไป เชน การทําลอดชองไมจําเปนตอง ใชน้ําเดือดพลาน แคน้ําเดือดปุดๆเทานั้น การตมขนมตมแดง ขนมตมขาว ขนมถ่ัวแปบ ฯลฯ ตองใชนา้ํ เดอื ดเพ่ือใหแ ปงสุก จะสังเกตไดจากการลอยตัวข้นึ มาแลว จึงรบี ตักใสนาํ้ เย็น หรอื อาจใสใ น กะทิหรือมะพราวขูดขาวที่เตรียมไว ขอควรระวังคือเมื่อขนมสุกแลวไมควรตมตอไปหรือใชเวลามาก ไป เพราะจะทาํ ใหขนมมีลกั ษณะเปอ ยเละได * ขนมประเภทวุน วุนที่ใชในการทําขนมไทยในปจจุบันนิยมวุนที่มีลักษณะเปนผง บรรจุอยูในซองขนาด 25 กรัม หรือ 50 กรัม อีกลักษณะหนึ่งเปนเสนๆ แตในปจจุบันมีจําหนายนอยมาก อีกลักษณะหน่ึง เปนวุนทํามาจากสาหรายทะเล นํามาใชทําขนมตางๆ เชน วุนกะทิใบเตย วุนลาย วุนช้ัน วุน สงั ขยา สวนประกอบหลกั ในการทําขนมจากวนุ มีดงั น้ี 1. วนุ ผง ในทองตลาดจะมีวุนหลายย่ีหอดวยกัน ซึ่งจะมีคณุ สมบัติแตกตางกันออกไป เชน บางยี่หอ จะมีความเหนียวนอย บางเหนียวมาก ผูใชตองสังเกตบอยๆเพื่อจดจําความรเู ร่ืองเทคนิคในการเติม วุน จะชว ยใหเราสามารถประกอบอาหารวุน ไดง า ยและมคี วามผิดพลาดนอย
[18] การตมวุนมดี ังนี้ นําวุนผง นํ้าเปลา มาแชไวใหอ่มิ ตัว แลวนําไปตมจนวนุ ละลาย จงึ คอยๆ เตมิ นาํ้ ตาลทราย วิธีสังเกตวาวนุ ละลายหมดหรือไม ใหส ังเกตจากภาชนะทีใ่ ชคน อาจจะเปน ชอนไม หรือทัพพี โดยการยกภาชนะมาสังเกต ถามีผงวุนเกาะติดอยูแสดงวายังไมละลาย จึงควรตมตออีก สกั ครู ในกรณีทวี่ ุน ละลายไมหมด จะทําใหเ นื้อของวนุ มีลักษณะยุยงาย ไมเ หนียว 2. นาํ้ ตาล นาํ้ ตาลที่นิยมใชคือน้ําตาลทรายชนดิ สีขาว เพราะจะทําใหขนมมีสขี าวสะอาดนารับประทาน นอกจากนี้อาจใชนํ้าตาลมะพราวในบางโอกาสท่ีตองการกลิ่นหอมจากน้ําตาล ปริมาณที่ใชในตํารับ ตางๆ หากหวานมากหรือจืดไปเราสามารถเพิ่มลดไดตามชอบ การผสมน้ําตาลลงในสวนผสมวุนจะ ทาํ ใหวุนมีความใสมากกวาเดมิ 3. นํา้ นํ้าท่ีใชอาจเปนน้ําลอยดอกมะลิหรือน้ําสะอาดท่ัวไป หรือนํ้าที่ไดมาจากผลไม เชน มะพรา วนํา้ หอม ปริมาณของนํ้าควรชั่งตวงใหตรงตามลาํ ดับ หากเคี้ยววุนโดยใชเ วลานานเกนิ ไป น้ํา จะงวดลง ทาํ ใหล ักษณะของวุน มสี ีขาวขนุ ไมใ ส เนอ้ื วนุ จะแข็งกวาปกติ 4. สี สีท่ีใชมีท้ังสีธรรมชาติและสีสังเคราะห การใชสีธรรมชาติจะตองใชปริมาณมากกวาสี สังเคราะห สําหรับสีสังเคราะหสีจะเขม ควรใชหลอดบีบหยดทีละนอย หากผสมสีมากไปจะแกไข ยาก 5. สวนผสมอ่ืนๆ สว นผสมอ่นื ๆอาจใชไดในลกั ษณะดังตอไปน้ี พชื ใบ ไดจากการค้นั นา้ํ จากพชื ผกั เชน ใบเตย ตะไคร เมลด็ แมงลกั ถ่ัวตา งๆ งาดาํ ราก หัว ผล ขงิ ฟก ทอง รากบวั มะพรา ว กะทิ ใชกะทิจากมะพราวขูดขาว จะทาํ ใหวนุ มีสีขาวสะอาด นา รบั ประทาน ภาชนะที่ใช ปจจบุ ันมีพมิ พใ หเลอื กใชมากมาย ตัง้ แตพมิ พพลาสตกิ พิมพอะลูมิเนยี ม 6. เทคนคิ การทาํ วนุ 6.1 การเค่ียววุนควรใชไฟปานกลาง ถา ไฟแรงจะทาํ ใหวุนมสี ีเขม ไมส วย เม่ือใสน้ําตาลแลวไมควร เคย่ี วนาน จะทําใหว นุ มีสนี ํ้าตาลเขม เมื่อนาํ ไปผสมกบั กะทิจะไดส ขี าวอมเหลือง 6.2 กระทะทใ่ี ชควรเปนกะททิ ่มี าจากมะพราวขดู ขาว ไมมกี ล่ิน และควรเปน หัวกะทขิ นๆ 6.3 การทําวุนกะทิควรมีแปง ขา วเจาผสมเลก็ นอ ย จะทําใหวุนไมแยกตัวเปน ชนั้ ๆ 6.4 การเคย่ี วกะทิ เม่อื ใสก ะทิลงไปเคย่ี วกับวนุ ควรใชเ วลาสัน้ มฉิ ะนน้ั กะทจิ ะแตกมัน 6.5 การกรองวุนควรใชผ า ขาวบางกรอง และไมค วรบีบสวนท่ีคางในผาลงไป 6.6 การวางภาชนะใสวนุ ควรวางบนพนื้ ที่ลาดเสมอกนั 6.7 การเทวนุ แตละชั้นควรใหว นุ ชน้ั แรกเรม่ิ ตึงตัวกอน มฉิ ะน้ันชนั้ ตอไปจะผสมเขา กัน
[19] 6.8 ลักษณะการตึงตัวของวุน คือ วุนเริ่มอยูตัว ใชนิ้วแตะดูผิววุนจะตึง การตึงตึวของวุนจะเริ่มตึง จากดานขางกอน สวนตรงกลางจะชากวา ฉะน้ันการเทวุนชั้นตอไปควรเทตรงสวนขางหรือริมของ พมิ พห รอื ถาด แลว ปลอ ยใหว นุ ไหลเตม็ สว นหนาพมิ พ 6.9 หากวุนสวนแรกเย็นและแข็งมากแลว วุนท่ีจะนํามาเทชั้นตอไปควรเปนวุนที่รอนจัดจะทําใหวุน ตดิ กันไดด ี 6.10 การใชส ีควรใชส ีออนๆ 6.11 การนําวุนออกจากพิมพ ควรใชวัสดุปลายแหลมแหยดานขางใหถึงกนพิมพ แลวควํ่าพิมพ วุน จะหลุดออกมาโดยงา ย * ขนมประเภทน่ึง ขนมไทยประเภทนึ่งมีหลายชนิด เชน ขนมกลวย ขนมฟกทองสังขยา ขาวเหนียว หนาตางๆ ขนมไทยทุกชนิดตองมีความละเอียดออนไปทุกข้ันตอน ไมวาต้ังแตเร่ิมตนจากการผสม ตลอดไปถึงการหอ ขนมไทยนิยมใชภาชนะจากใบตองในการทําบรรจุภัณฑ สําหรับขนมประเภทน่ึง มขี อ ควรคาํ นึงหลกั ๆดงั นี้ 1. ภาชนะ ภาชนะทใี่ ชใ นการนึ่ง นิยมใชลังถงึ อะลูมิเนียมเพราะมีขนาดใหญเล็กตามตองการ อีกท้ังพื้น ลังถึงสําหรับวางขนมจะแบนราบ เหมาะสําหรับการวางขนมชนิดตางๆไมใหเสียรูปทรง การเตรียม ภาชนะสําหรับขนมท่ีไมมีการใชใบตองหอ หรือรองตองใชใบตองฉีกวางท่ีพ้ืนลังถงึ กอน แลวทาดวย น้ํามัน อาจใชน้ํามันพืชหรือกะทิแลวจึงวางขนมท่ีเตรียมนึ่ง วางลงไปโดยใหมีระยะหางกันเล็กนอย เพอ่ื ใหไอน้ําจากขางลางสามารถผานขนึ้ มาได 2. การน่ึง การนึ่งขนมแตละชนิดอาจใชความรอนไมเทากัน เชน ขนมบางชนิดตองการไฟออน บาง ชนดิ ตอ งการไฟแรง ฉะน้นั กอ นลงมอื ปฏิบัติตอ งศึกษาใหเ ขา ใจ ขอควรคํานึงถงึ ในการน่งึ มดี งั นี้ การเตรยี มนา้ํ น้ําที่ใสใ นลังถงึ ควรใชป ระมาณ ¾ ของลังถงึ อณุ หภูมิ - อุณหภูมิสูง ขนมหลายชนิดตองการความรอนสูง โดยตองน่ึงในนํ้าท่ีเดือดพลาน เชน สงั ขยา สําหรบั ใสหนาขา วเหนียว ถาไฟแรงหนา ขนมจะเปน คลืน่ เรยี กวา หนา ยักษ - อุณหภูมิปานกลาง การนึ่งลักษณะนี้จะใชน้ําเดือดปานกลาง เชน การน่ึงขนมมัน ขนม สอดไส - อุณหภูมิตํ่า การนึ่งลักษณะนี้จะใชน้ําเดือดปุดๆ ไมตองการใหเดือดพลาน เหมาะสําหรับ การน่งึ ขนมปุยฝาย สังขยาช้ิน ฟก ทองสงั ขยา การเปดฝาลังถึง ในการเปดฝาลังถึงตองคํานึงถึงความปลอดภัยของผูทํางาน เพราะไอน้ําจะมีความรอนสูง การเปดฝาจึงควรคาํ นงึ ดงั นี้
[20] - ใหเปดฝาไปทางดานตรงกันขาม โดยตะแคงฝามาทางดานผูเปด เมื่อไอนํ้าเร่ิมนอยลงจึงยก ฝาลังถงึ ออกไป - เม่ือเปดใหไอนํ้าออกไปแลวรีบยกฝาลังถึงออกจากตัวลังถึงทันที มิฉะนั้นน้ําจากฝาลังถึงจะ หยดลงบนหนาขนมท่ีน่ึง อาจทําความเสียหายได ถาตองการน่ึงตอไปใหใชผาเช็ดน้ําท่ีฝา ลงั ถงึ ออกใหหมดแลว ปดลงั ถึง เชน การทําขนมชัน้ เปน ตน * ขนมประเภททอด การทอดในขนมไทยเพ่ือใหขนมสุก จะทําใหลักษณะและกล่ินของขนมเปล่ียนไป เชน มี การพองตัว มีความกรอบและมีกลิ่นหอม มีสีนํ้าตาล ในการทอดขนมจึงจําเปนตองศึกษาวิธีการใช ความรอนใหเหมาะสมกับลักษณะของขนมแตละชนิด การทอดที่ใชในขนมไทย เชน ขนมฝกบัว ขนมกรอบเค็ม ขนมดอกจอก ขนมทองพลุ ซ่ึงมขี อ คาํ นงึ ดังนี้ 1. นา้ํ มนั น้ํามันที่นํามาใชตองเปนนํ้ามันที่ไมมีกลิ่น ใสสะอาด การเลือกใชนํ้ามันเปนสิ่งที่จําเปนมาก ในการใชทอดขนมไทย เพราะน้าํ มันบางชนิดเม่ือทอดแลวจะมีกลิ่นหืนตกคางอยใู นขนม เชน นาํ้ มัน ทไ่ี ดมาจากเมล็ดพืช รําขาว สว นนํา้ มนั ท่ีไมมีกล่ินหืน เชน นํ้ามันจากปาลม การใชน้ํามันควรทอด ไมเกนิ 2 คร้ัง ในกรณีท่ไี มมกี ล่นิ ไหมป นมาดว ย 2. อณุ หภูมิ อุณหภูมิของการทอดขนมจะข้ึนอยูกับชนิดของขนมท่ีนาํ มาทอด บางชนิดตองใชอณุ หภมู ิต่ํา บางชนดิ อุณหภูมิปานกลาง โดยท่ัวไปแลว ตองใชไ ฟปานกลางโดยใหนา้ํ มันรอนจัด หรือครั้งแรกทอด ในนํ้ามันที่รอนจัด ไฟปานกลาง แลวคอยๆลดลงมาเหลือไฟออนๆ ท้ังนี้เพื่อใหการทอดครั้งแรกมี การฟู ซ่ึงเกิดจากการฟูของสวนผสม เม่ือฟเู ตม็ ที่แลวจึงลดอุณหภูมิของนํ้ามันลง เพ่อื ตอ งการความ กรอบ หากใชไฟแรงขนมจะมีสีเขมหรือไหมกอนที่ขนมกรอบ ขนมบางอยาง เชน ขนมทองพลุ มี เทคนคิ การทอดโดยการเตรยี มภาชนะสําหรับทอด 2 ชดุ คอื ชดุ ท่ี 1 ใหอ ณุ หภูมิของนาํ้ มันรอนจัด เมื่อหยอดขนมลงไปแปงจะฟเู บา ภายในกลวง เม่ือ เห็นวา ฟดู แี ลว จงึ ตักใสห มอ ทอดชดุ ท่ี 2 เพอื่ ใหส กุ เหลือง มกี ารทรงตวั ทดี่ ี ดังนั้น การเตรียมทําขนมทอดจึงตองศึกษาเร่ืองอุณหภูมิการทอดใหเขาใจ เพ่ือการผลิต ขนมที่มีคณุ ภาพ * ขนมประเภทกวน ขนมไทยประเภทกวนมีหลายชนิด เชน ขนมตะโก ขนมเปยกปูน ซาหริ่ม กะละแม กระยาสารท การกวนขนมไทยใหไดตามลกั ษณะที่ตอ งการนั้น ตอ งคาํ นงึ ส่ิงตางๆดงั น้ี 1. การเตรียมแปง กอนการกวนทุกครั้งจะมีการเตรียมแปงซ่ึงมีสวนผสมที่เปนของเหลวประกอบอยูดวย ทุก ครั้งใหนําสวนผสมของแปงมาใสภาชนะแลวคอยๆเทของเหลวลงไปทีละนอย พรอมกับคอยๆนวด
[21] แปงใหเหนียวประมาณ 10 นาที จึงใสของเหลวที่เหลือทั้งหมดลงไป แลวคนใหเปนเนื้อเดียวกัน นาํ ไปกวน 2. อุณหภูมิ การกวนขนมควรใชไฟกลางหรือไฟออน จะไมใชไฟแรงเปนอันขาด เพราะจะทําใหขนมจับ ตวั เร็ว เนอื้ ขนมไมเ หนยี ว ขนมอาจไมส ุกหรืออาจไหมไ ดงา ย การกวนตองใชไฟออ นๆและใชเวลาใน การกวนนานกวาใชวธิ ีอืน่ ๆ 3. เทคนคิ การกวน พายท่ีใชกวนสวนมากเปนพายไม เพราะมีความแข็งแรงและไมมีสวนใดละลายลงไป ปนเปอนขนม วิธีกวนที่จะทําใหขนมมีความเหนียวดี จะตองกวนไปทางเดียวกันตลอดจนกวาขนม จะไดท ี่ ภาชนะสําหรับกวนนิยมใชทองเหลือง จะไมใชอะลูมิเนียม เพราะจะเกิดสีคล้ําของ อลูมีเนียมปนเปอนมาดวย ในปจจุบันจะมีชุดกวนไฟฟา ในชุดกวนจะประกอบไปดวยสวนท่ีใหความ รอนคือแกส สามารถลดหรือเพ่ิมอุณหภมู ิได สวนที่เปนพายกวนและสวนมอเตอร วิธใี ชเพยี งแตเ ปด สวิตซ เครื่องจะทํางานกวนไปเร่ือยๆ เม่ือเห็นวาไดท่ีแลวจึงปดสวิตซ นําขนมที่ไดออกมาเพ่ือนําไป ทําขั้นตอนตอไป ขนมที่ใชเวลาในการกวนนานๆ เชน กะละแมโบราณ ขนมเปยกปูน ในปจจุบัน การกวนขนมจงึ ไมไ ดเ ปน งานหนกั อกี ตอไป * ขนมนา้ํ หวานกะทิ ขนมไทยที่ใชรับประทานกับน้ําหวานและกะทิมีหลายชนิดดวยกัน เทคนิคการทําขนมไทย ประเภทนี้ มีดงั นี้ 1. การเลือกแปง ควรเลือกแปงใหมและควรศึกษาย่ีหอของแปงมันแตละชนิด แปงที่ดีเมื่อนํามาทําผลิตภัณฑ แลวควรมีความเหนียวคงทน ไมเปอยยุยงาย การทดลองใชแปงมากอนทําใหเราเลือกใชแปงท่ีมี ลกั ษณะเหมาะสมกับงาน เทคนิคการทําใหผ ลติ ภัณฑจ ากแปง มคี วามเหนียวคงทน คือ 1.1 เพื่อใหแ ปงมคี วามเหนียว อาจเตมิ แปงเทายายมอมลงไปผสม จะทําใหผ ลิตภัณฑเหนียวเพม่ิ ขน้ึ 1.2 ใชสารสมบดละเอียดเติมลงไปในสวนผสมแปงเลก็ นอยดังนี้ แปงมัน 2 ถวยตวง สารสมบด 2 ชอ นชา คุณสมบัติของสารสม ชวยใหผลิตภัณฑไ มเปอยยุยเรว็ เกินไป ซ่ึงจะทําใหม ีอายุในการเก็บ นานข้ึน 1.3 นาํ ผลิตภณั ฑแชในน้าํ เชื่อม ทําใหม ีความคงทน ชะลอเวลาท่ีแปง จะอืดพองขึ้นมา 1.4 นําผลติ ภณั ฑแชในอณุ หภูมิท่เี ยน็ จดั 2. นาํ้ เชอ่ื ม นํ้าเช่ือมที่ใชทําจากน้ําตาลทราย หากตองการกลิ่นหอมใหใชใบเตยเค่ียวไปพรอมกัน น้ําเช่ือมมลี กั ษณะขน เลก็ นอย เพราะจะตอ งมกี ะทแิ ละนํา้ แขง็ เปนสวนผสมดวย 3. กะทิ ใชสว นของหวั กะทิทม่ี าจากมะพรา วขดู ขาว ผสมเกลอื ใหมีรสเค็มเลก็ นอ ย
[22] 4. สว นผสมอนื่ ๆ นิยมใชผ ลไมท ี่มกี ล่ินหอม เชน มะพราวออน ขนนุ ลกู ตาล มะพรา วกะทิ 5. สี สีที่นํามาใชนิยมใชสีแดงเปนสวนผสม การแบงแปงสวนสีขาวและสวนสีแดงควรใชปริมาณ แปงขาว 2 สวน แปงสีแดง 1 สวน เพราะผลิตภัณฑที่เก็บไวนานๆ สีแดงจะตกใสสีขาว ทําให ผลิตภัณฑน ้นั เปนสแี ดงไปท้งั หมด 6. เทคนคิ การทาํ เม่ือผลิตภัณฑสุกลอยขึ้นจากน้ํารอนใหรีบตักใสนํ้าเย็นทันที มิฉะน้ันผลิตภัณฑจะสุกมาก เกนิ ไป เนือ้ จะยุยไดง า ย 7. การจัดเสิรฟ - ตักผลติ ภัณฑใ สถ วย เตมิ นํ้าเชอื่ ม กะทิ และนํ้าแข็ง -นาํ ผลติ ภณั ฑใสน ้ําเชอื่ ม กะทิ ผสมใหเขากัน เวลารบั ประทานตักใสถ วยแกวแลว เตมิ น้ําแขง็ เสิรฟ ทนั ที * ขนมแกงบวด ขนมประเภทแกงบวดมีสวนประกอบหลักดังนี้ สวนท่ี 1 เปนสวนของกะทิ สวนท่ี 2 เปน สวนของผักประเภท เมล็ด หัว หรือผล เชน กลวย ฟกทอง มันตางๆ ถ่ัวดํา ถ่ัวแดง แกงบวด ประเภททํามาจากเมล็ดตองตมใหมีความนุม หรือมีลักษณะเปอยนุม ประเภทผลหัว เชน ฟกทอง กลวย มัน ตองมีลักษณะเหนียวแนน มีความมัน อาจใชวิธีน่ึงหรือตมสุก เชน กลวยบวชชี ถา ตองการใหน้าํ กะทิขาว ควรนาํ กลว ยนํ้าวาไปนึ่งสกุ แลวนํามาตมรวมกบั สว นผสมกะทอิ กี คร้งั หนง่ึ เทคนิคในการทําแกงบวดมดี งั น้ี 1. เมลด็ ถ่วั ตางๆ ควรเลือกถั่วใหม ไมเปนมอดหรือเช้ือรา ควรเลือกเมล็ดท่ีไมมีตําหนิ มีความสมบูรณเต็มท่ี เมอื่ นํามาใชควรเลือกเศษผงตางๆออกไป และลา งทําความสะอาด จึงนํามาแชน ํ้าใหนิม่ กอนนําไปน่ึง หรือตม 2. พชื หวั ควรเลือกชนิดที่เน้ือแนน เหนียว กอนนํามาใชควรลางใหสะอาด จึงนํามาปอกเปลือกหั่น เปนช้ินใหมีขนาดตามตอ งการ 3. กะทิ ใชกะทิสด สามารถซ้ือกะทิท่ีคั้นสําเร็จหรอื มะพราวมาค้ันเองก็ได ควรเลือกมะพราวใหมไม มกี ลิน่ 4. นํ้าตาล น้าํ ตาลทใ่ี ชอาจเปนน้าํ ตาลทราย นํา้ ตาลมะพราว หรอื นํา้ ตาลโตนด การปรงุ มวี ธิ ีดงั นี้
[23] ตมหรือน่ึงถ่ัว มัน พอสุก พักไว ตมสวนผสมกะทิพอเดือดจึงใสถั่ว มัน ลงไปตมตอ พอ กะทิเดือดจึงยกลง อาจใสหัวกะทิอีกครั้งแลวยกลง ในการจัดเสิรฟตักใสภาชนะประเภทถวยขนม หวาน กจิ กรรมที่ 2 ใหผ เู รียนฝกเทคนิคในการทําขนมไทย โดยใหวทิ ยากรเปน ผูร ับรองตามแบบประเมิน ดังน้ี แบบประเมินการฝก เทคนิคในการทาํ ขนมไทย ชอ่ื ........................................................สกลุ ............................................................................ ที่ เทคนิค อธบิ ายเทคนิคในการทําขนมไทย ดี ผลการปฏิบัติ ขอ เสนอแนะ พอใช ปรับปรุง 1 การทาํ น้ําเชอื่ ม ………………………………….. ………………………………….. 2 การทาํ วนุ ………………………………….. ………………………………….. 3 การทอด ………………………………….. ………………………………….. 4 การตม ………………………………….. ………………………………….. 5 การน่งึ ………………………………….. ………………………………….. ลงชอื่ ผปู ระเมิน...........................................
[24] ตอนที่ 3 ขนมไทยชนิดต่างๆ ………………………………………………………………… 1. ขนมปุยฝ้าย ส่วนผสม 1. แป้งเคก้ 200 กรัม 6. เอสพี 15 กรัม 2. ผงฟู 1 ชอ้ นชา 7. วานิลา 1 ½ ชอ้ นชา 3. น้าํ ตาลทราย 1 ถว้ ย 8. น้าํ มะนาว 1 ชอ้ นชา 4. นมสดจืด ¾ ถว้ ย 9. สีเหลือง ชมพู เหลือง หรือสีที่ชอบ 5. ไข่ไก่ขนาดใหญ่ 2 ฟอง วธิ ีทาํ 1.ร่อนแป้งกบั ผงฟูพกั ไวก้ ่อน 2.ผสมนม ไข่ เอสพี และน้าํ ตาลทรายลงในโถตีใชส้ แตนดม์ ิกซ์เซอร์/ตะกร้อไฟฟ้า 3.คอ่ ยๆเปิ ดเคร่ืองตีจากสปี ดต่าํ ไปจนสปี ดแรงสุดตีส่วนผสมใหข้ ้ึนฟูเป็นครีม ข้นั ตอนน้ีใชเ้ วลาตี ประมาณ 6-7 นาที ใส่น้าํ มะนาวลงไปในส่วนผสมตีใหเ้ ขา้ กนั ตามดว้ ยวานิลา หรือกล่ินที่ชอบ 4.ลดสปี ดลงเป็นสปี ดต่าํ ใส่แป้งลงไปทีละนอ้ ยจนแป้งหมด จึงปิ ดเคร่ืองแลว้ แบ่งแป้งออกมาใส่สี ตามท่ีชอบ ถา้ ไมใ่ ส่สีก็ตกั หยอดบนพิมพก์ ระดาษ 5.ตกั ส่วนผสมหยอดใส่ลงในพมิ พ์ นาํ พิมพท์ ่ีมีส่วนผสมแป้งวางบนลงั ถึงช้นั บน นาํ ลงั ถึงไปวาง บนหมอ้ ท่ีน้าํ กาํ ลงั งเดือดพล่าน ปิ ดฝาลงั ถึงใหเ้ รียบร้อย และใหร้ ีบลดไฟลงเป็นไฟอ่อนที่สุด 6. น่ึงปุยฝ้ายเป็นเวลา 12-15 นาที เคล็ดลบั ถา้ อยากใหป้ ุยฝ้ายแตกเป็นแฉกสวยงามเวลาน่ึงปุยฝ้าย ในตอนแรกน้าํ ในหมอ้ ควรจะ เดือดพล่านพอวางลงั ถึงน่ึงปุยฝ้ายลงไปป๊ับตอ้ งหรี่ไฟลงเป็นไฟออ่ นทนั ทีแลว้ ตอ้ งไม่เปิ ดฝาหมอ้ น่ึงไปจนถึงเวลาท่ีต้งั ไวข้ นมกจ็ ะสุกฟูนุ่มแตกเป็นปุยสวยงาม
[25] 2. ขนมดอกจอก ส่วนผสม 1. แป้งขา้ วจา้ ว 1 ถว้ ย 7. น้าํ มนั พชื 1 ชอ้ นโตะ๊ 2. แป้งสาลี ½ ถว้ ย 8. เกลือ 1 ½ ชอ้ นชา 3. แป้งมนั 1 ถว้ ย 9. น้าํ ตาลทราย 5 ชอ้ นโตะ๊ 4. น้าํ ปูนใส ¾ ถว้ ย 10. งาดาํ 4 ชอ้ นโตะ๊ 5. น้าํ เปล่า ½ ถว้ ย 11. น้าํ มนั สาํ หรับทอด 6. ไขแ่ ดง 1 ฟอง วธิ ีทาํ 1. ร่อนแป้งท้งั สามชนิดรวมกนั ใส่ในอา่ งผสม เติมน้าํ ปูนใส น้าํ เปล่า ลงไปคนพอใหเ้ ขา้ กนั แลว้ ใส่ ไข่แดง น้าํ มนั พืช เกลือ น้าํ ตาล งาคว่ั คนใหเ้ ขา้ กนั รูปแป้งสาํ เร็จแลว้ เตรียมจุ่มพิมพท์ อดได้ 2.เทน้าํ มนั ใส่หมอ้ ใชห้ มอ้ ขนาดกลางๆไมใ่ หญ่ ไมเ่ ลก็ มาก ยกหมอ้ ต้งั บนเตาจนน้าํ มนั ร้อน ใหใ้ ช้ ไฟอ่อน ไฟแรงมาก เด๋ียวจะไหมเ้ ร็ว แลว้ แซะออกจากพิมพย์ าก สาํ หรับพมิ พท์ ่ีซ้ือมาใหมๆ่ บางที เอามาใชท้ นั ทีแป้งจะติดพิมพ์ ใหแ้ ช่พิมพไ์ วใ้ นน้าํ มนั แช่คา้ งคืนไวก้ ็ได้ แลว้ คอ่ ยเอามาใช้ 3. รอน้าํ มนั ร้อน ให้จุ่มพิมพล์ งไปแช่ในหมอ้ น้าํ มนั ดว้ ยรอ ใหพ้ มิ พร์ ้อนจดั ก่อน ถึงเอาไปจุม่ แป้ง ถา้ พมิ พไ์ มร่ ้อนจุ่มแป้งกไ็ ม่ติดจุ่มพิมพล์ งไปในชามแป้ง 4.เอาลงทอด ใชไ้ ฟค่อนขา้ งอ่อนสะบดั แป้งออกจากพิมพ์ เคลด็ ลบั 1.จุม่ พมิ พล์ งไปน้าํ มนั อยา่ เพ่ิงใหม้ ิดพิมพ์ รอประมาณ 5-10 วนิ าที พอแป้งอยตู่ วั คอ่ ยกดพมิ พล์ งบน กน้ หมอ้ จะไดข้ นมดอกจอก ที่มีกน้ เรียบสวย จากน้นั จึงค่อยสบดั แป้งออกจากพิมพ์ สบดั แป้งออก แลว้ กท็ อดขนมต่อใหเ้ ป็นสีเหลืองสวยทอดเสร็จกเ็ อาวางลงบนกระดาษซบั น้าํ มนั 2.ถา้ อยากใหด้ อกจอกบานหาถว้ ยเลก็ ๆกน้ มนๆมาเตรียมไวเ้ วลาทอดขนมเสร็จก็เอาขนมวางลงบน กน้ ถว้ ยขณะร้อนๆเลยแลว้ เอาส้อม หรือคีมมากดขนม ให้บานออกกดเสร็จพอขนมอยตู่ วั ก็วางลง บนกระดาษซบั น้าํ มนั
[26] 3. ถวั่ ลิสงทอดแผน่ ส่วนผสม 6.ไข่ไก่ 1 ชอ้ นโตะ๊ 1.ถวั่ ลิสงดิบ 2.5- 3 ถว้ ย 7.น้าํ ปูนใส 1/2 ถว้ ย 2.แป้งขา้ วเจา้ 1 ถว้ ย 3.แป้งมนั 2 ชอ้ นโตะ๊ 8.กะทิ 1/2 ถว้ ย 4.เกลือป่ น 3/4 ชอ้ นชา 9.น้าํ มนั สาํ หรับทอด 5.น้าํ ตาลทราย 3 ชอ้ นโตะ๊ 10.พมิ พส์ าํ หรับทอดถวั่ วธิ ีทาํ 1. เลือกถวั่ ลิสง เอาเมลด็ เสียออกแลว้ ลา้ งน้าํ ใหส้ ะอาด ใส่ตะแกรงใหส้ ะเด็ดน้าํ 2.ผสมแป้งขา้ วเจา้ แป้งมนั ลงในชามอา่ ง ใส่น้าํ ตาลทราย เกลือป่ น และไข่ไก่ นวดใหเ้ ขา้ กนั คอ่ ย ๆ ใส่น้าํ ปูนใสนวดจนแป้งนุ่ม ละลายหมด แลว้ จึงใส่น้าํ กะทิลงผสมใหเ้ ขา้ กนั กรองแป้งอีกคร้ัง เอาถว่ั ลิสงท่ีเตรียมไวใ้ ส่ลงไป ทีละหน่อย คนให้เขา้ กนั 3. ใส่น้าํ มนั ในกระทะ ต้งั ไฟใหร้ ้อน ไฟปานกลาง แลว้ เอาพมิ พจ์ ุ่มในน้าํ มนั ให้ร้อน เม่ือพมิ พร์ ้อนจึง ตกั แป้งใส่ ตกั ถวั่ โรยใหเ้ มลด็ ห่าง ๆ กนั พอสมควร 4. แลว้ จึงจุม่ ในน้าํ มนั พอแป้งสุกจะลอยตวั หลุดพิมพอ์ อกมาเอง ถา้ ยงั ไม่หลุดกใ็ หช้ อ้ น หรือไมช้ ่วย แงะออก อยา่ ใชไ้ ฟแรง เพราะแป้งจะไหมก้ ่อนถว่ั สุก พอแป้งลอยตวั ข้ึนกท็ าํ ตอ่ อีก 2-3 อนั ทอดแป้ง ต่อใหเ้ หลืองเป็ นน้าํ ตาลอ่อนตกั ใส่กระชอนหรือกระดาษซบั มนั ใหส้ ะเดด็ น้าํ มนั พอเยน็ เกบ็ ไวใ้ น โหลท่ีไมม่ ีอากาศเขา้ ปิ ดใหส้ นิท เคล็ดลบั เวลาตกั แป้งกบั ถวั่ ใส่พิมพ์ อยา่ งใส่แป้งมาก ถา้ เยอะไปใหร้ ินออก เอาใหแ้ ป้งติดกบั พิมพ์ บาง ๆ แป้งจะไดไ้ มห่ นาไป จะทาํ ใหไ้ ม่กรอบ ถวั่ ก็ไม่สุกดว้ ย ท่ีสาํ คญั จะไมอ่ ร่อย สูตรน้ีได้ ประมาณ 25 แผน่
[27] 4. ครองแครงกรอบ ส่วนผสม 4. ไข่ไก่ 2 ฟอง 1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 800 กรัม 2. กะทิ 1 ½ - 1 ¾ ถว้ ยตวง 5. ผกั ชีหนั่ ฝอย ½ ถว้ ยตวง 3. น้าํ ปูนใส 8 ชอ้ นโตะ๊ ส่วนผสมน้าํ คลุก 1. ซอสปรุงรส 2 ชอ้ นโตะ๊ 5. น้าํ ปลา 1 ½ ชอ้ นโตะ๊ 2. น้าํ ตาลมะพร้าว 400 กรัม 6. รากผกั ชี พริกไทยโขลก 2 ชอ้ นโตะ๊ 3. น้าํ เปล่า ½ ถว้ ยตวง 4. พริกไทย 2 ชอ้ นโตะ๊ 7. น้าํ มนั พชื 2 ชอ้ นโตะ๊ วธิ ีทาํ 1. นาํ แป้งสาลีเอนกประสงค์ ไข่ไก่ น้าํ ปูนใส นวดจนกระทงั่ ส่วนผสมเนียน พกั แป้งไว้ ประมาณ 20 นาที 2. หยบิ แป้งป้ันเป็ นกอ้ นกลม กดบนท่ีกดครองแครง ทอดในน้าํ มนั ร้อนปานกลางจนกระทงั่ สุกเหลือง ตกั ข้ึนใหส้ ะเด็ดน้าํ มนั 3. นาํ น้าํ มนั ใส่กระทะ ใส่รากผกั ชี พริกไทย โขลกละเอียดลงผดั พอหอม ใส่ซอสปรุงรส น้าํ ตาลมะพร้าว น้าํ ปลา ผดั จนกระทง่ั ส่วนผสมขน้ 4. ใส่ตวั ครองแครงท่ีทอดแลว้ ลงคลุกใหท้ วั่ โรยหนา้ ดว้ ยผกั ชีหนั่ ฝอย ตกั ข้ึน เคลด็ ลบั 1. การทอดครองแครงควรใชไ้ ฟปานกลาง จะทาํ ใหต้ วั ครองแครงกรอบท้งั ชิ้น 2. ถา้ ตอ้ งการใหห้ นา้ เคลือบน้าํ ตาลเหนียว ใหเ้ ติมแบะแซลงไปเล็กนอ้ ย
[28] 5. ขนมผงิ ส่วนผสม 1. แป้งมนั 2 ½ ถว้ ยตวง 2. มะพร้าวขดู ขาว 250 กรัม 3. น้าํ ตาลทราย ½ ถว้ ยตวง 4. ไข่ไก่ 1 ฟอง 5. ถาดสาํ หรับอบขนม 4 ถาด 6. น้าํ มนั สาํ หรับทาถาด 7. เทียนอบ 1 อนั วธิ ีทาํ 1. ค้นั มะพร้าวขูดขาวให้ไดก้ ะทิ 1 ถว้ ยตวง ผสมน้าํ ตาลทรายกบั กะทิ คนจนน้าํ ตาลทราย ละลายจึงกรองดว้ ยผา้ ขาวบาง ใส่หมอ้ ต้งั ไฟ เคี่ยวไฟอ่อนๆให้เป็ นยางมะตูมแลว้ ยกลง ตวงใหไ้ ด้ 1 ถว้ ยตวง ปล่อยทิ้งไวเ้ ยน็ 2. ใส่ไข่แดง คนใหเ้ ร็วและแรงๆใหเ้ ขา้ กบั กะทิ ใส่แป้งที่ร่อนไวแ้ ลว้ นวดให้เขา้ กนั หมกั ทิ้ง ไว้ 1 คืน 3. ทาถาดดว้ ยน้ํามนั ให้ทว่ั ตกั ขนมหยอดใส่ถาดให้มีระยะเท่าๆกนั เปิ ดเตาอบท่ีอุณหภูมิ ประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮด์ นาํ เขา้ เตาอบประมาณ 10-15 นาที แลว้ แต่แป้งกอ้ นเล็ก หรือใหญ่ พอสุกยกลงออกจากเตาอบ ทิ้งไวส้ ักครู่ แซะออกจากถาดทิ้งไวใ้ ห้เยน็ เก็บใส่ ในภาชนะท่ีมีฝาปิ ด ถา้ ชอบกล่ินควนั เทียนควรอบดว้ ยเทียนอบ เคลด็ ลบั ถา้ ตอ้ งการขนมมีสีและกล่ินต่างๆ ควรใส่สีและกล่ินไปพร้อมกบั กะทิ กลิ่นขนมท่ีใชน้ ิยม กลิ่นวานิลลา
[29] 6.ขนมลืมกลืน ส่วนผสมตวั ขนม 1.แป้งถวั่ เขียว 500 กรัม 2.น้าํ ตาลทราย 300 กรัม 3. น้าํ ดอกอญั ชนั 3 ½ ถว้ ยตวง ส่วนผสมหนา้ ขนม 1.กะทิ 3 ถว้ ยตวง 2.เกลือป่ น 2 ชอ้ นชา 3. แป้งขา้ วเจา้ 250 กรัม 4.วนุ้ ผง ½ ชอ้ นชา 5.ใบตองเจียนเป็ นรู ปกลม วธิ ีทาํ 1. ผสมแป้งถว่ั เขียวกบั น้าํ ตาลทราย น้าํ ดอกอญั ชนั คนจนแป้งละลาย ใส่กระทะทองต้งั ไฟ กวนจนขน้ ใส ยกลงตกั หยอดบนใบตองท่ีเจียนเป็ นวงกลมขนาดพอคาํ หรือตกั หยอดใส่ กระทงพลาสติกขนาดเล็ก ผสมแป้งขา้ วเจา้ เกลือป่ น กะทิ วุน้ ผง เขา้ ดว้ ยกนั แลว้ กรองดว้ ยผา้ ขาวบาง นาํ ไปต้งั ไฟกวนพอ ขน้ ตกั หยอดตกแต่งบนตวั ขนม แตอ่ ยา่ มิดตวั ขนม
[30] 7. ขนมช้นั ส่วนผสม 1.หวั กะทิ 4 ถว้ ย 2.น้าํ ตาลทราย 3 ถว้ ย 3.น้าํ ลอยดอกมะลิ 1 ถว้ ย 4.แป้งถว่ั เขียว 2 ชอ้ นโตะ๊ 5.แป้งทา้ วยายม่อม 1 ถว้ ย 6.แป้งขา้ วเจา้ 2 ชอ้ นโตะ๊ 7.แป้งมนั 2 ถว้ ย 8.ใบเตย 10 ใบ ค้นั น้าํ ขน้ ๆ วธิ ีทาํ 1. เชื่อมน้าํ เช่ือมโดยใชน้ ้าํ 1 ถว้ ย น้าํ ตาลทราย 3 ถว้ ย 2. ผสมแป้งท้งั 4 ชนิด เขา้ ดว้ ยกนั แลว้ นวดกบั กะทิ โดยค่อย ๆ ใส่กะทิทีละนอ้ ย ๆ นวดนาน ๆ จน กะทิหมด แลว้ ใส่น้าํ เชื่อมคนใหเ้ ขา้ กนั พอใหแ้ ป้งติดหลงั มือนิดหน่อย 3. กรองแป้งท้งั หมด แลว้ แบง่ แป้งคร่ึงหน่ึงเป็นสีขาว อีกคร่ึงหน่ึงใส่ใบเตยหรือสีตามชอบ 4. นาํ ถาดไปน่ึงแลว้ ทาน้าํ มนั ใหท้ ว่ั ใส่แป้งสีขาวประมาณ 1/2 ถว้ ย แลว้ น่ึงใหส้ ุกประมาณ 5 นาที ช้นั ที่ 2 ใส่สีเขียว แลว้ น่ึงอีกประมาณ 5 นาที ทาํ เช่นน้ีไปจนหมดแป้ง แลว้ ใหช้ ้นั สุดทา้ ยเป็นสีเขม้ กวา่ ช้นั อ่ืน ๆ เม่ือสุกยกลงทิง้ ใหเ้ ยน็ แลว้ ตดั เป็นชิ้นตามตอ้ งการ
[31] กจิ กรรมท่ี 3 ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึกปฏิบตั ิการการทาํ ขนมปุยฝ้าย โดยมีการจด บนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผูต้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมินการทาํ ขนมปุยฝ้าย กลุ่ม............................................................... ที่ หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ช่ือผตู้ รวจ
[32] กจิ กรรมที่ 4 ใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึกปฏิบตั ิการการทาํ ขนมดอกจอก โดยมีการ จดบนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผตู้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมนิ การทาํ ขนมดอกจอก กลุ่ม............................................................... ท่ี หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ชื่อผตู้ รวจ
[33] กจิ กรรมท่ี 5 ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึกปฏิบตั ิการการทาํ ขนมถว่ั ลิสงทอดแผน่ โดยมีการจดบนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผูต้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมนิ การทาํ ขนมถั่วลสิ งทอดแผ่น กลุ่ม............................................................... ที่ หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ช่ือผตู้ รวจ
[34] กจิ กรรมท่ี 6 ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึกปฏิบตั ิการการทาํ ขนมครองแครงกรอบ โดยมีการจดบนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผูต้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมนิ การทาํ ขนมครองแครงกรอบ กลุ่ม............................................................... ท่ี หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ชื่อผตู้ รวจ
[35] กจิ กรรมท่ี 7 ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึกปฏิบตั ิการการทาํ ขนมผงิ โดยมีการจด บนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผตู้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมนิ การทาํ ขนมผงิ กลุ่ม............................................................... ท่ี หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ช่ือผตู้ รวจ
[36] กจิ กรรมท่ี 8 ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึ กปฏิบตั ิการการทาํ ขนมลืมกลืน โดยมีการจด บนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผตู้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมินการทาํ ขนมลืมกลืน กลุ่ม............................................................... ที่ หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ช่ือผตู้ รว
[37] กจิ กรรมท่ี 9 ใหผ้ เู้ รียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 5 กลุ่มๆละ 6 คน โดยฝึกปฏิบตั ิการการทาํ ขนมช้นั โดยมีการจด บนั ทึก ข้นั ตอนการทาํ และใหว้ ทิ ยากรเป็นผตู้ รวจประเมินผล และเสนอแนะ แบบประเมนิ การทาํ ขนมช้ัน กลุ่ม............................................................... ท่ี หลกั เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง 1 การจดั เตรียมอุปกรณ์ 2 การใชอ้ ุปกรณ์ 3 ข้นั ตอนการทาํ 4 ความสวยงาม 5 รสชาติ 6 การมีส่วนร่วม ขอ้ เสนอแนะของวทิ ยากร............................................................................................................. ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...............................ชื่อผตู้ รวจ
[38] ตอนท่ี 4 การจัดการและการตลาด ………………………………………………………………… การคิดตน้ ทุนและการกาํ หนดราคาขาย การประกอบธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ผปู้ ระกอบธุรกิจจะตอ้ งคาํ นึงถึงกาํ ไรหรือรายได้ แต่การจะคิดถึงกาํ ไรได้ น้นั ผปู้ ระกอบธุรกิจจะตอ้ งไมล่ ืมส่ิงที่สาํ คญั ยง่ิ คือ ตน้ ทุน ดงั น้นั ตน้ ทุนสินคา้ จึงเป็นหวั ใจสาํ คญั ของผู้ ประกอบธุรกิจ การคิดตน้ ทุนและคาํ นวณราคาขาย ใชส้ ูตรในการคิด ดงั น้ี คือ ตน้ ทุนการผลิต + คา่ ใชจ้ ่าย + กาํ ไร = ราคาขาย ตวั อยา่ ง การคิดตน้ ทุน รายการ จาํ นวนเงิน ขา้ วเหนียว 2 กิโลกรัม บาท สต. น้าํ ผ้งึ เหลว 1/ 2 ลิตร น้าํ ตาลแวน่ 1 กิโลกรัม 40 - น้าํ มนั 2 กิโลกรัม 7- 14 - ไขไ่ ก่ 2 ฟอง 50 - ค่าเช้ือเพลิง 4- คา่ วสั ดุอุปกรณ์ในการบรรจุ 10 - ค่าแรงงาน 10 - 10 - รวม 145 - หมายเหตุ ตน้ ทุน คิดจากการซ้ือวสั ดุในการทาํ ขนมกา้ นบวั พทั ลุง ค่าใชจ้ า่ ย คิดจากค่าใชจ้ ่ายตา่ ง ๆ นอกเหนือจากค่าวสั ดุ เช่น ค่าแรง ค่าเช้ือเพลิง ส่วนผสมที่กาํ หนดใน ชุดวชิ าน้ี ทาํ ขนมได้ 450 ชิ้น ขายส่งชิ้นละ .50 บาท เป็นเงิน 225.00 บาท ขายปลีกชิ้นละ .55 บาท เป็นเงิน 247.50 บาท
[39] การจดั จาํ หน่าย การจดั จาํ หน่ายขนมให้ไปถึงมือของกลุ่มลูกคา้ สามารถทาํ ไดห้ ลายวธิ ี โดยการจาํ หน่ายตรง จาํ หน่าย แบบฝากขาย และจาํ หน่ายแบบขายส่ง แตล่ ะวธิ ีจะมีความแตกต่างกนั ดงั น้ี 1. การจาํ หน่ายแบบตรง วางขายหนา้ บา้ นหรือเปิ ดร้านจาํ หน่ายเองโดยขายปลีกบรรจุใส่ถุงและบรรจุกล่อง 2. การจาํ หน่ายแบบฝากขาย โดยนาํ ไปฝากขายตามสถานท่ีต่าง ๆ เช่น ร้านคา้ สหกรณ์ ศูนยก์ ารคา้ ฯลฯ โดย มีการจ่ายค่าตอบแทนแก่ผชู้ ่วยจาํ หน่าย คิดเป็ นร้อยละของราคาของ 3. การจาํ หน่ายแบบขายส่ง โดยมีผมู้ ารับซ้ือเพ่ือไปจาํ หน่าย ซ่ึงมีส่วนดีไม่ตอ้ งรับผดิ ชอบขนมท่ีเหลือ การทาํ บญั ชีรับจ่ายเบ้ืองตน้ การทาํ บญั ชีรับจ่ายเบ้ืองตน้ ช่วยใหท้ ราบถึงผลการดาํ เนินงานธุรกิจต่างๆ วา่ มีกาํ ไร ขาดทุนมากนอ้ ย เทา่ ใด เพอ่ื จะไดน้ าํ ผลการปฏิบตั ิงานมาปรับปรุงแกไ้ ขต่อไป แบบฟอร์มบญั ชี รับ-จ่าย วดป รายรับ จาํ นวนเงิน วดป รายจ่าย จาํ นวนเงิน บาท สต. บาท สต. ขายขนมได้ 300 - ซ้ือวสั ดุขนม 170 - ขายขนมได้ 200 - ซ้ือวสั ดุขนม 80 - ขายขนมได้ 215 - จา่ ยค่าแรง 50 - ขายขนมได้ 311 - 100 - จา่ ยค่า เช้ือเพลิง รวม 1,026 - รวม 400 - กาํ ไร ( 626 )
[40] กจิ กรรมท่ี 10 ใหผ้ เู้ รียนลงรายการขา้ งล่างน้ี ตามแบบแบบฟอร์มที่กาํ หนดใหแ้ ละคิดบญั ชีรับจ่ายประจาํ เดือน 1. ซ้ือขา้ วเหนียว 2 กิโลกรัม 40 บาท วนั ท่ี 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 2. ซ้ือน้าํ ผ้งึ เหลว 1/2 ลิตร 20 บาท วนั ที่ 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 3. ซ้ือน้าํ ตาลแวน่ 1 กิโลกรัม 15 บาท วนั ที่ 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 4. ขายขนมได้ 200 บาท วนั ท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 2 กิโลกรัม 50 บาท วนั ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ 2554 5. ซ้ือน้าํ มนั 6. ซ้ือไขไ่ ก่ 1 ฟอง 2 บาท วนั ที่ 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 7. ซ้ือเกลือป่ น 1 ชอ้ นโตะ๊ 2 บาท วนั ที่ 2 กุมภาพนั ธ์ 2554 8. ขายขนมได้ 250 บาท วนั ท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 9. ซ้ือค่าเช้ือเพลิง 10 บาท วนั ท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 10.ซ้ือคา่ วสั ดุอุปกรณ์ในการบรรจุ 10 บาท วนั ท่ี 3 กุมภาพนั ธ์ 2554 11. ขายขนมได้ 212 บาท วนั ท่ี 4 กุมภาพนั ธ์ 2554 12.จา่ ยค่าแรง 20 บาท วนั ที่ 4 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 แบบฟอร์มบญั ชี รับ-จ่าย ว.ด.ป. รายรับ จาํ นวนเงิน ว.ด.ป. รายจา่ ย จาํ นวนเงิน บาท ส.ต. บาท ส.ต.
[41]
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: