Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ไตรลักษณ์ (จบโลก ถึงธรรม ด้วยรู้สามอย่างนี

ไตรลักษณ์ (จบโลก ถึงธรรม ด้วยรู้สามอย่างนี

Description: ไตรลักษณ์ (จบโลก ถึงธรรม ด้วยรู้สามอย่างนี

Search

Read the Text Version

ไตรลักษณ ๑๘๗ ๒๙ พรรษา, มีปราสาทเลิศ ๓ หลัง ชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ. พร้อมด้วยสตรีสี่ หมื่นนางเฝ้าแหนอลังการ. ยอดนารีมีนามว่า ยโสธรา, โอรสนามว่าราหลุ . “เราเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกบวชด้วย อัศวราชยาน, ได้บําเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยา อยู่ ๖ พรรษา. เราประกาศธรรมจักรที่ป่าอิสิ- ปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณส.ี “เราคือพระสัมพุทธเจ้า นามว่าโคตมะ เป็น สรณะของสรรพสัตว์ ฯลฯ อายุของเราในยุค สมัยบัดนี้ น้อยเพียงชั่วร้อยปี. ถึงจะดํารงชีวีอยู่ เพียงเท่านั้น เราก็ช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นวัฏฏะไป ได้จํานวนมากมาย, และได้ตั้งคบเพลิงธรรมไว้ ปลุกประชาชนภายหลังให้เกิดปัญญาตื่นขึ้นมา ตรสั รูต้ อ่ ไป. “ไม่นานเลย เรา พร้อมทั้งหมู่สาวก ก็จัก ปรินิพพาน เหมือนไฟดับไปเพราะสิ้นเชื้อ. เรือน กายร่างนี้ที่ทรงไว้ซึ่งคุณสมบัติ วิจิตรด้วยวร ลักษณ์ทั้ง ๓๒ ประการ มีเดชหาที่เทียบเทียมมิได้ กับทั้งทศพลและประดาฤทธิ์ ฉายประภา ฉัพพรรณรังสี สว่างไสวทั่วทศทิศ ดุจดังดวง อาทิตย์ศตรังสี ก็จักลับดับหาย สังขารทั้งหมด ทั้งหลายไร้แก่นสาร ล้วนว่างเปล่าดังนี้แหละ หนอ.”130 130 ขุ.พทุ ธฺ .๓๓/๒๖/๕๔๔

๑๘๘ พุทธธรรม “ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ทงั้ คนมี ทั้งคนจน ล้วนเดินหน้าไปหาความตาย ทั้งนั้น. ภาชนะดินที่ช่างหม้อทําแล้ว ทั้งเล็ก และใหญ่ ทั้งสุกและดิบ ล้วนมีความแตกทําลาย เป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็มี ความตายเปน็ ที่สดุ ฉันนั้น. “วัยของเราหง่อมแล้ว, ชีวิตของเรายังอยู่ เพียงเล็กน้อย, เราจะจากพวกเธอไป, เราได้ทํา สรณะให้แก่ตนแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจง เป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีความประพฤติดีงาม มีความดําริมั่นคง จงตามรักษาจิตของตน. ผู้ใด ในธรรมวินัยนี้ จักเป็นอยู่อย่างไม่ประมาท, ผู้ นั้นจะละชาติสงสาร กระทําความจบสิ้นทุกข์ ได.้ ”131 “ภิกษุทั้งหลาย ปัจจุบันนี้ เมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง พึง กล่าวว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นน้อย เป็นของนิดหน่อย พลัน ลับหาย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก, พึงตริตรองการ ด้วยความรู้คิด พึงทําความดีงาม (กุศล) พึงครองชีวิต ประเสริฐ (พรหมจรรย์), ผู้เกิดมาแล้ว ที่จะไม่ตาย เป็นไม่ มี. “บัดนี้คนที่มีอายุอยู่ได้นาน ก็อยู่ได้เพียงร้อยปี หรือ เกินกว่าเล็กน้อย. ผู้ที่มีชีวิตอยู่ถึงร้อยปี ก็อยู่ได้เพียง ๓๐๐ ฤดู เท่านั้น...ผู้ที่อยู่ครบ ๓๐๐ ฤดู ก็อยู่ได้เพียง 131 ท.ี ม.๑๐/๑๐๘/๑๔๑

ไตรลกั ษณ ๑๘๙ ๑,๒๐๐ เดือน...ผู้ที่อยู่ครบ ๑,๒๐๐ เดือน ก็อยู่ได้ เพยี ง ๒,๔๐๐ ปักษ์...ผู้ที่อยู่ครบ ๒,๔๐๐ ปักษ์ ก็อยู่ ได้เพียง ๓๖,๐๐๐ ราตรี...ผู้ที่อยู่ครบ ๓๖,๐๐๐ ราตรี ก็บริโภคอาหารเพียง ๗๒,๐๐๐ มื้อ คือ ฤดู หนาว ๒๔,๐๐๐ มอื้ ฤดูร้อน ๒๔,๐๐๐ มื้อ ฤดูฝน ๒๔,๐๐๐ มื้อ ทั้งนี้ นับรวมทั้งเวลาที่ดื่มนมมารดา และที่มอี ันตราย (เหตขุ ดั ขอ้ ง) ต่อการบรโิ ภคอาหารดว้ ย. “อันตรายต่อการบริโภคอาหารมีดังนี้ คือ โกรธแล้ว ไม่บริโภคอาหารเสียบ้าง มีความทุกข์แล้ว ไม่บริโภคเสีย บ้าง เจ็บไข้ จึงไม่ได้บริโภคเสียบ้าง รักษาอุโบสถ จึง ไม่ได้บรโิ ภคเสียบา้ ง ไมไ่ ด้อาหาร จึงไมไ่ ดบ้ รโิ ภคเสยี บา้ ง. “ภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ผู้เป็นอยู่ ๑๐๐ ปี เรา ไดค้ าํ นวณนับแล้ว ประมาณอายุก็นับแล้ว ฤดู ปี เดือน คืน วัน มื้ออาหาร อันตรายต่อการบริโภคอาหาร ก็ได้นับแล้ว ฉะน้ีแล. “ภิกษุทั้งหลาย กิจใดที่ศาสดาผู้อนุเคราะห์ ผู้แสวง ประโยชน์แก่สาวกทั้งหลาย จะพึงทําด้วยอาศัยนํ้าใจ เกือ้ กูล, กิจนั้นเราได้กระทาํ แล้วแก่เธอทั้งหลาย. “ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง, เธอ ทั้งหลาย จงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าต้องเป็นผู้มี ความเดือดร้อนใจในภายหลังเลย, นี้คืออนุศาสนีของเรา สาํ หรบั เธอทั้งหลาย.”132 132 องฺ.สตฺตก.๒๓/๗๑/๑๔๐

๑๙๐ พุทธธรรม “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ตน (อัตตัตถะ) ก็ควรทีเดียว ที่จะยังประโยชน์ตนนั้นให้ถึง พรอ้ ม ด้วยความไม่ประมาท, เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ ผู้อื่น (ปรัตถะ) ก็ควรทีเดียว ที่จะยังประโยชน์ผู้อื่นนั้น ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาท, เมื่อพิจารณาเห็น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (อุภยัตถะ) ก็ควรทีเดียว ที่จะยัง ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนั้นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ ประมาท.”133 - เรง ทํากิจ และเตรยี มการเพอ่ื อนาคต “ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย, ความ ประมาทเป็นทางแห่งความตาย. ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย, คนประมาทเหมือนคนตายแล้ว ฯลฯ ผู้ไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ ย่อมประสบ ความสุขอนั ไพบลู ย.์ ”134 “เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคน ควรกระทาํ กจิ หนา้ ท่ี และไมพ่ ึงประมาท.”135 “บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วง ไป บัดนีเ้ ราทาํ อะไรอย.ู่ ”136 133 ส.ํ นิ.๑๖/๖๗/๓๕; อง.ฺ สตฺตก.๒๓/๖๙/๑๓๗ (เคยอา ง) 134 ข.ุ ธ.๒๕/๑๒/๑๘ 135 ข.ุ สุ.๒๕/๓๘๗/๔๖๕ 136 องฺ.ทสก.๒๔/๔๘/๙๒

ไตรลกั ษณ ๑๙๑ “อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไปเสีย...พึงถอน ลูกศรที่เสียบตัวออกเสีย ด้วยความไม่ประมาท และด้วยวิชชา.”137 “รู้วา่ อะไรเป็นประโยชน์แก่ (ชวี ิต) ตน ก็ควร รบี ลงมอื ทาํ ”138 “ในเวลาที่ควรลุกขึ้นทํางาน ไม่ลุกขึ้นทํา. ทั้ง ที่ยังหนุ่มแน่นมีกําลัง กลับเฉื่อยชา ปล่อย ความคิดให้จมปลัก เกียจคร้าน มัวซึมเซาอยู่ ยอ่ มไม่ประสบทางแหง่ ปญั ญา.”139 “คนที่เรียนรู้ (สุตะ) น้อยนี้ ย่อมแก่เหมือน โคถึก. เนื้อของเขาย่อมเจริญ (แต่) ปัญญาของ เขาหาเจริญไม.่ ”140 “เมื่อยังหนุ่มสาว พรหมจรรย์ก็ไม่บําเพ็ญ ทรัพย์ก็ไม่หาเอาไว้ (ครั้นแก่เฒ่าลง) ก็ต้องนั่ง ซบเซา เหมือนนกกระเรียนแก่ จับหงอยอยู่กับ เปอื กตมทไี่ ร้ปลา.” “เมื่อยังหนุ่มสาว พรหมจรรย์ก็ไม่บําเพ็ญ ทรัพย์ก็ไม่หาเอาไว้ (ครั้นแก่เฒ่า) ก็ได้แต่นอนทอด ถอนถึงความหลัง เหมือนดังลูกศรที่เขายิงตกไป แล้ว (หมดพษิ สง).”141 137 ขุ.สุ.๒๕/๓๒๗/๓๘๙ 138 สํ.ส.๑๕/๒๘๑/๘๑ 139 ขุ.ธ.๒๕/๓๐/๕๒ 140 ขุ.ธ.๒๕/๒๑/๓๕ 141 ขุ.ธ.๒๕/๒๑/๓๖

๑๙๒ พุทธธรรม “ผลประโยชน์ทั้งปวง ตั้งอยู่ที่หลัก ๒ ประการ คือ การได้สิ่งที่ยังไม่ได้ และการรักษา สงิ่ ท่ีไดแ้ ล้ว.”142 “ภิกษุทั้งหลาย ตระกูลเหล่าหนึ่งเหล่าใดก็ตาม ที่ถึงความ เป็นใหญ่ในโภคสมบัติ จะดํารงอยู่ได้ยืนนาน ด้วยเหตุ ๔ สถาน หรือสถานใดสถานหนึ่ง กล่าวคือ รู้จักแสวงหาสิ่งที่ พินาศสูญหาย ปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชํารุดทรุดโทรม รู้จักประมาณ ในการกินการใช้ และตัง้ สตรหี รอื บุรษุ ผู้มีศีลให้เปน็ ใหญ่.”143 “ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย, ความ ประมาทเป็นทางแห่งความตาย. ผู้ไม่ประมาท ยอ่ มไม่ตาย, คนประมาทเหมือนคนตายแลว้ . “จากความมัวเมา ก็เกิดความประมาท, จาก ความประมาท ก็เกิดความเสื่อม, จากความ เสื่อม ก็เกิดโทษประดัง, ผู้มีภาระปกครองรัฐ จงอยา่ ได้ประมาทเลย. “กษัตริย์จํานวนมาก มีความประมาท ต้อง สูญเสียประโยชน์ สูญเสียรัฐ, แม้แต่ชาวบ้าน ประมาท ก็สูญเสียบ้าน, อนาคาริกประมาท ก็ สูญเสียความเป็นอนาคาริก. เมื่อผู้ครองแผ่นดิน ประมาท โภคทรัพย์ในรัฐย่อมพินาศทั้งหมด, นี่ แล เรยี กว่า ทกุ ขภ์ ัยของผคู้ รองแผน่ ดิน. 142 ข.ุ ชา.๒๗/๒๔๔๒/๕๓๑ (ไมประมาท ๒ ดา น คือ ในการสรางสรรค และในการรกั ษา) 143 อง.ฺ จตุกฺก.๒๑/๒๕๘/๓๓๖

ไตรลกั ษณ ๑๙๓ “ความประมาทนี้ เป็นหลักอะไรไม่ได้. ผู้ ครองแผ่นดินประมาทเกินขอบเขต โจรทั้งหลาย ก็กาํ จัดชนบทที่มั่งคั่งบริบูรณ์เสีย. โอรสทั้งหลาย ก็จะไม่มีเหลือ, เงินทองทรัพย์สินก็จะไม่มีเหลือ. เม่ือรัฐถูกปล้น กจ็ ะเสอื่ มจากโภคสมบัติทุกอย่าง. ถึงจะเป็นขัตติยราช เมื่อโภคสมบัติย่อยยับ หมดแลว้ ญาติมิตรสหายทัง้ หลาย ก็ไม่นับถือใน ความคิดอ่าน, พลช้าง พลม้า พลรถ พลราบ ทั้งหลาย ที่อาศัยเลี้ยงชีพอยู่ ก็ไม่นับถือใน ความคดิ อ่าน. “ผู้นําที่จัดการงานไม่ดี เขลา ด้อยความคิดอ่าน ทรามปัญญา ย่อมหมดศรีสง่า เหมือนคราบเก่าท่ี งูทิ้งไปแล้ว. ส่วนผู้นําที่จัดแจงการงานเป็นอย่างดี หมั่นขยันถูกกาล ไม่เฉื่อยชา ย่อมมีโภคสมบัติท่ี เจรญิ ย่งิ ขนึ้ ๆ ทุกด้าน เหมอื นฝงู โคท่ีมีโคผู้นํา. “ฉะนั้น พระองค์จงเสด็จเที่ยวสดับดูความ เป็นอยู่เป็นไปในแว่นแคว้นแดนชนบท, ครั้นได้ เห็นไดส้ ดบั แลว้ จงึ ดําเนินราชกิจน้ันๆ.”144 “เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควร ท้อแท้. เราเห็นประจักษ์มากับตนเอง เรา ปรารถนาอย่างใด กไ็ ดส้ มตามน้ัน.”145 144 ข.ุ ชา.๒๗/๒๔๑๙/๕๒๔ (บางสว นมใี น ขุ.ชา.๒๗/๒๔๔๐/๕๓๐ ดวย) 145 ขุ.ชา.๒๗/๕๑/๑๗; ๑๘๕๔/๓๖๒; ๒๘/๔๕๐/๑๖๗ เปน ตน

๑๙๔ พุทธธรรม “ภิกษุทั้งหลาย เราประจักษ์ (คุณค่า) ของธรรม ๒ ประการ คือ ความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย และ ความไม่ระย่อในการบําเพ็ญเพียร ฯลฯ โพธิอันเรานั้นได้ บรรลุด้วยความไม่ประมาท, ความลุโล่งโปร่งใจ (โยค เกษม) อย่างเยี่ยมยอด อันเรานั้นได้บรรลุด้วยความไม่ ประมาท.”146 “ภิกษุ ยังไม่ถึงความสิ้นอาสวะ อย่าได้นอน ใจ เพียงด้วยความมีศีลและวัตร ด้วยความเป็น ผู้ได้เล่าเรียนศึกษามาก ด้วยการได้สมาธิ ด้วย การอยู่วิเวก หรือ (แม้แต่) ด้วยการประจักษ์ว่า เราได้สัมผัสเนกขัมมสุขที่พวกปุถุชนไม่เคยได้ รู้จัก”147 “เตรียมกิจสําหรับอนาคตให้พร้อมไว้ก่อน, อย่าให้กิจนั้นบีบคั้นตัวเมื่อถึงเวลาต้องทําเฉพาะ หนา้ .”148 “พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง, พึงป้องกันภัยที่ ยังไม่มาถึง, ธีรชนตรวจตราโลกทั้งสอง เพราะ คาํ นึงภยั ทีย่ ังไม่มาถึง.”149 146 อง.ฺ ทุก.๒๐/๒๕๑/๖๔ 147 ข.ุ ธ.๒๕/๒๙/๕๑ (เนกขัมมสขุ อรรถกถาวา หมายถึงสุขของพระอนาคาม)ี 148 ข.ุ ชา.๒๗/๑๖๓๖/๓๒๘ 149 ขุ.ชา.๒๗/๕๔๕/๑๓๖; ๑๐๙๒/๒๓๑

ไตรลักษณ ๑๙๕ “ภิกษุทั้งหลาย เม่ือมองเห็นภยั ที่ยังไม่มาถึง (อนาคต ภัย) ๕ ประการต่อไปนี้ (คือ ความชรา ความเจ็บไข้ ความขาดแคลน คราวบ้านเมืองไม่สงบ คราวสงฆ์ แตกแยก ที่อาจจะเกิดมีขึ้น) ย่อมควรแท้ ที่ภิกษุจะ เป็นอยู่โดยเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศตัวเด็ด เดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยัง ไมเ่ ขา้ ถงึ เพ่ือประจกั ษ์แจง้ ธรรมที่ยังไม่ประจักษแ์ จง้ .”150 “ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ (คือ ภิกษุทั้งหลายที่มิได้อบรมพัฒนากาย ศีล จิต ปัญญา จะเป็นอุปัชฌาย์ให้อุปสมบท จะเป็นอาจารย์ จะเป็นผู้ กล่าวอภิธรรมกถา เวทัลลกถา จะไม่ตั้งใจฟังพระสูตร ท่เี ปน็ ตถาคตภาษิต จะเป็นพระเถระผู้นําในทางย่อหย่อน) ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป. เธอ ทั้งหลายพึงตระหนักทันการไว้, ครั้นตระหนักแล้ว พึง พยายามเพ่ือป้องกันอนาคตภัยเหลา่ นั้น.”151 “ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ (คือ ภิกษุ ทั้งหลาย จะมัวหมกมุ่นติดในเรื่องจีวรดีๆ อาหารดีๆ ที่อยู่ อาศัยดีๆ แล้วทําการแสวงหาผิดวินัย จะอยู่คลุกคลีกับ ภิกษุณี สิกขมานาและสามเณร จะอยู่คลุกคลีกับคนวัดและ สามเณร) ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป. เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้าไว้, ครั้นตระหนักแล้ว พึง พยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยเหล่านน้ั .”152 150 อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๗๘/๑๑๗ (อางละเอยี ด หนา ๗๐๕) 151 องฺ.ปฺจก.๒๒/๗๗/๑๑๕ (อางละเอียด หนา ๗๐๖) 152 อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๗๙/๑๒๑ (อา งละเอียด หนา ๗๐๗)

๑๙๖ พทุ ธธรรม “แน่ะสารีบุตร พระผู้มีพระภาคกกุสันธะ ก็ดี พระผู้มี พระภาคโกนาคมน์ ก็ดี พระผู้มีพระภาคกัสสปะ ก็ดี ไม่ คร้านที่จะแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายโดยพิสดาร และ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาค เหล่านั้น ก็มีมาก, สิกขาบท ท่านก็บัญญัติไว้แก่สาวก ท้ังหลาย, ปาฏโิ มกข์ ทา่ นก็แสดงไว.้ “เมื่อพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า และเหล่าสาวกที่ตรัสรู้ ตาม ลับล่วงไปแล้ว สาวกทั้งหลายรุ่นภายหลัง ซึ่งมีชื่อ โคตร ชาติตระกูลต่างๆ กัน ออกบวชแล้ว ก็ดํารง ศาสนาไวไ้ ด้ตลอดกาลยาวนาน, “เปรียบเหมือนดอกไม้นานาพรรณ ที่เขาวางไว้บน แผ่นไม้ แต่เอาด้ายร้อยไว้แล้วอย่างดี ลมกระพือพัดมา ก็พาให้กระจัดกระจายไม่ได้ ทั้งนี้เพราะถูกด้ายร้อยรวมกัน ไว้เป็นอย่างดี... น้ีคือเหตปุ จั จัย ให้ศาสนาของพระผู้มีพระ ภาคกกุสันธะ พระผู้มีพระภาคโกนาคมน์ และพระผู้มีพระ ภาคกสั สปะ ดาํ รงอย่ไู ดย้ นื นาน.”153 “คร้ังนั้นแล ทา่ นพระสารีบตุ รได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลาย ว่า ฯลฯ ท่านทั้งหลาย ธรรมนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าของ เราทั้งหลาย ตรัสไว้ดีแล้ว ประกาศไว้ดีแล้ว เป็นเครื่อง นําสู่ความหลุดพ้น เป็นไปเพื่อสันติ เป็นคําประกาศของ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า, 153 วินย.๑/๗/๑๔

ไตรลกั ษณ ๑๙๗ “ทุกท่านทเี ดียว พึงสงั คายนาในธรรมนั้น ไม่พึงวิวาท กนั อันจะช่วยให้พระศาสนา (พรหมจรรย์) ยั่งยืน ดํารง อยู่ตลอดกาลนาน เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่คน จาํ นวนมาก เพอื่ อนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสขุ แกเ่ ทวะและมนุษย์ทง้ั หลาย.”154 “ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะ กล่าวกะภิกษุ ทั้งหลายว่า ฯลฯ ท่านทั้งหลาย ขอเชิญพวกเรามา สังคายนาธรรมและวินัยกันเถิด ก่อนที่อธรรมจะรุ่งเรือง ธรรมจะถูกขัดขวาง อวินัยจะรุ่งเรือง วินัยจะถูกขัดขวาง, ก่อนที่พวกอธรรมวาทีจะมีกําลัง ธรรมวาทีจะอ่อนกําลัง พวก อวินยวาทจี ะมีกาํ ลัง วนิ ยวาทจี ะอ่อนกําลัง.”155 “อานนท์ ตราบใดที่เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยังจักประชุมกัน เนอื งนิตย์... “ตราบใดที่พวกเจ้าวัชชี ยังจักพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทํากิจการ หน้าทขี่ องชาววชั ชี, “(ตราบน้นั ) พวกเจา้ วชั ชีพึงหวังไดซ้ งึ่ ความเจริญอย่าง เดียว ไมม่ ีเสอ่ื มเลย... 154 ที.ปา.๑๑/๒๒๕/๒๒๕ 155 วนิ ย.๗/๖๑๔/๓๘๐

๑๙๘ พทุ ธธรรม “ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย ยังจักประชุม กนั เนอื งนิตย.์ .. “ตราบใดท่ภี กิ ษทุ ้งั หลาย ยังจกั พรอ้ มเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทํากิจการ หนา้ ทีข่ องสงฆ์, “(ตราบนั้น) ภิกษุทั้งหลายพึงหวังได้ซึ่งความเจริญ อย่างเดยี ว ไม่มเี สอ่ื มเลย... “ภกิ ษุท้ังหลาย ตราบใดท่ภี กิ ษุทั้งหลาย ยังจักเป็นผู้มี ศรัทธา... มีหิริ... มีโอตตัปปะ... เป็นผู้เล่าเรียนศึกษามาก (พหูสูต)... เป็นผู้ตั้งหน้าเพียร... เป็นผู้มีสติกํากับตัว... เป็นผมู้ ปี ัญญา, “(ตราบนั้น) ภิกษุทั้งหลายพึงหวังได้ซึ่งความเจริญ อยา่ งเดียว ไม่มเี สือ่ มเลย”156 156 ที.ม.๑๐/๖๘,๗๐,๗๒/๘๖-๙๓; ในการทําจิต ทานสอนใหรูเทาทันวา ส่ิงทั้งปวงไมเ ที่ยง มีความเส่ือมสลายไปเปนธรรมดา แตพุทธพจนชุดนี้กลับสอนวา ถาทํากิจดวยความ ไมประมาท ก็จะไมมีความเส่ือมเลย มีแตความเจริญอยางเดียว พึงศึกษาพุทธพจน สองแบบนใ้ี หช ัดเจน จะไดเขาใจถูกตอง และปฏิบัติไมผิดพลาด นอกจากน้ี พึงสังเกต ดวยวา ความไมประมาทในการปรับปรุงพัฒนาตนซ่ึงเปนกิจสวนตัว จะตองดําเนิน เคียงคไู ปดว ยกันกับความไมป ระมาทในการทํากิจที่เปน ความรับผิดชอบตอสวนรวม