๕๐ นิทานชาดกเล่มหก พระพุทธองค์จึงทรงเรียกพระภิกษุรูปนั้•นมาสอบถาม เฐ่ดู ทรงทราบแล้วจึงทรงตักเตือนว่า \"ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน บ้ณ'ทิตท้งหลายกระทำ ความเพียรในที่ที่ควรประกอบควานmร ก็ยังบรรลุถึงราชสมปติได้\" แลวทรงระลกชาตแตหนหลงของพระอ>3ค์(.ดู,3 ด้วยษุพเพ นวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า ป๋ญจารุธร3าดก มีเนื้อความตังนี้ เฟ้อหาชาดก ในอดตกาลนานมาแลว ทเมีองพาราณสี มีกษัตริย์พระองค์ หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าพรหมทัต ทรงปกครองบ้านเมีองโดย ทศพิธราชธรรม ประชาชนอยู่อย่างร่มเย์นเป็นสุขโดยทั่าหน้าทัน ในเวลาต่อมา พระอัครมเหสีได้ประสูติพระราชโอรส ซึ่ง มีพระลักษณะสมบูรณ์ด้วยบุญญาธิการ ครั้นล่วงถึงวันสมโภช พระนาม บรรดาโหรหลวงผู้ชำนาญในการดูลักษณะ ต่างพาทัน ถวายคำทำนายว่า \"พระราชกุมารพระองค์นี ต่อไปภายหนาคะใด้คfปีงราช ลมบต จะปีความเชียวชาญเป็นเยี่ยมทั้งในด้านทๆรปบครปีง แส^ ด้านการสงคราม จะปรากฏชื่อลือชา ด้วยการใช้เพองอาวุธ^ชนิด\" เมอได้ฟังคำทำนายเช่นน้น พระเจ้าพรหมทัตทรงปลาบปลื้ม พระทัยยิ่งนัก จึงทรงพระราชทานพระนามพระราชโอรสว่า ป๋ญ_ จารุธทุมา§
นิทานชาดกเล่มหก ปัญจาวุธกุมารทรงเจริญวัยขึ้นตามลำดับ ทรงมีพระลติ- ปัญญาเฉลียวฉลาด และสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง ยิ่งกว่ากุมาร ทั้งหลายในวัยเดียวกัน เมื่อพระชนมายุครบ ๑๖ พรรษา พระราชบิดาทรงมีรับสั่ง ให้เดินทางไปศึกษาศิลปวิทยา ในลำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ เมีองดักกสิลา แคว้นคันธาระ (ปัดนี้อยู่ในเขต ปากีสถาน) เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ปัญจาวุธกุมารก็สามารถศึกษา ศิลปศาสตร์ได้สำเร์จครบทุกแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการรบพุ่ง ทรงมีความชำนาญเป็นเสิศในการใช้อาวุธสำคัญ คือ ธนู พระขรรค์ หอกซัด กระบอง อีกทั้งทรงมีพระสติปัญญาเป็นเลิศ สมดังคำ ทำ นายของบรรดาโหราจารย์ทุกประการ จากนั้น พระราชกุมารก็กราบลาพระอาจารย์ ออกจาก สำ นักทิศาปาโมกข์ เหน็บอาวุธเช้ากับพระวรกายอย่างรัดกุม เสด็จ มุ่งหน้ากลับกรุงพาราณลีตามลำพัง โดยทรงลัดเลาะไปตามป่าเขา ต่าง ๆ ซึ่งไม่ไช'ทางที่ทรงดำเนินมาแต่แรก เพราะมีพระประสงค์ จะชมภูมิประเทศที่แปลกตาออกไป ปัญจาวุธกุมารทรงเดินทางรอนแรมอยู่หลายวัน จนกระทั่ง วันหนึ่ง ขณะที่กำลังเสด็จผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ มุ่งเช้าสู่ดงไม่อีกแห่ง หนึ่ง ชาวบ้านย่านนั้นเห็นหนุ่มน้อยแปลกหน้ากำลังเดินทางเช้าสู่ แดนอันตราย ก็รีบพากันมาร้องห้ามว่า
๕]ปี นิทานชาดกเล่มหก \"พ่อหนุ่ม อย่าไปทางนี้เลย ในปานี้มียักษ์ขนเหนียว อาศัยอยู่ ถ้ามันเห็นเจ้า มันต้องจับเจ้ากินแน่ ๆ\" ปัญจาวธกุมารได้ฟังดังนั้น ก็มิได้ทรงนึกครั่นคร้ามเกรงกลัว ยักษ์นั้นเลย ทรงขอบใจชาวบ้าน แล้วทรงยืนยันอย่างแข็งขันว่า พระองค์ย่อมสามารถเอาตัวรอดได้ พระราชกุมารผู้มีพระทัยเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เสด็จดำเนิน ต่อไปในดงไม้ ด้วยท่าทีทรนง องอาจ สง่างาม แต่ทรงระวังพระองค์ อยู่ตลอดเวลา เจ้ายักษ์ร้ายตนนี้มีชึ่อว่า สิเรเสโร)ม แปลว่า \"มีขนเหนียว เป็น ตัง\"มันชอบดักจ้บมนุษย์ และสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร เมื่อเห็น หนุ่มน้อยเดินเข้ามาถึงที่อยู่ของมันตามลำฟัง ก็นึกดีใจว่าได้ลาภปาก อีกแล้ว จึงรีบแปลงกายให็ใหญ่โต สูงลิ่วเท่าลำตาล ศีรษะโตเท่า เรือนยอค นัยน์ตาแต่ละข้างขนาดเท่าล้อเกวียน ตาลุกวาวแดงกํ่า น่ากลัว เขี้ยวทงสองมีขนาดเท่าหัวปลี หน้าขาว ท้องต่าง มีอเท้าเขียว ดรปร่างทังน่าอัปลักษณ์ ทังน่าสะพึงกลัว มันย่างสามขุมตรงเข้ามา ฃ่ข ^ หาบ้ญจาวุธกุมาร \"ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เจ้าหนุ่มน้อย มาให้ข้าจับกินซะดีๆ\" มันแสยะ ปากหัวเราะพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามา
นิทานชาดกเล่มหก ๕๓ แต่แทนที่ปัญจาวุธกุมารจะหวาดหวั่นครั่นคร้าม กลับร้อง ตวาดขึ้นว่า \"ชะ ชะ เจ้ายักษ์ขนหนียว วันนี้เราจะปราบเจ้าใหนี้นฤทธี้ เลยทีเดียว\" พูดแล้ว ปัญจาวุธกุมารก็ช้กธนูอาบยาพิษขืนมา แล้วยิงไป ยังเจ้ายักษ์ขนเหนียวทันที แต่ลูกธนูก็ไม่อาจทำอันตรายยักษ์ได้ กลับไปติดแน่นอยู่ที่ขนหน้าแข้งของมัน ยักษ์ชะงักอยู่กับที่นิดหนึ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่า จะมีมนุษย์ คนใดใจกล้าถึงปานนี้ มันก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง ป'ญจาวุธกุมาร ก็ยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษเข้าไปอีก แต่ลูกศรไม่อาจทำอันตรายเจ้ายักษ์ขนเหนียวได้ กลับไป ติดระเกะระกะอยู่ตามขนหน้าแข้งของมัน แต่ปัญจาวุธกุมารไม่ละ ความพยายาม ระดมยิงลูกศรใส่เจ้ายักษ์จนหมด ยักษ์ขนเหนียว ลลัดลูกศรที่งหมดให้ร่วงอยู่แทบเท้า แล้วย่างลามขุมใกล้เข้ามา \"หยุดนะ !!\" ปัญจาวธกุมารตวาดมันอีกครั้ง แล้วช้กพระขรรค์ อันคมกริบโถมเข้าประชิดยักษ์ แล้วฟันฉับลงไปด้วยพละกำลังอัน มหาศาล แต่พระขรรค์ก็ติดอยู่เพียงแค'ขนหน้าแข้งยักษ์เทำนั้นเอง ปัญจาวุธกุมารไม'ละความพยายาม ชักหอกชัดขึ้นฟาดฟัน เจ้ายักษ์ขนเหนียวด้วยกำลังแรง แต่หอกชัดก็ไปติดอยู่ที่ขนหน้าแข้ง ของมันอีกเซ่นก้น
i ^ ฐ-^^^.^ J%:'- ร^^^^
นิทานชาดกเล่มหก &\"^ ป๋'ญจาวุธกุมารชักกระบองขืนหวดเจ้ายักษ์ แต่กระบอง ก็ไปติดที่ขนของมันอีก แม้อาวุธทุกอย่าง จะไปติดอยู่ทีขนหน้าแข้ง ของยักษ์ขนเหนียว แต่กำลังใจของปัญจาวุธกุมารก็มิได้ลดลงไปเลย กลับประกาศก้องขึ้นว่า \"เฮ'ย เจ้ายักษ์! เจ้าไม่เคยไดยินชื่อของเราผู้ปีนามว่า ยัญจาวุธกุมารเลยหรือ วันนราจะยัราบเจ้าไห้แหลกเป็นผงไปเลย\" ว่าแล้ว ปัญจาวุธกุมารก็โถมเข้าหายักษ์ ต่อยด้วยมือขวา มือขวาก็ติดขนยักษ์ ต่อยด้วยมือข้าย มือข้ายก็ติด เตะด้วยเท้าขวา เท้าขวาก็ติด เตะด้วยเท้าข้าย เท้าข้ายก็ติด กระแทกด้วยศีรษะ ศีรษะ ก็ติด เป็นอันว่าทั้งอาวุธ และทั้งตัวของป'ญจาวุธกุมาร ติดห้อย ต่องแต่งอยู่ตรงหน้าแข้งยักษ์นั่นเอง แต่ถึงกระนน ปัญจาวุธกุมาร ก็ไม่มืท่าทีสะทกสะท้านหรือหวาดกลัวเลย เจ้ายักษ์ขนเหนียวไม่เคยพบเคยเห็นใคร ที่มืใจเด็ดเยี่ยง บุรุษอาชาไนย เซ่นนี้มาก่อน มันเลึกนับถือในความกล้าของปัญจา- วุธกุมารมาก มันก้มลงมอ4ปัญจาวุธกุมาร แล้วพูดว่า \"เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าแน่มาก ข้ากินเจ้าไม่ลงจริง ๆ ข้าอยากรื นักว่า ทำ ไมเจ้าจึงไม่กลัวตาย?\"
นิทานชาดกเล่มหก ปัญจาวุธกุมารจึงตอบยักษ์ไปว่า \"ยักษ์เอ๋ย ทำ ไมเราจะต้องกลัวตาย ทุกคนเกิดมาก็ต้อง ตายต้วยกันทั้งนั้น แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ในท้องเรามี วชิราวุธ ถ้า เจ้ากินเรา เจ้าก็ต้องตายเหมีอนกัน เพราะวชิราวุธในท้องเรา จะ บาดไส้พุงของเจ้าให้ขาดเป็นชินเล็กชิ้นน้อย อ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เจ้ายักษ์เอ๋ย เราไม่ตายคนเดียวหรอก ถ้าเราตาย เจ้าก็ต้องตายต้วย\" ยักษ์ขนเหนียวได้ฟังคำขู่ของยัญจาวุธกุมารก็รูลึกครั่นคร้าม จึงกล่าวว่า \"พ่อหนุ่ม เราไม่อยากกินเนื้อของเจ้าหรอก ตัวเจ้าเล็ก นิดเดียว กินไปก็ไม่ทออิ่ม เอาละ เราจะปล่อยเจ้าไป\" ว่าแล้วเจ้ายักษ์ก็จับยัญจาวุธกุมารวางลงกับพื้นดิน แต่ แทนที่ยัญจาวุธกุมารจะเดินจากไป กลับหันหน้าพูดกับยักษ์ว่า \"ขอบใจ เจ้ายักษ์ แต่ก่อนที่เราจะไป เราขอเตือนเจ้าว่า เจ้าไต้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก ตงแต่เมื่อชาติก่อนแส้ว เจ้าจึงต้อง มาเกิดเป็นยักษ์ มีชีวิตอยู่ต้วยความตาย และเลือดเนื้อของผูอื่น นับว่าเกิดมาสร้างกรรมแท้ๆ เมื่อเจ้าสิ้นชีวิตละโลกนื้ไป เจ้าต้อง ไปเกิดในอบายภูมิคือ นรก เกิดเป็นลัตว์เดียรัจฉาน เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เหมีอนอย่างที่เจ้าต้องมาเกิดเป็นยักษ์อีกแน่ ๆ แน้ หมดเวรจากอบายภูมิมาเกิดเป็นมนุษย์อายของเจ้าก็จะสน เพราะ ไต้ทำลายชีวิตของผูอึ่นไว้มาก เจ้าจงอย่าไต้ฆ่าใครๆ อีกเลย จงประพฤติธรรมรักษาคืลดีกว่า\"
นิทานชาดกเล่มหก ๗ ยักษ์ขนเหนียวนั่งนิ่งฟ้'งคำของปัญจาวุธกุมารอย่างสงบ นับเป็นการฟังธรรมครงแรกในชีวิตของมัน เจ้ายักษ์เสึกเลื่อมใส ศรัทธา จึงตงใจฟังเป็นอย่างดี ยัญจาวุธกุมารจึงขอให้ยักษ์รักษา ศีล ๕ แล้วเตือนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เมื่อยัญจาวุธกุมารปราบยักษ์ได้แล้ว จึงเก็บอาวุธของตน เดินทางออกจากป่าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อบอกชาวบ้านให้เลิกหวาดกลัว ยักษ์ขนเหนียว แล้วให้นำข้าวปลาอาหารไปให้ยักษ์กินด้วย เพราะ ยักษ์จะรักษาศีลแล้ว จากนั่น ยัญจาวุธกุมาร จึงเดินทางเข้าสู่เมือง พาราณสีต่อไป 'ประชุมซๆดก เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ก็ ตรัสพระคาถาเพิ่มเดิม มืใจความว่า \"นรชนผู้ใด มีจิตไม่ท้อแท้มีใจไม่หดหู่ บำ เพ็ญกุศลธรรม เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนผู้นั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างโดยลำดับ\" อธิบายโดยย่อว่า \"คนเรา ถ้าไม'ย่อท้อ ไม'รวนเร ไม'หดหู่ ก็จะเห็นคนที่มืจิตใจ นั่นคง สามารถแกสติให็ดีได้ สมาธิก็จะถ้าวหน้า บรรลุธรรมขนสูง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ\"
นิทานชาดกเล่มหก พระภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อน ก็กลับมีกำลังใจเข้มแข็ง ขึ้นมาใหม่ จิตใจผ่องใส ชุ่มชื่น เบิกบาน พระบรมศาสดาจึงทรง แสดงอริยลัจสี่โดยอเนกปริยาย พระภิกษุรปนนก็สามารถประคองใจ จข์ ให้หยุดนิ่ง เข้าถึงธรรมกายอรหัต สำ แจเป็นพระอรหันต์ในบัดนั้นเอง ครํ้นแล้วพระบรมศาสดา จึงทรงประชุมชาดกว่า ยักษ์ ในครงนั้น ได้มาเป็นองคุลีมาล ษ์ญจาวุรกุมๆร ได้มาเป็นพระองค์เอง ยัอคิดจากชาดก ๑. การทำความเพียรอย่างไม่ลดละ ทำ ให้เกิดอำนาจในตัว ได้ ถึงเป็นคนธรรมดา ไม่มีอำนาจราชศักดี้ ก็ยังเป็นที่ครั่นคร้าม ของคนทั่วไป แม้อันธพาลก็ยังลังเล ไม'กล้ารุกราน เพราะอัศจรรย์ ในพลังจิตที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของผู้นั้น ๒. ขึ้นชื่อว่า คน ย่อมกลัวตายด้วยกันทั่งนั้น แต่เมื่อ ถึงคราวจะตาย คนบางพวกกลับไม่หวาดหวั่น คนพวกนี้ คือผู้ที่สืกสมาธิอย่างชํ่าชอง ตัดสินใจสละชีวิต เพื่อบำเพ็ญเพียร เพื่อเข้าถึงนิพพานมาตงแต่ด้น ดังนั้น จึงมีความ เชื่อทั่นอย่างแน่นแพ็นว่า แม่ถึงตาย บุญที่ทำไวิดีแล้ว ย่อมทำให้ ไปเกิดในที่ดี จึงไม่เสียดายชีวิตเลย
นิทานชาดกเล่มหก ๕๙ อธบๆยฟั'ฬท์ (ปัญจาวุธชาดก อ่านว่า ปัน-จา-วุด-ชา-ดก) ป๋ญจารุธ อาวุธ ๕ อย่าง ดัฃ หมายถึงเหนียวมาก เหนียวติดเหมือนยางไม้ บุรุษอๆชๆโนย ชนิดหนึ่ง เรือนยอด บุรุษผู้แกล้วกล้า ^กตนมาดีแล้ว วรรๆวฺร อาคารที่มืหลังคาทรงสูง อาวุธอันเป็นสายฟัา, อาวุธที่คมราวเพชร (แท้ที่จริงแล้ว คือปัญญาอันรุ่งโรจน์) พระคาถา\"ปฮะจำชาดก ใย อลีเนน จิตฺเตน อลีนมนใส นใร ภาเวติ กุสลํ ธมฺมํ ใยคกฺเชมลฺส ปตติยา ปาปฺเณ อนปพเพน สพฺพส\"ใยชนกขยํ นรชนใดมืจิตไม่ท้อแท้ มืใจไม่หดหู่ บำ เพ็ญกุศลธรรมเพื่อบรรลุความเกษมจากใยคะ นรชนผู้นั้น พึงบรรลุถึงความสิ้นลังใยชน์ทุกอย่าง ใดยลำดับ
กาญจนักขันธซาดก ชาดกว่าด้วยธรรมะอุปมาเสมือนทองคำ สถานทีดรร}ซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเดดุทีดรสซาดก ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ชายผู้หนึ่งได้ฟังพระธรรมเทศนา จากสมเด็จพระสัมมาล้มพุทธเจ้าแล้ว บังเกิดความเลื่อมใสศทัเธา จึงทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระบรมศาสดาทรงโปรดให้พระอุปัชฌาย์ จัดการบวชให้ และให้รับไปปกครองดูแล อบรมสั่งสอน
นิทานชาดกเล่มหก ๖๑ พระภิกษุบวชใหม่รูปนี้ มีกิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนน้อม ถ่อมตน และตั้งใจประพฤติปฎิป้ติธรรม พระเถระผู้Iหญ่หลายท่าน จึงเมตตาเอ็นดู ช่วยกันเอาใจใส่อบรมสั่งสอนเป็นพิเศษ ยกหัวข้อ ธรรมต่าง ๆมากมาย มาอธิบายอย่างละเอียดลออ ตั้งกำชับให้ตั้งใจ รักษาศีลให้ครบบริบูรณ์อีกด้วย อันศาสนธรรมคำสอนของพระสัมมาส้มพุทธเจ้านน หาก จะแจกแจงรายละเอียดออกไปโดยพิสดาร ก็จะประมวลหัวข้อธรรม ได้มากถึง «:?<r,ooo พระธรรมชันธ์ แม้ลำพังพระวินัย อันเป็นเรื่อง เกี่ยวกับศีลของพระภิกษุโดยเฉพาะ ก็ยังมีมากนับได้ถึง ๒๑,๐00ข้อ พระอุปัขณาย์และพระอาจารย์ของพระภิกษุบวขใหม่ ล้วน ไม่รู้จักประมาณกำสังสติปัญญาของลูกศิษย์ มีแต่ความปรารถนาดี จึงกลายเป็นยัดเยียดคำสอนให้1ดยไม่รู้ตัว ตังนน เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน จิตใจที่อาจหาญร่าเริง มาแต่ด้นของศิษย์ ก็พสันแห้งฝ่อ ห่อเหี่ยวไปทีละน้อยๆ ในที่สุด ท่านก็มาหวนคิดสมเพขตัว้เองว่า \"โอ....ศีลของพระภิกษุ ช่างมีมากมายจริงหนอ.... อย่าว่า แต่จะปฏิบ้ติให้ครบเลย เพียงแคชื่อศีล....เราก็ยังจำไดไม'หมดเสียแล้ว ขืนบวชอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ คงเป็นพระภิกษุที่ศีไม่ได้เพราะ ศีลบกพร่อง สูสึกออกไปมีเหย้ามีเรือน แล้วหมั่นทำบุญให้ทาน รักษาศีล เป็นกำลังชองพระศาสนายังจะดีกว่า....\"
^๒ นิทานชาดกเล่มหก เมื่อคิดตัดสินใจดังนี้แล้ว ท่านก็หอบหิ้วบริขารต่าง ๆ มีบาตร จีวร เป็นตัน เดินคอตกเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ กราบท่านแล้ว บอกคืนบริขารทงหมด พร้อมทงสารภาพด้วยใบหน้าเศร้าหมองว่า ท่านไม่อาจรักษาศีลให้ครบถ้วนได้ ตามที'ท่านอาจารย์บอก จะ ขอลาสิกขากลับไปเป็นฆราวาสตามเดิม พระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ ได้ทราบความประสงค์ของ ลูกศิษย์แล้ว ก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป คาดไม่ถึงว่า ความปรารถนาดี การ จํ้าจี้จํ้าไชสอนศิษย์ของท่าน จะล่งผลย้อนกลับไปไนทางตรงกันข้าม ถึงปานนั้น เมื่อท่านไม่สามารถย้บยง หน่วงเหนิ่ยว เกลี้ยกล่อมไห้เปลี่ยน ไจได้ จึงตัดสินไจพาพระภิกษุนั้น ไปเฝัาพระบรมศาสดา เมื่อพระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ก็ทรงสอบถาม พระอุปัชฌาย์ถึงวิธีการสอน ครั้นท่านกราบทูลไห้ทรงทราบแล้ว พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า \"ดูก่อนภิกษุ เหตุใดเธอจึงบอกศีลแก่ลูกศิษย์มากนักเล่า ภิกษุนี้อาจรักษาศีลได้เท่าใด ก็พึงให้รักษาเท่านี้นเถิด ต่อไปนี้ เธออย่าบอกอะไร ๆแก'ลูกศิษย์รูปนี้อีกเลย ตถาคตจะสอนเอง\" ตรัสแล้วก็ทรงผินพระพักตร์ไปทางพระภิกษุบวชไหม' ทอดพระเนตรเห็นแววระทดระท้อ ระคนเศร้าหมอง ฉาบฉายอยู่บน ไบหน้าอย่างท่วมท้น จึงตรัสไห้กำลังไจไนเชิงผ่อนปรน ด้วย พระสรเสียงอันอ่อนโยนว่า
นทานชาดกเล่มหก ๖๓ \"ภิกษุ ถ้ามีศีลเพียง ๓ ข้อ เธอจะรักษาได้หรือไม่...?\" \"ได้พระเจ้าข้า\" ภิกษุหนุ่มรีบทูลตอบรับอย่างแข็งขัน แววตาพลันกระจ่างใสขึ้นด้วยความหวังทันที \"ถ้าเช่นนั้น เธอจงอย่าสึกเลย จงรักษาทวารทงสามไว้ คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร คือ ไม่กระทำกรรมข้วด้วยกาย ไม่กระทำกรรมชั่วด้วยวาจา และไม่กระทำกรรมข้วด้วยใจ จง รักษาศีล ๓ ข้อนี้เทำนั้นเถิด\" ภิกษุ ผู้บัดนี้กลับอาจหาญ ร่าเริง ในการปฎิป้ติธรรมอีก ครั้งหนึ่ง ด้วยพระกรุณาอันหาที่สุดมิได้ของพระพุทธองค์ จึงน้อม ศีรษะลงสมาทานศีลที่งสามข้อ ด้วยอาการประหนึ่งได้รับพระราชทาน รัตนะ อันมีค่ายิ่งชีวิต บังเกิดความปีติปราโมชเป็นล้นพ้น ครั้นแล้วจึงกราบถวายบังคมลากลับไปยังที่อยู่ พร้อมกับ พระอบัชฌาย์และพระอาจารย์ นับแต่วาระนั้นเป็นด้นมา ภิกษุรปนั้นก็ตั้งใจประคับประคอง ๆขํ ควบคุม กาย วาจา ไจ อย่างเคร่งครัด มิไห้เผลอไผลกระทำกรรมชั่ว เพียง ๒-๓ วันต่อมา ดวงจิตของท่านก็พลันผ่องไส ชุ่มชื่นเบิกบาน สามารถเข้าถึงธรรมกายอรหัต สำ เร็จเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลส โดยสิ้นเชิง เป็นที่น่าอัศจรรย์ ท่านถึงกับเปล่งอุทานออกมาว่า
๖(ร: นิทานชาดกเล่มหท \"เท่านองหนอ.... เท่านี้เองหนอ.... ศีลตงมากมายก่ายกอง ที่พระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ อ้อมค้อมบอกแก'เราจนเหลือกำลัง รบ แท่ที่จ่ริงแล้ว พระพุทธอ^ทรงประมวลไว้เพียง๓ ข้อ เท่านี้เอง...\" ข่าวพระภิกษุพูอนรนจะสึก กลับสำเร็จเป็นพระอรหันตได้ ด้วยพระปรีชาลามารถในการย่นย่อศีลของพระพุทธองค์ แพร่สะพัด ไปทั่วพระอารามในเวลาอันรวดเร็ว พระภิกษุทั่งวัดต่างประชุมกัน แช่ซ้องสรรเสริญ โมทนาสาธุการความเป็นเอกบุรุษ ของพระบรม- ศาสดาอย่ไม่ขาดปาก ครนพระลัมมาลัมพุทธเจ้า ทรงทราบเรื่องที่พระภิกษุประชุม สนทนากันแล้ว จึงตรัสว่า \"มิใช่แต่เฉพาะบ้ดนี้เท่า'แน ที่ภาระแม้ถึงจะมากมาย เรา ก็แบ่งโฅยส่วนย่อย ใ'ห้เป็นดุจของเบา ๆ ไอ้ แม้ในกาลก่อน บัณฑิต ไอ้ทองแท่งใหญ่ ไม่อาจยกขึ้นไอ้ ก็ย้งแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ แล้วยกไบ่ไอ้สำเร็จ\" ตรัสแล้วก็ทรงนิ่งเสีย พระภิกษุทั่งหลายจึงกราบทูลอาราธนา ให้ทรงเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้พัง พระบรมศาสดาจึงทรงระลึกชาติ ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่า กาญจนักชันธซาตก มีเนื้อศวามดังนี้
นิทานชาดกเล่มหก ๖๕: (.นอ'ฬๆซๆดก ในอดีตกาล สมัยเมื่อพระเจ้าพรหมทัดครองราชสมบ้ติ ณ กรุงพาราณลี ครงนั้น มีชายชาวนาผู้ขยันขันแข็งอยู่คนหนึ่ง เขา คิดที่จะขยายพื้นที่การทำนาของเขาออกไป จึงได้เที่ยวหาและจับจอง ทีดินรกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง และถากถางที่แห่งนั้นเป็นที่นาของดน ซึ่งที่ดินแห่งนี้เมื่อไนอดีด เคยเป็นที่ตงบ้านเรือนของเศรษฐีผู้มั่งคั่ง มาก่อน ชายหนุ่มได้ออกไปไถนาดามลำพังอยู่ทุกวัน จนกระมั่ง วันหนึ่ง ขณะที่กำลังไถนาอยู่นั้น ผาลไถ ก็ไปสะดุดติดฺอยู่กับ ของแข็ง ๆ ท่อนหนึ่งไนดิน วัวที่เทียมไถไม่สามารถลากต่อไปได้ จึงหยุดยืนนึ่งอยู่กับที่ เมื่อแรก เขาคิดว่าเป็นรากไม้ จึงเอามือขุดคุ้ยก้อนดินเป็น หลุมลึกดู แทนทีจะเป็นรากไม้อย่างที่คิด กลับเป็นแท่งทองคำ ขนาดไหญ'เท่าโคนขา ยาวประมาณถึง (T ศอก ฝังอยู่ไนดิน ทองคำแท่งนี้ เศรษฐีเจ้าของบ้านคนเดิมได้ฝังซ่อนไว้ แล้ว อพยพครอบคร้วไปอยู่ที่อื่น เวลาผ่านไปนานแสนนาน จนบ้านเรือน ผุพังราบไป เหลือแต่เศษอิฐ เศษไม้ กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ขณะนั้นเพิ่งจะปายคล้อย ยังมีเวลาเหลือพอทำงานไดิอีกมาก ชาวนาผู้รักงานจึงค่อย ๆ ถอนคันไถ ไห้หลุดพันจากแท่งทองคำที่ ทอดขวางอยู่นั้น แล้วโกยดินกลบท่อนทองคำลํ้าค่านั้นไว้จนมิดดังเดิม
นิทานชาดกฟมหก ๖๗ เขาก้มหน้าก้มตาไถนาต่อไป โดยไม'คิดหยุดงาน จนกระทั่ง โพล้เพล้!ด้เวลากลับบ้าน เขาจึงหยุดทำงาน เก็บลัมภาระต่าง ๆ มีแอก ไถ เป็นต้น วางแอบไว้ที่โคนต้นไมีใหญ่ แล้วย้อนกลับไปยัง ที่ฝังแท่งทองคำ คุ้ยดินออก ตั้งใจจะแบกกลับบ้าน แต่ทองแท่งนั้น ทงใหญ่ นั้งมีนำหนักมาก เกินกำลังจะแบกหามไปไต้ เขาจึงนั่ง ตรึกตรอง คิดหาวิธีที่ดีที่สุด ต้วยความฉลาดรอบคอบ และมองเห็นการณ์ไกลเยี่ยงบ้ณฑิต เขาจึงคิดว่า ควรจะแบ'งแท่งทองนี้ออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่หนึ่ง ลำ หรับขาย นำ ทรัพย์มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ให้สุขสบายตามสมควร ส่วนทีสอง ฝังไว้ที่เดิม เก็บไวิใช้ยามขัดสน เจ็บใช้ ส่วนที่สาม ลำ หรับเป็นทุนท่าไร่ท่านา และค้าขาย ส่วนที'สี่ ลำ หรับท่าบุญให้ทาน เมื่อกำหนดในใจไต้อย่างนี้แล้ว เขาจึงตัดทองคำออกแบก กลับบ้านคราวละท่อน ๆ นำ ไปใช้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้แต่แรก โดย ไม่มีความห่วงกังวลว่า ในแต่ละวัน ทองคำส่วนที่กลบดินซ่อนไว้ จะสูญหายไปหรือมีใครอื่นบังเอิญมาพบ แต่ถึงกระนั้น เพื่อความปลอดภัยไม่ประมาท ชาวนาผู้ รอบคอบ จึงตั้งใจลำรวมระวัง ไม่ปริปากแพร่งพรายเรื่องนี้ให็ใคร ทราบแม้แต่กับลูกเมีย เพราะเกรงว่า คนในครอบครัวจะเก็บความลับ ไวิไม'อยู่ หรือเผลอสติท้งเท้อให้ซาวบ้านสงสัยไต่ถาม หากความลับ แตก ก็จะไม่ท้นอันตรายจากโจรผ้รัาย
๖๘ นิทานชาดกเล่มหก ยิ่งกว่านั้น แม่'แต่การจับจ่ายใช้สอยภายในบ้าน ก็ยังควบคุม ไวให้เป็นไปตามปกติ จนไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้เบืองหลังในความ เป็นผู้มั่งมีของเขาเลย นอกจากจะเช้าใจเอาเองว่า เป็นเพราะ ความขยันขันแข็งในการทำงานของเขา 'ประซมซาดก พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเสริมขึ้นว่า \"ทรชนใด มีพร่าเริงแล้ว มีใจเบิกบานแล้ว บำ เพ็ญธรรมเป็นกุศล เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชน'นั้น พึงบรรลุความสินล้งโยช'น์ทุกอย่างไต้โดย ลำ ดับ\" ครั้นแล้วจึงทรงประชุมซาดกว่า ชายชาวนๆ ได้มาเป็นพระองค์เอง ซ้อคิดจากซาดก ๑. ผู้ที่เป็นครู อาจารย์ เป็นพ่อแม่ เป็นผู้บังคับบัญชา ล้วน มีหน้าที่ด้องให้การสั่งสอนอบรมผู้น้อย ตามหน้าที่ของตน เมื่อจะสั่งสอนใคร ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า ความสามารถ ในการเรียนรู้ การรับคำสอนของแต่ละคนไม่เหมีอนกัน ขึ้นอยู่กับ
นิทานชาดกเล่มหก ๖๙ พื้นฐานหลายอย่าง ก่อนสอน จึงต้องศึกษาอัธยาศัยของผู้รับคำสอน เสียก่อน แล้วพลิกแพลงวิธีการให้เหมาะสม มิฉะนั้น จะกลายเป็น ยัดเยียดคำสอน ก่อให้เกิดอารมณ์ขุ่นมิ'ว ตอบใต้ออกมาในทางลบ อย่างไรก็ดี เนื่องจากโดยทั่วไป เราไม่รู้วาระจิตของ^น จึงมีปัญหาในการสอน การอธิบายอยู่เสมอ เพื่อจะผ่อนหนักให้ เป็นเบา ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดย'!!เกตนให้เพียบพร้อมต้วย คุณสมปติ <r ประการ คือ 0. แตกฉานไ.นการซยายความ ให้เหมาะกับอัธยาศัย ของผู้ฟัง แต่ละประเภท ๒. แตกฉานในการย่อความ ให้!ต้ความลำศัญ และ ทันเวลา «. แตกฉานในการพูตโน้มน้าวให้สนใจ ต้วยคำคม และให้กระหายใคร่ติดตาม ต้วยคำทิงท้าย ๔. มี'ปฏิภาณใหว•พรบ ในการถามและตอบปัญหา ๒. ถ้าต้องการให้งานใหญ่ลำเร็จ ต้องรู้จักแปงงานเป็น ส่วนย่อย แล้วมอบงาน มอบอำนาจหน้าที่ ให้เหมาะสมตามความรู้ ความสามารถของผู้รับงาน และต้องระวังรักษาความยุติธรรมให้จงดี อย่ารวบงานไว้คนเดียว ๓. ผู้นำ ต้องฉลาดในการเก็บความลับด้วย เรื่องบางอย่าง บอกไม่ไต้ แม้แต่ลกเมีย
๗๐ นิทานชาดกเล่มหก อธิบายคำฟ้'\"พท์ (กาญจนักขันธชาดก อ่านว่า กาน-จะ-นัก-ขัน-ทะ-ชา-ดก) กาญจน ทองคำ ฟ้นธ ลำ , ท่อน โยคะ เหล็กสำหรับสวมหัวหมูเครื่องไถ สังโยชน์ ความติด, ความประกอบ, กิเลสอันเป็นเครื่องประกอบ, ธรรมเครื่องประกอบ กิเลสอันเป็นเครื่องผูกรัด 'พระคาดๆ'ประจำชาดก โย ปหฎเรน จิตฺเตน ปหฎรมนใส นใร ภาเวติ กุสลํ ธมฺมํ ใยคกฺเขมสส ปดติยา ปาปุเณ อนุปุพฺเพน สพพส\"ใยชนกขยํ นรชนใด มีจิตร่าเริงแล้ว มีใจเบิกบานแล้ว บำ เพ็ญธรรมเป็นกุศล เพื่อบรรลุความเกษมจากใยคะ นรชนนน พึงบรรลุความลิ้นลังใยชน์ทุกอย่างได้ ใดยลำดับ
วานรินทชาดก ซาดกว่าด้วยปฏิภาณในการรักษาตัวรอด ฟิดๆนทีดรสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ฟิๆเ.หดุทีดรฟิ ในสมัยพุทธกาล นับแต่เมื่อพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นด้นมา พระองค์มิได้ทรงอยู่นิ่งเฉย เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังที่ต่าง ๆ พร้อมด้วยพระอรหันต- สาวก ซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ๆ อยู่มิได้ขาด ยังความเลื่อมใส ศรัทธาไห้เกิดแก่มหาซนอย่างเหลือล้น ที'ตัดสินไจออกบวซ ตาม พระพุทธองค์ก็มาก ที่ตั้งไจประพฤติธรรมบำเพ็ญเพียรไนฐานะ อุบาสก อุบาสิกา ก็ยิ่งมากเหลือคณานับ
olla นิทานชาดกเล่มหก ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง พระเทวทัต^ตใจริษยาพระพุทธ- องค์ ฝังลึกอยู่ในกมลสันดานมาซานาน ได้พยายามก่อการม่อน ทำ ลายความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกซน ที่มีต่อสมเด็จ- พระผู้มีพระภาค ในทุกวิถีทางอย่างไม่ลดละ คราใดที่พระสงฆ์สาวกได้ทราบข่าวพระเทวทัตวางแผนร้าย ถึงขนลอบม่ลงพระซนม์พระพุทธองค์ ครานี้นพระภิกษุที่งหลาย ก็พากันสะดุ้งหวาดกสัว วิตกกังวลราวกับชีวิตจะสินเสียเอง ต่าง พากันกราบทูลให้ทรงระมัดระวังพระองค์ให้จงหนัก และยังอาสา ปัองกันพระพุทธองค์ ด้วยประการต่าง ๆ แม้ด้วยชีวิต พระบรมศาสดาผู้!ม'เคยสะทกสะท้านต่อมรณภัย คือ ความตาย มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กสับทรงปลอบโยนบรรดาพระภิกษุ ให้คลายวิตกกังวลอยู่เสมอ ๆ และไม่ทรงอนุญาตให้ผู้!ด แก้ข่าว หรือขัดขวางการกระทำของพระเทวท้ตด้วยประการใด ๆ ทงสิน ถึงกระนี้นก็ตาม พระสงฆ์สาวกส่วนหนึ่งซึ่งมีความห่วงใยใน พระพุทธองค์!ม่มีที่สินสุด ก็ยังอดมิไดีทีจะจับกลุ่มสนทนาปรับทุกข์ ถึงเรื่องทำนองนี้อีกในโรงธรรมสภา ณ พระเซตวันมหาวิหาร วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จผ่านมาไดียินเข้าพอดี ทรง เข้าพระทัย และชาบซึ้งในความจงรักภักดีของพระสงฆ์สาวกอยู่เสมอ จึงทรงแวะเข้าทักทายและปลอบโยนให้คลายความวิตกกังวล ทรง กส่าวยืนยันว่า
นิทานชาดกเล่มหก ๗๓ \"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบ้ดนี้เท่านนที่พระเทว- ท้ต ตะเกียกตะกายจะฆ่าเรา แม้ในกาลก่อนโน้น ก็เคยตะเกียกตะกาย เช่นนี้มาแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจกระท่าเหตแม้เพียงความสะดุ้ง ให้เกีคแก'เราเลย\" ตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จเลยไปประทับ ณ พุทธอาสน์ ท่ามกลาง สงฆ์ทงหลาย ทรงระลึกชาติแต่หนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่า วานรน'ตซาตก มีเนือความโดยละเอียดว่า เนื้อ'ฬาซๆดก ในอดีตกาล นานนับอสงไขยกัป สมัยเมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมปติ ณ กรุงพาราณสี ในครงนั้น มีวานรโทนตัวหนึง อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ใกล้แม่นี้าแห่งหนึ่ง เมื่อเจริญวัยเต็มที่ วานร ก็มีร่างกายใหญ่โตกำยำประมาณเท่าลูกมัาย่อม ๆ เรี่ยวแรงแข็งขัน ดังพญาช้างสาร ผิดกว่าวานรใด ๆ ทั้งสิ้น ในเวลาท่องเที่ยวหากิน อยู่ตามลำพังในแถบชายนำ ก็อาศัยความเฉลียว'ฉลาด และความ คล่องแคล่วว่องไว เสาะหาผลไม้รสเลิศนานาชนิด มาขบกินได้อย่าง อิ่มหนำลำราญทุกวัน แมนาสายที่ไหลผ่านป่าแห่งนี้เป็นแมนาที่กว้างใหญ่มาก มีเกาะกลางนํ้าอยู่เกาะหนึ่ง'อุดมด้วยผลไม้นานาชนิด ลัตวับกอื่นใด ในป่าไม่อาจช้ามไปกินได้ นอกจากพญาวานรดัวนีเท่านั้น
๗<sr นิทานชาดกเล่มหก แต่ถึงแม้พญาวานรจะมีกำลังมาก สามารถเผ่นโผนกระโจน ไปได้ในระยะไกล ๆ เพียงใด เมื่อต้องการไปที่เกาะกลางนํ้านั้น ก็ยังไม'ลามารถกระโจนข้ามไปถึงได้รวดเดียว ต้องหาที่พักเท้าลักแห่ง แล้วกระโจนต่อไปอีกทอดหนึ่ง จึงถึงเกาะได้ พญาวานรไข้ความฉลาดรอบคอบ และความช่างลังเกต เลือกได้โขดหินแผ่นราบโขดหนึ่ง ซึ่งโผล่อยู่กลางลำนำระหว่างเกาะ คะเนว่าได้ระยะพอดี ก็ไซโขดหินนั้นเป็นที่พักเท้ากระโจนข้ามไปหา ผลไม้รลเลิศที่เกาะนั้นกินเป็นประจำ ไนครั้งนั้นเอง ที่แม่นํ้าย่านนี้มีจระเข้ ๒ ตัวผัวเมีย อาศัย หากินอยู่ไกล้ๆเกาะ คอยตักจับลัตว์น้อยไหญ่ที่เผลอตัวชะล่าไจ ลงมาเพลินกินนํ้า เล่นนํ้า ตามชายผัง ไปเป็นอาหารอยู่เนือง ๆ คราวหนึ่งนางจระเข้เกิดแพ้ท้อง อารมณ์ขุ่นมัว อยากกินนั้น อยากกินนี่ลารพัด เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ก็อยากกินสิ่งโน้นเรื่อยไป วันหนึ่ง ขณะที่นอนหมอบอยู่ชายผัง นางก็เหลือบเห็นพญาวานร กระโจนข้ามแม่นำไปหากินที่เกาะเช่นเคย บุพกรรมไนชาติปางก่อน ได้ชักนำไท้นางอยากกินหัวไจวานรขึ้นมาทันที จนอดรนทนไม่ได้ เฝัารบเร้าอ้อนวอนกับลามีว่า \"พี่จ๋า 1^งอยากกินหัวใจของเจ้าลิงตัวนั้นเหลือเกิน พี่จับ มันมาไห้น้องหน่อยเถอะ ถ้าน้องไมไดกินหัวใจลิง น้องคงต้องตาย แน่ๆ สงสารน้องเถิดนะจ๊ะ\"
นิทานชาดกเล่มหก ๗๕: นางจระเข้เฝัารบเร้าอ้อนวอน ฟาดหัวฟาดหางเซ้าซี้อยู่ อย่างนั้น จนจระเข้ลามีนั้งรำคาญ ทงสงสาร ในที่สุดจึงรับปากว่า จะพยายามจับพญาวานรมาควักเอาหัวใจ มาให้นางกินใหัสมใจ e\\ 'iM y เห้ใด จากนั้น พญาจระเข้ก็ไปหลบซุกอยู่ชายฝังแม่นํ้า สังเกต ดูลู่ทางที่จะจับพญาวานรให้ได้ ครั้นเห็นความคล่องแคล่วว่องไว ของพญาวานรแล้วก็ซักท้อใจ ว่าคงจับไม่ได้ง่าย ๆ แต่เมื่อหวน คิดถึงอาการครํ่าครวญของนางจระเข้แล้ว ก็ไม่อาจเลิกล้มความตั้งใจ เสียกลางคัน เฝัาตรองหาอุบายอันแยบคายต่าง ๆ ในที่สุดก็คิดอุบาย ได้อย่างหนึ่ง จึงรีบดำเนินการตามแผนนั้นทันที ในตอนปายวันรุ่งขึ้น พญาจระเข้ก็แอบคลานขึ้นไปนอน หมอบนึ่งอยู่บนแผ่นหิน ซึ่งพญาวานรใข้เป็น่ที่พักเท้ากระโดด รอเวลาที่เหยื่อของตนจะกสับมาจากหากินในตอนเย่น จระเข้ร้ายนอนนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า \"...ประเดี๋ยวเพิ พอเจ้าวานรหน้าใง่น้นโดดผลุงลงมาบน หลังเรา เราจะสลัดมันลงนํ้า ตามขยํ้าฉีกเนื้อกินเสียใหอิ่มแปลทืเดียว แล้วค่อยเอาหัวใจมันไปฝากเมียเรา...\" ด้งนั้น แม้แสงแดดยามปายจะร้อนแรงเพียงใด พญาจระเข้ ก็อดทนหมอบนึ่งไม่กระดุกกระดิก ซุกหัวหางอย่างดี ด้วยเกรงว่า จะเป็นพิรุธให้พญาวานรสังเกตได้
๗๖ นิทานขาดกเล่มหก พอตกเย็น พญาวานรเที่ยวเก็บกินผลไม่'จนอิ่มหนำสำราญ ดีแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับทีอยู่ของตน ขณะเดินเลาะอยู่ริมฝังแม่นํ้า พลางเล็งมองไปที่โขดหินเพื่อประมาณกำลังกระโดดใหได้ระยะพอดี ด้วยความช่างลังเกตจึงเห็นว่า แผ่นหินนนแปลกตาไปกว่าทุกวัน แล้วเริ่มตรึกตรองพิจารณาว่า \"....ทำไมหนอ วันปีแผ่นหินจึงโผล่พน■นามๆกนัก และดู คล้ายกับว่าจะปีขนาดใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย ทัง้ๆที่•นาก็ไมได้ลดลง สักนิด.... ชะรอย จะปีจระเข้เล้าเล่■ห์สักตัว ขึน้มารอตักจับเราอยู่บน แผ่นหินทั้นเสียแล้ว\" คิดลงลัยด้งนีแล้วด้วยความไม่ประมาท พญาวานรเจ้าปัญญา ก็วางอุบายทดลอบพิรุธศัตรูทันที โดยแลร้งตะโกนเรึยกแผ่นหิน ด้วยเสียงอันดังว่า \"แผ่นหินเอ๊ย ๆๆ!\" ถึง ๓ ครั้ง แผ่นหินไม่มีชีวิตจะตอบได้อย่างไร แต่พญาวานรก็แลร้ง เรียกชำ ๆ อยู่อย่างนั้น ด้วยสำเนียงอันแลดงความด้นเคยเป็นอย่างดี พญาจระเขไดิยินแล้วก็เฉยอยู่เพราะลังเลใจว่า ตงแต่จำความ ได้ยังไม่เคยรู้เห็นว่าก้อนหินก้อนใดพูดได้เลย พญาวานรก็ลานอุบาย ต่อไป โดยแสร้งพูดดัดพ้อว่า \"แผ่นหินเอ๊ย....วันนี้เป็นอะไรไป เรียกแล้วจึงไม่ขานรับ เหปีอน■หฺกวัน\"
นิทานชาดทเลมหก ๗ค| เท่านีเอง พญาจระเข้ก็หลงกลเพราะความรู้และความช่าง สังเกตตัวมีน้อย หลงคิดเอาเองว่า พญาวานรกับแผ่นหินนี้ค^เคย พูดเล่นเจรจากันทุกวัน นี่เพราะตนมานอนทับเสีย แผ่นหินจึงพูดไมใด้ เห็นทีจะต้องขานรับแทนแผ่นหินเสียแล้ว คิดตังนี้แล้ว ก็พยายาม ตัดเสียงให็ผิดไปจากธรรมดา. ขานรับพญาวานรว่า \"ว่าไงหรือพ่อวานร....\" ในที่ลุด ความสับก็แตกเพราะความโง'เขลาเบาปัญญาของ พญาจระเข้แท้ๆ พญาวานรนั้นถึงแม้จะเดาไต้ว่า ศัตรูที่รอท่าอยู่ เป็นจระเข้ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงตะโกนย้อนถามกสับไปว่า \"เจ้าเป็นใคร...? มานอนขวางอยู่อย่างน ต้องการอะไรหรือ\" พญาจระเข้รู้ตัวว่าพลาดท่าตกหลุมพรางพญาวานรเข้า ให้แล้ว ก็เสียใจ เจ็บใจตัวเองยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะรู้ว่า ถึงอย่างไร ๆ พญาวานรก็ต้องอาศัยแผ่นหินนี้เป็นทาง ผ่านกสับที่เดิม อย่างไม่มีทางเลี่ยง จึงแสร้งพูดช่มฃู่แก้เก้อ เย้ยกสับ ไปว่า \"เจ้าวานรชะตาขาด เราเป็นจระเข้ กำ ลังคอยกินเนื้อหัวใจ เจ้าอยู่นื้แล้วไง....\" พญาวานรรู้ตัวว่าเข้าตาจน ไม่มีทางกสับทางอื่นนอกจาก ทางเดิม ซึ่งไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ๆ เจ้าจระเข้ตัวร้ายก็คงวนเวียน เฝัาโขดหิน คอยจ้องทำร้ายอย่ ไม่ยอมเลิกละแน่นอน
นิทานชาดกเล่มหก ๗๙ จึงวางอุบายเอาตัวรอด โดยแสร้งทรุดตัวลงนั่งกอดเข่า เจ่าจุกอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วทำเป็นตัดใจได้ ลุกขึ้นพูดกับจระเข้ด้วยท่าที ปลงตกว่า \"จระเข้เอ๋ย.... เราปลงตกแล้ว วันนี้เราจะทำบุญใหญ่ สละหัวใจให้ทำน ทำ นจงอ้าปากคอยงับเรานะ เราจะกระโดด เข้าไปหาท่านเดี๋ยวนี้แหละ\" พญาจระเข้ไม่รู้กลลวง คิดเอาจากทำทีก็หลงเชื่อว่า พญาวานรจะยอมสละชีวิตแก'ตนจริง ๆ จึงพาชื่อ อ้าปากคอยอยู่ ลืมเฉลียวใจนึกถึงธรรมชาติของตัวเองเสียสนิทว่า เมื่อปากอ้า ตาก็จะปีดสนิทโดยอัตโนมัติ ส่วนพญาวานรรู้หสักธรรมชาตินี้ดี เพราะมีนิสัยช่างสังเกต เคยแอบดูจระเข้นอนอ้าปากเกยหาดอยู่ปอย ๆ ตังนั่น ทันทีที่พญาจระเข้อ้าปาก ก็รีบเผ่นลิ่วลงเหยียบหัว จระเข้!ด้อย่างเหมาะเจาะแล้วถีบตัวข้ามต่อไปยังฝังตรงข้ามในชั่ว พริบตา รวดเร็วราวสายฟ้'าแลบ พญาจระเข้รู้สึกถึงแรงกระแทกนั่นก็ตกใจ หุบปาก ลืมตา ขึนทันทีเหมีอนกัน แต่ก็ข้าไป เพราะพญาวานรนั่งอยู่บนฝังอีก ด้านหนึ่งเลียแล้ว มันเสียใจและอับอายที่หลงกลพญาวานร แต่แล้ว ก็หวนคิดอัศจรรย์ว่า
c:ro นทานชาดกเลมหก \"....พญาวานรตัวนี้ มีสติป้ญญาฉลาดหลักแหลม แกล้วกล้า เด็ดเดี่ยวจริงหนอ ชะรอยจะเป็นผู้ทรงคุณธรรมลำเลิศ อันสามารถ ครอบงำศัตรูไตัเป็นแน่แล้' เมื่อคิดรำพึงดังนี้แล้ว ความแค้นเคืองที่เสียรู้ และความเสียใจ ที่เกิดขึ้นเมื่อลักครู่ก็พลันเหือดหายไปสิน กลับนึกรักในนำใจ พญาวานร แล้วกล่าวสรรเสริญด้วยความจริงใจว่า \"พญาวานรผู้เจริญ ธรรมะ <r ประการเหล่ามีคือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ มีแก'บุคคลใด เหมีอนมีแก่ท่าน บุคคลนี้น ย่อมพ้นศัตรูได้ ศั ท่านมี สัจจะ คือความจริงใจ เมื่อพูดว่าอย่างไรก็ท่า อย่างนี้น ท่าอย่างไรก็พูดอย่างนี้นไมโป้ปดมดเท็จ ท่านได้กระโดด เข้ามาหาเราจริง ๆ ไมได้กล่าวเท็จเลย แต่เพราะความชักข้ามีดบอด ของเราเอง จึงจับท่านไม่ได้ ท่านมี ธรรมะ คือความเป็นผูมีวิจารญ่าณสั่งสมมามาก s จนรู้ว่าเมื่อทำอย่างนี้แล้ว จะด้องมีผลอย่างนี้นไม่มีพลาด ท่านมี ธิติ คือมีความขยันหมั่นเพียรไม่ล้อถอย แม้ยัง มองไม่เห็นทางสำเร็จ ก็ไม่ทอดอาลัยตายอยาก ยังตงอยู่ในความ เพียรไม่ลดละ ท่านมี จาคะ คือกล้าเสี่ยงสละชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อให้งาน สำเร็จ
นิทานชาดกเล่มหก หากใครปีคุณธรรมครบ <r ประการดังนี้ ศัตรูแม้จะยิ่งใหญ่ เพียงใด ก็ไม่อาจครอบงำทำอันตรายใดัเลย\" พญาจระเข้กล่าวสรรเสริญพญาวานรแล้ว ก็คลานลงนํ้า ดำ ดิ่งไปยังที'อยู่ของตน่ ฝ่ายพญาวานรครั้นขึ้นฝังได้แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็ท่องเทียวหากินอยู่ในเฉพาะป่านั้น ไม'ยอมข้ามไปที'เกาะกลางนํ้า อีกเลย จนตลอดอายุขัย 'ประรุมซๆดก เมื่อพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ทรงแสดง วานรนทชาดก จบแล้ว ทรงประชุมซาดกว่า ฬญาจระเฟ้ ในครังนัน ได้มาเป็นพระเทวทัต นารจระเช ได้มาเป็นนางจิญจมาณวิกา 'พญาวานร ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากชาดก ๑. สิ่งที่คนเราต้องพยายามอีเกไหได้คือ ความช่างสังเกต เพราะคนช่างสังเกต มักเถึงความผิดปกติไดํโดยง่าย จึงสามารท ป่องกันเหตุร้ายได้ทันท'วงทีเสมอ แม้จะตกอยู่ในอันตราย ก็ยัง สามารถเอาตัวรอดได้ วิธีผิกตนให้เป็นคนช่างสังเกต อาจทำได้ง่าย ๆ โดยการ หมันอี]กสมาธิเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน เพราะจะถูกบังคับใหอีเท สังเกต ภาวะจิตใจของตนเอง ใดยอัตโนมิติ
(^๒ นิทานชาดกเล่มหก ๒. การนั่งสมาธิให้1ด้ผล ต้องปีกตัวใ'ฒคุณธรรม sr ประการ ต้วย คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ \"เวลานั่ง ต้องนั่ง เป็นสัจจะ นั่งธรรมะ ต้วยปัญญา หาเหตุผล ธิติ นั่งเรื่อยไป ไม่ผ่อนปรน นั่งแม้จน ทอดชีวา เป็นจาคะ\" อรบายตั'M'ฬ์ (วานรินทชาดก อ่านว่า วา-นะ-ริน-ทะ-ชา-ดก) วานรนท์ พญาวานร, พญาลิง <ฬ9ะคาดา'ประจำยาดก ยสฺเสเต จตุโร ธมมา วานรินท ยถา ตว สจฺจํ ธมโม ธิติ จาโค ทิฏจํ โส อติวตตติ ธรรม <r ประการนี้ คือ สัจจะ ธัมมะ ธิติ และจาคะ มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่'เท่าน บุคคลนั่นย่อม'ต้นตัตรูไปไต้
ตโยธัมมซาดก ชาดกว่าผ้มีธรรม ๓ ประการ สตๆนทีดรสซาดก เวฬุวันมหาวิหาร แคว้นมคธ จิ สาเหตุทีตรสซาดก ครงหนึ่งในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับ ณ เวฬุวันมหาวิหาร พระพุทธองค์ได้สดับคำปรารภของ บรรดาพระภิกษุสงฆ์ ถึงการที่พระเทวทัตพยายามจองล้างจองผลาญ พระพุทธองค์ ด้วยประการต่าง ๆ อยู่อย่างไม่ลดละ
<r นิทานชาดกเล่มหก พระลัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาจะปลอบใจพ^ะภิกษุ ทั้งหลาย ให้คลายความวิตกกังวลห่วงใยในพระองค์ และเลิกใส่ใจ ในการกระทำของพระเทวทัต เพราะพระเทวทัตมิได้ตามจองล้าง จองผลาญพระองค์ เฉพาะในชาตินี้เท่านน แมิในชาติก่อน ๆ ก็ได้ พยายามทำร้ายพระองค์มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เคยทำได้สำเร็จเลย สักครัง พระบรมศาลดาจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ อันเป็นเครื่องหยั่งรู้ภพชาติในอดีต แล้วนำ ตโยธัมมชาดก มาตรัสเล่าแก่พระภิกษุสงฆ์ ดังนี้ เนอทๆชาดก ครั้งหนึ่งในอดีตกาล ณ ป่าหิมพานต์ มีลิงจ่าฝูงตัวหนึ่ง มีนิสัยใจคอโหดเหี้ยม ขี้หวาดระแวง กสัวลิงตัวอื่นจะมาแย่งตำแหน่ง จ่าฝูงไปจากตน แม้แต่ลูกชองมันเอง มันก็ยังไม่ไว้ใจ ตังนน หาก นางลิงตัวใดมีครรภ์แก่ คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้มันจะรื่เข้าชมกัด อวัยวะเพศเลียให้ชาด ลูกลิงบางตัวก็ถึงตาย บางตัวก็พิการ ไม่สามารถลืบพันธ์ หรือทั้งตัวเป็นใหญ่เสมอมันได้เลย วันหนึ่ง นางลิงตัวหนึ่งรูสึกว่าตัวเองทั้งท้อง นางเกรงว่า หากลูกในท้องเป็นตัวผู้ ลูกก็จะถูกทำร้ายถึงตายได้ นางบังเกิด ความรักความห่วงใยลูกชองนางอย่างท่วมท้น ด้วยความรักลูก นางจึงตัดลินใจหลบหนีออกจากฝูง ข้ามไปอยู่ที่ภูเชาอีกลูกหนึ่ง ตามลำพัง
นิทานชาดกเล่มหก ๘๕ ต่อมาไม'นาน นางลิงก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ นางรักใคร่ ทะนุถนอมลูกของนางยิ่งนัก นางเฝัาเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกอย่างดี จนกระทั่งลูกลิงเจริญวัยขึ้นตามลำดับ มีร่างกายลํ่าสันแข็งแรง มีความเฉลียวฉลาดมาก ถึงแม้จะอยู่กันตามลำพังแม่ลูกไม่ปะปน กับลิงฝูงใด ลูกลิงก็รู้ตัวว่า ตนควรจะมีพ่อเช่นเดียวกับสัตว์อื่น ๆ วันหนึ่ง ลูกลิงจึงเข้าไปรบเร้าถามแม่ลิงว่า \"แม่จ๋า พวกสัตว์อื่นๆเขามีทั้งแม่ทั้งพ่อ แด'ฉันไม่เห็น มีพ่อเลย พ่อของฉันอยู่ที่ไหนจ๊ะ\" แมลงจึงเล่าเรื่องราวแต่หนหลังทั่งหมดให้ลูกลิงพัง พร้อมกับ กล่าวยํ้าว่า \"พ่อของลูกมีจิตใจเหี้ยมโหด และขี้ระแวงมาก ระแวง กระทั้งลูกของตัว เพื่อความปลอดภัยของลูก ลูกอย่าไปหาพ่อเลย นะจ่I แต่ลูกลิงไม่นึกหวั่นเกรงอันตรายจากพ่อของตนเลย จึงเฝัา อ้อนวอน ขอให้แม่ลิงพาตนกลับฝูงเดิมเพื่อพบพ่อ \"แม่จ๋า ฉันอยากพบพ่อจ๊ะ พ่อคงไม่ทำอะไรฉันหรอก ฉันเห็นพ่อสัตว์อื่น ๆ เขาก็รักลูกของเขา พ่อคงไม่ทำรัายฉัน หรอกจ๊ะ\"
^\\)^V}
นิทานชาดกเล่มนก ๘ 6ll แต่แมลงคัดค้านว่า \"แม่รู้จักพ่อของเจ้าดีนะลูก ลูกอย่าไปหาพ่อเลย เพราะ ถ้าลูกเป็นอะไรลงไป แม่คงขาดใจตายแน่ ๆ\" ลูกลิงก็ยังคงอ้อนวอนต่อไปว่า \"แม่จ้า เดี๋ยวนฉันเติบโตเป็นลิงหนุ่มแล้ว ถ้าหากพ่อจะ ทำ อะไรฉัน ฉันคงเอาตัวรอดได้หรอกนะจ๊ะแม่\" แม่ลิงฟังลูกรบเร้าอ้อนวอน ประกอบกับเหตุผลต่าง ๆ ที่ ยกขึ้นมาอ้าง นางก็ใจอ่อน ยอมพาลูกกลับไปหาพ่อลิง เมื่อลิงจ่าฝูงเห็นลูกของตนเป็นตัวผู้ ก็ขุ่นใจทันที คิดในใจว่า \"....เจ้าด้วน แหม....ตัวมันโตเสียด้วยซี เมื่อมันโตขึ้น มันจะ ต้องแย่งตำแหน่งจ่าฝูงไปจากเราแน่นอน รูปร่างของมันก็ดูลํ่าสัน แข็งแรง เราจะกำจัดมันง่ายๆ เหมือนลูกด้วอึ่นๆคงไม่ไต้...\" พ่อลิงจึงแสร้งทำอุบาย แสดงอาการดีอกดีใจ เดินเข้าไปใกล้ แล้วกล่าวทักทายลูกด้วยถ้อยคำอ้นอ่อนหวานว่า \"ลูกเอ๋ย... เจ้าไปอยู่ที่ไหนเสียตงนาน เข้ามาให้พ่อกอด ใหชึ่นใจหน่อยเถอะ\" ว่าแล้วพ่อลิงก็ดีงตัวลูกเข้ามากอดไว้แนบอกอย่างถนัดถนี่ มันรวบรวมพละกำลังทั้งหมดบีบรัดลูกลิงจนแน่น หมายจะให้ กระดูกหักแหลกละเอียดทั้งตัว ตายคาวงแขนของมันในบัดนั้น
นิทานชาดกเล่มหก ลูกลิงรูลึกผิดปกติในแรงกอดรัดของผู้เป็นพ่อ ประกอบกับ เคยได้รับคำบอกเล่าถึงความเหี้ยมโหดของพ่อมาก่อนแล้ว จึงเข้าใจ เจตนาในการกอดนั้นทันที แต่เนื่องจากยังไม'เคยชาบชึ้งในความ สัมพันธ์ฉันพ่อลูกมาก่อนเลย อีกนั้งยังได้รับคำบอกเล่าเรื่องของพ่อ จากแม่แต่ในทางร้าย ๆ ดังนั้น แทนที่ลูกลิงจะดิ้นรนออกจากวงรัด ของพ่อ มันกลับกอดรัดตอบ ด้วยพละกำลังอันมหาศาลยิ่งกว่า พ่อลิงถึงกับเจ็บปวดรวดร้าวใปนั้งตัว ราวกับกระดูกจะแตกหัก ไปเสียเดี๋ยวนั้น มันเกิดสังหรณ์ใจว่า ต่อไปลูกลิงตัวนีจะด้องฆ่า มันแน่ มันจึงรีบคลายวงแขนออก เปลี่ยนแผนใหม่ทันที โดยกล่าว แก่ลูกอย่างชื่นชมว่า \"ลูกรัก พ่อทดลองกำลังของเจ้าดูแล้ว เห็นว่ากำลังวังชา เจ้าแข็งแรงดีเหลือเกิน สมควรจะได้รับตำแหปงจ่าฝูงแทนพ่อ เดี๋ยวนพ่อก็แก'แล้ว จะได้ลักผ่อนเลียที\" พ่อลิงสรรเสริญเยินยอลูกของตนอีกมากมาย พร้อมทั้ง กล่าวว่า \"พ่อจะทำพิธีด้อนรับเจ้าให้อย่างเอิกเกริก และจะแต่งตง ให้เจ้าเป็นหัวหน้าคุมฝูงลิงเลียเลยในวันปี แต่การทีเจ้าจะคุมบริวาร ได้'นั้น เจ้าจะด้องไปเก็บดอกกุมุท ๓ ดอก ดอกอุบล ๓ ดอก และ ป'ทุมอีก ๕ ดอก ที่กำ ลังบานจากสระใหญ่ข้างหน้าโน้น มาใข้ใน พิธีให้ครบเลียกํอน\"
นิทานชาดกเล่มหก ๘๙ ลูกลิงรับคำ แล้วรีบไปที่สระนํ้านั้นทันที แต่ด้วยนิสัยช่าง สังเกต จึงไม่ด่วนผลีผลามลงไปเก็บดอกบัวในสระ ลูกลิงเดินสำรวจ ดูรอบ ๆ ขอบสระก่อน ก็เห็นว่า ที่บริเวณรอบ ๆสระนั้น มีแต่ รอยเท้าสัตว์เดินลงไปในสระ ไม่มีรอยเดินขึ้นเลย จึงคิดว่า ในสระนี้ ด้องมีผีเสื้อนํ้าอาศัยอยู่แน่นอน ลูกลิงคิดว่า \"พ่อของเราฆ่าเราไม่ได้จงลวงเรามาไหผีเสื้อนํ้าฆ่า เรา จะไม่ลงไปในสระ ให้เป็นเหยื่อของผีเสื้อนํ้าหรอก แต่เราก็จะเก็บ ดอกบัวให้ได้!!!...\" ลูกลิงคิดพลางเดินพลาง เพื่อหาส่วนที่แคบที่สุดของสระ เมื่อพบแล้ว ลูกลิงกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ แล้วเหวี่ยงตัวข้ามสระ ไปอีกฝังหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ฉวยดอกบัวในสระติดมีอไปอีก ๒ ดอกด้วย ลูกลิงเก็บดอกบัวด้วยวิธีนี้ จนกระทั่งได้ดอกบัวกองเต็มไป ทั่งสองฝัง จากนั้นก็รวบรวมมากองรวมไว้ด้วยกัน ฝ่ายผีเสื้อนํ้าซึ่งอาศัยอยู่ในสระ เห็นความฉลาดของลูกลิง ก็นึกสรรเสริญอยู่ในใจ และคิดต่อไปว่า \"....^สติปัญญาฉลาดหลักแหลม ดังอัจฉริยบุรุษเซ่นน เรายังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในชีวิต น่าที่จะขนไปสนทนาวิสาสะ ด้วยลักครั้ง...\" คิดแล้วจึงโผล่ขึ้นจากสระนํ้า ตรงเข้าไปหาลูกลิงแล้วกล่าว สรรเสริญว่า
๙๐ นิทานชาดกเล่มหก \"ท่านผู้เจริญ ในโลกนี้บุคคลใดมีธรรม_ ๓ ประการ คือ ทัก!!ยะ ความเพียรอันมั่นคง สุริยะ ความกล้าหาญ และ ป้ญญๆ คือ ความฉลาดรอบุรูในอุบุาย บุคคลผู้นี้น ย่อมล่วงพ้นศัตรูได้ ชะรอยท่านจะมีธรรมเหล่านี้อยู่อย่างครบุถ้วน น่าสรรเสริญจริง ๆ\" ผีเสื้อนํ้ากล่าวชมเชยลูกลิง แล้วถามต่อไปว่า \"ท่านวานรผู้เป็นใหญ่ ท่านก็บุดอกบัวเหล่านี้ไปทำไมหรือ?\" \"พ่อของเราจะแต่งตงเราเป็นจ่าฝูงลิงทั้งหลาย จึงให้เรา มาเก็บุดอกบัวนี้ไป\" ลูกลิงตอบ พร้อมกับก้มลงจะเก็บดอกบัว \"เดี๋ยวก่อนท่าน!!\" ผีเสื้อนํ้าร้องห้าม \"ผู้มีปัญญาอย่างท่าน อย่าด้องหอบุดอกบัวเหล่านี้เองเลย ข้าจะช่วยหอบุไปล่งให้' ว่าแล้วผีเสื้อนํ้าก็หอบดอกบัวตามหลังลูกลิงไป ลิงจ่าฝูงผู้เป็นพ่อ เห็นลูกลิงเดินมาแต่ไกล ซํ้ายังมีผีเสื้อนํ้า หอบดอกบัวตามหลังมาอีกด้วย มันตกใจมาก คิดว่า ลูกลิงคงจะ ชักนำผีเสื้อนํ้ามาฆ่าตน ด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด มันถึงกับ หัวใ'!แตกสลายสื้นขีวิตลงในทันทีนั้นเอง บรรดาลิงที่เป็นบริวารนั้งหมด เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงต่างพากันชื่นชมในคุณสมบ้ติอันเลิศลํ้าของลูกลิง แล้วพร้อม ใจกันยกย่อง แต่งตั้งให้เป็นจ่าฝูงของพวกตนสืบต่อไป
นิทานชาดกเล่มหก ๙๑ 'ประชุมซาดก พระสัมมาส้มพุทธเจ้า ทรงแสดง ตโยธัมมชาดก จบแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า สิงจ่าฝูงผู้เป็นพ่อ ได้มาเป็นพระเทวทัต อกสิง ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคดจากชาดก ๑. วิสัยแม่โดยทั่วไป ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ย่อมรักลูกยิ่งกว่า ชีวิต เพียงเริ่มรู้ว่าลูกถือกำเนิดในครรภ์ แมไม'ทันได้เห็นหน้า ก็ตงใจ ทะนถนอมด้วยความรัก ดังนั้น ผู้เป็นลูกทุกคนจึงควรคิดถืงบุญคุณของแม่ให้มาก และคิดตอบแทนคุณท่านให้เต็มที่ อย่ารอเวลา ถืงแม้เรายังเป็นเด็ก ไม่ลามารถทดแทนบุญคุณท่านได้เต็มที่ อย่างน้อยที่สุด ก็อย่าทำ ความเสือมเสียให้ท่านซํ้าใจ ๒. ในยุคใดที่โลกขาดคุณธรรมความดี ขาดความกดัญผู- กตเวทีโดยสิ้นเชิงแล้ว ในยุคนั้น คนจะมีลภาพไม่ต่างกับสัตว์- เดียรัจฉาน ในที่สุดก็เกิดลงครามฆ่าล้างโลกกัน ชาดกเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ลอนใจให้ตระหนักถืงคุณธรรม ควๆมกดัญผกดเวที มนุษย์ลมัยนีมีบางพวกเริ่มเข่นฆ่ากัน ในระหว่าง พ่อ แม่ ลูก จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมเป็นสัญญาณ เตือนให้ระลึกว่า ประวิตืศาลตร์โลกอาจซํ้ารอยได้
๙๒ นิทานชาดกเล่มหก ๓. คนที่มีคุณธรรมลํ้าเลิศ คือ มีความเพียร ขยันขันแข็ง มีความกล้าหาญ และมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม ย่อมหาเพื่อนได้ ไม่ยาก แม้คนที่เคยเป็นศัตรู ก็อยากกลับใจมาเป็นมิตร <r. คนอันธพาล เป็นนักเลง เกเรไปเรื่อยๆ ถึงแม่โซคดี ไม่มีใครทำร้าย ลักวันหนึ่งก็ต้องตายเพราะเหลี่ยมคมซองตนเอง ด้งสุภาษิตที่ว่า \"ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว\" อรบายสัฬท์ (ตใยธัมมชาดก อ่านว่า m-ใย-ทำ-มะ-ชา-ดก) ดโฃ สาม ๆมุVI อุบอ บัวซาว 'ปทุม บว, บวเผอน บัวหลวง พระคาดาประจำชาดก ยส>สเต จ ตใย ธมมา วานรินุท ทกฃิยํ สูริยํ ปณฺณา ทิฎ ใส อติวตฺตติ ธรรม ๓ ประการเหล่านี้คือ ทํกขิยะ สุริยะ ปัญญา มีแก่บุคคลผู้ใด เหมีอนมีแก่ท่าน บุคคลผู้นั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูใต้
เภริวาทชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่ร'จักประมาณ สถๆนทีดรสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สๆเทดุทีตรัสชาดก ครั้งหนึ่ง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ เซตวัน- มหาวิหาร ทรงทราบว่าพระภิกษุฐปหนึ่ง เป็นคนว่ายากสอนยาก จึงตรัสเรียกพระภิกษุรปนั้นมาซักถาม ครั้นภิกษุรูปนนยอมรับแล้ว พระบรมศาสดาจึงทรงตำหนิ แล้วทรงระลึกซาติหนหสังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงนำ เภเวาทซาดก มาตรัสเล่าดังนี้
๙(T นิทานชาดกเล่มหก เนี้อหๆซๆดก ในอดีต สมัยเมื่อพระเจาพรหมทัดครองราชลมบ้ติกรุง- พาราณสี ทรงโปรดให้มีงานนักขัตฤกษ์เป็นประจำทุกๆปี ครั้งหนึ่ง สองพ่อลูกนักตีกลอง ได้ซวนกันไปแสดงการตีกลองในงานนีด้วย ปีไม้ลายมีอการตีกลองของพ่อลูกทั้งสอง ครึกครั้น เป็นที่ ถูกอกถูกใจของผู้ซมมาก นอกจากนี เขาทั้งลองยังแสดงท่าร่ายรำ ประกอบการตีกลอง ได้แปลกตา ประทับใจ ไม่ว่าจังหวะกลอง จะเป็นเช่นไรก็ตาม ดังนั้นทุกครั้งที่สิ้นเสียงกลอง ผู้ซมจะปรบมีอ กันกราวใหญ่ พร้อม ๆ กับเงินเหรึยญจำนวนมากมายที่มอบไห้เขา ลองพ่อลูก ทั้งลอง แสดงการตีกลองไปตลอดคืน จนกระทั้งงานเลิก ก็ละพายกลองและถุงย่ามใบใหญ่ที่ไส่เงินกลับบ้าน ลูกขายวัยรุ่น ยังไม่หายครั้มอกครั้มใจ จึงรัวกลองตีกระหนึ่ามาตามทางด้วยความ คะนองมีอ หนทางกลับบ้านของลองพ่อลูก เป็นทางเปลี่ยว ด้องเดิน ลัดป่าผ่านเข้าไปในดงโจร ไม'มีทางหลีกเสียง พ่อจึงเตีอนลูกว่า \"เมื่อเจ้าอยากตีกลองก็ตีไปเถิด พ่อไม่ห้าม แต่ให้เลือกตี แต่จังหวะเพลงที่ใปีนขบวนพิธี และตีเป็นระยะ ๆ อย่าตีกระหนา พรํ่าเพรื่อ พวกโจรจะได้หลงเข้าใจว่ากำลังมีเจ้านาย หรือคนใหญ่ คนโต เดินทางฝานมา จะได้รืบหปีไปเลืยไกล ๆ\"
๙๖ นิทานชาดกเล่มหก ลูกชายไสัยินพ่อพูดห้ามปรามแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อฟัง กลับพูด อวดดีว่า \"พ่ออย่ากลัวไปหน่อยเลย ฉันจะกระหนํ่ากลองให้พวกมัน เตลิดหนีไปทั้งหมดทีเดียว\" ว่าแล้วก็กระหนาตีกลองต่อไป แต่เนื่องจากยังเกรงใจพ่อ อยู่บ้าง ในคราวแรกจึงตีกลองในจังหวะทีพ่อบอก พวกโจรในย่านนื่น ไดียินเสียงกลองในจังหวะที่ใช้สำหรับ ตีประโคมเวลาเจ้านายเดินทางก็ตกใจ กลัวเจ้าหน้าทีบ้านเมืองที ตามมาในขบวน จะมองเห็นพวกตน จึงซ่อนตัวอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้า โผล่หน้าออกมา แต่ครั้นเวลาผ่านไปลักครู่ ลูกชายเสีกเบื่อหน่ายจังหวะกลอง ที่ซํ้า ๆ อย่างนั้น จึงพลิกแพลงตีจังหวะอื่น ๆ ทีสนุกสนาน ระทึกใจ เสียงกสองตังลั่นไปทั่วป่า ไม่มืเว้นระยะเลย พวกโจรชุ่มฟังอยู่ ไดียินเสียงกลองจังหวะโลดโผนเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาอย่างนั้นก็เฉลียวใจ คิดว่าคงจะไม่ใซ่กลองในขบวน เกียรติยศของเจ้านายเสียแล้ว จึงได้สะกดรอยตามดู ครั้นเห็นมืเพียง สองพ่อลูกเดินอยู่ในป่าตามสำพัง โดยมืลูกชายตีกลองเล่นอยู่ก็โกรธ จึงพากันวิ่งกรูเช้ามารุมทุบตีสองพ่อลูกเสียสะบักสะบอม ฐานที่ หลอกให้หลงเช้าใจผิด แล้วฉวยเอาถุงย่ามใส่เงิน และทรัพย์สิน ติดตัวไปจนหมดเสียอีกด้วย
นทานชาดกเล่มหก <3^ เมือพวกโจรกลับไปหมดแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ค่อย ๆ พยุงร่างกาย ที่บอบชํ้า คลานเข้าไปหาลูกชึ่งมืสภาพเช่นเดียวกัน แล้วกล่าวสั่งสอน ด้วยเลียอันสั่นเครือกระท่อนกระแท่นว่า \"กลองนันตีดีๆ ก็ปีประโยชน์ แต่ไม่ควรดีกระหนาไม่หยุด หย่อนเช่นนื้ เพราะถ้าดีพรํ่ๆเพรื่อคึกคะนองเกินไป ก็จะก่อให้เกิด เรืองเลวร้าย เงินทองวอดวาย เกือบถึงตายอย่างวันนี้\" แล้วพากันซมชานกลับบ้านไปด้วยความยากลำบากแสนสาหัส บระชุมชาดก เมื่อพระลัมมาลัมพุทธเจ้าตรัส เภเวาทชาดก จบแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดูกชาย ในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้ว่ายาก บดา ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากชาดก ๑. คำ ตักเตือนลังสอนของผู้ใหญ่ ย่อมมืคุณค่าควรรับพ่■ง เพราะผู้ใหญ่ผ่านโลกมามาก ย่อมมองเห็นการณ!กล คาดคะเน อะไรมักไม่พลาด ผู้!หญ่ทีดี ๆ มืคุณธรรม ย่อมชักนำเราไปลู่ความ สำ เร็จ ๒. การทำอะไรตามใจตัวเอง ทำ ตามความคึกคะนอง ไม่ร'จ้กประมาณ ไม่คำนึงถึงกาลเทศะ ย่อมเกิดโทษแน่นอน
๙๘ นิทานชาดกเล่มหก อfiบาย(เ^ฬท์ (เภ?วาทชาดก อ่านว่า เพ-ริ-วา-ทะ-ชา-ดก) เภเวาท ผู้ประโคมกลอง, คนตีกลอง ทระดาดา'ประจำยาดก่ ธเม ธเม นาติธเม อตีธนฺตํ หิ ปาปกํ ธนฺเตน หิ สตํ ลทุธํ อตีธนฺเตน นาลิตํ ควรตีกลอง ควรตีกลอง แต่ไม่ควรตีกระหนาเกินไป การตีกลองกระหนาไปชั่วแท้ๆ ตีกลองได้ทรัพย์มา กลับตีกระหนาเสียจนทรัพย์สินที่ได้วอดวายหมด
ส์งฃธมนซาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่ร้จักประมาณ สทๆนทีดรสิฃๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ดๆเดดุทีดรดซๆดก ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาประทับ ณ เซตวัน- มหาวิหาร ได้ทรงทราบว่ามีพระภิกษุรปหนึ่ง มีนิสัยดือรั้นไม่อย่ใน จขิ ข โอวาทของพระเถระผู้Iหญ' และไม่สนใจรับฟังคำตักเตือนของเพื่อน พระภิกษุด้วยกัน ประพฤติตนเป็นที่เบื่อหน่าย เอือมระอาแก่เพื่อน ภิกษุทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเรียกพระภิกษุรูปนนมา เมื่อ ทรงชักถามได้ความแล้ว จึงทรงตำหนิ แล้วทรงระลึกซาติด้วย บุพเพนิวาสาพุสติญาณ ถีงภพในอดืตของพระภิกษุรูปนน ทรงชี้โทษ ของการเป็นคนว่ายากสอนยาก ที่พระภิกษุนนเคยได้รับในซาติก่อน โดยตรัสว่า ส์งชรมนชาดก ตังนี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114