50 บางทีเฃามีฃองเล่นที่คล้าย ๆ กันอยู่แล้ว พอเขา อยากได้อีกเราก็สัอให้ ทำ ให้!ม'รู้จักพอใจของที่ตนเองมี เซ่น บางทีลูกมีดินสออยู่แล้ว แต่ไปเห็นดินสอแท่งใหม่ที่สวยกว่า จึงอยากได้ ลูกอาจจะร้องขอพ่อแมโห้ซื้อดินสอนั้นให้ พ่อ แม่ผู้ปกครองควรพิจารณาว่า ลูกอยากได้เพราะขาดสิ่งนั้น จริง ๆ หรืออยากได้เพราะแค่เกิดความด้องการ ล้าลูกแค่ อยากได้ เราไม่ควรให้สิ่งนั้นแก่เขา เพื่อสอนให้ลูกรู้จักพอใจ ในสิ่งที่ตนเองมี การ'ฝืกความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เราต้องแกกันตั้งแต่ เด็ก ๆ แต่ถึงแม้ว่าโตแล้ว ล้าเรายังไม่มีนิสัยเหล่านี้ รวมทั้ง ยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เราก็ควรแกแม้แต่เรื่องเล็กน้อยใน การยับยั้งชั่งใจ เซ่น การใขโซเชียลมีเดียที่ขาดความยับยั้ง ชั่งใจ ก็ทำ ให้เกิดผลร้ายได้ ล้าเราไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจในการ บริหารเวลา กิจวัตรกิจกรรมทั้งวันของเราก็จะรวนไปหมด การเรืยนหรือการงานก็อาจจะเสียไปด้วย เป็นด้น www.kalyanamitra.org
รใ นิสิตนักศึกษาบางครั้งเรียนอยู่มี Line เข้ามา ก็แอบ ดูโทรศัพท์ แอบแชทในขณะเรียนทำให้เสียผลการเรียน ซึ่ง การยับยั้งชั่งใจจะเป็นประโยชน์มาก ที่ทำ ให้นิสิตนักศึกษา เหล่านั้นหันมาสนใจในบทเรียนมากขึ้น ซึ่งเราควรรูว่า ตอนนี้ เรากำลังทำอะไรอยู่และไม่ควรทำอะไร www.kalyanamitra.org
52 ปีอีนา0น1อนนยะฅ5อนโ1ขี0ไ iJcj!ปีๆหนา การยับยั้งซั่งใจมีความสำคัญมาก ถ้าเปรียบคนเรา เหมือนกับรถ ที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายชีวิต ถามว่า ถ้าให้ เราขึ้นรถคันหนึ่งที่ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีเบรก คิดว่ารถคันนี้จะ นำ เราไปถ้งจุดหมายปลายทางได้หรือไม่ แน่นอนว่า เราคง ไปไม่ถ้งจุดหมาย แล้วถ้าให้เราขึ้นรถคันหนึ่งที่มีพวงมาลัย มีเบรก แต่ เบรกไม่ค่อยดี ต้องขับข้า ๆ พวงมาลัยก็พอเลี้ยวไต้ แต่ติด ๆ ขัด ๆ ด้องขยับไปมาหลายครั้งถึงจะเบี่ยงทิศทางรถได้ ไม่ ถึงกับไม่มีพวงมาลัย แต่พวงมาลัยไม่ค่อยดีอย่างนี้เราก็จะเสีก หวาดเสียว ไม่อยากจะขึ้นรถคันนี้ ถึงแม้จะยอมตัดใจขึ้น ก็ คงจะไม่กล้าขับเร็วเพราะเสี่ยงอันตราย เหยียบเร็วเกินไปได้ ลงข้างทางแน่นอน www.kalyanamitra.org
53 ชีวิตคนเราก็เซ่นกัน มีอะไรพาออกข้างทางตลอดเวลา อยู่ที่การตัดสินใจของเราว่า จะทำตามความอยากนั้นหรือไม่ หรือมีความยับยั้งชั่งใจทำในสิงที่เราควรทำ ถ้าเราสามารถ ทำ ในสิ่งที่ควรทำได้ เบรกความอยากได้ แล้วพาตนเองเลี้ยว กลับมาอยู่ในสิ่งที่ดีที่ถูกที่ควรได้ เราก็จะประสบความสำเร็จ ในชีวิต แต่คนที่มีการยับยั้งชั่งใจน้อย พอเกิดความอยากทำ แล้วก็ด้องดงตันทำใหได้ มันห้ามใจไม่อยู่ เซ่น เลิกเรืยน อยากจะเล่นเกม เบรกไม่อยู่ก็ตัองไปเล่นเกมจนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง พ่อแม่จะห้ามอย่างไรไม่สนใจเพราะฉันอยากทำ ฉัน ก็จะทำให้ถึงที่สุด บางทีถึงเวลาเรืยนหนังสือก็ยังไม่ยอมเรืยน หนีเรียน เพราะอยากไปเที่ยวกับเพื่อน อยากไปเล่นเกม อยากไปสนุก คนที่ทำแบบนี้ คือคนที่ทำตามใจตนเองและขาดการยับยั้ง ชั่งใจ ซึ่งเราคงมองออกว่า ปลายทางอนาคตของเขาจะเป็น อย่างไร www.kalyanamitra.org
54 เต์/)vioi!imli(d'}iiihf)KU yvhtฑฆึปีDjc/iJm iuo'^0hiafi0 ๅ {''(hjmoffvmuvh'v I ใน'รท้วฯา^ไ} ((พ่/ ท/)fl N /ฃ'«Iผ์ w7V«/(«ไ??ฟ้i/]3/V0ฝ็ ihifi'^9finlilu ใVใ'^ปี1>1\\{พอ<i]dhm 111ใ1ปีti \"ปีNiolidnoiwyw^mmlmd\" www.kalyanamitra.org
55 พอคนเราเกิดความอยากขึ้นมามันเบรกไม่อยู่ ไม่ เฉพาะเด็กเท่านั้น แม้แต่ผู้!หญ่ก็เซ่นเดียวกัน บางคนพอ โกรธขึ้นมาก็ยับยั้งชั่งใจไม่อยู่ คำ พูดที่ไม่เหมาะสมพรั่งพรู ออกไปท่าลายนํ้าใจอีกฝ่าย พอระบายอารมณ์เสร็จก็มานึก เสียใจภายหลัง โบราณเรียกว่า \"คนหุนหันพลันแล่น\" ถ้าเราเอาแค่ความสะใจเฉพาะหน้า ความเสียหายก็ จะเกิดขึ้นตามมามากมาย กิเลสโพลงขึ้นมาเมื่อใด ไม่ว่าจะ เป็นตระกูลโทสะก็ต้องใส่ไปใหัเด็มที่ พอสะใจแล้วความเสีย หายเกิดขึ้น ก็ต้องมารับผลกันอีกยาวนาน หรือกิเลสตระกูล ราคะความโลภก็ตาม พอกำเริบแล้วไปท่าในสิ่งที่ไม่ควรท่า ต้องมานั้งกล้มใจ มีความทุกข์อีกยาวนาน จะไปลุ่มหลงสิ่งใด เตลิดเพลิดไปกูไม่กลับ แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจที่หลัง เป็นต้น www.kalyanamitra.org
56 ฃีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น การยับยั้งชั่งใจ มีความสำคัญมาท คนที่มีการยับยั้งชั่งใจที่ดี ก็เหมีอนรถที่มี เบรกดี พวงมาลัยดี พอรถทำท่าจะออกนอกลู่นอกทาง เรา ก็สามารถหักเลี้ยวกลับมาได้ทันที ขับรถเร็วได้ และสามารถ ไปถึงเป็าหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเบรกไม่ดี พวงมาลัยไม่ดี ก็ด้องค่อย ๆ คลานไป เพราะถ้าขับเร็วก็ มีสิทธิ้ลงขัางทางเพราะเบรกไม่อยู่ ถ้าเราอยากใหัชีวิตประสบความสำเร็จ การแสวงหา ความรู1นเรื่องต่าง ๆ นั้นมีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือแกการยับยั้งชั่งใจตนเองใหัดี อย่าเป็นคนที่พอนึกย้อน อะไรไปแล้ว กลับมานั่งเสียใจภายหลังว่า \"ทำไมเราทำอย่าง นั้น... ถ้าย้อนเวลาได้เราจะไม่ทำอีกเลย...\" อย่างนี๋ไม่ดี โบราณมีเรื่องสอนใจเรื่อง \"ก'องข้าวน้อยฆ่าแม่\" ซึ่งพระธาตุก่องข้าวน้อยยังมีใหัเห็นในป็จจุบัน เรื่องราวเกิดใน ครอบครัวหนึ่งที่พ่อตายไปแล้ว มีเพียงสองแม่ลูกที่เลี้ยงดูภัน มา จนกระทั่งลูกชายโตเป็นหนุ่มที่แข็งแรง เกเรแต่ก็ยังช่วย แม่ทำงาน www.kalyanamitra.org
วันหนึงแม่ออกไปได้งานรับจ้างทำนามาหลายแปลง งานนึ๋ใหญ่พอจะทำให้มีทรัพย์อยู่กันต่อไปได้นาน แม่ก็ดีใจ พอลูกออกไปทำนา แม่ก็เตรียมหุงหาข้าวจะไปล่งลูกที่นา แต่ด้วยความเพลียแม่จีงเผลอหลับไป พอตื่นฃี้นมาตะวันเที่ยง จึงรีบทำกับข้าวต่อจนเสร็จเรียบร้อย อัดข้าวเหนียวใล่กระติบ แล้วรีบออกไปหาลูก เพราะกลัวว่าลูกจะหิว V^ ฝ่ายลกทำนาจนเที่ยงวันแล้วแม่ก็ยังไม่มา ท\"ั้งเหs น\"ื่iอ.ย Zj 7 1' i ทงร้อนทงหิว ก็หงุดหงิดเตะนำเตะดินรอแม่ พอแม่มาถึง กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ระหว่างทางแม่โดนเสี้ยนหนามตำเลือดไหลก็ พยายามไปให้เร็ว ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ห่วงแค่ว่าลกจะหิว www.kalyanamitra.org
พอแม่มาถึงก็ร้องเรียกลูกว่า มีข้าวเหนียวเนื้อแห้งมา ฝาก ลูกขายรีบมาจะรับข้าว แต่พอเห็นกระติบข้าวเล็กนิด เดียวก็โกรธมาก ผลักแม่ล้มแล้วฉวยกระติบข้าวมากินด้วย ความหิว ไม่ได้สนใจแม่เลย ปรากฏว่า พอลูกกินจนอิ่ม ข้าวก็ยังไม่หมดกระดิบ เพราะแม่อัดข้าวเหนียวมาอย่างเต็มแน่น โบราณถึงกล่าวไว้ ว่า \"เวลาหิวตามันโตกว่าท้อง\" เห็นว่าข้าวน้อยนิดกินไม่ พอ แต่จริง ๆ ก็กินไม่หมด พอลูกอิ่มแล้วข้าวก็ยังเหลือจึงนึกถึงแม่ขึ้นมาได้ว่า เมื่อกี้เราไปว่าแม่ที่เอาข้าวมาน้อย กินได้เพียง 4 - 5 คำ ก็คงหมดไม่อิ่มแน่ แต่พอกินจนอิ่มข้าวกลับยังเหลืออยู่ พอคิด ได้จึงเหลียวไปดูอีกที ก็เห็นแม่นอนแน่นิ่งไปแล้ว เขย่าตัวแม่ เท่าไหร่ก็ไม่ตื่น จนแน่ใจว่าตนเองผลักแม่ล้มหัวฟาดตันนา ตายก็เศร้าโศกเสียใจ www.kalyanamitra.org
59 ทั้งที่ตอนแม่อยู่ไม่ได้นึกถึงว่า แม่คอยดูแลเอาใจใส่ เรา คอยหงหาข้าวปลาอาหารให้ จัดเตรียมทุกอย่างรออยู่ ตรงหน้า แม่ดูแลเราทุกอย่างมาตลอด แต่ตนเองไม่เคยรูสีก ว่าเป็นเรื่องพิเศษอะไรเลย พอแม่ไม่อยู่แล้วตนเองด้องทำทุกอย่างเอง ถึงได้รู้ซึ้ง ว่าแม่ดีกับเรามาก ทั้งข้าวปลาอาหาร ทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ทั้งบ้านช่องห้องหับแม่ดูแลทั้งหมด พอแม่ไม่อยู่ด้องทำเอง ทั้งหมดถึงได้รู้พระคุณแม่ว่า ท่านดีกับเรามากขนาดไหน www.kalyanamitra.org
60 ยิ่งรู้คุณของแมกยิ่งเสียใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจลร้าง เป็นพระธาตุรูปก่องข้าว ตั้งอยู่ที่จังหวัดยโสธร ปีจจุบันเรียก ว่า \"พระธาตุก่องข้าวน้อย\" เป็นเรื่องราวที่เล่าขานต่อกัน มาจนถึงปิจจุบัน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เรารู้ว่า การขาด ความยับยั้งขั่งใจจนบันดาลโทสะนั้นให้!ทษมากขนาดไหน ขายหนุ่มผู้นี้ต้องเสียใจไปจนตลอดขีวิต ละจากโลก แล้วก็ต้องลงไปอบายอีกยาวนานเพราะฆ่าแม่ ไต้รับผลกรรม หนักมาก คือ \"อนันตรียกรรม มาตุฆาต\" ต่อให้สำนึก แล้วทำความตื สร้างพระธาตุอย่างไรก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์อย่าง แน่นอน เพียงแต่ทำให้กรรมเบาบางลง แทนที่จะลงอเวจี มหานรก ก็อาจไปลงโลหะกมภีนรก นรกนํ้าทองแดง แต่ ถึงอย่างไรก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานไต้รับโทษมหาศาลในนรก นั้น นี่คือตัวอย่างของการขาดความยับยั้งชั่งใจ www.kalyanamitra.org
6t ให้พวกเรารูไว้ว่า นิสัยคนเราเปลี่ยนได้ \"เปลี่ยนไป สืได้ เปลี่ยนไปเสียได้\"' ยกตัวอย่าง คนสองคนที่เคยมีนิสัย คล้าย ๆ กัน แต่ถ้าคนหนึ่งเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น สั่งการอะไร ก็ได้สั่งใจทุกอย่างจนเคยชิน \"ขี้ไม้บอกว่านก เขาก็ว่านก\" ไม่มีใครขัดคอ มีแต่คนยกยอเอาใจทุกอย่าง ไม่ข้าไม่นานก็มี โอกาสเป็นคนหลงตนเอง หูตับจนใครมาพูดห้วงติงอะไรก็ฟ้ง ไม่เข้าหู หงดหงิดเขาที่ขัดใจเรา www.kalyanamitra.org
62 นับวันคนจะตักเตือนยิ่งหายาก มีแต่คนคอยเอาอก เอาใจ เจ้าตัวก็ยิ่งเส์อมลงไปเรื่อย ๆ เหมีอนรถที่วิ่งไปเร็ว แรงไม่มีเบรกเลย ถึงเบรกก็เบรกไม่อยู่เพราะมันเตลิดไปแล้ว ตังนั้น คนเรายิ่งเติบโตเป็นผู้Iหญ่มากเท่าได ยิ่งต้อง สอนตนเองไห้มากไปตามส่วน ล้ามีไครสามารถเป็นกัลยาณมิตร คอยแนะนำสั่งสอนเราไดไห้ดีไจ ไห้ร็บสาธุรับว่า เป็นบุญของ เราแล้ว หรือล้าอยู่หางโลกไม่รูจะไห้ไครตักเตือนเราดี เพราะ ตนเองเป็นผู้ไหญ'มากแล้ว คนอื่นมีแต่จะเกรงไจ ก็ไห้เข้า วัดหาพระภิกษุสงฆ์ที่เราเคารพนับถือ ที่ถูกอัธยาศัยเป็น ครูบาอาจารย์กัน ท่านจะไต้ช่วยเตือนสติเราไต้ ช่วยแนะนำ สั่งสอนเราไต้ แล้วไจเราจะยอมรับฟ้งง่ายขึ้น เพราะท่าน อยู่ไนภาวะพระภิกษุสงฆ์ อย่างนี้จะเป็นประโยซนํมาก www.kalyanamitra.org
63 สร้างความคุ้นชินกับการที่มคนรอบข้างคอยตักเตือน เราด้วยและตั้งใจแสวงหากัลยาณมิตรมาคอยตักเตือนกัน ปวารณาซี่งกันและกันว่า ถ้าใครเห็นอะไรไม่ถูกต้อง ก็ให้ ช่วยแนะนำตักเตือนกันได้โดยไม่โกรธกัน คือฃอร้องให้เขา ช่วยเป็นกระจกส่องให้เราได้มองเห็นตนเอง เวลามีใครมาห้วงติงเราอาจจะรู้สึกว่า ตนเองถูกกระทบ ศักดึ๋ศรีและบั่นทอนความเฃื่อมั่นของเราลงนิดหน่อย แต่บั่น คือประโยชนํที่เกิดกับเราอย่างมหาศาล อย่าให้ยิ่งนับวันอายุ มากขึ้น ฐานะตำแหน่งสูงขึ้น แต่กลายเป็นนับวันจะยิ่งไม่ฟ้ง ใคร นับวันเอาแตใจตนเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นเราพลาดแน่ ๆ www.kalyanamitra.org
64 เมื่อใดที่เราคิดได้ว่า เราเหมือนรถที่วิ่งอยู่บนทางโค้ง ค้องตั้งสติให้ดี ระวังอย่าให้หลุดโค้งลงข้างทาง เมื่อนั้นเราจะ ปลอดภัย แต่ถ้าเมื่อใดเราคิดว่า ตนเองครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม คู่คึกไม่มืแล้ว ให้ร้ไวัเลยว่า ใครที่คิดอย่างนี้กำลังเข้าสู่ความ เสื่อมแล้ว เพราะฉะนั้น ให้เราตั้งอยู่บนความไม่ประมาท มี กัลยาณมิตรคอยชี้แนะข้อบกพร่อง และรู้จักยับยั้งฃั่งใจให้ดี ด้วย ซีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป เรื่องการยับยั้งชั่งใจนี้ มีสุภาษิตโบราณว่า \"อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน\" ^ซึ่งบรรพบุรุษสอนให้เราอย่าทำกิจกรรมที่ ไม่เหมาะไม่ควร รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เช่น รอ คอยผลไมีให้สุก เพราะผลไม้สุกนั้นมีรสหวาน เป็นค้น^ ในฐานะจองพวกเราที่เป็นนักสร้างบารมี เราไค้ยิน พระเดซพระคุณพระเทพญาณมหามุนี วิ. (หลวงพ่อธัมม~ ชโย) สอนอยู่บ่อย ๆ ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นไมใช่เกิด มาเพื่อเสวยสุข แต่เป็นการเกิดมาเพื่อสร้างบารมี www.kalyanamitra.org
65 เพราะฉะนั้น ในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ ต้องรู้จักยับยั้ง ชั่งใจในการไซ้เวลาของเราให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เพื่อเรา จะสามารถเพิ่มพูนบุญบารมีให้กับตนเองได้มากที่สุด อย่ามัว เสียเวลาไปกับการเที่ยวเตร่เฮฮา ยุ่งเกี่ยวอบายมุข เมื่อเรา ตั้งใจทำความดี หลังจากตายแล้วหากยังไม่หมดกิเลสก็จะได้ ไปเกิดบนสวรรค์ ได้เสวยสุฃที่ประณีตกว่าบนโลกมากมาย อย่างยาวนาน www.kalyanamitra.org
พึนยกรรม www.kalyanamitra.org
67 ๒นียท33น chmijda'Soafj หลายท่านอาจจะมองว่า พินัยกรรม เป็นเรื่องไกลตัวเพราะอายุยังน้อย หรือบาง ท่านคิดว่า การทำพินัยกรรมเหมือนเป็นการ แซ่งตนเองให้ตาย ความจริงแล้วพินัยกรรม เป็นเรื่องของ \"การวางแผนอนาคต\" เพื่อ ให้คนร่นหลังที่จะมารับทรัพย์มรดกของเรา ต่อไป ไม่ต้องทะเลาะแก่งแย่งทรัพย์สินกัน www.kalyanamitra.org
6^ โดยปกติแล้ว ทรัพย์สม'บตจะตกไปสู่ญาติของผู้เสีย ชีวิต ได้แก่ บิดามารดา 'บุตรธิดา หรือสามีภรรยา เป็นด้น แต่ล้าผู้เสียชีวิตได้ทำ'พินัยกรรมไว้ก่อนตาย โดยแสดงความ ประสงค์ว่า จะมอบทรัพย์สมนัติของตนเองให้แก่ผู้ใดเป็น ลายลักษณ์อักษร ทรัพย์สม'บตินั้นก็จะถูกมอบให้กับผู้ที่ไมใช่ ทายาทได้ เรียกว่า เจ้าของสามารถเจาะจงมอบทรัพย์มรดก ให้!ครก็ได้ แต่ต้องแจ้งความประสงค์ไว้ก่อนตาย ท'ท^ ฯ')mm /พฟ้พ่'ฟ้if\"/?i!) /()?«ดrฐพคm0N«สืไ! www.kalyanamitra.org
ฃบภป3ะทอบ0ยพีนยทขขJJ เงื่อนไขแรกผู้ทำพินัยกรรมจะต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป ไม่เป็นคนวิกลจริต และต้องเป็นคนไม่ไร้ความสามารถ ส่วน องค์ประกอบของการทำพินัยกรรม มีดังนี้ (1) พินัยกรรมมีการลงวัน เดือน ปีที่ทำ พินัยกรรม (2) พินัยกรรมมีรายละเอียดทรัพย์สิน และการรับ มอบทรัพย์สินกับผู้ที่จะรับมรดก (3) พินัยกรรมมีการลงลายมีอขื่อผู้ทำพินัยกรรม (4) พินัยกรรมมีลายมือขื่อของพยานอย่างนัอย 2 คนขึ้นไป ■■พยาน\" เป็นเรื่องจำเป็นในองค์ประกอบของ พินัยกรรม ขื่งเราอาจจะเคยได้ยินปอย ๆ เกี่ยวกับปิญหา พินัยกรรมปลอม โดยทั่วไปพินัยกรรมมีอยู่ 5 แบบ ด้วยกันคือ www.kalyanamitra.org
70 ๒น&ท33!JliUUn 1 พีนิ'ยทขขน!แรนยขขนดๆ \"พินัยกรรมแบบธรรมดา\" เป็นแบบที่เราใฃ้กันโดย ทั่วไป ซึ่งพินัยกรรมแบบนี้เป็นแบบที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด ในตัวเอง เราจะทำพินัยกรรมโดยการเขียนพินัยกรรมขึ้นด้วย ลายมือตนเอง หรือให้ผู้อื่นเขียนให้ก็ได้ หรือจะพิมพ์ขึ้นมา หลังจากเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับพินัยกรรมเสร็จ สิ้นแล้ว ต้องมีการลงวัน เดือน ปีที่ทำ พินัยกรรม โดยมีข้อ กำ หนดว่า เราจะมอบทรัพย์สมบัตินี้[ห้แก่ผู้ใดบ้างในพินัยกรรม และต้องลงลายมือขื่อ (ลายเซ็น) ของเราต่อหน้าพยานอย่าง น้อย 2 คน และพยานต้องลงลายมือขื่อต่อหน้าเราอีก 2 คน โดยทั้งหมดต้องลงลายมือขื่อพร้อมกัน ล้ามืความต้องการแกไขพินัยกรรม ทั้ง 3 คน คือ ผู้ทำ พินัยกรรมและพยานทั้ง 2 คน จะต้องลงลายมือขื่อ กำ กับพร้อม ๆ กัน www.kalyanamitra.org
7ไ ^ ฬนยกรขบnuun 2 เแโยกขขบ!!บบพียนพขrw \"พินัยกรรมแบบเขยนเองทั้งฉบับ\" เราสามารถร่าง พินัยกรรมขึ้นด้วยลายมือของตนเอง โดยการเขียนวัน เดือน ปี และรายละเอียดของการมอบทรัพย์สมบัติให้กับผู้อื่น หลังจากนั้นมีการลงลายมือซื่อ โดยจะต้องใช้ลายมือ ซื่อของเราเอง จะให้ผู้อื่นเขียนแทนไม่ได้ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง และจะพิมพ์แทนการเขียนด้วยลายมือไม่ได้ ใช้ตราประทับ หรือลายพิมพ์นิ้วมือไม่ได้ เพื่อรับรองว่าเป็นของเราจริง ๆ ในพินัยกรรมประเภทนิ้จะมืพยานหรือไม่มืพยานก็ได้ ถึงไม่มืพยานก็มืความลมบูรณไนตัวเอง แตในบางกรณีอาจจะ มีพยานเพื่อยืนยันว่า ไม่มืการปลอมแปลงพินัยกรรม ถ้ามืความต้องการแก้ไขพินัยกรรม ในกรณีที่ไม่มื พยาน ผู้เขียนสามารถลงลายมือซื่อในพินัยกรรมเพียงผู้เดืยว แตในกรณีที่มีพยาน ให้ผู้เขียนลงลายมือซื่อกำกับ พรัอมกับ ให้พยานลงลายมือซื่อกำกับด้วย www.kalyanamitra.org
72 ฬีนยกขขนนบบท 3 เนีนียท5ขนนบบพท?ท5(!^ย IUQU \"พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมึอง\" คือพินัยกรรม แบบเป็นทางการ โดยผู้ประสงค์จะทำพินัยกรรม จะต้อง เดินทางไปที่ว่าการอำเภอ เพื่อแจ้งต่อนายอำเภอให้รับทราบ ให้ถ้อยคำกับนายอำเภอโดยแจ้งรายละเอียดว่า เราต้องการ มอบทรัพย์มรดกให้กับผู้ใด นายอำเภอจะจดถ้อยคำของเราและร่างเป็นบันทึก ขึ้นมา แล้วอ่านทวนถ้อยคำนํ่นให้เราพิงเพื่อทบทวนว่า สิ่งที่ เราตกลงกันนนเป็นถ้อยคำที่ถูกต้อง หลังจากนั้นนายอำเภอ จะลงลายมือซื่อกำกับ และมืตราประทับลงบนพินัยกรรมนั้น ซื่งต้องมีพยานต้วย โดยในระหว่างการให้ถ้อยคำนั้น จะต้องมืพยาน รับพิง 2 คน ถ้ามีความต้องการจะแกไขพินัยกรรม ก็ต้อง นำ พินัยกรรมกลับใปที่อำเภอ และพาพยานไปด้วย ซื่งพยาน ต้องลงลายมือซื่อรับรองใหม่ และนายอำเภอต้องลงลายมือ ซื่อและมีดราประทับอันใหม่ด้วย www.kalyanamitra.org
73 / !iiJLf&nfJfj!JJlUUfl 4 ฬี!/ฮภร•ว์■ซ//ขน]อก •■พินัยกรรมแบบเอกสารลับ\" คือแบบที่ผู้ทำพินัยกรรม ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรูถึงรายละเอียดข้างในพินัยกรรมว่า เรา จะมอบทรัพย์มรดกให้กับใครบ้าง เราสามารถร่างพินัยกรรมขึ้นมาด้วยตนเอง หรือ มอบหมายให้ผู้อื่นร่างพินัยกรรมขึ้นมาก็ได้ โดยในเอกสารมี รายละเอียดการมอบทรัพย์มรดก มีวัน เดือน ปีที่เราร่าง เอกสารนั้นขึ้น ลงลายมือซื่อกำกับไวั แล้วนำพินัยกรรมนั้น ใส่ซองปีดผนึก และลงลายมือซื่อกำกับที่รอยผนึกหน้าซอง อีกดรั้ง www.kalyanamitra.org
74 จากนั้นนำพินัยกรรมไปแจ้งที่ว่าการอำเภอ เพื่อแสดง ต่อนายอำเภอ นายอำเภอจะรับไว้แล้วแสดงตราประทับที่'ซอง พินัยกรรม ซึ่งจะไม่มีใครได้เห็นเนื้อหาด้านในของพินัยกรรม นอกจากนันด้องมีพยาน 2 คน ลงลายมีอซึ่อกำกับ ด้วยว่า มีการทำพินัยกรรมนื้เกิดขึ้น และล้าต้องการเปีดของ เพื่อแกํไขพินัยกรรม ต้องเริ่มด้นกระบวนการเขียนพินัยกรรม ใหม่ทั้งหมดทุกขั้นตอน ij}u&n35Ui!uufl5 ijHimnขขน!!นบ'ทาchaวาจา \"พินัยกรรมแบบทำด้วยวาจา\" ทำ ในกรณีที่ผู้ทำ พินัยกรรมตกอยู่ในอันตราย หรือใกล้จะเสียขีวิต เซ่น กรณี เกิดโรคระบาด หรือกรณีเกิดสงคราม ซึ่งไม่สามารถทำ พินัยกรรมแบบลายลักษณ์อักษรได้อย่างทันห่วงที ผู้ทำ พินัยกรรมจะเอ่ยวาจาว่า ต้องการจะมอบทรัพย์ มรดกของตนเองให้กับผู้ใด โดยในกรณีนื้ต้องมีพยานรูเห็น อย่างน้อย 2 คนขึ้นไป หลังจากที่ผู้ทำพินัยกรรมเสียขีวิต ลง พยานผู้รู้เห็นต้องแจ้งต่อนายอำเภอโดยเร็วที่สุดเห่าที่จะ ทำ ไต้ www.kalyanamitra.org
75 ดังนั้น พินัยกรรมจะมีผลหลังจากพยานรูเห็นอย่าง น้อย 2 คนขึ้นไป เข้าแจ้งเรื่องกับนายอำเภอ จากนั้นนาย อำ เภอจะจดถ้อยคำของพยานไว้เป็นลายลักษณ์อัภษร แลัว ลงวัน เดือน ปีของการทำพินัยกรรมนั้น หลังจากที่มีการลงลายลักษณ์อักษรจากนายอำเภอ เรียบร้อยแล้ว นายอำเภอจะประทับตราประจำตำแหน่ง และพินัยกรรมนี้จะมีผลต่อเมื่อผู้มอบทรัพย์มรดกเสียขีวิตลง แล้วเท่านั้น www.kalyanamitra.org
76 พินัยกรรมที่ทำไว้แล้วมีการสิ้นผลไดในกรณี ดังนี้ 1. ผู้ทำ พินัยกรรมแสดงเจตนารมณ์ยกเลิกพินัยกรรม ฉบับเดิม 2. ผู้ทำ พินัยกรรมเขียนพินัยกรรมฉบับใหม่ฃึ้นมๆ แทนฉบับเดิม ฉบับเดิมเป็นอันโมฆะ 3. ผู้ทำ พินัยกรรมได้โอนขายทรัพย์ลินให้กับผู้อื่นไป แล้ว พินัยกรรมนั้นจึงไม่สามารถมอบให้กับผู้ที่รับมรดกต่อ ไปได้ 4. ผู้ทำ พินัยกรรมทำลายทรัพย์สินของตนเอง ทำ ให้ ทรัพย์สินนั้นสูญหายไป ไม่สามารถมอบทรัพย์สินนั้นให้กับ ผู้รับมรดกได้ 5. ผู้รับมอบพินัยกรรมเสียขีวิตก่อนผู้ทำพินัยกรรม 6. ผู้รับมอบพินัยกรรมสละไม่ขอรับมรดก www.kalyanamitra.org
77 ย0ย efiJcmi5ai}fjlf[irn3U5an ในกรณีที่เรามีพินัยกรรมแล้ว แต่ยังต้องมีผู้จัดการ มรดก เพราะความแตกต่างของทรัพย์สินมี 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ทรัพย์สินที่ไม่ได้ระบุซื่อผู้ครอบครอง สิทธ เข่น เงินสด หรือของใฃ้ที่ไม่มีการระบุซื่อ ซื่งผู้รับ พินัยกรรมสามารถแบ่งทรัพย์สินนั้น ๆ กันไต้เอง ประเภทที่ 2 ทรัพย์สินระบุซื่อผู้ครอบครองสิทธึ๋ เข่น บัญชีเงินฝากธนาคาร รถยนต้ บ้าน ที่ดิน เป็นต้น ทรัพย์สินเหล่านี้ต้องมีผู้จัดการมรดกเป็นผู้ดำเนินการให้ ซื่ง สำ หรับผู้จัดการมรดกจะต้องมีการแต่งตั้งโดยศาล โดยมีการ ร้องฃอที่ศาลให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผู้จัดการมรดกนี้ www.kalyanamitra.org
7^ ^หนาทfjauf4จีททๆขนขดก ผู้จัดการมรดกทำหน้าที่แบ่งทรัพย์สินให้กับทายาท ที่ได้ระบุไว้โนพินัยกรรมว่าใครจะได้รับมรดกอย่างไร โดย กฎหมายมีฃ้อกำหนดว่า ผู้จัดการมรดกต้องเป็นบุคคลที่ผู้ทำ พินัยกรรมระบุขื่อไว้โนพินัยกรรมว่า ให้เป็นผู้จัดการมรดก หลังจากผู้ทำพินัยกรรมเสียซีวิตลง โดยผู้จัดการมรดกสามารถยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอรับ การแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกได้ ในกรณืนี้ผู้จัดการมรดกไม' จำ เป็นต้องเป็นญาติพี่น้องเสมอไป อาจจะเป็นทนายความ เพื่อนของเจ้าของมรดก หรือบุคคลใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความ ประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรม ส่วนในกรณีที่ผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้ระบุขื่อผู้จัดการมรดก ไว้ในพินัยกรรม ต้องสรรหาผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการมรดก โดย อาจจะเป็นทายาทหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพินัยกรรมฉบับ นั้น สามารถไปร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้จัดการมรดกได้ แต่ อย่างไรก็ตามศาลต้องเป็นผู้แต่งตั้งก่อนเสมอ www.kalyanamitra.org
79 อีกกรณีหนึ่งที่ทายาทอาจจะเป็นเด็ก ^ร้ความสามารถ หรือคนวิกลจริต ในกรณีนี้อัยการสามารถร้องต่อศาลเพื่อขอ เป็นผู้จัดการมรดกได้ ในกรณีที่ผู้ตายมีทร้พย์มรดก แต่ไม่ได้ทำพินัยกรรม ไว้ ทายาทเสืยชีวิต หรือติดต่อไม่ได้แล้ว หรือเจ้าของมรดก ไม่มีทายาท ทรัพย์สมบตจะตกเป็นของแผ่นดินต่อไป www.kalyanamitra.org
so การทำพินัยกรรมเป็นการมอบทรัพย์สมบัติของเราที่ หามาได้ทั้งชีวิตให้กับผู้อื่นหลังจากเราเสียชีวิตไปแล้ว ใบขณะ เดียวกันเราควรจะหันมามองตนเองด้วยว่า เราจะสร้างอะไร ให้กับตนเองหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว อย่าลืมว่า สิ่งที่เราสามารถเก็บเกี่ยวไปได้ทุกที่ คือ \"บุญ\" เท่านั้น เพราะฉะนั้น การสร้างบุญในระหว่างที่เรา มีชีวิตอยู่ เปรียบเสมือนการทำพินัยกรรม เพื่อเราจะได้ใช้ บุญของเราได้ในอนาคตหรือชีวิตหลังความตายของเรานั้นเอง ทรัพย์สินที่เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้มื 2 แบบ คือ \"โภคทรัพย์\" สมบ้ติซึ่งเป็นวัตถุทั้งหลาย และ ■'อริยทรัพย์\" ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราอาจจะมอบทั้งทรัพย์สินเงินทองให้ แก่ลูกหลานหรือทายาท ในขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมมอบ อริยทรัพย์ ซึ่งก็คือความรู้ทางธรรมให้เขาด้วย www.kalyanamitra.org
ส \"ผิ'Jยก33.ช\" หนากี่นอนฟOilUที่IjiJระ?พนา- ?โฆ';!เกริ/ข'/กวั■ย\"/ว พินัยกรรม คือการที่เราสั่งเสียว่า ทายาทของเราจะ ต้องจัดการกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา และทรัพย์สินเงิน ทองของเราต่อไปอย่างไร ถามว่า เราควรทำพินัยกรรมหรือ ไม่ คำ ตอบคือ \"ควรทำ\" หน้าที่ของฟอแม่ที่มีต่อลูก 1 ใน 5 ที่พระส้มมา- สมพุทธเจ้าตรัสไว้ ได้แก่ ■'มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถงกาล อันควร\" คือถึงกาลควรมอบจึงมอบ ถ้ายังไม่ถึงกาลควรมอบ อย่าเพิ่งมอบ ถ้าพ่อแม่ไม่มอบหมายอะไรให้เรียบรัอยไว้ก่อน ผลหลัง จากพ่อแม่ตายไปแล้ว บางครอบครัวลูกหลานทะเลาะกันเอง กลายเป็นศึกสายเลือด ไม่น่าเชื่อว่าพี่น้องท้องเดียวกัน บางที พ่อเดียวกัน บางทีแม่เดียวกัน บางทีทั้งพ่อแม่คนเดียวกัน กลับมีป้ญหากันเองถึงขั้นเอาชีวิตกันเลยทีเดียว www.kalyanamitra.org
ที่กลายเ\\5นคดีความโด่งดังไปทั้งประเทศก็มีให้เรา เห็นเป็นระยะ ๆ ลูกที่พ่อแม่เลี้ยงให้เติบโตมาดัวยกัน วิ่ง เล่นมาด้วยกัน พ่อแม่เดียวกัน กลับมาทะเลาะเบาะแว้งกัน ถึงขั้นเอาชีวิตกัน.^เพราะเวลาที่เกิดเรื่องราวความขัดแย้งลี้น นั้น มันจะค่อย ๆ เกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน ดั่งไพ่ที่เผาบ้าน เผาเรือนเป็นร้อยพันหลังนั้น ก็เกิดขึ้นจากประกายไฟเพียง เล็ก ๆ เท่านั้น ไมัชีดเพียงก้านเดียวเผาเมืองได้เหมือนกัน จริงอยู่ที่ไม่มืใครคิดว่า ตนเองจะไปทำร้ายคนอื่นได้ แต่พอมืปีญหาเกิดขึ้น ก็เกิดเป็นความสงลัย พอเกิดความ สงลัย ก็กลายเป็นความระแวง พอมืเรื่องของทรัพย์สมบ้ติ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มนุษย์ยังมืความโลภอยู่ พอเริ่มสงลัย เริ่มเกิดความระแวง ก็เริ่มสังเกตจนกลายเป็นเริ่มจับผิด เมื่อ เป็นอย่างนี้แลัว พออีกฝ่ายรู้สีกว่าถูกจับผิด จึงเกิดความ ไม่ขอบใจ หงดหงิด และโกรธ www.kalyanamitra.org
nmni'lHi K เ \"จากความโลภที่เป็นตัวน่า ความโกรธก็ตามมา\" บางทีก็เริ่มมีการกลั่นแกล้งตันเกิดขึ้น แล้วลุกลามไปเรื่อย ๆ สุดท้ายถึงขนาดเอาชีวิตตัน เหตุความขัดแย้งจะเกิดเป็นขั้น เป็นตอนอย่างนี้ เพราะฉะนี้น การจัดการพินัยกรรมให้ขัดเจน ถึอว่าเป็นการปัองตันปีญหาที่ดีทางหนึ่ง มีบางกรณีที่พ่อแม่รักลูกมาก จึงอยากจะจัดการ ทุกอย่างให้เรียบร้อยลงตัว ทั้งที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ก็ยกสมบ้ติ ให้ลูกทั้งหมด พอลูกมีครอบครัวแล้วได้ดู่ครองเป็นคนละโมบ เชื่อคู่ครองมากกว่าเชื่อพ่อแม่ คู่ครองยุยงให้ร้ายพ่อแม่ตนเอง จนสุดท้ายไล่พ่อแม่ออกจากบ้าน ท่านต้องไปอาศัยคนอื่นอยู่ จากมหาเศรษฐีมีทรัพย์สินร้อยล้านพันล้าน ต้องร่อนเร่หาที่ อยู่เพราะยกทรัพย์ให้ลูกไปหมดแล้ว www.kalyanamitra.org
ฒ ivsounufio!\" nvi^h um)^ifvfi!0<i(Jiit0'ilmo ((«;ศ่ฐV 7 v<^0vv0yvfn9rfvyd liavmvnofvhrffyต)เI0<il(mo</ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ควรมีทรัพย์ที่ตนเองรักษาไว้ ส่วนหนึ่งด้วย ความเกรงใจจึงจะเกิด ลูกบางคนขาดความ กตัญณู จริง ๆ แล้วพอพ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบติเหลือแล้วก็ ควรจะดูแลท่าน บางคนดูแลท่านแต่ไม่เต็มที่เท่ากับตอนที่ ท่านยังมีทรัพย์อยู่เพราะคิดว่าตนเองยังมีโอกาสได้ประโยขน์อยู่ คนเราส่วนใหญ่ยังมีกิเลสส่วนนี้อยู่ แต่ไมใช่ทุกคน ลูกที่ดีพ่อแม่ไม่ต้องมีทรัพย์ก็เลี้ยงดูท่านอย่างดี เพราะตนเอง หาไต้มากกว่าพ่อแม่ ลูกที่ตั้งใจดูแลพ่อแม่อย่างดีก็มีมาก แต่ อย่างไรพ่อแม่ก็ควรฟ้องกันตนเองในส่วนนี้Iว้ก่อนด้วย www.kalyanamitra.org
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ควรมอบทรัพย์มรดกให้ลูกเมื่อ ถึงกาลอันควร ควรพิจารณาไตร่ตรองจนมั่นใจว่า ลูกจะไม่ นำ ทรัพย์ไปผลาญจนหมด หรือไม่เกิดเหตุว่า ลูกถูกคนอื่น หลอกเอาทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นคู่ครองที่หวังประโยชน์ หรือ เพื่อนที่มาคลุกคลีตีสนิทเพราะหวังประโยชน์จากทรัพย์ของ ลูกก็ตาม พ่อแม่ควรจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอไห้ลูกค่อย ๆ ยืนหยัดจนเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ ก่อน และทรัพย์สินส่วนที่ ตนเองเหลีออยู่ ก็จัดการทำพินัยกรรมไว้ไห้ซัดเจน เพื่อ ป้องกันไม่ไห้เกิดนิญหาอื่น ๆ ตามมาภายหลัง www.kalyanamitra.org
^6 ฟอนจรบท!ทนบนเทยงทนพีนยท3ขน มีฃ้อคิดเกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐีนีคนหนึ่งมีทรัพย์สินร่วมพันล้าน เธอเลี้ยงสุนัขและรัก สุนัขมาก ส่วนลูกของเธอไม่ค่อยมาดูแลเธอเท่าที่ควร ถึงคราว เสืยชีวิต เธอได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมนัติให้สุนัขตัวโปรด 3 ตัว ราว ๆ ร้อยล้านบาท รวมทั้งแมนขันบนหาดไมอามี มูลค่าประมาณ 300 กว่าล้านบาท และยกทรัพย์สิน 500 กว่าล้านบาท ให้กับบอดี้การ์ดที่คอยดูแลความปลอดภัยให้ เธอ กับแม่บ้านที่คอยดูแลเธอตอนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนลูกแท้ ๆ ทั้นเธอยกมรดกให้เพียง 25 ล้านบาทเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่เป็นลูกอย่าทอดทั้งพ่อแม่ ด้องดูแลปรนนิบ้ตท่าน ไมใช่ทำเพื่อหวังทรัพย์สมบัติของท่าน แต่เป็นหน้าที่ที่ลูกทุกคนพีงกระทำ แล้วจะพบกับความสุข ความเจริญกับตนเอง www.kalyanamitra.org
^7 \"ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น\" หากเราดูแลพ่อแม่ดี อีกหน่อยลูกเราก็จะดูแลเราดีด้วย คนไหนไม่สนใจดูแลพ่อ แม่ อีกหน่อยพอแก่ตัวไป ก็จะเจออย่างนั้นบ้าง แล้วจะมา นั้งน่กเสียใจว่า ทำ ไมถึงต้องเป็นเรา www.kalyanamitra.org
๒นียท33นทนาสนใจไน ij3=inFjiinuicn ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับพินัยกรรมที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่ประเทศแคนาดา มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนรักสนุก เขาชอบ ทดลองอะไรแปลก ๆ ไปเรื่อย ทดลองจนถึงนาทีสุดท้ายของ ชีวิต พอเขาเสียชีวิตลงแล้วเปิดพินัยกรรมปรากฏว่า นอกจาก มรดกส่วนที่ยกไท้ลูกแล้ว บ้าน ที่ดิน และทรัพยัสมบ้ตส่วนที่ เหลือทั้งหมดยังไม่ยกไห้ไคร แต่จะขอยกไท้กับผู้หญิงไนเมือง โทรอนโต (Toronto) ที่มีลูกมากที่สุดหลังจากนี้ 9 ปี นับทั้งแต่วันเปิดพินัยกรรมล่วงไปจนถึง 9 ปี ก็เริ่ม นับว่าไครมีลูกมากที่สุด แล้วจะยกทรัพย์สมบัติไท้ทั้งหมด หลังจากนั้นไนเมืองโทรอนโต ก็มือัตราการเกิดของประซากร เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไนปีที่ 10 พบว่า มีผู้หญิง 4 คน ที่มืลูก 9 คน ในช่วงเวลา 9 ปี ซึ่งพวกเธอมืลูกหวปีท้ายปีเลยทีเดียว จากนั้น จึงต้องนำทรัพย์สมบัติมาหาร 4 และยกไท้ทั้ง 4 คนนี้ไป ถือว่าเป็นพินัยกรรมแบบแปลก ๆ อีกพินัยกรรมหนึ่ง www.kalyanamitra.org
^9 ฟิป้ยทรขน(JDUriiJaS^ LIjIนรา iJOUFfdง มีเรื่องราวพินัยกรรมทื่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งของกษัตริย์ ปฐมราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นซาวแมนจู แมนจูมีประซากรเพียง 3-4 ล้านคน แต่ก็สามารถรบซนะและยึดประเทศจีนได้ ชาวแมนจูจีงก่อตั้งราฃวงศ์ขิงปกครองประเทศจีน ซึ่งสามารถ ปกครองประเทศจีนได้อยู่หมัดเลยทีเดียว เพราะไครจะมา ต่อด้านหรือโค่นล้มก็ไม่สำเร็จ ทั้งที่ซาวแมนจูมีประซากรน้อยกว่าซาวจีน แค่ 1 ไน 100 แตกสามารถปกครองประเทศจีนได้ยาวนานถึง 200 กว่าปี จนกระทั้งมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาโดย ชุน ยัตเซ็น โค่นล้มราซวงศ์ชิงเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็น สาธารณรัธ www.kalyanamitra.org
^0 น่าทึ่งว่าขาวแมนจูทำได้อย่างไร กษ้ตริย์ปฐมราฃวงศ์ชิง พระองศ์นี้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระซนมายุ 5 ปี และเสด็จ สวรรคตเมื่อพระชนมายุเพียง 23 ปี ถือว่ายังทรงพระเยาว์ มากในช่วงปกครองแผ่นดิน ซึ่งช่วงก่อตั้งราชวงศ์ เพิ่งเริ่ม ปกครองแผ่นดินใหม่ ๆ ยังต้องมีเริ่องราวให้ตัดสินใจแก้ ปิญหามากมาย ในช่วงเวลาแค่ 18 ปี สามารถวางรากฐาน ในการปกครองประเทศจีนได้อย่างเป็นปีกแผ่น คนส่วนใหญ่พอใกล้ตายก็มักจะกล่าวถึงตนเองในต้าน ดี เพราะอยากให้คนอื่นขื่นซม แต่ก่อนที่พระองศ์จะเสด็จ สวรรคต ไต้ทำพินัยกรรมโดยเขียนถึงความผิดชองตนเอง ไว้ว่า \"การไม่ดูแลมารดานั้น เป็นความผิดชองช้า\" ซึ่ง ความจริงแล้วพระองศ์ดูแลมารดาและบุตร แต่ยังดูแลได้!ม่ดี เพียงพอเท่าที่ตนเองคาดหวังไว้ แล้วยังตำหนิตนเองต่อไปอีกว่า \"เกิดมาเป็นบุตร ทำ ให้แม่เสียใจนั้น เป็นความผิดของช้า\" พระองศ์ทำให้แม่ เสียใจเพียงบางครั้ง ก็ยังคิดเป็นเรื่องแหนงใจในตนเอง \"ไม่ได้เอาใจใส่ราชนิกลนั้น เป็นความผิดของช้า\" พระองศ์คิดว่า ตนเองยังดูแลเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายได้ไม่ดีพอ www.kalyanamitra.org
9t \"ไม่ส่งเสริมแมนจู ใช้แต่ซาวฮั่นนั้น เป็นความผิด ของช้า\" พระองค์ตำหนิตนเองว่า ถือเป็นความผิดที่ใช้แต่ ชาวฮั่น ซึ่งก็คือชาวจีน ไม่ได้ใช้ชาวแมนจูมากพอ แต่ความ จริงในจุดนี้เองเป็นเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การปกครอง ประเทศจีนมั่นคง ถ้าเอาแต่ชาวแมนจู ไม่เอาฮั่นเลย สุดท้าย จะเกิดการต่อต้าน www.kalyanamitra.org
92 พระองค์ยงคิดว่า เรื่องคิลปวัฒนธรรมของซาวแมนจู นั้นยังสู้ซาวจีนไม่ได้ อาศัยว่ารบเก่งชนะประเทศเขา แล้ว ต้องให้ขาวจีนเก่ง ๆ มาสนับสนุนงานอีก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็น ตัวช่วยให้เกิดความเป็นปีกแผ่นในประเทศ แต่พระองค์ก็ยัง รู้สีกไม่สบายใจ จึงตำหนิตนเองว่า '•ยโสโอห้งแต'ไร้ความ สามารถนั้น เป็นความผิดของข้า\" จริง ๆ แล้วจากที่นักประวัติศาสตร์ประเมินแล้วถือว่า พระองค์เป็นผู้ที่มีความสามารถมาก และอ่อนน้อมถ่อมตน แต่พระองค์ยังกลับจับผิดตนเองว่า ตนเองหยิ่งเกินไป ควร อ่อนนัอมกว่านี้ ควรผิกตนเองให้มีความสามารถมากกว่านี้ พินัยกรรมที่พระองค์เขียนไวัล้วนแล้วแต่เป็นการ ทบทวนตนเอง และตำหนิข้อบกพร่องที่ยังมีของตนเองทั้งสิ้น ให้เราลองดูว่า บุคคลที่เก่งจริง สามารถสร้างรากฐานราชวงศ์ ให้ปกครองแผ่นดินจีนที่ใหญ่กว่ากันเกือบร้อยเท่าอย่างมั่นคงได้ ยาวนานถืง 200 กว่าปีนั้นมีอัธยาศัยอย่างไร www.kalyanamitra.org
93 ^oDinluni^mnfotfidj M ฟินียทร3นบยบ!1!)3ะรพนา?พ!>!1ทร!จๆ ประเด็นสุดท้ายเป็นตัวอย่างในการจัดการเรื่องราว หลังจากที่เราละจากโลกนี๋ไปแล้ว พระสัมมาลัมพทธเจ้า เมื่อ พระองค์จะปรินิพพาน พระองค์เลือกที่จะปรินิพพานที่เมือง กสินารา ซึ่งเจ้ามัลละปกครองอยู่ แต่มืผ้ท้วงว่า ทำ ไมไม่ทรงปรินิพพานที่เมืองใหญ่อย่าง กรุงสาวัตถี หริอกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจ และเป็นเมืองหลวง จะได้จัดงานศพอย่างสมพระเกียรติ www.kalyanamitra.org
94 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลือกปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เพราะพระองค์มองการถiไกลว่า ถ้า พระองค์ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ ถึงคราวพระบรมสารีริกธาตุ ของพระองค์!ครจะมาขอแบ่ง กษัตริย์เมืองใหญ่ ๆ ก็จะไม่ ให้ แล้วจะเกิดสงครามรบราฆ่าฟ้นกัน แต่ถ้าพระองค์ปรินิพพานที่เมืองเล็ก ๆ พอกษัตริย์ เมืองใหญ่ ๆ มาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ กษัตริย์เมืองเล็กก็จะไม่กล้าขัด สุดท้ายจะมืการแบ่งปีน พระบรมสารีริกธาตุกันอย่างดี แล้วพุกอย่างก็จะดำเนินด้วย ความสงบเรียบร้อย ไม่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ สุดท้ายก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ มืกษัตริย์อีก 8 เมือง ยกทัพมาจะขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เจ้ามัลละกษัตริย์ ของเมืองกุสินาราก็ยอมแบ่งให้ โดยให้พราหมถรจัดสรรอย่าง ดี ทำ ให้พุกอย่างเรียบร้อยราบรื่น แล้วพระบรมสารีริกธาตุ ก็กระจายออกไป เป็นที่เคารพสักการะของมหาซนอย่าง ทั่วถึง ถือเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สร้างความเลื่อมใส ศรัทธาให้กับซาวพุทธอีกทางหนึ่ง www.kalyanamitra.org
95 พวกเราอย่าดูเบาพินัยกรรม ควรจัดการให้เรียบร้อย อย่างถูกต้องเหมาะสม ตามจังหวะขั้นตอนที่สื แล้วสิ่งที่เรา ลงแรงเหนื่อยยากทำมาตลอดทั้งชีวิต ก็จะเป็นประโยชน์กับ ลูกหลานและกับโลกนี้ต่อไป โดยไม่สร้างเหตุเภทภัยไมพง ประสงคโห้เกิดขึ้น www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
ทๆอซ่แเไรตาฅวาน ฅวยนตรว ความตายเป็น!.รื่องธรรมชาติที่ไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าความสูญเลียเกิดขึ้น กับบุคคลในครอบครัว ย่อมนำมาซึ่งความ เคร้าโศกของบุคคลใกล้ซิดที่เหลืออยู่ โดย เฉพาะกับเด็กเล็กซึ่งมีความรู้ความเข้าใจใน เรื่องความตายน้อยมาก ดังนั้น เมื่อความ สูญเลียเกิดขึ้นกับเด็ก เราควรมีแนวทางใน การทำความเข้าใจ และดูแลเด็กที่สูญเลีย บุคคลอันเป็นที่รักไป www.kalyanamitra.org
9^ สปีหโส^!1!ข1]1ป็ฮ1ท^ฅ^ๆนอพ ฒอ^กอา^ 2-511 เริ่มต้นที่เด็กวัย 2 ปี เด็กวัยนี้ไม่สามารถเข้าใจว่า ความตายคืออะไร เขาเพียงเข้าใจว่า เขาถูกทอดทิ้ง หรือ บุคคลที่เขารักนั้นหายตัวไปเท่านั้น สำ หรับเด็กอายุ 2 - 6 ปี อยู่ในวัยอนุบาล เขาจะ เข้าใจเริ่องความตายมากขึ้นระดับหนึ่ง แต่เขาอาจจะเข้าใจ เพียงว่า ความตายนั้นเป็นสิงชั่วคราว ผู้เสียชีวิตอาจจะนอน หลับไป ลักพักอาจจะพีนขึ้นมาใหม่ www.kalyanamitra.org
99 uin 7 fioimmoonftiifm W07 ด้วยข้อจำกัดนี้ลูกอาจจะไม่เข้าใจสาเหตุการตายของ ผู้ที่เสียชีวิต เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องอธิบายว่า บุคคลที่เขารักนั้นตายเพราะอะไร โดยอาจจะอธิบายสั้น ๆ ว่า เขาจะไม่กลับมาอีก แล้ว เขาจะจากเราไปตลอดกาล พ่อแม่ผู้ปกครองไม่จำเป็น ต้องเล่ารายละเอียดมาก โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการเสีย ชีวิตของบุคคลนั้น เซ่น อาจจะมีบุคคลในครอบครัวประลบ อุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม เราไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องราว เหตุการณ์เหล่านั้นให้ลูกฟ้ง เพราะการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ จะทำให้ลูกเกิดความกลัวโดยไม่จำเป็นไต้ www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134