อณุ หภมู กิ บั การติดหวั ของมันฝร่งั มันฝรั่ง แนวโนม้ การเปลี่ยนแปลงอณุ หภูมแิ ละผลกระทบต่อการติดหวั จำ� นวนวนั ปี (พ.ศ.) ซห2 ่ึง2ปน1ลไ 1มม ้าลงใอแีเนเ่จอูกปงหนางอใศน็มนกศวนาาตเโเาาเนดดะซเน้คโสซือม้ิมลดไตลใมนเปทเนใยพซมเนตมซ่สีใอีย่มิันสนอ่อกียานสขฝภชนมกรสาน้ึจว่ราาาาาคะงง่ัพครรคมตซยมปถมอตัน4ึ่งังแีาปลอ0ฝมชผกนจากูว่ลรีผันาจำ�วงมปกูั่งลศผจนโเันจไขีวนทจะววดะ้าลฝไ้มนะนำ�ต้งไมารรใมผขวหทห้ัง่ไั่้องนึ้ัน่ลลดแน่เีม้อนหงๆทผผ้ตา้ีกนัขหมล่มีลน้ึต่ตฝลจวัาิตีอผเุล่อระ�ำงรุณนลาไั่สนงๆื่อป้อิตคไหวมยมยมเนแภใๆล่ลนลถวตมู ยงงกนัึงิสห่หเามทพงูลวัรกก่มีรงัปราว(ีอจลหะาา่ ณุาอคูกวัก2าหจมมก1ะภ5นั ามตมู0อฝศขี่อิสงรรนปไศงูั่ง้อปากาจีขนดหเ้าวะซเเาง่านกลลก้อนิก็เซย)ยี ส พน้ื ทศ่ี กึ ษา อำ� เภอสนั ทราย จังหวดั เชียงใหม่ (ละตจิ ูด: 19, ลองตจิ ดู : 99) เงอื่ นไขสภาพแวดลอ้ มทีส่ ำ� คัญ ถา้ อุณหภมู สิ งู กวา่ 21 ๐C จะมีการเจริญเตบิ โตทาง ลำ� ต้นมาก ตดิ หัวน้อยลง (กรมส่งเสริมการเกษตร, http://3w.doae.go.th/webboard/viewtopic.php? p=612&sid=d6ce88092d12b485bcc4ec8d2b22 80d0) วธิ กี ารวิเคราะห์ • วิเคราะห์ตลอดชว่ งเวลาการผลิต (4 เดอื น) ตุลาคม-มกราคม พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ธันวาคม-มนี าคม มกราคม-เมษายน • จ�ำนวนวนั ทอ่ี ณุ หภมู เิ ฉลยี่ รายวัน สงู กวา่ 21 ๐C 45
อุณหภูมกิ ับการใหผ้ ลผลิตของข้าว ขา้ ว แนวโนม้ การเปล่ียนแปลงอณุ หภมู แิ ละผลกระทบตอ่ ผลผลติ จ�ำนวนวนั ปี (พ.ศ.) ใเหเซขรผ้ตลา้ ื่อแลเุลง ยซในผหานๆียควลนอสโมติา้นโนจดเขม้ะปาซา้ยเคเง่ึ็นพวพเโตเฉลดตมิ่ปใิม่ ผนพดยน้ขน็ขลอลา้นึใ้นึไชนะปผนงว่เใชกลางโนว่ดจคนิเิตองวำ�ยตกขลีกนม3า้วาวจว0า่ีผท9น(ำ� ล0ี่ขน1วนปา้ต0าันวีขวปป่อทน้าอวีขคี)งวีอ่อันา้ วหนัณุกมงานทหซดแีมหา้ึ่ง่ีมนอนสภอีอก้าวมมูมาณุโนจจบีิสนว้อำ�หจนัูงรูม้ นยสะณภทลสวกดุมู่ีอ์ขดน่งวใิสาอลนผวา่ กงูงงนัเลเาลด5กทศะอื ินี่ออรวนุณ้ออนั ต3งนห2ุลเแเรภกาตณอูมคนิ ่งใูขสิมนศอูง3จอางส2ะเกีขเุดซพา้อลใ4วนม่ิงเ0ซศขเดยี้ึนาปือสีนมี พ้ืนท่ีศกึ ษา อ�ำเภอแมแ่ ตง จังหวัดเชียงใหม่ (ละตจิ ดู : 19.2, ลองตจิ ูด: 98.8) เง่ือนไขสภาพแวดลอ้ มทสี่ ำ� คญั - หากอุณหภมู สิ ูงสุดเกิน 32 ๐C เปน็ ต้นไป ความ สมบรู ณ์ของละอองเรณขู องขา้ วจะลดลง - ถ้าอณุ หภูมิสูงสุดมากกวา่ 35 ๐C เปน็ เวลา 1 ชม. เปน็ ตน้ ไป ละอองเรณขู องเกสรตัวผูข้ องขา้ วจะเปน็ หมัน ขา้ วเปน็ รวงแต่เมลด็ จะลีบ (กัณฑรีย์ บุญประกอบ, 2551 อา้ งโดยดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ เจริญเมือง, 2551) วิธกี ารวิเคราะห์ • วิเคราะห์ชว่ งเวลาออกดอก เดือนตลุ าคม (30 วัน) • จ�ำนวนวนั ทอี่ ุณหภมู ิสูงสุดเดือนตุลาคม สูงกวา่ 32 องศา 46
ปริมาณฝนกบั การเจริญเติบโตของปาลม์ นำ้� มนั ปาลม์ นำ้� มัน แนวโนม้ การเปล่ียนแปลงปริมาณนำ�้ ฝนและผลกระทบตอ่ เจริญเติบโต จ�ำนวนวนั ปี (พ.ศ.) ใ ผนก ขลไอันอปเ้นึผกนตีกเจๆลกราิบ�ำผะคิน9โนลทล0ตตวง2บิตผนใๆปยนตปลโวเง่ิดีขดอ่อาผนัอม้าลยนอืกลยทงจี์มในาาติ่รูหฝ่ีนำ�รคนะปนนนชเปตหำ�้จว่าว้าไามวรงมลนลจ่าิันญป์ม่ตว4์มำ�งกันานกเน0นลตม็ท6ำ�้มว้ำ�์มิบมแี0ีฝ่นปแีมนนนัโ-วนนีขนัต้�ำวนัม้า8วไจมขโงมทแีโ0นะอนหัน่ตนฝ่ีไม้ง้มนดเวกวนปปลันเร้้าโเพไาน็ดพนับมล่ิมจพลแม้ม่ิค่ตม์�ำขงตชืลมวกนึ้นนมทาดา่ใมวเำ�้ากนี่ตมลรนมกีแขชเื่อ้องวสขนันว่้ึนงยันึ้นงียวกเๆททเโเหาพทน5่าี่ฝราจร0า่้มใยนนดานนเำ้�พะไปถน้ัมมห่ิมขีึงต่าาขา้ กกก1ึ้นงใ0แหยน0ซลังนกผง่ึ้งา้าจวตนัเรปนัะเดิผจม็นใตวนรีตนอ่ิญ้น พ้นื ทศ่ี กึ ษา อ�ำเภออ่าวลกึ จังหวัดกระบี่ (ละตจิ ูด: 8.4, ลองติจดู : 98.8) เง่อื นไขสภาพแวดล้อมทีส่ ำ� คญั การเจริญเติบโตต้องมีสภาพแลง้ ไมเ่ กิน 2 เดือน (ศนู ยบ์ ริการองค์ความรกู้ ารเกษตร กรมส่งเสริม การเกษตร, http://contact.doae.go.th) วธิ ีการวเิ คราะห์ • วิเคราะห์เดอื นมกราคมถงึ เดอื นธนั วาคม (360 วัน) • จ�ำนวนวันที่ ฝนไม่ตก 47
ผลกระทบจากภาวะโลกรอ้ นต่อ แไปวไกลเมด้ใีผ(มก่ีง้หท่ว“�ำมกือรฟ้นันบันเง็แะชคงัา้าสลัยถนยอตอหง้ งึ�ำทผ้นบตมรคเม�ำกภา”ันือวนตกลอดาตาผ้าอพมำ�หิวขู้ถในนวิยท้าหวกูิปานัคว่ายญแนตรนม้ีฆาล่แิำ้�ตาพีสภทว้ยพผขภทิมู นว่หอองาัิพกมำ้�งพนมษิสมกตอดเำ้� ัยหท็ลู,์าามกยสม่วเ2าจวามสีหผือ5ลัศงขุขนมม5าหใงั นดถคน0ชวจชาึงรำ�้)ดันป่ววไึห่งมปกงนีนนลหถลา้ันาำ�้3าแ้าอคก-ผสตหนกร4มาา่งึก่็งไรขยหมปบลคาหม่ม้ากทียามบู่ีกมเขผี่ แลดลา้้าา่ตยบวนา้ นบไจก่อโดมเนาะ็กว้ไางนลเมลา่ ่า ภาคการเกษตรไทย ในช่วงระยะหลงั ๆ มาน้ี เกษตรกรไทยตอ้ ง ประสบกับปญั หาวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนบอ่ ย ครั้งและรุนแรงมากข้นึ ทั้งฝนแลง้ ฝนท้งิ ช่วงยาวนาน ข้ึน เกิดน้ำ� ท่วมฉบั พลัน ฤดูกาลผนั ผวนแปรปรวน เกดิ พายุฤดูรอ้ นและลูกเหบ็ ตกอยา่ งไมค่ าดคดิ กอ่ ให้ เกิดความเสยี หายอยา่ งรุนแรง สภาพอากาศแปรปรวน สัญญาณเตือนภาวะโลกรอ้ นในไทย จากการสงั เกตของชาวนาทย่ี โสธรพบวา่ ในชว่ งปี พ.ศ.2540, 2541, 2547 และ 2549 เกดิ ฝนแลง้ ฝนทง้ิ ช่วงในพื้นท่ีโคก นาดอน และพน้ื ทก่ี ึง่ โคก ฝนแล้งยาวนานเป็นเดอื น ปริมาณฝนทล่ี ดลงทำ� ใหน้ ำ�้ ในลำ� หว้ ยและ แหล่งน�้ำในไรน่ าแห้งขอด ในขณะทพ่ี ืน้ ท่ีล่มุ หรือใกล้ริมฝัง่ แมน่ ำ้� กลับมีน�้ำทว่ ม (วิฑรู ย์ ปัญญากุล, 2551) ลักษณะการตกของฝนที่เปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ.2551 จากการสงั เกตของชาวนายโสธร เม.ย. พ.ค.-ม.ิ ย. ก.ค.-ก.ย. ต.ค. พ.ย. ขา้ วเตบิ โตและ เก็บเกยี่ ว กจิ กรรม เตรียมดนิ หวา่ นกลา้ ด�ำนา ออกดอก ไม่มีฝน ยงั ไมม่ ฝี น หรือ เริ่มมีฝนตก ยังมีฝนตกตอ่ ฝนยงั ตกอย่แู ต่ สภาพอากาศปกติ เริ่มตกเพียงเล็ก ฝนตกนอ้ ยหรือ เนอื่ ง ปริมาณลดลง ยงั มฝี นตกอยู่ และฝนหยดุ นอ้ ย ไมม่ ีฝน ฝนเริ่มตกปลาย ยงั มีฝนตกตอ่ ปลายเดอื น พ.ย. แลง้ ส.ค.และตกหนกั เนอื่ ง น้�ำทว่ มขงั สภาพอากาศปี เริ่มมีฝนตก เมลด็ ขา้ วมี 2551 ในชว่ ง ก.ย. ความช้ืนสงู แล้ง ขาดน้�ำใน ผลผลติ เสียหาย ผลกระทบ การทำ� นา ผลกระทบตอ่ ข้าว ต้นกล้าแก่เกิน ปกั ด�ำ ทมี่ า: Supaporn Anuchiracheeva and Tul Pinkaew, 2009 เกษตรกรผปู้ ลกู มนั ฝรั่งในจังหวดั เชียงใหมก่ ป็ ระสบกบั ปญั หาความแปรปรวนของสภาพอากาศดว้ ยเชน่ กนั จำ� นวนวนั ทอ่ี ากาศหนาวลดลง จากเดมิ ทเ่ี คยปลกู มนั ฝรัง่ ในเดอื นธนั วาคมได้ แตน่ บั จากปี พ.ศ.2543 เปน็ ตน้ มา ตอ้ ง ขยับไปปลกู มนั ฝรั่งใหเ้ ร็วขน้ึ เพือ่ ใหม้ อี ากาศหนาวเยน็ เพียงพอในช่วงมันฝรั่งลงหัว ไม่เชน่ นนั้ จะไม่ไดผ้ ลผลิตเตม็ ท่ี เกษตรกรจึงต้องปรับเปล่ียนรปู แบบการผลิตเพ่ือให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปล่ียนแปลงไป (ชมชวน บญุ ระหงส,์ 2553) เกษตรกรผปู้ ลกู มะมว่ งในจังหวดั เชียงใหมก่ ็ไดร้ ับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนเชน่ กนั อณุ หภมู ทิ สี่ งู ขน้ึ สง่ ผลใหผ้ ลผลติ มะมว่ งนำ�้ ดอกไม้ในปี พ.ศ.2551 ของกลมุ่ ผปู้ ลกู มะมว่ งในอำ� เภอพรา้ ว ลดลงไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 50 (ศจินทร์ ประชาสนั ต,์ิ 2551) 48
การปรับเปลยี่ นรปู แบบการผลติ ของเกษตรกรปลกู มนั ฝร่ังในจังหวัดเชยี งใหม่ ก่อนปี พ.ศ. 2543 ภายหลังปี พ.ศ. 2543 ขา้ ว ปลกู กลางเดือน ก.ค.และเก็บเกี่ยวกลาง ปลกู ในช่วงเดือน พ.ค. และเกบ็ เกยี่ วใน เดือน พ.ย. เดอื น ส.ค. ปลูกกลางเดอื น ต.ค.และเกบ็ เก่ียวภายใน มันฝรั่ง ปลกู กลางเดอื น ธ.ค. และเก็บเก่ยี วกลาง เดือน ม.ค. เดอื นมี.ค. ที่มา: ชมชวน บุญระหงส์, 2553 ตวั อย่างผลกระทบจากสถาพอากาศแปรปรวนตอ่ การเกษตรไทย วนั ท่ี ส่ือ รายละเอยี ด ปี พ.ศ. 2534 www.onep.th/cdm ปี พ.ศ. 2534 ประเทศไทยเกิดปรากฎการณฝ์ นท้งิ ช่วง พรอ้ มกบั Whyworldhot Admin, อากาศรอ้ นและแห้งแล้งตามด้วยความช้นื สมั พัทธ์ ในอากาศสูง เมษายน April 28th 2007 ติดตอ่ กันยาวนานในภาคเหนอื ท�ำให้เกิดการระบาดของโรคไหม้ พ.ศ. 2550 เดลินวิ ส์ หนา้ 12 ของตน้ ข้าวระยะคอรวงในข้าวพันธุ์ กข.6 โดยเฉพาะในเขตจังหวัด 2 มิถุนายน เชียงใหมแ่ ละลำ� พูน ซึ่งเปน็ ปรากฏการณท์ ่ีไม่เคยเกดิ ขึน้ มาก่อน พ.ศ. 2551 ประชาชาติธุรกจิ 17 กรกฎาคม กรุงเทพธุรกจิ หนา้ 14 อากาศร้อนทำ� ใหผ้ ลลิน้ จีส่ ุกไมต่ รงฤดูกาล คือ ช้ากวา่ กำ� หนด พ.ศ. 2551 30 ตลุ าคม กรุงเทพธุรกจิ หนา้ 6 โลกรอ้ น ล�ำไยนอกฤดอู อกดอก-ตดิ ผลนอ้ ย พ.ศ. 2551 นายทรงศกั ดิ์ วงศภ์ มู วิ ฒั น์ อธบิ ดีกรมสง่ เสริมการเกษตร เปิด เผยว่า จากสภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวนไดส้ ง่ 5 กรกฎาคม ผลกระทบต่อระบบการผลติ ลำ� ไยนอกฤดูทั่วประเทศ ทำ� ใหล้ �ำไย พ.ศ. 2553 ออกดอกและติดผลนอ้ ยกว่าทกุ ปี บีโปรดกั สอ์ นิ ดสั ตรี จำ� กดั ผผู้ ลติ และสง่ ออกผงึ้ ปที ผี่ า่ นมา พ.ศ. 2550 ไดผ้ ลผลติ รอ้ ยละ 40 เพราะความแปรปรวนของสงิ่ แวดลอ้ ม สวนส้มเชียงใหม่ทำ� ใจผลผลติ ต้นฤดูราคาดง่ิ นายครรชติ ตตปิ าณิเทพ อดีตประธานชมรมสวนสม้ จ.เชียงใหม่ เปิดเผยวา่ ผลผลิตส้มในปี พ.ศ. 2551 จะมรี าคาแนวโนม้ ลดลง จากปที ่ผี ่านมา แม้อยู่ในชว่ งตน้ ฤดกู าล แต่ราคาเฉลยี่ ส้มตำ่� กวา่ กก.ละ 10 บาท ขณะที่ตน้ ทนุ กก.ละ 11-12 บาท ซง่ึ เปน็ ผลมา จากสภาพอากาศทีแ่ ปรปรวนทำ� ใหส้ ม้ ลูกเล็กลง อีกทั้งต้นทนุ การ ผลิต อาทิ ค่าป๋ยุ เคมีท่ีราคาสงู ข้ึนกว่าเทา่ ตวั สศก.-ชาวนา ยอมรับภาวะโลกร้อนส่งผลให้ประสทิ ธภิ าพของ เกสรรวงขา้ วผสมพันธุ์ได้น้อยลง นายประสทิ ธิ์ บญุ เฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กลา่ ววา่ จากการ หารือรว่ มกบั ตวั แทนเกษตรกรทท่ี ำ� นา 4 ภาค พบวา่ ความรอ้ นทส่ี งู ขน้ึ ทำ� ใหป้ ระสทิ ธภิ าพของเกสรรวงขา้ วผสมพันธ์ุไดน้ อ้ ยลง ทำ� ใหม้ ี รวงขา้ วลบี อยถู่ งึ รอ้ ยละ 50 บางรายทเ่ี คยปลกู ขา้ ว 30 ไร่ เคยได้ ขา้ วถงึ 25 ตนั ขา้ วเปลอื ก แตป่ นี ้ี ไดเ้ พียง 10 ตนั ขา้ วเปลอื ก 49
ผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนต่อเกษตรกรไทย จากการศึกษาของวิเชียร เกิดสขุ แหง่ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ซงึ่ ได้ทำ� การศึกษา ผลกระทบของการเปลีย่ นแปลงภูมิอากาศทีม่ ตี ่อวิถีชีวิตชาวนาทุง่ กุลาร้องไห้ พบวา่ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน (แลง้ /ฝนท้งิ ชว่ ง และนำ้� ท่วม) ทำ� ให้ผลผลติ ขา้ วของชาวนาในพืน้ ท่ีทุ่งกุลาร้องไห้เสยี หายเฉลีย่ รอ้ ยละ 45 เมอ่ื เปรียบเทยี บกบั ปีท่ีมสี ภาพอากาศปกติ จากการศึกษาเปรียบเทียบความเปราะบางของเกษตรกรในพ้ืนทท่ี ุ่งกุลารอ้ งไห้ ระหวา่ งปที ี่มีสภาพอากาศ ปกติ และปีทมี่ สี ภาพอากาศแปรปรวน พบว่า ภายใต้สภาพอากาศปกติ เกษตรกรส่วนใหญม่ ีความเสีย่ งปานกลาง ในการท�ำนา มเี กษตรกรประมาณรอ้ ยละ 30 มคี วามเส่ยี งสงู ในการทำ� นา แต่ในปีที่ประสบปัญหาสภาพอากาศ แปรปรวน จ�ำนวนเกษตรกรทีม่ ีความเสี่ยงสูงจะเพม่ิ ขึ้นถงึ รอ้ ยละ 42 (Vichien Kerdsuk, 2009) ชาวนาในทงุ่ กุลาร้องไห้มีพ้นื ท่ที ำ� นาประมาณครอบครัวละ 33 ไร่ ในปที สี่ ภาพอากาศปกติจะไดผ้ ลผลติ ขา้ ว เปลอื กประมาณ 9 ตนั เฉลยี่ ประมาณ 280 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ เกษตรกรมรี ายไดจ้ ากการขายขา้ วประมาณปลี ะ 7 หม่ืน กว่าบาท แต่ในปที ่ีมสี ภาพอากาศแปรปรวนผลผลิตข้าวลดลงมาเหลือประมาณ 5 ตันตอ่ ครัวเรือน ผลผลติ เฉลย่ี เหลอื ประมาณ 167 กโิ ลกรัมต่อไร่ รายไดจ้ ากการขายข้าวจึงเหลือประมาณ 3 หม่ืนกว่าบาทตอ่ ครัวเรือนหรือลด ลงเกอื บครึ่ง (วนั ชยั ตันตวิ ิทยาพิทักษ์, 2550) ที่มาVichean Kerdsuk, 2009 2(ว5“ิเ5ชแถีย2คงึร)อ่ า7เกกาดิปศสี แเุขพป,อื่ ร2หป5าร5รว2านยอเไพดา้ ียงช้ โดงดปเชยีเยอดกีัฐยบั พวหงชนศาส์้ีวเนินพทาลจ่ีกนิ ะ้ยูพตืมฤอ้ มกงาใษชลเ้างว,ทลานุ น”าน นอกจากน้ี สภาพอากาศแปรปรวนยงั ทำ� ให้เกิดปญั หาการขาดแคลนนำ้� บริโภคขึ้น ในชมุ ชน เนอื่ งจากมกี ารสบู น้ำ� จากบอ่ น้�ำท่ี ใช้ สำ� หรับการบริโภคมาใช้ ในการทำ� นารอบที่สอง ก่อให้เกดิ ปญั หานำ�้ ไมเ่ พียงพอสำ� หรับการทำ� นาและการบริโภคในชมุ ชน ขณะเดียวกนั เกดิ ปญั หาความขดั แย้งระหวา่ งคนท�ำนาและคน ต้องการใชน้ ้�ำเพ่ือการบริโภค 50
ในปที สี่ ภาพอากาศแปรปรวนมากกอ่ ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นยา้ ยแรงงาน หรือการอพยพของชาวนาในทงุ่ กุลารอ้ งไห้ เพราะรายได้ของครัวเรือนลดลงจากผลผลิตที่ตกต่ำ� ชาวนาทงุ่ กุลารอ้ งไห้ ในวัยทำ� งานตอ้ งออกไปทำ� งานใช้แรงงาน ในโรงงาน รา้ นอาหาร หรือขับรถแทก็ ซี่ ในกรุงเทพฯ เพ่อื หารายได้มาจุนเจือครอบครัว ปลอ่ ยให้เด็กอยกู่ บั ปยู่ ่าตา ยาย ท�ำให้เด็กเกิดภาวะทุพโภชนาการ (Vichean Kerdsuk, 2009) ผ••ล • •ก รฝทสะเแนวม้ิงทญัทผามตชฆบ�ำงลญว่ลกนเจแงผยงาตาาผลปณอไแกานิตดะอมทสลก้ผขบฤภะี่เแา้าลคินนดาตวรผยพ�ำู้กตลทไ่ลทมามอำ่�ดำ� ติลี่วไฝา่มนลมมกนนฝีางปส่ า้อไตจนสาดีศยะอ่พมภ้ยแตมเา.าาหนปศกดรพกรอืร่.ถขอือแงปน2ใมามชไตร5ไคีกม้คาขว่ฝ4าว่ไา่เนดศ9หา3นดตม-ท้แมกกปอ่เ2ป�ำือา็ไสชีมน5รนรย่ีาณา่ม5ปหวงา2ร์นใไนนดวาฝี•เ•กน้ยก• นเ• า•โช•ดิ ร•ส น่ •ภแท อธม ใาสตารำ�หหฟอีกวแรุขดนฝ่ผมนาะา้าปมมภมีากหนรฝคักเ่ส้ีีาณมแีลกอวานไรบพินพางมิดม่ารพค์ึ้มา.มกศขมจศ่ตขลนงยา้าขาตัีปึน้.งชกรพกวึ้นกศนรญัอ้ขไแ2พูตัปดินึน้หห5ชืหรทขาทล4พนึู้าำ� 6ง่�ำยเงืชชธลาไ่นเปรแานปรยมกโ็นมมขรลรตา้ชีวคุงงาวัช้นผแเตพแทมิปวินลืชพาหลใะอ้ฯหนกพยมๆงัมืชลๆ่ ผางหเกักยเงทขพสอุดน้ึำ�วิม่ะหในขขหงนึ้้ึนคิด้ตรอ้นวัวเงคัชมบั ซพราต้อื ืชียก้งัมเขดจแาึ้นรกตมิญข่โี นึ้รเตคิบโต ทีม่ า: พุทธิณา นนั ทะวรการ, 2552 ผลติ ภาพทางการเกษตรโดยรวมของประเทศไทยมแี นวโน้มลดลง ในปี พ.ศ. 2623 หากปริมาณการปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกในโลกยังคงเพม่ิ ขน้ึ ในอัตราคอ่ นข้างสูงอยา่ งท่ี เป็นอยู่ในปัจจุบนั ผลติ ภาพทางการเกษตร (Productivity) ของประเทศไทยจะลดลงประมาณรอ้ ยละ 26 ในกรณีไมพ่ จิ ารณาการนำ� คารบ์ อนไปใชป้ ระโยชนข์ องพชื (Without Carbon Fertilization) และลดลงประมาณ รอ้ ยละ 15 ในกรณพี จิ ารณาการนำ� คารบ์ อนไปใชป้ ระโยชนข์ องพชื (With Carbon Fertilization) (William R.Cline, 2007) 51
ประมาณการณ์ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อภาคการเกษตรไทยเทยี บกบั ภาพรวมของโลก ความเสยี หายของผลผลิตทางการเกษตรของไทยมแี นวโน้มเพ่มิ ขนึ้ การเกษตรของประเทศไทยต้องพ่งึ พาสภาพอากาศและทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ความแปรปรวน ของสภาพดินฟ้าอากาศ ตลอดจนภยั พิบัตทิ างธรรมชาติทีเ่ กิดขึ้นบอ่ ยครั้งในระยะหลงั ๆ ทำ� ใหก้ ระทบตอ่ ผลผลติ ทางการเกษตรอยา่ งมีนยั ส�ำคญั ปจั จุบันประเทศไทยมีพ้นื ที่กว่าร้อยละ 80 ที่ทำ� การเกษตรตามธรรมชาตโิ ดย ใช้น�้ำฝนเป็นหลกั โดยชว่ งปี พ.ศ. 2534-2543 การเกดิ ภยั ธรรมชาติซ่งึ ไดแ้ ก่ นำ�้ ทว่ ม ภยั แลง้ และพายุ ไดก้ ่อ ใหเ้ กิดความเสียหายตอ่ ผลผลติ การเกษตรของไทยคดิ เปน็ มลู ค่าเฉลยี่ 4,000 ล้านบาทตอ่ ปี (ส�ำนกั งานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ, 2552) มลู คา่ ความเสยี หายของผลผลติ การเกษตรของประเทศไทยเนอื่ งจากภัยพิบตั ิ ทสี่ ืบเนอื่ งจากสภาพภมู ิอากาศ ระหวา่ ง พ.ศ. 2534-2543 ท่ีมา: ส�ำนกั งานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2552 ผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศทีเ่ กษตรกรไทยกำ� ลังเกดิ เผชญิ อยู่ในปจั จุบันเปน็ สัญญาณเตือนวา่ ภาวะโลกรอ้ นกำ� ลังมาเยอื นไทย แมว้ ่าผลกระทบท่เี กดิ ขน้ึ อาจจะยังไมร่ ุนแรงอย่างที่หลายๆ ประเทศกำ� ลงั ประสบอยู่ แตก่ ารเตรียมตัวเพ่อื รับมือกับภาวะโลกรอ้ นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพดนิ ฟ้า อากาศเป็นเรื่องทจี่ �ำเปน็ ทเ่ี กษตรกรไทยควรให้ความส�ำคัญก่อนทที่ ุกอย่างจะสายเกนิ ไป 52
ความม่ันคงทางอาหารของไทยภายใตว้ ิกฤตโลกร้อน ปัจจุบันโลกก�ำลังเผชญิ วิกฤตอาหารและพลงั งาน ความต้องการอาหารทั่วโลกเพม่ิ ข้นึ ในขณะทพ่ี น้ื ที่ผลติ อาหารของโลกลดลง ประกอบกับวิกฤตสภาพอากาศและภยั ธรรมชาติท่ีเกดิ ข้ึนในระยะหลงั ๆ บ่อยครั้งและรุนแรง มากขึ้น ส่งผลกระทบตอ่ ภาคการเกษตรในหลายๆ ประเทศ ท�ำให้หลายประเทศตอ้ งน�ำเข้าอาหารมากข้นึ ราคา อาหารในตลาดโลกจึงขยบั ตวั สงู ข้ึน วิกฤตอาหารโลก โอกาสเกษตรกรไทย? วิกฤตอาหารโลกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2551 ส่งผลใหร้ าคาขา้ วในประเทศไทยถีบตวั สูงขึ้น ชาวนาไทยขายขา้ วได้ ถึงตนั ละ 16,000-17,000 บาทซ่ึงสงู เปน็ ประวตั ิการณอ์ ย่างที่ไม่เคยปรากฏมากอ่ น และจากการคาดการณ์ของ องค์การเกษตรและอาหารแหง่ สหประชาชาติ (FAO) แสดงให้เห็นว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นประมาณ 30% ในอกี 10 ปีขา้ งหนา้ (ศจินทร์ ประชาสนั ติ์, 2551) ประเทศไทยเป็นประเทศหลกั ท่ผี ลิตอาหารเล้ียงประชากรโลก ในขณะ เดียวกันการเกษตรในบ้านเรายังคงไดร้ ับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนน้อยมากหากเทียบกบั ประเทศอ่ืนๆ ในโลก ภาคการเกษตรของไทยจงึ น่าจะไดป้ ระโยชน์จากวิกฤตอาหารโลก การเปรียบเทยี บราคาขา้ วของโลกและของไทย ปี พ.ศ. 2550-2551 รอเาคดาคหงี ยามาวสรีคใกงู นโวนัขลภา้นึ ยกมาังทพมไ่ีทร่ันดวำ� ป้คมใรงหปทะ้สรโานิ ยะงคเชอทน้าาศเจ์หกไาาทษกรยตวยขิ กรณงั ฤมะตี ท่มี า: Thailand Development Research Institute (TDRI), 2009 อ้างโดย สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาต,ิ 2552 ทคเตพ(ี่ด่าศน้รปินใจาทนุย๋เินะพชนุครทว่มิ่ กา่างรขคยาทนึ้์ราาปรี่ผถไนาดรลงึ�้ำคะ้ขมติ าชย2นัาขขับสอ้าใเสนทวงนั ูงแตเ่าตกขพล,ิ์้ึนษขงาณเ2ตขดช5้นึะ่นรโลเ5กกดคก1รนัีย)เา่จพวเึงชก่ิมส่านัขงู ้ึนขน้ึ (ลมภศใหงาาจทกค้ธินวุนุรกรทา้กผาานรริจคล์ซเขาติปก้อืนออษรทาาาะดตหีด่ หชใรานิาาหรมสขรญทาอนัในก่ีแง่สตนปขพน,์ิ ้ึนารงใ2ยจะขร5ทเหน้ึ ทว5ุนันสมศ1รตมถไ)า้ทาา่ งึงลงยกแชงโาราทดรงตนุยเจขิเตใพูง้านใรอื่ จง 53
จากการส�ำรวจราคาสนิ ค้าอาหารในประเทศในช่วงต้นปี พ.ศ. 2551 พบว่าราคาสนิ ค้าอาหารเพิม่ สูงข้นึ อย่างมากเช่นกัน ซึง่ ผ้ทู ่ีได้รับผลกระทบโดยตรงคือกล่มุ คนยากจน ผู้มีรายได้นอ้ ย รวมถึงเกษตรกรรายยอ่ ยซงึ่ พงึ่ ตนเองด้านอาหารน้อยลง ขณะทมี่ คี า่ ใชจ้ า่ ยดา้ นอาหารสูงขน้ึ จากการศกึ ษาพบวา่ ค่าใช้จา่ ยด้านอาหารของ คนจน คิดเป็นเกอื บครึ่งหนงึ่ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครัวเรือน ซ่งึ เฉลยี่ ประมาณเดือนละ 6,400 บาท ในขณะที่ คนรวยมคี ่าใชจ้ ่ายด้านอาหารเพียงรอ้ ยละ 20 ของคา่ ใช้จา่ ยทั้งหมด ซง่ึ เฉลย่ี เดือนละ 36,100 บาท (เดชรัต สขุ ก�ำเนดิ , 2553) เมอื่ ราคาสนิ ค้าอาหารแพงข้นึ กลุ่มคนยากจนจงึ เขา้ ถงึ อาหารได้น้อยลง ผู้ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารและพลังงานท่เี พ่มิ ขึน้ ที่มา: เดชรัต สขุ ก�ำเนดิ , 2553 เกษตรกรรายยอ่ ยและคนจนอว่ ม เมอ่ื วกิ ฤตโลกรอ้ นมาเยือนไทย แมเ้ กษตรกรไทยจะเป็นผูผ้ ลติ อาหารเลยี้ งคนทั้งประเทศและสง่ ออกเล้ียงประชากรโลก แต่เกษตรกร กลบั มีความมั่นคงทางอาหารลดลง จากการสำ� รวจของสำ� นกั งานเศรษฐกจิ การเกษตรพบว่า เกษตรกรใน ประเทศไทยพึ่งพาอาหารท่ผี ลติ ไดจ้ ากไร่นาตนเองเพียงรอ้ ยละ 30 ซง่ึ ต่�ำกวา่ ดัชนกี ารพ่ึงพาตนเองดา้ นอาหาร (ระดับประเทศ) ของเกาหลแี ละญ่ปี ุ่นซึ่งเป็นประเทศอตุ สาหกรรมเสยี อีก ขณะทเ่ี กษตรกรในภาคใตพ้ ่ึงตนเองด้าน อาหารได้เพียงร้อยละ 6 เท่าน้นั (มลู นธิ ชิ ีววิถี, 2552) เมื่อมองในภาพรวมทั้งโลก ปัจจุบนั ประเทศไทยไดร้ ับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนไมม่ ากนัก หากเทียบ กบั ประเทศทต่ี ้องเผชิญวิกฤตสภาพอากาศเลวร้ายหรือประสบภยั พบิ ตั อิ ย่างรุนแรง อยา่ งไรก็ดี ความแปรปรวน ของสภาพอากาศทก่ี ำ� ลงั เกดิ ขน้ึ ในประเทศไทยในหลายๆ พน้ื ท่ี ไมว่ า่ จะเปน็ ภาวะฝนแลง้ ฝนทง้ิ ชว่ ง นำ�้ ทว่ มฉบั พลนั ความแปรปรวนของฤดกู าล รวมถึงภัยพบิ ัติทางธรรมชาตติ า่ งๆ ได้สง่ ผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและ ความเปน็ อยู่ของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ซ่ึงมีความเสีย่ งและความเปราะบางเปน็ ทุนเดมิ อยแู่ ลว้ ภายใตว้ ิถีการผลติ ในปัจจุบัน ทั้งต้นทุนการผลติ ทเี่ พม่ิ ข้นึ ภาระหนส้ี นิ ท่พี อกพนู รวมทั้งความม่ันคงทางอาหารท่ี มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ความแปรปรวนของสภาพอากาศจึงซ้�ำเติมความทกุ ขย์ ากของเกษตรกรรายย่อยใหท้ ่วมทน้ ย่ิงขน้ึ ไปอกี 54
ภาพแสดงผลกระทบของการเผชญิ วกิ ฤตสภาพอากาศตอ่ ระดับรายไดแ้ ละทรัพยส์ นิ ท่ีมา: Nicholas Stern, 2008 เมื่อเกดิ ความแปรปรวนหรือวิกฤตสภาพอากาศขน้ึ ในช่วงเวลาทก่ี ำ� ลงั เผชิญวิกฤตน้นั (เช่น ฝนทิ้งช่วง นำ้� ท่วม) คนจนจะสูญเสยี ทรัพย์สนิ ทมี่ อี ยู่มากกวา่ คนรวย เนอื่ งจากมสี ภาพความเป็นอย่ลู ำ� บากขัดสน จึงไดร้ ับ ผลกระทบมากกวา่ และในชว่ งทีต่ อ้ งจัดการกับปญั หาทีเ่ ผชิญ คนรวยซงึ่ ได้รับผลกระทบนอ้ ยกว่าสามารถจัดการ กับปญั หาไดด้ ีกวา่ ทรัพย์สนิ จึงเพิม่ ขน้ึ ในไมช่ า้ ในขณะท่ีคนจนตอ้ งประสบปญั หารายได้สะดุดอย่างตอ่ เนอื่ ง ในช่วง ฟน้ื ตวั น้นั คนจนตอ้ งประสบปญั หาทางการเงนิ มากย่งิ ขึน้ เนือ่ งจากขาดรายไดอ้ ยา่ งต่อเนอื่ งจงึ ไม่สามารถฟน้ื ตัว ได้ ในที่สดุ จึงตอ้ งจมดิ่งอยกู่ ับวงจรความยากจนไปตลอด ในขณะทค่ี นรวยกลบั มีทรัพย์สินเพิ่มข้นึ อย่างมากในชว่ ง ฟื้นตัวน้ี (Nicholas Stern, 2008) ฟไแอปฟ้ืนลยตน้ื ตะูจ่ ลตใวัะนเอแัวลมทดไลดื่อดสี่ ะลตใย้ดุนมง้อาอขทีไงกปาณเรกจอผัพะวตยชท่ายญิอ้่าค่คี์สงงวนนินมจิกรรามเฤพววกดยตยิม่ ิ่งจใสขอชรน้นึภ้เยาวเไายกู่กลดพไบัาดิ้ดอไวปแ้มางัญกน่ลจาาะรหศนทคากรทวคาัพ็จานมงะยยยสกส์ าาาานิกกรมทจเจางนรีม่นินถจี ะ 55
วิถีเกษตรพอเพยี ง ลดการพึ่งพา คอื หนทางรอดของเกษตรกรไทยภายใตว้ ิกฤตสภาพอากาศและภาวะโลกรอ้ น 56
เกษตรยั่งยนื และปา่ ชมุ ชน ทางออกในการปรับตวั รับมือกับปัญหา 57
เกษตรอินทรียแ์ ละวิถีเกษตรกรรมยัง่ ยนื พลิกวิกฤตสู่โอกาส การท�ำเกษตรอนิ ทรีย์ รวมถงึ การเกษตรย่ังยืนในรปู แบบตา่ งๆ มศี ักยภาพอย่างมากในการลดการปลอ่ ย กา๊ ซเรือนกระจก ทสี่ ำ� คญั ยงั ชว่ ยในการคืนคารบ์ อนสดู่ นิ ได้อย่างมหาศาล ศักยภาพเกษตรอินทรี ย์ ในการลดก๊าซเรื อนกระจก ทม่ี า : วสันต์ เตชะวงศ์ธรรม, 2552 ข้อเท็จจริงเกษตรอนิ ทรีย์ 1. เกษตรอนิ ทรีย์สามารถเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการกักเกบ็ คารบ์ อนในดนิ ในรปู ของสารประกอบอินทรีย์ ได้รอ้ ยละ 15-18 2. เกษตรเคมแี บบด้ังเดมิ ไมส่ ามารถกักเก็บคาร์บอนได้เพม่ิ ข้ึน 3. เกษตรอนิ ทรีย์สามารถกักเก็บคารบ์ อนได้ 657.78 กก./ไร/่ ปี (ยังไม่รวมการลดการปลดปลอ่ ย คาร์บอนจากการพง่ึ พาพลังงานฟอสซลิ น้อยลง) ทีม่ า : นติ ยา และบญุ ชอบ, มปพ . โดยปกติดินในป่าหรือดินทม่ี คี วามอดุ มสมบูรณ์จะมีคารบ์ อนในดินประมาณรอ้ ยละ 5 แต่พืน้ ท่เี กษตรท่ี เสื่อมโทรมจะมคี าร์บอนในดินน้อยกวา่ รอ้ ยละ 1 จากการศึกษาพบว่า การทำ� เกษตรอนิ ทรีย์ช่วยท�ำให้คาร์บอน ในดนิ เพม่ิ ขึน้ ได้ถึงรอ้ ยละ 2-4 (วสันต์ เตชะวงศ์ธรรม, 2552) 58
(จกสนะรชัตเเามนบปวจไสดีิมยน็์ศะ่งจ่นมตักตจเำ�เีาอสราพัวเรยพูรปกเียฆบิู่มืชน็ใกงนา่ียกาต3ศแรานแอ้ ัตรสปชมงเรำ�4นลพกลรธู1งดิษ่นงว9รนจยตรกา2ชใมารทาน6นฆช,รั่วแดาิา่ฉชๆมตปแนดีปแิทลมดิไพปมปงี่เลป่นนง.ปโง)รมน็ยาทรคขาุมมะกุ ้าฆมิตค2ว2่าารข2ร9แณอทั้ง3มงชทช่ี ลนเ2ว่ช่ีพกงย,ดิน1ษบเใ7ดพินแตไ3สื่อกมรใฆ้เนากชลดรา่ขนรงือกแณจดิน�ำมะะจแพโลทัดดลงบี่ศแยะทวตั วเมุก่าปัชรลคพทู็นมงรชืี่พตีตศั้งบัว1ัวัตท8หหใรีพ่น�้ำ้�ำพู ชบแแืชน8ปลดิ2ละ0ตงัว จากข้อมูลพื้นทีเ่ กษตรอินทรียข์ องประเทศไทย พ.ศ. 2550 ประเทศไทยมพี ้ืนทเ่ี กษตรอนิ ทรีย์ ประมาณ 119,722.81 ไร่ (มลู นธิ ิสายใยแผ่นดิน/กรีนเนท, 2551 อา้ งโดย วสันต์ เตชะวงศธ์ รรม, 2552) 59
นาอนิ ทรียเ์ สยี หายนอ้ ยกว่านาเคมีจากสภาพอากาศแปรปรวน เมื่อเปรียบเทยี บการลดลงของผลผลติ ขา้ วระหว่างคนท่ที ำ� นาอินทรียแ์ ละนาเคมี ในปี พ.ศ. 2550 กับ พ.ศ. 2551 ซ่ึงเปน็ ปที ่ชี าวนาท่ีจังหวัดยโสธรต้องเผชิญกบั สภาพอากาศแปรปรวนอยา่ งรุนแรง (ฝนท้ิง ช่วงในระยะหว่านกลา้ และมฝี นตกอยา่ งตอ่ เนอื่ งในชว่ งเกบ็ เกย่ี วผลผลติ ขา้ ว) พบวา่ ผลผลติ ข้าวของชาวนาลด ลงอย่างมาก โดยคนทท่ี �ำนาเคมีผลผลติ เสียหายมากกว่าคนทท่ี ำ� นาอนิ ทรีย์ ทั้งนเ้ี นือ่ งจากเกษตรกรที่ทำ� นา อินทรียม์ ีการคัดเลอื กพันธ์ขุ า้ วท่เี หมาะสมกับสภาพพื้นท่ี อีกทั้งยงั มกี ารปรับปรุงบ�ำรุงดนิ อย่างตอ่ เนอื่ งและมี การดแู ลเอาใจใส่แปลงนาอยเู่ สมอๆ ต้นข้าวของนาอินทรีย์จงึ แขง็ แรงกวา่ ตน้ ข้าวของนาเคมี โดยผลผลิตขา้ วจากนาอนิ ทรียเ์ มือ่ ปี พ.ศ. 2550 ไดผ้ ลผลติ เฉลยี่ 283.3 กิโลกรัมต่อไร่ และเมือ่ เผชญิ วิกฤตสภาพอากาศในปี พ.ศ. 2551 ผลผลิตลดลงเหลอื 253 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะท่ีนาเคมี เมื่อปี พ.ศ. 2550 ไดผ้ ลผลติ เฉลี่ย 214 กิโลกรัมต่อไร่ และไดผ้ ลผลิตเพียง 134 กิโลกรัมต่อไร่ในปี พ.ศ. 2551 โดยสรุปภายใตส้ ภาพอากาศแปรปรวน ผลผลติ ข้าวนาอินทรียล์ ดลงประมาณร้อยละ 10.7 ขณะท่ีนา เคมีลดลงถงึ ร้อยละ 37.4 (พรรณี เสมอภาค, 2553) กราฟแสดงการลดลงของผลผลิตข้าวหอมมะลติ ่อไร่ ระหวา่ งกล่มุ เกษตรกรทำ� นาอินทรีย์ และกลุม่ เกษตรกรท�ำนาเคมี เปรียบเทียบระหว่างปี พ.ศ. 2550 และปี พ.ศ. 2551 (จ�ำนวนผลผลิตข้าวหอมมะลิ: หน่วยกิโลกรัมต่อไร)่ ท่มี า: พรรณี เสมอภาค, 2553 ขรน้า้อาวยอลภลินดาะทลยรง1ใี0ยถต์.งึ้ส7ผรภลอ้ ขาผยณวลละะอิตะทาขี่น3ก้า7าาวศเ.ล4คแดมปลี รงผปปลรรผวะลนมติ าณ 60
ชะตากรรมของเกษตรกรไทย ภายใต้ความไม่แน่นอนของดินฟ้าอากาศ ฝนทงิ้ ช่วงในตน้ ฤดทู ำ� นา นำ�้ ทว่ มในช่วงเก็บเกย่ี วผลผลิต 61
เกษตรอนิ ทรีย์กับการจัดการนำ�้ เพื่อรับมือกบั ภาวะโลกร้อน ปัจจุบันในหลายๆ พ้ืนที่ก�ำลงั ประสบปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน มีแนวโน้มฝนแล้ง และฝนทงิ้ ช่วงยาวนานขึ้น เกดิ นำ้� ทว่ มฉบั พลนั หรือนำ้� ท่วมขงั บ่อยครั้งขึ้น ลักษณะการตกของฝนท่ีเปลี่ยนแปลงไปท�ำให้ เกษตรกรไม่สามารถวางแผนในการผลติ ได้ดงั เชน่ ในอดีต สภาพอากาศแปรปรวน ความจำ� เป็นท่ตี อ้ งมีการจัดการนำ�้ สภาพอากาศแปรปรวนมผี ลกระทบอยา่ งมากตอ่ ระบบการผลิตและวิถีชีวิตของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะ เกษตรกรท่อี ย่นู อกเขตชลประทาน ซง่ึ เป็นเกษตรกรสว่ นใหญข่ องประเทศ ต้องพึง่ พาธรรมชาตเิ ปน็ หลักในการ ท�ำการเกษตร การพัฒนาระบบการจัดการนำ�้ เพื่อรับมือกบั ภาวะความไม่แน่นอนของดนิ ฟา้ อากาศจึงมีความจำ� เป็น ส�ำหรับเกษตรกรไทย เมือ่ ภาวะโลกรอ้ นมาเยอื นชาวนายโสธร ในปี พ.ศ. 2551 ชาวนาในโครงการเกษตรอินทรียข์ องมลู นธิ ิสายใยแผน่ ดนิ จังหวัดยโสธร ไดป้ ระสบ ปัญหาฝนทิง้ ช่วงยาวนานทส่ี ดุ ในรอบ 57 ปี ตง้ั แตต่ น้ เดือนมถิ นุ ายนจนถงึ ตน้ เดือนกนั ยายน ขณะท่ีช่วงเกบ็ เก่ยี ว ผลผลติ ในปีเดียวกนั กลับมฝี นตกลงมาอย่างไมข่ าดสาย สรา้ งความเสยี หายตอ่ ผลผลติ ข้าวเปน็ อยา่ งมาก ท�ำให้ ชาวนามีรายไดแ้ ละความมั่นคงทางด้านอาหารลดลง (พรรณี เสมอภาค, 2553) รอคอยฟ้าฝน ทมเกุดีฝขอืน์ซนตำ�้ พกกฤรหศรนมจักิซกอัดายย่านงตท่อำ� เในหอื่ ้ตง้นช่วขงา้ ตว้น ชาวนเาพบอื่ ารงอราฝยในนตทเอ้ด่ีคงือาดนดำ� สวนา่ิงาจห(ะผาตคงกม) ล้มแชน่ ้�ำ หญา้ โตไดด้ กี วา่ ข้าว ทีม่ า: พรรณี เสมอภาค, 2553 พเฤดษอื นภชาาสควิงนมหาาทตค่ทีน้ม�ำขนข้าณวาจหะะวทเา่ร่ตี นิ่ม้นตแห้งัหญแ้งตตา้ จเ่าดะยโือใตนน งามกวา่ 62
การจดั การนำ�้ ในไร่นาอยา่ งมสี ่วนร่วม: บทเรียนจากยโสธร วิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนเมือ่ ปี พ.ศ. 2551 เป็นจุดเริ่มต้นที่ท�ำใหม้ ูลนธิ ิสายใยแผ่นดนิ ริเริ่มดำ� เนนิ โครงการการปรับตัวของเกษตรกรเพอ่ื รับมอื กับการเปลยี่ นแปลงของสภาพอากาศ โดยมกี ลุ่มเกษตรกรในพืน้ ที่ จังหวดั ยโสธรเป็นกล่มุ เกษตรกรน�ำร่อง ภายใตก้ ารสนับสนนุ ขององคก์ ารอ็อกแฟม เกรท บริเทน ประเทศไทย (Oxfam GB, Thailand) โดยมีชาวนาอนิ ทรีย์ จ�ำนวน 57 ครอบครัว สนใจเข้ารว่ มโครงการฯ มีระยะเวลาในการ ดำ� เนนิ โครงการตัง้ แตเ่ ดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 – มนี าคม พ.ศ. 2552 เป้าหมายหลักในการดำ� เนนิ โครงการฯ คือ เพ่อื สนับสนนุ ระบบการจัดการนำ้� ที่เหมาะสมสำ� หรับเกษตรกร เพ่อื รับมอื กบั ความแปรปรวนของสภาพอากาศที่กำ� ลงั เกดิ ขนึ้ ในพืน้ ที่ และเสริมสรา้ งขีดความสามารถของ เกษตรกรในการปรับตัวรับมอื กับวิกฤตโลกร้อนท่ีจะเกิดข้นึ อกี ในอนาคต •• แก้วิกฤต ต้องเริ่มทีค่ วามรู้ ความเทา่ ทันในสถานการณแ์ ละความร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกับวิกฤตโลกร้อนและผลกระทบต่อภาค การเกษตรเป็นสงิ่ สำ� คญั อันดับแรกที่จะตอ้ งเติมเต็มให้กับเกษตรกร การเปดิ พืน้ ที่ ใหม้ กี ารแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ทั้งในเรื่องวิชาการและประสบการณ์ตรงจากพื้นท่ี รวมถงึ ภมู ิปัญญาและองค์ความรทู้ อ้ งถิ่นเกย่ี วกับสภาพอากาศ ตลอดจนการมเี วทรี ะดมความคดิ และขอ้ เสนอแนะตา่ งๆ ทจ่ี ะนำ� ไปสู่การแก้ไขปัญหาทที่ กุ คนกำ� ลังเผชิญ เปน็ การ สร้างกระบวนการเรียนร้อู ยา่ งมสี ่วนร่วมและสรา้ งการตื่นตวั ใหก้ ับเกษตรกรเปน็ อย่างยิ่ง ซึ่งเปน็ จุดเริ่มตน้ สำ� คญั ในการพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกรในการเตรียมรับมอื กับภาวะโลกร้อน •• การพัฒนาระบบการจัดการนำ�้ อยา่ งมสี ่วนรว่ ม การริเริ่มในระดับไรน่ า การจัดการนำ้� เพ่อื รับมอื วิกฤตสภาพอากาศกลายมาเปน็ โจทย์ส�ำคญั ที่เกษตรกรทเี่ ขา้ ร่วมโครงการ ต้องรว่ มกันขบคิดและวิเคราะหเ์ พ่อื ออกแบบระบบการจัดการนำ้� ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพและเหมาะสมในระดับไรน่ า เกษตรกรและสมาชิกในครัวเรือนทีเ่ ข้าร่วมโครงการฯ ได้เรียนร้รู ะบบการจัดการนำ�้ แบบต่างๆ และไดล้ งมือ ออกแบบและวางระบบการจัดการน�้ำในไร่นาดว้ ยตนเอง โดยในการออกแบบระบบการจัดการน�ำ้ นนั้ ๆ เกษตรกร ตอ้ งคำ� นึงถึงความเหมาะสมของพื้นท่ี การประหยัดพลงั งาน รวมถึงต้องเหมาะสมกบั ผหู้ ญิงและเดก็ ซึง่ เปน็ แรงงานสำ� คัญในไรน่ า รหตะเมจบกอ่เัุนกดบินปษเกกีว3าสาตยี ไร0รง่กดรนจน,คออม้0ใัด�้ำหนืนิงีก0ใกทก้ภหทา0าับรานุ้กรรจยหีับเยนบักดใ์”มนเาำ้� ษตกทในุรเนตษั้งพะเตไวยรตรอื่อ่“ียกะน่รสกคนเรกาวนอรรเขรลพังวบัาอทาทเยือ่สรงี่เนุใกืน1อตขห-หาา้นนุนมรร6มเเก่่วจงดอุนมปัดู้ยนิง้วเโีมืกตวทยคโยีาเออ่นุดรพรนตัไงสยอื่ปนเกร�ำเพน�้ำงาาหสอ่ืำ�ินรดรไก�ำฯทอปับหาก่ีสใกรโรชเดมจาบ้ับใัรายดนี้เยชพกมกกริกัษฒาวีา้อนรรงตยนำ�นเพรลงมาั�้ำฒอนิะราสนิคะกน�ำ1บทืน้ยูห-าบมืจร3รีกะยไับมา์ ร่ 63
ตัวอยา่ งการพัฒนาระบบจดั การน�้ำในไรน่ า กังหนั ลมสบู น้�ำ บอ่ บาดาลคันโยก สระน�้ำ โอ่งรบั น�้ำตามคนั นา 64 ระบบแท็งก์น�้ำ รสซะะึ่งบดเปบวน็กกาตแรรอ่ จงกัดงาากรนาใชรสง้ น�ำาค�้ำนตญั ข้ออในงงไผไมรู้ห่นย่ ญางุ่ ยิงาแกลแะลเดะก็
ระบบการจดั การน้�ำชว่ ยลดความเสย่ี งจากวกิ ฤตสภาพอากาศแปรปรวน จากการเปรียบเทียบผลผลติ ขา้ วในปี พ.ศ. 2550 กบั พ.ศ. 2551 ระหวา่ งกลุ่มเกษตรกร 5 กลุม่ คอื 1) เกษตรกรท่ีเขา้ ร่วมโครงการฯ 57 ครอบครัว 2) เกษตรกรทที่ �ำนาอินทรีย์ ในระบบเกษตรผสมผสาน 3) เกษตรกรทท่ี �ำนาอนิ ทรียร์ ะบบเกษตรเชงิ เดี่ยว 4) เกษตรกรท่ีท�ำนาเคมี ในระบบเกษตรผสมผสาน และ 5) เกษตรกรที่ทำ� นาเคมีระบบเกษตรเชงิ เดี่ยว พบวา่ ผลผลติ ขา้ วของเกษตรกรทุกกลุ่มลดลง แตเ่ กษตรกรที่เขา้ ร่วมโครงการปรับตวั ฯ ทมี่ กี ารพัฒนาระบบการจัดการนำ้� อย่างเหมาะสมในไร่นา (เกษตรกรกลุ่มที่ 1) ผลผลติ ลด ลงนอ้ ยที่สดุ เพียงรอ้ ยละ 8.5 ขณะที่เกษตรกรท่ที �ำนาอินทรีย์ ในระบบเกษตรผสมผสาน (เกษตรกรกลมุ่ ที่ 2) มีผลผลิตลดลงรองลงมาคือ ประมาณร้อยละ 9.6 และเกษตรอินทรีย์เชิงเดี่ยว (เกษตรกรกลุ่มท่ี 3) ลดลง ร้อยละ 14.7 สำ� หรับเกษตรกรท่ที ำ� นาเคมี (เกษตรกรกลมุ่ ที่ 4 และ 5) ผลผลติ ข้าวได้รับความเสยี หายอย่าง หนกั ผลผลิตลดลงประมาณร้อยละ 31.5-42.7 (พรรณี เสมอภาค, 2553) เเชกห่วษน็มยตวาล่ากรดกกผกรวาลทา่ รกรี่เมร้อขรีย้าะะลรทบะ่วบมบ9จโก0าคากรรขฝงจอกนัดงาแกรลาฯรง้ นแลำ�้ ะ ฝนท้งิ ชว่ ง 65
ระบบการจดั การน�้ำในไรน่ า พ่อมนญู ภผู าเปน็ เกษตรกรคนหนงึ่ กรณีศกึ ษาพ่อมนูญ ภูผา ท่ีเข้าร่วมโครงการการจัดการนำ้� เพอื่ ลดผล กระทบจากภาวะโลกร้อน โดยได้ดัดแปลง จำ� นวนพ้ืนทีท่ ั้งหมด : 10 ไร่ พืน้ ทป่ี ลกู ขา้ ว: 5.5 ไร่ แผ่นป้ายโฆษณาเก่าๆ มาท�ำเป็นกังหัน การลงทนุ ในการพัฒนาระบบการจัดการนำ้� ในไร่นา ลมสูบน้�ำ และไดข้ ดุ คนู ำ�้ รอบนา เพอื่ นำ� นำ�้ (ไม่รวมคา่ ขุดสระ ซ่ึงมอี ยเู่ ดมิ แลว้ ถ้าจา้ งขดุ 30,000 จากบอ่ มาใช้ในแปลงนาในชว่ งทแี่ ลง้ หรือเกดิ บาท) ภาวะฝนทง้ิ ชว่ ง โดยในแตล่ ะแปลงนาสามารถ - ค่าถมที่และปรับพ้ืนที่นา 20,500 บาท กำ� หนดและควบคมุ ระดบั นำ�้ ได้ - ทอ่ สบู น�ำ้ 5,000 บาท - นำ�้ บอ่ บาดาลเจาะเอง (ถา้ จา้ งอยทู่ ี่ 4,000-5,000 แมว้ า่ พนื้ ท่ีนาจะลดลงจากการปรับ บาทอย่ทู ร่ี ะดับความลกึ 12 เมตร) พ้นื ทีบ่ างสว่ นไปทำ� ระบบการจัดการนำ้� แต่ก็ -กังหนั ลมและทอ่ พักน้�ำ 2,700 บาท(จ้างท�ำโครงเหลก็ ) ไม่ได้สง่ ผลกระทบตอ่ ผลผลติ ขา้ วของพอ่ - บ่อโยกน�ำ้ ด้วยมือ 460 บาท (ซือ้ อุปกรณ์มาท�ำเอง) มนญู ในทางกลบั กนั พอ่ มนญู สามารถปลกู พชื - ระบบน้�ำหยด 3,000 บาท ผกั ไดต้ ลอดทั้งปโี ดยใชป้ ระโยชนจ์ ากระบบการ รวมทั้งสิน้ = 31,660 บาท จัดการนำ�้ น้ี การเกิดวิกฤตฝนทิ้งช่วงอยา่ ง ยาวนานในปี พ.ศ. 2551 ท�ำใหผ้ ลผลติ ขา้ ว ของชาวนาในพ้ืนท่ี ใกล้เคยี งลดลงอย่างมาก แต่นาของพอ่ มนูญกลับไดผ้ ลผลติ ขา้ วเพมิ่ ในปี นนั้ ทั้งข้าวเหนยี วและข้าวเจ้าหอมมะลิ และ ยงั มีสว่ นทีเ่ หลอื ส�ำหรับแบ่งขายอกี ด้วย ท่ีมา: พรรณี เสมอภาค, 2553 ผ•ล• ป• รสฝะสาตโนสมายอน้ตมาาาชทมรากหนรถาุนลา์จรถวรดงาถาปยมกา้ งเาลานรลแมกูะอย้ีผขบพางนาหบปืชดกผากลแารักาารครใไทนดลจำ�สน้ตัดนรกไลาดะาอไน้รดด้�ำนแ้ทเำ�้พมั้งป่อื้จะเี ปยเพ็นงั ือ่ไแมลหม่ดลี ่ง 66
ความมน่ั คงทางอาหาร เกราะปอ้ งกนั เกษตรกรจากวิกฤตโลกรอ้ น การพ่ึงตนเองดา้ นอาหาร ผลการศึกษาการพ่ึงตนเองด้านอาหารระหว่างเกษตรกรทั้ง 5 กลมุ่ ในปี พ.ศ. 2551 พบวา่ 1) กลมุ่ เกษตรกรท่ีเขา้ ร่วมโครงการพัฒนาการปรับตวั ฯ จ�ำนวน 57 คน พง่ึ ตนเองด้านอาหารเฉล่ยี 90% 2) กลุ่มเกษตรกรนาอินทรีย์ ในระบบเกษตรผสมผสาน พ่ึงตนเองด้านอาหารเฉล่ีย 89% 3) กล่มุ เกษตรกรท�ำนาข้าวอินทรีย์เชงิ เดี่ยว พง่ึ ตนเองดา้ นอาหารเฉลยี่ 85% 4) กลุม่ เกษตรกรท�ำนาเคมี ในระบบเกษตรผสมผสาน พ่ึงตนเองดา้ นอาหารเฉล่ีย 78% และ 5) กลมุ่ เกษตรกรท�ำนาเคมเี ชิงเดี่ยว พง่ึ ตนเองด้านอาหารด้านอาหารเฉล่ยี 73% ท่ีมา: พรรณี เสมอภาค, 2553 การพึง่ ตนเองดา้ นอาหาร เป็นดชั นตี วั หนงึ่ ในการชี้วดั ความม่ันคงทางอาหาร โดยพิจารณาจาก 2 หลักเกณฑ์ คอื 1) การมปี ริมาณอาหารท่ผี ลติ ไดเ้ อง สามารถบริโภคในครัวเรือนได้อย่างเพียงพอ โดยมี สดั สว่ นดังน้ี ผลติ ขา้ วเพียงพอสำ� หรับบริโภค พ่ึงตนเอง 50% ผลิตพชื ผกั เพียงพอสำ� หรับบริโภค พ่ึงตนเอง 20% ผลติ ผลไมเ้ พียงพอสำ� หรับบริโภค พึ่งตนเอง 15% ผลิตเน้อื สัตว์ เพียงพอสำ� หรับบริโภค พึ่งตนเอง 15% 2) แหล่งทม่ี าของอาหาร ผลิตได้เองจากไรน่ าตนเองทั้งหมด พ่ึงตนเอง 100% สามารถหาจากแหลง่ ทรัพยากรธรรมชาติในชมุ ชน พ่งึ ตนเอง 75% ซือ้ อาหารบริโภคจากภายในชมุ ชน พงึ่ ตนเอง 50% ซอ้ื อาหารบริโภคโดยไมท่ ราบแหล่งผลติ พึ่งตนเอง 0% ที่มา: วิฑรู ย์ ปัญญากุล, 2551 อ้างโดยพรรณี เสมอภาค, 2553 67
การสร้างความมั่นคงทางอาหารเปน็ เงอื่ นไขหนงึ่ ในการก้ยู ืมเงินจากกองทุน หมนุ เวียนเพอ่ื การจัดการน้�ำ โดยสมาชกิ ที่จะกยู้ มื เงนิ ไปพัฒนาระบบการจัดการ นำ้� ได้ ต้องปลูกพืชอาหารในแปลงนา อย่างนอ้ ย 31 ชนดิ หลังจากมีระบบน�้ำ เกษตรกรมกี ารปลูกพชื ผกั เชน่ มะละกอ ถ่ัวฝกั ยาว เพาะเห็ด เปน็ ตน้ และการเล้ียงสัตวผ์ สมผสานใน แปลงนา เช่น การเลี้ยงไก่ไข่ การเลี้ยงกบ และการเลี้ยงปลา เปน็ ต้น ที่มา: พรรณี เสมอภาค, 2553 ความหลากหลายของพืชอาหารในแปลงนา จากการวิเคราะหค์ วามหลากหลายของพืชอาหารในแปลงนา เปรียบเทียบระหวา่ งเกษตรกรทเ่ี ข้ารว่ มโครง การฯ 57 ครอบครัวกับเกษตรกรกลมุ่ อ่ืนๆ พบว่า เกษตรกรท่ีเข้ารว่ มโครงการฯ และเกษตรกรที่ทำ� นาอนิ ทรีย์ ในระบบเกษตรผสมผสานมีความหลากหลายของพืชอาหารท่ีปลูกในแปลงนาใกลเ้ คยี งกนั คือ เฉลยี่ ประมาณ 29 ชนดิ ส่วนเกษตรกรทีม่ คี วามหลากหลายของพืชอาหารในแปลงนาน้อยทส่ี ดุ คือ เกษตรกรท่ีท�ำนาเคมีเชิงเดี่ยว คือ มีความหลากหลายของพชื อาหารเฉล่ยี ประมาณ 16 ชนดิ 68
การจัดการนำ้� เพอื่ รับมอื กับภาวะโลกรอ้ นของชาวนายโสธร เปน็ ตัวอยา่ งหนงึ่ ของการปรับตัวเพ่ือรับมือกับ การเปลีย่ นแปลงภมู อิ ากาศในอนาคต ประโยชนท์ ่ีเกิดขึน้ จากการมรี ะบบการจัดการนำ�้ ทีเ่ หมาะสมในไร่นา นอกจาก จะช่วยลดความเสียหายของผลผลติ ทางการเกษตรแลว้ เกษตรกรยงั สามารถวางแผนการผลติ ได้ ในกรณที เี่ กดิ ภาวะแหง้ แลง้ หรือฝนทิง้ ช่วง ทสี่ �ำคัญการมีระบบการจัดการนำ�้ ยงั เออื้ ใหส้ ามารถปลกู พืชผกั ต่างๆ และเล้ียงสัตว์ ได้ตลอดทั้งปี ท�ำใหเ้ กษตรกรมคี วามมั่นคงทางอาหารเพิม่ ข้ึน โดยท่ีบางครอบครัวยงั สามารถมรี ายได้เพิ่มเตมิ จาก การขายผลผลิตทางการเกษตรอีกดว้ ย การปรับตัวเพอ่ื รับมือกับภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องจำ� เปน็ อย่างหลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ส�ำหรับการเกษตรในยคุ ปัจจุบัน เกษตรกรที่มองการณ์ไกลและเตรียมพร้อมในเรื่องนอ้ี ย่างมงุ่ ม่ันเทา่ นน้ั ที่จะสามารถอยู่รอดไดภ้ ายใต้ ภาวะความไม่แนน่ อนและผนั ผวนแปรปรวนของดนิ ฟ้าอากาศท่ีนบั วันจะเพิม่ ข้นึ เรื่อยๆ ในอนาคต การเปรี ยบเทียบความหลากหลายในการปลูกพืชอาหาร ในแปลงของเกษตรกร 69
ป่าชมุ ชนและไรห่ มนุ เวียน ศักยภาพและบทบาทในการชว่ ยลดวกิ ฤตโลกรอ้ น3 ป่าชมุ ชนและไรห่ มนุ เวยี นเป็นระบบการเกษตรบนพื้นที่สงู ท่ีเก้อื กลู ตอ่ วิถีธรรมชาติ ไม่เพียงแต่เปน็ แหลง่ ความม่ันคงทางดา้ นอาหารสำ� หรับชมุ ชน แตย่ งั มศี กั ยภาพและบทบาทอย่างยิง่ ในการช่วยลดวิกฤตโลกร้อน การจัดการปา่ ชมุ ชนและไรห่ มนุ เวยี นอยา่ งย่ังยืน: กรณศี กึ ษาชมุ ชนห้วยหนิ ลาด จ.เชยี งราย ชมุ ชนห้วยหินลาดประกอบดว้ ย 3 หยอ่ มบ้าน ไดแ้ ก่ บา้ นหนิ ลาดใน บา้ นผาเยอื งและบา้ นหินลาดนอก อยู่ในเขตการปกครองของต�ำบลบา้ นโปง่ อ�ำเภอเวยี งปา่ เป้า จังหวัดเชียงราย ตงั้ อยู่ในหุบเขากลางอทุ ยานแห่ง ชาติขุนแจ๋ ท่ีตั้งหมูบ่ า้ นอยหู่ า่ งจากตัวอ�ำเภอเวยี งป่าเป้าไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงใตป้ ระมาณ 30 กโิ ลเมตร และ ห่างจากตวั เมืองเชียงรายประมาณ 130 กโิ ลเมตร มสี มาชิกทั้งหมด 48 ครัวเรือน มีประชากรทั้งสนิ้ 252 คน เปน็ ชนเผา่ ปกาเกอ่ ญอ (กระเหรี่ยงสกอร์) ชมุ ชนหว้ ยหินลาดเลย้ี งชีพดว้ ยการปลูกขา้ วไร่ ทำ� นา ทำ� สวนชา ปลูกพืช เศรษฐกิจบางสว่ นและเกบ็ หาของป่า ปา่ ชมุ ชนมอี าณาเขตรวมกัน 19,498 ไร่ ชมุ ชนมพี น้ื ท่อี ยอู่ าศยั 98 ไร่ และ พ้ืนท่ที ำ� กิน 3,550 ไร่ (มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , 2553) สดั ส่วนพนื้ ทีท่ �ำกนิ ของชมุ ชนหว้ ยหนิ ลาด พน้ื ท่ี 3,550 ไร่ ทมี่ า: มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , 2553 3 เรียบเรียงจากงานวิจัยชมุ ชนโดย ชลธริ า ทิพยอ์ ักษร นักวิจัยของมลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนือ 70
บ้านหินลาดในถือเปน็ แหลง่ ผลติ ชาชน้ั ดี ซ่งึ ชาส่วนใหญ่จะเป็นชาที่เกดิ และเติบโตขน้ึ เองตามธรรมชาติ ในปา่ โดยชมุ ชนจะกนั พื้นทบ่ี างสว่ นไว้เป็นสวนชาเพอื่ เกบ็ ใบชาขายเป็นรายได้หลักของชมุ ชน สวนชาจงึ เปน็ การใช้ ประโยชนจ์ ากป่าในรปู แบบวนเกษตร โดยสามารถเก็บใบชาออกขายได้ตลอดทั้งปี ชาแตล่ ะชนดิ มีวิธีเกบ็ ไม่เหมือน กัน เช่น ชาเขียวจะเก็บเฉพาะใบออ่ นสามใบจากยอด สำ� หรับชาขาวจะเกบ็ เพียงใบเดียว ส่วนทเ่ี หลือจะขายเป็นชา จีน ในอดีตเคยมีผมู้ าตดิ ต่อใหช้ าวบา้ นบา้ นหนิ ลาดในเปลยี่ นจากการปลูกชาธรรมชาตมิ าปลกู ชาอหู่ ลง แต่ชาวบา้ น ไมเ่ หน็ ดว้ ยเพราะชาชนดิ นต้ี อ้ งการป๋ยุ และสารเคมมี าก ในการใชป้ ระโยชน์จากป่า ชาวบา้ นทั้ง 3 หยอ่ มบา้ นจะยดึ ถอื ภมู ปิ ัญญาและความรทู้ อ้ งถ่ินท่ีสบื ทอดกันมา เป็นแนวปฏิบตั อิ ย่างเคร่งครัด โดยชมุ ชนจะร่วมกันการกำ� หนดเขตในการใช้ประโยชน์พ้ืนที่ปา่ อยา่ งชัดเจน กลา่ วคอื พืน้ ทีป่ ่าชมุ ชนดา้ นทิศเหนอื ของหม่บู ้านเป็นป่าอนรุ ักษ์ทีห่ ้ามลา่ สัตวท์ ุกชนดิ แต่สามารถเก็บไมล้ ม้ ขอนนอนไพร หรือไมท้ ีแ่ หง้ ตายโดยธรรมชาติมาเป็นไมฟ้ น้ื ได้ ส่วนป่าบริเวณดอยโซซโู จะ๊ ดอยประตดู ิน ดอยม่อนเหลี้ยมนอ้ ย ม่อนเลยี้ งหลวง เปน็ พน้ื ที่ปา่ อนรุ ักษท์ ี่มิให้มีการตดั ไมแ้ ผ้วถางพื้นที่ รวมทั้งหา้ มเกบ็ ไม้มาใช้ประโยชน์ แตไ่ มห่ า้ ม เกบ็ เห็ด พชื ผกั อาหาร ลา่ หมปู ่า และสตั ว์ป่าอาหารอื่นๆ นอกจากน้ี ชาวบา้ นยังมีการดแู ลและเฝา้ ระวงั ปา่ อยา่ งใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงทม่ี ีไฟปา่ ระหวา่ งเดือน กุมภาพันธถ์ ึงเดอื นเมษายน โดยชาวบ้านจะทำ� แนวกันไฟ และมกี ารจัดเวรยามออกส�ำรวจเฝ้าระวงั และช่วยกันดับ ไฟป่าหากมีไฟป่าลุกลามเขา้ มาในเขตปา่ ชมุ ชน นอกจากน้ี ไดม้ กี ารประสานความรว่ มมอื กบั ชมุ ชนใกลเ้ คยี งเพ่อื สรา้ ง เครือขา่ ยระดบั ลมุ่ นำ�้ ในการคุม้ ครองปา่ ชาวบา้ นถือว่าพ้นื ทีบ่ ริเวณป่าตน้ นำ้� เปน็ สถานท่ีศักด์สิ ิทธ์ิตอ้ งปกปอ้ งไวไ้ ม่ ยอมให้ ใครเขา้ ไปใช้ประโยชน์ เพราะเชือ่ ว่าเป็นที่อยู่ของผีปา่ สิง่ ศกั ด์ิสทิ ธิ์ การอนรุ ักษป์ า่ จงึ เปน็ คณุ ค่าอย่างหนงึ่ ท่ี ชมุ ชนยดึ ถือและสืบทอดกนั มาจนถงึ ปจั จุบนั (มูลนธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , 2553) คเปปทาา่ร่ารชะกบ์ มุ มโบัศอชดากันนณย6ยบท6เภา้ท3ั่ว1าน3,่าไพ3ป.หก97กพับว้22ายนื้ .ร21หตทด6,นินัี่ป6ดู ลต2ตา่ซาไ4อ่ันับมด.ป4ค้มหี…19าศี รรดไักตือบ์รังย่ันอนสปภนนั้าารขมพะอใาชในงนารชพกถกว่ ื้นรดางรทเดู 1วดี่ปซลูดคับ่าาซนชกมบัุ1๊าชดกซปนแู๊าคี ซลาบครพา้์บา้ืนนรอทห์บนป่ีว้อย่านเหพิน่อื ลเกาดบ็ กับ 71
ไร่หมนุ เวยี น: ระบบการผลติ ที่เกือ้ กูลตอ่ ธรรมชาตแิ ละ หดรกังือห๊านซาั้นปคกรารพะรถืน้มทบ์ ยทาีจ่อนณปป่ีดนตลรทา่จ์้อ่อชาะ1มุยยกเบชคลกกนียานัะ๊ารนซข3ใค(ใชนร1นา้ระาภรถขยด์บาอยะคองท1นเจ9นหาต�ำ,งน4จ์น4เ9ฉือ�ำว.5น8นล4ปวย่ีรไนีถรต22่ยัน51ส0น45/า,ต51ปม21,ส์าี61รว่ 7ถกน6มกบ.กัคุค/เปคันกล)ี็บ การด�ำรงชีพทยี่ ัง่ ยนื ของชมุ ชน ไร่หมุนเวียนเป็นระบบการเกษตรบนพนื้ ที่สูงแบบดงั้ เดมิ ที่สอดคลอ้ งกับระบบนเิ วศและวิถีวัฒนธรรมของชมุ ชน ในระบบไร่ หมุนเวียนจะมีการปลูกข้าวพั นธุ์พื้นเมืองและพืชอาหารหลากหลาย ชนดิ ในแปลงเดียวกัน การใชป้ ระโยชนท์ ่ีดนิ ในระบบไร่หมนุ เวยี นจะใช้ ทด่ี นิ เพียงปเี ดียว แลว้ ปล่อยให้ปา่ และดนิ ได้ ฟื้นตวั ตามธรรมชาติ ใชเ้ วลาประมาณ 6-10 ปี จงึ กลับมาใชพ้ นื้ ท่ี เดิมอกี ครั้ง ดงั นน้ั ในแต่ละปีพืน้ ท่ีไรห่ มนุ เวียนในชมุ ชนหว้ ยหนิ ลาด จึงถกู เปิดใช้เพอื่ ทำ� ไร่เฉล่ียเพียง 150 ไร่ ต่อปจี ากพ้ืนที่ไรห่ มนุ เวยี น ทั้งหมดของชมุ ชน 1,590 ไร่ หรือคิดเปน็ ร้อยละ 10 ของพืน้ ท่ี ส่วน ขนาดของไรห่ มุนเวียนจะอยูท่ ่ปี ระมาณ 4-5 ไร่ตอ่ ครัวเรือน โดยใน ไร่หมุนเวยี นจะไม่มกี ารใช้ปุ๋ยเคมแี ละสารเคมี ในการผลิต ขัน้ ตอนการท�ำไรห่ มนุ เวยี นจะเริ่มตน้ ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ หลงั จากท่ีได้เลือกพ้นื ทชี่ าวบ้านจะทำ� การถาง ไร่และตัดต้นไม้ ใหญ่ใหเ้ หลือตอไวส้ ูงประมาณ 1 เมตร เพือ่ ใหต้ ้นไมส้ ามารถแตกหน่อขนึ้ มาทดแทนได้ภายหลัง การเก็บเกย่ี ว จากน้ัน ชาวบ้านจะตากเศษไมแ้ ละวัชพชื ให้แหง้ สนทิ แล้วจงึ ทำ� การเผาไรช่ ่วงปลายเดือนมนี าคมถงึ ต้นเดือนเมษายนกอ่ นฝนแรกของฤดจู ะมาเยอื น 2-3 วัน ก่อนจะเผาไร่ ชาวบ้านจะชว่ ยกนั ท�ำแนวป้องกันไฟและ เลอื กท�ำการเผาไร่ชว่ งเวลา 15.00-17.00 น.ซึ่งเป็นช่วงเวลาท่ีแสงแดดเริ่มอ่อนตัวลง เศษไม้และวัชพชื ลุกไหมไ้ ด้ดี และเปลวไฟไม่รุนแรง การเผาจะเผาจากด้านบนของแปลงลงสดู่ ้านลา่ งตามทิศทางการไหม้ของไฟและเผาจากด้าน ข้างทั้งสองเข้าหาใจกลางไร่เพื่อลดความรุนแรงของเปลวไฟและเพื่อป้องกันมิให้ไฟลุกลามออกนอกแปลง ซงึ่ ใน การเผาจะใชเ้ วลาเพียง 1-2 ชวั่ โมงเทา่ น้ัน หลงั จากเผาไรเ่ สร็จประมาณ 1 สปั ดาหช์ าวบ้านจะทำ� การเกบ็ เศษไมท้ ี่ เหลือออกจากไร่ จากนัน้ จึงเริ่มปลกู พืชประเภท เผือก มนั ฟักทอง อ้อย ขา้ วโพด ฯลฯ กอ่ นการปลูกขา้ ว เพื่อให้มี พชื อาหารไว้บริโภคในชว่ งเพาะปลูกขา้ ว พชื อาหารในไร่หมนุ เวียน ฐานความม่ันคงดา้ นอาหารของครอบครัว 72
การปลกู ข้าวจะเริ่มขน้ึ ในเดอื นพฤษภาคม กอ่ นจะปลกู ข้าว ชาวบา้ นจะทำ� พธิ ีส่ขู วัญขา้ วเพื่อเป็นสริ ิมงคล และเพื่อใหผ้ ลผลิตอดุ มสมบูรณ์ ในการเพาะปลูก ชาวบา้ นจะหยอดเมล็ดพันธข์ุ า้ วกบั พชื ผักนานาชนดิ ในบริเวณ เดียวกนั พชื ผกั แต่ละชนดิ จะทยอยกนั ใหผ้ ลผลิต ท�ำใหม้ พี ชื ผักจากไรม่ าบริโภคไดต้ ลอดทั้งปี ส่วนข้าวจะเกบ็ เก่ียว ช่วงปลายเดอื นตุลาคมถึงต้นเดอื นพฤศจิกายน ภายหลงั การเกบ็ เกีย่ ว จะนำ� วัวควายมาเลีย้ งในไรป่ ลอ่ ยใหก้ นิ เศษ ฟางขา้ วท่เี หลือจากการเกบ็ เกย่ี วและพักพน้ื ท่ี ใหด้ นิ และปา่ ไดฟ้ นื้ ตัวตามธรรมชาติ รอการหมนุ เวียนกลับมาอกี ครั้งในอีก 6-10 ปขี ้างหนา้ (มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , 2553) ลกั ษณะไร่หมุนเวยี นทีม่ กี ารพักพ้นื ที่ (ไร่เหลา่ ) เป็นระยะเวลา 1-5 ปี ศกั ยภาพของไร่หมุนเวยี นในการกกั เกบ็ คาร์บอน โดยปีการผลติ 2551 ชาวบ้านใช้พ้นื ท่ีทำ� ไร่หมนุ เวียนประมาณ 114 ไร่ หรือร้อยละ 1 ของพืน้ ท่ีทั้งหมด และพ้ืนที่ไรเ่ หลา่ ปที ่ี 1-10 ประมาณ 1,476 ไร่ หรือร้อยละ 13 ของพืน้ ทท่ี ั้งหมด ตารางแสดงศักยภาพในการกักเก็บคารบ์ อนและปริมาณคาร์บอนทสี่ ญู เสียไปจากไรห่ มนุ เวยี น ในชมุ ชนห้วยหินลาด ในปี พ.ศ. 2551 หน่วยของพืน้ ท่ี ปริมาณคาร์บอนทีก่ กั พน้ื ที่เผา ปริมาณคารบ์ อนที่ เก็บได้ สูญหาย (80%) สัดสว่ นพน้ื ท่ี ไร่ เฮกตาร์ (ตัน/ ไร่ เฮกตาร์ (ตนั / 114 18.24 เฮกตาร)์ 4 ตนั -- เฮกตาร)์ 5 ตัน ไรข่ า้ วปีปัจจุบัน 199 31.84 -- ไรเ่ หลา่ พัก 1 ปี 187 29.92 25 456 -- 2.3 - ไรเ่ หลา่ พัก 2 ปี 12 478 -- 27 898 -- 4 ปริมาณคารบ์ อนท่กี ักเก็บได้ คำ� นวณจากสมการเสน้ ตรง y=15.66x-4.11 เม่อื x คอื ปีท่ีไรเ่ หล่าถกู พักไว้ และ y คือ ปริมาณ คาร์บอนทกี่ กั เกบ็ ได้ โดยความสมั พันธข์ องสมการเสน้ ตรงมคี า่ R2=0.955 ซ่ึงสมการดงั กลา่ วน้ี สร้างมาจากฐานข้อมูลการศึกษา ของ Thomas (2004) ทรี่ ะบวุ า่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อนของไรเ่ หลา่ ปีที่ 3, 6 และ 10 ในพ้ืนที่ศกึ ษาอำ� เภอแม่แจม่ มี คา่ เท่ากบั 50.7, 76.2 และ 158.4 ตนั คารบ์ อน ตามลำ� ดบั 5 ปริมาณคาร์บอนที่สญู หาย (จากการเผาไหม้ 80%) คำ� นวณจากสมการเสน้ ตรง y=5.566x-16.56 เมอ่ื x คือ ปีที่ไร่เหลา่ ถกู พักไว้ และ y คอื ปริมาณคาร์บอนทส่ี ญู หาย โดยความสัมพันธข์ องสมการเส้นตรงมคี ่า R2=0.97 ซงึ่ สมการดังกล่าวน้ี สร้างมา จากฐานขอ้ มลู การศกึ ษาของ Thomas (2004) ทรี่ ะบวุ า่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อนเหนอื ดนิ ของไรเ่ หลา่ ปที ่ี 3, 6 และ 10 ในพืน้ ท่ศี ึกษาอ�ำเภอแม่แจ่ม มีคา่ เทา่ กับ 3.0, 16.1 และ 51.0 ตันคารบ์ อน ตามลำ� ดับ 73
หนว่ ยของพน้ื ท่ี ปริมาณคารบ์ อนท่ีกกั พืน้ ที่เผา ปริ มาณคาร์บอนที่ เก็บได้ สญู หาย (80%) สัดสว่ นพน้ื ท่ี ไร่ เฮกตาร์ ไร่ เฮกตาร์ 172 27.52 (ตัน/ ตนั -- (ตนั / ตัน ไรเ่ หล่าพัก 3 ปี เฮกตาร)์ 4 เฮกตาร)์ 5 ไร่เหล่าพัก 4 ปี ไรเ่ หล่าพัก 5 ปี 43 1,238 0- ไร่เหล่าพัก 6 ปี ไร่เหลา่ พัก 7 ปี 153 24.48 59 1,469 -- 6 - ไร่เหลา่ พัก 8 ปี ไร่เหล่าพัก 9 ปี 135 21.6 74 1,620 - - 11 - ไร่เหลา่ พัก 10 ปี 202 32.32 90 2,909 5 0.80 17 14 93 14.88 106 1,577 69 11.04 22 243 125 20 121 2,420 11 1.76 28 49 101 16.16 137 2,214 14 2.24 34 76 109 17.44 152 2,651 15 2.40 39 94 ปริมาณคาร์บอนท่กี กั เกบ็ รวม 17,643 ปริมาณคาร์บอนทีส่ ญู หายรวม 476 ทมี่ า: มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , 2553 ส�ำหรับปริมาณการกักเก็บคารบ์ อนของพน้ื ที่ไรห่ มนุ เวยี นบ้านหว้ ยหินลาดทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2551 พบวา่ สามารถกกั เกบ็ คารบ์ อนสทุ ธิ6ได้ 17,167 ตนั หรือเทา่ กับ ปริมาณการกักเก็บคารบ์ อนของพื้นทีป่ ่าชมุ ชน 520 ไร่ จากการใช้ประโยชนพ์ ื้นที่ไรห่ มุนเวียน 1,590 ไร่ ซงึ่ เมอ่ื รวมกบั พน้ื ที่นาที่มปี ริมาณกกั เกบ็ คาร์บอน 904 ตัน พน้ื ท่ี สวนชา 28,124.48 ตัน สวนผลไม้ 3,336.96 ตนั ไรข่ า้ วโพด 9,266.40 ตัน และพื้นทปี่ า่ ชมุ ชน 661,372.16 ตัน (มูลนธิ พิ ัฒนาภาคเหนือ, 2553) แล้ว พบว่าชมุ ชนห้วยหนิ ลาดสามารถกักเกบ็ คาร์บอนได้ทั้งสิ้น 720,627 ตนั หรือเทา่ กบั ปริมาณการปลดปลอ่ ยกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดข์ องรถยนตน์ งั่ สว่ นบคุ คล จำ� นวน 158,728 คนั ใน 1 ปี หรือประมาณ 1 ใน 3 ของจ�ำนวนรถยนตส์ ว่ นบคุ คลที่จดทะเบียนในภาคเหนือ ปี 2552 6 คารบ์ อนสุทธิ = คารบ์ อนทีก่ ักเก็บได้ (17,643 ตัน) - คารบ์ อนท่สี ูญเสีย (476 ตัน) 74
ใอ(ทมชมทโุปท้สี่นนดี่จสราษุษุะรยงัมพสอคยยคายาย์บ�ำ์รข์มากเนรถอทกาาวิโงรร้ารภณผมถขนปคลจนอตเิรไาวติษงุปอะกศมอเยบขมานแ์กส(นหนิษEุลบันาาทcะยดคอรoเ�ำท์ขพวไงใlดาอoคห่มีือ่ ม้เงgวผีส้รอทสาiอาลงcมาด่ีมงตตaมตนิราาl่อารับ้อแมรรfถงแoลธะถกเoบรละหใานพรtะบ็นรpมทก้ืนนขวrชา�ำทอ่าiเิาnรวใง่ีหตใฟศtโมน)ล้กิขื้นนทใกาอเนตปษุะกจงกเัว็นขโำ�ยลาลขอนว์ขรอกิงเธวอทมงเนีกงสธโือ่ดาเแดียรทพแรตรยไว่าจิทมมก่ลดัใาน่เดชาะรคปาทรปณว็นต(เรราหปาอิัพมะจรรันเยตาืีอยทตกา้อโบศกลรวง)เิารถกกทยทีกากียตร่ี่ีาใบบ่อร) บริโภคของมนษุ ยแ์ ต่ละคน (www.wikipedia.org/wiki/Ecological_footprint) รอยเทา้ นเิ วศของชมุ ชนหว้ ยหนิ ลาด จากการศกึ ษาของมูลนธิ ิพัฒนาภาคเหนือ (2553) พบว่า ขนาดรอยเทา้ นเิ วศของประชากรบ้านหนิ ลาดใน บา้ นหนิ ลาดนอกและบ้านผาเยือง เฉล่ียอยทู่ ป่ี ระมาณ 3.80, 2.62 และ 3.35 ไร่ต่อคน ตามล�ำดบั ในขณะท่ีพื้นที่ ทสี่ ามารถตอบสนองการบริโภคของชมุ ชนอยูท่ ี่ประมาณ 112.32, 49.28 และ 139.67 ไรต่ ่อคน ตามล�ำดับ ชมุ ชน จงึ บริโภคทรัพยากรน้อยกว่าขีดความสามารถท่ที รัพยากรจะรองรับได้ วิถีการบริโภคของชมุ ชนจงึ ไมท่ �ำใหส้ มดลุ ของระบบนเิ วศสญู เสียไป ในขณะท่ี รอยเท้านเิ วศของคนไทยเฉลีย่ อยทู่ ่ปี ระมาณ 10.63 ไร่ตอ่ คน แต่พนื้ ทขี่ องประเทศสามารถตอบ สนองการบริโภคไดเ้ ฉล่ยี เพียง 6.88 ไร่ต่อคน นัน่ คือ คนไทยโดยเฉลยี่ บริโภคทรัพยากรมากกวา่ คนในชมุ ชนหว้ ย หินลาดมาก และใช้เกินกวา่ ทรัพยากรทม่ี ีอยู่ และเม่ือเปรียบเทียบกบั รอยเทา้ นเิ วศของประชากรสหรัฐอเมริกา ซง่ึ เฉลย่ี อยู่ทปี่ ระมาณ 56.25 ไร่ตอ่ คน ในขณะท่มี ีพนื้ ทีท่ ่ีสามารถตอบสนองการบริโภคไดเ้ ฉลีย่ เพียง 28 ไร่ต่อคน การบริโภคเกนิ กวา่ ทรัพยากรท่ีมอี ยู่นจ้ี ะท�ำให้เกดิ สภาวะขาดแคลนทรัพยากรท่ีจะมาสนองตอบการบริโภคส่งผล ให้สมดลุ ของระบบนเิ วศสญู เสีย *ที่มา: Global Footprint Network (2009) อา้ งโดย มูลนธิ พิ ัฒนาภาค เหนือ, 2553 75
ศักยภาพป่าชมุ ชนและไร่หมุนเวยี นในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สำ� หรับความมั่นคงทางอาหารในฐานะปัจจัยเบื้องต้นของการด�ำรงชีวิต จากกรณศี กึ ษาท่ชี มุ ชนห้วยหนิ ลาด พบว่า ชาวบ้านไดอ้ าหารจาก 2 รปู แบบดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ เกบ็ หาเอาจากป่าชมุ ชน และเพาะปลูกพืชอาหารใน พืน้ ที่นา พื้นทส่ี วนชา และพนื้ ที่ไรห่ มุนเวียน โดยระบบการเพาะปลกู ในพ้ืนที่ไรห่ มนุ เวียนไม่ใช่เพียงเพือ่ ตอ้ งการ “ผลผลติ ข้าว” เท่านั้น แต่เปน็ เรื่องของการ “ผลติ อาหาร” โดยในปีที่ ใชพ้ ้ืนที่ไร่หมนุ เวยี นเพ่ือการผลติ ข้าว ชาว บ้านจะปลกู พชื ผกั อาหารร่วมกบั การปลูกขา้ ว ไดแ้ ก่ พริก ถ่วั งา หอ่ วอ มนั ฟักทอง ฟกั เขียว อ้อย แมงลกั ขา้ ว สาลี แตง หอมชู มันสำ� ปะหลงั ข้าวฟ่าง ผักกาด บวบ และอื่นๆ นอกจากน้ี แหลง่ “ผลิตอาหาร” ของชาวบ้านยงั รวมถงึ พ้นื ที่ไร่หมนุ เวียนท่อี ยู่ในระยะพักฟื้นพ้นื ทอ่ี กี ด้วย โดยพื้นท่ีไรเ่ หล่ายังคงมีพืชอาหาร เชน่ หัวเผอื ก หัวมนั พริก มะเขอื และยงั เป็นทอี่ ย่ทู ก่ี ินของสัตว์จ�ำพวก นก หนู อเี ห็น หมปู า่ ฯลฯ ซึ่งถอื วา่ เป็นผลผลิตอาหารที่ส�ำคญั ของชมุ ชน ในปี พ.ศ. 2551 ชมุ ชนห้วยหินลาด บริโภคพชื ผักอาหารจากจากพื้นที่นา ร้อยละ 53 พ้นื ท่ีไร่ หมุนเวียน ร้อยละ 34 พืน้ ที่สวนชา รอ้ ยละ 6 และเกบ็ หาเอาจากป่าชมุ ชน ร้อยละ 7 ทม่ี า: มูลนธิ พิ ัฒนาภาคเหนือ, 2553 ท่มี า: มูลนธิ ิพัฒนาภาคเหนอื , 2553 76
กระบวนการผลติ ข้าวไรห่ มุนเวียน ท่มี า: มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , โดยพชื อาหารที่ชมุ ชนหว้ ยหินลาดได้มาจากการเพาะปลูกของครัวเรือนและเก็บหาเอาจากธรรมชาติ มีดังน้ี ไร่หมนุ เวยี น นา ป่า สวน ข้าวเจา้ ไดแ้ ก่ บือหมอื่ พะ ข้าวนา ผักกูด ใบบัวบก หนอ่ ไม้ น้�ำผง้ึ ลูกก่อ มะเขอื เครือ มะขม มะแขวน่ โดะ บือหม่ือโพปริ บือบอ ฯลฯ หนอนไผ่ เห็ด ผกั กดู ผัก ลูกพลบั มะนาว มะม่วง บือซู บือเกอะพู่ และเอา หนาม ผกั หวาน คาวตอง กล้วย มะไฟ ส้มโอ มาใหม่อีก 2 พันธุ์ (ยังไม่ ดอกต้ัง ดอกแค หางหวาย ดอกต้ัง ดอกแค ชะอม ทราบชอื่ พันธุ)์ ขา้ วเหนยี ว ยอดมะไฟ ปลีกล้วย มะเขือ หางหวาย ปลกี ลว้ ย ไดแ้ ก่ ปอิ๊ บิ อ (ขา้ วเหนยี ว พวง มะม่วง มะไฟ ฯลฯ มะละกอ ถ่วั ฝกั ยาว เหลือง) ปิอ๊ ิซู (ขา้ วเหนยี ว ผกั รากกล้วย เพกา ด�ำ) ป๊ิอกิ วา (ข้าวเหนยี ว ผักหนาม คาวตอง ขาว) และพชื ผักพนื้ บา้ น มะเขอื พวง ขมนิ้ ผักไผ่ ใบ ประมาณ 105 ชนดิ มะกรดู ปลงยกั ษ์ ผกั หนอง ผกั ชีฝรั่ง หางว่าน ฝรั่ง ต้นกล้วย เต่าร้าง ใบพลู ฯลฯ ท่มี า: มูลนธิ ิพัฒนาภาคเหนือ, 2553 77
จากการศกึ ษาเปรียบเทยี บสดั ส่วนการบริโภคอาหารในปี พ.ศ. 2551 ของชมุ ชนห้วยหนิ ลาดกบั การ บริโภคอาหารของคนในเมือง พบวา่ ชมุ ชนห้วยหนิ ลาดนำ� เข้าอาหารจากภายนอกชมุ ชนเพียง รอ้ ยละ 9.17 เทา่ น้ัน ส่วนท่เี หลือหาไดจ้ ากในชมุ ชน ทั้งจากการเพาะปลกู และเกบ็ หาจากปา่ ชมุ ชน ซงึ่ แตกต่างจากการบริโภคอาหารของ คนในเมืองท่ีน�ำเข้าอาหารทั้งหมด ทมี่ า: มูลนธิ ิพัฒนาภาคเหนอื , 2553 * วิเคราะห์จากอาสาสมัคร 5 ราย ซง่ึ ส่วนใหญอ่ าศัยอยู่หอพัก โดยทำ� การเกบ็ ขอ้ มูลการบริโภค อาหารในแต่ละมือ้ อยา่ งละเอียดเปน็ เวลา 1 สัปดาห์ เม่อื เทยี บสารอาหารที่ได้จากการบริโภคอาหารแต่ละชนดิ ของชมุ ชนหว้ ยหนิ ลาดกับคนในเมอื ง พบ ว่า บริโภคอาหารประเภทวิตามนิ และเกลอื แร่สงู ทีส่ ุดจ�ำนวน 40 ชนดิ โปรตนี จำ� นวน 23 ชนดิ คาร์โบไฮเดรต จำ� นวน 4 ชนดิ และไขมนั เพียง 3 ชนดิ ขณะทีค่ นในเมืองบริโภคอาหารท่มี ีความหลากหลายนอ้ ยกว่า ทม่ี า: มลู นธิ ิพัฒนาภาคเหนือ, 2553 78
นอกจากน้ี ยงั พบว่า ในปี พ.ศ. 2551 ชมุ ชนห้วยหนิ ลาดบริโภคพชื ผกั อาหารภายในชมุ ชน ปริมาณ 58,159 กิโลกรัม หรือบริโภค 625.40 กโิ ลกรัมต่อคน หรือประมาณวนั ละ 1.71 กโิ ลกรัมตอ่ คน ชมุ ชนบนพนื้ ท่สี ูงมกั ตกเปน็ จ�ำเลยของสงั คมและถกู กลา่ วหาอยเู่ สมอๆวา่ เป็นผู้บุกรุกทำ� ลายปา่ และทำ� ให้ เกิดปญั หาโลกรอ้ นขึน้ แต่จากกรณีศกึ ษาชมุ ชนห้วยหินลาดกลับพบว่า วิถีการผลิตและการด�ำรงชีพของชมุ ชนบน พน้ื ทส่ี งู เกอื้ กลู ตอ่ วิถีธรรมชาติ วิถีการดำ� เนนิ ชีวิตและการบริโภคทก่ี นิ นอ้ ยใชน้ อ้ ย ทำ� ใหช้ มุ ชนมขี นาดรอยเทา้ นเิ วศ เลก็ เมอ่ื เทยี บกบั คนในเมอื ง นัน่ หมายความวา่ ชาวบา้ นทอี่ าศยั อยบู่ นพน้ื ทสี่ งู ปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกนอ้ ยกวา่ คนใน เมอื ง ขณะทม่ี คี วามมั่นคงทางดา้ นอาหารสงู กวา่ วิถีการผลติ แบบไรห่ มนุ เวยี นและการจัดการปา่ ชมุ ชนอยา่ งยงั่ ยนื นอกจากจะลดการเบียดเบียนธรรมชาตแิ ลว้ ยงั มศี กั ยภาพและบทบาทอยา่ งยงิ่ ในการชว่ ยลดวิฤตโลกรอ้ นไดอ้ กี ดว้ ย 79
คืนความสมดลุ สธู่ รรมชาติ และลดการขดู รีดและเอาประโยชน์จากโลกอย่างไม่ร้จู ักพอ คือหนทางสดุ ท้ายในการเยียวยา 80 และลดผลกระทบจากวกิ ฤตโลกรอ้ นอย่างย่ังยนื
การปรบั ตวั และเตรียมพร้อมรับมอื วกิ ฤตโลกร้อน สำ�หรับภาคการเกษตรไทย 81
วิถเี กษตรกรรมยั่งยืนและภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ : เยยี วยาโลกรอ้ น เพื่อโลก เย็นท่ียัง่ ยืน ภายใตส้ ภาวะอากาศแปรปรวน เกษตรกรมีความเสี่ยงในการผลติ เพม่ิ ขึน้ การปรับตัวและเตรียมพร้อม รับมือกับความแปรปรวนของสภาพดนิ ฟ้าอากาศจึงมีความจำ� เป็นอย่างยิ่งส�ำหรับเกษตรกรในยุคปจั จุบนั วิถีการ ผลติ แบบเคมีเชิงเดี่ยวที่มตี ้นทนุ การผลติ สูงมคี วามเสย่ี งมากกว่าวิถีการผลิตท่ีเน้นความหลากหลายและยงั่ ยนื ของ ระบบธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน: เพ่มิ ทางเลือก สู่ทางรอดของเกษตรกรไทย การทำ� การเกษตรเชิงเดี่ยวที่พงึ่ พิงพืชตวั ใดตัวหนงึ่ เปน็ หลกั เพียงอยา่ งเดียว ไดก้ ลายมาเป็นระบบ การเกษตรท่มี คี วามเสยี่ งมากข้นึ ภายใตภ้ าวะโลกรอ้ นดงั เช่นในปจั จุบนั นอกจากตน้ ทุนการผลติ จะสงู แล้ว ผลผลติ ยังเสีย่ งทจ่ี ะเสยี หายทั้งหมด หรือได้รับผลกระทบอยา่ งหนกั หากเจอวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวน ทำ� ให้ เกษตรกรไม่มที างเลือก ขาดความม่ันคงทางอาหาร และมโี อกาสเสย่ี งสงู ท่จี ะขาดทุน หัวใจส�ำคัญของเกษตรผสมผสานคอื การเพิ่มความหลากหลายในระบบการผลติ ในไร่นา เพ่ือลดและ กระจายความเสย่ี งในการทำ� การเกษตรให้น้อยลง โดยเฉพาะหากต้องเผชิญวิกฤตสภาพอากาศ โดยการปลูกพชื และเลยี้ งสัตวห์ ลากหลายชนดิ ในพน้ื ท่ีเดียวกนั เพ่อื เพมิ่ ทางเลอื กในระบบการผลิต และยังเปน็ การสรา้ งความ ม่ันคงทางอาหารในครอบครัว เกษตรกรสามารถมรี ายได้ได้อยา่ งตอ่ เนอื่ ง การเพิ่มความหลากหลายในไรน่ ายัง เปน็ การรักษาและฟ้นื ฟคู วามอุดมสมบูรณข์ องดิน เพราะดนิ ไม่ได้ถูกใชป้ ระโยชน์ ในการปลกู พชื ซำ�้ ๆ ในพืน้ ทเี่ ดิมๆ โรคแมลงก็มโี อกาสระบาดน้อยกว่า เกษตรผสมผสานจึงเป็นทางเลือกและทางออกของเกษตรกรไทยภายใตค้ วามไม่แนน่ อนและความ แปรปรวนของดินฟา้ อากาศซงึ่ นบั วันวิกฤตข้ึนเรื่อยๆ เกษตรอนิ ทรีย์ ฟื้นฟคู วามอดุ มสมบูรณข์ องดนิ เพิม่ ความแข็งแรงแก่ตน้ พืช หวั ใจส�ำคญั ของเกษตรอินทรีย์คือ การฟนื้ ฟบู �ำรุงดินโดยการเพ่มิ อนิ ทรียวัตถุในดนิ ซ่งึ ทำ� ใหด้ นิ ร่วนซุย และมคี วามอุดมสมบรู ณเ์ พิ่มขนึ้ เกษตรอนิ ทรีย์ยังให้ความสำ� คัญกบั การปลูกพชื คลมุ ดนิ หรือใชเ้ ศษฟางเศษหญา้ คลมุ ดินโดยไม่ปลอ่ ยให้พนื้ ดินโล่งเตียน ซ่ึงนอกจากจะชว่ ยในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนออกจากดินแลว้ ยัง ลดปญั หาดนิ สึกกรอ่ นและการชะล้างพังทลายจากลมและน�ำ้ ไดอ้ ีกด้วย ขณะเดียวกันก็มกี ารปลกู พืชบ�ำรุงดนิ อยา่ ง พืชตระกูลถั่ว ซ่งึ ช่วยในการตรึงไนโตรเจนในดนิ ซึง่ เปน็ การเพมิ่ ธาตอุ าหารในดนิ โดยไม่ตอ้ งใช้ปยุ๋ เคมี ทำ� ให้พชื มี ความแขง็ แรงมากข้นึ พืชทป่ี ลูกภายใตร้ ะบบเกษตรอนิ ทรียจ์ ึงมีความแขง็ แรงกวา่ พืชทปี่ ลกู ด้วยระบบเกษตรเคมี เม่ือต้องเผชิญ สภาพอากาศแปรปรวน ผลผลติ จากแปลงเกษตรอนิ ทรียจ์ ึงมีแนวโน้มเสยี หายนอ้ ยกว่าแปลงเกษตรเคมี 82
ไรห่ มนุ เวียน ภูมิปัญญาการเกษตรบนพ้นื ทสี่ งู ไรห่ มนุ เวียนเป็นภมู ปิ ญั ญาของคนบนพน้ื ทสี่ ูงในการทำ� การเกษตรท่สี อดคล้องกับระบบนเิ วศวัฒนธรรม ของชมุ ชนและเก้อื กูลตอ่ วิถีธรรมชาติทีส่ ร้างความม่ันคงทางอาหารให้กับชมุ ชน ในระบบไร่หมนุ เวยี นจะมกี ารปลกู ข้าวพันธพุ์ ้นื เมอื งและพืชอาหารหลากหลายชนดิ ในแปลงเดียวกัน โดยไม่มีการใชป้ ุย๋ เคมีและสารเคมี ใดๆ การใช้ ประโยชนจ์ ากทด่ี นิ ในระบบไรห่ มนุ เวยี นจะใช้ท่ดี ินเพียงปีเดียว แล้วปลอ่ ยใหป้ ่าและดนิ ไดฟ้ ้นื ตวั ตามธรรมชาติ ใช้ เวลาประมาณ 6-10 ปี จึงกลบั มาใช้พ้นื ท่เี ดมิ อีกครั้ง การคดั เลอื กพ้นื ท่ี การคดั เลอื กพนื้ ทท่ี �ำไร่ ประกอบไปดว้ ยการเลือกดนิ โดยใชป้ ลายมีดเขี่ยดูหนา้ ดนิ ถ้าดินเปน็ สแี ดง แสดง ว่าดนิ มคี วามอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกพืช พนื้ ทีท่ ำ� ไรจ่ ะตอ้ งไมเ่ ปน็ พ้นื ทตี่ อ้ งห้าม ไดแ้ ก่ สันดอย ตน้ นำ�้ ขนุ หว้ ย โดยเฉพาะสนั ดอยจะเชื่อว่าเปน็ ทีอ่ ยขู่ องผี หรืออธบิ ายตามหลกั วิทยาศาสตร์ไดว้ า่ การไม่แผ้วถางพ้ืนที่ ปา่ ไม้บริเวณสนั ดอยกเ็ พ่อื ตอ้ งการใหเ้ มลด็ พันธ์ุไมส้ ามารถปลิวไปตกบริเวณพ้นื ทที่ ำ� ไร่หมุนเวยี น ซึง่ จะส่งผลให้ ไรห่ มุนเวียนฟนื้ คนื ความอดุ มสมบูรณ์ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ นอกจากน้ี ยังพจิ ารณาถงึ แสง ลม ชนดิ ของหญา้ และพชื ความลาดชัน การเตรียมพืน้ ท่ี •• การตดั ฟนั ต้นไม้ โดยฟนั ต้นไมข้ นาดเลก็ เหลอื ตอไมส้ งู จากพ้ืนดินประมาณ 1 เมตร สว่ นต้นไม ้ ใหญ่จะไม่ตดั โค่น แตจ่ ะลิดก่งิ ไม้ออกเท่านั้น •• การตากไร่ จะเป็นการตากทิง้ ไวป้ ระมาณ 2-3 สปั ดาห์ ซง่ึ ในชว่ งนเ้ี จา้ ของไรจ่ ะท�ำแนวกันไฟรอบ พนื้ ที่ไรข่ องตนเอง โดยกวาดใบไมเ้ ป็นแนวรอบพน้ื ทก่ี ว้างประมาณ 3-5 เมตร •• การเผาไร่ โดยทั่วไปจะเผาไร่ชว่ งเวลา 15.00-17.00 น. และจะเผาจากด้านบนลงด้านลา่ งเพอื่ ลดความรุนแรงของไฟ และเผาจากดา้ นข้างเข้าสดู่ า้ นในทั้งสองขา้ งเพ่อื ใหไ้ ฟหนหี ่างจากแนวกนั ไฟ ซึ่งในแตล่ ะครั้งของการเผาไร่ ชาวบา้ นจะลงแขกกัน 5-10 คน เพือ่ ควบคมุ ไฟลุกลามเขา้ ส ู่ พ้ืนทีป่ า่ ไม้ การเตรียมดินเพ่อื เพาะปลกู หลังจากเผาไร่แล้วเสร็จประมาณ 1 สปั ดาห์ ชาวบา้ นจะเก็บเศษไมท้ ี่หลงเหลือจากการเผาไร่ และปลูกพชื อาหารบางชนดิ เชน่ ขา้ วโพด เผอื ก มัน ฟักทอง ฯลฯ เพ่ือใช้เป็นพชื อาหารในชว่ งเพาะปลกู ขา้ ว นอกจากน้ี ชาวปกาเก่อญอยงั เช่อื ว่า หากไม่รีบปลูกพืชผกั อาหาร ผีเจา้ ป่าเจา้ เขาจะมาลงมือปลูกก่อน จะทำ� ใหพ้ ชื ผลทเ่ี พาะ ปลกู ภายหลงั เจ้าป่าเจ้าเขาใหผ้ ลผลิตไม่สมบูรณ์ การเพาะปลูกขา้ ว ชาวบ้านจะลงแรงกนั เพื่อเพาะปลกู ขา้ วในพื้นที่ไร่ของตน โดยในวนั เพาะปลูกเจา้ ของไร่จะเตรียมเมล็ดพันธุ์ พืชตา่ งๆ เชน่ แตง ขา้ วฟ่าง ผักกาด งา ฯลฯ และเพาะปลูกไปพร้อมกบั เมลด็ พันธ์ุขา้ ว ในจำ� นวนเมล็ดพันธ์เุ หลา่ น้ี ทกุ ไรจ่ ะปลกู พืชชนดิ หนึง่ ทีเ่ รียกว่า “สุ่ย” มีลกั ษณะคลา้ ยข้าว แต่ลำ� ตน้ จะสงู กว่าและออกรวงกอ่ นขา้ ว โดย เมล็ดจะเกาะกนั เป็นพวงใหญ่ เมอ่ื นกมากินอาหารในไร่ นกจะกนิ เมลด็ “สุ่ย” แทนเมล็ดขา้ ว ท�ำให้เมลด็ ข้าวไม่เสีย มากจนเกินไป 83
การจดั แบง่ พน้ื ทเี่ พอ่ื ปลกู พชื ในไร่หมนุ เวยี น •• บริเวณซากกอไผ่ ปลกู พริก มะเขือทุกชนดิ ผักกาด ผกั อหี ลืน ยาสบู ฯลฯ •• บริเวณซากตอไม้ ปลกู มะนอย มะบวบ มะแปบ ถ่วั ฝกั ยาว •• บริเวณซากตอไมท้ ่ีเนา่ เป่อื ย ปลูก เผอื กชนดิ ต่างๆ •• บริเวณหลมุ ปลกู มัน เผือก มันส�ำประหลงั •• บริเวณลำ� ห้วยท้ายไร่ ปลูก ฟกั ทอง ฟักเขียว ผักกาด ผกั ไผ่ ขา้ วโพดขา้ วเหนยี ว •• บริเวณแหล่งน�้ำซับ ปลกู ผกั ลนื ผักหางกลว้ ย •• บริเวณขา้ งกระท่อม ปลกู แมข่ วัญข้าว ตะไคร้ ขา่ ขิง ผักชี ผกั อหี ลิ ผกั ชีฝรั่ง •• บริเวณรอบไร่ ปลกู ขา้ วโพด ฟกั เขียว ฟักทอง ถั่วฝักยาว •• บริเวณทางเดนิ ปลกู ข้าวโพด ขา้ งฟ่าง ทานตะวัน การดแู ลรกั ษา การดแู ลรักษา จะเป็นการกำ� จัดวัชพชื ทีเ่ ตบิ โตแขง่ กบั ต้นขา้ ว โดยปกตจิ ะทำ� ในช่วง 1 เดอื นหลงั จากปลูก ขา้ ว โดยการใชจ้ อบเลก็ ถากหญ้ากองไวเ้ ป็นหย่อมๆ และช่วงขา้ วใกล้ออกรวง จะใช้เคยี วเกี่ยวหญา้ ทข่ี ้นึ แขง่ กับต้น ขา้ วออก ซึ่งในช่วงนจ้ี ะชว่ ยใหพ้ ืชผกั ที่ปลูกพร้อมข้าวให้ผลผลติ อย่างเตม็ ท่ี การเก็บเกี่ยวผลผลติ ชาวบา้ นจะระดมแรงงานมาช่วยกนั เกือบหมดทั้งหมูบ่ า้ น เพราะต้องเร่งให้เสร็จก่อนที่ฝนจะตก และก่อน ท่ีจะลงมือเกี่ยวข้าวในนา และหลังจากขนข้าวเข้ายุ้ง ชาวบ้านจะเริ่มเกบ็ เกีย่ วผลผลิตชนดิ อื่นๆ เช่น เผอื ก มัน ฟกั เขียว ฯลฯ มาเกบ็ ไวท้ ีบ่ ้านเพื่อเปน็ อาหารหลักของครอบครัวในปตี ่อไป สวนสมรม.. วิถเี กษตรพื้นบ้านและภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ เพ่อื รบั มอื วกิ ฤตโลกร้อน สวนสมรมหรือระบบเกษตร 4 ชน้ั วิถีเกษตรพนื้ บ้านของชาวใต้ท่เี นน้ การปลูกพืชท่หี ลากหลายและแตก ตา่ งกันถึง 4 ชั้น จากช้ันคลมุ ดนิ จนถึงช้ันเรือนยอด มีทั้งพชื อาหาร พืชเศรษฐกิจ สมุนไพร และไม้ ใช้สอย จึงลด ความเสีย่ งและผลกระทบทอ่ี าจจะเกิดข้ึนจากสภาวะอากาศแปรปรวนไดม้ ากกว่าการปลกู พืชเพียงชนดิ ใดชนดิ หนึง่ การปลกู พืชที่หลากหลายแตกต่างกนั ในแตล่ ะระดบั ชัน้ ยงั กอ่ ให้เกิดการเกื้อกูลกนั ของระบบนเิ วศ โดยใน แตล่ ะระดับชน้ั ตา่ ง ๆ พืชจะมีระบบรากทีแ่ ตกตา่ งกนั ออกไปและตอ้ งการธาตอุ าหารทแ่ี ตกตา่ งกัน จึงไม่มคี วาม จ�ำเป็นท่จี ะต้องใช้ปยุ๋ เคมีและสารเคมกี ารเกษตรในระบบการผลติ ซง่ึ ช่วยลดการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกได้เป็น อยา่ งมาก อีกทั้งการมีพืชปกคลมุ ดนิ ยงั ช่วยปอ้ งกนั การชะลา้ งและการพังทลายของดินได้อีกดว้ ย การผลติ แบบเกษตร 4 ชั้น จงึ เปน็ การใชพ้ นื้ ท่ี ให้เกดิ ประโยชน์สูงสุด นอกจากจะสร้างความหลากหลาย ทางชีวภาพ และสร้างความสมดลุ และย่ังยืนของระบบนเิ วศแล้ว ยังเปน็ แหลง่ ความม่ันคงทางดา้ นอาหารที่ส�ำคญั ส�ำหรับเกษตรกรอกี ดว้ ย 84
การจัดการระบบนเิ วศในไร่นา การสร้างภมู คิ ุ้มกนั วิกฤตโลกรอ้ นอยา่ งยงั่ ยนื การจัดการระบบนเิ วศในไร่นาอยา่ งยง่ั ยนื เป็นหวั ใจสำ� คญั ประการหนงึ่ ในการต่อกรกับวิกฤตโลกร้อน ซงึ่ ก�ำลังท้าทายเกษตรกรไทยในยคุ ปจั จุบนั การลดการใช้ปัจจัยการผลติ จากภายนอก ลดการพง่ึ พาให้น้อยลง แลว้ หนั มาใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรทม่ี ีอยู่ในท้องถ่ิน นอกจากจะช่วยลดต้นทนุ การผลิตแลว้ ยงั ลดการท�ำรา้ ยท�ำลาย ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละความสมดุลของระบบนเิ วศ ระบบนเิ วศทส่ี มดลุ เป็นเสมือนภมู คิ ุม้ กนั ทช่ี ่วยปกปอ้ งหรือผอ่ นหนักเปน็ เบาเมอ่ื เกษตรกรตอ้ งเผชิญ วิกฤตสภาพอากาศ ภายใตส้ ภาพอากาศทีแ่ ปรปรวนอาจนำ� มาซง่ึ การระบาดของโรคแมลงหรือการเกิดโรคพชื ชนดิ ใหมๆ่ ระบบนเิ วศในไรน่ าทส่ี มดลุ ย่อมมกี ารควบคุมดูแลกันเองตามธรรมชาติ โดยมี (แมลง) ผู้พิทักษป์ ระจำ� ถิ่น ในสดั สว่ นที่มากกว่าระบบนเิ วศในแปลงเกษตรที่ผา่ นการฉีดพน่ สารเคมมี าอย่างโชกโชน แปลงเกษตรที่มีระบบ นเิ วศในไร่นาสมดลุ จงึ มีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและแมลงนอ้ ยกว่า นอกจากน้ี แปลงเกษตรท่มี กี ารจัดการระบบนเิ วศในไร่นาอย่างเหมาะสม ยังให้ความสำ� คัญกับการ ปรับปรุงฟ้ืนฟูบำ� รุงดนิ การเพม่ิ ธาตอุ าหารในดินใหแ้ ก่พืช ทำ� ให้ตน้ พืชแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดลอ้ มที่ แปรปรวนไดม้ ากกว่า อีกทั้งยงั เพ่มิ การกักเก็บคาร์บอนไว้ ในดนิ และลดการปลดปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกสชู่ ้ัน บรรยากาศอีกดว้ ย การปรับเปลย่ี นวิถีการผลติ สู่วิถีเกษตรกรรมย่ังยนื ที่ ใหค้ วามส�ำคัญกับการปลูกพชื หลากหลายชนดิ ใน แปลงเกษตร ลดการพงึ่ พาปจั จัยการผลติ จากภายนอกลง ลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการปรับปรุงฟื้นฟคู วาม อดุ มสมบรู ณข์ องดนิ นอกจากจะท�ำให้เกษตรกรมคี วามเสี่ยงจากสภาพอากาศแปรปรวนนอ้ ยกว่าเกษตรเคมีแล้ว ยงั ช่วยลดการปลดปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศและยังชว่ ยกักเก็บคาร์บอนไว้ ในดินอกี ด้วย ความมั่นคงทางอาหาร ปราการด่านสำ� คัญในการรบั มือวกิ ฤตโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวน ท�ำใหก้ ารผลติ ทางการเกษตรมคี วามเสย่ี งมากขนึ้ เกษตรกรมีตน้ ทนุ การผลิต เพิ่มข้นึ แต่มีรายไดล้ ดลง การสร้างความม่ันคงทางอาหารภายในครัวเรือน โดยการเลีย้ งสัตว์ ปลกู พชื อาหารใน เรือกสวนไร่นา รวมถงึ การฟ้ืนฟูป่าหวั ไรป่ ลายนา ซ่ึงเป็นแหลง่ อาหารตามธรรมชาติ จึงเป็นการสร้างทางเลอื ก สู่ ทางรอดของเกษตรกรไทยในการลดความเสี่ยงจากวิกฤตโลกรอ้ นได้เปน็ อย่างดี สภาพอากาศแปรปรวน ทำ� ใหก้ ารผลิตทางการเกษตรมีความเสยี่ งเพิม่ ข้ึน ภายใต้สภาวะอากาศแปรปรวน การผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรไทยมีความเสี่ยงเพ่ิมขนึ้ ผลผลติ เสยี หายหรือลดลงทั้งดา้ นปริมาณและคณุ ภาพจากความผนั ผวนของสภาพอากาศหรือภยั ธรรมชาตทิ เ่ี พม่ิ ขนึ้ เกษตรกรจึงมตี น้ ทนุ การผลิตสูงขน้ึ ขณะท่ีมรี ายไดล้ ดลง ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ท�ำให้ เกษตรกรจำ� นวนมากต้องกหู้ นย้ี มื สนิ เพื่อน�ำมาใช้ ในการลงทนุ และใชจ้ ่ายในชีวิตประจำ� วันเพม่ิ ขึ้น ทำ� ให้ปัญหาความ ยากจนรุนแรงขึน้ โดยเฉพาะเกษตรกรทีม่ ีไดร้ ายไดจ้ ากภาคการเกษตรเปน็ หลกั แมเ้ กษตรกรไทยจะผลติ อาหารเลย้ี งคนทั้งประเทศ แตเ่ กษตรกรไทยกลบั มคี วามมั่นคงทางอาหารลดลง ปจั จุบันเกษตรกรไทยพึง่ พาอาหารจากเรือกสวนไร่นาหรือแหล่งอาหารจากธรรมชาติไม่ถงึ รอ้ ยละ 30 แต่กลับ พงึ่ อาหารจากตลาดหรือรถพุม่ พวงทเ่ี ข้ามาเร่ขายอาหารถึงในหมู่บา้ นมากข้นึ เกษตรกรจึงมคี า่ ใชจ้ า่ ยด้านอาหาร สูงข้นึ เกษตรกรสว่ นใหญม่ คี ่าใช้จา่ ยด้านอาหาร คดิ เป็นเงนิ มากกว่าครึ่งหนึง่ ของคา่ ใช้จา่ ยทั้งหมดในครัวเรือน 85
(สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต,ิ 2553) วิถีการผลติ ทางการเกษตรในปจั จุบันที่ มงุ่ เนน้ ปลกู ขายเพอื่ ให้ไดเ้ งนิ แลว้ คอ่ ยนำ� เงินนั้นมาจับจา่ ยใชส้ อยและซื้ออาหารการกนิ เป็นวิถีการผลิตทม่ี ีความ เสยี่ งสงู โดยเฉพาะภายใตว้ ิกฤตสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลให้เกษตรกรไทยตอ้ งเผชญิ กับภาวะความขัดสน และยากจนเพิม่ ขน้ึ ซ่งึ เปน็ อุปสรรคส�ำคญั ตอ่ การเขา้ ถึงอาหาร ในปที ปี่ ระสบปญั หาสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนไมส่ ามารถทำ� การเพาะปลูกได้ หรือผลผลติ ได้ รับความเสยี หายอยา่ งหนัก พ่อบ้านซ่งึ เป็นหวั หน้าครอบครัวต้องละท้ิงบา้ นเรือนและเรือกสวนไรน่ า เพ่ือไปหางาน ท�ำในเมอื งเพ่อื ให้มรี ายไดส้ ่งกลบั มาจุนเจือครอบครัว นอกจากจะกอ่ ให้เกิดปัญหาการขาดความอบอนุ่ ในครอบครัว แล้ว เด็กๆ ก็มีความเส่ยี งเพม่ิ ข้ึนในการเกิดภาวะทุพโภชนาการ เนือ่ งจากมีรายไดไ้ ม่เพียงพอกับคา่ ใชจ้ ่าย โดย เฉพาะคา่ ใช้จ่ายดา้ นอาหารซ่งึ เปน็ ค่าใช้จา่ ยหลกั ของครอบครัว เกษตรกรท่ีพึง่ ตนเองดา้ นอาหารไดม้ าก ยอ่ มได้รบั ผลกระทบน้อยกว่า ภาวะโลกรอ้ นส่งผลกระทบตอ่ ความม่ันคงทางอาหารของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะเกษตรกรที่เนน้ การ ผลติ ในเชงิ พาณชิ ย์ เนอื่ งจากเกษตรกรมตี น้ ทุนการผลติ เพ่มิ ขนึ้ ขณะทม่ี ีรายไดล้ ดลง เกษตรกรจงึ มโี อกาสเสี่ยง สงู ท่จี ะประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกจิ ทำ� ใหเ้ ขา้ ถึงอาหารไดน้ อ้ ยลง ในขณะท่เี กษตรกรทส่ี ามารถพ่งึ ตนเองด้าน อาหารได้ เช่น มีการปลกู พืชผักบริโภคเองในครัวเรือน หรือสามารถหาอาหารจากธรรมชาตมิ าบริโภคได้ จะมคี ่าใช้ จ่ายด้านอาหารต่�ำ จะไดร้ ับผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อนหรือเดือดร้อนน้อยกว่า มีผลการศกึ ษาเปรียบเทยี บระหว่างครอบครัวเกษตรกรไทยและลาว Chinvanno พบวา่ ครอบครัว เกษตรกรลาวได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศแปรปรวนหรือภัยธรรมชาตนิ อ้ ยกว่าครอบครัวเกษตรกรไทย เนอื่ งจากมตี น้ ทุนการผลติ ต�่ำกว่า และสามารถพงึ่ ตนเองด้านอาหารได้มากกว่า ขณะท่ีครอบครัวเกษตรกร ไทย แมจ้ ะมีรายได้ทีเ่ ปน็ ตวั เงนิ สูงกว่า แตก่ ม็ ีความเสยี่ งสูงเช่นกนั เพราะมตี น้ ทนุ การผลติ สูง และมคี า่ ใชจ้ ่าย ดา้ นอาหารสงู จึงมีหนส้ี นิ สงู กว่ารายได้ ภายใตส้ ภาวะอากาศแปรปรวน เกษตรกรไทยจึงมีความเส่ียงมากกวา่ เกษตรกรลาว (วิฑูรย์ ปญั ญากุล, 2553) หรือในกรณีของเกษตรกรท่ยี โสธร ซึ่งประสบปัญหาสภาพอากาศ แปรปรวนในปี 2551 จนผลผลิตข้าวลดลงอย่างมาก จะเห็นไดว้ ่า เกษตรกรทมี่ กี ารปรับตัวรับมือกบั สภาวะ อากาศแปรปรวน โดยปลูกพืชผกั หรือเล้ียงสัตว์สำ� หรับบริโภคในครัวเรือน นอกจากจะไดร้ ับผลกระทบจากภาวะ โลกร้อนนอ้ ยกวา่ แล้ว ยงั มีรายได้เสริมจากการขายผลผลิตดังกลา่ วอกี ด้วย จะเห็นไดว้ า่ การสรา้ งความมั่นคงทางอาหารในครัวเรือน โดยการเลยี้ งสตั ว์และ/หรือปลูกพืชอาหารใน เรือกสวนไรน่ า รวมถงึ การฟนื้ ฟปู ่าหวั ไรป่ ลายนา จึงเป็นทางเลือกส�ำคญั ของเกษตรกรไทยในการลดความเสย่ี ง จากวิกฤตโลกรอ้ นได้เป็นอย่างดี 86
การจัดการน�้ำในไรน่ าเพอ่ื ลดความเสยี่ งจากวกิ ฤตโลกรอ้ น สภาพอากาศแปรปรวนมีผลกระทบอย่างมากตอ่ ระบบการผลิตและวิถีชีวิตของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะ เกษตรกรทอี่ ยนู่ อกเขตชลประทาน ซึ่งเปน็ เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศท่ตี ้องพึ่งพงิ ธรรมชาติเปน็ หลักในการ ท�ำการเกษตร การพัฒนาระบบการจัดการนำ้� ทีเ่ หมาะสมในระดบั ไรน่ า จึงมคี วามจำ� เปน็ ยง่ิ ส�ำหรับเกษตรกรไทย เนอื่ งจากเกษตรกรสว่ นใหญข่ องประเทศอยูน่ อกเขตชลประทาน การทำ� การเกษตรจงึ ข้ึนอยู่กับดนิ ฟา้ อากาศเป็นหลัก ความแปรปรวนของสภาพอากาศและความผนั ผวนไม่แนน่ อนของฤดูกาล การเปล่ยี นแปลง ลักษณะการตกของฝนท่ีเอาแนเ่ อานอนไม่ได้ ทำ� ใหเ้ กษตรกรไม่สามารถวางแผนการผลติ ไดด้ งั เชน่ แตเ่ ดมิ การ จัดการนำ้� จึงเปน็ เงอื่ นไขส�ำคญั อยา่ งหนงึ่ ในการเตรียมรับมือกับวิกฤตโลกร้อนที่นบั วนั จะยงิ่ รุนแรงมากขึน้ ในการพัฒนาระบบการจัดการนำ้� ในไรน่ าอย่างมีประสทิ ธิภาพเพื่อรับมอื วิกฤตโลกรอ้ น เกษตรกรจงึ ต้อง ใหค้ วามส�ำคัญและค�ำนึงถงึ เรื่องต่อไปน้ี •• ตอ้ งเขา้ ใจบริบทและสภาพพ้นื ที่ของตนเองอย่างถ่องแท้ เช่น ลกั ษณะสงู ต่�ำของพืน้ ที่ ทศิ ทางลม เสน้ ทางน้�ำไหล หากจำ� เปน็ ต้องปรับสภาพพนื้ ที่กต็ อ้ งค�ำนึงถงึ ปัจจัยเหลา่ น้ี •• ในการออกแบบและพัฒนาระบบการจัดการนำ�้ ในไรน่ าตอ้ งคำ� นึงถึงขนาดพนื้ ท่ี ประโยชน์ ใชส้ อย การประหยัดพลังงาน รวมถึงความเหมาะสมกับขนาดแรงงานในครอบครัว โดยเฉพาะ กับผหู้ ญิงและเด็กซง่ึ เปน็ แรงงานส�ำคญั ในการดแู ลไร่นาและปลูกพชื เสริมหลงั ฤดเู พาะปลกู •• ควรมรี ะบบการจัดการนำ�้ หลากหลายรปู แบบในพืน้ ท่เี พอ่ื ให้การใชน้ ำ้� เกดิ ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ และ ลดการพ่งึ พาระบบใดระบบหนงึ่ •• ใช้ภมู ปิ ญั ญาและองคค์ วามรทู้ ้องถ่ินในการพัฒนาระบบการจัดการนำ�้ โดยลดการพงึ่ พาพลงั งาน จากเช้ือเพลิงฟอสซิล ใชแ้ รงงานคน หรือกลไกทางธรรมชาติ ในการดูดหรือสง่ นำ�้ เชน่ เครื่อง โยกนำ้� ด้วยมือ กังหันลมสบู นำ�้ ตะบันนำ�้ •• งา่ ยและสะดวกตอ่ การใช้งาน ลงทุนไม่มากนกั และใช้ทรัพยากรทมี่ ี ในท้องถ่ินใหเ้ กิดประโยชน์ งภต้อูมะนปิบ�้ำัญันมนนัญำ�้แาชลปาะัม๊วไฟบน้าฟ้�ำนา้ ไม่ 87
ศนู ยพ์ ยากรณ์สภาพอากาศชมุ ชน เพ่ือเตรี ยมรับมือสภาพอากาศแปรปรวน ปัจจุบันเกษตรกรไทยต้องแบกรับความเสีย่ งมากขึน้ เรื่อยๆ จากสภาพอากาศแปรปรวน หากปไี หนฝน ฟา้ ไม่เป็นใจหรือมีภัยธรรมชาตเิ ลน่ งาน เกษตรกรอาจถึงขั้นสิน้ เนือ้ ประดาตัวหรือจนดักดานไปอกี หลายปี การรู้ ลว่ งหน้าถึงการเปล่ียนแปลงสภาพอากาศในพื้นทีก่ อ่ นฤดกู าลเพาะปลกู จะมาเยอื น จงึ เปน็ ผลดีตอ่ เกษตรกรในการ วางแผนการผลิตใหเ้ หมาะสมและมคี วามเสย่ี งน้อยท่ีสดุ การท�ำการเกษตรขึ้นกบั สภาพดนิ ฟ้าอากาศเป็นสำ� คญั หากปีใดเกิดสภาพอากาศแปรปรวนหรือภยั ธรรมชาตโิ ดยไมค่ าดคดิ ย่อมสง่ ผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตร ผลผลิตเกดิ ความเสียหายหรือลดลงทั้ง ในเชิงปริมาณและคณุ ภาพ ท�ำใหเ้ กษตรกรมีความเปน็ อยทู่ ี่ขดั สนมากขน้ึ และมหี นส้ี นิ พอกพนู เพ่มิ ขน้ึ ซำ้� เติมให้ เกษตรกรไทยจนดกั ดานยงิ่ ขึ้นไปอีก โดยเฉพาะคนทมี่ ีรายไดห้ ลกั มาจากการทำ� การเกษตร แม้วา่ ในภาพรวมของประเทศจะมีกรมอตุ ุนยิ มวิทยา รวมถงึ หนว่ ยงานระดบั ตา่ งๆ ให้ขอ้ มูลการพยากรณ์ ลกั ษณะอากาศรายวนั ในแตล่ ะภมู ภิ าค รวมถงึ คาดการณส์ ภาพอากาศแปรปรวนทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ในชว่ งตา่ งๆ รวมถงึ ระบุพ้ืนท่เี ส่ยี งภัย แต่ขอ้ มลู พยากรณล์ ักษณะสภาพอากาศในภาพรวมก็ไม่เพียงพอต่อการนำ� ไปใช้ประโยชน์ ในการ วางแผนการเพาะปลูกส�ำหรับเกษตรกรในพ้นื ท่ีตา่ งๆ เพราะแมแ้ ต่ภายในจังหวัดเดียวกัน สภาพอากาศยังแตก ต่างกันได้มาก บางแหง่ ฝนตกหนกั จนเกิดนำ�้ ท่วม ขณะท่ีบางแห่งกลบั ประสบปัญหาภัยแล้ง ขอ้ มูลสภาพอากาศ ในภาพรวมจงึ ไมเ่ พียงพอและเหมาะสมต่อการนำ� ไปใช้เพอ่ื วางแผนการผลิตของเกษตรกร ในขณะทีภ่ มู ิปัญญาทอ้ งถิ่นหรือองคค์ วามร้ทู ีเ่ กิดจากการสั่งสมประสบการณท์ ี่ ใชเ้ พ่อื คาดการณส์ ภาพ อากาศก็ไมส่ ามารถใช้การไดเ้ หมอื นเดิม เช่น ฟ้าครึ้ม เมฆเยอะ แต่ไม่มีฝน มดขนไข่เหมือนหนฝี น แต่ฝนก็ไมต่ ก แมลงปอบินตำ่� จะฝนตก แต่ฝนก็ไม่มา เปน็ ต้น เกษตรกรจงึ ไมส่ ามารถวางแผนการเพาะปลกู ไดเ้ หมอื นในอดีต เมอื่ ตอ้ งประสบปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนจึงตอ้ งเผชิญกับผลกระทบอย่างยากทจ่ี ะหลีกเลี่ยงได้ ศนู ย์พยากรณ์สภาพอากาศในชมุ ชนจึงมคี วามสำ� คญั และจ�ำเปน็ ยิง่ ภายใตส้ ภาพอากาศแปรปรวนใน ปัจจุบัน ชมุ ชนจะได้รับร้ขู อ้ มูลการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในระดบั พื้นท่ี ซงึ่ จะคาดการณ์ไดแ้ ม่นย�ำและให้ราย ละเอียดได้มากกวา่ จึงเป็นประโยชนต์ ่อการวางแผนการเพาะปลูกของเกษตรกรในพนื้ ท่ี ท�ำให้ลดความเสย่ี งจาก สภาพอากาศแปรปรวนลงไปได้ระดบั หนงึ่ ปจั จุบันมีการริเริ่มจากสำ� นกั งานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (สวทช.) กระทรวง วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โดยการจัดต้งั โครงการศูนย์ภมู ิอากาศระดบั ชมุ ชน เพ่ือนำ� ความร้กู ารเปลย่ี นแปลง สภาพภมู อิ ากาศแบบครบวงจรจากสว่ นกลางเขา้ สชู่ มุ ชน โดยจะบรู ณาการข้อมลู ดา้ นอทุ กศาสตรแ์ ละธรณวี ิทยา ในพื้นที่เข้าดว้ ยกนั เพอ่ื ให้ชาวบา้ นสามารถวางแผนทำ� การเกษตรได้งา่ ยขนึ้ และเตรียมพร้อมรับมอื ภัยธรรมชาติ ตา่ งๆ โดยจะมกี ารบรู ณาการขอ้ มลู จาก 3 สว่ นคือ 1) สภาพอากาศภายนอก (ขอ้ มลู กรมอตุ นุ ยิ มวิทยาและหนว่ ย งานระดับต่างๆ) 2) องคค์ วามรขู้ องคนในพ้นื ที่ และ 3) การรับมอื กบั ปรากฏการณ์ท่เี กดิ ขึน้ ด้วยเทคโนโลยี โดย จะนำ� ร่องทจี่ ังหวดั ยโสธร และตรัง 88
การจดั การความเสย่ี งสำ� หรับเกษตรกรในภาวะวิกฤตโลกร้อน สภาวะอากาศแปรปรวนท�ำให้การผลติ ทางการเกษตรของเกษตรกรไทยมคี วามผันผวนและมีความเสยี่ ง เพิม่ ขนึ้ เกษตรกรทีม่ ีการจัดการความเสย่ี งอยา่ งเหมาะสมในด้านต่างๆ เทา่ นัน้ จึงจะสามารถอยรู่ อดได้ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของดนิ ฟา้ อากาศท่ีนับวนั จะย่งิ แปรปรวนมากขึน้ ในเมอื่ ภาวะวิกฤตโลกรอ้ นไดน้ ำ� พาความเสย่ี งมาสภู่ าคการเกษตร ทั้งฤดกู าลทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ อณุ หภมู ทิ เี่ พมิ่ สงู ขนึ้ ภยั แลง้ นำ�้ ทว่ ม และการแพรร่ ะบาดของโรคและแมลง สง่ิ สำ� คญั ทเี่ กษตรกรไทยควรจะตอ้ งเต รียมพรอ้ มดว้ ยการจัดการความเสยี่ งไรน่ า ครัวเรือน และชมุ ชนของตนเองอยา่ งเหมาะสม มขี นั้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การประเมนิ ความเสี่ยง (risk assessment) โดยการวิเคราะหค์ วามเสยี่ งจากสภาพอากาศท่ี แปรปรวนหรือจากภยั พบิ ัตทิ างธรรมชาติทอี่ าจจะเกิดขึน้ แกไ่ ร่นา ครัวเรือน และชมุ ชนของตนเอง โดยจะตอ้ งมี การแลกเปล่ยี นและหารือร่วมกันในชมุ ชนอยา่ งเหมาะสม 2. การลดความเสยี่ ง (risk reduction) โดยการปรับปรุงระบบไรน่ าให้สามารถรับมอื กบั ความ เปลีย่ นแปลงทางธรรมชาติไดด้ ีขนึ้ เช่น การจัดระบบชลประทานในไร่นา การเพิ่มประสทิ ธภิ าพการใช้นำ�้ การคดั เลือกและปรับปรุงพันธพ์ุ ชื ท้องถิ่นทที่ นทานต่อสภาพแวดลอ้ ม หรือการปรับระบบนเิ วศน์ ในแปลงไรน่ าหรือในปา่ ชมุ ชน ใหเ้ กิดความสมดุลมากขึ้น 3. การกระจายความเส่ียง (risk diversification) โดยการกระจายการผลติ ในไร่นาหรือในชมุ ชน ให้มคี วามหลากหลาย เชน่ การเกษตรแบบผสมผสาน เพอ่ื ลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขนึ้ หากเกิดภยั พบิ ตั ขิ ึ้นกับ กจิ กรรมหลักในไรน่ า กส็ ามารถหาอาหารหรือมีรายไดจ้ ากแหล่งอ่ืนๆ มาทดแทน 4. การประกนั ความเสีย่ ง (risk assurance) โดยการสร้างระบบการเฉลยี่ ทกุ ข์ และเฉลยี่ สุขในชมุ ชน หรือในสงั คมส่วนรวม เพือ่ ชว่ ยเหลอื ในยามทีป่ ระสบปญั หาภยั พิบตั ทิ ี่มีผลกระทบที่เกนิ กว่าครัวเรือนหนงึ่ จะรับมอื ด้วยตนเองได้ เชน่ ระบบสวัสดกิ ารชมุ ชน หรือระบบประกนั ภยั พชื ผล เป็นตน้ 89
บทบาทของผู้บริโภค รว่ มดว้ ยชว่ ยกันลดวิกฤตโลกรอ้ น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก หรือปญั หา‘โลกร้อน’ ส่งผลกระทบอยา่ งรุนแรงตอ่ เกษตรกร ทั่วประเทศ และเป็นความท้าทายท่ีส�ำคญั ทีส่ ุดข้อหนึง่ ของภาคการเกษตรของไทย ซ่ึงผลกระทบตา่ งๆ ที่เกิด ข้นึ สดุ ท้ายแล้วก็ย่อมส่งผลกระทบต่อผ้บู ริโภคหรือประชาชนทั่วประเทศนัน่ เอง ไมว่ ่าจะเปน็ ปญั หาราคาของข้าว ปลาอาหารที่แพงข้นึ การส่งออกสินคา้ เกษตรลดลงหรือแม้กระทั่งต้องน�ำเข้าเพม่ิ ขึ้น ตลอดจนปญั หาทางสงั คม ที่รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพ่มิ ขึน้ เพ่ือชว่ ยเหลอื เยยี วยาภาคการเกษตร หรือการอพยพเขา้ มาเปน็ แรงงานใน เมือง เป็นต้น แตผ่ บู้ ริโภคทกุ คน สามารถเขา้ มามสี ่วนร่วมแกป้ ัญหาเหลา่ น้ี ได้หลายวิธกี าร ซงึ่ อาจแนะนำ� แนวทาง หลกั ๆ ได้ 3 ดา้ น คอื -- สนบั สนนุ เครือข่ายตลาดสนิ ค้าทางเลือก หรือ ตลาดสีเขียว ซง่ึ จ�ำหนา่ ยสินค้าและ ผลติ ภณั ฑจ์ ากเกษตรอินทรีย์ ซึ่งไม่ใชป้ ๋ยุ เคมแี ละสารเคมีกำ� จัดศตั รพู ชื โดยภาพรวมแลว้ จึงก่อปัญหา‘โลกรอ้ น’ น้อยกวา่ เกษตรเคมี รวมทั้งปลอดภยั กบั ผูบ้ ริโภคและส่ิงแวดล้อมดว้ ย ในปัจจุบันน้ี เครือขา่ ยร้านค้าตลาดสีเขียว ขยายตวั เพมิ่ ข้ึนมาก มผี ลติ ภณั ฑท์ ห่ี ลากหลาย เช่น ข้าว เนอื้ สตั ว์ ไข่ นม ผกั และผลไมต้ ่างๆ ตลอดจนของกิน ของใช้อื่นๆ อีกมากมาย -- เปลย่ี นแปลงพฤติกรรมการบริโภคสกู่ าร “กินเปลี่ยนโลก” อันเป็นแนวคิดทม่ี ูลนธิ ชิ ีววิถี และเครือข่ายองค์กรดา้ นทรัพยากรอาหาร ช่วยกันริเริ่มผลักดัน เพราะนอกจากการชว่ ยกนั อุดหนนุ สินค้าเกษตร อินทรีย์แล้ว ผบู้ ริโภคยงั สามารถลดการบริโภคอาหารทีผ่ ลติ โดยอุตสาหกรรมขนาดใหญห่ รืออตุ สาหกรรมจาก ต่างประเทศ เชน่ อาหารฟาสต์ ฟู้ด อาหารแชแ่ ข็ง อาหารกง่ึ สำ� เร็จรปู สนิ ค้าอาหารจากตา่ งประเทศ เปน็ ต้น แลว้ หนั มาช่วยกนั ซ้ืออาหารหรือสนิ ค้าทีผ่ ลิตในท้องถิ่น ก็จะชว่ ยลดปญั หา‘โลกรอ้ น’ จากอุตสาหกรรมการผลติ อาหาร ขนาดใหญ่และการขนส่งระยะทางไกลๆ ไปไดม้ าก รวมทั้งช่วยอุดหนนุ เกษตรกรรายยอ่ ยและผผู้ ลิตในท้องถิ่นให้ อยูร่ อดได้ ทส่ี ำ� คัญสินคา้ ในทอ้ งถ่ินสดใหมก่ วา่ มีคุณคา่ ทางโภชนาการมากกวา่ และมกั จะมรี าคาถกู กว่าดว้ ย -- การปลูกพืชผักไวก้ นิ เอง เท่าทจ่ี ะท�ำไดต้ ามเง่ือนไขของแต่ละคน ก็เปน็ อกี แนวทางหนงึ่ ใน การรว่ มแก้ปญั หา‘โลกร้อน’ โดยหลายคนท่มี พี ้นื ที่จำ� กัด หากสามารถจัดการพื้นที่สัก 2-3 ตารางเมตรกเ็ พียง พอแลว้ ส�ำหรับพชื ผกั สวนครัวทเ่ี รากินกันเปน็ ประจำ� ใสไ่ ว้ ในกระถางเล็กๆ ได้ หากมีพื้นท่มี ากขึ้น สามารถจัด เป็นแปลงสวนครัวก็ได้ หรือในบางประเทศ กม็ ีกระแสการปลกู สวนไว้บนยอดตกึ ซง่ึ ช่วยเพิม่ พนื้ ที่สเี ขียวและลด ปญั หาโดมความร้อนในเขตเมอื งไดอ้ กี ด้วย หากผบู้ ริโภคชว่ ยกนั คนละไม้คนละมือเทา่ ที่จะทำ� ได้ ก็จะเป็นแรงหนนุ ทส่ี ำ� คัญยง่ิ ให้ภาคเกษตรของไทย รับมอื กับปญั หา‘โลกร้อน’ ได้ และปรับไปสูแ่ นวทางการพัฒนาการเกษตรและระบบอาหารทีย่ ง่ั ยืนของสงั คมไทย 90
เอกสารอ้างอิง ภาษาไทย กรมวิชาการเกษตร, ลน้ิ จ:ี่ ระบบขอ้ มลู วิชาการ, http://it.doa.go.th/vichakan เขา้ ถงึ เมอ่ื 26 พฤศจิกายน 2552. กรมส่งเสริมการเกษตร, ถามตอบปัญหาการเกษตร, อยากทราบแหล่งข้อมลู เก่ยี วกบั การปลูกมนั ฝรั่ง, http://3w.doae.go.th/webboard/viewtopic.php?p=612&sid=d6ce88092d12b485bcc4ec8d 2b2280d0 เขา้ ถงึ เมอื่ 26 พฤศจิกายน 2552. กรมสง่ เสริมการเกษตร, มปป. เกษตรอินทรีย์: เอกสารเผยแพร.่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ กณั ฑรีย์ บญุ ประกอบ, 2548. ความเชอ่ื มโยงของอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศกบั อนสุ ญั ญาความหลากหลายทางชีวภาพ. การประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารความหลากหลายทางชีวภาพดา้ นปา่ ไมแ้ ละ สตั วป์ า่ : ความกา้ วหนา้ ของผลงานวิจัยและกจิ กรรม ปี 2548, 22 สงิ หาคม 2548 ณ รีเจนท์ ชะอำ� . กณั ฑรีย์ บญุ ประกอบ และศรัทธารา หตั ถีรัตน,์ 2549. การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศและประเทศไทย: วิกฤต หรือโอกาส. กรีนพีซเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต.้ กรีนพีซเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต,้ หยดุ ภาวะโลกรอ้ น: ผลกระทบจากสภาพอากาศรุนแรง, http://www. greenpeace.org/seasia/th/campaigns/climate-and-energy/impacts/extreme-weather เขา้ ถงึ เมอ่ื 21 พฤษภาคม 2553. จรี าภา อนิ ธแิ สง, มปพ. สว่ นวิจัยเศรษฐกจิ เทคโนโลยแี ละปจั จัยการผลติ , สำ� นกั วิจัยเศรษฐกจิ การเกษตร, http:// www.oae.go.th/ewtadmin/ewt/oae_baer/ewt_news.php?nid=380&filename=index เขา้ ถงึ เมอ่ื 29 พฤษภาคม 2553. ชมชวน บญุ ระหงษ,์ 2553. การปรับตวั ของเกษตรกรรายยอ่ ยจากการปรับเปลย่ี นสภาพอากาศ. สถาบนั ชมุ ชน เกษตรกรรมยงั่ ยนื . เดชรัต สขุ กำ� เนดิ และคณะ, 2552. การวิเคราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงสภาพแวดลอ้ มทางการเกษตร ผลกระทบตอ่ ลน้ิ จ่ี ลำ� ไย ขา้ ว และปาลม์ นำ้� มนั . มลู นธิ นิ โยบายสขุ ภาวะ เดชรัต สขุ กำ� เนดิ , 2553. วิกฤตโลกรอ้ นกบั เกษตรกรรายยอ่ ย: เกษตรกรรมยง่ั ยนื และความม่ันคงทางอาหาร. เวที เสวนาและเผยแพรง่ านวิจัยชมุ ชนโครงการวิจัย “การเปลยี่ นแปลงสภาพอากาศทมี่ ผี ลกระทบตอ่ ความมั่นคง ทางอาหาร:เกษตรกรรมยง่ั ยนื และปา่ ชมุ ชน ทางออกในการปรับตวั รับมอื ”, 5-6 มนี าคม 2553 บา้ นพัก ทัศนาจร จังหวดั เชียงใหม.่ ดวงจันทร์ อาภาวชั รุตม์ เจริญเมอื ง, 2551. โลกรอ้ นกบั ประเทศไทย. รายงานการวิจัยโครงการภาคคมนาคมขนสง่ กบั ความเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศในประเทศไทย: กรณเี ชียงใหม.่ สถาบนั วิจัยสงั คม มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ นติ ยา และบญุ ชอบ, มปพ. Green Research. วารสารศนู ยว์ ิจัยและฝกึ อบรมดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม, ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 10 ประเสริฐสขุ จามรมาน, 2550. ภาวะโลกรอ้ นและกลไกการพัฒนาทสี่ ะอาด. สำ� นกั งานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม. นำ� เสนอในเวทสี มั มนาวิชาการทม่ี หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ วนั ท่ี 24 กนั ยายน 2550. ผจู้ ัดการรายวนั . วิกฤตโลกขา้ วแพงนบั 10 ปี แนะรัฐจัดโซนนงิ่ เพาะปลกู . 23 เมษายน 2551. http://www. measwatch.org/autopage/show_page.php?t=27&s_id=2045&d_id=2042 เขา้ ถงึ เมอ่ื 28 มถิ นุ ายน 2553. 91
พุทธณิ า นนั ทะวรการ, 2552. ประมวลสรุปจากงานเสวนา เรือ่ ง เสยี งสะทอ้ นจากชมุ ชน: จุดยนื ของไทยในเวทโี ลก และบทบาทของภาครัฐในการรับมอื กบั โลกรอ้ นและสนบั สนนุ การปรับตวั ในภาคการเกษตร. ณ หอ้ งประชมุ ศนู ยว์ ิทยบริการ วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยยี โสธร, วนั ที่ 26 กรกฎาคม 2552. เพญ็ ระพี นพรัมภา, 2548. ภาวะโลกรอ้ น. กรีนพีซเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต.้ พรรณี เสมอภาค และคณะ, 2553. การศกึ ษาแนวทางการปรับตวั ของเกษตรกรเพอื่ รับมอื กบั การเปลยี่ นแปลงของ สภาพอากาศ: เปรียบเทยี บระหวา่ งกลมุ่ เกษตรกรทป่ี ลกู ขา้ วหอมมะลทิ มี่ รี ะบบและไมม่ รี ะบบการปรับตวั รับมอื กบั การเปลยี่ นแปลงของภมู อิ ากาศในพนื้ ทจี่ ังหวดั ยโสธร. กรีนเนท. มลู นธิ เิ กษตรกรรมยง่ั ยนื , ขอเชญิ รว่ มบริจาคชว่ ยเหลอื ชมุ ชนประสบภยั พบิ ตั ิ บา้ นหนิ ลาดใน หมทู่ ่ี 7 ต.บา้ นโปง่ อ.เวยี งปา่ เปา้ จ.เชียงราย, http://sathai.org/story_thai/031-Disaster_in_HinLadNai.htm เขา้ ถงึ เมอื่ 23 มนี าคม 2553. มลู นธิ ชิ ีววิถี, 2552. คมู่ อื ประชาชนเรื่องความ(ไม)่ มั่นคงทางอาหารกบั ทางออกของประเทศไทย. แผนงานฐาน ทรัพยากรอาหาร. มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื , 2553. วิถีการผลติ ในระบบวนเกษตรและการจัดการปา่ ชมุ ชนกบั การเปลย่ี นแปลงสภาพ อากาศและการสรา้ งความม่ันคงดา้ นอาหารของเกษตรกรรายยอ่ ยบนพนื้ ทส่ี งู : กรณศี กึ ษา รปู แบบการผลติ ในระบบวนเกษตร ไรห่ มนุ เวยี น และปา่ ชมุ ชนของชมุ ชนหว้ ยหนิ ลาด. มลู นธิ พิ ัฒนาภาคเหนอื . รายงานสุขภาพคนไทยปี 2551. โลกรอ้ นภยั คุกคามจากนำ�้ มือมนษุ ย.์ ส�ำนกั งานกองทุนสนับสนนุ การสร้าง เสริมสุขภาพ. เลสเตอร์ อาร์ บราวน.์ 2547. แผนบี แผนปฏบิ ตั กิ ารกอบกโู้ ลกจากมหนั ตภยั ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม. (อรวรรณ คหู เจริญ นาวายทุ ธ แปล). โครงการจัดพมิ พค์ บไฟ. กรุงเทพฯ วสนั ต์ เตชะวงศธ์ รรม (บรรณาธกิ าร), 2552. เมอ่ื สองมอื รว่ มคลายโลกรอ้ น. โครงการพัฒนาแหง่ สหประชาชาติ ประเทศไทย. วิฑรู ย์ ปญั ญากุล, 2551. รายงานสรุปการพัฒนาความพรอ้ มใหก้ บั เกษตรกรในการเตรียมตวั รับมอื ผลกระทบจาก วิกฤตการณ์โลกรอ้ น, www.greenet.or.th/climate/download/GW _ResposesReport0804.pdf เขา้ ถงึ เมอื่ 26 พฤศจิกายน 2552. วิฑรู ย์ ปญั ญากุล, 2553. การเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศ: การประเมนิ ความเปราะบางและแนวทางในการปรับตวั . มลู นธิ สิ ายใยแผน่ ดนิ . วิพุธ พลู เจริญ, 2552. รายงานสรุป การศกึ ษาผลกระทบของการเปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศเพอื่ พัฒนาระบบบริการ สขุ ภาพในประเทศไทย. มลู นธิ นิ โยบายสขุ ภาวะ. เวทปี ระชมุ ระดมความเหน็ จากผมู้ สี ว่ นรว่ ม ณ โรงแรมมริ า เคลิ แกรนด์ กรุงเทพฯ วนั ท่ี 26 ตลุ าคม 2552. วิวฒั น์ มโนจิตร, ลำ� ไย, http:www.artzy.co.cc/joomla/index.php/khowledge/49-longan-.html เขา้ ถงึ เมอ่ื 26 พฤศจิกายน 2552. วนั ชยั ตันติวิทยาพทิ ักษ์, 2550. สารคดีพเิ ศษ: โลกร้อน ความจริงท่ีทกุ คนต้องตื่นตัว - นำ�้ ทว่ ม โรคระบาด และการหายไปของชาวนา บทเรียนเมอื่ โลกรอ้ นมาเยอื นไทย. ฉบับที่ 265 มีนาคม 50 ปที ่ี 23. ศจินทร์ ประชาสนั ต์ิ, 2551. รายงานด�ำเนนิ งานโครงการพัฒนาขอ้ เสนอสมชั ชาสขุ ภาพแห่งชาติ 2551 ประเดน็ เกษตรและอาหารในยคุ วิกฤต. เสนอตอ่ คณะกรรมการสขุ ภาพแห่งชาติ. ศูนยบ์ ริการองคค์ วามร้กู ารเกษตร กรมสง่ เสริมการเกษตร, เทคโนโลยีการปลูกปาลม์ นำ�้ มัน, http://contact. doae.go.th เขา้ ถงึ เมือ่ 26 พฤศจิกายน 2552. 92
ศนู ย์ภูมิอากาศ สำ� นกั พัฒนาอตุ ุนยิ มวิทยา, 2553. อากาศร้อนท่สี ดุ ในทศวรรษ (ค.ศ.2000-2010) ของ ประเทศไทย. กรมอุตุนยิ มวิทยา. ขอ้ มลู เมอื่ วนั ที่ 10 และ 12 พฤษภาคม 2553. สถาบนั วิจัยข้าว, 2529. การทำ� นานำ้� ฝน. กรมวิชาการเกษตร. สมพร อศิ วิลานนท,์ 2551. สถานการณข์ า้ วราคาข้าว: โอกาสของชาวนาไทย. สัมมนาพิเศษเรื่องสถานการณร์ าคา ขา้ ว: โอกาสของชาวนาไทย, วันท่ี 24 เมษายน 2551 ณ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2552. จากวิสยั ทัศน์ 2570 สแู่ ผนฯ 11. เอกสารประกอบการประชมุ ประจ�ำปี 2552 ของ สศช. วันศกุ รท์ ี่ 10 กรกฎาคม 2552, อมิ แพค เมืองทองธานี จังหวดั นนทบรุ ี. สำ� นักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาต,ิ 2553. สถานการณค์ วามยากจนและความเหล่ือม ล้ำ� ของคนในสงั คมและยทุ ธศาสตรแ์ ก้ปัญหาความยากจนและความเหล่อื มลำ้� ในแต่ละชว่ ง. สำ� นักวิจัยและพัฒนาข้าว, 2552. หลักการอารักขานาขา้ วอนิ ทรีย.์ กรมการขา้ ว, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หนังสอื พิมพก์ รุงเทพธรุ กิจ, โลกร้อน ฉดุ ผลผลิตขา้ วลด 10%, วันท่ี 5 กรกฎาคม 2553. หนา้ 6. หนงั สือพมิ พม์ ติชน, แผ่นดินทรุด-นำ้� ท่วม ปา่ ชายเลนหดหาย เรื่องเดียวกับ “โลกร้อน”, วนั ท่ี 16 ตลุ าคม 2551, http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=8228&filename=index เขา้ ถงึ เมือ่ 28 มถิ นุ ายน 2553. อฐั พงศ์ เพลนิ พฤกษา (บรรณาธกิ าร). 2552. 1 องศา จุดเปล่ยี นประเทศไทย สัญญาณเตือนภัยโลกร้อน ประเด็นไทยที่คุณพึงรับฟงั . กองบรรณาธิการขา่ วสงิ่ แวดล้อมและสาธารณสขุ หนงั สอื พมิ พก์ รุงเทพธรุ กจิ . อัล กอร,์ 2552. Our Choice ปฏิบตั ิการกู้โลกร้อน ทางเลือกสู่ทางรอดแบบยงั่ ยืน. (ศริ ิพงษ์ วิทยวิโรจน์ บรรณาธกิ าร). ส�ำนกั พิมพม์ ติชน กรุงเทพฯ. อำ� นาจ ชดิ ไธสง, 2552. การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศของไทย, เลม่ ท่ี 1 สภาพภมู ิอากาศในอดีต. ศูนย์ ประสานงานและพัฒนางานวิจัยด้านโลกรอ้ นและการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ. ส�ำนักงานกองทุน สนับสนนุ การวิจัย. ภาษาองั กฤษ Barker et al, 2007. Technical Summary in Climate Change 2007: Mitigation. Contribution of Working Group III to the Fourth Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change. Cambridge University, United Kingdom and New York, NY USA. Available from http://www.mnp.nl/ipcc/pages-media/FAR4docs/final_pdfs_ar4/TS/pdf access on 1 February 2010 Gerald C. Nelson, et al., 2009. Climate Change Impact on Agriculture and Costs of Adaptation, International Food Policy Research Institute, Washington, D.C. Jessica Bellarby, at el., 2008. Cool Farming: Climate Impacts of Agriculture and Mitigation Potential. Greenpeace. Kirstin Dow and Thomas E. Downing , 2006. The Atlas of Climate Change: Mapping the World’s Greatest Challenge, Earthscan. 93
IPCC, 1995. IPCC Second Assessment Climate Change 1995. A Report on the Intergovernmental Panel on Climate Change. Available from http://www.ipcc.ch/pdf/climate-changes-1995/ ipcc-2nd-assessment/2nd-assessment-en.pdf access on 9 February 2010. IPCC, 2007. Climate Change 2007 Mitigation of Climate Change. Contribution of Working Group III to the Fourth Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change. Cambridge University Press. Mark Lynas, 2008. Six Degrees: Our Future on a Hotter Planet. National Geographic. Pamela Anderson et al., 2006. Climate Change: Futures Health, Ecological & Economic Dimensions. The Center for Health and the Global Environment, Harvard Medical School. Nicholas Stern, 2008. The Economics of Climate Change, The Stern Review. Cambridge University Press. Soil Association, 2009. Soil Carbon and Organic Farming. A Review of the Evidence on the Relationship between Agriculture and Soil Carbon Sequestration, and How Organic Farming can Contribute Climate Change Mitigation and Adaptation. Supaporn Anuchiracheeva and Tul Pinkaew. 2009. Oxfam Disaster Risk Reduction and Climate Change Adaptation Resources: Case Study Jasmine Rice in the Weeping Plain: Adapting Rice Farming to Climate Change in Northeast Thailand. Oxfam GB Thailand. T C Mendoza, 2002. Comparative Productivity, Profitability and Energy Use in Organic, LEISA and Conventional Rice Production in the Philippines. Paper presented during the 14th IFOAM Organic World Congress, held at Victoria, Canada on August 21-24, 2002. Urs Niggli, Heinz Schmid and Andreas Fliessbach, 2007. Organic Farming and Climate Change. International Trade Centre UNCTAD/WTO, Research Institute of Organic Agriculture (FiBL). Geneva. Vichean Kerdsuk, 2009. Health Impacts of Climate Change: Case study on Rain-fed Farmers in Kula Ronghai Field. Presented in 2008 Asia and Pacific Regional Conference on Health Impacts Assessment, held during 22-24 April 2009, Chiang Mai. William R.Cline. 2007. Global Warming and Agriculture Impact Estimation by Country. Center for Global Development, Peterson Institute for International Economics, Washington DC. World Bank, 2009. World Development Report 2010, Development and Climate Change. Washington DC. Zhong-Xian Lu et al., 2005. Effets of Nitrogen on the Tolerance of Brown Planthopper, Nilaparvata Lugens, to Adverse Environmental Factors. Insect Science (2005) 12, 121-128. 94
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104