ทกุ สิ่งอยูเหนอื ปญ หา
ร่วมเป็นเจ้าภาพ พมิ พ์ธรรมะเล่มนอ้ ยได้ท่ี หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปญั โญ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐
รายชื่อหนังสอื ธรรมะเลม่ นอ้ ย ๑๒ เลม่ สำ� หรบั ปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑. การมีอายุครบรอบปี...เป็นเช่นน้ันเอง ๒. สิ่งท่ีเป็นคู่ชีวิต ๓. มาฆบูชา วันน้ีเป็นการกระท�ำเพ่ือบูชาพระอรหันต์ ๔. ความถกู ต้องของการศึกษา ๕. ความหมายและคุณค่าของ ค�ำว่า “ล้ออายุ” ๖. การท�ำงานน้ันคือการปฏิบัติธรรม ๗. เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ ๘. พระธรรมในทุกแง่ทุกมุม ๙. มอื ขวาทำ� บญุ อยา่ ใหม้ อื ซา้ ยรู้ ๑๐. ปวารณา คอื เครอ่ื งหมาย แหง่ คนดี ๑๑. ประโยชนข์ องความกตญั ญู ๑๒. ภมู ติ า่ งๆ และ แนวครองชวี ิต ๑๒ เล่ม ส�ำหรับปี ๒๕๕๖ ประกอบดว้ ย ๑. ธรรมะเผดจ็ การ ๒. ความเป็นไปของจิต ๓. ความเขา้ ใจถกู เก่ียวกับศาสนา ๔. พุทธบริษัทไม่ต้องใช้ยาระงับประสาท ๕. ธรรมท่ีลูกของพระพุทธเจ้าควรปฏิบัติ ๖. การบวช คือการบังคับตัวเอง ๗. โทษท่ีเกิดเพราะไม่มีวินัย ๘. อย่าง นั้นเอง ๙. มะพร้าวนาฬิเกร์ ๑๐. ชีวิตโวหาร ๑๑. สติ ๑๒. สันทิฏฐโิ ก ๑๒ เลม่ สำ� หรบั ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑. ธรรมะทำ� ไมกนั ๒. แผน่ ดนิ รองรบั รา่ งกาย ธรรมะรองรบั จติ ใจ ๓. สง่ิ ทเี่ รยี กวา่ กเิ ลส ๔. ธรรมคอื สง่ิ จำ� เปน็ แกม่ นษุ ยส์ ำ� หรบั ปอ้ งกนั และแกไ้ ข ๕. สงิ่ ซง่ึ เปน็ อปุ กรณแ์ กก่ ารเลกิ อายุ ๖. ทกุ สง่ิ อยเู่ หนอื ปญั หา ๗. รจู้ กั ธรรมะใหถ้ งึ ทส่ี ดุ ๘. เขา้ ใจพทุ ธศาสนาใหถ้ กู ตอ้ ง ๙. หลักธรรมท่ีทุกคนควรทราบ ๑๐. ธรรมที่เป็นเคร่ืองมือ การเดินทาง ๑๑. ผลพลอยได้ที่เน่ืองถึงกันและกันในโลก ๑๒. ธรรมะคือหน้าท่ี
ทกุ ส่ิงอยู่เหนือปัญหา โดย พทุ ธทาสภกิ ขุ ล�ำดบั ท่ี ๖ ประจ�ำปี ๒๕๕๗ www.bia.or.th
อบรมพระนวกะราชภัฏจากวัดชลประทานรงั สฤษฏ์ วนั ที่ ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๒๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ ลานหนิ โค้ง สวนโมกขพลาราม ธรรมโฆษณ์ ชดุ ธรรมบรรยายตอ่ หางสนุ ัข (ระดบั มหาวิทยาลยั )
ทกุ สงิ่ อยเู่ หนอื ปญั หา ทา่ นทีเ่ ป็นภิกษรุ าชภัฏ ผู้ทจี่ ะต้องลาสิกขา ทัง้ หลาย, การใหบ้ รรยายของเราเปน็ ครง้ั ที่ ๑๐ นี้ ผมจะกล่าวโดยหัวขอ้ วา่ ทุกสงิ่ อยเู่ หนอื ปัญหา คือมันเป็นตอนสุดท้ายของเร่ืองที่ด�ำเนินมา จนถึงกบั ว่า พบชวี ติ จรงิ ซึ่งเต็มไปดว้ ยความ สะอาด สวา่ ง สงบ น้ีเรียกว่าพบชวี ิตจริง แล้ว ทุกส่ิงกอ็ ย่เู หนือปญั หา ผลสดุ ทา้ ยมนั อยูท่ ีน่ ่ัน หรอื จะกลา่ วว่า ขอให้ทกุ คนพยายาม ท่ีจะให้ ทกุ ส่งิ อยู่เหนือปัญหา ๑
เหนือปัญหา ในท่นี ี้ ก็คือ อยูเ่ หนือ ความทีม่ ันจะเป็นปญั หาขน้ึ มา มนั ไมอ่ าจจะเปน็ ปัญหา โดยประการท้ังปวง เรามีชีวิต ชนดิ ท่ี ไมม่ อี ะไรทจี่ ะเกดิ เปน็ ปญั หาขน้ึ มาได้ นนั่ แหละ ลองคดิ ดเู ถอะว่า มันดหี รือไม่ดี มนั ดสี ักก่ีมาก น้อย ที่จริงค�ำนี้ก็เป็นค�ำที่ใช้อยู่ในธรรมะ ในภาษาธรรมะ ในระบบของธรรมะ ส้ินกิเลส สิน้ ตณั หา ส้ินทกุ ข์ สิ้นกรรม หมายความวา่ สิ้น ปญั หา เมื่อส้นิ ปญั หา ไมม่ อี ะไรที่อาจจะเปน็ ปญั หา ก็คือไม่มอี ะไรท่ีจะเปน็ ทุกข์ เพราะ ปญั หากค็ ือความหมายเดยี วกนั กับความทกุ ข์ เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจบ็ ตอ้ งตาย นคี้ อื ปญั หา น้ีคอื ความทกุ ข์ เมอื่ พบชวี ติ จริงอย่างทพี่ ดู กันแลว้ ใน การบรรยายคร้งั ทีแ่ ลว้ มาน้นั มีจติ สะอาด มี ๒
จิตสว่าง มีจิตสงบ กพ็ อจะเขา้ ใจไดก้ ระมัง วา่ มคี วามสะอาด ความสวา่ ง ความสงบ เพราะ มนั ไม่มกี ิเลส หมายความวา่ จติ ไม่ติดข้องอยู่ ในสงิ่ ใด ด้วยความยึดมั่น เม่อื ยังมีความยึดม่นั อยู่ จติ ไม่สะอาด ไมส่ วา่ ง ไมส่ งบ มนั ก็สกปรก มืดมัว และ เร่ารอ้ น เม่อื ไม่ติดอย่ใู นสงิ่ ใด ไม่ขอ้ งอยู่ในสง่ิ ใด เพราะวา่ มันไม่มีความยดึ ม่นั ถือมนั่ ในสิ่งใด น่นั คอื เรียกว่า ความหลดุ พ้นของจติ หรือจติ มนั หลุดพ้น ในท่ีสุดนี้ เรากค็ วรจะรจู้ ักค�ำว่า วิมุตติ หรอื หลดุ พ้น กันเสยี ที เม่อื หลุดพน้ แล้วมันก็ อยเู่ หนือปัญหาทั้งปวง โดยประการทั้งปวง คำ� วา่ หลดุ หรอื ตดิ น้ี ก็ยมื คำ� ชาว บา้ นเด็กๆ มา มาใช้ มันเปน็ ค�ำของชาวบ้านใช้ มาเปน็ ภาษาธรรม ทางจิตทางวญิ ญาณ จติ ไม่ ๓
ตดิ อยใู่ นอะไร หลดุ ออกไปได้ เหมอื นกบั นกหลดุ จากบ่วงจากเครือ่ งติดเครื่องขงั วิมตุ ติ แปลว่า หลุดพน้ หลดุ พ้นก็ เพราะว่าไมม่ ีความยดึ มน่ั ถอื มัน่ ความยดึ มัน่ ถือม่ันดว้ ยอวชิ ชา อปุ าทานนเ่ี หมอื นกับบ่วง เหมอื นกับว่ายางเหนยี ว หรือทกุ ๆ อยา่ งทม่ี ัน ท�ำให้มนั ตดิ กันอยู่ท่นี ั่น พอสง่ิ ทีท่ �ำให้ตดิ ไม่มี มนั กห็ ลุด กิเลสน่ันแหละเป็นเครื่องท�ำให้ติด โดยเฉพาะก็คือสิง่ ท่ีเรยี กวา่ อปุ าทาน ทบทวน ล�ำดับในปฏจิ จสมุปบาทดู ผสั สะ เวทนา ตณั หา อปุ าทาน ตรงนน้ั น่ะมที ต่ี ิด มเี ครอ่ื งตดิ แล้วกม็ ี การติด ถา้ ตรงนนั้ ไมเ่ กดิ หรอื ไมม่ ี ไมเ่ กดิ อปุ า- ทาน หรอื ไมม่ อี ปุ าทาน มันก็หลดุ โดยไม่ตอ้ ง ติด คือไม่ตดิ น่ถี ้ามีมันกต็ ดิ ตดิ ก็ต้องแก้ไขให้ ๔
หลุด อย่างทพี่ ูดกันมาแลว้ เรือ่ ง อาศัยปัญญา เปน็ เครื่องทำ� ให้หลุด ทนี ี้วา่ หลดุ จะพจิ ารณากันดวู า่ หลดุ หรอื จะไม่ตดิ ก็เพราะจิตมปี ญั ญา มีความรู้ จิตสัมผัสอารมณ์ท้ังหลายด้วยความรู้สึกแห่ง ตถาตา ถ้าเป็นค�ำแปลกสำ� หรับทา่ นผู้ใด กจ็ ด ไว้ จ�ำไวใ้ หแ้ มน่ ยำ� ต–ถา–ตา เขยี นลงไปตรงๆ เลย แปลวา่ ความเปน็ เช่นนัน้ เอง ตถา แปลว่า เชน่ นนั้ เอง ตา แปลว่า ความ ตถาตา แปลวา่ ความเป็นเช่นนั้นเอง แต่บางทกี เ็ รียกสน้ั ๆ ว่า ตถา กม็ ี สัมผสั ทางตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ใน ส่ิงใดก็ตาม ด้วยความรู้สกึ ตถาตา หรอื เห็นตถา ตาอยู่ วา่ มันเป็นเช่นนน้ั เอง อารมณอ์ ะไรนี่ น่า รัก นา่ เกลยี ด หรือน่ากลัว น่าอะไรกต็ าม มนั เชน่ นน้ั เอง กค็ อื ไมม่ คี วามหมายแหง่ ความนา่ รกั ๕
นา่ โกรธ นา่ เกลียด น่ากลัว เชน่ น้ันเอง ตถาตาเป็นพระพุทธภาษิตท่ีตรัสอยู่ แตเ่ ผอญิ จะดว้ ยเหตุไรกไ็ มท่ ราบ ไมค่ อ่ ยมีใคร เอามาพดู จาส่งั สอนกันในพวกเราเถรวาท แต่ ทางฝา่ ยมหายานฝา่ ยโนน้ เขากลบั เอาไปพดู กนั มาก เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้มาก มีช่ือใน ภาษาจีนใหม่ ไปแปลว่า ยสู่ ี ซึง่ ก็ แปลวา่ เชน่ นัน้ เอง คือตามเดิม เขาสอนเรอ่ื งเช่นนน้ั เอง ให้ รจู้ กั ใชค้ วามเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมนั ก็ไม่ไปติด ในส่งิ ใด ไม่ไปรกั ไปโกรธ ไปเกลียด ไปกลวั ใน ส่ิงใด ก็มชี ีวิตเป็นสุขแม้ในบา้ นเรอื น น้ี ตถตา กไ็ ด้ ตถาตา ก็ได้ ตถา เฉยๆ ก็ได้ แปลว่า เช่นนัน้ เอง หรือ ความเปน็ เช่นนน้ั เอง ตถตาจะอธิบายกนั ในแงใ่ หนก็ได้ ใน แงท่ เ่ี ราพดู กนั โดยมากกค็ อื อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ๖
อนจิ จงั –เปลีย่ นแปลงเรอ่ื ย ไหลเร่ือย น้เี ป็น อนิจจงั ทุกขัง –ดูแล้วน่าเกลียด เพราะมันขบ กดั เอา กบั บุคคลผเู้ ขา้ ไปยึดถือ ถึงแมไ้ มเ่ กีย่ ว ขอ้ งกนั มนั กย็ งั นา่ เกลยี ด เพราะวา่ มนั เปลย่ี นแปลง เรือ่ ย มนั ไม่จรงิ นีเ่ รียกวา่ ทกุ ข์ ทกุ ขงั แปลว่า ทรมาน ทนยาก นก้ี ท็ กุ ขเ์ จบ็ ปวดแกช่ วี ติ ทม่ี คี วาม รสู้ กึ แมไ้ ม่มคี วามรู้สกึ เช่นก้อนหนิ อย่างน้ี กม็ ี ความเปน็ อนจิ จงั คอื เปลย่ี นเรอื่ ย ความทเี่ ปลย่ี น เรอื่ ยนัน้ มันนา่ เกลียด และทรมานใจแก่ผู้เหน็ กเ็ รยี กวา่ ทกุ ขงั มันเปน็ อนิจจัง เปน็ ทุกขัง และก็เปน็ อนตั ตา ไม่ควรจะถอื ว่าตวั ตน น่ีคือความเปน็ เชน่ น้ันเอง เหน็ อย่างนชี้ ัดกเ็ รียกวา่ เห็นเช่นน้นั เอง พอเหน็ เชน่ นน้ั เองแลว้ จะไปประหลาดอะไร คำ� วา่ เชน่ นนั้ เอง มนั มอี านสิ งสร์ อบ ดา้ น คอื ในช้ันแรกนไ้ี ม่ทำ� ใหไ้ ปยึดเอา เข้าเป็น ๗
ตัวเรา–ของเรา มันเปน็ เช่นนน้ั เอง แคน่ ้นั เอง เท่านัน้ เอง ไม่น่ารัก ไม่น่าเกลียด ไม่นา่ โกรธ ไม่ น่ากลวั ไมน่ า่ อะไรหมด น้จี ติ กไ็ ม่ติดในส่ิงที่มี ความเปน็ เช่นนั้นเอง หรอื จะใชค้ �ำว่า อรยิ สจั ๔ ทุกข์เปน็ อยา่ งน้ี เหตุใหเ้ กิดทุกข์เปน็ อยา่ งน้ี ความดับ สนทิ แหง่ ทกุ ขเ์ ปน็ อยา่ งนี้ ทางใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ เป็นอยา่ งนี้ น้ีกเ็ ปน็ ตถาตาอย่างยิง่ ว่ามันเปน็ อยา่ งนี้ เป็นเช่นนี้เอง ไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งอืน่ ไปได้ แลว้ ปฏิจจสมปุ บาทท้ังสาย ทพ่ี ดู กัน ไปแล้วนะ่ เพราะสง่ิ นี้มีส่ิงนีจ้ งึ มี เพราะสงิ่ น้มี ี สงิ่ นีจ้ งึ มี เพราะส่ิงนีม้ สี ิ่งน้จี งึ มี เปน็ สาย เปน็ ปฏจิ จสมุปบาท นนั่ กค็ อื ความเปน็ เชน่ นน้ั เอง ถา้ เห็นชดั ความเปน็ เช่นนน้ั เองแลว้ ก็ ยึดไม่ได้ดอก มนั ไมย่ ดึ ถอื เพราะมนั เปน็ เชน่ นัน้ เอง มนั จะไม่ มาเปน็ อยา่ งทเ่ี ราต้องการเปน็ อนั ขาด ๘
นคี่ วามท่ีมันต้องเปน็ อนจิ จงั ทุกขัง อนัตตา กด็ ี ความท่ีตอ้ งเป็น ปฏิจจสมปุ บาท อทิ ัปปัจจยตา กด็ ี นก้ี เ็ รยี กว่าเชน่ น้นั เอง ตาม ธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ หรอื ตามปฏจิ จ- สมุปบาท ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ ฉะนั้น คณุ ก็ ทำ� ความเข้าใจในความหมายของมนั ให้ดๆี ทวี่ า่ มันเชน่ น้นั เอง เอ้า ทนี ก้ี ด็ ู เหลยี วไปทางไหน เหลียว ไปรอบดา้ น เหลียวข้างบน เหลยี วขา้ งลา่ ง ให้ มนั เหน็ เชน่ นน้ั เอง ของตน้ ไม้ ของกอ้ นหนิ ของ ดนิ ของทราย ของโลก ของดวงอาทติ ย์ ของ อะไรกท็ กุ อยา่ ง เอา้ มนั ก็เช่นนน้ั เอง เรากจ็ ะ ไมเ่ กดิ ความรสู้ กึ วา่ นา่ อศั จรรย์ หรอื วา่ นา่ สนใจ น่ารกั กม็ ี นา่ โกรธก็มี น่าเกลียดกม็ ี นา่ กลัวก็มี นที่ ี่เขาเห็นอย่างนน้ั เพราะไมเ่ หน็ เชน่ นน้ั เอง เห็นเช่นน้ันเองแล้วมันก็คือเช่นนั้น ๙
เอง มนั กห็ ยุดอยแู่ ค่เช่นนัน้ เอง ถ้าเราไมเ่ ชน่ นั้นเอง เรากจ็ ะตอ้ งมคี วามร้สู กึ อยา่ งน้อยทีเ่ ขา จดั เป็นประเภทใหญ่ๆ มี ๒ อยา่ งคอื ชอบ หรือ ไม่ชอบ ถ้าชอบ ถ้ารกั กเ็ รียกวา่ อภชิ ฌา ถา้ ว่า มันไมช่ อบ มนั ไมร่ กั กเ็ รียกวา่ โทมนสั ค�ำนี้ในท่ีอื่นหมายความอย่างอื่นนะ โทมนัส ทมุ นสั คอื จติ ช่วั ไมช่ อบ อภชิ ฌานเี้ พง่ เลง็ ที่จะเข้าไปเอา ค�ำนี้ดีมาก แต่ว่าเราไม่ค่อย ใช้ อภิชฌาและโทมนัส แบ่งเปน็ ๒ ฝ่าย ฝ่าย หนึง่ เราจะไปอภิชฌา ฝา่ ยหนึง่ เราจะไปโทมนสั ในพระบาลีมหาสติปัฏฐานท่านใช้ค�ำ นีว้ า่ วิเนยฺย โลเก อภชิ ฌฺ าโทมนสฺสํ –ปฏบิ ตั ิ สติปฏั ฐานนี้ก็เพื่อจะวิเนยยะ คอื ร้อื ออกเสยี ซ่งึ อภิชฌาและโทมนสั ในโลก น�ำออกเสีย กำ� จดั เสีย ซ่ึงอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก โลกทั้งหมด นมี่ นั กม็ ใี หส้ องอยา่ ง ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ อภชิ ฌา ๑๐
–อยากจะได้อยา่ งหน่ึง ให้เกิดโทมนัส –ไม่เอา อยากจะทำ� ลายเสยี อยา่ งหนึ่ง ทีนี้สองคำ� น้มี ันแจกลกู ไปได้มาก เมอ่ื อยากได้ ฝา่ ยท่ีอยากได้มนั กส็ นใจ อยากจะเอา อยากจะเปน็ เกดิ ความรกั เกดิ อะไรไปตามเรอื่ ง ของมนั อยากทไ่ี มเ่ อา ฝา่ ยโทมนสั มนั กเ็ กดิ ความ โกรธ ความเกลยี ด ความกลัว ความอยากจะ ทำ� ลายเสีย ลว้ นแตย่ ุง่ ทง้ั นั้น ท�ำให้จติ มันยุง่ ทงั้ นน้ั ใหเ้ หลยี วไปทางไหน กเ็ หน็ เปน็ เชน่ นนั้ เอง จืดชืด หรือเกล้ยี ง ไมย่ ่วั ให้เกดิ รู้สึกอภชิ ฌา หรือโทมนสั เราจะเหลยี วไปทางไหน ก็จะเห็น แต่เช่นนนั้ เอง คณุ ลองท�ำดบู า้ ง ถา้ ในปา่ อย่าง นี้อาจจะง่ายหน่อย แต่ถ้าในเมืองท่ีเตม็ ไปด้วย อารมณ์รุนแรงทางเพศน่นั เช่นนัน้ เองอยู่ไม่ ได้ มนั ก็ไปหลงรกั เขา้ หรือเมือ่ มนั ไมไ่ ด้ มันก็ ๑๑
หลงโกรธหลงเกลยี ดเขา้ เพราะฉะนนั้ มนั จงึ เกดิ อาชญากรรม เตม็ ไปทั้งเมอื งหลวง เพราะเขา ไมม่ ีความรู้สกึ เช่นน้นั เอง เขามคี วามรู้สึกของ กเิ ลส ท่ีจะเอาใหไ้ ด้ ทจ่ี ะเอาให้ได้ หรอื ว่าอะไรถา้ เขา้ มาเก่ียวข้อง มีเรอื่ ง อะไรท่เี ข้ามาเกี่ยวขอ้ ง ทจี่ ะมาเป็นบ่วงคล้อง เราไป ถา้ เหน็ เช่นนนั้ เอง มันกค็ ลอ้ งไมต่ ดิ ถ้า เราไม่เห็นว่าเช่นนัน้ เอง กไ็ ปกนิ เหยอ่ื เขา้ มนั ก็ คล้องตดิ ไป กเ็ ป็นบุคคลที่เขาสามารถจะดงึ หวั ไปได้ เพราะเราไม่เหน็ เช่นน้ันเอง ฉะนน้ั คุณเข้าใจค�ำนใี้ หด้ ีๆ บางคนเขา สัน่ หวั เขาเหน็ เป็นเรอ่ื งพดู เล่น เชน่ น้นั เอง เทา่ น้นั เอง แค่น้นั เอง เรื่องพูดเล่น ทจ่ี ริงมนั เป็นค�ำท่ีสรุปความหมายในพระพุทธศาสนา ท้ังหมดไว้ ความรหู้ รอื การปฏบิ ตั ใิ นพทุ ธศาสนา ท้งั หมด ไปรวมอยทู่ ่ีให้เห็นเช่นน้นั เอง เช่นน้ัน ๑๒
เอง หวั ใจพระพทุ ธศาสนาคอื เหน็ เชน่ น้นั เอง แลว้ กจ็ บเรอื่ ง มนั ไมเ่ กดิ กเิ ลส มนั จบ แตบ่ างคน เหน็ โอ้ ค�ำพูดเล่นๆ เด็กๆ กต็ ามใจ ทีนี้อยากจะให้มองให้เห็นให้ชัดถึงกับ ว่า ถา้ เราเหน็ เชน่ นั้นเองแล้ว เราจะไมเ่ กดิ ความรกั ความโกรธ ความเกลยี ด ความกลัว ในเมื่อไมเ่ กดิ ความรกั ความเกลียด ความโกรธ ความกลัวในสงิ่ ใด มันก็ไม่มปี ัญหา พอเกิดรกั โกรธ เกลียด กลวั ข้นึ มา ก็มปี ญั หา หรือมนั ยั่ว เพยี งแต่ยั่วให้รกั ให้โกรธ ใหเ้ กลยี ด ใหก้ ลัว มันกค็ ือปัญหา เดย๋ี วน้เี ราก็ว่า ทกุ สิ่งอยเู่ หนอื ปัญหา คือทกุ สิง่ ไม่ทำ� ใหเ้ รารัก โกรธ เกลียด กลัวได้ อยเู่ หนอื ปญั หา ปญั หามนั เกดิ เพราะวา่ ไปอยาก อะไรเขา้ ดว้ ยตณั หาหรอื อปุ าทาน เราจงึ มปี ญั หา ต่อเม่อื เราอยากได้อะไรเป็นจุดแรก เพราะวา่ ๑๓
ความทุกข์ หรืออุปสรรค หรอื ปัญหา หรอื อะไรกต็ าม มนั ตงั้ ตน้ ทเี่ ราไปอยากอะไรเขา้ ดว้ ย ความโง่ ถา้ ฉลาดดว้ ยปญั ญาแล้ว เหน็ เช่น นนั้ เองแล้ว มันไมอ่ ยากอะไร ฉะนน้ั ถา้ อยาก อะไรเขา้ แลว้ ตอ้ งอยากด้วยความโง่ ไมเ่ ห็นเช่น น้นั เอง ทีน้ีมันอาจจะมีปัญหาซ้อนขึ้นมาว่า เห็นเช่นน้ันเองแล้วก็ไม่ท�ำอะไรอย่างนั้นหรือ เหน็ เชน่ นั้นเองแลว้ ทำ� ไปได้ ตามท่ีมันเขา้ รปู กันไดก้ บั เช่นน้ันเอง ฉะน้ันอยา่ เข้าใจว่า เหน็ เชน่ นนั้ เองแลว้ กจ็ ะไมท่ ำ� อะไร อยา่ ทำ� ดว้ ยความ อยาก คือตณั หา หรอื ดว้ ยความยดึ มั่น คอื อุปาทานน้ี กเ็ ท่ากบั ว่าไมไ่ ด้มีการกระท�ำ ถา้ ทำ� ดว้ ยจิตใจทีเ่ ครียด หรอื วา่ เตม็ อดั อยู่ด้วยความ อยาก หรืออปุ าทานแลว้ มนั กเ็ ปน็ การกระท�ำท่ี มีความหมายข้ึนมาล่ะ คอื เปน็ ตณั หาขน้ึ มา ๑๔
ฉะน้ันเราหา หาทรพั ย์สมบตั ิก็ได้ หา อะไรก็ได้ เราไดอ้ ะไรมากไ็ ด้ เรามอี ะไรไวก้ ็ได้ เรากินอะไรกไ็ ด้ เราเก็บสะสมอะไรก็ได้ แต่อยา่ ทำ� ด้วยความโง่ คอื ตัณหาอุปาทาน ใหท้ ำ� ไป ดว้ ยความรสู้ ึกว่า ทกุ อยา่ งเป็นเชน่ นั้นเอง เรา ผู้มี ผู้หา ผ้กู ิน ผใู้ ช้ ก็เชน่ น้นั เอง ของที่ได้มา เพอื่ มี เพ่อื กิน เพื่อใช้ เพื่อเก็บไว้ กเ็ ชน่ น้นั เอง น่มี คี วามรู้สกึ แห่งเช่นน้ันเอง อยู่ตลอดเวลา ไมใ่ ชว่ า่ ใหท้ อ่ ง ไมใ่ ชเ่ พยี งแตว่ า่ ทอ่ งๆ แล้วกจ็ ะเช่นนน้ั เองๆ นีไ้ ม่ได้ มนั ต้องเปน็ ความรู้ เป็นความรแู้ จ้ง เปน็ ความรู้แห่งใจ รสู้ ึกแห่งใจ รสู้ กึ แห่งใจ เพราะเราฝกึ ฝนมา เพยี งพอแล้ว คือในขณะแหง่ วิปสั สนานัน้ เรา ฝกึ ฝนการเหน็ เชน่ นนั้ เองมาพอแลว้ โดยเฉพาะ อยา่ งยิง่ เหน็ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตามาพอแล้ว สรปุ รวมความหมายเป็นเชน่ น้ันเอง ทนี พี้ อ ๑๕
เผชิญกบั อะไรเขา้ ก็ โอ้ กเ็ ชน่ น้ันเองมา มากอ่ น เลย สติพามากอ่ นเลย สตพิ าปญั ญาวา่ เชน่ นั้นเอง มาทนั ควนั จงึ ไม่มปี ญั หา น้ีเราไมอ่ ยากจะรดู้ ว้ ยกเิ ลสตณั หา เรา อยากรู้ด้วยสตปิ ญั ญา ความอยากรู้ หรือความ สงสัยนั้น ก็ไมเ่ ปน็ ปัญหาทเี่ สียบแทงจิตใจเราท่ี เราหวงั ดว้ ยกเิ ลสตณั หา จะเอาใหอ้ ยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ แลว้ มันไมร่ ู้ รู้ไมท่ นั ใจ เลา่ เรยี นไม่ทันใจ อยา่ งน้ี มนั กเ็ สียบแทงจิตใจ เปน็ ปัญหา เรายงั ไมร่ ู้อะไรในสิ่งที่ต้องรู้ เราก็ไม่มี กิเลสตณั หา ทจี่ ะเขา้ ไปผูกพนั แลว้ กท็ ำ� ไปได้ ทำ� ไปได้ โดยทส่ี งิ่ นน้ั ไมแ่ ผดเผาหวั ใจเรา อยา่ ง นเี้ รยี กวา่ ท�ำไปด้วยเชน่ นั้นเอง ดว้ ยความรตู้ ถา- ตา เช่นน้นั เอง ไมใ่ ช่ว่าจะไมต่ อ้ งทำ� อะไร ไม่ใช่วา่ ไม่ ตอ้ งศึกษาเลา่ เรียน หรอื ไม่ใช่วา่ ไม่ตอ้ งทำ� ให้รู้ ๑๖
อะไรยง่ิ ๆ ขึน้ ไป สงิ่ ทีย่ ังไมร่ ู้กท็ �ำให้รู้ แต่อยา่ ทำ� ใหม้ นั เปน็ ปญั หาทแี่ ผดเผาหวั ใจ ไมเ่ ปน็ อปุ สรรค ถา้ มคี วามหมายแหง่ ปญั หา มนั จะแผดเผาหวั ใจ ถา้ มคี วามหมายแหง่ อปุ สรรค มนั กจ็ ะแผดเผา หัวใจ ขึ้นชื่อว่าปญั หาทีเ่ รายงั ไมร่ ู้ น่ีก็คอื อปุ สรรคชนิดหนงึ่ แล้วมนั กเ็ สยี บแทงจิตใจให้ เปน็ ทกุ ข์ เราจะไมย่ อมให้ส่ิงใดเกิดเปน็ ปัญหา หรอื เกดิ เปน็ อปุ สรรคแกเ่ ราได้ เมอ่ื เราไมต่ อ้ งการ มนั มันกไ็ มม่ ที างทจ่ี ะขัดขวางอะไรเรา เราไม่ ตอ้ งหมายมั่นท่จี ะเอา ที่จะได้ ทจี่ ะไป ที่จะกนิ ทจี่ ะใช้ ทจ่ี ะอยู่ ไม่หมายมน่ั ดว้ ยกเิ ลสตณั หา ทีนี้ถ้ามีอะไรมาขัดขวางมันก็ไม่เป็น ปญั หาท่เี สียบแทงจติ ใจเรา เรากแ็ ก้ไขมนั แกไ้ ข มัน แกไ้ ขมนั ด้วยปัญญา วา่ เช่นนั้นเอง อย่าง นีเ้ ช่นนัน้ เอง อย่างน้มี ันเชน่ นัน้ เอง อยา่ งนม้ี ัน ๑๗
เชน่ น้ันเอง มนั มีความเป็นเชน่ น้ันเอง ของอะไร เปน็ อยา่ งไร เราก็รอบรู้ แลว้ เรากท็ ำ� ใหม้ นั ลุลว่ ง ไป ได้ผลตามทีเ่ ราตอ้ งการ โดยท่ีสง่ิ นน้ั ๆ มนั ไม่ ออกมาต่อตา้ นเรา ในฐานะทเ่ี ป็นอุปสรรคหรอื เปน็ ปัญหา แมท้ ี่สุดแตว่ า่ เรามีศตั รูน้ี คอู่ าฆาตอนั ร้ายกาจ เรามองดู มนั เช่นนั้นเอง มันเช่นนัน้ เอง คอื เราไมต่ ้อนรับเขาอย่างศตั รู เราตอ้ นรับ เขาอย่างท่ีส่ิงท่ีเป็นเช่นน้ันเองอยู่ตามธรรมชาติ ในโลก แลว้ มเี ชน่ นน้ั เองไหนทจ่ี ะแกไ้ ขความเปน็ ศตั รนู ไ้ี ด้ แลว้ กใ็ ชค้ วามเปน็ เชน่ นน้ั เองขอ้ นนั้ แหละ ทำ� ลายความเปน็ ศัตรูเสยี อยา่ งนีเ้ ราเหนอื กวา่ เรอ่ื ยไป ทำ� ใหเ้ ราเปน็ ทกุ ขไ์ มไ่ ด้ แลว้ เรากท็ ำ� ลาย มนั ได้ ชนะได้ ทำ� ใหห้ มดภาวะท่ไี มพ่ ึงปรารถนา นนั้ ได้ เชน่ นน้ั เองเปน็ กฎของธรรมะ เปน็ กฎ ๑๘
ของธรรมชาติ ใช้ใหถ้ กู ต้องในทกุ กรณี นีเ้ ราก็ เลยไมม่ ีอปุ สรรค ไม่มศี ัตรู เราไมม่ อี ุปาทานว่า อยา่ งนน้ั อยา่ งน้ี เรากไ็ มผ่ ดิ หวงั เพราะเรามนั ไป หวงั ใหม้ นั โง่ มนั กม็ กี ารผิดหวัง อยา่ ทำ� อะไรดว้ ยความหวงั อยา่ ใชค้ วาม หวงั เปน็ สรณะ เหมอื นทเี่ ขาสอนกนั โดยมากสมยั น้ี อะไรกใ็ หห้ วงั พอหวงั มันก็กดั เอา พอลงมือ หวังมนั กแ็ ผดเผาหัวใจเรอื่ ยไป ตลอดทม่ี นั ยงั มี ความหวัง ฉะน้นั อย่าไปหวงั กบั มนั สิ มปี ัญญา ร้วู ่าท�ำอยา่ งไรกท็ �ำไป โดยไม่ตอ้ งหวัง ฉะน้นั จงึ ไมม่ ีผิดหวัง ผมก็คิดว่าเรื่องนี้เข้าใจยากสักหน่อย คุณคงจะเข้าใจไม่ค่อยจะได้ บางทีอาจจะเป็น การฟังครง้ั แรกก็ได้ เรอ่ื งมเี ช่นนน้ั เอง ใช้แก้ ปัญหาทกุ อยา่ ง เมื่อเห็นเชน่ น้ันเองแล้ว จะไม่ เกิดอุปสรรค จะไมเ่ กดิ ปัญหา จะไมเ่ กิดศตั รู ๑๙
แล้วกจ็ ะไม่มกี ารผิดหวัง ชนิดท่ีผูห้ ญงิ กไ็ ปโดด นำ�้ ตาย หรอื ฆา่ ตวั ตาย หรอื ชนดิ ทผี่ ชู้ ายกเ็ อาปนื มาแลว้ กย็ ิงหมดทกุ คน แล้วกย็ งิ ตัวเอง ความผดิ หวงั เกิดมาจากความทไ่ี ม่ เหน็ วา่ เปน็ เชน่ นนั้ เอง คนแตก่ อ่ น สมยั โบราณ ปู่ย่าตายายเขาเหน็ มากกวา่ คนสมยั น้ี ทั้งที่เขา อยู่ในสมยั โนน้ ทว่ี า่ ไมค่ อ่ ยร้หู นงั สือ เราหาว่าโง่ เง่า เขารูเ้ รื่องนมี้ ากกว่าเรา เขารู้โดยวฒั นธรรม โดยการอบรมกนั มา โดยวฒั นธรรมด้วย มนั มี อยู่จรงิ คอื วา่ ยายแก่ตาแกก่ ไ็ ด้ ก็บอกเด็กๆ ว่า เอ้อ อย่าไปรอ้ งไห้เลยหลานเอย๋ มนั เป็นอย่าง น้เี อง เด๋ยี วนค้ี ณุ พูดเปน็ ไหม พวกคุณสมยั น้ี กจ็ ะพดู ไมเ่ ปน็ ตาแกย่ ายแกส่ มยั โนน้ เขาพดู เปน็ อย่ามานง่ั รอ้ งไหล้ ูกเอย๋ มันเป็นอยา่ งนเี้ อง ถ้า ผวั เขาท้ิง หรือเมียมนั มชี ู้ ก็บอกว่ามนั อยา่ งนี้ ๒๐
เองแหละ ไมต่ อ้ งมปี ญั หา ทจ่ี ะไปฆา่ เขาตาย หรอื ไปฆ่าตัวเองตาย เหมือนคนสมัยน้ี อา่ นหนังสือพมิ พแ์ ล้วใจหาย น่ีท�ำไม เร่ืองอยา่ งนมี้ นั ตอ้ งฆา่ ตวั เองตาย มันโง่ร้อยเทา่ พนั เท่า หมืน่ เทา่ ซง่ึ คนแกส่ มัยโบราณเขาบอก ได้วา่ มนั เปน็ อยา่ งน้ันเอง แลว้ ก็เลกิ กนั เมยี มนั มชี ูก้ ็ไปหาใหมไ่ ด้ ผัวมนั ท้ิงไปกห็ าใหม่ได้ ไม่ ต้องมาร้องไห้ ไมต่ อ้ งมาฆา่ ตัวเอง ไม่ตอ้ งฆา่ กัน หมดบา้ นเหมอื นสมยั น้ี สมยั นมี้ นั เลวลงเหน็ ไหม ในความรู้เร่ืองเชน่ น้ันเอง เราไมไ่ ปหวงั มนั ไมไ่ ปหวงั ใหเ้ ปน็ อยา่ ง นนั้ อย่างนี้ มองดูแต่ท่มี ันตอ้ งเปน็ เชน่ น้ันเอง มนั ตอ้ งเปน็ ไปเชน่ นน้ั เอง พอเราไปหวงั แลว้ มนั ก็ไมไ่ ดอ้ ย่างหวงั ไมไ่ ดอ้ ยา่ งหวังน่ันแหละ คือ อุปสรรค คือปญั หา คอื ความทุกข์ น้คี งจะ เขา้ ใจยาก ๒๑
ทีนี้อยากจะพูดถึงพระอรหันต์บ้าง พระอรหันตน์ ัน้ คือผ้ทู ี่ ถึงความเปน็ เช่นนนั้ เอง เป็นตถาคต ปฏิบัติถึงที่สุดแล้วเขาเรียกว่า ตถาคต สมัยโน้น ทเ่ี รยี กวา่ พระอรหันต์นนั้ กม็ ี แตค่ ำ� ที่เปน็ กลางกวา่ เรียกว่าตถาคต ถงึ ตถา ผู้ ถงึ ตถา แม้ในลัทธิอืน่ นอกจากพุทธศาสนา เขา กใ็ ชค้ �ำน้ี ในฝ่ายมิจฉาทฏิ ฐิ อนั ตคาหิกทฏิ ฐิ เขา ก็ใช้ค�ำวา่ ตถาคต เช่นวา่ ตถาคตตายแล้วเกดิ อกี หรือไม่ ตถาคตตายแลว้ มีอกี หรอื ไม่ นีใ่ ช้ค�ำ วา่ ตถาคตท้ังนัน้ ผทู้ ี่ถึงทส่ี ดุ แห่งการปฏิบตั ิธรรม เหน็ ตถา เหน็ สง่ิ ทค่ี งตวั ไมเ่ ปลยี่ นแปลงนน้ั แลว้ เรยี กวา่ ตถา ในฝา่ ยพทุ ธศาสนาเราเรยี กวา่ พระอรหนั ต์ เมอื่ เหน็ ถกู ตอ้ งตามทเี่ ป็นจริง เป็นพระอรหนั ต์ ถูกต้องตามท่ีเปน็ จรงิ กเ็ ห็นตถา ถงึ ตถา ถึง ความเหน็ ว่า มันเปน็ เช่นนัน้ เอง พระอรหนั ต์ ๒๒
กเ็ ลยลอยตวั เรียกวา่ ลอยตวั ดีกว่า ลอยข้ึนอยู่ เหนอื ปญั หาท้งั หลาย มันจงึ ไม่มคี วามหมาย อะไรทจี่ ะใชแ้ ก่พระอรหันต์ ประมาณ –เครือ่ ง บัญญตั ิ ค�ำพดู อะไรนจี้ ะไม่มแี ก่พระอรหนั ต์ ว่า ได้วา่ เสีย ว่ามีว่าไม่มี วา่ แพว้ า่ ชนะ ว่าทกุ อย่าง อตฺถงฺคตสฺส น ปมาณมตถฺ ิ –ประมาณไมม่ แี ก่ พระอรหนั ต์ เรามนั มปี ระมาณ ท่ีพูดกันอย่นู ่ี เราได้ เราเสีย เราแพเ้ ราชนะ เราขาดทนุ เรากำ� ไร เรา อยเู่ ราตาย เราอะไรก็ตาม น้ีคอื ประมาณ – บัญญตั ิ พูด ก็เพราะเรามจี ิตยึดม่นั ถอื มั่น มีตวั เรา และตัวเรามันกต็ ้องได้ ต้องเสีย ตอ้ งเป็น อยา่ งนั้นอยา่ งน้ี เพราะโง่เห็นเปน็ ตัวเรา มันก็ ไม่เห็นเช่นน้ันเองของทุกสง่ิ ทกุ อยา่ ง ภายนอกสังขารร่างกาย จิตใจ กเ็ ช่น นน้ั เอง ภายใน ความรสู้ กึ เวทนา สญั ญา สงั ขาร ๒๓
วิญญาณ อะไรก็เช่นนน้ั เอง พระอรหันต์ถึงเชน่ นนั้ เอง ฉะน้ันปัญหาจงึ ไมม่ ี เช่นน้ันเอง มันเลิก ความหมายเสียหมด ทนี ีเ้ ราเห็นก้อนหนิ เรามีประมาณว่า กอ้ นหนิ เรารสู้ ึกต่อคุณค่า คณุ คา่ คุณสมบัติ ของก้อนหนิ มันก็มกี ้อนหนิ แตถ่ ้าเราไม่คำ� นึง ถงึ คุณค่า คุณสมบัติ บัญญัติ ประมาณเหลา่ นี้ มนั กไ็ มม่ กี อ้ นหนิ นแ่ี มแ้ ตข่ องอยา่ งนี้ มนั กเ็ สมอื น ว่าไม่มี มันนอนขวางเกะกะอยู่อยา่ งนี้ ถา้ ว่า ก้อนหนิ นี่ขายได้แพงดว้ ย แลว้ ก็ยง่ิ มใี หญ่ ยิ่งมี ค่าใหญ่ มันไม่เหน็ เช่นนัน้ เอง นเ้ี ราไม่เหน็ เช่นนนั้ เอง ในเงนิ ในทอง ในของรกั ของพอใจ ในเร่อื งเพศ เรื่องวตั ถแุ ห่ง เพศ เราไมเ่ หน็ วา่ เชน่ นน้ั เอง ไปเอาทคี่ ณุ คา่ ของ มัน ท่เี ราเคยรู้ ว่าให้ความเอร็ดอรอ่ ยอย่างไร มนั กป็ ิดเชน่ นนั้ เองหมด ๒๔
เห็นแตน่ า่ รักน่าพอใจ พอมันไมเ่ ป็น ไปตามที่เราตอ้ งการ ก็เกิดความหมายตรงกนั ขา้ ม คอื ความโกรธเปน็ ฟนื เปน็ ไฟขนึ้ มา นเ้ี พราะ ไมเ่ ห็นเชน่ น้นั เองเสียแต่ทแี รก ไปรกั มนั เข้า พอ ไมไ่ ดอ้ ยา่ งรกั หรอื พลดั พรากจากของรกั มนั ก็ กลบั มาในอีกรูปหน่ึง เปน็ ความโกรธ ความ เกลยี ดอะไรขึน้ มา มนั กเ็ ผาอกี ทหี น่งึ ฉะน้ันได้มันกเ็ ผาอยา่ งของได้มา หาย ไป กแ็ ผดเผาอย่างของที่หายไป คนโง่น้ีไมเ่ หน็ เชน่ นนั้ เอง มนั กเ็ ปน็ ทกุ ข์ เหมอื นกบั เอานำ้� รอ้ น มาลวกหวั ใจ คงจะเคยเปน็ กนั มาแลว้ กระมงั แลว้ ผมก็ไม่อาจจะพูดอะไรให้เหมือนกับว่าหยิบขึ้น มาดไู ด้ แตพ่ ดู สำ� หรบั ทจี่ ะไปคดิ นกึ ศกึ ษา เปรยี บ เทยี บให้มนั เข้าใจยง่ิ ๆ ขึน้ ไป ฉะนั้นพระอรหันต์จึงมีอะไรของท่าน ภาวะของทา่ น ไมม่ ีอะไร โลกนี้วา่ ง–วา่ ง โลกนี้ ๒๕
ว่าง ไมม่ ีอะไรทน่ี ่ายดึ ถือ โดยความเป็นตวั ตน– ของตน โลกนี้มันว่าง ทีน้เี ราปถุ ุชนไม่ว่าง เตม็ ไปด้วยของ ทีย่ ึดถือ ยดึ ถอื ทางรัก ยดึ ถอื ทางไม่รัก พอต่ืน นอนขน้ึ มา กเ็ ตม็ ไปดว้ ยของทม่ี คี วามหมาย สำ� หรบั จะยดึ ถอื บนเรอื น ขา้ งลา่ ง นอกบา้ น นอกเรอื น ถนนหนทาง ทไี่ หนกเ็ ต็มไปดว้ ยของที่มีความ หมายสำ� หรบั จะนา่ รกั นา่ ยึดถือ มนั ไม่เห็นเชน่ น้นั เองเลย ถา้ เห็นเชน่ นน้ั เอง โอ้ มนั กเ็ ป็นเชน่ นนั้ เองตามกฎของธรรมชาติ แมแ้ ตร่ า่ งกายภาย ในของเรา จติ ใจของเรา ก็ไม่ยึดถอื กว็ ่าง จติ อยู่ ดว้ ยความวา่ งตลอดเวลา ตนื่ นอนขนึ้ มาไมม่ อี ะไร เกะกะ ไมม่ อี ะไรกระทบจติ ไมม่ อี ะไรกระทบหู ตา มันก็ว่าง ก็สบาย เราจะตอ้ งทำ� อะไร จะตอ้ งถฟู นั จะตอ้ ง ๒๖
อาบน้ำ� จะตอ้ งกนิ ขา้ ว จะตอ้ งแตง่ ตัว ก็ไม่มี อะไรใหเ้ กดิ รสู้ กึ หงดุ หงดิ ผดิ หวงั กระทบกระทงั่ เพราะมนั เข้าไปอยกู่ ับเชน่ นัน้ เอง เชน่ นนั้ เอง ก็ ทำ� ไป แกส้ ง่ิ ทเี่ ราไมต่ อ้ งการเพราะความเปน็ เชน่ นั้นเอง สมมติว่าเสอื้ ขาดน้ี กไ็ ม่ต้องหวน่ั ไหวใน จิตใจ ก็เย็บมันเสียสิ มันขาดก็คือเช่นน้นั เอง เย็บเสยี ใหมก่ ็คอื เชน่ นั้นเอง ไม่ตอ้ งมจี ติ ที่หวนั่ ไหว อะไรทม่ี าท�ำใหห้ วน่ั ไหว กเ็ พราะเรามี ความโงร่ บั เอา มันจึงเกิดความหวัน่ ไหว ถ้าเรา เหน็ เชน่ นน้ั เองแลว้ ไมม่ อี ะไรมาทำ� จติ ของเรา ให้หวน่ั ไหวได้ เราไม่เห็นเรื่องเช่นนนั้ เอง เราก็ พรอ้ มท่จี ะมีตัณหา อยากเอา มอี ุปาทาน ยดึ มั่นถอื มนั่ เอาในทกุ สิ่ง ถ้าเรามคี วามรขู้ ้อนี้ ซ่ึง เปน็ หวั ใจของพทุ ธศาสนา มนั กไ็ มม่ ที างทจ่ี ะเกดิ ตณั หา เกดิ อุปาทาน ๒๗
นี้คำ� ส�ำคัญวา่ ตถา หรือ ตถตาน้ี ถา้ แปลกก็ถอื เป็นคำ� แปลก แตอ่ ย่าใหแ้ ปลกเฉยๆ ใหแ้ ปลกเอาไปทำ� ความเข้าใจจนได้ ตลอดชีวิต ขา้ งหนา้ นีใ้ ห้รูเ้ รอื่ งตถตา ตถาตา –เช่นน้ันเอง แล้วอาจจะโชคดี ถงึ กับว่าเข้าถึงความหมาย ของค�ำนส้ี งู สดุ เป็นพระอรหนั ต์สักทีก็ได้ เหน็ เชน่ นน้ั เองของทกุ สง่ิ ทง้ั ภายนอก ภายใน ทงั้ รปู ทง้ั นาม ทัง้ ทกุ อย่างเลย จนจิตไม่ยึดมนั่ อะไร เมื่อเห็นตถาตา เชน่ นั้นเองแลว้ เราจะไม่มี อะไรทีว่ ่าแปลก พวกบ้าต้องเสียค่ารถมาเท่ียว ทัศนาจร เพราะว่าหวังจะเหน็ อะไรแปลก มี ความแปลกบงั คบั จติ ใหม้ า เสยี คา่ รถคา่ รา เหนด็ เหนอ่ื ยอะไรกต็ าม เพราะมนั มขี องแปลกใชไ่ หม คุณกเ็ คยแลว้ พดู กนั ตรงๆ กไ็ ด้ คุณกเ็ คยไปดู ของแปลก ลงทนุ ไปหาของแปลก ได้ยินอะไร ๒๘
แปลกทไี่ หนกแ็ หก่ นั ไปดู ถา้ คนทถี่ งึ ตถตา แลว้ ไม่มอี ะไรแปลก ไม่มอี ะไรแปลก นั่นมนั เปน็ อย่างนั้น แล้วมนั ไมม่ ีอะไรทีน่ า่ ทึง่ ถา้ เราไมร่ ู้ อะไร ไมร่ ู้จกั อะไร เรากท็ ง่ึ ๆ ท่งึ ๆ นี้อย่ดู ว้ ย ความทง่ึ ถา้ มากเกนิ ไปเรากฉ็ งน อยดู่ ว้ ยความ ฉงน ถา้ ยงั มคี วามฉงนอยู่ ก็คอื ไมเ่ หน็ ความ เปน็ เชน่ นนั้ เอง ฉะนนั้ ตถาตานจ้ี ะทำ� ใหไ้ มม่ อี ะไร แปลก ไมม่ ีอะไรน่าท่งึ ไม่มอี ะไรน่าฉงน ก็คดิ ดู สิ มันฟรีเท่าไร มันอสิ ระเทา่ ไร แล้วกไ็ ม่มอี ะไรเห็นน่าอศั จรรย์ ถ้า คณุ ยงั มอี ะไรนา่ อศั จรรยอ์ ยู่ กค็ อื ไมเ่ หน็ เชน่ นนั้ เอง แมจ้ ะเหน็ ปาฏหิ ารยิ ข์ องพระพทุ ธเจา้ วา่ นา่ อัศจรรย์ คณุ กย็ งั ไมเ่ ห็นเชน่ น้ันเอง ถา้ คุณเห็น เช่นนัน้ เอง คุณจะไมร่ ้สู ึกวา่ มอี ะไรน่าอศั จรรย์ เดยี๋ วนน้ี า่ อศั จรรยน์ ะ เพราะมนั แปลก ๒๙
ส�ำหรับเราน่ี เราไมเ่ คยรู้ ไมเ่ คยเหน็ ไมเ่ คยนกึ ไม่เคยฝนั กน็ ่าอัศจรรย์อย่างทพี่ วกอบุ าสก อุบาสกิ าเขาพดู วา่ อโห พุทโธ –พระพุทธเจา้ นา่ อัศจรรย์จริง พระธรรมนา่ อศั จรรยจ์ รงิ พระ สงฆน์ ่าอศั จรรย์จรงิ น้ันคือเขาไมเ่ หน็ ตถาตา ไม่เหน็ เช่นน้นั เอง เขากต็ ้องพดู อยา่ งน้ัน เราก็ ไมต่ ำ� หนติ เิ ตยี นเขา เพราะมนั มปี ระโยชนแ์ กเ่ ขา เพราะเขารสู้ ึกอยา่ งงั้น แต่ถา้ เมอื่ ไรเขาเขา้ ถงึ ธรรมะสงู สดุ เขาจะไมร่ สู้ กึ อยา่ งนนั้ แลว้ จะเหน็ เช่นน้นั เองเสมอกนั ไปหมด น่ีแม้แต่ความน่าอัศจรรย์ของ พระพทุ ธเจา้ มนั กม็ ไี ดเ้ ฉพาะแกผ่ ทู้ ไี่ มเ่ หน็ ตถตา น่ีเห็นตถตาแล้วจะไม่มีอะไรน่า อศั จรรย์ เพราะฉะนน้ั นา่ อศั จรรย์ อะไรๆ ทเ่ี ราน่า อัศจรรยก์ นั อยู่ กเ็ พราะเรอ่ื งไมเ่ หน็ ตถตา เมอ่ื เขาไปโลกพระจนั ทรก์ นั วนั กอ่ นนะ่ ๓๐
คณุ รสู้ กึ นา่ อศั จรรยไ์ หม การไปโลกพระจนั ทรน์ ะ่ เป็นของน่าอศั จรรย์ไหม นา่ อศั จรรย์ พดู กนั ตรงๆ ตอ่ มาคณุ กไ็ มค่ อ่ ยเหน็ วา่ นา่ อศั จรรย์ เดยี๋ ว นจี้ ะไมม่ ใี ครรสู้ กึ วา่ ไปโลกพระจนั ทรน์ น่ั นา่ อศั - จรรย์แล้ว เพราะมองเห็นความเปน็ เช่นนัน้ เอง มากเข้าๆๆ ฉะน้ันอะไรอื่นท่ีน่าอัศจรรย์เหมือน กัน ปาฏิหารยิ ์ อวปาฏิหารยิ ์ ปาฏหิ าริยข์ อง พระธาตุ ของอะไรก็ตาม ถา้ มจี ริงก็น่าอัศจรรย์ ในเม่ือเรายงั ไมเ่ หน็ เชน่ นนั้ เอง พอเราเหน็ เชน่ นนั้ เอง จะไม่มีอะไรนา่ อศั จรรย์ หรอื เป็น ปาฏิหาริย์ได้ เรากไ็ มต่ ื่นเตน้ ในอะไร เรากไ็ ม่ ตดิ ตามอะไร ถา้ เราเหน็ ว่ามนษุ ยน์ ้ีนา่ อัศจรรย์ เรา ก็ตามหลังเปน็ หาง เพ่อื จะไปเฝา้ ไปเปน็ สาวก ของเขา ให้มันนา่ อศั จรรยเ์ ทา่ น้นั แหละ ถ้าเหน็ ๓๑
วา่ เชน่ นนั้ เองแลว้ กห็ มด หมดเรอ่ื งทนี่ า่ อศั จรรย์ เดยี๋ วนเี้ รายงั หวั เราะ เมอ่ื อะไรมาสะดดุ ความรูส้ กึ ในทางให้หวั เราะเรากห็ ัวเราะ มัน ทนอยไู่ มไ่ ด้ กห็ วั เราะ คอื ความโงท่ ไี่ มเ่ หน็ ตถตา บางคราวเขากร็ ้องไหอ้ ยู่ น้�ำตาซึมอยู่ น่ีกเ็ พราะ ไมเ่ หน็ ตถา เราเอาผรู้ อ้ งไหอ้ ยกู่ บั ผหู้ วั เราะอยมู่ า เปรยี บเทยี บกนั นมี่ นั เทา่ กนั ไมเ่ หน็ ตถตา พอ เหน็ แลว้ จะไมต่ อ้ งหวั เราะ จะไมต่ อ้ งรอ้ งไห้ ไมม่ ี อะไรใหร้ อ้ งไห้ให้หวั เราะ นเี่ ราจะเรียกว่าอะไรดี เรียกว่า ไมร่ จู้ ัก รัก ไม่รูจ้ กั โกรธ ไมร่ ู้จกั เกลียด ไม่รูจ้ กั กลวั สี่คำ� นีก้ ก็ ว้างมากพอแลว้ ไม่ร้จู กั รกั ไมร่ ูจ้ กั โกรธ ไม่รจู้ ักเกลยี ด ไมร่ ูจ้ ักกลวั ไมร่ ู้จกั ตืน่ เต้น ไมร่ ู้ จักท่ึง ไมร่ ู้จักสงสยั ไมร่ ู้จกั สนใจ ความสนใจน้ันก็เหมอื นกันแหละ มนั ก็เป็นเร่ืองที่ว่าปลุกให้ไม่สงบเหมือนกันน่ะ ๓๒
เมือ่ มีความสนใจในอะไรอยู่จะสงบไม่ได้ ความ สนใจน้นั กร็ บกวนอยู่ ถ้าเห็นเชน่ นนั้ เอง แลว้ ก็ ไม่มีอะไรท่ีน่าสนใจ ถ้าว่าเปน็ ทกุ ข์ ก็เปน็ เช่นน้ันเอง แต่ เนอื่ งจากทนไมไ่ หวมนั กต็ อ้ งแกไ้ ข โดยหาเชน่ นน้ั เองทม่ี าแกไ้ ขได้ มาแก้ไขไอค้ วามทกุ ขท์ เ่ี ราทน ไมไ่ ด้ ฉะนนั้ เมอื่ เปน็ ทุกข์ เราอย่าเพ่อร้องไห้ เราอย่าเพอ่ เดือดรอ้ น ส่งิ ท่ีจะเปน็ ทกุ ขเ์ กดิ ข้นึ มา อย่าเพอ่ กลัว อย่าเพอ่ เดอื ดร้อน อย่าเพอ่ ร้องไห้ หันไปหาเช่นนัน้ เอง ที่ดับทกุ ข์ได้ ทุกข์ กเ็ ป็นตถา เชน่ น้ันเอง เหตุให้ เกดิ ทกุ ข์ กเ็ ป็นตถา คอื เช่นนนั้ เอง ดับทุกข์ ก็ เปน็ ตถา คอื เช่นน้ันเอง ทางใหถ้ งึ ดับทกุ ข์ ก็ เปน็ ตถา คอื เช่นนัน้ เอง นเ้ี ป็นพทุ ธภาษิตท่ีตรสั วา่ มตี ถาอยู่ ๔ อย่าง ความทกุ ข์ก็เปน็ ตถา อย่างหน่ึง ความดบั ทกุ ขก์ ็เป็นตถาอยา่ งหนง่ึ ๓๓
เมอื่ ทุกข์เปน็ เช่นน้ันเอง กเ็ อาดบั ทุกข์ท่ีเปน็ เช่น น้นั เองมาดบั มาใส่เข้าไป ทกุ ขม์ นั ก็หายไป เรา ก็ไม่ตอ้ งเดอื ดรอ้ น เราก็ไมต่ อ้ งเป็นทุกข์ เราก็ ไม่ตอ้ งเกือบตาย เพราะเป็นทุกข์ ถา้ เราโงก่ ว่า นนั้ เราก็ฆ่าตัวตาย เพราะทนทุกขไ์ มไ่ ด้ แลว้ เราจะพาลฆ่าผู้อืน่ ท่มี าท�ำให้เราเป็นทุกข์อกี นี่ โทษที่ไม่เห็นความเป็นเช่นน้นั เอง ขอยำ�้ อีกทนี ะ ซ่งึ คุณฟังใหด้ ีๆ และ สรุปเอาใจความให้ได้ เราแสวงหากไ็ ด้ เราได้ มันมาก็ได้ เรามีมนั ไว้ก็ได้ เรากินมันก็ได้ เราใช้ มันก็ได้ แต่ตอ้ งโดยท่เี หน็ ความเป็นเช่นน้ันเอง อยูเ่ สมอ มฉิ ะนั้นจะเกดิ ตณั หาอปุ าทานในสิ่ง ทีห่ า ทีไ่ ด้ ที่กิน ที่ใช้ จะท�ำงานหาเงนิ หาอะไรกท็ ำ� สิ ไดเ้ งนิ มากไ็ ด้ เกบ็ เงินไว้ก็ได้ ใช้เงนิ กไ็ ด้ กินอะไรกไ็ ด้ แต่อย่าลมื ความเปน็ เชน่ นนั้ เอง คนลืมความ ๓๔
เป็นเชน่ นั้นเอง เหน็ เป็นนา่ ยดึ ถืออยา่ งใดอยา่ ง หนง่ึ เกดิ ตัณหาอปุ าทานแล้ว อันนนั้ มนั จะกดั กดั เราให้เจบ็ ปวด ฉะนั้นเรากเ็ ข้าไปเกี่ยวข้อง ใหถ้ ูกวธิ ี เราจบั งไู ด้ ถ้าเราท�ำถูกวิธจี ับงูพษิ ได้ ถ้าเราจบั ไมถ่ กู วธิ ีมันกก็ ดั เรา เราจะมอี ะไร มี รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธมั มารมณ์ กามารมณอ์ ะไรกต็ าม ถา้ เรามวี ธิ ที เ่ี ขา้ ไปกนิ ไปใช้ กบั มนั อยา่ ให้มนั กดั เราไดน้ ี้ วธิ ีน้ันกค็ ือ เชน่ น้นั เอง คอื การเหน็ เชน่ นน้ั เอง เห็นความเป็น เชน่ นน้ั เองของสงิ่ ทั้งปวง สิง่ ท่ีมีมาแลว้ มันจะสูญไป วินาศไป เน่าไป ทรยศตอ่ เรา กเ็ ช่นนั้นเอง อย่าตอ้ งเป็น ทกุ ข์เลย สง่ิ ทม่ี ันมมี าไว้แล้วมันจะเนา่ ไป มนั จะตายไป มนั จะสูญหายไป มันจะวิบตั ิไป มัน จะทรยศตอ่ เรา ขบถต่อเรา ก็ไม่เป็นไร เปน็ เช่น ๓๕
นัน้ เอง มันเช่นนนั้ เอง เราก็ไมเ่ ป็นทกุ ขอ์ ะไร ถา้ ควรจะท�ำอย่างไรกท็ �ำไป ทำ� ได้โดยเช่นน้ันเอง ไมเ่ ป็นทุกข์ ฉะนน้ั จะตอ้ งใชเ้ ชน่ นน้ั เอง ใหเ้ ปน็ ทกุ คน ในทุกกรณี ในทกุ สถานท่ี ในทกุ เวลา เพราะ ว่าเราจะตอ้ งเจบ็ ไข้ เราจะต้องแก่ เราจะตอ้ ง ตาย ก็ดสู ิ กเ็ ห็นๆ กันอยู่ แต่ละคนจะตอ้ งแก่ ลง จะต้องเจ็บไข้ แล้วกจ็ ะต้องตาย จะไปเป็น ทุกข์ให้มันโง่ท�ำไม มนั เชน่ น้ันเอง ศึกษาวชิ า เชน่ น้นั เอง ถา้ ไม่ไดก้ ็เช่นนั้นเอง ได้กเ็ ช่นนนั้ เอง ทนี มี้ ันยังมเี ร่อื งอยู่นี่ เชน่ นั้นเองนม้ี ัน เป็นเรื่องลึก เขา้ ใจยาก เพราะถา้ เข้าใจถึงแล้ว เป็นพระอรหันต์ ทนี ี้คนก็วา่ กนั แตป่ าก อย่างนี้ เรากเ็ รยี กวา่ เชน่ นน้ั เองอนั ธพาล เหมอื นกบั จติ ว่างอันธพาล ตอ้ งหยอดท้ายวา่ อนั ธพาล ๓๖
เช่นนั้นเองอันธพาลน้ี ท�ำใหค้ ณุ ทำ� อะไรทไ่ี ม่ควรจะทำ� ไม่รู้ไม่ชเ้ี ช่นนัน้ เอง กไ็ ปท�ำ ไปตามกิเลสของเรา ถ้าอยา่ งนเี้ รียกวา่ ถ้าอย่าง น้เี รยี กวา่ เชน่ นน้ั เองของกเิ ลส กเิ ลสมันมาฉวย เชน่ นนั้ เองไปใช้แลว้ นะ แลว้ มันก็ออกทางเรานี้ เชน่ น้นั เองอนั ธพาล เชน่ น้ันเองโวย้ แล้วเทย่ี ว อันธพาล เท่ยี วทำ� บาปหยาบชา้ ท�ำเหมอื นกับ อนั ธพาลท้ังหลาย ถา้ เหน็ เชน่ นนั้ เองอยา่ งถกู ตอ้ ง จะรกั ษา ศลี ธรรมไวไ้ ด้ จะรกั ษาจรยิ ธรรม และศลี ธรรม ไว้ได้ ในอนิ เดยี เต็มไปดว้ ยคนขอทานที่ถอื คติ วา่ ขอทานดกี วา่ ขโมย เปน็ ขอทานดกี วา่ เปน็ ขโมย กเ็ นื่องจากเขาเหน็ เชน่ นั้นเองเหมือนกัน เห็น เช่นนั้นเองของความเป็นขอทานดีกว่าเป็น ขโมย ในกรงุ เทพฯ จะไมค่ อ่ ยเหน็ อยา่ งนนั้ เพราะ มนั เตม็ ไปดว้ ยอนั ธพาล เปน็ อนั ธพาลไมย่ อมเปน็ ๓๗
ขอทานมนั เป็นอันธพาลดีกว่า ฉะนัน้ การฉกชิง วง่ิ ราว การฆา่ การแกงอะไรมนั กเ็ ปน็ ของธรรมดา นีเ่ ชน่ น้นั เอง ชา่ งหัวมัน ทนไหวไหม ท่ี มนั เตม็ ไปดว้ ยอนั ธพาลอยา่ งนนั้ เรากเ็ ชน่ นนั้ เอง ช่างหัวมนั จะทนไม่ไหวสิ หรอื ว่ารัฐบาลเขาถือ อยา่ งนน้ั เขาจงึ ไมค่ อ่ ยจดั การกบั อนั ธพาล อนั ธพาล ชุมเทา่ กับยงุ กเ็ ลยปลอ่ ยใหม้ นั เป็นยุงไปเสีย ใหอ้ นั ธพาลมนั เป็นยงุ มากไป ไมต่ ้องจดั การกับ มัน เช่นนั้นเองอยา่ งท่กี ลา่ วนี้ ก็เรยี กว่า ผิด หลกั ของเชน่ นน้ั เอง เพราะไมไ่ ดเ้ อาเชน่ นนั้ เอง อกี อยา่ ง มาแกไ้ ขเชน่ นนั้ เอง ชนดิ ทเ่ี ปน็ อนั ตราย ความเป็นเช่นนั้นเองอย่างไรท�ำให้เกิด อันธพาล เราก็เอาความเป็นเชน่ นั้นเอง อย่างที่ จะป้องกนั ไมใ่ หเ้ กิดอนั ธพาล แต่ถึงวา่ แมว้ ่าจะ เกดิ อันธพาล กอ็ ยา่ แปลกเลย เพราะว่าเปน็ เชน่ นั้นเองของมันอย่างน้นั แม้วา่ อันธพาลมัน ๓๘
จะมาทำ� อนั ตรายเราบา้ ง เรากเ็ ชน่ นน้ั เอง อยา่ ต้องเปน็ ทกุ ขร์ ้อนอะไรใหม้ ากมายนกั แต่แล้ว เรากม็ ีเชน่ นั้นเองทถ่ี ูกตอ้ ง เรากไ็ มไ่ ปตี ไปฆ่า ไปรบไปรากับอนั ธพาล เวน้ แต่ตอ่ เมื่อมีเหตุผล มีเหตุผลของความเป็นเช่นน้ันเองอย่างอื่น อย่างใดอย่างหนึ่ง เชน่ เจ้าของบ้านจะยิงขโมย จะตขี โมย ดว้ ยความรูส้ ึกเชน่ นั้นเอง ทบี่ รสิ ุทธ์ใิ จ กไ็ ด้ แต่ เจา้ ของบา้ นทเี่ ปน็ ฆราวาสนะ ไมไ่ ดห้ มายถงึ พระ พระมีความเป็นเช่นน้ันเองในระดับหน่ึงเสีย แล้ว ทนี ก้ี ว็ า่ หมดปญั หา อยเู่หนอื ปญั หา ทกุ สง่ิ อยเู่ หนือปญั หา ด้วยเหน็ เชน่ น้ันเอง ฉะน้ันคุณ จำ� เช่นนนั้ เองไป เพอ่ื จะไม่ใหเ้ กิดปญั หา เพ่ือ จะอยู่เหนอื ปญั หา ก็ไม่มีปัญหา ถ้าเชน่ นน้ั เอง เสยี แล้ว มันไม่ไปรกั ไมไ่ ปโกรธ ไม่ไปเกลียด ไม่ ๓๙
ไปกลวั ไมม่ ีปญั หา เพราะเชน่ น้ันเอง มนั ส่งขนึ้ มาอยู่เหนอื เหนือสภาพที่จะเปน็ ปัญหา เหนือ ภาวะท่ีจะเป็นปัญหา เพราะวา่ ไม่ได้ยึดสิ่งใดไว้ ด้วยอุปาทาน อย่างคนทีไ่ ม่เห็นเช่นนัน้ เอง ทุก ส่งิ ไม่อาจจะสร้างปัญหา แก่คนทีเ่ ห็นเช่นนน้ั เอง คนน้นั มีตนเป็นธรรม มีธรรมเปน็ ตน มตี นเป็นธรรม มีความเหน็ เชน่ นั้นเองเปน็ ตน กเ็ ลยไมม่ ปี ญั หา เปน็ ตนทถ่ี งึ ความสะอาด ความ สว่าง ความสงบ เพราะวา่ เห็นเช่นนนั้ เอง ที่เราพูดวันก่อนเร่ืองความสะอาด ความสว่าง ความสงบ น้เี ป็นผลของจติ ท่เี ห็น เชน่ น้นั เอง แล้วไม่ยึดมน่ั ถือมั่น แลว้ ก็สะอาด แลว้ กส็ วา่ ง แลว้ ก็สงบ พบชีวติ จริงทีส่ ะอาด สว่าง สงบ ฉะนนั้ ชวี ติ จรงิ น้ีกห็ มดปญั หา อยู่ เหนอื ปัญหา โดยประการท้งั ปวง พบชวี ิตจรงิ ๔๐
อยเู่ หนอื โลก กเ็ หนอื ปญั หาทงั้ ปวงในโลก อยา่ ง นกี้ ็เรียกดว้ ยคำ� อีกค�ำหนึ่งว่า โลกุตตระ โลกุตตระ บางทใี ชพ้ ดู อยา่ งไม่เคารพ ตอ่ ภาษา ของคนทไี่ มเ่ คารพภาษาพดู เพยี้ นเปน็ โลกอดุ ร คนทีไ่ มร่ ะมดั ระวังภาษา รักษาไมถ่ กู ต้อง ก็ไปเรยี กโลกอุดรเข้า เดก็ ๆ กเ็ ขา้ ใจผดิ หมด เรียกโลกุตตระไวต้ ามเดิมดกี ว่า แปลว่า อย่เู หนือโลก โลกอุดรเด๋ยี วจะเป็นโลกทางทศิ เหนอื ทางอะไร ในภาษาไทย มนั ท�ำยุ่ง คนทไ่ี ม่ เคารพภาษา ไม่ใชภ้ าษาใหด้ ีนน้ั คอื คนทำ� ลาย ภาษา แล้วยังจะทำ� ลายธรรมะด้วย ช่วยกัน ระมดั ระวงั ขอ้ นี้ ในการใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ ง อยา่ ท�ำลายภาษา ซึง่ จะไปท�ำลายเรือ่ งของธรรมะ ดว้ ย เอาละ เป็นอันว่าเราถงึ บทสุดทา้ ย คู่ ชวี ิต คือธรรมะ ทศิ ทง้ั หกต้องรู้ จนปอ้ งกนั ไม่ ๔๑
ให้เกิดโทษข้ึนมา สงิ่ ทเ่ี ป็น คชู่ วี ติ ทิศทั้งหก นรกกบั สวรรค์ นพิ พานกันทีน่ ี่ โพธหิ รือกเิ ลส ตดั ต้นเหตุทนั เวลา มัชฌิมาคือหนทาง สะอาด สว่าง สงบ พบชวี ิตจริง ทุกส่ิงอยู่เหนอื ปัญหา ตอนจบเรอื่ งจบเพราะทุกส่งิ หมดปญั หา น่ผี ม เห็นว่าน้ีอย่างน้อย เพียงเท่าน้ีพอท่ีจะเอาไป เป็นหลักปฏิบัติ สำ� หรับมีชีวติ อยู่ อยา่ งที่ เรยี กว่าไม่เสียที ไม่เสียทที ่ีเปน็ มนษุ ย์ นีว่ ันนี้กพ็ ูดเรื่องสดุ ท้าย ตอนค่ำ� นยี้ ัง พูดอีกที เรียกวา่ ปจั ฉมิ นิเทศ คกู่ บั ปฐมนเิ ทศ เขาชอบเรียกกันอยา่ งน้นั น่ี ปฐมนเิ ทศ ท�ำความ เขา้ ใจกนั ในเบอ้ื งตน้ ในเมอ่ื พดู เรอื่ งทจี่ ะตอ้ งพดู เสร็จแล้ว กท็ �ำปจั ฉิมนเิ ทศ ปดิ ทา้ ยว่าจะท�ำกัน อยา่ งไรกบั เรอื่ งท้งั หมดน้ี จึงจะสมบรู ณ์ เอาละ หวั ค�ำ่ น้ี ถ้าฝนไมต่ ก สามทุ่มก็ มาพบกนั อีกที เด๋ยี วน้ีกป็ ิดประชุม. ๔๒
จำเชนนั้นเองไป เพ่ือจะไมใหเกิดปญหา เพ่ือจะอยูเหนือปญ หา ทุกส่ิงไมอ าจจะสรา งปญหา แกค นท่เี หน็ เชน นนั้ เอง สมทบพมิ พ ๘ บาท
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: