Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เศรษฐศิลป์ ผู้นำแห่งโลกวัตถุในปรัชญาตะวันออก

เศรษฐศิลป์ ผู้นำแห่งโลกวัตถุในปรัชญาตะวันออก

Description: เศรษฐศิลป์ ผู้นำแห่งโลกวัตถุในปรัชญาตะวันออก

Search

Read the Text Version

ผ้นู ํากบั โลกแห่งวตั ถใุ นปรชั ญาตะวนั ออก 49

ผู้นํากบั โลกแหง่ วัตถใุ นปรชั ญาตะวันออก นานา ั นะ บองตน้ องปราชญ นโบรา ก วกบั การ รอบ รอง รั น ความขดั แยง้ ทท่ี บั ซอ้ นระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นรวมกบั ผลประโยชนส์ ว่ นตวั เปน็ ประเดน็ ทนี่ กั คดิ และปญั ญาชนทกุ สาำ นกั ตา่ งใหค้ วามสนใจเพอ่ื หาวธิ ปี ฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสม แนวคดิ สาำ คญั ใน ‘สมัยชุนชิว-จ้ันก๋ัว’ ท่ีส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีนมาจนถึงปัจจุบันมีอยู่ 4 แนวคิด คือ สำ�นกั เต�๋ สำ�นกั มั่วจือ่ สำ�นกั ขงจ่ือ และส�ำ นักนิตินิยม หากพิจารณาแบง่ กลุ่มโดยอาศัย เกณฑค์ วามต่างกันทางชนช้ันอาจจำาแนกได้ 2 ฝา่ ย คอื ‘ฝ่ายแนวทางตง้ั อยบู่ นฐานคดิ แบบ ผู้อยู่ในสถานะของชนชั้นใต้ปกครอง’ ได้แก่ สำานกั เต๋า และสำานกั ม่วั จอ่ื และ ‘ฝา่ ยแนวคดิ ตามโลกทัศน์ของผู้ท่ีครองอำานาจบริหารปกครองบา้ นเมอื ง’ ไดแ้ ก่ สาำ นักขงจื่อ และสาำ นกั นติ ินยิ ม โดยแตล่ ะสาำ นกั มแี นวคดิ เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางทรพั ย์สินตา่ งกนั ดังต่อไปนี้ 50

ผู้นํากับโลกแหง่ วตั ถใุ นปรชั ญาตะวนั ออก สำ�นักเต๋� มีฐานคิดแบบชนช้ันใต้ปกครองท่ีต้องการใช้ “ธรรม” ปกครอง จงึ มองวา่ การใหค้ า่ แกว่ ตั ถทุ รพั ยส์ นิ ทงั้ หลายเปน็ เหตหุ ลกั ของการแกง่ แยง่ ชว่ งชงิ กนั จนส่งผลให้เกิดความวุ่นวายท่ัวทั้งแผ่นดิน ดังน้ันจึงไม่สนับสนุนให้แสวงหาเพื่อ ครอบครองทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดที่เกินความจำาเป็นสำาหรับการดำารงชีพ การครอบครองหรือการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวจากทรัพย์สินไม่เป็นเร่ืองสำาคัญ ตอ่ ชวี ติ เมอ่ื เปน็ เชน่ นจ้ี งึ เทา่ กบั การปลกี ตวั ออกจากปญั หาความขดั แยง้ ซง่ึ อาจเกดิ จากการปะทะกนั ระหวา่ งประโยชนข์ องหลวงกับประโยชนส์ ่วนตวั โดยปริยาย การที่ ‘ตนเองละว�งจ�กก�รแสวงทรัพย์’ มีนัยแฝงถึงการไม่ต้องการให้ ผใู้ ดไดค้ รอบครองหรอื ถอื ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรใดโดยกรรมสทิ ธสิ์ ว่ นตวั เชน่ เดยี ว กบั ตน เทา่ กบั วา่ ‘ก�รปลอ่ ยว�งจ�กประโยชนส์ ว่ นตวั กค็ อื ก�รสนบั สนนุ ประโยชน์ ของสว่ นรวมน่นั เอง’ 51

ผนู้ าํ กบั โลกแห่งวตั ถุในปรชั ญาตะวันออก 52

ผู้นาํ กับโลกแหง่ วัตถุในปรชั ญาตะวันออก สำ�นักมั่วจื่อ มีฐานคิดแบบชนช้ันใต้ปกครองที่ต้องการให้บ้านเมืองเกิด “คว�มเป็นธรรม” จึงวางบทบาทไว้อย่างชัดเจนว่า จะทำาหน้าที่เฝ้าสังเกต คอยติดตามความคดิ และพฤตกิ ารณ์ของชนชัน้ ปกครอง ตลอดจนวธิ ีการกาำ หนด นโยบาย แลว้ วพิ ากษว์ จิ ารณท์ ว้ งตงิ ดว้ ยมมุ มองความรสู้ กึ ของผอู้ ยใู่ ตก้ ารปกครอง พร้อมท้ังให้ข้อเสนอที่มีเหตุผลอย่างเป็นระบบ จึงตรงกับใจประชาชนระดับล่าง และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจนมีนำ้าหนัก และส่งอิทธิพลต่อการ ปรับปรุงวธิ ีคดิ ของนักปกครองของจนี ท้ังโดยทางตรงและทางอ้อม 53

ผูน้ าํ กบั โลกแห่งวัตถุในปรชั ญาตะวันออก แนวคิดของมั่วจื่อถูกจัดให้เป็นแนวคิดแบบ ‘ผลประโยชน์นิยม’ ม่ัวจ่ือมี ความเห็นว่า ความสมั พนั ธข์ องมนษุ ยใ์ นสงั คมลว้ นตง้ั อยบู่ นพน้ื ฐานของการมงุ่ หวงั วา่ ตนจะไดร้ บั ผลประโยชน์ แต่การจะเกิดผลประโยชน์ต้องคำานึงถึงประโยชน์ร่วมด้วย คือ ต้องดูแลกันและกันเพื่อให้คนในสังคมได้รับผลประโยชน์อย่�งเท่�เทียม มีปัจจัยพ้ืนฐานพอเพียงแก่การยังชีพ ไม่เช่นน้ันจะกลายเป็นเหตุแห่งการแย่งชิง ทรัพย์สิน นำาไปสู่ความปั่นป่วนในบ้านเมือง สาเหตุของการทำาให้ผลประโยชน์ ไม่ได้รบั การแบ่งปนั อยา่ งถกู ต้องเที่ยงธรรม เกดิ จากการเลือกท่ีรกั มกั ท่ชี ัง เกลยี ดกนั รกั กนั ตามอารมณ์ โดยไมค่ าำ นงึ ถงึ ความถกู ตอ้ ง ซง่ึ มงุ่ หมายผลประโยชนส์ ว่ นรวมของ สงั คมเปน็ ทตี่ งั้ สงั คมปน่ั ปว่ นวนุ่ วาย เพราะปราศจากความรกั กนั และกนั เปน็ พน้ื ฐาน 54

ผูน้ ํากบั โลกแห่งวตั ถใุ นปรชั ญาตะวันออก เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ปรชั ญาเตา๋ แนวคดิ ทงั้ สองนตี้ า่ งไมส่ นใจการเขา้ ไปชว่ งชงิ ทรพั ยส์ นิ ปรัชญาเต๋ามองผลประโยชน์ทางวัตถุด้วยสายตาของผู้ปล่อยวาง ส่วนปรัชญามั่วจื่อแม้จะ แสดงความต้องการวัตถุ แต่ก็เป็นความต้องการของผู้ขาดแคลนท่ีต้องการปัจจัยที่พอเพียง ต่อการดำารงชีพเท่านั้น และยังโน้มน้าวผู้อ่ืนเห็นดีท่ีจะแบ่งปันทรัพย์สินให้ ปรัชญาท้ังสอง แนวทางนจ้ี งึ ง่ ร ว ‘ไมย่ ดึ ติดกับวตั ถุ’ และตา่ ง หน ้องกบั ‘วิถีชวี ติ ท่ีใช้ประโยชน์จากทรพั ยส์ ินเพียงเท่าที่จา� เป็น’ การแสดงออกทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั ทรัพยากรสว่ นกลางหรือของหลวง จึงมเี พยี งการไม่เห็น พ้องจากผู้คนที่วุ่นวายกับการแสวงหาประโยชน์ จนสร้างผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ในสังคม ส�ำ นกั ขงจอ่ื มฐี านคดิ แบบชนชน้ั ปกครองทต่ี อ้ งการปกครองโดยใช้ “ธรรม” มมี มุ มอง เป็นไปตามโลกทัศน์ของชนช้ันปกครองที่มีโอกาสในการแสวงหาทรัพย์มากกว่าชนชั้นล่าง กล่าวคือ ไม่ต่อต้านการครอบครองทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ส่วนตัว แต่การแสวงหา ทรัพย์สินต้องเป็นวิธีการท่ีถูกต้องชอบธรรม การแสวงหาทรัพย์และประโยชน์ส่วนตนต้อง กำากับด้วยคุณธรรมแห่งความเหมาะสม และความเหมาะสมจะเกี่ยวข้องกับสถานภาพทาง สงั คมและการเมอื งของคนนน้ั ดว้ ย ดงั นน้ั มาตรการควบคมุ ความเรยี บรอ้ ย การแยง่ ผลประโยชน์ ของคนในสังคม จึงเป็นการสรา้ งจติ สำานกึ ทางจรยิ ธรรม ซ่ึงต้องอาศัยการขดั เกลาเปน็ ระยะ เวลายาวนาน 55

ผนู้ าํ กับโลกแห่งวัตถใุ นปรัชญาตะวันออก สำ�นักนิตินิยม มีฐานคิดแบบชนช้ันปกครอง เน้นให้มีการจัดการทรัพย์สิน “ของหลวง” และ “ของส่วนตัว” โดยแบ่งแยกให้เห็นว่า ทรัพย์สิน กิจการ และ ผลประโยชน์ของเจ้าผู้ปกครองให้ถือเป็นของหลวง ส่วนสินทรัพย์ผลประโยชน์ของ บรรดาข้าบริพารไม่ว่าระดับใดให้ถือว่าเป็นของส่วนตัว และยังแสดงนัยความหมาย เชงิ คณุ คา่ ไวอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ความเปน็ ของสว่ นตวั จะเปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ กดิ ความวบิ ตั หิ ายนะ แก่บ้านเมือง ในขณะที่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองก็ไม่ใช่อะไรอ่ืน นอกจาก ‘คว�มเป็นส่ิงหน่ึงสิ่งเดียวกันกับของหลวง’ กล่าวคือ เป้าหมายของการบริหาร บา้ นเมอื งใหส้ ขุ สงบคอื เปา้ หมายของหลวง และการเหน็ แกค่ วามเปน็ ของสว่ นตวั ทง้ั หลาย คอื อปุ สรรค ทค่ี อยขดั ขวางหนทางไปสเู่ ปา้ หมายน่นั เอง 56

ผ้นู ํากับโลกแหง่ วตั ถุในปรชั ญาตะวันออก มกี ารยกตวั อยา่ ง กรณตี า่ งๆ ทมี่ ลี กั ษณะเขา้ ขา่ ยการเหน็ แกค่ วามเปน็ ของสว่ นตวั ของ ขา้ บรพิ าร ซง่ึ จาำ เปน็ ตอ้ งขจดั ทงิ้ หรอื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ ในแวดวงการบรหิ ารบา้ นเมอื ง ดงั นี้ การใช้อำานาจหน้าที่ในการนำาเอาของหลวงไปแลกเปล่ียนให้กลายเป็นทรัพย์สิน หรอื ผลประโยชนส์ ว่ นตวั เชน่ การซอ้ื ขายตาำ แหนง่ ซง่ึ เปน็ การคดิ ถงึ ผลประโยชน์ สว่ นตวั แทนการพะวงถึงผลเสียตอ่ บ้านเมอื ง การหมกมุ่นอยกู่ บั การแสวงหาผลประโยชน์ท้งั หลาย ทาำ ให้ขา้ บรพิ ารละเลยหรอื หยอ่ นยานการปฏบิ ัติหน้าทจี่ นทาำ ใหบ้ า้ นเมืองเสียหายหรือลม่ สลาย การท่ีข้าบริพารไม่เพียงส่ังสมทรัพย์สินผลประโยชน์เท่าน้ัน แต่ยังซ่องสุมผู้คน สร้างบารมีจนกลายเป็นผูม้ ีอิทธิพลจนไม่ฟงั การบงั คบั บัญชาของผูป้ กครอง และ มีอำานาจพร้อมทจ่ี ะช่วงชงิ ผลประโยชน์ของหลวงไดท้ ุกเมื่อ ยามท่ีเกิดปัญหาข้อขัดแย้งจนถึงข้ันต้องเลือกระหว่างประโยชน์ของบ้านเมือง กับประโยชน์ของวงศ์ตระกูล หากเลือกที่จะทอดท้ิงประโยชน์ของหลวงก็ถือว่า การเลอื กนั้นเข้าขา่ ยลกั ษณะการเหน็ แก่ของส่วนตวั การยดึ เอาศลี ธรรมจรรยาความดงี ามสว่ นบคุ คลของตนเปน็ ใหญ่ แลว้ นาำ ไปขอ้ งแวะ กับกิจการบ้านเมืองอาจเป็นเหตุให้ของหลวงเสียประโยชน์ เม่ือใดท่ีคุณธรรม เฉพาะตวั ทง้ั หลายเข้าไปพัวพนั ในกจิ การงานของหลวง เมอ่ื นัน้ ก็ต้องนบั ให้กลาย เปน็ ของส่วนตวั ทเี่ ปน็ อนั ตรายตอ่ ของหลวงในทนั ที แม้ใช้ปัญญาความเฉลียวฉลาดอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของข้าบริพารเข้าไป แทรกแซงกิจการหรือผลประโยชน์ของบ้านเมือง ก็จัดเป็นของส่วนตัวที่เป็น ปฏิปักษต์ ่อของหลวงเช่นกัน 57

ผูน้ าํ กบั โลกแหง่ วตั ถุในปรชั ญาตะวนั ออก ทางด้านฝ่ายผู้ปกครองเองก็ต้องทำาให้ชัดแจ้งด้วยว่า ของหลวงท่ีตนดูแลอยู่น้ัน ไมใ่ ชข่ องสว่ นตวั ของตนเอง ผปู้ กครองตอ้ งระวงั แยกแยะไมใ่ หข้ องหลวงถกู ลว่ งลา้ำ ดว้ ยกเิ ลส อารมณ์สว่ นตวั ของตน โดยใช้เสน้ แบ่งขอบเขตเช่นเดียวกนั เชน่ ผู้ปกครองจะต้องไม่แทรกแซงการแต่งตั้งอำามาตย์ขุนนางโดยพลการหรือขาด เหตผุ ลรองรบั ทสี่ ามารถชแี้ จงได้ ผู้ปกครองต้องระวังอคติความลำาเอียงตามอารมณ์ของตนเอง ต้องเอาใจใส่ สอดส่องการปฏิบัติราชการที่เห็นแก่อารมณ์ส่วนตัวของข้าบริพาร ผู้ปกครองที่ ปล่อยให้บริวารจับอารมณ์ความรู้สึกได้ ย่อมไม่เป็นคุณต่อการบริหารกิจการ งานของหลวง ยามเมอื่ ราชการงานของหลวงขดั แยง้ กบั อารมณค์ วามรสู้ กึ สว่ นตวั ผปู้ กครองตอ้ ง แยกแยะและเลือกอยู่ข้างฝ่าย ของหลวงเสมอ ตามมาตรฐานเดียวกันกับที่ เรียกร้องใหข้ า้ บริพารปฏบิ ัติ ดังนั้นอุดมการณ์การปกครองท่ีปรัชญานิตินิยมสนับสนุน คือ ผู้ปกครองต้องยึดถือ ไว้เสมอว่าตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของของหลวง และมีหน้าท่ีพิทักษ์ปกป้องของหลวงนั้นเพ่ือ ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก โดยกลไกหรอื เครอ่ื งมอื ทจ่ี ะปอ้ งปรามการกลาำ้ กรายการเขา้ หาประโยชนจ์ ากของหลวง คือ กฎบัญญัติ ซ่ึงตราข้อกำาหนดกติกาไว้อย่างแน่นอน จัดการและวินิจฉัยตามตัวบทของ กฎบัญญัติอย่างเคร่งครัด จะทำาให้การแยกแยะของส่วนตัวจากของหลวงสามารถเกิดผล เปน็ จริงในทางปฏบิ ตั ิ 58

ผู้นํากบั โลกแหง่ วตั ถใุ นปรชั ญาตะวนั ออก ปญหา องหลวง กับกร า อัน นอง า าก การ ั การ รั ากร รร ชาต องรั บาล การจดั การทรัพยากรแร่ วธิ คี ดิ ของรฐั เกยี่ วกบั ทรพั ยากรของแผน่ ดนิ ตง้ั อยบู่ นฐานคดิ วา่ ทรพั ยากรทงั้ มวลเปน็ ของรัฐ และรัฐมีอำานาจสิทธิขาดที่จะเก็บรักษา ดูแล และจัดการกับทรัพยากรอย่างไรก็ได้ เห็นได้จากการออกกฎหมายและบทบัญญัติต่างๆ ของหน่วยงานรัฐท่ีมีอำานาจในการดูแล ทรัพยากรของชาติ แต่ในขณะเดียวกันในทางปฏิบัติเจ้าหน้าท่ีของรัฐกลับไม่ได้ติดตามดูแล ใหส้ มกบั ทอ่ี า้ งวา่ เปน็ ผรู้ กั ษาสมบตั ขิ องชาติ ในกรณสี มั ปทานใหแ้ กน่ ายทนุ กม็ คี วามหละหลวม ในการกาำ กบั การใชท้ รพั ยากรใหเ้ ปน็ ไปในทางทก่ี อ่ ประโยชนใ์ หแ้ กร่ ฐั และประชาชน ปลอ่ ยให้ นายทนุ ดาำ เนนิ การโดยเสรปี ราศจากการควบคมุ หรอื ปอ้ งกนั ไมใ่ หท้ รพั ยากรเกดิ ความเสยี หาย เมอื่ เกดิ ปญั หาประชาชนไดร้ บั ผลกระทบกข็ าดจติ สาำ นกึ ทจี่ ะเดอื ดรอ้ นไปดว้ ย เหน็ ประชาชน เปน็ ฝ่ายขัดขวางผลประโยชนข์ องรฐั ดงั ตวั อยา่ งเชน่ กรณชี าวกะเหรย่ี งบา้ นคลิตี้ที่อาศัยอยู่ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี ท่ีไดร้ บั ผลกระทบ จากสารพิษจากตะก่ัวซ่ึงเกิดจาก กระบวนการดำาเนินกิจการของ โรงแต่งแร่ 59

ผ้นู าํ กับโลกแห่งวัตถุในปรัชญาตะวันออก การจดั สรรท่ีดิน ประเทศไทยมที ดี่ ิน 320.7 ล้านไร่ รอ้ ยละ 57.26 เป็นทด่ี ินของรัฐ รอ้ ยละ 42.74 เปน็ ท่ดี นิ ของเอกชน ท้งั นพี้ บวา่ การถือครองทด่ี นิ ของเอกชนรอ้ ยละ 90 อยู่ในการครอบครอง ของคนเพียงร้อยละ 10 ของผู้ถือครองที่ดิน 6 ล้านคน โดยร้อยละ 70 ของท่ีดินเหล่าน้ี ใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไมเ่ ตม็ ทเี่ นอื่ งจากเปน็ การซอ้ื ทดี่ นิ เพอ่ื เกง็ กาำ ไร ตวั เลขดงั กลา่ วแสดงใหเ้ หน็ ปัญหาการกระจายสิทธิในการครอบครองท่ดี ินท่ีไม่เหมาะสม สง่ ผลให้ทรัพยากรท่ีดนิ ไม่กอ่ ประโยชนเ์ ทา่ ทค่ี วร เกดิ ความเหลอื่ มลาำ้ ผลกั ดนั ใหป้ ระชาชนทขี่ าดโอกาสครอบครองจาำ เปน็ ตอ้ งรกุ ลาำ้ เขา้ ไปในทด่ี นิ ของหลวง ในขณะเดยี วกนั นโยบาลของรฐั บาล คสช. มนี โยบายทวงคนื ผืนป่าส่งผลให้มีการจับกุมผู้กระทำาผิดและทวงคืนผืนดินได้จำานวนหน่ึง โดยไม่มีมาตรการ ใดๆ เพอื่ จดั การทวงคนื ท่ีดินจากผทู้ ค่ี รอบครองทดี่ ินมากจนเกนิ ควรเลย ทรัพยากรนา�้ การจดั สรรทรพั ยากรนาำ้ ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ไมไ่ ดพ้ จิ ารณาใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมตอ่ สว่ นรวม และไมส่ ามารถอธบิ ายใหป้ ระชาชนหมดความคลางแคลงใจได้ กรณตี วั อยา่ งสาำ คญั คอื กรณี มาบตาพดุ เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ใหก้ ารสนบั สนนุ ภาคอตุ สาหกรรม จนละเลยสทิ ธใิ นการใชแ้ ละจดั การ ทรัพยากรนา้ำ ของประชาชนในพนื้ ท่ี ข้อมูลจากงานวิจัยโครงการ รูปแบบ แนวทาง และมาตรการในการบริหารจัดการ ทรัพยากรนา้ำ โดยศนู ย์วิจยั เครอื ขา่ ยทางธุรกิจและชุมชนเข้มแขง็ คณะวิทยาการการจดั การ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร พบว่ามีความขัดแย้งท่ีร้องเรียนมายังคณะกรรมการสิทธิ- มนุษยชนแห่งชาติ 57 เร่ือง หน่วยงานที่เป็นคู่ขัดแย้งกับชาวบ้านมากที่สุดอันดับหน่ึงคือ กรมชลประทาน อันดับสองคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยมีลักษณะของ 60

ผู้นาํ กับโลกแห่งวตั ถุในปรชั ญาตะวนั ออก ความขดั แยง้ 2 อนั ดบั แรก คอื ความขดั แย้งท่ีเกดิ จากโครงการก่อสร้างของภาครฐั ทยี่ ังไม่ไดส้ รา้ งจาำ นวน 17 กรณี โครงการกอ่ สร้างพฒั นาแหล่งนำา้ ลำานำา้ ของภาครัฐ ท่ีส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชุมชน 10 กรณี ท้ังน้ีสาเหตุของ ความขัดแย้งโดยภาพรวมเกิดจากการท่ีประชาชนไม่มีส่วนรับรู้และไม่มีส่วนร่วม ในการตัดสินใจหรือกำาหนดโครงการ จึงวิตกกังวลถึงผลกระทบท่ีจะมีต่อแหล่งนำ้า ที่อยู่อาศัย และวิถีชีวิต นอกจากนี้ความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรนำ้าหลายกรณี ไม่ได้เกิดจากโครงการบรหิ ารจัดการนาำ้ โดยตรง แต่เกดิ จากโครงการของรัฐทเ่ี ข้ามา อาจจะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำาของชาวบ้าน เช่น กรณีเหมืองแร่โพแทสใน ภาคอีสาน โรงไฟฟา้ ถา่ นหินทีก่ ระบี่ และโรงไฟฟ้าถ่านหนิ เทพา เป็นตน้ 61

ควำมม่งั คั่ง วนิ ยั นพิ พำน 62

ผนู้ าํ กับโลกแห่งวตั ถุในปรัชญาตะวนั ออก พทุ ธศาสนาเกิดจากความปรารถนาที่จะพ้นทกุ ข์ของเจ้าชายสทิ ธตั ถะ พระองค์ สละราชสมบตั อิ อกบวชเปน็ สมณะ บาำ เพญ็ เพยี รจนตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ธรรมทที่ รง ตรสั รู้นน้ั มคี วามประณีต ลกึ ซึ้ง เขา้ ใจยาก อย่เู หนอื การไตร่ตรองดว้ ยเหตผุ ล ผูต้ ิดขอ้ ง ในอาลยั กามคณุ 5 ไดแ้ ก่ รูป รส กล่ิน เสยี ง โผฏฐพั พะ (สมั ผสั ) จะรู้เห็นได้ยาก ดังท่ี พระพุทธองคต์ รสั ว่า “ผทู้ ศ่ี รัทธาในตถาคต... ย่อมตระหนกั ว่า ‘การอยู่ครองเรือนเป็น เรอื่ งอดึ อดั เปน็ ทางแหง่ ธลุ ี การบวชเปน็ ทางปลอดโปรง่ การทผ่ี คู้ รองเรอื นจะประพฤติ พรหมจรรย์ให้บริสุทธ์ิ บริบูรณ์ครบถ้วนดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำาได้ง่าย ทางท่ีดีเราควร โกนผมและหนวด นุ่งหม่ ผา้ กาสาวพัสตร์ ออกจากเรอื นไปบวชเป็นบรรพชติ ’...” คำาว่า “เรือน” ในท่ีน้ีมี 2 นัยคือ 1) วัตถุที่สร้างเพื่อใช้อยู่อาศัย 2) ชีวิต ความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั ซงึ่ เปน็ เรอื่ งวฒั นธรรมการดาำ รงชวี ติ จงึ เกย่ี วขอ้ งกบั กามคณุ และสิ่งอ่ืนๆ อันก่อให้เกิดความผูกพันรักใคร่ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ พุทธศาสนา เชื่อว่าการสละบ้านเรือนเท่าน้ันจึงอาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางศาสนาได้สมบูรณ์ การไม่ผูกพันยึดมั่นในวัตถุครัวเรือนเป็นเงื่อนไขสำาคัญของการหลุดพ้นและนิพพาน ดงั นน้ั โลกแหง่ วตั ถแุ ละโลกแหง่ นิพพาน จงึ เหมอื นสองโลกที่ตรงข้ามกัน พุทธศาสนา สอนใหล้ ะความโลภ ไม่ยดึ มัน่ ในวัตถสุ ิ่งของ ทรพั ย์สนิ ความม่งั คงั่ เพราะเป็นอปุ สรรค ต่อการบรรลุธรรม กระนั้นการครอบครองทรัพย์สินและความมั่งค่ังของบุคคลไม่ได้ ขัดแย้งต่อนิพพานเลยทีเดียว เพราะพุทธศาสนาถือว่าความมั่งคั่งเป็นอานิสงส์แห่ง กรรมดที ไี่ ดบ้ าำ เพญ็ ทานมาแตช่ าตกิ อ่ น หรอื เปน็ ผลจากการทาำ ทานในชาตปิ จั จบุ นั กไ็ ด้ 63

ผูน้ าํ กับโลกแห่งวตั ถุในปรชั ญาตะวันออก คาำ สอนเรอ่ื งการไมย่ ดึ มน่ั เปน็ หวั ใจของพทุ ธจรยิ ศาสตร์ การไมย่ ดึ มน่ั จะเกดิ ขน้ึ แกบ่ ุคคลเม่อื เขามองสงิ่ ตา่ งๆ ตามที่เป็นจรงิ เมอื่ มองส่ิงตา่ งๆ อย่างสอดคลอ้ งกบั สภาวธรรมและตวั ตนของเขา ซึง่ เปน็ ภาวะทีไ่ รแ้ กน่ สาร ไม่ยั่งยืน เชน่ กัน เขาก็จะ ละการยดึ มน่ั ในตวั ตนดว้ ยความหลง ละการยดึ มน่ั ในวตั ถุ ทรพั ยส์ นิ หรอื ความมงั่ คงั่ ‘ก�รไม่ยดึ ม่ันในวัตถุ’ ในท่นี ้ีหม�ยถงึ ก�รเปน็ เจ�้ ของและใช้วตั ถปุ จั จยั ต�่ งๆ โดยไม่ตกเป็นท�สของวัตถุเหล่�นั้น แนวคิดเร่ืองการไม่ยึดม่ันจึงใช้ได้กับทั้ง วิถชี วี ิตของพระสงฆ์และฆราวาสท้ังหมด 64

ผู้นาํ กบั โลกแห่งวตั ถใุ นปรชั ญาตะวันออก การใหท้ านเปน็ อกี หนง่ึ แนวคดิ หนงึ่ ทางพทุ ธศาสนาทส่ี มั พนั ธก์ บั เรอื่ งนพิ พาน เปน็ การ กระทาำ เพื่อหวังผลทางโลกยี ะและโลกตุ ตระในเวลาเดียวกัน การให้ ปนการบาํ ญบาร องผู้ ุ่งห า ะ ้รับ วา ุ ใน นุ บตั วรร บัต และน าน บตั อ รับกับแนว การ ั กลาตน อง แ งออกถง ่า แห่ง วา ่ นั องผู้ให้ พุทธศาสนายอมรับความม่ังค่ังทางทรัพย์สินของฆราวาสได้ ถ้าหากการครอบครอง ความมั่งคงั่ น้นั เปน็ ไปเพ่ือการพฒั นาตนตามหลักพุทธศาสนา พุทธศาสนายอมรับแนวปฏิบัติทางสายกลางที่อยู่ระหว่างความสุดโต่งสองด้าน คือ ความยากจน-การมไี มเ่ พยี งพอตอ่ การดาำ รงชวี ติ กบั การแสวงหาทรพั ยส์ นิ เพอ่ื ความราำ่ รวยลว้ นๆ ความม่งั คงั่ ไม่ใชส่ ิ่งชั่วรา้ ย ส่ิงสำาคัญคอื ได้มาอยา่ งไรและถกู ใชไ้ ปอย่างไร ถ้าความม่งั คั่งนน้ั ได้มาอยา่ งถูกตอ้ งและใช้ไปเพื่อประโยชนต์ นเองและคนอืน่ พุทธศาสนาก็ยอมรับได้ บทความวจิ ยั เรอ่ื งนี้ มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื 1) ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งโลกแหง่ วตั ถกุ บั ศลี ธรรม และภาวะผนู้ าำ ในภมู ปิ ญั ญาพทุ ธศาสนา 2) แสวงหาแนวดาำ เนนิ การเกย่ี วกบั ทรพั ยส์ นิ ความมงั่ คงั่ ทพ่ี ทุ ธศาสนาถอื วา่ เปน็ จารตี บรรทดั ฐานอนั เหมาะสมสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ ฆราวาส และชวี ติ ของพระสงฆ์ จากคาำ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ในพระไตรปฎิ กและอรรถกถา โดยแบง่ ผ้นู าำ ออกเป็น 2 ประเภท คอื ผู้นำาในโลกฆราวาสทั้งในระดับการเมืองการปกครอง และระดับครอบครัวซึ่งจะ พิจารณาตีความจากเรอ่ื งเลา่ ในพระสูตรเป็นหลัก ผู้นำาในโลกศาสนาคือพระสงฆ์ในฐานะผู้นำาทางจิตวิญญาณ โดยจะพิจารณา จากเรือ่ งเลา่ ในพระสตู รและพระวินัยบญั ญตั เิ ป็นหลกั 65

ผนู้ ํากับโลกแห่งวตั ถใุ นปรัชญาตะวันออก บทความนมี้ สี มมตุ ฐิ านวา่ ภาวะผนู้ าำ แสดงผา่ นความสมั พนั ธท์ ผี่ นู้ าำ กระทาำ ตอ่ โลกของ วตั ถุ โดยเฉพาะเรือ่ งการจดั การทรพั ย์สินส่วนตัวและทรัพยส์ นิ สว่ นรวม เพอื่ สนองตอบตอ่ ชวี ติ ของตนเองและผอู้ นื่ อยา่ งเหมาะสม ยตุ ธิ รรม ถกู ตอ้ งทงั้ ในบรบิ ทของรฐั สงั คม ครอบครวั และบรบิ ททางศาสนาและจติ วญิ ญาณ โลกแห่งวตั ถุ รั น และแบบแผน าง ร รร งั ะ ก้ ตอ่ อ ระ บ บแบบแผน หรอระบบ ประกนั ว่า กุ น ะ ร้ ับการป บตั ห าะ นักวิชาการด้านพุทธศาสตร์ในโลกตะวันตกเห็นพ้องต้องกันว่า มี 3 มโนทัศน์ที่มี นัยสำาคัญต่อการทำาความเข้าใจแนวคิดของพุทธศาสนาเก่ียวกับทรัพย์สินหรือความมั่งค่ัง ได้แก่ ‘มโนทัศน์เร่ืองกฎแห่งกรรม’ ที่ใช้เพื่ออธิบายท่ีมาของทรัพย์สินและความม่ังคั่ง ‘มโนทัศน์เรื่องความไม่ยึดมั่น’ ใช้อธิบายท่าทีอันถูกต้องต่อทรัพย์สินและความมั่งค่ัง ‘มโนทศั นเ์ รอ่ื งทาน’ เปน็ รปู ธรรมของการใชจ้ า่ ยโภคทรพั ยห์ รอื กระจายความมง่ั คง่ั ตามหลกั ความไมย่ ดึ มนั่ ‘อัคคัญญสูตร’ มีสาระสำาคัญที่ช้ีให้เห็นว่า โลกวัตถุเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจริยธรรม- คุณธรรมของมนุษย์ ทรัพย์สินตอบสนองความจำาเป็นของชีวิตตามธรรมชาติและชีวิตตาม วัฒนธรรม ความจำาเป็นท่ีต้องมีปัจจัยวัตถุเพื่อการดำารงชีวิตพัฒนาไปเป็นความต้องการ ที่จะสะสมไว้เพ่ือความสะดวกสบายของชีวิต ทำาให้เกิดสำานึกความเป็นเจ้าของและพัฒนา เทคนิควิธกี ารเพื่อปกป้องความเสียหายอนั จะเกดิ แกท่ รพั ย์สนิ ของตน 66

ผูน้ ํากับโลกแหง่ วตั ถุในปรชั ญาตะวนั ออก รฐั ยคุ แรกเกดิ ขนึ้ จากความตอ้ งการปกปอ้ งทรพั ยส์ นิ ของปจั เจกชน ผปู้ กครองยคุ แรก จงึ มบี ทบาทในการปอ้ งกนั ไมใ่ หม้ กี ารละเมดิ ทรพั ยส์ นิ กนั และกนั ในสงั คม รฐั เปน็ ทางออกทด่ี ี โดยภาพรวม เพราะชวี ติ ทดี่ เี กย่ี วเนอ่ื งกบั การมสี งั คมทดี่ ี โดยสงั คมจะดไี ดก้ ต็ อ่ เมอื่ มรี ะเบยี บ แบบแผนหรือระบบท่ีประกันว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม จึงต้องมีผู้ปกครอง มาทำาหน้าท่ีบังคับให้กฎกติกามีผลในเชิงปฏิบัติ แต่ไม่ได้มีอำานาจเหนือกฎกติกาซึ่งชุมชน ร่วมกันกาำ หนดขน้ึ รั าํ ปนตอ้ งใหห้ ลักประกนั แก่ ล อง ใน รองการ รั ากรในการ าํ รงช อ า่ ง ง อ ‘จักกวัตติสูตร’ แสดงให้เห็นความจำาเป็นที่ผู้นำาต้องปฏิบัติหน้าท่ีโดยยึดจารีตหรือ แบบแผน เปน็ แนวทางสำาคัญในการปกครอง โดยเฉพาะจารีตในการแจกจ่ายทรัพย์สนิ หรอื กระจายผลประโยชนท์ างวัตถแุ กพ่ ลเมอื งของรัฐ เพราะทรัพย์สนิ หรอื ปัจจัยเลีย้ งชีพจาำ เปน็ สำาหรับมนุษย์ หากคิดว่าเป็นเร่ืองเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบรุนแรงแก่สังคมโดยรวมได้ การทร่ี ฐั มบี ทบญั ญตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งเกย่ี วกบั ทรพั ยส์ นิ เอกชนจงึ เปน็ สง่ิ จาำ เปน็ เพราะความยากจน เป็นปัจจัยสำาคัญท่ีบ่ันทอนระบบศีลธรรมข้ันพ้ืนฐานของพลเมืองและทำาลายระเบียบสังคม ดงั นนั้ เพอ่ื รกั ษาระเบยี บสงั คมและศลี ธรรมของพลเมอื ง รฐั จาำ เปน็ ตอ้ งใหห้ ลกั ประกนั พลเมอื ง ในเรื่องการมีทรพั ยากรในการดาำ รงชีพอย่างเพยี งพอ 67

ผูน้ าํ กับโลกแห่งวัตถุในปรัชญาตะวันออก กระ า วา ัง งั หรอ ร รั แก่ ล อง า ในรั ุกระ ับ อง งั ่ง ร และให้ ร า ตา วา ห าะ นับ นนุ ผู้ ชอบ รร ‘กฏู ทนั ตสตู ร’ ใหแ้ นวคดิ วา่ เพราะความยากจนเปน็ อปุ สรรคตอ่ ศลี ธรรมและระเบยี บ ของรัฐ ผู้ปกครองต้องขจัดภาวะท่ีอาจนำาไปสู่การเสื่อมทางจริยธรรมและความไร้ระเบียบ ของสงั คม ทรพั ยส์ นิ หรอื ปจั จยั เลย้ี งชพี เปน็ องคป์ ระกอบสาำ คญั สาำ หรบั ทกุ ชวี ติ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความมน่ั คงของรฐั ผปู้ กครองตอ้ งรจู้ กั วธิ ขี จดั ความยากจนภายในรฐั โดยกระจายความมง่ั คง่ั แกป่ ระชาชนดว้ ยวิธที ีถ่ กู ต้องเหมาะสม ผู้นำาในการบริหารจัดการรัฐจะต้องเป็นผู้รู้จักพัฒนาความม่ังคั่งหรือความม่ันคง ทางเศรษฐกิจของรฐั ตัง้ แตร่ ะดับรากหญ้าจนถงึ ระดบั บน ซ่งึ กูฎทันตสูตรใหแ้ นวคิดเกี่ยวกบั การกระจายความมงั่ คง่ั หรอื เศรษฐทรพั ยแ์ กพ่ ลเมอื งภายในรฐั 3 ประการคอื 1) การกระจาย ความมง่ั คง่ั ตอ้ งเปน็ ไปในทกุ ระดบั ของสงั คม 2) การกระจายความมงั่ คง่ั ตอ้ งเปน็ การสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนประกอบอาชพี ตามฐานะและหนา้ ทอ่ี นั เหมาะสม มเี สรภี าพในการประกอบอาชพี และจดั หาทรพั ยากรทจ่ี าำ เปน็ เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมกี าำ ลงั ใจในการประกอบอาชพี ทต่ี นเลอื ก 3) สง่ เสรมิ สนับสนนุ ผทู้ ่ีชอบธรรม ไมเ่ บียดเบียนสังคม จดั สิ่งแวดลอ้ มไม่ใหค้ นชั่วมีโอกาส ฉกฉวยผลประโยชน์โดยไมช่ อบธรรม 68

ผู้นาํ กบั โลกแหง่ วัตถใุ นปรชั ญาตะวนั ออก ผู้นํา รอบ รวั กับโลก องวัตถุ รั นในโลก ราวา และปร ล อง รอบ รวั ใน ‘อคั คญั ญสตู ร’ พบว่าครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมท่ีสาำ คญั การรจู้ ักเพศสมั พนั ธ์ ทาำ ใหม้ นษุ ยใ์ นบรรพกาลสรา้ งบา้ นเรอื นเพอื่ กจิ กรรมทนี่ า่ ละอาย และการมบี า้ นเรอื นทาำ ใหไ้ ด้ เรียนรวู้ ่าพืน้ ทข่ี องเรือนสามารถใชป้ ระโยชน์เพ่อื การอ่ืน เชน่ เปน็ ทีส่ ะสมทรพั ยส์ นิ (ข้าวสาลี) จาก ‘จักกวตั ติสตู ร’ ความยากจนมผี ลกระทบตอ่ ชวี ติ ของคน และทาำ ลายโอกาสทเ่ี ขา จะไดท้ าำ หนา้ ทท่ี ค่ี วรทาำ ในครอบครวั รวมทงั้ กจิ กรรมอน่ื ๆ ทฆ่ี ราวาสจะเกยี่ วขอ้ งดว้ ย ในฐานะ คณุ คา่ ทช่ี มุ ชนมนษุ ยย์ ดึ ถอื พน้ื ทข่ี องครอบครวั จงึ เปน็ ทแ่ี สดงออกถงึ ภาวะแหง่ ความเปน็ มนษุ ย์ ของปัจเจกบุคคลตามคำาสอนของพุทธศาสนา การปฏิบัติความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่าง ถูกต้องเหมาะสมแสดงให้เห็นว่าปัจเจกบุคคลยังมีสำานึกแห่งความเป็นมนุษย์อยู่ แม้กษัตริย์ กต็ อ้ งทาำ หน้าท่ีอนุเคราะหค์ นในครอบครัวและขา้ บรพิ าร เชน่ เดียวกับใน ‘กฏู ทันตสูตร’ ทีม่ ี แนวคดิ วา่ การมคี วามสขุ กบั ครอบครวั เปน็ สภาพการณท์ ผ่ี ปู้ กครองตอ้ งทาำ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ภายในรฐั 69

ผนู้ ํากบั โลกแหง่ วตั ถใุ นปรัชญาตะวนั ออก ความสัมพันธ์ของรัฐกับครอบครัวมีสองมิติคือ 1) รัฐเป็นโครงสร้างส่วนบนที่ต้อง ทำาหน้าที่จัดวางระบบการปกครองให้เอ้ือต่อคุณค่าของมนุษย์ รัฐต้องกระจายทรัพย์สิน โดยสนับสนุนให้บุคคลสามารถดำารงคุณค่าบางอย่างที่สังคมเห็นว่ามีความสำาคัญ และ ให้หลกั ประกนั วา่ ทุกคนจะมชี ีวติ ที่ดีไม่มีความยากจน 2) ผนู้ าำ รัฐมีหนา้ ทสี่ ำาคัญเช่นเดยี วกบั บุคคลท่ัวไป ผู้ปกครองเองก็ต้องปฏิบัติตามคุณค่าความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว ในฐานะผูน้ ำาครอบครัว เมอื่ ใช้ ‘สงิ ค�ลกสตู ร’ เปน็ กรอบพจิ ารณาบคุ คลในฐานะผนู้ าำ ครอบครวั บดิ า มารดา ครูอาจารย์ บตุ ร ภรรยา มิตรสหาย ขา้ บริวาร ลูกจา้ ง สมณะ พราหมณ์ ภายใต้สังคมที่มี ลกั ษณะโครงสรา้ งตามสถานภาพนี้ ทกุ คนมหี นา้ ทจี่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งตาม สถานะ ผู้นำาครอบครัวไม่เพียงแต่ต้องปฏิบัติความสัมพันธ์ตามหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ แต่ยังมีหน้าท่ีแสวงหาปัจจัยเพ่ือเลี้ยงชีพตนเองและคนอื่นๆ จึงทำาให้เขาต้องมีปฏิสัมพันธ์ กบั คนนอกครอบครัว เชน่ เพ่ือนรว่ มงาน ลกู จา้ ง และมติ รสหาย พุทธศาสนายอมรับว่า ในโลกฆราวาส ปัจเจกไม่อาจใช้ชีวิตโดดเด่ียวเหมือนสมณะ ผู้แสวงหาความหลุดพ้น มิติของโลกฆราวาสจึงขยายออกนอกขอบเขตของครอบครัวไปถึง คนอีกจำานวนหน่ึงในสังคม ซ่ึงอาจทำาให้ชีวิตของคนเราก้าวหน้าหรือถอยหลังก็ได้ ดังนั้น ครอบครวั มติ รสหาย เพอ่ื นรว่ มงาน ครูอาจารย์ สมณะ และพราหมณ์ ลว้ นถูกรวมไว้ใน โครงสร้างชีวิตที่ดีของปัจเจกบุคคล ปัจเจกบุคคลต้องเลี้ยงดูบิดามารดา ภรรยาและบุตร บริวารตลอดจนมิตรสหายให้เบิกบานและเป็นสุข ซึ่งการจะทำาเช่นน้ันได้ต้องมีทรัพย์สิน เพียงพอท่ีจะปฏิบัติการให้ความสัมพันธ์ดำาเนินไปอย่างราบร่ืน สำาหรับผู้นำาครอบครัว พระพุทธเจ้าจึงได้สอนเร่ืองการไม่ข้องแวะกับอบายมุข 6 ประการ1 เพราะจะทำาให้เสีย ทรพั ย์สินซ่งึ เปน็ เหตุให้ไม่สามารถดาำ รงชพี ดแู ลคนในครอบครัว และผคู้ นแวดลอ้ มได้ 1 อบายมขุ 6 ประการ ไดแ้ ก่ การเสพสรุ าเมรยั การเทย่ี วกลางคนื การเทีย่ วดูมหรสพ การหมกมุ่นในการพนนั การคบคนชว่ั เป็นมิตร และการหมกมุ่นในความเกยี จครา้ น 70

ผู้นํากับโลกแห่งวตั ถุในปรชั ญาตะวนั ออก ใน ‘ธนญั ช�นสิ ตู ร’ มเี รอ่ื งเลา่ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ บทบาทของพระสงฆใ์ นการใหค้ าำ แนะนาำ แก่ฆราวาสที่ประกอบอาชีพอย่างไม่ถูกต้อง โดยอ้างถึงความจำาเป็นในการเล้ียงดูคนใน ครอบครวั และคนใกลช้ ดิ ซง่ึ พทุ ธศาสนาเหน็ วา่ มคี วามจนบางระดบั ทบี่ บี บงั คบั ใหค้ นละเมดิ ศลี ธรรมโดยไมต่ ง้ั ใจ กรณีเช่นนี้ รัฐตอ้ งจดั สภาพแวดล้อมทางสงั คมใหเ้ อ้อื ต่อชวี ิตทางวัตถุ ของพลเมือง พุทธศาสนายืนยันว่า หลักพ้ืนฐานจริยธรรมทางสังคม (ศีล) อย่างน้อย 4 ขอ้ คอื การ ่ ่า ่ลัก รั ่ประ ตผ ในกา และการ ห่ ลอกลวง ปน ง ผูน้ าํ รอบ รัวตอ้ งใ ่ใ ต่อการ ้ รั น า ้ว วถอัน ถ่ กู ตอ้ ง พุทธศาสนาถือว่า เมื่อบุคคลใดขยันหม่ันเพียรหาเล้ียงชีพด้วยวิถีอันถูกต้อง ย่อมมี สิทธิอนั ชอบธรรมในการครอบครองทรัพย์สนิ ท่ีหามาไดโ้ ดยสจุ ริต เมอ่ื ไดม้ าแลว้ ตอ้ งใชจ้ ่าย ไปในทางท่ถี กู ตอ้ งเหมาะสม เช่น ใช้ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ตนเองและครอบครัว บรจิ าคทาน บูชาแก่สมณะและพราหมณ์ผู้เป็นผู้นำาทางจิตวิญญาณ จ่ายภาษีแก่รัฐ และไม่ละเมิด บรรทดั ฐานของสงั คม (ศลี ) 4 ประการ อาจกลา่ วไดว้ า่ ผนู้ าำ ครอบครวั ทค่ี าดหวงั ตามแนวทาง พทุ ธศาสนา คอื ผทู้ ท่ี าำ หนา้ ทใ่ี นการรกั ษาระบบศลี ธรรมและระเบยี บอนั ชอบธรรมของสงั คม การมีทรัพย์สินเป็นองค์ประกอบสำาคัญที่ช่วยสนับสนุนให้บทบาทดังกล่าวดำาเนินไปด้วยดี การปฏิบัติต่อทรัพย์สินท่ีเป็นสมบัติส่วนตัวของฆราวาสจึงต้องดำาเนินไปบนรากฐานแห่ง จรยิ ธรรม 71

ผูน้ าํ กับโลกแหง่ วัตถใุ นปรชั ญาตะวันออก รั น วนั และน าน บ บัญญตั ก วกับโลกแหง่ วตั ถุ อการ าํ รงชวตตา อุ ต าง า นา การครองเพศบรรพชติ เปน็ การเลอื กเปา้ หมายการดาำ รงชวี ติ เพอ่ื นพิ พาน ยดึ เอาการ หลดุ พน้ จากทกุ ขเ์ ปน็ เปา้ หมายหลกั การไมย่ ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในธรรมทง้ั ปวง รวมทงั้ การไมย่ ดึ มนั่ ถือมั่นในวัตถุสิ่งของหรือทรัพย์สินส่วนตัว เป็นเง่ือนไขจำาเป็นต่อการหลุดพ้นจากทุกข์ วถิ ีสมณะย่อมละความผกู พนั ทม่ี ีตอ่ โลก โดยต้องสละบ้านเรือน ครอบครัว หรือความม่งั คั่ง ไปสู่วิถชี วี ิตทสี่ นั โดษ มักน้อย ไม่รกั ใครผ่ กู พนั กบั กามารมณ์ โดยเช่ือว่า การเป็นอิสระจาก บา้ นเรอื น ครอบครวั และทรพั ยส์ นิ จะชว่ ยใหส้ ามารถขดั เกลาจติ ใจและจติ วญิ ญาณใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ ดังน้ันเม่ือถือเพศบรรพชิต จึงมีข้อปฏิบัติพ้ืนฐานคือ 1) ต้องอาศัยการบิณฑบาต เลีย้ งชพี ตลอดชวี ิต 2) นุ่งห่มผ้าบงั สกุ ลุ 3) พักอาศยั ใตต้ ้นไม้ 4) ฉนั ยาดองดว้ ยนา้ำ มตู รเน่า ซงึ่ เปน็ วถิ อี นั ยากจน สาำ หรบั ฆราวาสแลว้ ความยากจนเปน็ อปุ สรรคตอ่ ชวี ติ แตเ่ มอื่ เปน็ สมณะ แลว้ ความมง่ั คงั่ กลบั ไรค้ า่ ความยากจนกลายเปน็ คณุ คา่ ทเี่ กอื้ กลู ตอ่ ชวี ติ ทดี่ ี พระพทุ ธเจา้ ทรง มงุ่ หมายใหพ้ ระสงฆด์ าำ รงชวี ติ ดว้ ยวถิ แี หง่ ความจน โดยทรงบญั ญตั ใิ หถ้ อื ครองทรพั ยส์ นิ หลกั ตดิ ตวั 2 อยา่ ง คือ บาตร และจีวร 3 ผนื ตอ่ มาทรงอนุญาตใหภ้ ิกษุมีทรัพย์สนิ ติดตัวเพยี ง 8 อยา่ ง2 เพอื่ ใหพ้ ระสงฆม์ อี สิ ระในการเดนิ ทางปฏบิ ตั ธิ รรมและสง่ั สอนพระธรรมแกป่ ระชาชน 2 ตามพระธรรมวนิ ยั เครอ่ื งใชส้ อย (เครอื่ งอฐั บรขิ าร) ของพระภกิ ษทุ ที่ รงอนญุ าตมี 8 อยา่ งคอื ผา้ สบง ผา้ จวี ร ผา้ สงั ฆาฏิ บาตร มดี โกน เข็มเยบ็ ผ้า ประคดเอว กระบอกกรองนาำ้ เท่านน้ั ภกิ ษไุ มอ่ าจสะสมทรพั ย์สมบัติไดเ้ กินไปกวา่ นี้ 72

ผูน้ ํากบั โลกแหง่ วตั ถุในปรชั ญาตะวนั ออก พุทธศาสนามีบทบัญญัติแห่งพระวินัยเป็นแนวทางในการดำาเนินชีวิต ของพระสงฆ์ และแนวปฏบิ ตั สิ าำ หรบั ฆราวาสเพอื่ ปฏบิ ตั ใิ หส้ อดคลอ้ งกบั ชวี ติ ของ พระสงฆ์ โดยมสี าระสาำ คญั คอื การตอบสนองต่อชวี ิตอันเรียบงา่ ย เปน็ อิสระทง้ั ภายนอกและภายใน ขณะเดียวกันก็อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น พระวินัยจึงมี ลักษณะท้ังการกำากับควบคุมความประพฤติของบรรพชิต และสะท้อนให้เห็นถึง เมตตาธรรมแก่สรรพสัตว์ ป้องกันไม่ให้วิถีชีวิตของบรรพชิตทำาร้ายผู้อ่ืนท้ังใน ชุมชนและนอกชุมชนสงฆ์ เช่น การครอบครองจีวร เสนาสนะท่ีพักอาศัยให้ ตกเป็นสมบัติส่วนรวม ข้อห้ามไม่ให้ใช้บาตรท่ีทำาด้วยวัตถุมีค่า การมหี รอื การใช้ วตั ถสุ ง่ิ ของทท่ี าำ ดว้ ยของมคี า่ การไมป่ ระพฤตอิ กศุ ลกรรมบถ 10 เชน่ การขับร้อง การเลน่ ดนตรี การตกแตง่ รา่ งกายดว้ ยของหอม การไมน่ อนบนทน่ี อนอนั สงู ใหญ่ 73

ผนู้ ํากบั โลกแห่งวตั ถุในปรัชญาตะวนั ออก การรับอาหารทีย่ ังไม่ได้ปรุงใหส้ กุ การมที าส การมสี ตั ว์เลย้ี ง การมีเรอื กสวนไร่นาและทด่ี ิน เวน้ จากการซอื้ ขาย การโกงดว้ ยตาชง่ั การรบั สนิ บน การลอ่ ลวง การทาำ รา้ ยผอู้ น่ื การทรมาน การฆ่า การจองจำา การวิ่งราว การปลน้ และการขู่กรรโชก พระพุทธเจา้ ยังทรงบัญญัตหิ า้ ม ภกิ ษรุ บั หรอื ใช้ใหผ้ ู้อื่นรบั เงนิ ทอง ทงั้ ยังห้ามยนิ ดีในเงินและทองที่เขาเก็บไว้เพือ่ ตนอกี ดว้ ย การจดั การเรอ่ื งใดทเี่ กย่ี วกบั ทรพั ยส์ นิ สว่ นตวั ของภกิ ษุ พระวนิ ยั อนญุ าตใหท้ าำ โดยสงฆ์ ทง้ั ในแงก่ ารไดม้ า การแจกจา่ ยทรพั ยส์ นิ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ ชส้ อยแกช่ มุ ชนสงฆ์ การลงโทษ ผู้ละเมิดพระวินัย และการฟ้ืนคืนความบริสุทธ์ิของภิกษุท่ีละเมิดวินัย โดยผู้ที่รับหน้าท่ีให้ จดั การเรอื่ งตา่ งๆ ตอ้ งไดร้ บั การยอมรบั จากสงฆท์ งั้ หมด และมคี ณุ สมบตั สิ ามารถดาำ เนนิ การ ไดอ้ ย่างเทย่ี งธรรม เปน็ ผู้ฉลาดสามารถเข้าใจเร่ืองนั้นเปน็ อยา่ งดี 74

ผนู้ ํากับโลกแหง่ วตั ถใุ นปรชั ญาตะวันออก น น อง ประตบู ้าน า้ ว าล กุ น บ น นาระหว่างงานว ั วา ัง ัง วนั น าน กับ ัง ร่ว ั การเติบโตของธุรกิจบริการรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด ตู้นิรภัยของ ธนาคาร สะทอ้ นความรู้สึกไมป่ ลอดภยั ในชวี ติ และทรัพย์สินของคนไทย ยิ่งขา้ วของ เครอื่ งใชใ้ นบา้ นมมี ลู คา่ สงู มากเทา่ ไร เรายง่ิ หวาดระแวงตอ่ การสญู เสยี มากขน้ึ เทา่ นน้ั การมีขโมยเพ่มิ ขึ้นตามชุมชนต่างๆ ดงั ทเ่ี ปน็ ขา่ ว ยิ่งเพิ่มจินตนาการความหวาดกลัว ใหเ้ รา ในพระสตู ร พุทธศาสนามคี ำาอธบิ ายสองประการเกยี่ วกบั ‘การเกดิ ขึน้ ของโจร หรือขโมย’ คือ อาจเกดิ จากความจน หรืออาจเกิดจากความโลภ 75

ผนู้ ํากับโลกแห่งวัตถุในปรัชญาตะวันออก ซง่ึ วธิ กี าำ จดั โจรพทุ ธศาสนาเสนอใหเ้ ปน็ ภาระของผปู้ กครองทพ่ี งึ ดาำ เนนิ การใหช้ วี ติ ท้งั นอกบา้ นและในบา้ นมีความปลอดภยั การเพง่ เลง็ ตอ่ ทรัพย์สนิ ของคนโลภนอกบา้ น ทาำ ใหผ้ อู้ ยใู่ นบา้ นรสู้ กึ ไมป่ ลอดภยั ยง่ิ เราปดิ ประตบู า้ นใสห่ นา้ คนจนเสยี แลว้ กเ็ ปน็ ไปไดว้ า่ เราจะไม่สามารถเหน็ และไมส่ ามารถมคี วามเหน็ ใจคนจนทอ่ี ยู่ใกล้เคยี งกบั เราได้ วา โล ในใ อง น าก นหรอ นราํ รว ล้วนก่อให้ ก โ ้ งั น งใน ัง า การ ั นา ้าน วั า องประชาชน ่ ป โอกา ให้ น งั และ น าก น ้าถง วั การ องรั อ า่ ง า่ มขี อ้ มลู วา่ คนจนเขา้ ถงึ บรกิ ารตา่ งๆ ของรฐั ไดน้ อ้ ยกวา่ คนมง่ั คงั่ ราำ่ รวย ดงั ตวั อยา่ ง ทปี่ รากฏในรายงาน “คนจนเมือง” ทชี่ ใี้ หเ้ ห็นความเหลอื่ มลา้ำ ระหว่างคนรวยกบั คนจน รัฐและคนเมืองมักมองไม่เห็นคนจน ทั้งรัฐและคนเมืองเป็นเสมือนคนท่ีปิดประตูบ้าน และมองไมเ่ หน็ ชวี ติ ในรปู แบบอน่ื หรอื ไมใ่ หค้ ณุ คา่ แกค่ นจน และไมเ่ หน็ วา่ คนจนสมั พนั ธ์ เชอ่ื มโยงกบั โครงสร้างของรัฐและการดาำ รงอยู่ของคนเมืองอยา่ งไร 76

ผนู้ าํ กับโลกแห่งวตั ถุในปรัชญาตะวนั ออก ทง้ั ทค่ี นจนในเมอื งมสี ว่ นสมั พนั ธก์ บั ความมง่ั คง่ั ทางเศรษฐกจิ ของชมุ ชนเมอื ง ดงั ปรากฏ ในรายงานการศึกษาเรอื่ ง คนริมคลอง: ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง คลอง คน ชุมชน และเมือง ว่า “ชาวบ้านในชุมชนริมคลองคือคนทำางานในหน่วยงานท่ีสำาคัญต่อการขับเคล่ือนเมือง ท้ังในด้านของการให้บริการคนในเมืองโดยตรง และหน่วยงานภาคธุรกิจท่ีทำาให้เศรษฐกิจ ของกรงุ เทพฯ เตบิ โต” การปดิ ประตบู า้ น นยั หนง่ึ คอื การมองไมเ่ หน็ ความสมั พนั ธด์ งั กลา่ ว ผปู้ กครองจงึ มหี นา้ ท่ี เปดิ ประตบู า้ นใหเ้ จา้ ของบา้ นไดใ้ ชช้ วี ติ ทง้ั ในบา้ นและนอกบา้ นอยา่ งปลอดภยั ดว้ ยหลกั ประกนั การเขา้ ถงึ ทรพั ยากรอยา่ งเหมาะสมและยุติธรรม ดว้ ยนโยบายหรอื ระบบกฎหมายทชี่ ่วยให้ ทุกคนมีโอกาสพัฒนาชีวิตท่ีดีงามของตนท่ามกลางสังคมที่ปลอดภัย ตามแนวคิดของ พุทธศาสนาใน ‘กูฏทันตสูตร’ เสนอใหร้ ัฐจัดการกับระบบเศรษฐกิจให้เอ้ืออำานวยต่อการ 77

ผนู้ าํ กบั โลกแห่งวัตถใุ นปรชั ญาตะวันออก พฒั นาความเปน็ อยขู่ องคนจน เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ขาไมต่ อ้ งกลายเปน็ ขโมยเพราะความจาำ เปน็ ของ ชีวิต หรือ ‘อัคคัญญสูตร’ เสนอให้รัฐทำาหน้าท่ีบริหารจัดการเพ่ือให้ความสัมพันธ์ระหว่าง พลเมอื งมคี วามปลอดภยั โดยจดั การใหโ้ ลกของวตั ถตุ อบสนองชวี ติ ของทกุ คนอยา่ งพอเพยี ง และเปน็ ธรรมเสมอหนา้ กนั ดงั นน้ั การจดั การของรฐั ยอ่ มไมใ่ ชก่ ารจดั การในลกั ษณะเชค็ ชว่ ยชาติ หรอื วธิ เี ขา้ ยดึ ทรพั ยากรไวเ้ ปน็ ของรฐั แลว้ สง่ ผา่ นบรษิ ทั -ประชารฐั ไปยงั ประชาชน เปดิ โอกาส ให้นายทุนผู้มั่งค่ังผกู ขาดการเข้าถึงทรพั ยากรโดยไมเ่ ท่ยี งธรรม 78

ผนู้ ํากบั โลกแหง่ วตั ถใุ นปรัชญาตะวันออก ในอีกโลกหนึ่งท่ีเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับสวรรค์และนิพพาน ชีวิตพระสงฆ์อยู่ใต้ อุดมคติแห่งนิพพาน จึงต้องการความสมถะ เรียบง่าย เบาสบาย ทรัพย์สินความมั่งค่ังจึง ไมจ่ าำ เปน็ เพราะจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ แตใ่ นรายงานการศกึ ษา “เศรษฐกจิ วดั ไทย” กลับสวนทางกับจารีตด้ังเดิมในพระวินัย พระสงฆ์ในปัจจุบันมีปัจจัยอ่ืนที่มีค่ามากขึ้น วตั ถมุ คี า่ อยใู่ นการครอบครองของวดั โดยเฉพาะวดั ในเมอื งทไ่ี ดร้ บั การอปุ ถมั ภจ์ ากผศู้ รทั ธา ไม่เพียงเท่านั้นพระสงฆ์และวัดเองได้มีการจัดให้มีการระดมทุนเพื่อหาเงินเข้าวัดอย่าง เปดิ เผย วดั จงึ เป็นแหลง่ ไหลเวยี นของทนุ และเงินจาำ นวนมหาศาล ถานการ องวั ใน ัง ในป บุ นั ง ํารงอ ู่ อ ่างอหลกั อ หลอระหวา่ ง วา ตอ้ งการ ะ ั กลาตน อง อ ลา วา นั ถอ ัน งุ่ กู่ ารบรรลุน าน กับการ ั การโลกแหง่ วัตถุ อตอบ นอง ุ ประ ง องการ าํ รงอ ู่ อง ุ า นา ้ ั นา ปนอง กรหรอ ถาบัน จนกลายเป็นมิติที่ห่างไกลจากจุดเริ่มต้นที่มีแนวคิดแบบวิถีสมถะท่ีเป็นกรอบการ ดาำ เนนิ ชวี ิตของสงฆใ์ นอดีต 79