ส่ื อสร้างสรรค์ให้คนไทยรักการอ่าน ห้องสมุดประชาชนอําเภอทา่ บ่อ กศน.อําเภอท่าบ่อ สํ านักงาน กศน.จังหวดั หนองคาย
วนั เขา้ พรรษา เป็นวนั สํ าคัญใน พุทธศาสนาวนั หนึง่ ทพี่ ระภิกษุสงฆ์ จะอธิษฐานวา่ จะพักประจําอยู่ ณ ทใี่ ดทหี่ นึง่ ตลอดระยะเวลาฤดูฝน ที่ มีกาํ หนดระยะเวลา 3 เดือน ตามที่ พระธรรมวินัยบัญญตั ิไว้ โดยไม่ไปค้างแรมทอี่ ่ืน หรือเรียกกนั ว่า จําพรรษา (พรรษา แปลว่า ฤดูฝน, จํา แปลวา่ พักอยู่) พิธเี ขา้ พรรษาน้ีถอื เป็น ขอ้ ปฏิบัติสํ าหรับพระภิกษุสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ไดท้ ุกกรณี การเข้าพรรษาตามปกติเริม่ นับตงั้ แตว่ ันแรม 1 คา เดอื น 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลงั ถา้ มีเดอื น 8 สองหน) และ สิ้ นสุดลงในวนั ขึน้ 15 คา เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
วันเขา้ พรรษา (วันแรม 1 คา เดอื น 8) หรือเทศกาล เขา้ พรรษา (วันแรม 1 คา เดอื น 8 - วนั ขึน้ 15 คา เดือน 11) ถือวา่ เป็นวันและช่วงเทศกาลทางพุทธศาสนา ทสี่ ํ าคัญเทศกาลหนึง่ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลา ประมาณ 3 เดอื นในช่วงฤดูฝน โดยวนั เข้าพรรษาเป็น วันสํ าคญั ทางพระพุทธศาสนาทตี่ อ่ เน่ืองมาจากวนั อาสาฬหบูชา (วนั ขึน้ 15 คา เดอื น 8) ซึง่ พุทธศาสนิกชน ชาวไทยไดส้ ื บทอดประเพณีปฏิบัติการทาํ บุญในวนั เขา้ พรรษามาช้านานแลว้ ตงั้ แตส่ มัยสุโขทัย
ความสํ าคัญของวนั เขา้ พรรษา 1) ช่วงเขา้ พรรษานั้นเป็นช่วงเวลาทีช่ าวบ้านประกอบ อาชีพทําไร่นา ดงั นั้นการกําหนดให้พระภิกษุสงฆ์หยุดการ เดินทางจาริกไปในสถานทตี่ ่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุพ์ ืชของตน้ กลา้ หรือสั ตว์เลก็ สั ตว์น้อย ไม่ไดร้ ับความเสี ยหายจากการเดินธุดงค์ 2) หลงั จากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็น เวลา 8-9 เดือน ช่วงเขา้ พรรษาเป็นช่วงทีใ่ ห้พระภิกษุสงฆ์ได้ หยุดพักผ่อน 3) เป็นเวลาทพี่ ระภิกษุสงฆ์จะไดป้ ระพฤติปฏิบัติธรรม สํ าหรับตนเอง และศึกษาเลา่ เรียนพระธรรมวินัย ตลอดจน เตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเม่ือถงึ วันออกพรรษา 4) เพ่ือจะไดม้ ีโอกาสอบรมสั่งสอน และบวชให้กบั กลุ บุตรผู้ มีอายุครบบวช อันเป็นกาํ ลงั สํ าคัญในการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาต่อไป 5) เพ่ือให้พุทธศาสนิกชนไดม้ ีโอกาสบําเพ็ญกศุ ลเป็นการ พิเศษ เช่น การทําบุญตกั บาตร หลอ่ เทยี นพรรษา ถวายผ้าอาบ นาฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตปุ จั จัยไทยธรรม งดเวน้ อบายมุข และมีโอกาสไดฟ้ งั พระธรรมเทศนาตลอดเวลา เขา้ พรรษา
ความเปน็ มาของวันเข้าพรรษา ในสมัยตน้ พุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ไดท้ รงวางระเบียบเร่ือง การเข้าพรรษาไว้ แตก่ ารเข้าพรรษานั้นเป็นสิ่งทพี่ ระพุทธองค์ และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดยปกติอยูแ่ ลว้ เน่ืองด้วยพุทธ จริยาวตั รในอันทจี่ ะไม่ออกไปจาริกตามสถานทีต่ ่างๆ ในช่วงฤดู ฝน เพราะการคมนาคมมีความลาํ บาก และโดยเฉพาะอยา่ งยิง่ พระภิกษุสงฆ์ในช่วงต้นพุทธกาลมีจํานวนน้อย และส่ วนใหญ่ เปน็ พระอริยบุคคล จึงทราบดีว่าสิ่งใดทีพ่ ระภิกษุสงฆ์ควรหรือ ไม่ควรกระทํา เม่ือพระภิกษุสงฆ์มีจํานวนมากขึน้ และดว้ ยพระพุทธจริยา ทพี่ ระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยลว่ งหน้า ทาํ ให้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญตั ิเร่ืองให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจํา พรรษาไวด้ ้วย จึงเกิดเหตกุ ารณ์กลุม่ พระสงฆ์ฉัพพัคคีย์ พากนั ออกเดินทางเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในทีต่ ่างๆ โดยไม่ยอ่ ท้อทัง้ ในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน
ทาํ ให้ชาวบ้านได้พากนั ติเตยี นวา่ พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธ ศาสนาไม่ยอมหยุดพักสั ญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะทีน่ ักบวชใน ศาสนาอ่ืนๆ พากนั หยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การทพี่ ระภิกษุ สงฆ์จาริกไปในทตี่ ่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบยาข้าวกลา้ ของ ชาวบ้านไดร้ ับความเสี ยหาย หรืออาจไปเหยียบยาโดนสั ตวเ์ ลก็ สั ตว์น้อยทอี่ อกหากินจนถึงแก่ความตาย เม่ือพระพุทธเจ้าทราบ เร่ืองจึงไดว้ างระเบียบให้พระภิกษุสงฆ์ประจําอยู่ ณ ทีใ่ ดทีห่ นึง่ เปน็ เวลา 3 เดอื นดังกลา่ ว
การเขา้ พรรษาของพระภิกษุสงฆ์ ตามพระวินัยปฎิ ก ตามพระวินัยปิฎก พระภิกษุสงฆ์รูปใดไม่เขา้ จําพรรษาอยู่ ณ ทแี่ ห่งใดแห่งหนึง่ พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติแกพ่ ระสงฆ์รูป นั้นด้วยอาบัติทุกกฎ และพระภิกษุสงฆ์ทอี่ ธิษฐานรับคําเขา้ จําพรรษาแลว้ จะไปคา้ งแรมทีอ่ ่ืนไม่ได้ แตถ่ า้ หากเดินทางออก ไปแลว้ และไม่สามารถกลบั มาในเวลาทีก่ าํ หนดคือ กอ่ นรุ่งสว่าง กจ็ ะถือวา่ พระภิกษุสงฆ์รูปนั้น \"ขาดพรรษา\" และต้องอาบัติ ทุกกฎ เพราะรับคํานั้น รวมทงั้ พระภิกษุสงฆ์รูปนั้นจะไม่ได้รับ อานิสงส์ พรรษา ไม่ได้อานิสงส์ กฐนิ ตามพระวินัย และทัง้ ยงั ห้ามไม่ให้นับพรรษาทขี่ าดนั้นอีกด้วย
การเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ ตามพระวินัยปิฎก 1) ประเภทของการเขา้ พรรษาของพระภิกษุสงฆ์ การเขา้ พรรษาตามพระวินัย แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1.1) ปุริมพรรษา (หรือบุริมพรรษา) คือ การเขา้ พรรษา แรก เริม่ ตงั้ แตว่ นั แรม 1 คา เดือน 8 (สํ าหรับปอี ธิกมาสคอื มี เดือน 8 สองหน จะเริม่ ในวนั แรม 1 คา เดอื น 8 หลงั ) จนถึงวนั ขึน้ 15 คา เดือน 11 หลงั จากออกพรรษาแลว้ พระทีอ่ ยู่ จําพรรษาครบ 3 เดอื น กม็ ีสิ ทธิทีจ่ ะรับกฐนิ ซึง่ มีช่วงเวลาเพียง 1 เดอื น นับตงั้ แต่วนั แรม 1 คา เดอื น 11 จนถงึ วันขนึ้ 15 คา เดือน 12 1.2) ปจั ฉิมพรรษา คอื การเขา้ พรรษาหลงั ใช้ในกรณีที่ พระภิกษุสงฆ์ตอ้ งเดินทางไกล หรือมีเหตสุ ุดวิสั ย ทาํ ให้กลบั มา เข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 คา เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไป เขา้ พรรษาหลงั คือวันแรม 1 คา เดือน 9 แลว้ จะไปออกพรรษา ในวันขึน้ 15 คา เดือน 12 ซึง่ เป็นวันหมดเขตทอดกฐนิ พอดี ดงั นั้นพระภิกษุทเี่ ขา้ ปจั ฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสไดร้ ับกฐนิ แต่ ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกบั พระภิกษุสงฆ์ทเี่ ข้าปุริมพรรษาเหมือน กนั
2) ข้อยกเวน้ การจําพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ การเข้าพรรษาถือเป็นข้อปฏิบัติสํ าหรับพระภิกษุสงฆ์โดย ตรง ทจี่ ะละเวน้ ไม่ไดไ้ ม่ว่ากรณีใดๆ กต็ าม แต่ว่าในการจําพรรษา ของพระภิกษุสงฆ์ในระหว่างพรรษานั้น อาจมีกรณีจําเปน็ บาง อยา่ ง ทําให้พระภิกษุสงฆ์ตอ้ งออกจากสถานที่ จําพรรษาเพ่ือไปค้างทอี่ ่ืน พระพุทธองคก์ ็ทรงอนุญาตให้ทําได้ โดยไม่ถอื ว่าเปน็ การขาดพรรษา โดยมีเหตจุ ําเป็นเฉพาะกรณีๆ ไป ตามทที่ รงระบุไวใ้ นพระไตรปิฎก ซึง่ ส่ วนใหญ่จะเกยี่ วกับการ พระศาสนาหรือการอุปฏั ฐานบิดามารดา แต่ทงั้ น้ีกจ็ ะตอ้ งกลบั มาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน การออกนอกทีจ่ ําพรรษาลว่ ง วนั เช่นน้ีเรียกว่า \"สั ตตาหกรณียะ\" ซึง่ เหตุทที่ รงระบุว่า จะออก จากทจี่ ําพรรษาไปไดช้ ั่วคราวนั้น ไดแ้ ก่ 2.1) การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้พระภิกษุสงฆ์ หรือบิดามารดาทเี่ จ็บป่วย กรณีน้ีทาํ ได้กับสหธรรมิก 5 และ มารดาบิดา 2.2) การไประงับพระภิกษุสามเณรทอี่ ยากจะสึ กมิให้สึ ก ได้ กรณีน้ีทําได้กับสหธรรมิก 5
2.3) การไปเพ่ือกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหา อุปกรณ์มาซ่อมกฏุ ิทชี่ ํารุด หรือการไปทําสั งฆกรรม ตัวอย่าง เช่น สวดญตั ติจตตุ ถกรรมวาจาให้พระผู้ตอ้ งการอยู่ปริวาส เป็นต้น 2.4) หากทายกนิมนต์ไปทําบุญ ก็ไปให้ทายกไดใ้ ห้ทาน รับ ศีล ฟงั เทศนาธรรมได้ กรณีน้ีหากโยมไม่มานิมนต์ กจ็ ะไป คา้ งไม่ได้
3) อานิสงส์ การจําพรรษาของพระสงฆ์ทจี่ ําครบพรรษา เม่ือพระสงฆ์จําพรรษาครบไตรมาส ได้ปวารณา ออกพรรษาและไดก้ รานกฐนิ แลว้ ยอ่ มไดร้ ับอานิสงส์ หรือขอ้ ย กเวน้ พระวินัย 5 ขอ้ ไดแ้ ก่ 3.1) เทยี่ วไปไหนไม่ตอ้ งบอกลา (ออกจากวดั ไปโดยไม่ จําเปน็ ต้องแจ้งเจ้าอาวาส หรือพระสงฆ์รูปอ่ืนกอ่ นได้) 3.2) เทยี่ วไปไม่ตอ้ งถอื ไตรจีวรครบสํ ารับ 3 ผนื 3.3) ฉันคณะโภชน์ได้ (ลอ้ มวงฉันได้) 3.4) เก็บอดิเรกจีวรไวไ้ ดต้ ามปรารถนา (ยกเวน้ สิ กขาบท ข้อนิสสั คคิยปาจิตตีย์บางข้อ) 3.5) จีวรลาภอันเกิดในทีน่ ั้นเป็นของภิกษุ (เม่ือมีผู้มา ถวายจีวรเกินกวา่ ไตรครอง สามารถเกบ็ ไว้ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งสละ เข้ากองกลาง)
การถอื ปฏิบัติการเขา้ พรรษา ของพระภิกษุสงฆ์ไทยในปจั จุบัน 1) การเตรียมตัวเข้าจําพรรษาของพระสงฆ์ในปจั จุบัน การเขา้ จําพรรษา คือ การตงั้ ใจเพ่ืออยูจ่ ําพรรษา ณ อาวาสใดอาวาสหนึง่ หรือสถานทใี่ ดสถานทหี่ นึง่ เปน็ ประจําตลอดพรรษา 3 เดือน ดังนั้นกอ่ นเข้าจําพรรษา พระภิกษุสงฆ์ในวัดจะเตรียมตวั โดย การซ่อมแซมเสนาสนะ ปดั กวาดเช็ดถูให้เรียบร้อยก่อนถึงวนั เข้าพรรษา เม่ือถงึ วันเขา้ พรรษา ส่ วนใหญพ่ ระภิกษุสงฆ์จะลงประกอบ พิธีอธิษฐานจําพรรษาหลงั สวดมนตท์ ําวตั รเย็น เปน็ พิธีเฉพาะ ของพระภิกษุสงฆ์ ซึง่ ส่ วนใหญจ่ ะลงประกอบพิธี ณ พระอุโบสถ หรือสถานทใี่ ดตามแตจ่ ะสมควรภายในอาวาสทีจ่ ะจําพรรษา โดยเม่ือทําวตั รเย็นประจําวันเสร็จแลว้ เจ้าอาวาสจะประกาศ เร่ือง วสั สูปนายิกา คอื การกาํ หนดบอกให้พระภิกษุสงฆ์ทัง้ ปวง รู้ถึงขอ้ กําหนดในการเขา้ พรรษา โดยมีสาระสํ าคญั ดังน้ี
1) แจ้งให้ทราบเร่ืองการเข้าจําพรรษาแกพ่ ระภิกษุสงฆ์ใน อาราม 2) แสดงความเปน็ มาและเน้ือหาของวัสสูปนายิกาตาม พระวินัยปิฏก 3) กําหนดบอกอาณาเขตของวัด ทพี่ ระภิกษุสงฆ์จะรักษา อรุณ หรือรักษาพรรษาให้ชัดเจน (รักษาอรุณ คอื ตอ้ งอยูใ่ น อาวาสทกี่ ําหนดกอ่ นอรุณขนึ้ จึงจะไม่ขาดพรรษา) 4) หากมีพระภิกษุสงฆ์ผู้เปน็ เสนาสนคาหาปกะ ก็ทําการ สมมุติเสนาสนคาหาปกะ (เจ้าหน้าทสี่ งฆ์) เพ่ือให้เปน็ ผู้กาํ หนด ให้พระภิกษุสงฆ์รูปใดจําพรรษา ณ สถานทีใ่ ดในวดั
เม่ือแจ้งเร่ืองดังกลา่ วเสร็จแลว้ อาจจะมีการทาํ สามีจิกรรม คือ การกลา่ วขอขมาโทษซึง่ กันและกนั เพ่ือเปน็ การ แสดงความเคารพซึง่ กนั และกนั ระหว่างพระเถระและพระผู้น้อย และเปน็ การสร้างสามัคคกี ันในหมู่คณะด้วย จากนั้นจึงทําการอธิษฐานพรรษา เป็นพิธีกรรมทสี่ ํ าคญั ทสี่ ุด โดยการเปลง่ วาจาวา่ จะอยู่จําพรรษาตลอดไตรมาส โดย พระภิกษุสงฆ์ และสามเณรทัง้ อารามกราบพระประธาน 3 ครัง้ แลว้ เจ้าอาวาสจะนําตงั้ นโม 3 จบ และนําเปลง่ คาํ อธิษฐาน พรรษาพร้อมกนั เปน็ ภาษาบาลวี า่ อิมสฺมิ˚ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ (ถ้ากลา่ วหลาย คนใช้ อุเปม) หลงั จากน้ี ในแตล่ ะวัดจะมีขอ้ ปฏิบัติทแี่ ตกตา่ งกันไป บางวดั อาจจะมีการเจริญพระพุทธมนตต์ ่อ และเม่ือเสร็จแลว้ อาจจะมี การสั กการะสถูปเจดียต์ น้ พระศรีมหาโพธิภ์ ายในวัดอีก ตามแต่ จะเห็นสมควร
เม่ือพระภิกษุสงฆ์ และสามเณรกลบั เสนาสนะของตนแลว้ อาจจะอธิษฐานพรรษาซาอีกเฉพาะเสนาสนะของตนกไ็ ด้ โดย กลา่ ววาจาอธิษฐานเปน็ ภาษาบาลวี า่ อิมสฺมิ˚ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ (ถา้ กลา่ วหลายคนใช้ อุเปม) เปน็ อันเสร็จพิธีอธิษฐานเขา้ จําพรรษาสํ าหรับพระภิกษุสงฆ์ และพระภิกษุสงฆ์จะตอ้ งรักษาอรุณไม่ให้ขาดตลอด 3 เดือนนับ จากน้ี โดยจะตอ้ งรักษาผ้าไตรจีวรตลอดพรรษากาล คอื ตอ้ ง อยู่กบั ผ้าครองจนกว่าจะรุ่งอรุณด้วย
2) การศึกษาพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษา ในอดตี การเข้าพรรษามีประโยชน์แก่พระภิกษุสงฆ์ในดา้ น การศึกษาพระธรรมวินัย โดยการทพี่ ระภิกษุสงฆ์จากทตี่ ่างๆ มา อยูจ่ ําพรรษารวมกนั ในทใี่ ดทหี่ นึง่ พระภิกษุสงฆ์เหลา่ นั้นก็จะมี การแลกเปลยี่ น และถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ตามพระธรรมวินัย ให้แกก่ นั ในปจั จุบัน การศึกษาพระธรรมวินัยในช่วงเข้าพรรษาของ ประเทศไทย ก็ยงั จัดเปน็ กิจสํ าคญั ของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะ พระภิกษุสงฆ์ทอี่ ุปสมบททุกรูป กจ็ ะตอ้ งศึกษาพระธรรมวินัย เพิม่ เติม ปจั จุบันพระธรรมวินัยถกู จัดเปน็ หลกั สูตรของคณะ สงฆ์ ในหลกั สูตรพระธรรมจะเรียกว่า ธรรมวิภาค พระวินัย เรียกวา่ วินัยมุข รวมเรียกวา่ \"นักธรรม\" ชั้นต่างๆ โดยจะมีการ สอบไลค่ วามรู้พระปริยตั ิธรรมในช่วงออกพรรษา เรียกว่า การ สอบธรรมสนามหลวง ในช่วงวนั ขนึ้ 9 คา – ขนึ้ 12 คา เดอื น 11 (จัดสอบนักธรรมชั้นตรีสํ าหรับพระภิกษุสามเณร) และช่วง วนั แรม 2 คา – แรม 5 คา เดอื น 12 (จัดสอบนักธรรมชั้นโท และเอก สํ าหรับพระภิกษุสามเณร)
ปจั จุบันการศึกษาเฉพาะในชั้นนักธรรมตรีสํ าหรับพระนวกะ หรือพระบวชใหม่ จะจัดสอบในช่วงปลายฤดูเขา้ พรรษา เพ่ือ อํานวยความสะดวกให้แก่ผูท้ ีจ่ ะลาสิ กขาบทหลงั ออกพรรษา จะไดต้ งั้ ใจเรียนพระธรรมวินัยเพ่ือสอบไลใ่ ห้ไดน้ ักธรรมในชั้นน้ี ดว้ ย
ประเพณีเน่ืองดว้ ยการเข้าพรรษา ในประเทศไทย 1) ประเพณีการถวายเทียนพรรษา มีประเพณีหนึง่ ทเี่ น่ืองดว้ ยวนั เข้าพรรษาและจัดเปน็ ประเพณี ทสี่ ํ าคัญและสื บทอดกนั เร่ือยมา กค็ อื ประเพณีหลอ่ เทียนพรรษา สํ าหรับให้พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนทัว่ ไปได้จุดบูชา พระประธานในโบสถ์ ซึง่ เทยี นพรรษาสามารถอยูไ่ ด้ตลอด 3 เดือน และเป็นกศุ ลทานอย่างหนึง่ ในการให้ทานด้วยแสงสวา่ ง ซึง่ ในปจั จุบันไดพ้ ัฒนามาเป็นงานประเพณี \"ประกวด เทยี นพรรษา\" ของแตล่ ะจังหวัด โดยจัดเปน็ ขบวนแห่ทัง้ ทางบก และทางนา
การถวายเทยี นเพ่ือจุดตามประทปี เปน็ พุทธบูชานั้น มาจาก อานิสงส์ การถวายเทยี นเพ่ือจุดเป็นพุทธบูชา ทปี่ รากฏความใน พระไตรปิฎกและในคมั ภีร์อรรถกถาว่า พระอนุรุทธะเถระเคยถวาย เทียนบูชาทําให้ไดร้ ับอานิสงส์ มากมาย รวมถึงได้เป็นผู้มีจักษุทิพย์ (ตาทิพย์) ด้วย การพรรณนาอานิสงส์ ดงั กลา่ ว อาจทําให้ชาวพุทธนิยมจุด ประทีปเปน็ พุทธบูชามานานแลว้ แตไ่ ม่ปรากฏหลกั ฐานวา่ การทาํ เทยี นพรรษาในประเทศไทยถวายเริม่ มีมาแตส่ มัยใด แตป่ รากฏ ความในตาํ รับทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์ ทีพ่ รรณนาการบําเพ็ญกศุ ลใน ช่วงเขา้ พรรษาว่า มีการถวายเทยี นพรรษาดว้ ย ในประเทศไทย การถวายเทียนเข้าพรรษาจัดเป็นพิธีใหญ่มา ตงั้ แต่สมัยสุโขทัย ในสมัยรัตนโกสิ นทร์ การถวายเทียนเขา้ พรรษา ถอื เปน็ พระราชกรณียกิจทีส่ ํ าคัญ โดยจะเรียกวา่ พุ่มเทียน มีการ พระราชทานถวายพุ่มเทยี นรวมพึงโคมเพ่ือจุดบูชาตามอาราม ตา่ งๆ ทงั้ ในพระนครและหัวเมือง ซึง่ พิธนี ้ียังคงมีมาจนปจั จุบัน
การถวายเทียนพรรษาโดยแกะสลกั เปน็ ลวดลายตา่ งๆ นั้น มีมาแต่โบราณ เดิมเปน็ ประเพณีราชสํ านัก ดงั ทปี่ รากฏในเทียน รุ่งเทียนหลวงตามพระอารามต่างๆ สํ าหรับเทยี นแกะสลกั ที่ ปรากฏวา่ มีการจัดทําประกวดกนั เปน็ เร่ืองราวใหญ่โตในปจั จุบัน นั้น ปรากฏขึน้ เม่ือปี พ.ศ. 2483 ในจังหวัดอุบลราชธานี โดยนาย โพธิ์ ส่ งศรี ไดเ้ ริม่ ทําแม่พิมพ์ปูนซีเมนต์ เพ่ือหลอ่ ข้ผี ึง้ ทาํ เป็น ลวดลายไทยไปประดบั ติดพิมพ์บนเทียนพรรษา นับเป็นการจัดทาํ เทียนพรรษาแกะสลกั ของช่างราษฎร์เปน็ ครัง้ แรก และนายสวน คณู ผล ได้ทาํ ลวดลายนูนสลบั สี ตา่ งๆ เขา้ ประกวดจนชนะเลศิ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2497 จึงเริม่ มีการทาํ เทียนพรรษาติดพิมพ์ ประกวดแบบพิสดารโดยนายประดบั ก้อนแกว้ คอื ทาํ เป็นรูปพุทธ ประวตั ิติดพิมพ์ จนได้รับรางวลั ชนะเลศิ ติดตอ่ กนั มาหลายปี จนปี พ.ศ. 2502 นายคาํ หมา แสงงาม ช่างแกะสลกั ได้ทําเทยี นพรรษา แบบแกะสลกั มาประกวดเป็นครัง้ แรก จนได้รับรางวัลชนะเลศิ จากนั้นจึงได้มีการแยกประเภทการประกวดต้นเทยี นเปน็ สองแบบ คอื ประเภทติดพิมพ์และประเภทแกะสลกั จนในช่วงหลงั ปี พ.ศ. 2511 นายอุตสาห์ และนายสมัย แสงวิจิตร ไดเ้ ริม่ มีการจัดทาํ เทยี นพรรษาขนาดใหญ่โต ทาํ เป็นหุ่นและเร่ืองราวตา่ งๆ ซึง่ เปน็ ลกั ษณะของเทียนพรรษาขนาดใหญ่ทีป่ รากฏในปจั จุบัน
ในอดีตการหลอ่ เทยี นเข้าพรรษา ถอื เป็นพิธสี ํ าคญั ทชี่ าวพุทธ จะมารวมตวั กนั นําข้ผี ึง้ มาหลอมรวมเป็นแทง่ เทียนเพ่ือถวายแก่ พระภิกษุสงฆ์ แต่ในปจั จุบันชาวพุทธส่ วนใหญจ่ ะนิยมการซ้ือหา เทียนพรรษาจากร้านสั งฆภัณฑ์ โดยบางส่ วนมีการปรับเปลยี่ นไป ซ้ืออุปกรณ์ไฟฟา้ ทใี่ ห้แสงสว่างถวายแก่พระภิกษุสงฆ์แทนด้วย ซึง่ นับเปน็ การปรับเปลยี่ นทไี่ ดป้ ระโยชน์แกพ่ ระภิกษุสงฆ์โดยตรง เพราะปจั จุบันไม่ได้มีการนําเทยี นมาจุดเพ่ืออ่านหนังสื ออีกแลว้ พระสงฆ์คงนําเทยี นไปจุดบูชาตามอุโบสถวิหารเทา่ นั้น
2) ประเพณีการถวายผา้ อาบนาฝน ผา้ อาบนาฝน (หรือผ้าวสั สิ กสาฏก) คอื ผา้ เปลยี่ น สํ าหรับสรงนาฝนของพระภิกษุสงฆ์ เป็นผ้าลกั ษณะเดียวกับ ผา้ สบง โดยปกติแลว้ เคร่ืองใช้สอยของพระภิกษุสงฆ์ตามพุ ทธานุญาตทใี่ ห้มีประจําตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร ซึง่ ได้แก่ สบง จีวร สั งฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองนา และ มีดโกน แต่ช่วงหน้าฝนของการจําพรรษาในสมัยกอ่ นนั้น พระภิกษุสงฆ์ทมี่ ีเพียงสบงผนื เดยี วจะอาบนาฝน จําเป็นตอ้ ง เปลอื ยกาย ทําให้ดูไม่งามและเหมือนนักบวชนอกศาสนา นางวิสาขาจึงคิดถวาย \"ผา้ วัสสิ กสาฏก\" หรือทเี่ รียกกนั โดยทวั่ ไปวา่ \"ผ้าอาบนาฝน\" เพ่ือให้พระภิกษุสงฆ์ได้ ผลดั เปลยี่ นกับผา้ สบงปกติ จนเปน็ ประเพณีทาํ บุญสื บตอ่ กนั มาจนถงึ ปจั จุบัน โดยปรากฏสาเหตุความเปน็ มาของการ ถวายผ้าอาบนาฝนในพระไตรปิฎกดงั น้ี
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทบั ณ พระเชตวนั มหา วิหาร นางวิสาขาได้มาฟงั ธรรม แลว้ ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์ไปฉันทบี่ ้านของนางในวันรุ่งขนึ้ เช้าวันนั้น เกิดฝน ตกครัง้ ใหญต่ กในทวีปทงั้ 4 พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้พระภิกษุ สงฆ์ทงั้ หลายสรงสนานกาย พระภิกษุสงฆ์ทงั้ หลายทีไ่ ม่มี ผ้าอาบนาฝน จึงออกมาสรงนาฝนโดยร่างเปลอื ยกายอยู่ พอดกี ันกับทนี่ างวิสาขา สั่งให้นางทาสี ไปนิมนตพ์ ระภิกษุ สงฆ์มารับภัตตาหารทบี่ ้านของตน เม่ือนางทาสี ไปถงึ ทวี่ ัดเห็น พระภิกษุสงฆ์เปล้อื งผา้ สรงสนานกาย ก็เข้าใจวา่ ในอารามมี แต่พวกชีเปลอื ย ไม่มีพระภิกษุสงฆ์อยูจ่ ึงกลบั บ้าน ส่ วนนาง วิสาขานั้นเปน็ สตรีทฉี่ ลาดรู้แจ้งในเหตกุ ารณ์ทัง้ ปวง เม่ือถวาย ภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเปน็ ประมุขในวันนั้น แลว้ จึงไดโ้ อกาสอันควรทูลขอพร 8 ประการต่อพระพุทธเจ้า ดังน้ี 1) ขอถวายผา้ วัสสิ กสาฎก (ผา้ อาบนา) แด่พระภิกษุ สงฆ์เพ่ือปกปดิ ความเปลอื ยกาย 2) ขอถวายภัตตาหารแตพ่ ระอาคันตกุ ะ เน่ืองจากพระ อาคนั ตกุ ะไม่ชํานาญหนทาง 3) ขอถวายคมิกภัตแดพ่ ระผู้เตรียมตัวเดินทาง เพ่ือจะได้ ไม่พลดั จากหมู่เกวยี น
4) ขอถวายคิลานภัตแดพ่ ระอาพาธ เพ่ือไม่ให้อาการ อาพาธกําเริบ 5) ขอถวายภัตแดพ่ ระผู้พยาบาลพระอาพาธ เพ่ือให้ ท่านนําคิลานภัตไปถวายพระอาพาธได้ตามเวลา และพระผู้ พยาบาลจะได้ไม่อดอาหาร 6) ขอถวายคิลานเภสั ชแด่พระอาพาธ เพ่ือให้อาการ อาพาธทุเลาลง 7) ขอถวายยาคเู ป็นประจําแด่พระภิกษุสงฆ์ 8) ขอถวายผ้าอุทกสาฎก (ผ้าอาบนา) แด่ภิกษุณีสงฆ์ เพ่ือปกปิดความไม่งามและไม่ให้ถูกเยย้ ยัน พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตพร 8 ประการทนี่ างวิสาขาได้ ทูลขอเอาไว้ โดยนางวิสาขาไดใ้ ห้เหตุผลของการถวายผ้าอาบ นาฝนวา่ เพ่ือให้ใช้ปกปิดความเปลอื ยกายในเวลาสรงนาฝน ของพระภิกษุสงฆ์ ทดี่ ูไม่งามดังกลา่ ว ดังนั้น นางวิสาขาจึง เป็นอุบาสิ กาคนแรกทไี่ ด้รับอนุญาตให้ถวายผา้ อาบนาฝน (วัสสิ กสาฏก) แก่พระภิกษุสงฆ์ ผา้ อาบนาฝน จึงถอื เปน็ บริขารพิเศษทีพ่ ระพุทธเจ้า อนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ไดใ้ ช้ ดงั นั้น จึงมีความจําเป็นต้อง ทําให้ถูกต้องตามพระวินัย มิเช่นนั้นพระภิกษุสงฆ์จะต้องอาบัติ นิคสั คคิยปาจิตตีย์ คอื ต้องทําผ้ากวา้ งยาวให้ถูกขนาดตาม พระวินัย คือ ยาว 6 คืบ พระสุคตกว้าง 2 คืบครึง่
ตามมาตราปจั จุบันคือ ยาว 4 ศอก 3 กระเบียด กวา้ ง 1 ศอก 1 คืบ 4 นิ้ว 1 กระเบียดเศษ ถา้ หากมีขนาดใหญก่ ว่าน้ี พระภิกษุสงฆ์ต้องตดั ให้ได้ขนาด จึงจะปลงอาบัติได้ นอกจากน้ี พระพุทธเจ้าได้ทรงวางกรอบเวลาในการแสวง หาผ้าอาบนาฝนไวด้ ้วย โดยพระพุทธเจ้ายงั ไดท้ รงวางกรอบ เวลาในการแสวงหาผา้ อาบนาฝนไว้วา่ หากพระภิกษุสงฆ์แสวง หาผ้าอาบนาฝนมาใช้ได้ภายนอกกาํ หนดเวลาดังกลา่ ว จะตอ้ ง อาบัตินิสสั คคิยปาจิตตีย์ กลา่ วคอื ทรงวางกรอบเวลาหรือเขต กาลไว้ 3 เขตกาล คอื 1) เขตกาลทจี่ ะแสวงหา คือ ช่วงปลายฤดูร้อน ตงั้ แต่วนั แรม 1 คา เดือน 7 - วนั เพ็ญเดอื น 8 (วันขนึ้ 15 คา เดอื น 8) รวมระยะเวลาประมาณ 1 เดือน 2) เขตกาลทจี่ ะทาํ นุ่งห่ม คอื ช่วงกงึ่ เดอื นปลาย ฤดูร้อน ตงั้ แต่วันขึน้ 1 คา เดือน 8 - วนั เพ็ญเดือน 8 (วันขึน้ 15 คา เดอื น 8) รวมระยะเวลาประมาณ 15 วัน 3) เขตกาลทจี่ ะอธิษฐานใช้สอย คือ ช่วง เขา้ พรรษา ตงั้ แตว่ นั แรม 1 คา เดือน 8 - วันเพ็ญเดือน 12 (วนั ขึน้ 15 คา เดือน 12) รวมระยะเวลาประมาณ 4 เดือน
ดว้ ยกรอบพระพุทธานุญาตและกรอบเวลาตามพระวินัยดัง กลา่ ว เม่ือถึงเวลาทพี่ ระภิกษุสงฆ์ต้องแสวงหาผา้ อาบนาฝน พุทธศานิกชนจึงถือโอกาสบําเพ็ญกศุ ล ด้วยการจัดหาผา้ อาบ นาฝนมาถวายแกพ่ ระภิกษุสงฆ์ จนเป็นประเพณีสํ าคัญเน่ืองใน เทศกาลเข้าพรรษามาจนถงึ ปจั จุบัน
3) ประเพณีการถวายผา้ จํานําพรรษา ผา้ จํานําพรรษา (หรือผ้าวัสสาวาสิ กสาฎก) เป็นผ้า ไตรจีวรทถี่ วายแกพ่ ระภิกษุสงฆ์ทอี่ ยูจ่ ําพรรษาครบ 3 เดอื น ทผี่ ่านวนั ปวารณาไปแลว้ หรือทผี่ ่านวนั ปวารณา และได้กรานและอนุโมทนากฐนิ แลว้ ซึง่ ผา้ จํานําพรรษาน้ี พระภิกษุสงฆ์สามารถรับได้ภายในกาํ หนด 5 เดอื น ทีเ่ ป็น เขตอานิสงส์ กฐนิ คือ ตงั้ แตว่ ันแรม 1 คา เดอื น 11 - วัน ขึน้ 15 คา เดือน 4
แตส่ ํ าหรับพระภิกษุสงฆ์ทจี่ ําพรรษาครบ 3 เดือน และ ผ่านวนั ปวารณาไปแลว้ ซึง่ ไม่ไดก้ รานและอนุโมทนากฐนิ ก็ สามารถรับและใช้ผ้าจํานําพรรษาได้เช่นกัน แตส่ ามารถรับ ไดใ้ นช่วงกําหนดเพียง 1 เดือน ในเขตจีวรกาล สํ าหรับผู้ไม่ ไดก้ รานกฐนิ เทา่ นั้น การถวายผา้ จํานําพรรษาในช่วงดังกลา่ ว เพ่ือเปน็ การ อนุเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์ทตี่ อ้ งการจีวรมาเปลยี่ นของเกา่ ทชี่ ํารุด พุทธศาสนิกชนจึงนิยมถวายผา้ จํานําพรรษามา ตงั้ แตส่ มัยพุทธกาล ในประเทศไทยกป็ รากฏว่า มีพระราช ประเพณีการถวายผา้ จํานําพรรษาแกพ่ ระภิกษุสงฆ์มาตงั้ แต่ สมัยรัชกาลที่ 4 ตามความทปี่ รากฏในหนังสื อพระราชนิพนธ์ พระราชพิธี 12 เดอื น ซึง่ ปจั จุบันแม้ทางราชสํ านักได้งด ประเพณีน้ีไปแลว้ แตป่ ระเพณีน้ีกย็ งั คงมีอยูส่ ํ าหรับ ประชาชน โดยนิยมถวายเป็นผา้ ไตรแก่พระภิกษุสงฆ์หลงั พิธี งานกฐนิ เปน็ ทนี่ ่าสั งเกตว่า ปจั จุบันจะมีคนเข้าใจผิดว่า ผ้า จํานําพรรษา คอื ผ้าอาบนาฝน ซึง่ ความจริงแลว้ มีความเปน็ มาและพระวินัยทแี่ ตกตา่ งกนั โดยสิ้ นเชิง
4) ประเพณีการถวายผา้ อัจเฉกจีวร ผา้ อัจเจกจีวร แปลวา่ จีวรรีบร้อน หรือผ้าด่วน คอื ผา้ จํานําพรรษาทถี่ วายลว่ งหน้าในช่วงเขา้ พรรษา ก่อน กาํ หนดจีวรกาลปกติ ด้วยเหตุรีบร้อนของผูถ้ วาย เช่น ผู้ ถวายจะไปรบทัพหรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเปน็ บุคคลทีพ่ ึง่ เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ควรรับไว้ฉลองศรัทธา
ผ้าอัจเจกจีวรน้ี พระวินัยอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับ เก็บไวไ้ ด้ แตต่ อ้ งรับก่อนวันปวารณาไม่เกิน 10 วนั (คือ ตงั้ แต่วันขึน้ 6 คา เดือน 11 - วนั ขนึ้ 15 คาเดือน 11) และต้องนํามาใช้ภายในช่วงจีวรกาล ผ้าอัจเจกจีวรน้ี เป็นผา้ ทีม่ ีความมุ่งหมายเดียวกับผา้ จํานําพรรษา เพียงแต่ถวายก่อนฤดูจีวรกาลดว้ ยวัตถุ ประสงคท์ รี่ ีบด่วน หรือความไม่แน่ใจในชีวิต ซึง่ ประเพณีน้ี คงมีสื บทอดมาตงั้ แตส่ มัยพุทธกาล ปจั จุบันไม่ปรากฏเป็น พิธใี หญ่ เพราะเป็นการถวายดว้ ยสาเหตสุ ่ วนตัวเฉพาะราย ไป ส่ วนมากจะมีเจ้าภาพผูถ้ วายเพียงคนเดยี ว และเป็นคน ปว่ ยหนักทมี่ ีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยา่ งแรงกลา้
คณะผูจ้ ัดทาํ ทปี่ รึกษา นายปุณณรัตน์ ศรีทาพุฒ ผู้อํานวยการ สํ านักงาน กศน. จังหวดั หนองคาย นางสาวปาริชาติ ไชยสถิตย์ รองผูอ้ ํานวยการ สํ านักงาน กศน.จังหวดั หนองคาย นางจามรี ภเู มฆ ผูอ้ ํานวยการ กศน.อําเภอทา่ บ่อ ผู้จัดทาํ /รวบรวมขอ้ มูล/ออกแบบ นางสาววรุณยุภา นาเกลอื บรรณารักษ์ชํานาญการ กศน.อําเภอทา่ บ่อ หนังสื อเลม่ น้ีเปน็ ลขิ สิ ทธิข์ อง ห้องสมุดประชาชนอําเภอทา่ บ่อ กศน.อําเภอทา่ บ่อ สํ านักงาน กศน.จังหวัดหนองคาย พุทธศักราช ๒๕๖๓
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: