Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Description: พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

Search

Read the Text Version

36 พละ 227 พุทธโอวาท 3 97 พทุ ธตั ถจริยา 96 พละ 4 229 พุทธานุมตั 201 พทุ ธานสุ ติ 335 พละ 5 228, 352 พทุ ธาปเทส 166 พุทธิจริต 262 พละ 5 ของพระมหากษัตริย 230 พุทฺโธ 303 เพียรของคฤหสั ถ, ความ 32 พลกาย 339 เพยี รของบรรพชติ , ความ 32 แพศย 173 พลี 289 โพชฌงค 7 281, 352 โพธิปก ขยิ ธรรม 37 51, 352 พลี 5 232 ไพบูลย 2 44 พหกุ ารธรรม 4 140 พหุการธรรม 7 292 พหกุ ารธรรม 10 324 พหุลกรรม 338 พหสุ สฺ ตุ า 231 พหุสสฺ ุโต 322 พหูสูต 231, 251, 252, 253, 254 พหูสูตมีองค 5 231 ภควา 303 พัฒนา 37 ภคนิ ภี รยิ า 282 พาลาน,ํ อเสวนา จ 353 ภพ (ดู วิโมกข ดว ย) 340 พาหาพละ 230 ภพ 3 98 พาหิรายตนะ 6 277 ภยญาณ, ภยตปู ฏ ฐานญาณ 311 พาหสุ จฺจ 324 ภยาคติ 196 พาหุสัจจะ 237, 292 ภรรยา 265 พาหสุ จฺจจฺ 353 ภรรยา 7 282 พชี นิยาม 223 ภวจักร 105, 340 พุทธ ดู พระพทุ ธเจา ภวตัณหา 74, 204, 206, 357 พทุ ธกิจ 304 ภวโยคะ 170 พุทธคารวตา 261 ภวราคะ 288, 330 พุทธคณุ 2 304 ภวังคะ 343 พทุ ธคุณ 3 305 ภวาสวะ 135, 136 พทุ ธคุณ 9 303 ภโวฆะ 215 พทุ ธจริยา 3 96 ภังคญาณ, ภังคานุปสสนาญาณ 311 พทุ ธจักขุ 217 ภพั พตาธรรม 6 267 พทุ ธเจดีย 4 141 ภพพฺ รปู ตาย 317 พุทธบัญญัติ 290 ภัย 5 229 พทุ ธภาวะ 304 ภัสสปรยิ นั ตะ 222 พทุ ธรปู 141 ภสั สสัปปายะ 286 พุทธลีลาในการสอน 4 172 ภาวนา 205, 206 พุทธวงส 75 ภาวนา 2 36 พทุ ธวจนะ 302 ภาวนา 3 99

37 ภาวนา 4 37 มนสานุเปกฺขิตา 231 ภาวนาปธาน 156 มนสกิ าร 355 ภาวนามยปญญา 93 มนายตนะ 356 ภาวนามยั 88, 89 มนนิ ทรยี  349, 356 ภาวนโี ย 278 มนษุ ย 284, 298, 351 ภาวรปู 2 40, 359 มนษุ ยธรรม 238 ภาวติ 4 37 มนุษยโลก 103 ภาวิตกาย 37 มนุษยสมบัติ 114 ภาวิตจติ 37 มโน (ดู ปย รปู สาตรปู ดว ย) 276, 356 ภาวิตปญ ญา 37 มโนกรรม 66 ภาวิตศลี 37 มโนกรรม 3 319, 320, 321 ภาวติ ตั ต 280 มโนทวาร 77, 78 ภาเวตพั พธรรม 36, 206 มโนทวาราวัชชนะ 343 ภิกขุนีวิภังค 75/1ก มโนทวฺ าราวชฺชนํ 356 ภกิ ขุวภิ ังค 75/1ก มโนทจุ ริต 80 ภกิ ขุอปรหิ านิยธรรม 71 290 มโนธาตุ 348 ภิกขอุ ปริหานยิ ธรรม 72 291 มโนมยทิ ธิ 297 ภกิ ษณุ ีบริษทั 151 มโนวญิ ญาณ 266, 268 ภิกษุบรษิ ัท 151 มโนวิญญาณธาตุ 348 ภูตกสิณ 4 315 มโนสงั ขาร 120 ภตู รูป 38, 39, 146 มโนสัญเจตนาหาร 212 ภูมิ 284 มโนสมั ผสั 266, 272 ภมู ิ 4 162 มโนสมั ผสั สชาเวทนา 113, 266 ภูมิ 4, 31 351 มโนสจุ รติ 81 ภมู ปิ ระเภท (จิต) 356 มรณะ 340 เภสัช 159, 203 มรณธัมมตา 247 โภคะ 227 มรณภัย 229 โภคพละ 230 มรณสติ 335 โภควภิ าค 4 163 มรรค 7, 204, 205, 241 โภคสุข 192 มรรค 4 164, 310, 332 โภคอาทิยะ, โภคาทิยะ 5 232 มรรคปจจยั 350 โภชนสัปปายะ 286 มรรคภาวนา 352 โภชเนมตั ตญั ุตา 128 มรรคมีองค 8 293, 352 มรรคสมงั คี 57 มงคล 259 มละ 9 308 มงคล 38 353 มหากิรยิ าจิต 8 356 มตะ 83, 84, 150 มหากุศลจติ 8 356 มทะ 347 มหานทิ เทส 75

38 มหาปกรณ 75 มานะ 9 309 มหาปเทส 41 166 มานัส 356 มหาปเทส 42 167 มายา 308, 347 มหาพรหมา 351 มาร 5 234 มหาภตู 4 38, 39, 146 มารดาบดิ า 265 มหาภตู รูป 4 39, 359 มาลาคนธฺ ฯเปฯ วิภูสนฏานา เวรมณี 242 มหายญั 5 187 มา อนุสสฺ เวน ฯเปฯ 317 มหาราช 4 270 มคิ ปก ษี 339 มหาวรรค 75 มจิ ฉตั ตะ 10 334 มหาวบิ าก 8 356 มิจฉากัมมันตะ 334 มหาวบิ ากจติ 8 356 มิจฉาญาณ 334 มหาวิภงั ค 75/1ก มิจฉาทฏิ ฐิ 34, 308, 321, 334 มหาสงฆ 254, 255 มจิ ฉาวณิชชา 5 235 มกั ขะ 308, 347 มิจฉาวาจา 334 มักนอ ย 294 มิจฉาวายามะ 334 มัคคจิต 4 356 มจิ ฉาวมิ ุตติ 334 มัคคญาณ 345 มิจฉาสติ 334 มคั คสมังคี (ดู มรรคสมงั ค)ี มจิ ฉาสมาธิ 334 มคั คงั คะ 293 มจิ ฉาสงั กัปปะ 334 มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ 285, 328 มจิ ฉาอาชีวะ 334 มังสจักขุ 217 มิตรเทียม 4 168 มงั สวณิชชา 235 มติ รแท 4 169 มัจจุมาร 234 มิตรแนะประโยชน 169 มจั ฉรยิ ะ 308, 330, 347, 355 มติ รปฏริ ูปก 4 168 มัจฉริยะ 5 233, 257 มิตรมนี ้ําใจ 169 มชชฺ ปานา จ สฺโม 353 มติ รรวมสุขรว มทกุ ข 169 มชั ชวณิชชา 235 มติ รสหาย 265 มชั ฌิมนิกาย 75 มติ รอุปการะ 169 มชั ฌิมาปฏปิ ทา 15, 204, 293 มิทธะ 355 มตั ตัญตุ า 287 มญุ จิตกุ มั ยตาญาณ 311 มทั ทวะ 326 มุทิตา 161, 355 มนั ทกุมาร 84 มทุ ตุ า 40 มาฆบูชา 97 มุสาวาท 137, 308, 321 มาตาปตอุ ปุ ฏฐาน 123 มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ 320 มาตาปตอุ ปุ ฏานํ 353 มุสาวาทา เวรมณี 238, 240, 319 มาตาภรยิ า 282 มลู 2 340 มาตุฆาต 245, 275 มลู เหตุแหง การบญั ญตั พิ ระวินัย 10 327 มานะ 91, 288, 318, 329, 330, 347, 355 เมตตา 67, 161, 325

39 เมตตากายกรรม 273 ราคคั คิ 130 เมตตามโนกรรม 273 เมตตาและกรณุ า 239 ราชธรรม 10 326 เมตตาวจีกรรม 273 เมถนุ สงั โยค 7 283 ราชพลี 232 โมมูหจิต 2 356 โมหะ 4, 68, 318, 355 ราชสังคหวัตถุ 4 187 โมหจรติ 262 โมหมูลจิต 2 356 รกุ ขมลู เสนาสนะ 159 โมหัคคิ 130 โมหาคติ 196 รุกขมลู ิกงั คะ 342 ยกยอ ง 256, 257 รปู , รปู ะ 6, 40, 157, 216, 266, 277, 298 ยถาภตู ญาณ 285 รปู 21, 28 38 ยถาพลสนั โดษ 122 รปู 22 41 ยถาลาภสนั โดษ 122 ยถาสนั ถติกังคะ 342 รปู 28 38 ยถาสารปุ ปสนั โดษ 122 ยมก 75 รปู ขันธ 216 ยส 296 ยกั ษ 270 รูปฌาน 4 7, 8, 9, 10, 299, 313 ยามา โยคะ 4 270, 351 รปู ตัณหา 264, 266 โยคพหุโล 170 โยนิ 4 269 รปู ธรรม 19, 345 โยนโิ สมนสิการ 171 โยนโิ สมนสกิ ารสมั ปทา รปู ธาตุ 348 2, 34, 179, 193 รส, รสะ 280 รปู ประมาณ 158 รสตัณหา รสธาตุ 6, 40, 266, 277 รูปพรหม 16 351 รสวิจาร 264, 266 รสวติ ก 348 รปู ภพ 98 รสสญั เจตนา 266 รสสญั ญา 266 รูปราคะ 329 รตตฺ ฺู 263, 266 รตั นตรัย 266, 271 รปู รปู 18 359 ราคจรติ 322 100, 116 รปู โลก 103 262 รปู วจิ าร 266 รูปวติ ก 266 รปู วิบาก 5 343 รปู สัญเจตนา 263, 266 รปู สญั ญา 266, 271 รปู ป ปมาณกิ า 158 รูปสฺส กมฺมฺ ตา 40 รปู สฺส ชรตา 40 รูปสฺส มทุ ตุ า 40 รูปสสฺ ลหตุ า 40 รปู สสฺ สนฺตติ 40 รูปสสฺ อนิจฺจตา 40 รูปสสฺ อปุ จย 40 รปู าวจร 8 รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 356 รูปาวจรกุสลจติ 5 356 รปู าวจรจิต 15 356

40 รปู าวจรภมู ิ 16 162, 351 โลกุตตรธรรม 20, 306 รปู าวจรวิบากจติ 5 356 โลกตุ ตรธรรม 9, 46 310, 332 รปู าวจรสมาธิ 99 โลกตุ ตรภมู ิ 162, 351 รปู โน ธมฺมา 19 โลกตุ ตรวบิ ากจิต 4 (20) ฤทธ์ิ 2 42 โลภะ 356 โลภมูลจิต 8 4, 68, 318, 355, 359 ลหตุ า 40 โลหติ กะ ลกั ขณรูป 4 40, 359 โลหิตกสิณ 356 ลักขณูปนชิ ฌาน โลหติ ุปบาท 336 ลักษณะตดั สินธรรมวินัย 7 7 315 ลกั ษณะตัดสนิ ธรรมวนิ ัย 8 295 245, 275 ลทั ธนิ อกพุทธศาสนา 3 294 ลาภ 101 วจนกฺขโม 278 ลาภมจั ฉรยิ ะ 296 ลาภานุตตรยิ ะ 233, 257 วจสา ปริจติ า 231 ลีลาการสอน 4 127 ลูขประมาณ 172 วจกี รรม 66 ลูขปั ปมาณกิ า 158 เล่ือมใส 158 วจกี รรม 4 241, 319, 320, 321 โลก (เท่ียง ไมเท่ยี ง ฯลฯ) 256 โลก 31 337 วจีทวาร 77 โลก 32 102 โลก 33 103 วจีทุจริต 80 โลกธรรม 8 104 โลกธมฺเมหิ 296 วจีบรม 168 โลกนาถ 353 โลกบาล 4 304 วจีวิญญตั ิ 40 โลกบาลธรรม 2 270 โลกวิทู 23 วจสี งั ขาร 119, 120 โลกัตถจรยิ า 303 โลกาธิปไตย วจสี ุจริต 81 โลกียญาณ 96 โลกียธรรม 125 วณชิ ชา 5 235 โลกียภูมิ 345 โลกยี อภิญญา 20 วธกาภริยา 282 โลกตุ ตรกศุ ลจติ 4 (20) 162, 351 โลกุตตรจติ 8 (40) 63, 274 วรรณะ 227, 248 โลกุตตรญาณ 356 356 วรรณะ 4 173 345 วรรณกสณิ 4 315 วโย ปฺายติ 117 วสวตั ดี 270 วัชชอี ปริหานิยธรรม 7 289 วัฏฏะ 3 104, 340 วัฑฒิ หรือ วัฒิ หรือ วฒุ ิ 5 249 วัฒนมุข 6 201 วัณณะ 227, 277 วัณณมจั ริยะ 233, 257 วตฺตา จ 278 วัตถกุ าม 5 วตั ถุประสงคการบญั ญัติวินัย 10 327 วตั ถสุ มั ปทา 190 วตั รปฏิบัติ 251

41 วาจา, สภุ าสติ า จ ยา 353 วิญญาณาหาร 212 วาจาเปยยะ 187 วติ ก 9, 355 วาชเปยะ 187 วติ ก 6 266 วาโยกสณิ 315 วติ กจริต 262 วาโยธาตุ 39, 146, 147, 148 วิตกกฺ วิจารปต ิสุเขกคคฺ ตาสหิตํ 356 วิกขมั ภนนโิ รธ 224 วิธปี ฏบิ ัติตอ ทุกข– สุข 4 174 วิกขัมภนปหาน 224 วธิ ูโร 95 วิกขายติ กะ 336 วนิ ยั 35, 75, 166, 167, 243, 294, 295 วกิ ขิตตกะ 336 วนิ ัย 2 243 วกิ ารรูป 3, 5 40, 359 วนิ ัยปฎ ก 75 วกิ าลโภชนา เวรมณี 240 วินยานคุ ฺคหาย 327 วคิ ตปจ จัย 350 วนิ โย จ สุสิกฺขโิ ต 353 วจิ ฉทิ ทกะ 336 วินปิ าตกิ ะ 284, 312 วิจาร 9, 355 วนิ ลี กะ 336 วบิ ตั ิ 41 175 วจิ าร 6 266 วบิ ัติ 42 176 วจิ ารปต สิ ุเขกคฺคตาสหติ ํ 356 วิจกิ จิ ฉา 225, 288, 318, 329, 330, 355 วิปจิตัญู 153 วิจิกจิ ฺฉาสมฺปยตุ ฺตํ 356 วิปปยตุ ตปจ จยั 350 วิเจยยฺ เทติ 300 วปิ ริณามทกุ ขตา 79 วชิ ชมานบัญญตั ิ 28 วิปริตมนสิการ 359 วิชชา 3 106 วิปล ลาส, วิปลาส 4 178 วิชชา 8 297 วิปล ลาสนิมติ 107 วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน 303 วิปสสนา 7, 47, 346 วชิ ชาภาคิยธรรม 36 วปิ สสนาญาณ 9 285, 297, 311, 345 วิชชามาเนนวิชชมานบญั ญตั ิ 28 วิปส สนาญาณ 10 311 วชิ ชามาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ 28 วิปสสนาธรุ ะ 26 วญิ ญัติรูป 2 40, 359 วปิ สสนาภาวนา 36 วิญญาณ 340, 356 วิปส สนายานกิ 61 วิญญาณ 6 266, 268 วิปส สนูปกเิ ลส 10 285, 328 วญิ ญาณกสิณ 315 วิปากจิต 36 (52) 356 วญิ ญาณกจิ 14 343 วปิ ากจิตตฺ ํ 356 วญิ ญาณขนั ธ 216, 356 วปิ ากปจ จัย 350 วญิ ญาณฐติ ิ 7 284 วิปากวัฏฏ 105 วญิ ญาณธาตุ 148, 149 วิปากสทั ธา 181 วญิ ญาณปวตั ต,ิ วิญญาณปวัตติอาการ 343 วปิ ุพพกะ 336 วญิ ญาณญั จายตนะ 207, 284, 298, 312 วิภวตัณหา 74, 204, 357 วิฺ าณจฺ ายตนกุสลจติ ตฺ ํ 356 วภิ ังค (วินัย) 75 วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ 351 วิภังค (อภธิ รรม) 75

42 วมิ ังสา 213 วิสุทธคิ ุณ 305 วมิ านวตั ถุ 75/2 วิมตุ ตานุตตริยะ 126 วิสทุ ธเิ ทพ 82 วิมตุ ติ 227, 252 วิมุตติ 2 43 วิหิงสาวติ ก 70 วิมตุ ติ 5 224, 236 วมิ ุตติกถา 314 วฑุ ฒิธรรม 4 179, 193 วมิ ตุ ติขันธ 218 วิมตุ ติญาณทัสสนกถา 314 วุฑฒิธรรม, วฑุ ฒธิ รรม 5 249 วิมุตตญิ าณทัสสนขนั ธ 218 วิมุตโฺ ต 322 วุฒมิ ขุ 201 วโิ มกข 3 107 วิโมกข 8 298 วุตตฺ ํ เหตํ ภควตา 302 วริ ชํ 353 วริ ตเี จตสกิ 3 355 เวทนา 340, 355 วริ ตั ิ 3 108 วิราคะ 294, 295 เวทนา 2 110 วริ าคะ 5 224 วิราคสฺ า 331 เวทนา 3 111 วิริยะ 213, 228, 281, 325, 355 วริ ิยนิสิต 342 เวทนา 5 112 วิรยิ ปฏสิ งั ยตุ ต 342 วริ ิยพละ 229 เวทนา 6 113, 266, 358 วิริยสังวร 243 วิรยิ ารมฺภ 324 เวทนา 108 358 วิรยิ ารัมภะ 2, 237, 294, 301 วิรยิ ารมั ภกถา 314 เวทนาขนั ธ 216 วริ ิยนิ ทรยี  349 วิรูปก ษ 270 เวทนาเจตสิก 5 359 วริ ูฬหก 270 วเิ วก 3 109 เวทนานปุ สสนา, เวทนานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน 182, 346 วเิ วก 5 224 วสิ มโลภสสฺ ปหานํ 339 เวทนานุปส สนาจตกุ กะ 346 วิสวณชิ ชา 235 วิสังโยค 294 เวทลลฺ ํ 302 วสิ ยั รูป 4, 5 40, 359 วิสทุ ธิ เวทพหโุ ล 269 วสิ ทุ ธิ 7 92 285 เวปลุ ละ 2 44 เวปุลลธรรม 6 269 เวยยฺ ากรณํ 302 เวยยาวจั จมัย 89 เววณณฺ ิย 248 เวสสวณั 270 เวสารัชชะ 4 180 เวสารชั ชกรณธรรม 5 237 เวสารัชชญาณ 4 180 เวหัปผลา 351 โวฏฐพั พนะ, โวฏฐปนะ 343, 356 โวสสัคคะ 5 224 ศรัทธา 183, 237, 249, 259, 292, 301 ศรัทธา 4 181 ศรัทธาไทย 255, 256, 257 ศาสนา 2 51 ศษิ ย 265 ศลี (ดู สลี วา ดวย) 37, 124, 183, 194, 201, 204,

43 227, 237, 249, 252, 253, 254, 259, 292, 324, สมติงสบารมี 325 สมถะ 346 325, 326, 346 สมถภาวนา 36 สมถยานิก 61, 63 ศลี 5 238 สมนนั ตรปจจยั 350 สมบตั ิ 31 114 ศีล 8 240 สมบตั ิ 32 115 สมบตั ิ 4 177 ศีล 8 ท้งั อาชวี ะ 241 สมบตั ขิ องอุบาสก 5 259 สมบัตขิ องอบุ าสก 7 260 ศลี 10 242 สมปญ ญา 183 สมมตกิ ถา 18 ศลี วิบตั ิ 175 สมมตเิ ทพ 82 สมมตเิ ทสนา 18 ศทู ร 173 สมมติสจั จะ 50 สมสัทธา 183 สกทาคามิผล 165 สมสลี า 183 สมันตจักขุ 217 สกทาคามผิ ลจิตตฺ ํ 356 สมาทปนา 172 สมาทานวริ ัติ 108 สกทาคามิมรรค 164 สมาธิ (ดู พละ 5 ดวย) 37, 124, 204, 220, 258, 281, 346 สกทาคามิมคฺคจิตตฺ ํ 356 สมาธิ 2 45 สมาธิ 31 46 สกทาคามี 56, 57, 351 สมาธิ 32 47 สมาธกิ ถา 314 สกทาคามี 3, 5 59 สมาธิขันธ 218 สมาธินทรยี  63, 349 สขภี รยิ า 282 สมาธิภาวนา 4 184 สมานสุขทกุ ข 169 สงเคราะห 273 สมานตั ตตา 186, 229 สมาบัติ 8 299 สจิตตฺ ปริโยทปนํ 97 สมุจเฉทนิโรธ 224 สมุจเฉทปหาน 224 สติ 3, 25, 228, 281, 301, 324, 355 สมุจเฉทวริ ตั ิ 108 สมตุ เตชนา 172 สตินทรีย 349 สมุทยวาร 340 สมทุ ัย 204, 205 สตปิ ฏฐาน 346 สติปฏ ฐาน 4 182, 352 สตสิ งั วร 243 สติสมั ปชัญญะ 184, 239 สทารสนั โดษ 239 สนธิ 3 340 สนิทานธัมมเทสนา 134 สปทานจาริกังคะ 342 สพรหมจารี 290 สมจาคา 183 สมชีวติ า 144 สมชีวิธรรม 4 183 สมณบริษัท 152 สมณพราหมณ 265, 339 สมณพราหมณปริปุจฉา 339 สมณานฺจ ทสสฺ นํ 353 สมโณ โน ครูติ 317 สมดึงสบารมี 325

44 สยัมภญู าณ 204 สงั คหพละ 229 สรณะ 3 100, 116 สรรพเมธะ สังคหวัตถุ 4 186 สวนะ 187 สรรี ะ 343 สังคหวัตถุของผคู รองแผนดิน 4 187 สวนานตุ ตริยะ 337 สวรรค 6 127 สงฺคโห, าตกานจฺ 353 สวรรคสมบตั ิ 270 สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม 114 สงคฺ โห, ปุตตฺ ทารสสฺ 353 สฺวาคตปาฏโิ มกโฺ ข 306 สสงั ขารปรนิ พิ พายี 322 สงฆฺ คตา ทกขฺ ณิ า 12 สหชาตปจ จัย 60 สเหตกุ กามาวจรกริ ยิ าจติ 8 350 สงั ฆคารวตา 261 สเหตุกกามาวจรกศุ ลจิต 8 356 สเหตุกกามาวจรวิบากจติ 8 356 สงั ฆคุณ 9 307 สฬายตนะ 356 สอปุ าทิเสสนิพพาน 276, 340 สังฆทาน 12 สอุปาทเิ สสบุคคล 27 สักกะ 27 สังฆบดิ ร 290 สกั กายทฏิ ฐิ 270 สคั คกถา 329 สงั ฆปริณายก 290 สังกิเลส 246 สงั ขตธรรม 33 สงฺฆผาสตุ าย 327 สงั ขตลกั ษณะ 3 21 สงั ขตสงั ขาร 117 สงั ฆเภท 245, 275 สงขฺ าเยกํ ฯเปฯ 185 สังขาร 2 202 สงฆฺ สุฏุตาย 327 สังขาร 31 48 สงั ขาร 32 119 สังฆานสุ ติ 335 สงั ขาร 4 120 สังขารขันธ 185 สงั ฆาปเทส 166 สังขารทกุ ขตา 216 สงั ขารโลก 79 สังยุตตนกิ าย 75 สังขารุเปกขาญาณ 102 สงั เขป 4 311 สังโยชน 7 288 สังคณี 340 สงั โยชน 101 164, 329 สงั คหะ 2 75/3 สังโยชน 102 สังคหะ 4 49 330 340 สังวร 5 243 สังวรปธาน 156 สงั วรวนิ ยั 5 243 สงั วรศลี 243 สังเวชนยี สถาน 4 188 สังสารจกั ร 105 สงั เสทชะ 171 สัจจะ 139, 197, 239, 325 สจั จะ 2 50 สจั จญาณ 73 สจั จานโุ ลมิกญาณ 311 สัจฉกิ าตพั พธรรม 206 สัจฉกิ ริ ยิ า 205, 206 สญั เจตนา 6 263, 266 สัญเจตนากาย 263 สัญญมะ 123 สัญญา 284, 312, 355 สญั ญา 6 266, 271

45 สัญญา 10 331 สันติ 197 สญั ญาขันธ 216 สนั ติบท 352 สัญญาวปิ ลาส 178 สนั ตีรณะ, สันตีรณจติ 343, 356 สญั ญาเวทยติ นิโรธ 119, 298, 313 สนั ตฏุ ฐกิ ถา 314 สตั ตวณิชชา 235 สนตฺ ุฏี 324 สัตตกั ขัตตงุ ปรมะ 58 สนตฺ ุฏ ี จ 353 สัตตาวาส 9 312 สนั ตฏุ ฐี 2, 294, 353 สัตถวณิชชา 235 สนฺตฏุ โ  322 สตถฺ า เทวมนุสฺสานํ 303 สันทัสสนา 172 สตั ถุคารวตา 261 สนทฺ ิฏโิ ก 306 สตั ถสุ าสน 166, 294, 295 สัปปาฏหิ าริยธัมมเทสนา 134 สตั ว 337 สปั ปายะ 7 286 สัตวโลก 102 สปั ปายการี 250 สัททะ 6, 40, 266, 277 สัปปายสมั ปชัญญะ 189 สทั ทตณั หา 264, 266 สปั ปายมตั ตญั ู 250 สทั ทธาตุ 348 สปปฺ รุ สิ กมฺมนโฺ ต 301 สัททบัญญตั ิ 28 สปปฺ ุรสิ จินฺตี 301 สัททวิจาร 266 สปั ปรุ ิสทาน 8 300 สัททวิตก 266 สปปฺ รุ ิสทานํ เทติ 301 สทั ทสญั เจตนา 263, 266 สปฺปุริสทฏิ ี 301 สัททสัญญา 266, 271 สปั ปรุ ิสธรรม 71 287 สทั ธรรม 1, 2, 34, 352 สปั ปรุ ิสธรรม 72 301 สทั ธรรม 3 121 สปั ปุรสิ ธรรม 8 301 สัทธรรม 7 301, 344 สปั ปรุ สิ ธรรม 10 320 สัทธรรม 10 332 สปปฺ รุ ิสธมมฺ สมนนฺ าคโต 301 สทฺธมฺมสมนนฺ าคโต 301 สัปปุริสบญั ญัติ 3 123 สทั ธมั มสวนะ 179, 193 สปปฺ ุริสภตฺตี 301 สทธฺ มฺมฏิตยิ า 327 สปปฺ ุริสมนฺตี 301 สัทธา (ดู ศรทั ธา ดว ย) 228, 355 สปปฺ ุริสวาโจ 301 สัทธาจริต 262 สปั ปรุ ิสสังเสวะ 179, 193 สทั ธานุสารี 63 สัปปรุ ิสูปสสยะ 140 สัทธาวิมตุ 63 สพั พจติ ตสาธารณเจตสิก 7 355 สัทธาสัมปทา 191, 229 สพฺพปาปสสฺ อกรณํ 97 สทั ธินทรยี  63, 349 สพฺพโลเก อนภิรตสฺา 331 สันดุสิต 270 สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนิฏสฺ า 331 สนั โดษ (ดู สนั ตุฏฐี ดว ย) 65, 294 สัพพญั ตุ าญาณ 217 สนั โดษ 3, 12 122 สพั พตั ถคามินีปฏทิ าญาณ 323 สันตติ 40 สัพพากุสลสาธารณเจตสิก 4 354

46 สพเฺ พ สงขฺ ารา ฯเปฯ 86 สมั มาสมั พุทธปฏิญญา 180 สัมปชญั ญะ 2, 25, 182 สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ 303 สมั ปชญั ญะ 4 189 สมั มาอาชวี ะ 239, 293, 241, 333, 355 สัมปฏจิ ฉนะ, สัมปฏิจฉันนะ, สัมปฏจิ ฉนั นจิต 343, สัสสตทฏิ ฐิ 13 348, 356 สัสสเมธ 187 สัมปทา 4 190 สาตถกสัมปชัญญะ 189 สมั ปทาของอุบาสก 260 สาเถยยะ 308, 347 สัมปทาคณุ 4 190 สาธารณโภคี 273 สัมปยุตตปจ จยั 350 สามเณร, สามเณรี 242 สมั ปรายกิ ตั ถะ 3, 132 สามัคคีธรรม 289 สัมปรายิกัตถสงั วตั ตนกิ ธรรม 4 191 สามัญญผล 4 165 สมปฺ รายิกานํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย 327 สามญั ลักษณะ, สามญั ลกั ษณ 3 76, 86 สัมปหังสนา 172 สามิสสขุ 53 สัมปต ตวิรตั ิ 108 สามี 265 สัมผปั ปลาปะ 321 สามีจปิ ฏปิ นโฺ น 307 สมฺผปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ 320 สามุกกังสิกาธรรมเทศนา 204 สมฺผปฺปลาปา เวรมณี 319 สายนะ 343 สัมผัส 6 268, 272 สาระ 4 218 สมั พหลุ เถราปเทส, สมั พหลุ ัตเถราปเทส 166 สารณียธรรม 6 273 สัมโพธะ 295 สารัมภะ 347 สมั มสนญาณ 311, 345 สาราณียธรรม 6 273 สมั มัตตะ 10 333 สาวก 142 สมั มปั ปธาน 4 156, 352 สาสน 2 51 สมั มากัมมันตะ 293, 241, 333, 354 สิกขฺ ติ 346 สมั มาญาณ 355 สกิ ขา 3 124 สมั มาทสั สนะ 222, 285 สิกขาคารวตา 261 สมั มาทิฏฐิ 2, 34, 293, 319, 333 สกิ ขานุตตรยิ ะ 127 สมฺมาทิฏ ิ 319 สกิ ขาบท 290 สมฺมาทิฏ ิโก 320 สิกขาบท 5 238 สมั มาปฏปิ ทา 51 สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ 240 สมั มาปาสะ 187 สิงคาลกมาณพ 200 สัมมาวาจา 293, 241, 333, 355 สิปปฺ จฺ 353 สัมมาวายามะ 293, 333 สีล (ดู ศีล ดว ย) 324 สมั มาวิมุตติ 333 สลี กถา 246, 314 สมั มาสติ 293, 333 สีลขนั ธ 218 สมั มาสมาธิ 293, 333 สลี ภาวนา 37 สมั มาสงั กปั ปะ 293, 333 สีลมยั 88, 89 สัมมาสมั พุทธเจดีย 4 141 สลี วา (ดู ศีล ดว ย) 250, 322

47 สลี วิสุทธิ 285 สุทธาวาส 5 244, 351 สีลสังวร 243 สุทธิ 2 54 สลี สมั ปทา 2, 191, 229, 280, 344 สปุ ฏิปนฺโน 307 สลี สามัญญตา 273 สภุ กิณหา 284, 312, 351 สลี พั พตปรามาส 329, 330 สุภรตา 294 สีลพั พตปุ าทาน 214 สุภาสิตา จ ยา วาจา 353 สีลานสุ ติ 335 สรุ า 200 สสี ังคะ 342 สุราธตุ ตะ 199 สหี นาท 180 สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี 238, 240 สุกขวปิ สสก 61, 62 สสุ ุกาภยั 210 สุข, สขุ ะ 9, 174, 220, 227, 296, 328 สหุ ทมติ ร 4 169 สุข 21 52 สขุ 22 53 สูตร 166 เสขะ 1, 2, 55 สขุ ของคฤหัสถ 4 192 เสขปฏปิ ทา 344 สขุ เวทนา (ดู เวทนา ดว ย) 111 เสตฆุ าตวิรตั ิ 108 สุขสหคตํ 356 เสนาสนะ 159 สขุ า ปฏิปทา ขปิ ฺปาภิ ฺ า 154 เสนาสนปฏิสังยุตต 342 สุขา ปฏปิ ทา ทนธฺ าภิฺ า 154 เสนาสนสัปปายะ 286 สขุ นิ ทรยี  112, 349 เสนาสนสันโดษ 203 สเุ ขกคฺคตาสหิตํ 356 เสนาสนะปา 290 สคุ ติ 351 เสรีธรรม 352 สคุ โต 303 เสวนา, ปณฑฺ ติ านฺจ 353 สุจริต 81 เสยี ง (ดู สทั ทะ) สจุ ึ เทติ 300 โสก 1, 340 สญุ ญตะ 7 โสไจย 10 320 สญุ ญตวโิ มกข 107 โสดาบนั 56, 57, 275, 351 สุญญตสมาธิ 47 โสดาบัน 3 58 สตุ ะ 201, 249, 302 โสดาปตตผิ ล 165 สตุ ํ ปริโยทเปติ 221 โสดาปต ติมรรค 164 สุตตฺ ํ 302 โสตะ 40, 266, 276 สุตตนบิ าต 75 โสตทวาร 78 สุตตวภิ ังค 75 โสตธาตุ 348 สตุ ตนั ตนัย 330 โสตวญิ ญาณ 266, 268, 356 สตุ ตนั ตปฎก 75 โสตวญิ ญาณธาตุ 348 สุตมยปญญา 93 โสตสมั ผัส 266, 272 สุทสั สา 351 โสตสมั ผสั สชาเวทนา 113, 266 สุทัสสี 351 โสตาปตฺติผลจิตตฺ ํ 356 สุทธวิปสสนายานิก 61 โสตาปตตฺ ิมคคฺ จิตตฺ ํ 356

48 โสตาปตตยิ ังคะ 41 193 อกศุ ลจติ ตปุ บาท 12 85 โสตาปต ติยงั คะ 42 194 โสตาปตติยังคะ 43 195 อกุศลเจตสกิ 14 355 โสตนิ ทรยี  349 โสภณจติ 59 (92) 356 อกศุ ลธรรม 85 โสภณเจตสิก 25 355 โสภณสาธารณเจตสกิ 19 355 อกศุ ลมูล 3 4, 68 โสมนสั 112, 358 โสมนสฺสสหคตํ 356 อกุศลวติ ก 3 70 โสมนสั สินทรีย 349 โสรัจจะ อกุศลวบิ ากจิต 7 356 โสวจสสฺ ตา 24 โสสานกิ งั คะ 324, 353 อคติ 4 196 โสฬสญาณ โสฬสวตั ถุกอานาปานสติ 342 องค 12 (ปฏิจจสมุปบาท) 340 345 346 องคคุณของกัลยาณมิตร 7 278 องคประกอบของการศึกษา 34 องคประกอบภายนอก 1 องคประกอบภายใน 2 องคมรรค 293 องคแหง ธรรมกถกึ 5 219 องคแหงภกิ ษุใหม 5 222 อดเิ รกลาภ 159 หตวิกขิตตกะ 336 อดตี 340 หทยั 356 อดตี เหตุ 340 หทยั รูป 1 40, 359 อตปั ปา 351 หทยั วัตถุ 40 อติชาตบุตร 90 หลักการแบง ทรัพย 4 สวน 163 อตถิ ิพลี 232 หลักกาํ หนดธรรมวนิ ยั 7 295 อตมิ านะ 347 หลกั กาํ หนดธรรมวนิ ยั 8 294 อตีตงั สญาณ 72 หสิตุปฺปาทจติ ฺตํ 356 อทินนาทาน 137, 321 หริ ิ 23, 292, 301, 354 อทินฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ 320 เหฏฐิมทศิ 265 อทินฺนาทานา เวรมณี 238, 240, 319 เหตุปจ จัย 350 อทกุ ขมสุขเวทนา (ดู เวทนา ดว ย) 111 อโทสะ 4, 67, 355 อกนิฏฐา 351 อธนานํ ธนานปุ ฺปทานํ 339 อกรณยี วณชิ ชา 5 235 อกปั ปย ะ 167 อธมมฺ การปฏกิ เฺ ขโป 339 อกาลโิ ก 306 อกิริยทิฏฐิ 14 อธมฺมราคสสฺ ปหานํ 339 อกริ ิยา 101 อกศุ ล 1, 2, 317 อธรรมการนิเสธนา 339 อกศุ ลกรรม อกศุ ลกรรมบถ 10 4 อธิกรณสมปุ ฺปาทวปู สมกสุ โล 322 อกุศลจติ 12 321 356 อธิคมสัทธรรม 121 อธจิ ติ ตสิกขา 124 อธิปตปิ จ จัย 350 อธิปไตย 3 125 อธปิ จ จสลี วนั ตสถาปนา (ดู อาธปิ จ จสลี วนั ตสถาปนา)

49 อธิปญญาสิกขา 124 อนิฏฐารมณ 296 อนิมติ ตะ 7 อธโิ มกข 328, 355 อนิมติ ตวโิ มกข อนมิ ติ ตสมาธิ 107 อธิศีล 124, 255, 260 อนกุ ัมปกะ 47 อนุชาตบุตร 169 อธษิ ฐาน 325 อนุตตฺ รํ ปุฺ กฺเขตตฺ ํ โลกสสฺ 90 อนุตตริยะ 3 307 อธิษฐาน 4 197 อนุตตริยะ 6 126 อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ 127 อธษิ ฐานธรรม 4 197 อนทุ ยตํ ปฏจิ จฺ 303 อนบุ พุ พนิโรธ 219 อธสิ ลี สิกขา 124 อนบุ พุ พวิหาร 9 313 อนปุ ปยภาณี 313 อนณสุข 192 อนปุ าทนิ นกรูป 168 อนุปาทินนกสังขาร 41 อนภชิ ฌฺ า 319 อนุปาทินนธรรม 48 อนุปาทิเสสนิพพาน 22 อนภิชฺฌาลุ 320 อนปุ าทิเสสบคุ คล 27 อนุปพุ ฺพิกถํ 27 อนรยิ ปริเยสนา 33 อนปุ พุ พิกถา 5 219 อนยุ นต 246 อนวัชชพละ 229 อนุรกั ขนาปธาน 339 อนโุ ลมญาณ 156 อนวัชชสขุ 192 อนุโลมเทศนา 311, 345 อนุโลมปฏจิ จสมปุ บาท 340 อนวชฺชานิ กมฺมานิ 353 อนุโลมปฏปิ ทา 340 อนสุ ติ 10 51 อนญั ญตัญญสั สามีตนิ ทรยี  349 อนสุ สตานุตตริยะ 335, 354 อนสุ ฺสเวน 127 อนตั ตตา 76, 107 อนสุ ยั 7 317 อนสุ าวรีย 288 อนตั ตลักษณะ 47 อนุสาสนีปาฏหิ ารยิ  289 อเนสนา 94 อนตตฺ สฺ า 331 อโนตตัปปะ 203 อบาย 4 318, 355 อนตตฺ า 86 อบายภมู ิ 4 196, 351 อบายมขุ 4 196, 351 อนัตตานปุ สสนา 107 199 อนนั ตรปจจัย 350 อนันตรกิ กรรม, อนันตรยิ กรรม 5 245, 275 อนากุลา จ กมมฺ นตฺ า 353 อนาคต 340 อนาคตผล 340 อนาคตงั สญาณ 72 อนาคามิผล 165 อนาคามผิ ลจิตตฺ ํ 356 อนาคามิมคคฺ จิตตฺ ํ 356 อนาคามิมรรค 164 อนาคามี 56, 57 อนาคามี 5 60 อนกิ ขฺ ิตฺตธุโร 269 อนจิ จตา 40, 76, 107 อนจิ จลกั ษณะ 47 อนิจฺจสฺ า 331 อนิจจฺ า 86 อนจิ จานปุ สสนา 107

50 อบายมุข 6 200, 201 อภสิ งั ขรณกสังขาร 185 อปจยะ 294 อภิสงั ขาร 3 129 อปจายนมยั 89 อภิสงั ขารมาร 234 อปทาน 75 อภิสัมพทุ ธสถาน 188 อปรนฺเต อฺ าณํ 209 อมตบท 352 อปราปรยิ เวทนียกรรม 338 อมัจจพละ 230 อปริยาปน นภูมิ 162 อโมหะ 4, 67, 355 อปรหิ านิยธรรม 71 289 อยส 296 อปริหานิยธรรม 72 290 อโยนิโสมนสิการ อปริหานิยธรรม 73 291 อรรถ 31 34 อปณณกปฏปิ ทา 3 อรรถ 32 132 อปสเสนะ, อปส เสนธรรม 4 128, 344 อรรถบัญญัติ 133 อปายโกศล 202 อรหํ อปายสหาย 71 อรหัตตผล 28 อปญุ ญาภสิ งั ขาร 168 อรหตฺตผลจติ ตฺ ํ 303 อปปฺ ฏวิ าณิตา ปธานสมฺ ึ 129 อรหตั ตผลวมิ ุตติ 63, 165, 227 อพยาบาทวิตก 65 อรหตั ตมรรค 356 อพยาบาทสังกัปป 69 อรหตตฺ มคฺคจิตตฺ ํ 333 อพยฺ าปนนฺ จิตฺโต 293 อรหันต 164 อพฺยาปาท 320 อรหนั ต 2 356 อพฺรหฺมจริยา เวรมณี 319 อรหนั ต 4, 5, 60 37, 56, 57, 289 อภพั พฐาน 240 อรหันตฆาต 61 อภิชาตบุตร 275 อรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา 62 อภิชฌา 90 อริยะ 245, 275 อภชิ ฌาวสิ มโลภะ 321 อริยกันตศลี 287 อภิชจั จพลงั 347 อริยทรพั ย 7 351 อภิญญา 230 อรยิ ธรรม 10 194 อภิญญา 6 295 อริยบคุ คล 2 292 อภญิ ญาเทสิตธรรม 37 274 อริยบคุ คล 4 320 อภิญญายธมั มเทสนา 352 อริยบคุ คล 7 55 อภฐิ าน 6 134 อรยิ บคุ คล 8 56 อภิณหปจ จเวกขณ 275 อริยปริเยสนา 63 อภิณหปจ จเวกขณ 10 247 อริยมรรค 10 57, 345 อภิณหฺ ํ เทติ 248 อริยวงศ 4 33 อภิธรรม 300 อริยวฑั ฒิ 5 320 อภิธรรมนัย 75 อรยิ สจั จ 203 อภิธรรมปฎก 330 อริยสจั จ 4 249 อภิสงั ขตสังขาร 75 อริยสจจฺ าน ทสฺสนํ 285 185 204, 208, 209, 246 353

51 อริยสาวกกบั โลกธรรม 296 อสงั ขารปรนิ ิพพายี 60 อสงขฺ าริกํ 356 อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค 1, 2, 204, 241, 293 อสังสคั คกถา 314 อสัญญีภพ, อสัญญสี ตั ว 312, 351 อรูป 4 207, 354 อสนตฺ ุฏ ิตา กุสเลสุ ธมเฺ มสุ 65 อสนตฺ ุฏพิ หโุ ล 269 อรปู ฌาน 4 7, 10, 63, 207, 299, 313 อสมั ภนิ นงั คะ 342 อสัมโมหสัมปชัญญะ 189 อรปู ธรรม 19 อสิโลกภยั 229 อสภุ ะ 10 336, 354 อรปู ภพ 98 อสภุ สฺา 331 อสุรกาย 198, 351 อรูปราคะ 329 อเสขะ 55 อเสขธรรม 10 333 อรปู โลก 104 อเสวนา จ พาลานํ 353 อโสกํ 353 อรปู วิบาก 4 343 อหงิ สา 123 อหิริกะ 318, 355 อรปู าวจร 8 อเหตุกกริ ยิ าจิต 3 356 อเหตกุ จติ 18 356 อรูปาวจรกริ ิยาจิต 4 356 อเหตกุ ทิฏฐิ 14 อเหตุวาท 101 อรูปาวจรกศุ ลจิต 4 356 อเหตุอปจจยั วาท 101 อโหสกิ รรม 338 อรูปาวจรจิต 12 356 อกั โกธะ 326 อักขธุตตะ 199 อรูปาวจรภมู ิ 4 162, 351 อัคคิ 31 130 อคั คิ 32 131 อรูปาวจรวิบากจิต 4 356 อัคคปิ ารจิ รยิ า 3 131 อังคตุ ตรนิกาย 75 อรปู น า ธมฺมา 19 อชั ฌตั ติกายตนะ 6 246, 276 อชฺ ลิกรณีโย 307 อลาภ 296 อัญญถตั ตะ 117, 118 อัญญทัตถหุ ร 168 อลีนตา 201 อัญญมญั ญปจจัย 350 อัญญสมานาเจตสิก 13 354 อโลภะ 4, 67, 355 อัญญสัตถารทุ เทส, อญั ญสัตถุทเทส 275 อญั ญาตาวินทรีย 349 อวชาตบุตร 90 อวคิ ตปจจัย 350 อวชิ ชมานบญั ญัติ 28 อวิชชา 206, 288, 329, 330, 340 อวิชชา 4 208 อวชิ ชา 8 209 อวชิ ชมาเนนวชิ ชมานบัญญตั ิ 28 อวิชชามาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ 28 อวิชชาโยคะ 170 อวชิ ชาสวะ 135, 136 อวิชโชฆะ 215 อวิโรธนะ 326 อวิหา 351 อวหิ ิงสา 326 อวิหงิ สาวติ ก 69 อวิหิงสาสังกัปป 293 อสงั ขตธรรม 21 อสังขตธาตุ 1 310 อสังขตลกั ษณะ 3 118

52 อญั ญนิ ทรีย 349 อปปฺ ฏวิ าณติ า ปธานสมฺ ึ 65 อัฏฐศลี 240 อปั ปฏวิ ิภตั ตโภคี 273 อฏั ฐงั คกิ มรรค 293 อัปปณหิ ติ ะ 7 อัฏฐิกะ 336 อัปปณหิ ิตวิโมกข 107 อัณฑชะ 171 อัปปณิหิตสมาธิ 47 อัตตกลิ มถานุโยค 15, 293 อัปปนาภาวนา 99 อตั ตนาถะ 304 อัปปนาสมาธิ 45, 46 อัตตวาทุปาทาน 214 อปั ปมัญญา 4 161, 227, 354 อัตตสัมปทา 2, 280 อัปปมัญญาเจตสกิ 2 355 อัตตสมั มาปณธิ ิ 140 อัปปมาณสภุ า 351 อตฺตสมมฺ าปณิธิ 353 อัปปาณาภา 351 อตั ตหิตสมบตั ิ 304 อปั ปมาทะ 2, 3, 239 อตั ตญั ุตา 287 อปั ปมาทคารวตา 261 อตั ตตั ถะ 133 อปั ปมาทสัมปทา 2, 280 อัตตา 337 อปปฺ มาโท จ ธมเฺ มสุ 353 อัตตาธปิ ไตย 125 อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย 327 อตตฺ านฺจ ปรจฺ อนปุ หจฺจ 219 อัปปจ ฉกถา 314 อตั ตาภนิ เิ วส 107 อปั ปจฉตา 2, 294 อัตถะ 144, 191 อพภฺ ตู ธมมฺ ํ 302 อัตถะ 2 64 อัพโภกาสิกังคะ 342 อัตถะ 31 132 อตั ถะ 32 133 อัพยากตธรรม 85 อยั ยาภริยา 282 อตั ถจริยา 186, 229 อสั สเมธะ 187 อัตถทวาร 201 อสสฺ าส 346 อัตถปฏิสมั ภทิ า 155 อสฺสุตํ สณุ าติ 221 อตั ถประมขุ 201 อากัปกิรยิ า 251 อตั ถักขายี 169 อาการ 12 73 อัตถญั ตุ า 287 อาการ 20 340 อัตถิปจ จัย 350 อาการ 32 147 อตั ถิสุข 192 อาการทพี่ ระพุทธเจาทรงสง่ั สอน 3 134 อทั ธา 3 340 อาการปรวิ ิตกฺเกน 317 อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ 10 337 อากาสกสิณ 315 อันตราปรนิ พิ พายี 60 อากาสธาตุ 40, 148, 149 อันตรายของภิกษุสามเณรผบู วชใหม 4 210 อากาสานญั จายตนะ 207, 284, 298, 312 อันตรายิกธรรมวาทะ 180 อากาสานฺจายตนกสุ ลจิตฺตํ 356 อันตา 2 15 อากาสานญั จายตนภูมิ 351 อนั โตชน 339 อากิญจญั ญายตนะ 207, 284, 298, 312 อนั วัตถปฏิปทา 51 อากิจฺ ฺ ายตนกสุ ลจติ ฺตํ 356

53 อากิญจัญญายตนภูมิ 351 อายตนะ 12 341 อาจารย 265 อายตนะภายนอก 6 266, 277, 341 อาจารย 4, 5 211 อายตนะภายใน 6 266, 278, 341 อาจารวิบัติ 175 อายมขุ 201 อาจณิ ณกรรม 338 อายุ 227 อาชชวะ 326 อายุวัฒนธรรม 5 250 อาชีวะ 241 อายสุ สธรรม 5 250 อาชวี ปาริสทุ ธิ 243 อารตี วริ ตี ปาปา 353 อาชวี ปาริสทุ ธศิ ีล 160 อารมณ 6 277 อาชีววิบัติ 175 อารมณ 150 359 อาชวี ฏั ฐมกศีล 241 อารยธรรม 10 320 อาชวี ิตภัย 229 อารยวัฒิ 5 249 อาณาจกั ร 287 อารยอษั ฎางคกิ มรรค (ดู อริยอัฏฐังคิกมรรค อาตมนั 337 ดว ย) 1, 2 อาทิกัมมิกะ 75/1ก อารักขสมั ปทา 144 อาทิพรหมจรรย 241 อารักขา 289 อาทีนวญาณ, อาทีนวานปุ ส สนาญาณ 311 อารญั ญิกังคะ 342 อาทนี วสฺา 331 อารมั มณปจจยั 350 อาเทศนาปาฏหิ ารยิ  94 อารัมมณปู นิชฌาน 7 อาธิปจจะ 227 อารุปป 4 8, 207 อาธปิ จจสลี วนั ตสถาปนา 138 อาโรคยะ 201 อานาปานสติ 183, 331, 335 อาโลกกสณิ 315 อานาปานสติ 16 ฐาน 346 อาโลกพหโุ ล 269 อาเนญชาภสิ งั ขาร 129 อาวฏภัย 210 อาโปกสณิ 315 อาวัชชนะ 343 อาโปธาตุ 39, 146, 147, 148 อาวาสมัจฉริยะ 233, 257 อาพาธกิ ะ 83, 84, 150 อาวาสสัปปายะ 286 อาภัสสรา (ดู สัตตาวาส 9 ดวย) 284, 351 อาวาสโสภณ 253 อาวาสกิ ธรรม 51 251 อามิสทาน 11 อาวาสกิ ธรรม 52 252 อาวาสกิ ธรรม 53 253 อามิสบชู า 30 อาวาสิกธรรม 54 254 อาวาสกิ ธรรม 55 255 อามสิ ปฏิสนั ถาร 31 อาวาสกิ ธรรม 56 256 อาวาสกิ ธรรม 57 257 อามสิ ปริเยสนา 33 อามิสไพบลู ย 44 อามิสฤทธิ์ 42 อามสิ เวปุลละ 44 อามสิ สงเคราะห 49 อาสยานสุ ยญาณ 217 อามิสสังคหะ 49 อาสวะ 3 135 อายโกศล 71 อาสวะ 4 136, 170, 215

54 อาสวกั ขยะ 184 อจุ จากุลีนตา 227 อาสวักขยญาณ 106, 274, 297, 323 อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี 240 อาสนั นกรรม 338 อุจเฉททฏิ ฐิ 13 อาเสวนปจ จยั 350 อุชปุ ฏปิ นโฺ น 307 อาหาร 4 212 อฏุ ฐานสมั ปทา 144 อาหารปจ จัย 350 อดุ มมงคล 353 อาหารรูป 1 40, 359 อุตตรทศิ 265 อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา 354 อตุ ตฺ ริจฺ ปตาเรติ 269 อาหเุ นยฺโย 307 อุตนุ ยิ าม 223 อาหไุ นยคั คิ 131 อตุ สุ ปั ปายะ 286 อฏิ ฐารมณ 296 อุทเทสิกเจดีย 141 อิตถตั ตะ 40 อุทธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี 60 อิตถนิ ทรีย 40, 349 อุทธจั จะ 318, 329, 355 อติ ถีธุตตะ 199 อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ 225 อิติกริ าย 317 อทุ ธฺ จจฺ สมปฺ ยตุ ตฺ ํ 356 อติ ปิ  โส ภควา 303 อทุ ธมั ภาคยิ สังโยชน 5 329 อิติวุตตกะ 75, 302 อทุ ธุมาตกะ 336 อิทธบิ าท 4 213, 227, 352 อุทยัพพยญาณ = อุทยัพพยานปุ สสนาญาณ อทิ ธิปาฏหิ ารยิ  94 อทุ ยัพพยานปุ สสนาญาณ 92, 311 อิทธิวิธา, อทิ ธิวธิ ิ 274, 297 อทุ าน 75 อทิ ปั ปจจยตา 340 อทุ านํ 302 อิทปปฺ จฺจยตาปฏิจฺจสมปุ ฺปนฺเนสุ ธมเฺ มสุ อเุ ทศาจารย 211 อฺาณํ 209 อุบาสกธรรม 5 259 อนิ ทร 270 อุบาสกธรรม 7 260 อนิ ทรยี  5 228, 258, 352 อุบาสกบรษิ ัท 151 อนิ ทรยี  6 276 อุบาสกปทมุ 259 อินทรีย 22 349 อุบาสกรตั น 259 อนิ ทริยปโรปรยิ ตั ตญาณ 217, 323 อบุ าสกิ าบริษทั 151 อนิ ทรียปจจัย 350 อเุ บกขา 9, 161, 281, 325, 328, 358 อินทรียสงั วร 128, 222, 243 อุเบกขาเวทนา 111, 112 อนิ ทรยี สังวรศีล 160 อเุ บกขาสนั ตรี ณะ 2 343 อริ ยิ าบถ 182 อโุ บสถ, อโุ บสถศลี 240 อิริยาปถสัปปายะ 286 อปุ การกะ 169 อิศวรกรณวาท 101 อปุ กเิ ลส 16 347 อสิ สรนิมมานเหตวุ าท 101 อุปฆาตกกรรม 338 อสิ สา 308, 330, 347, 355 อุปจยะ 40, 359 อคุ คหนมิ ติ 87 อุปจารภาวนา 99 อุคฆฏิตญั ู 153 อุปจารสมาธิ 45, 46

55 อุปธิวบิ ัติ 176 อปุ ายาส 1, 340 อุปธวิ เิ วก 109 อุปธสิ มบัติ 177 อเุ ปกขฺ าสหคตํ 356 อปุ นาหะ 347, 359 อุปนิสยั 4 202 อเุ ปกขนิ ทรีย 349 อปุ นสิ สยปจ จัย 350 อุปบารมี 325 อุเปกฺเขกคฺคตาสหิตํ 356 อุปปชชเวทนยี กรรม 338 อปุ ปตตเิ ทพ 82 อพุ เพคาปต ิ, อพุ เพงคาปติ 226 อปุ ปต ติภพ 340 อปุ ฺปาโท ปฺ ายติ 117 อภุ โตภาควิมุต 61, 62, 63 อปุ ปฬกกรรม 338 อุปรมิ ทศิ 265 อุภยัตถะ 133 อปุ สมะ 197, 295 อปุ สมานสุ ติ 335 อูมิภัย 210 อุปสมั ปทาจารย 211 อปุ หัจจปรนิ ิพพายี 60 เอกเถราปเทส, เอกตั เถราปเทส 166 อุปญญาตธรรม 2 65 อุปฏฐาน 328 เอกพีชี 58 อุปตถมั ภกกรรม 338 อปุ าทาน 340 เอกคั คตา 9, 354 อปุ าทาน 4 214 อปุ าทานขันธ 5 206 เอกันตนพิ พทิ า 295 อปุ าทารปู , อุปาทายรูป 24 38, 40 อุปาทนิ นกรปู 41 เอกาสนกิ งั คะ 342 อุปาทินนกสังขาร 48 อุปาทินนธรรม 22 เอกภี าพ 273 อุปายโกศล 71 เอเกน โภเค ภุ เฺ ชยยฺ 163 เอหปิ สสฺ ิโก 306 โอกกนั ตกิ าปต ิ 226 โอกาสโลก 102 โอฆะ 4 215 โอตตัปปะ 23, 292, 301, 355 โอทาตกสณิ 315 โอปนยโิ ก 306 โอปปาติกะ 171 โอภาส 328 โอรัมภาคยิ สงั โยชน 5 329 โอวาทของพระพทุ ธเจา 3 97 โอวาทปาฏิโมกข (โอวาทปาติโมกข) 97 โอวาทาจารย 211

เอกกะ — หมวด 1 Groups of One (including related groups) [1] กัลยาณมิตตตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร คอื มผี แู นะนาํ สงั่ สอน ทป่ี รกึ ษา เพอื่ นทคี่ บหา และบุคคลผูแวดลอมท่ีดี, ความรูจักเลือกเสวนาบุคคล หรือเขารวมหมูกับทานผทู รงคุณทรง ปญ ญามคี วามสามารถ ซงึ่ จะชว ยแวดลอ ม สนับสนุน ชักจงู ช้ชี องทาง เปนแบบอยาง ตลอดจน เปนเครอื่ งอุดหนนุ เกื้อกูลแกกัน ใหด ําเนนิ กาวหนา ไปดวยดี ในการศึกษาอบรม การครองชีวติ การประกอบกจิ การ และธรรมปฏิบตั ,ิ สิง่ แวดลอ มทางสงั คมทดี่ ี — Kalyànฺamittatà: having good friends; good company; friendship with the lovely; favourable social environment) ขอนเ้ี ปน องคป ระกอบภายนอก (external factor; environmental factor) “ภิกษุท้ังหลาย เมื่อดวงอาทิตยอุทัยอยู ยอมมีแสงอรุณข้ึนมากอน เปน บุพนิมิต ฉันใด ความมี กัลยาณมิตรกเ็ ปน ตัวนํา เปน บุพนมิ ติ แหง การเกิดข้ึนของอารยอษั ฎางคิกมรรค แกภกิ ษุ ฉันน้ัน” “ความมีกัลยาณมติ ร เทากับเปนพรหมจรรย (การครองชีวิตประเสริฐ) ท้งั หมดทีเดยี ว เพราะวา ผมู ี กลั ยาณมิตรพงึ หวงั ส่ิงนไี้ ด คอื จักเจรญิ จกั ทําใหมากซ่ึงอารยอัษฎางคกิ มรรค” “อาศยั เราผเู ปน กลั ยาณมิตร เหลา สัตวผูมีชาตเิ ปนธรรมดา ก็พน จากชาติ ผูมีชราเปนธรรมดา ก็พนจาก ชรา ผมู มี รณะเปนธรรมดา ก็พน จากมรณะ ผมู โี สกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสั และอุปายาสเปนธรรมดา ก็พน จากโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส และอปุ ายาส” “เราไมเล็งเห็นองคประกอบภายนอกอ่ืนแมสักอยางเดียว ที่มีประโยชนมากสําหรับภิกษุผูเปนเสขะ เหมอื นความมีกัลยาณมติ ร, ภกิ ษุผูมีกัลยาณมติ ร ยอมกาํ จัดอกุศลได และยอมยงั กุศลใหเกดิ ข้ึน” “ความมีกลั ยาณมติ ร ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนย ่งิ ใหญ, เพ่อื ความดํารงม่ัน ไมเ ส่อื มสูญ ไมอนั ตรธาน แหงสทั ธรรม” ฯลฯ S.V.2–30; A.I.14–18; It.10. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก. 20/72–128/16–25; ขุ.อติ ิ. 25/195/237. [2] โยนิโสมนสิการ (การใชความคิดถกู วิธี คอื การทําในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทง้ั หลายดวยความคิดพจิ ารณาสบื คน ถงึ ตนเคา สาวหาเหตผุ ลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะห ดูดวยปญ ญาทค่ี ิดเปน ระเบียบและโดยอบุ ายวธิ ี ใหเ ห็นสิ่งนนั้ ๆ หรอื ปญหาน้นั ๆ ตามสภาวะและ ตามความสัมพันธแหง เหตปุ จจัย — Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematic attention; analytical thinking; critical reflection; thinking in terms of specific conditionality; thinking by way of causal relations or by way of problem-solving) ขอนีเ้ ปน องคประกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปน ฝา ยปญญา (a factor belonging to the category of insight or wisdom) “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมื่อดวงอาทติ ยอ ุทัยอยู ยอมมีแสงอรณุ ขนึ้ มากอน เปน บุพนมิ ิต ฉันใด ความถึงพรอม

[3] 58 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ดว ยโยนิโสมนสิการ กเ็ ปน ตวั นํา เปน บพุ นมิ ติ แหง การเกดิ ข้ึนของอารยอัษฎางคกิ มรรค แกภ กิ ษุ ฉันนั้น” “เราไมเ ลง็ เห็นองคป ระกอบภายในอ่นื แมส ักอยา งเดียว ที่มีประโยชนม าก สําหรับภกิ ษผุ เู ปนเสขะ เหมอื น โยนิโสมนสกิ าร ภิกษุผูมโี ยนิโสมนสิการ ยอ มกําจดั อกศุ ลได และยอมยงั กุศลใหเกดิ ขน้ึ ” “เราไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอื่น แมสักขอ หน่ึง ซึง่ เปน เหตใุ หสมั มาทฏิ ฐิท่ียงั ไมเ กิด ก็เกดิ ขึ้น ทเี่ กิดขน้ึ แลว ก็ เจรญิ ยงิ่ ขึ้น เหมอื นโยนิโสมนสกิ ารเลย” “เราไมเ ล็งเห็นธรรมอน่ื แมส กั ขอ หนง่ึ ซ่ึงจะเปนเหตุใหความสงสยั ทย่ี งั ไมเกิด กไ็ มเ กิดข้ึน ทีเ่ กิดขน้ึ แลว ก็ถูกขจัดเสยี ได เหมือนโยนิโสมนสิการเลย” “โยนิโสมนสิการ ยอมเปน ไปเพอื่ ประโยชนยิง่ ใหญ, เพื่อความดํารงมัน่ ไมเส่อื มสูญ ไมอ นั ตรธานแหง สัทธรรม” ฯลฯ ธรรมขอ อื่น ที่ไดรบั ยกยอ งคลายกับโยนโิ สมนสิการนี้ ในบางแง ไดแ ก อปั ปมาทะ (ความไม ประมาท — earnestness; diligence), วิรยิ ารัมภะ (การปรารภความเพยี ร, ทําความเพียรมุง ม่ัน — instigation of energy; energetic effort), อัปปจ ฉตา (ความมกั นอ ย, ไมเหน็ แกไ ด — fewness of wishes; paucity of selfish desire), สนั ตุฏฐี (ความสันโดษ — contentment), สัมปชัญญะ (ความรตู วั , สาํ นกึ ตระหนักชดั ดวยปญญา — awareness; full comprehension); กุสลธัมมานุโยค (การหม่นั ประกอบกุศลธรรม — pursuit of wholesome states; devotion to good things); สีลสัมปทา (ความถึงพรอมแหง ศีล — possession of virtue); ฉนั ทสัมปทา (ความถึงพรอมแหงฉันทะ — possession of will), อตั ตสมั ปทา (ความ ถึงพรอมแหงตนคอื มจี ติ ใจซงึ่ พัฒนาเต็มที่แลว — self–realization, self-actualization), ทฏิ ฐิสัมปทา (ความถงึ พรอมแหงทิฏฐิ — possession of right view), และ อปั ปมาทสมั ปทา (ความถึงพรอ มแหงอัปปมาทะ — possession of earnestness) S.V.2–30; A.I.11–31; It.9. ส.ํ ม. 19/5–129/2–36; องฺ.เอก.20/60–186/13–41; ข.ุ อิต.ิ 25/194/236. [3] อัปปมาทะ (ความไมป ระมาท คือ ความเปน อยอู ยางไมขาดสติ หรือความเพยี รทม่ี สี ติ เปนเครื่องเรงเราและควบคุม ไดแก การดาํ เนินชีวิตโดยมีสติเปนเคร่ืองกํากับความประพฤติ ปฏิบัตแิ ละการกระทาํ ทุกอยาง ระมดั ระวงั ตวั ไมย อมถลาํ ลงไปในทางเสื่อม แตไ มยอมพลาด โอกาสสําหรับความดีงามและความเจริญกาวหนา ตระหนักในสิ่งท่ีพึงทําและพึงละเวน ใสใจ สาํ นกึ อยูเ สมอในหนาทอ่ี ันจะตอ งรับผดิ ชอบ ไมยอมปลอยปละละเลย กระทาํ การดวยความจริง จัง รอบคอบ และรดุ หนาเร่ือยไป — Appamàda: earnestness; diligence; heedfulness) ขอน้เี ปน องคป ระกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเปนฝา ยสมาธิ (a factor belonging to the category of concentration) “ภิกษุทงั้ หลาย เมือ่ ดวงอาทิตยอ ุทยั อยู ยอมมีแสงอรุณขนึ้ มากอน เปนบุพนมิ ติ ฉันใด ความถงึ พรอ ม ดว ยความไมประมาท ก็เปนตวั นํา เปน บุพนิมิตแหงการเกดิ ขนึ้ ของอารยอษั ฎางคกิ มรรค แกภิกษุ ฉันน้ัน” “ธรรมเอก ที่มีอุปการะมาก เพื่อการเกิดข้นึ แหง อารยอษั ฎางคกิ มรรค ก็คือ ความถึงพรอ มดว ยความไม ประมาท”

หมวด 1 59 [3] “เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมส กั ขอหนึ่ง ซงึ่ เปนเหตุใหอ ารยอษั ฎางคิกมรรคทย่ี งั ไมเกิด กเ็ กดิ ขึ้น ท่เี กดิ ขึ้น แลว ก็เจริญบริบูรณ เหมือนอยางความถึงพรอ มดวยความไมประมาทน้เี ลย” “รอยเทา ของสตั วบ กทง้ั หลาย ชนิดใดๆ กต็ าม ยอ มลงในรอยเทาชางไดท ัง้ หมด, รอยเทาชาง เรยี กวา เปน ยอดของรอยเทา เหลา นน้ั โดยความใหญ ฉนั ใด กศุ ลธรรมทง้ั หลาย อยา งใดๆ กต็ าม ยอ มมีความไม ประมาทเปน มลู ประชมุ ลงในความไมป ระมาทไดท ง้ั หมด ความไมป ระมาท เรยี กไดว า เปน ยอดของธรรมเหลา นน้ั ฉนั นนั้ ” “ผูมีกลั ยาณมติ ร พงึ เปนอยโู ดยอาศัยธรรมเอกขอ นี้ คอื ความไมประมาทในกุศลธรรมท้ังหลาย” “ธรรมเอกอันจะทําใหย ดึ เอาประโยชนไวไดทงั้ 2 อยา ง คอื ท้ังทฏิ ฐธมั มิกตั ถะ (ประโยชนปจ จุบัน ประโยชนเฉพาะหนา หรือประโยชนส ามญั ของชีวติ เชน ทรพั ย ยศ กามสขุ เปนตน ) และสมั ปรายิกตั ถะ (ประโยชนเ บอ้ื งหนา หรอื ประโยชนข ั้นสงู ขนึ้ ไปทางจติ ใจหรือคณุ ธรรม) กค็ อื ความไมป ระมาท” “สังขาร (ส่งิ ที่ปจจยั ปรุงแตง ข้นึ ) ท้งั หลาย มคี วามเสือ่ มสน้ิ ไปเปนธรรมดา ทา นท้ังหลายจงยังประโยชนท ี่ มงุ หมายใหส าํ เรจ็ ดว ยความไมป ระมาทเถดิ ” “ความไมป ระมาท ยอมเปน ไปเพ่ือประโยชนย ่งิ ใหญ, เพ่ือความดํารงมน่ั ไมเสื่อมสญู ไมอ นั ตรธานแหง สัทธรรม” ฯลฯ D.II.156; S.I.86–89; S.V.30–45; ท.ี ม. 10/143/180; สํ.ส. 15/378–384/125–129; A.I.11–17; A.III.365; A.V.21. สํ.ม. 19/135–262/37–66; องฺ.เอก. 20/60–116/13–23; อง.ฺ ฉกกฺ . 22/324/407; อง.ฺ ทสก. 24/15/23.

ทุกะ — หมวด 2 Groups of Two (including related groups) [4] กรรม 2 (การกระทํา, การกระทาํ ทป่ี ระกอบดว ยเจตนา ทางกายกต็ าม ทางวาจาก็ตาม ทางใจกต็ าม — Kamma: action; deed) 1. อกศุ ลกรรม (กรรมท่ีเปนอกศุ ล, กรรมช่ัว, การกระทําท่ีไมดี ไมฉลาด ไมเ กดิ จากปญ ญา ทาํ ใหเส่ือมเสียคณุ ภาพชีวติ หมายถึง การกระทําทเี่ กดิ จากอกศุ ลมูล คือ โลภะ โทสะ หรอื โมหะ — Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed) 2. กุศลกรรม (กรรมท่เี ปน กุศล, กรรมด,ี การกระทําท่ดี ี ฉลาด เกดิ จากปญญา สงเสรมิ คุณภาพของชวี ิตจติ ใจ หมายถึง การกระทําทเี่ กดิ จากกุศลมูล คอื อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ — Kusala-kamma: wholesome action; good deed) A.I.104, 263; It.25,55. องฺ.ตกิ .20/445/131,551/338; ขุ.อิต.ิ 25/208/248;242/272. [,] กรรมฐาน 2 ดู [36] ภาวนา 2. [5] กาม 2 (ความใคร, ความอยาก, ความปรารถนา, สงิ่ ทน่ี าใครน า ปรารถนา — Kàma: sensuality) 1. กิเลสกาม (กิเลสทท่ี ําใหใคร, ความอยากท่เี ปน ตัวกเิ ลส — Kilesa-kàma: subjective sensuality) 2. วัตถุกาม (วตั ถอุ นั นาใคร, สงิ่ ทนี่ าปรารถนา, สิง่ ที่อยากได, กามคุณ — Vatthu-kàma: objective sensuality) Nd12. ขุ.มหา.29/2/1 [6] กามคุณ 5 (สวนทนี่ า ใครนาปรารถนา, สว นทด่ี หี รอื สว นอรอยของกาม — Kàmaguõa: sensual pleasures; sensual objects) 1. รูปะ (รปู — Råpa: form; visible object) 2. สทั ทะ (เสยี ง — Sadda: sound) 3. คันธะ (กล่ิน — Gandha: smell; odour) 4. รสะ (รส — Rasa: taste) 5. โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย — Phoññhabba: touch; tangible object) หา อยางน้ี เฉพาะสวนท่นี า ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ (agreeable, delightful, pleasur- able) เรยี กวา กามคณุ M.I.85,173. ม.มู.12/197/168; 327/333.

หมวด 2 61 [9] [7] ฌาน 2 (การเพง, การเพงพนิ ิจดว ยจิตท่ีเปนสมาธแิ นว แน — Jhàna: meditation; scrutiny; examination) 1. อารัมมณูปนชิ ฌาน (การเพง อารมณ ไดแ กส มาบัติ 8 คอื รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 — ârammaõåpanijjhàna: object-scrutinizing Jhàna) 2. ลักขณูปนชิ ฌาน (การเพง ลักษณะ ไดแ ก วปิ ส สนา มรรค และ ผล — Lakkhaõåpa- nijjhàna: characteristic-examining Jhàna) วิปส สนา ชอ่ื วาลักขณูปนิชฌาน เพราะพนิ ิจสังขารโดยไตรลกั ษณ มรรค ช่อื วา ลักขณูปนชิ ฌาน เพราะยงั กิจแหง วิปส สนานน้ั ใหส ําเรจ็ ผล ช่ือวา ลกั ขณูปนชิ ฌาน เพราะเพง นิพพานอันมีลกั ษณะเปน สญุ ญตะ อนมิ ติ ตะ และ อปั ปณหิ ิตะ อยา งหนึ่ง และเพราะเหน็ ลักษณะอนั เปนสจั จภาวะของนพิ พาน อยางหนึง่ ฌานท่ีแบง เปน 2 อยางน้ี มมี าในคมั ภรี ช้ันอรรถกถา. ดู [8], [9], [10] ฌาน ตางๆ และ [47] สมาธิ 32. AA.II.41; PsA.281; DhsA.167. อง.ฺ อ.1/536; ปฏสิ ํ.อ.221; สงคฺ ณ.ี อ.73. [8] ฌาน 2 ประเภท (ภาวะจิตท่ีเพงอารมณจ นแนว แน — Jhàna: absorption) 1. รปู ฌาน 4 (ฌานมรี ูปธรรมเปนอารมณ, ฌานทเี่ ปน รปู าวจร — Råpa-jhàna: Jhànas of the Fine-Material Sphere) 2. อรปู ฌาน 4 (ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ, ฌานที่เปน อรปู าวจร — Aråpa-jhàna: Jhànas of the Immaterial Sphere) คําวา รูปฌาน กด็ ี อรปู ฌาน กด็ ี เริ่มใชคราวจัดรวมพุทธพจน เดิมเรียกเพียงวา ฌาน และ อารุปป. D.III.222; Dhs.56. ท.ี ปา.11/232/233; อภ.ิ ส.ํ 34/192/78. [9] ฌาน 4 = รูปฌาน 4 (the Four Jhànas) 1. ปฐมฌาน (ฌานท่ี 1 — Pañhama-jhàna: the First Absorption) มีองค 5 คือ วติ ก วิจาร ปต ิ สุข เอกคั คตา 2. ทตุ ยิ ฌาน (ฌานท่ี 2 — Dutiya-jhàna: the Second Absorption) มอี งค 3 คือ ปต ิ สขุ เอกัคคตา 3. ตตยิ ฌาน (ฌานที่ 3 — Tatiya-jhàna: the Third Absorption) มอี งค 2 คอื สขุ เอกคั คตา 4. จตุตถฌาน (ฌานที่ 4 — Catuttha-jhàna: the Fourth Absorption) มอี งค 2 คอื อเุ บกขา เอกัคคตา คมั ภรี ฝ ายอภธิ รรม นยิ มแบง รูปฌานน้เี ปน 5 ขัน้ เรยี กวา ฌานปญ จกนยั หรอื ปญจ- กชั ฌาน โดยแทรก ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) ทม่ี อี งค 4 คือ วิจาร ปต ิ สุข เอกคั คตา เพ่ิมเขา มา

[10] 62 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร แลว เลือ่ นทุตยิ ฌาน ตติยฌาน และจตตุ ถฌาน ในฌาน 4 ขา งตนน้อี อกไปเปน ตตยิ ฌาน จตุตถ ฌาน และปญ จมฌาน ตามลําดบั (โดยสาระก็คือ การจาํ แนกขัน้ ตอนใหล ะเอยี ดมากขึน้ นน่ั เอง) M.I.40. ม.มู.12/102/72. [10] ฌาน 8 = รูปฌาน 4 + อรูปฌาน 4 (อรปู ฌาน 4 ดู [207] อรูป 4) [11] ทาน 21 (การให, การเสยี สละ, การบรจิ าค — Dàna: gift; giving; charity; liberality) 1. อามิสทาน (การใหสิง่ ของ — âmisadàna: material gift) 2. ธรรมทาน (การใหธรรม, การใหความรูและแนะนําสั่งสอน — Dhammadàna: gift of Truth; spiritual gift) ใน 2 อยางน้ี ธรรมทานเปนเลิศ อามสิ ทานชว ยคาํ้ จุนชีวิต ทาํ ใหเขามที พ่ี ึ่งอาศยั แต ธรรมทานชวยใหเขารจู ักพึง่ ตนเองไดต อไป เมือ่ ใหอ ามสิ ทาน พึงใหธรรมทานดวย. A.I.90. อง.ฺ ทกุ .20/386/114. [12] ทาน 22 (การให — Dàna: gift; giving; almsgiving; offering; charity; liberality; generosity; benevolence; donation; benefaction) 1. ปาฏบิ ุคลกิ ทาน (การใหจําเพาะบุคคล, ทานทใ่ี หเจาะจงตัวบคุ คลหรือใหเฉพาะแกบุคคลผู ใดผูหนง่ึ — Pàñipuggalika-dàna: offering to a particular person; a gift designated to a particular person) 2. สงั ฆทาน (การใหแกสงฆ, ทานที่ถวายแกส งฆเปนสวนรวม หรือใหแ กบ ุคคล เชน พระภิกษุ หรอื ภิกษุณีอยา งเปนกลางๆ ในฐานะเปนตวั แทนของสงฆ โดยอทุ ศิ ตอสงฆ ไมเจาะจงรปู ใดรูป หน่ึง — Saïghadàna: offering to the Sangha; a gift dedicated to the Order or to the community of monks as a whole) ในบาลเี ดมิ เรียกปาฏบิ คุ ลิกทานวา ปาฏิปุคคฺ ลกิ า ทกขฺ ณิ า (ของถวายหรอื ของใหทีจ่ ําเพาะ บคุ คล) และเรยี กสงั ฆทาน วา สงฆฺ คตา ทกขฺ ิณา (ของถวายหรือของใหทถ่ี ึงในสงฆ) ในทาน 2 อยางนี้ พระพทุ ธเจา ตรสั สรรเสริญสงั ฆทานวา เปน เลศิ มผี ลมากที่สุด ดัง พทุ ธพจนว า “เราไมกลาววา ปาฏิบุคลกิ ทานมีผลมากกวาของที่ใหแกสงฆ ไมว าโดยปรยิ ายใดๆ” และได ตรสั ชักชวนใหใ หส งั ฆทาน M.III.254–6; A.III.392. ม.อ.ุ 14/710–3/459–461; อางใน มงคฺ ล.2/16; อง.ฺ ฉกฺก.22/330/439 [13] ทิฏฐิ 2 (ความเห็น, ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view) 1. สัสสตทฏิ ฐิ (ความเห็นวาเที่ยง, ความเหน็ วามอี ัตตาและโลกซึ่งเท่ยี งแทย ั่งยืนคงอยตู ลอดไป — Sassata-diññhi: eternalism) 2. อจุ เฉททิฏฐิ (ความเห็นวา ขาดสูญ, ความเห็นวา มีอตั ตาและโลกซ่ึงจักพินาศขาดสญู หมดสิ้น ไป — Uccheda-diññhi: annihilationism)

หมวด 2 63 [17] S.III.97. สํ.ข.17/179–180/120. [14] ทิฏฐิ 3 (ความเห็น, ความเห็นผิด — Diññhi: view; false view) 1. อกิรยิ ทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา ไมเ ปน อนั ทํา, เหน็ วา การกระทาํ ไมมีผล — Akiriya-diññhi: view of the inefficacy of action) 2. อเหตุกทิฏฐิ (ความเหน็ วา ไมมีเหต,ุ เหน็ วา สิง่ ทัง้ หลายไมม ีเหตุปจ จยั — Ahetuka-diññhi: view of non-causality) 3. นัตถกิ ทิฏฐิ (ความเห็นวาไมม ,ี เหน็ วา ไมม ีการกระทําหรือสภาวะทจ่ี ะกําหนดเอาเปนหลักได — Natthika-diññhi: nihilistic view; nihilism) M.I.404. ม.ม.13/105/111. [15] ที่สุด หรือ อันตา 2 (ขอ ปฏิบัติหรือการดาํ เนินชีวติ ท่ีเอยี งสดุ ผดิ พลาดไปจากทาง อันถกู ตอง คอื มัชฌมิ าปฏิปทา — Antà: the two extremes) 1. กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค (การหมกมุนอยูดว ยกามสุข — Kàmasukhallikànuyoga: the extreme of sensual indulgence; extreme hedonism) 2. อัตตกลิ มถานโุ ยค (การประกอบความลําบากเดอื ดรอนแกต นเอง, การบบี ค้ันทรมานตนให เดือดรอ น — Attakilamathànuyoga: the extreme of self-mortification; extreme asceticism) Vin.I.10; S.V.420. วินย.4/13/18; ส.ํ ม.19/1664/528. [16] ทุกข 2 (สภาพที่ทนไดย าก, ความทุกข, ความไมสบาย — Dukkha: pain; suffering; discomfort) 1. กายกิ ทกุ ข (ทุกขทางกาย — Kàyika-dukkha: bodily pain; physical suffering) 2. เจตสกิ ทกุ ข (ทกุ ขท างใจ, โทมนสั — Cetasika-dukkha: mental pain; mental suffering) ดู [79] ทกุ ขตา 3 ดวย. D.II.306; S.V.209. ท.ี ม.10/295/342; ส.ํ ม.19/942,944/280. [17] เทศนา 21 (การแสดงธรรม, การชี้แจงแสดงความ — Desanà: preaching; exposition) 1. บุคคลาธิษฐานเทศนา (เทศนามบี คุ คลเปนที่ตง้ั , เทศนาอา งคน, แสดงโดยยกคนขน้ึ อาง, ยกคนเปนหลกั ฐานในการอธบิ าย — Puggalàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of persons) 2. ธรรมาธิษฐานเทศนา (เทศนามธี รรมเปน ที่ตงั้ , เทศนาอา งธรรม, แสดงโดยยกหลักหรือ ตัวสภาวะขน้ึ อาง — Dhammàdhiññhàna-desanà: exposition in terms of ideas) เทศนา 2 นี้ ทา นสรุปมาจากเทศนา 4 ในคมั ภีรท่ีอางไว

[18] 64 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร PsA.449. ปฏสิ .ํ อ.77. [18] เทศนา 22 (การแสดงธรรม ของพระพุทธเจา, การชี้แจงแสดงความ — Desanà: preaching; exposition; teaching) 1. สมมติเทศนา (เทศนาโดยสมมต,ิ แสดงตามความหมายที่รูรว มกนั หรือตกลงยอมรบั กนั ของชาวโลก เชน วา บุคคล สัตว หญิง ชาย กษตั รยิ  เทวดา เปน ตน — Sammati-desanà: conventional teaching) 2. ปรมตั ถเทศนา (เทศนาโดยปรมตั ถ, แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแทๆ เชน วา อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ขนั ธ ธาตุ อายตนะ เปน ตน — Paramattha-desanà: absolute teaching) ผูฟงจะเขาใจความ สาํ เรจ็ ประโยชนดว ยเทศนาอยางใด กท็ รงแสดงอยางนั้น ใน ท.ี อ. 1/436; สํ.อ. 2/98 และ ปจฺ .อ. 182 เปนตน กลาวถงึ กถา 2 คอื สมมติกถา และ ปรมัตถกถา พึงทราบความหมายตามแนวความอยา งเดยี วกันน้ี ดู [50] สัจจะ 2. AA.I.94; etc. องฺ.อ.1/99, ฯลฯ. [19] ธรรม 21 (สภาวะ, สงิ่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. รูปธรรม (สภาวะอันเปนรูป, ส่ิงท่ีมีรูป, ไดแกรูปขันธทั้งหมด — Råpadhamma: materiality; corporeality) 2. อรปู ธรรม (สภาวะมใิ ชร ปู , สง่ิ ทไี่ มม รี ปู , ไดแ กน ามขนั ธ 4 และนพิ พาน — Aråpadhamma: immateriality; incorporeality) ในบาลที มี่ า ทา นเรียก รปู โน ธมฺมา และ อรูปโน ธมมฺ า Dhs.193,245. อภิ.ส.ํ 34/705/279; 910/355. [20] ธรรม 22 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. โลกยี ธรรม (ธรรมอนั เปน วสิ ยั ของโลก, สภาวะเนอื่ งในโลก ไดแกขันธ 5 ทีเ่ ปนสาสวะทั้ง หมด — Lokiya-dhamma: mundane states) 2. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใชวิสยั ของโลก, สภาวะพนโลก ไดแ กมรรค 4 ผล 4 นพิ พาน 1 — Lokuttara-dhamma: supermundane states) (+ โพธิปก ขยิ ธรรม 37: ข.ุ ปฏิ.620; Ps.II.166) ดู [310] โลกุตตรธรรม 9. Dhs.193,245. อภ.ิ ส.ํ 34/706/279; 911/355. [21] ธรรม 23 (สภาวะ, สิ่ง, ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. สังขตธรรม (สิง่ ทีป่ จจัยปรงุ แตง คือ ขันธ 5 ทั้งหมด — Saïkhata-dhamma: condi- tioned things; compounded things) 2. อสังขตธรรม (ส่ิงท่ีปจจยั ไมป รงุ แตง คอื นพิ พาน — Asaïkhata-dhamma: the

หมวด 2 65 [26] Unconditioned, i.e. Nibbàna) Dhs.193,244. อภ.ิ ส.ํ 34/702/278; 907/354. [22] ธรรม 24 (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ — Dhamma: things; states; phenomena) 1. อุปาทนิ นธรรม (ธรรมทถี่ ูกยดึ , ธรรมทก่ี รรมอันสัมปยตุ ดวยตณั หาและทิฏฐเิ ขา ยดึ ครอง ไดแ ก นามขนั ธ 4 ท่ีเปนวบิ าก และรปู ทเี่ กิดแตกรรมทัง้ หมด — Upàdinna-dhamma: states grasped by craving and false view; grasped states) 2. อนปุ าทนิ นธรรม (ธรรมทไี่ มถ กู ยดึ , ธรรมทกี่ รรมอนั สมั ปยตุ ดว ยตณั หาและทฏิ ฐไิ มเ ขา ยดึ ครอง ไดแ ก นามขนั ธ 4 สว นนอกน้ี รปู ทมี่ ใิ ชเ กดิ แตก รรม และโลกตุ ตรธรรมทง้ั หมด — Anupàdinna- dhamma: states not grasped by craving and false view; ungrasped states) Dhs.211,255. อภิ.สํ.34/779/305; 955/369. [23] ธรรมคุมครองโลก 2 (ธรรมทีช่ ว ยใหโ ลกมคี วามเปนระเบยี บเรยี บรอ ย ไม เดอื ดรอนและสับสนวนุ วาย — Lokapàla-dhamma: virtues that protect the world) 1. หริ ิ (ความละอายบาป, ละอายใจตอ การทาํ ความชวั่ — Hiri: moral shame; conscience) 2. โอตตัปปะ (ความกลัวบาป, เกรงกลวั ตอความช่วั — Ottappa: moral dread) A.I.51; It.36. อง.ฺ ทกุ .20/255/65; ข.ุ อติ ิ. 25/220/257. [24] ธรรมทําใหงาม 2 (Sobhaõakaraõa-dhamma: gracing virtues) 1. ขนั ติ (ความอดทน, อดไดท นไดเ พอื่ บรรลคุ วามดงี ามและความมงุ หมายอนั ชอบ — Khanti: patience: forbearance; tolerance) 2. โสรจั จะ (ความเสงย่ี ม, อธั ยาศยั งาม รกั ความประณตี หมดจดเรยี บรอ ยงดงาม — Soracca: modesty; meekness) Vin.I.349; A.I.94. วินย.5/244/335; อง.ฺ ทกุ . 20/410/118. [,,] ธรรมที่พระพุทธเจาเห็นคุณประจักษ 2 ดู [65] อุปญญาตธรรม 2. [,,] ธรรมเปนโลกบาล 2 ดู [23] ธรรมคมุ ครองโลก 2. [25] ธรรมมีอุปการะมาก 2 (ธรรมท่ีเก้อื กลู ในกจิ หรือในการทําความดที กุ อยา ง — Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance) 1. สติ (ความระลึกได, นกึ ได, สํานกึ อยไู มเ ผลอ — Sati: mindfulness) 2. สัมปชัญญะ (ความรูชัด, รูชัดสิ่งที่นึกได, ตระหนัก, เขาใจชัดตามความเปน จริง — Sampaja¤¤a: clear comprehension) D.III.273; A.I.95. ที.ปา.11/378/290; อง.ฺ ทกุ .20/424/119. [26] ธุระ 2 (หนาท่กี ารงานทีพ่ ึงกระทาํ , กจิ ในพระศาสนา — Dhura: burden; task; busi-

[27] 66 พจนานุกรมพุทธศาสตร ness; responsibility in the Dispensation) 1. คนั ถธรุ ะ (ธุระฝา ยคัมภีร, กิจดานการเลา เรยี น — Gantha-dhura: burden of study; task of learning) 2. วิปสสนาธุระ (ธรุ ะฝา ยเจรญิ วิปสสนา, กิจดา นการบําเพญ็ ภาวนา หรือเจรญิ กรรมฐาน อนั รวมทั้งสมถะท่ีเปนเบ้ืองตน ซ่ึงเรียกรวมเขาไวดวยโดยฐานมีวิปสสนาเปนสวนสําคัญและคลุม ยอด — Vipassanà-dhura: burden of insight development; task of meditation practice) ธุระ 2 นี้ มาในอรรถกถา DhA.I.7. ธ.อ.1/7. [27] นิพพาน 2 (สภาพทีด่ ับกเิ ลสและกองทุกขแ ลว , ภาวะทเ่ี ปนสุขสูงสดุ เพราะไรก ิเลสไร ทุกข เปน อสิ รภาพสมบรู ณ — Nibbàna: Nirvàõa; Nibbàna) 1. สอุปาทเิ สสนิพพาน (นิพพานยงั มีอุปาทเิ หลอื — Saupàdisesa-nibbàna: Nibbàna with the substratum of life remaining) 2. อนปุ าทิเสสนิพพาน (นพิ พานไมม อี ุปาทิเหลือ — Anupàdisesa-nibbàna: Nibbàna without any substratum of life remaining) หมายเหต:ุ ตามคาํ อธิบายนัยหนงึ่ วา 1. = ดบั กเิ ลส ยงั มีเบญจขนั ธเ หลอื (= กิเลสปรินิพพาน — Kilesa-parinibbàna: extinction of the defilements) 2. = ดบั กิเลส ไมมเี บญจขันธเหลือ (= ขันธปรนิ พิ พาน — Khandha-parinibbàna: extinc- tion of the Aggregates) หรือ 1. = นพิ พานของพระอรหนั ตผ ูยงั เสวยอารมณท ี่นาชอบใจและไมน า ชอบใจทางอินทรยี  5 รบั รู สุขทกุ ขอ ยู 2. = นพิ พานของพระอรหนั ตผรู ะงับการเสวยอารมณทัง้ ปวงแลว It.38. ขุ.อิต.ิ 25/222/258. อกี นัยหนง่ึ กลา วถึงบุคคลวา 1. สอปุ าทเิ สสบุคคล = พระเสขะ 2. อนปุ าทิเสสบุคคล = พระอเสขะ A.IV.379. อง.ฺ นวก.23/216/394. [28] บัญญัติ 2 และ 6 (การกาํ หนดเรยี ก หรอื สิ่งทถ่ี กู กาํ หนดเรยี ก, การกาํ หนดตงั้ หรอื ตราไวใหเ ปน ที่รกู นั — Pa¤¤atti: designation; term; concept) 1. ปญ ญาปยบัญญัติ หรอื อรรถบัญญัติ (บญั ญตั ใิ นแงเ ปนส่งิ อันพึงใหร กู นั , บญั ญัตทิ ีเ่ ปน

หมวด 2 67 [29] ความหมาย, บัญญตั คิ ือความหมายอนั พึงกาํ หนดเรียก, ตวั ความหมายทจ่ี ะพึงถกู ต้ังชือ่ เรียก — Pa¤¤àpiya~, Attha~: the Pa¤¤atti to be made known or conveyed; concept) 2. ปญญาปนบัญญัติ หรือ นามบญั ญตั ิ หรอื สทั ทบญั ญตั ิ (บญั ญตั ใิ นแงเ ปน เครอ่ื งใหรู กัน, บญั ญัติที่เปนชอื่ , บญั ญัติที่เปน ศัพท, ชอ่ื ที่ต้ังขึ้นใชเ รียก — Pa¤¤àpana~, Nàma~, Sadda~: the Pa¤¤atti that makes known or conveys; term; designation) ปญญาปยบญั ญัติ เรยี กเตม็ วา ปฺาปย ตฺตา ปฺตตฺ ิ, ปญ ญาปนบัญญัติ เรียกเตม็ วา ปฺาปนโต ปฺตฺติ ปญญาปนบญั ญัติ หรือ นามบัญญัติ แยกยอยออกเปน 6 อยา ง คือ 1. วชิ ชมานบญั ญัติ (บญั ญัติสงิ่ ท่ีมอี ยู เชน รูป เวทนา สมาธิ เปน ตน — Vijjamàna~: designation of a reality; real concept) 2. อวิชชมานบัญญัติ (บัญญตั สิ ิ่งทไี่ มมอี ยู เชน มา แมว รถ นายแดง เปนตน — Avijja- màna~: designation of an unreality; unreal concept) 3. วชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญตั ิ (บญั ญตั สิ งิ่ ทไี่ มม ี ดว ยสง่ิ ทม่ี ี เชน คนดี นกั ฌาน ซงึ่ ความจรงิ มแี ตด ี คือภาวะทเ่ี ปนกศุ ล และฌาน แตคนไมม ี เปน ตน — Vijjamànena-avijjamàna~: designation of an unreality by means of a reality; unreal concept by means of real concept) 4. อวิชชมาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บัญญัตสิ ิ่งทีม่ ี ดว ยสงิ่ ท่ไี มม ี เชน เสียงหญิง ซ่ึงความจริง หญิงไมมี มแี ตเ สยี ง เปน ตน — Avijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by means of an unreality; real concept by means of an unreal concept) 5. วชิ ชมาเนนวิชชมานบญั ญัติ (บญั ญัตสิ ่ิงทม่ี ี ดว ยส่ิงทม่ี ี เชน จกั ขุสมั ผสั โสตวญิ ญาณ เปน ตน — Vijjamànena-vijjamàna~: designation of a reality by means of a reality; real concept by means of a real concept) 6. อวชิ ชมาเนนอวชิ ชมานบญั ญัติ (บัญญตั ิสง่ิ ทไี่ มมี ดวยส่งิ ทีไ่ มม ี เชน ราชโอรส ลูก เศรษฐี เปน ตน — Avijjamànena-avijjamàna~: designation of an unreality by means of an unreality; unreal concept by means of an unreal concept) Pug.A.171; Comp.198. ปฺจ.อ.32; สงคฺ ห.49; สงคฺ ห.ฏีกา253. [29] บุคคลหาไดยาก 2 (Dullabha-puggala: rare persons) 1. บพุ การี (ผูทาํ อปุ การะกอ น, ผทู าํ ความดหี รอื ทําประโยชนใหแ ตต นโดยไมต อ งคอยคดิ ถึงผล ตอบแทน — Pubbakàrã: one who is first to do a favour; previous benefactor; ready benefactor) 2. กตญั ูกตเวที (ผรู ูอปุ การะท่ีเขาทําแลว และตอบแทน, ผรู ูจ กั คณุ คาแหงการกระทาํ ดขี องผู อ่นื และแสดงออกเพือ่ บชู าความดนี น้ั — Kata¤¤åkatavedã: one who is grateful and

[30] 68 พจนานกุ รมพุทธศาสตร repays the done favour; grateful person) A.I.87. อง.ฺ ทกุ .20/364/108. [30] บูชา 2 (Påjà: worship; acts of worship; honouring) 1. อามิสบชู า (บูชาดวยสิ่งของ — âmisa-påjà: worship or honouring with material things; material worship) 2. ปฏิบตั ิบูชา (บชู าดว ยการปฎิบตั ิ — Pañipatti-påjà: worship or honouring with practice; practical worship) ในบาลที มี่ า ปฏิบตั บิ ูชา เปน ธรรมบชู า A.I.93; D.II.138. อง.ฺ ทกุ .20/401/117; นยั ท.ี ม.10/129/160. [31] ปฏิสันถาร 2 (การตอ นรับ, การรับรอง, การทักทายปราศรัย — Pañisanthàra: hospitality; welcome; greeting) 1. อามสิ ปฏิสันถาร (ปฏิสันถารดว ยสิง่ ของ — âmisa-pañisanthàra: worldly hospitality; material or carnal greeting) 2. ธรรมปฏสิ นั ถาร (ปฏิสันถารดวยธรรมหรอื โดยธรรม — Dhamma-pañisanthàra: doc- trinal hospitality; spiritual greeting) A.I.93; Vbh.360. องฺ.ทุก.20/397/116; อภิ.ว.ิ 35/921/487. [32] ปธาน 2 (ความเพียร หมายเอาความเพยี รทีท่ าํ ไดยาก — Padhàna: hard struggles; painstaking endeavours) 1. คหิ ปิ ธาน (ความเพยี รของคฤหสั ถ ทจี่ ะอาํ นวยปจ จยั สแี่ กบ รรพชติ เปน ตน ) — Gihi-padhàna: struggle of householders to provide the four requisites. 2. ปพพชิตปธาน (ความเพยี รของบรรพชิต ทีจ่ ะไถถอนกองกเิ ลส — Pabbajita-padhàna: struggle of the homeless to renounce all substrates of rebirth. A.I.49; Netti 159. องฺ.ทุก.20/248/63. [33] ปริเยสนา 2 (การแสวงหา — Pariyesanà: search; quest) 1. อนริยปรเิ ยสนา (แสวงหาอยางไมป ระเสริฐ, แสวงหาอยา งอนารยะ คือ ตนเองเปนผมู ีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปนธรรมดา กย็ งั ใฝแสวงหาแตส ิง่ อนั มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกเิ ลสเปน ธรรมดา — Anariya-pariyesanà: unariyan or ignoble search) 2. อริยปริเยสนา (แสวงหาอยา งประเสรฐิ , แสวงหาอยา งอารยะ คือ ตนเปนผูมีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสงั กเิ ลสเปนธรรมดา แตร จู กั โทษขอ บกพรองของสง่ิ ทีม่ สี ภาพเชน นัน้ แลว ใฝ แสวงธรรมอันเกษม คอื นิพพาน อันไมมสี ภาพเชน นัน้ — Ariya-pariyesanà: ariyan or

หมวด 2 69 [35] noble search) สองอยางน้ี เทียบไดกบั อามิสปรเิ ยสนา และ ธรรมปริเยสนา ท่ีตรัสไวในอังคุตตรนกิ าย; แตส าํ หรบั คนสามญั อาจารยภ ายหลงั อธิบายวา ขอแรกหมายถงึ มจิ ฉาอาชีวะ ขอหลงั หมายถึง สัมมาอาชวี ะ ดังนก้ี ม็ ี. M.I.161; A.I.93. ม.ม.ู 12/313/314; องฺ.ทุก.ฺ 20/399/116. [34] ปจจัยใหเกิดสัมมาทิฏฐิ 2 (ทางเกิดแหงแนวความคดิ ทีถ่ กู ตอ ง, ตน ทางของ ปญ ญาและความดีงามทงั้ ปวง — Sammàdiññhi-paccaya: sources or conditions for the arising of right view) 1. ปรโตโฆสะ (เสียงจากผอู ่ืน การกระตนุ หรอื ชกั จงู จากภายนอก คือ การรับฟงคําแนะนาํ ส่ัง สอน เลาเรียน หาความรู สนทนาซกั ถาม ฟง คําบอกเลา ชักจูงของผอู ืน่ โดยเฉพาะการสดบั สัทธรรมจากทา นผเู ปนกลั ยาณมติ ร — Paratoghosa: another's utterance; inducement by others; hearing or learning from others) 2. โยนโิ สมนสกิ าร (การใชความคดิ ถกู วิธี ความรจู ักคดิ คิดเปน คือ ทําในใจโดยแยบคาย มองสิง่ ทงั้ หลายดวยความคิดพิจารณา รูจักสบื สาวหาเหตผุ ล แยกแยะสงิ่ นนั้ ๆ หรอื ปญ หานนั้ ๆ ออก ใหเ หน็ ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั — Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection) ขอธรรม 2 อยางนี้ ไดแ ก ธรรมหมวดท่ี [1] และ [2] น่ันเอง แปลอยา งปจจบุ ันวา “องค ประกอบของการศกึ ษา” หรือ “บุพภาคของการศกึ ษา” โดยเฉพาะขอท่ี 1 ในทนี่ ใี้ ชคํากวา งๆ แต ธรรมทต่ี อ งการเนน กค็ ือ กัลยาณมิตตตา ปจ จยั ใหเกดิ มจิ ฉาทิฏฐิ ก็มี 2 อยาง คอื ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสกิ าร ซึง่ ตรงขามกับที่ กลา วมาน.้ี ดู [280] บพุ นมิ ิตแหงมรรค 7, [293] มรรคมอี งค 8 M.I.294; A.I.87. ม.ม.ู 12/497/539; องฺ.ทุก. 20/371/110. [35] ปาพจน 2 (วจนะอนั เปนประธาน, พทุ ธพจนห ลกั , คําสอนหลกั ใหญ — Pàvacana: fundamental text; fundamental teaching) 1. ธรรม (คําสอนแสดงหลักความจริงท่ีควรรู และแนะนําหลักความดีท่ีควรประพฤติ — Dhamma: the Doctrine) 2. วินัย (ขอ บัญญัตทิ ีว่ างไวเ ปนหลกั กํากบั ความประพฤติใหเปน ระเบยี บเรียบรอ ยเสมอกัน — Vinaya: the Discipline) ดู [75] ไตรปฎก ดวย. DII.154. ท.ี ม. 10/141/178. [,,] พุทธคุณ 2 ดู [304] พทุ ธคุณ 2.

[36] 70 พจนานุกรมพุทธศาสตร [,,] พุทธคุณ 3 ดู [305] พทุ ธคุณ 3. [,,] ไพบูลย 2 ดู [44] เวปุลละ 2. [36] ภาวนา 2 (การเจริญ, การทาํ ใหเ กิดใหม ีข้ึน, การฝก อบรมจติ ใจ — Bhàvanà: mental development) 1. สมถภาวนา (การฝก อบรมจติ ใหเกิดความสงบ, การฝกสมาธิ — Samatha-bhàvanà: tranquillity development) 2. วิปสสนาภาวนา (การฝกอบรมปญญาใหเ กิดความรแู จงตามเปนจริง, การเจริญปญญา — Vipassanà-bhàvanà: insight development) สองอยางนี้ ในบาลที ี่มาทา นเรียกวา ภาเวตพั พธรรม และ วชิ ชาภาคิยธรรม. ในคมั ภรี ส มัย หลัง บางทีเรยี กวา กรรมฐาน (อารมณเ ปนทต่ี ง้ั แหงงานเจริญภาวนา, ท่ีตั้งแหงงานทาํ ความเพยี ร ฝกอบรมจิต, วธิ ฝี กอบรมจิต — Kammaññhàna: stations of mental exercises; mental exercise; สงคฺ ห. 51; Comp. 202) D.III.273; A.I.60. ท.ี ปา.11/379/290; องฺ.ทุก.20/275/77. [37] ภาวนา 4 (การเจรญิ , การทาํ ใหเปนใหมขี ึ้น, การฝกอบรม, การพฒั นา — Bhàvanà: growth; cultivation; training; development) 1. กายภาวนา (การเจรญิ กาย, พฒั นากาย, การฝกอบรมกาย ใหรจู ักตดิ ตอ เกีย่ วของกบั สิง่ ทั้ง หลายภายนอกทางอนิ ทรียทงั้ หา ดวยดี และปฏบิ ตั ิตอ สงิ่ เหลาน้ันในทางทเ่ี ปน คุณ มิใหเกดิ โทษ ใหก ศุ ลธรรมงอกงาม ใหอ กศุ ลธรรมเส่ือมสูญ, การพัฒนาความสมั พนั ธก ับสิ่งแวดลอ มทางกาย ภาพ — Kàya-bhàvanà: physical development) 2. สีลภาวนา (การเจรญิ ศีล, พฒั นาความประพฤติ, การฝก อบรมศลี ใหต ัง้ อยูในระเบียบวนิ ัย ไมเบียดเบียนหรือกอ ความเดอื ดรอนเสียหาย อยูรว มกบั ผอู นื่ ไดดว ยดี เกื้อกูลแกกนั — Sãla- bhàvanà: moral development) 3. จติ ตภาวนา (การเจรญิ จิต, พัฒนาจิต, การฝกอบรมจติ ใจ ใหเขมแขง็ ม่นั คง เจริญงอกงาม ดว ยคุณธรรมท้ังหลาย เชน มีเมตตากรณุ า มีฉนั ทะ ขยันหมนั่ เพยี ร อดทน มสี มาธิ และสดชืน่ เบกิ บาน เปน สขุ ผองใส เปนตน — Citta-bhàvanà: cultivation of the heart; emotional development) 4. ปญ ญาภาวนา (การเจริญปญญา, พัฒนาปญ ญา, การฝก อบรมปญญา ใหร ูเขาใจสง่ิ ทั้ง หลายตามเปน จริง รูเ ทา ทนั เห็นแจง โลกและชวี ติ ตามสภาวะ สามารถทาํ จติ ใจใหเ ปน อสิ ระ ทาํ ตน ใหบริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพนจากความทุกข แกไขปญหาที่เกิดข้ึนไดดวยปญญา — Pa¤¤à-bhàvanà: cultivation of wisdom; intellectual development; wisdom development) ในบาลที ม่ี า ทา นแสดงภาวนา 4 น้ี ในรปู ทเ่ี ปน คณุ บทของบคุ คล จงึ เปน ภาวติ 4 คอื ภาวติ กาย

หมวด 2 71 [39] ภาวิตศลี ภาวติ จิต ภาวิตปญญา (ผไู ดเจรญิ กาย ศีล จติ และปญญาแลว ) บุคคลที่มคี ณุ สมบตั ิ ชดุ นคี้ รบถวนยอ มเปนพระอรหนั ต A.III.106. องฺ.ปฺจก. 22/79/121. [38] รูป 21, 28 (สภาวะทแี่ ปรปรวนแตกสลายเพราะปจ จยั ตางๆ อันขดั แยง , รา งกายและ สวนประกอบฝายวัตถุพรอมทั้งพฤติกรรมและคุณสมบัติของมัน, สวนที่เปนรางกับทั้งคุณและ อาการ — Råpa: corporeality; materiality; matter) 1. มหาภูต หรือ ภตู รปู 4 (สภาวะอันปรากฏไดเปนใหญๆ โตๆ หรือเปนตางๆ ไดม ากมาย, รปู ทีม่ ีอยูโ ดยสภาวะ, รปู ตน เดมิ ไดแ กธาตุ 4 — Mahàbhåta: primary elements) 2. อปุ าทารูป หรอื อุปาทายรปู 24 (รูปอาศยั , รูปที่เปนไปโดยอาศัยมหาภตู , คุณและอาการ แหง มหาภตู — Upàdà-råpa: derivative materiality) M.II.262; Ps.I.183. ม.อุ.14/83/75; ขุ.ปฏ.ิ 31/403/275. รูป 28 ก็คือรปู 2 หมวดขางตน นีเ้ อง แตน ับขอ ยอ ย กลา วคอื 1. มหาภูต หรือ ภตู รูป 4 (รูปใหญ, รูปเดิม — Mahàbhåta: primary elements; great essentials) ดู [39] 2. อุปาทายรปู 24 (รปู อาศัย, รปู สบื เนือ่ ง — Upàdà-råpa: derived material qualities) ดู [40] Comp.157. สงฺคห.33. [39] มหาภูต หรอื ภูตรูป 4 (Mahàbhåta: the Four Primary Elements; primary matter) 1. ปฐวธี าตุ (สภาวะทแ่ี ผไปหรอื กินเนือ้ ท,ี่ สภาพอันเปนหลกั ที่ตง้ั ที่อาศยั แหงสหชาตรูป เรยี ก สามัญวา ธาตุแขนแข็ง หรอื ธาตดุ ิน — Pañhavã-dhàtu: element of extension; solid element; earth) 2. อาโปธาตุ (สภาวะท่ีเอิบอาบหรอื ดูดซึม หรอื ซานไป ขยายขนาด ผนกึ พูนเขาดว ยกัน เรียก สามญั วา ธาตเุ หลว หรือ ธาตุนา้ํ — âpo-dhàtu: element of cohesion; liquid element; water) 3. เตโชธาตุ (สภาวะท่ีทําใหรอ น เรยี กสามญั วา ธาตุไฟ — Tejo-dhàtu: element of heat or radiation; heating element; fire) 4. วาโยธาตุ (สภาวะทท่ี าํ ใหส นั่ ไหว เคลอื่ นท่ี และคา้ํ จนุ เรยี กสามญั วา ธาตลุ ม — Vàyo-dhàtu: element of vibration or motion; air element; wind) สอี่ ยา งนี้ เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา ธาตุ 4 (ในคมั ภรี ช นั้ หลงั มี 2–3 แหง เรยี กวา มหาภตู รปู 4) D.I.214; Vism.443; Comp.154. ท.ี สี.9/343/277; วิสทุ ฺธิ.3/11; สงคฺ ห.33.

[40] 72 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [40] อุปาทารูป หรอื อุปาทายรูป 24 (Upàdà-råpa: derivative materiality) ก. ปสาทรูป 5 (รูปทเี่ ปนประสาทสาํ หรบั รบั อารมณ — Pasàda-råpa: sensitive material qualities) 1. จกั ขุ (ตา — Cakkhu: the eye) 2. โสตะ (หู — Sota: the ear) 3. ฆานะ (จมกู — Ghàna: the nose) 4. ชิวหา (ล้นิ — Jivhà: the tongue) 5. กาย (กาย — Kàya: the body) ข. โคจรรูป หรอื วสิ ัยรูป 5 (รปู ทีเ่ ปน อารมณหรือแดนรบั รูของอนิ ทรีย — Gocara-råpa or Visaya-råpa: material qualities of sense-fields) 6. รปู ะ (รปู — Råpa: form) 7. สัททะ (เสยี ง — Sadda: sound) 8. คันธะ (กล่ิน — Gandha: smell) 9. รสะ (รส — Rasa: taste) 0. โผฏฐัพพะ (สมั ผสั ทางกาย — Phoññhabba: tangible objects) ขอน้ีไมนับเพราะเปน อนั เดียวกับมหาภูต 3 คอื ปฐวี เตโช และ วาโย ท่กี ลา วแลวในมหาภตู ค. ภาวรูป 2 (รูปที่เปนภาวะแหงเพศ — Bhàva-råpa: material qualities of sex) 10. อิตถตั ตะ, อิตถินทรยี  (ความเปนหญิง — Itthatta: femininity) 11. ปุริสัตตะ, ปรุ ิสินทรยี  (ความเปน ชาย — Purisatta: masculinity) ง. หทยั รปู 1 (รปู คือหทัย — Hadaya-råpa: physical basis of mind) 12. หทยั วัตถุ* (ที่ตัง้ แหง ใจ, หวั ใจ — Hadaya-vatthu: heart-base) จ. ชีวติ รูป 1 (รูปท่ีเปนชีวิต — Jãvita-råpa: material quality of life) 13. ชีวติ ินทรยี  (อินทรียค อื ชวี ติ — Jãvitindriya: life-faculty; vitality; vital force) ฉ. อาหารรูป 1 (รปู คืออาหาร — âhàra-råpa: material quality of nutrition) 14. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคําขาว, อาหารทก่ี ิน — Kavaëiïkàràhàra: edible food; nutriment) ช. ปรจิ เฉทรปู 1 (รปู ทก่ี าํ หนดเทศะ — Pariccheda-råpa: material quality of delimitation) 15. อากาสธาตุ (สภาวะคอื ชองวาง — âkàsa-dhàtu: space-element) ญ. วิญญัติรูป 2 (รปู คอื การเคล่อื นไหวใหร คู วามหมาย — Vi¤¤atti-råpa: material quality * ขอนี้ ในพระไตรปฎก รวมท้งั อภธิ รรมปฎก ไมมี เวนแตป ฏ ฐานใชคาํ วา วัตถุ ไมม ี หทัย

หมวด 2 73 [42] of communication) 16. กายวญิ ญตั ิ (การเคลือ่ นไหวใหรคู วามหมายดว ยกาย — Kàya-vi¤¤atti: bodily inti- mation; gesture) 17. วจวี ิญญตั ิ (การเคล่ือนไหวใหร คู วามหมายดวยวาจา — Vacã-vi¤¤atti: verbal inti- mation; speech) ฎ. วิการรปู 5 (รปู คืออาการทดี่ ดั แปลงทาํ ใหแ ปลกใหพ ิเศษได — Vikàra-råpa: material quality of plasticity or alterability) 18. [รูปส สะ] ลหตุ า (ความเบา — Lahutà: lightness; agility) 19. [รูปส สะ] มทุ ุตา (ความออ นสลวย — Mudutà: pliancy; elasticity; malleability) 20. [รูปสสะ] กัมมัญญตา (ความควรแกการงาน, ใชการได — Kamma¤¤atà: adaptability; wieldiness) 0. วญิ ญัตริ ปู 2 ไมน ับเพราะซาํ้ ในขอ ญ. ฏ. ลักขณรปู 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการเปนเคร่อื งกําหนด — Lakkhaõa-råpa: material quality of salient features) 21. [รูปสสะ] อปุ จยะ (ความกอตัวหรอื เติบขึน้ — Upacaya: growth; integration) 22. [รูปสสะ] สนั ตติ (ความสืบตอ — Santati: continuity) 23. [รปู ส สะ] ชรตา (ความทรุดโทรม — Jaratà: decay) 24. [รูปสสะ] อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย — Aniccatà: impermanence) Dhs.127; Vism.443; Comp.155. อภิ.ส.ํ 34/504/185; วิสุทธฺ .ิ 3/11; สงฺคห.34. [41] รูป 22 (สงิ่ ท่เี ปน รา งพรอ มทัง้ คณุ และอาการ — Råpa: matter; materiality) 1. อปุ าทนิ นกรปู (รปู ทก่ี รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กร ปู ทเ่ี กดิ จากกรรม — Upàdinnaka- råpa: kammically grasped materiality; clung-to materiality; organic matter) 2. อนุปาทินนกรูป (รูปท่ีกรรมไมยึดครองหรือเกาะกุม ไดแกรูปท่ีมิใชเกิดจากกรรม — Anupàdinnaka-råpa: kammically ungrasped materiality; not-clung-to materiality; inorganic matter) Vbh.14; Vism.450; Comp.159. อภิ.ว.ิ 35/36/19; วสิ ุทฺธ.ิ 3/20; สงคฺ ห.35. [42] ฤทธิ์ 2 (อิทธิ คือความสาํ เรจ็ ความรงุ เรอื ง — Iddhi: achievement; success; prosperity) 1. อามสิ ฤทธ (อามิสเปนฤทธิ์, ความสาํ เรจ็ หรอื ความรุง เรอื งทางวตั ถุ — âmisa-iddhi: achievement of carnality; material or carnal prosperity) 2. ธรรมฤทธิ์ (ธรรมเปน ฤทธิ,์ ความสาํ เร็จหรอื ความรงุ เรอื งทางธรรม — Dhamma-iddhi:

[43] 74 พจนานุกรมพุทธศาสตร achievement of righteousness; doctrinal or spiritual prosperity) A.I.93. อง.ฺ ทกุ .20/403/117. [,,] โลกบาลธรรม 2 ดู [23] ธรรมคุมครองโลก 2. [43] วิมุตติ 2 (ความหลดุ พน — Vimutti: deliverance; liberation; freedom) 1. เจโตวิมตุ ติ (ความหลดุ พน แหง จิต, ความหลดุ พนดวยอาํ นาจการฝกจติ , ความหลดุ พนแหง จติ จากราคะ ดว ยกําลังแหงสมาธิ — Cetovimutti: deliverance of mind; liberation by concentration) 2. ปญ ญาวิมตุ ติ (ความหลุดพน ดว ยปญญา, ความหลุดพนดวยอํานาจการเจรญิ ปญญา, ความ หลดุ พนแหงจิตจากอวชิ ชา ดวยปญญาท่รี ูเหน็ ตามเปนจริง — Pa¤¤àvimutti: deliverance through insight; liberation through wisdom) A.I.60. องฺ.ทกุ .20/276/78. [,,] เวทนา 2 ดู [110] เวทนา 2. [44] เวปุลละ 2 (ความไพบูลย — Vepulla: abundance) 1. อามิสเวปุลละ (อามิสไพบลู ย, ความไพบลู ยแหงอามสิ — âmisa-vepulla: abundance of material things; material abundance) 2. ธมั มเวปุลละ (ธรรมไพบลู ย ความไพบลู ยแ หงธรรม — Dhamma-vepulla: abundance of virtues; doctrinal or spiritual abundance) A.I.93. องฺ.ทุก.20/407/117. [45] สมาธิ 2 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจี่ ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อ่ี ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi: concentration) 1. อปุ จารสมาธิ (สมาธเิ ฉียดๆ, สมาธิจวนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access con- centration) 2. อัปปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน, สมาธิแนบสนทิ , สมาธิในฌาน — Appanà-samàdhi: attainment concentration) Vism.85, 371. วิสทุ ฺธ.ิ 1/105; 2/194. [46] สมาธิ 31 (ความตงั้ มน่ั แหง จติ , ภาวะทจ่ี ติ สงบนง่ิ จบั อยทู อี่ ารมณอ นั เดยี ว — Samàdhi: concentration) 1. ขณิกสมาธิ (สมาธชิ ่ัวขณะ — Khaõika-samàdhi: momentary concentration) 2. อุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแนว แน — Upacàra-samàdhi: access concentration) 3. อปั ปนาสมาธิ (สมาธแิ นวแน — Appanà-samàdhi: attainment concentration) DhsA.117; Vism.144. สงฺคณี.อ.207; วิสุทฺธิ.1/184.

หมวด 2 75 [50] [47] สมาธิ 32 (ความตัง้ มน่ั แหง จิต หมายถึงสมาธใิ นวปิ สสนา หรือตัววิปส สนานั่นเอง แยก ประเภทตามลกั ษณะการกาํ หนดพจิ ารณาไตรลกั ษณ ขอ ทใี่ หส าํ เรจ็ ความหลดุ พน — Samàdhi: concentration) 1. สญุ ญตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาเหน็ ความวาง ไดแ ก วปิ ส สนาทีใ่ หถ งึ ความหลดุ พน ดวย กาํ หนดอนตั ตลักษณะ — Su¤¤ata-samàdhi: concentration on the void) 2. อนมิ ิตตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไมม นี มิ ิต ไดแ ก วิปสสนาทใ่ี หถงึ ความหลดุ พนดวย กาํ หนดอนิจจลักษณะ — Animitta-samàdhi: concentration on the signless) 3. อัปปณหิ ิตสมาธิ (สมาธิอนั พิจารณาธรรมไมมคี วามตั้งปรารถนา ไดแ ก วปิ ส สนาท่ใี หถงึ ความหลุดพน ดวยกําหนดทกุ ขลกั ษณะ — Appaõihita-samàdhi: concentration on the desireless or non-hankering) ดู [107] วิโมกข 3. D.III.219; A.I.299; Ps.I.49. ท.ี ปา.11/228/231; องฺ.ตกิ .20/599/385; ขุ.ปฏิ.31/92/70. [48] สังขาร 2 (สภาพทป่ี จจยั ท้ังหลายปรุงแตงขึ้น, ส่ิงท่เี กดิ จากเหตุปจ จยั — Saïkhàra: conditioned things; compounded things) 1. อปุ าทินนกสงั ขาร (สังขารทกี่ รรมยดึ ครองหรอื เกาะกมุ ไดแ กอปุ าทนิ นธรรม — Upà- dinnaka-saïkhàra: kammically grasped phenomena) 2. อนุปาทินนกสังขาร (สังขารท่กี รรมไมย ดึ ครองหรือเกาะกมุ ไดแกอนปุ าทนิ นธรรมทงั้ หมด เวน แตอสงั ขตธาตุ คอื นพิ พาน — Anupàdinnaka-saïkhàra: kammically ungrasped phenomena) ดู [22] ธรรม 24; [41] รปู 22; [119] สงั ขาร 3 1; [185] สงั ขาร 4 ดวย. AA.IV.50. องฺ.อ.3/223; วภิ งคฺ .อ.596. [49] สังคหะ 2 (การสงเคราะห — Saïgaha: aid; giving of help or favours; act of aiding or supporting) 1. อามสิ สังคหะ (อามิสสงเคราะห, สงเคราะหด ว ยอามิส — âmisa-saïgaha: supporting with requisites; material aid) 2. ธมั มสังคหะ (ธรรมสงเคราะห, สงเคราะหดวยธรรม — Dhamma-saïgaha: aiding by teaching or showing truth; spiritual aid) A.I.91. อง.ฺ ทุก.20/393/115. [50] สัจจะ 2 (ความจรงิ — Sacca: truth) 1. สมมติสจั จะ (ความจรงิ โดยสมมตุ ิ, ความจริงท่ขี ้นึ ตอ การยอมรับของคน, ความจริงท่ีถือ ตามความกาํ หนดหมายตกลงกันไวของชาวโลก เชน วา คน สัตว โตะ หนงั สอื เปนตน —

[51] 76 พจนานุกรมพุทธศาสตร Sammati-sacca: conventional truth) 2. ปรมตั ถสจั จะ (ความจริงโดยปรมตั ถ, ความจรงิ ท่มี อี ยใู นธรรมชาติ โดยไมข นึ้ ตอ การยอม รบั ของคน, ความจริงตามความหมายขน้ั สดุ ทายทีต่ รงตามสภาวะและเทา ทีจ่ ะกลาวถงึ ได เชนวา รปู นาม เวทนา จติ เจตสิก เปน ตน — Paramattha-sacca: ultimate truth, absolute truth) AA.I.95; KvuA.34. องฺ.อ.1/100; ปจฺ .อ.153,182,241; ฯลฯ. [51] สาสน หรือ ศาสนา 2 (คําสอน — Sàsana: teaching; dispensation) 1. ปริยัติศาสนา (คาํ สอนฝายปริยัติ, คําสอนอันจะตองเลาเรียนหรือจะตอ งชํา่ ชอง ไดแก สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทลั ละ — Pariyatti-sàsana: teaching to be studied or mastered; textual or scriptural teaching; dispensation as text) = [302] นวงั คสัตถุศาสน 2. ปฏิบัตศิ าสนา (คาํ สอนฝายปฏิบัต,ิ คาํ สอนท่จี ะตองปฏบิ ัติ ไดแ ก สมั มาปฏิปทา อนโุ ลม- ปฏปิ ทา อปจ จนีกปฏปิ ทา (ปฏปิ ทาทไี่ มขดั ขวาง) อนั วัตถปฏิปทา (ปฏิปทาทเี่ ปนไปตามความมุง หมาย) ธัมมานธุ ัมมปฏิปทา (ปฏิบัตธิ รรมถูกหลัก) กลา วคือ การบําเพญ็ ศีลใหบรบิ ูรณ, [128] ความคมุ ครองทวารในอนิ ทรียทงั้ หลาย โภชเนมัตตญั ตุ า ชาคริยานุโยค สตสิ ัมปชัญญะ, [182] สตปิ ฏฐาน 4, [156] สัมมัปปธาน 4, [213] อิทธบิ าท 4, [258] อนิ ทรยี  5, [228] พละ 5, [281] โพชฌงค 7, [293] มรรคมอี งค 8 — Pañipatti-sàsana: teaching to be practised; practical teaching; dispensation as practice) ทเี่ ปน สําคัญในหมวดนี้ กค็ ือ [352] โพธิ- ปก ขิยธรรม 37. Nd1143. ขุ.ม.29/232/175. [52] สุข 21 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness) 1. กายกิ สุข (สขุ ทางกาย — Kàyika-sukha: bodily happiness) 2. เจตสิกสขุ (สขุ ทางใจ — Cetasika-sukha: mental happiness) A.I.80. องฺ.ทกุ .20/315/101. [53] สุข 22 (ความสขุ — Sukha: pleasure; happiness) 1. สามสิ สขุ (สขุ อิงอามสิ , สุขอาศยั เหยือ่ ลอ, สขุ จากวตั ถคุ ือกามคุณ — Sàmisa-sukha: carnal or sensual happiness) 2. นริ ามิสสุข (สขุ ไมอ ิงอามิส, สุขไมตองอาศยั เหย่ือลอ , สุขปลอดโปรง เพราะใจสงบหรือไดรู แจงตามเปน จริง — Niràmisa-sukha: happiness independent of material things or sensual desires; spiritual happiness) A.I.80. องฺ.ทกุ .20/313/101. [54] สุทธิ 2 (ความบรสิ ุทธ์,ิ ความสะอาดหมดจด — Suddhi: purity) 1. ปรยิ ายสทุ ธิ (ความบริสทุ ธ์บิ างสว น, หมดจดในบางแงบางดา น ไดแก ความบรสิ ุทธข์ิ อง

หมวด 2 77 [57] ปถุ ุชนจนถึงพระอริยบุคคลผตู ้งั อยูในอรหัตตมรรค ทคี่ รองตนบรสิ ุทธ์ดิ ว ยขอปฏิบัติหรือธรรมที่ ตนเขา ถงึ บางอยา ง แตย ังมกี จิ ในการละและเจริญซึ่งจะตองทําตอไปอีก — Pariyàya-suddhi: partial purity) 2. นิปปรยิ ายสุทธิ (ความบริสทุ ธ์สิ ้นิ เชงิ , หมดจดแทจรงิ เต็มความหมาย ไดแก ความบรสิ ทุ ธ์ิ ของพระอรหันตผูเสร็จกิจในการละและการเจริญธรรม ครองตนไรมลทินทุกประการ — Nippariyàya-suddhi: absolute purity) AA.I.293–4. อง.ฺ อ.2/4. [,,] อรหันต 2 ดู [61] อรหันต 2. [55] อริยบุคคล 2 (บคุ คลผปู ระเสริฐ, ผบู รรลุธรรมพิเศษต้ังแตโ สดาปตตมิ รรคขนึ้ ไป, ผู เปนอารยะในความหมายของพระพุทธศาสนา — Ariya-puggala: noble individuals; holy persons) 1. เสขะ (พระเสขะ, พระผยู ังตองศกึ ษา ไดแ กพระอรยิ บคุ คล 7 เบ้ืองตนในจาํ นวน 8 — Sekha: the learner) 2. อเสขะ (พระอเสขะ, พระผูไ มต องศึกษา ไดแ กผ บู รรลุอรหตั ตผลแลว — Asekha: the adept) ทง้ั 2 ประเภทน้ี ในบาลที ีม่ าเรยี กวา ทักขไิ ณยบุคคล 2. A.I.62. องฺ.ทุก.20/280/80. [56] อริยบุคคล 4 1. โสดาบนั (“ผถู งึ กระแส”, ทา นผบู รรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว — Sotàpanna: Stream-Enterer) 2. สกทาคามี (“ผกู ลบั มาอกี ครง้ั เดยี ว”, ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว — Sakadàgàmã: Once-Returner) 3. อนาคามี (“ผไู มเ วยี นกลบั มาอกี ”, ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว — Anàgàmã: Non- Returner) 4. อรหนั ต (“ผคู วร”, “ผหู กั กาํ แหง สงสารแลว ”, ทา นผบู รรลอุ รหตั ตผลแลว — Arahanta: the Worthy One) ดู [164] มรรค 4; [329] สงั โยชน 10 1. D.I.156. นัย ที.สี.9/250–253/199–200. [57] อริยบุคคล 8 แยกเปน มรรคสมงั คี (ผพู รอ มดว ยมรรค) 4, ผลสมังคี (ผพู รอ มดว ย ผล) 4 1. โสดาบัน (ทา นผูบรรลุโสดาปตตผิ ลแลว , พระผตู ้งั อยูในโสดาปตติผล — one who has entered the Stream; one established in the Fruition of Stream-Entry; Stream-Enterer)

[58] 78 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 2. ทา นผปู ฏบิ ัตเิ พื่อทําใหแ จง โสดาปต ตผิ ล (พระผูตัง้ อยูใ นโสดาปตติมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Stream-Entry; one established in the Path of Stream-Entry) 3. สกทาคามี (ทา นผบู รรลุสกทาคามิผลแลว, พระผตู ง้ั อยใู นสกทาคามผิ ล — one who is a Once-Returner; one established in the Fruition of Once-Returning) 4. ทา นผูป ฏิบตั ิเพอ่ื ทําใหแจงสกทาคามผิ ล (พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Once-Returning; one established in the Path of Once-Returning) 5. อนาคามี (ทานผูบ รรลอุ นาคามิผลแลว, พระผูต้ังอยใู นอนาคามิผล — one who is a Non-Returner; one established in the Fruition of Non-Returning) 6. ทา นผปู ฏบิ ตั ิเพอื่ ทําใหแ จงอนาคามิผล (พระผตู ้ังอยูในอนาคามิมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Non-Returning; one established in the Path of Non-Returning) 7. อรหันต (ทา นผูบรรลุอรหตั ตผลแลว , พระผตู ั้งอยใู นอรหัตตผล — one who is an Arahant; one established in the Fruition of Arahantship) 8. ทานผปู ฏิบัตเิ พอ่ื ทําใหแ จง อรหัตตผล (พระผูต ั้งอยใู นอรหัตตมรรค — one who has worked for the realization of the Fruition of Arahantship; one established in the Path of Arahantship) ทงั้ 8 ประเภทนี้ ในบาลที ี่มาทั้งหลายเรยี กวา ทกั ขไิ ณยบุคคล 8 ดู [164–5] มรรค 4 ผล 4 ดวย. D.III.255; A.IV.291; Pug 73. ท.ี ปา.11/342/267; องฺ.อฏก.23/149/301; อภิ.ป.ุ 36/150/233. [58] โสดาบัน 3 (ทา นผูบรรลโุ สดาปต ตผิ ลแลว , ผแู รกถงึ กระแสอนั นาํ ไปสูพระนพิ พาน แนตอ การตรัสรูขา งหนา — Sotàpanna: Stream-Enterer) 1. เอกพีชี (ผูมีพืชคอื อตั ภาพอนั เดยี ว คือ เกิดอีกครั้งเดียว กจ็ ักบรรลอุ รหัต — Ekabãjã: the Single-Seed) 2. โกลงั โกละ (ผไู ปจากสกุลสสู กุล คือ เกดิ ในตระกลู สงู อีก 2–3 คร้ัง หรอื เกิดในสุคติอีก 2–3 ภพ ก็จักบรรลุอรหัต — Kolaïkola: the Clan-to-Clan) 3. สัตตักขตั ตุงปรมะ (ผูมเี จด็ ครั้งเปน อยางยิง่ คือ เวยี นเกิดในสุคติภพอกี อยา งมากเพยี ง 7 ครง้ั ก็จักบรรลุอรหัต — Sattakkhattu§parama: the Seven-Times-at-Most) เกณฑแบงหรือเหตใุ หเ ปน เชน น้ี กําหนดดว ยวิปส สนาและความมีอินทรียอันแกก ลา ปาน กลาง และออ นกวา กนั ตามลาํ ดับ A.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74. อง.ฺ ติก.20/528/302;อง.ฺ นวก.23/216/394;องฺ.ทสก.24/64/129/;อภ.ิ ปุ.36/47–9/147.

หมวด 2 79 [61] [59] สกทาคามี 3, 5 (ทา นผบู รรลสุ กทาคามผิ ลแลว , ผกู ลบั มาอกี ครงั้ เดยี ว — Sakadà- gàmã: Once-Returner) พระสกทาคามีนี้ ในบาลมี ไิ ดแยกประเภทไว แตในคัมภีรร ุนหลังแยกประเภทไวหลายอยาง เชน ในคัมภีรป รมตั ถโชตกิ า แยกไวเ ปน 3 ประเภท คือ ผไู ดบ รรลุผลนัน้ ในกามภพ 1 ในรูป ภพ 1 ในอรูปภพ 1 ในคัมภีรป รมัตถมัญชุสา จาํ แนกไว 5 ประเภท คือ ผูบรรลุในโลกน้แี ลว ปรนิ พิ พานในโลก นี้เอง 1 ผบู รรลใุ นโลกน้แี ลว ปรนิ ิพพานในเทวโลก 1 ผบู รรลุในเทวโลกแลว ปรินิพพานใน เทวโลกนน้ั เอง 1 ผูบรรลุในเทวโลกแลว เกิดในโลกนีจ้ ึงปรินพิ พาน 1 ผบู รรลใุ นโลกนแ้ี ลว ไป เกดิ ในเทวโลกหมดอายุแลว กลบั มาเกดิ ในโลกนจี้ งึ ปรินิพพาน 1 และอธิบายตอ ทายวา พระ สกทาคามีท่ีกลา วถงึ ในบาลหี มายเอาประเภทที่ 5 อยา งเดียว นอกจากน้ี ทีท่ านแบงออกเปน 4 บาง 12 บาง ก็มี แตจ ะไมก ลา วไวในทนี่ ี้ KhA.182. ขทุ ทฺ ก.อ.199; วิสทุ ฺธ.ิ ฏกี า3/655. [60] อนาคามี 5 (ทา นผบู รรลอุ นาคามผิ ลแลว , ผูไมเวียนกลบั มาอกี — Anàgàmã: Non- Returner) 1. อันตราปรินพิ พายี (ผปู รนิ พิ พานในระหวาง คอื เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนงึ่ แลว อายยุ งั ไมถ ึงกง่ึ ก็ปรนิ พิ พานโดยกเิ ลสปรินิพพาน — Antarà-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna within the first half life-span) 2. อุปหัจจปรนิ ิพพายี (ผูจวนจะถึงจงึ ปรนิ พิ พาน คือ อายุพน ก่ึงแลว จวนจะถงึ ส้นิ อายุจึง ปรินพิ พาน — Upahacca-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna after the first half life-span) 3. อสังขารปรนิ พิ พายี (ผูป รินิพพานโดยไมต อ งใชแรงชกั จงู คือ ปรนิ ิพพานโดยงาย ไมต อง ใชความเพยี รนัก — Asaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna without exertion) 4. สสังขารปรินิพพายี (ผูปรินพิ พานโดยใชแรงชกั จูง คอื ปรนิ พิ พานโดยตองใชความเพยี ร มาก — Sasaïkhàra-parinibbàyã: one who attains Parinibbàna with exertion) 5. อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี (ผูมกี ระแสในเบื้องบนไปสอู กนิฏฐภพ คอื เกดิ ในสทุ ธาวาสภพใด ภพหนึ่งก็ตาม จะเกิดเลอ่ื นตอ ขึ้นไปจนถึงอกนฏิ ฐภพแลวจงึ ปรนิ พิ พาน — Uddha§soto- akaniññhagàmã: one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer bound for the Not-Junior Gods) เกณฑแบง ไดแกค วามตางแหง อนิ ทรีย มศี รัทธาเปนตน ท่ียิ่งหยอ นกวากนั A.I.233; IV.14,70,380; V.120; Pug.16. องฺ.ตกิ .20/528/302; อง.ฺ นวก.23/216/394; องฺ.ทสก.24/64/129; อภ.ิ ปุ.36/52–6/148. [61] อรหันต 2 (ผูบ รรลอุ รหัตตผลแลว , ทานผสู มควรรบั ทักษิณาและการเคารพบชู าอยาง

[62] 80 พจนานกุ รมพุทธศาสตร แทจ รงิ — Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One) 1. สกุ ขวิปส สก (ผเู หน็ แจงอยางแหง แลง คือ ทานผูมไิ ดฌ าน สาํ เรจ็ อรหัตดวยเจรญิ แต วปิ ส สนาลว นๆ — Sukkhavipassaka: the dry-visioned; bare-insight worker) 2. สมถยานิก (ผูมสี มถะเปนยาน คอื ทานผูเจรญิ สมถะจนไดฌานสมาบตั แิ ลว จงึ เจรญิ วปิ ส สนาตอ จนไดสําเร็จอรหัต — Samathayànika: one whose vehicle is tranquillity; the quiet-vehicled) การจําแนกพระอรหันตเปนสองประเภทอยางนี้ มาในคัมภีรชั้นหลังเชน ปรมัตถโชติกา เปนตน ไมปรากฏในบาลีแหง ใด สรปุ คําอธบิ ายเพอ่ื เขาใจเพิม่ เติมดงั น้ี ประเภทที่ 1 คอื ทานทอ่ี าศัยเพียงอปุ จารสมาธิ เจรญิ วปิ ส สนาไปจนถึงท่สี ุด แตเ มือ่ จะสาํ เรจ็ อรหตั นนั้ กเ็ ปน ผไู ดป ฐมฌาน ประเภทน้ี เรยี กอกี อยา งวา วปิ ส สนายานกิ หรอื สทุ ธวปิ ส สนายานกิ (ผมู ีวปิ ส สนาลว นๆ เปน ยาน — Suddhavipassanàyànika: one whose vehicle is pure insight; the insight-vehicled) ประเภทที่ 2 คอื ที่บาลีเรียกวา อภุ โตภาควิมตุ KhA.178,183; Vism.587,666. ขทุ ทฺ ก.อ.200; วสิ ุทฺธิ.3/206,312; วิสทุ ฺธิ.ฏีกา3/398;576. [62] อรหันต 4, 5, 60 (Arahanta: an Arahant; arahant; Worthy One) 1. สกุ ขฺ วปิ สฺสโก (ผูเ จริญวปิ สสนาลว น — Sukkhavipassaka: bare-insight worker) 2. เตวชิ โฺ ช (ผูไดวิชชาสาม — Tevijja: one with the Threefold Knowledge) 3. ฉฬภิฺโ (ผูไ ดอภญิ ญาหก — Chaëabhi¤¤a: one with the Sixfold Super- knowledge) 4. ปฏสิ มฺภทิ ปฺปตฺโต (ผูบ รรลปุ ฏิสมั ภทิ า — Pañisambhidappatta: one having attained the Analytic Insights) พระอรหันตท้ังส่ีในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรง ประมวลแสดงไวในหนังสอื ธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ 2 หนา 41 พึงทราบคําอธิบายตามที่มาเฉพาะ ของคาํ นั้นๆ แตในคัมภรี ทง้ั หลายนยิ มจาํ แนกเปน 2 อยาง เหมอื นในหมวดกอนบาง เปน 5 อยา งบา ง ท่ี เปน 5 คือ 1. ปญ ญาวมิ ตุ (ผูห ลดุ พนดวยปญญา — Pa¤¤àvimutta: one liberated by wisdom) 2. อุภโตภาควิมุต (ผูหลดุ พนทั้งสองสวน คือ ไดท ้งั เจโตวมิ ุตติ ขนั้ อรปู สมาบตั กิ อน แลว ได ปญ ญาวมิ ุตติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways) 3. เตวชิ ชะ (ผไู ดวชิ ชาสาม — Tevijja: one possessing the Threefold Knowledge) 4. ฉฬภิญญะ (ผไู ดอภิญญาหก — Chaëabhi¤¤a: one possessing the Sixfold Super- knowledge)

หมวด 2 81 [63] 5. ปฏิสัมภิทปั ปตตะ (ผบู รรลุปฏสิ มั ภทิ าสี่ — Pañisambhidappatta: one having gained the Four Analytic Insights) ท้ังหมดน้ี ยอ ลงแลว เปน 2 คอื พระปญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมตุ เทานัน้ พระสุกข- วปิ ส สกท่ีกลาวถงึ ขางตน เปน พระปญ ญาวิมุต ประเภทหน่ึง (ในจาํ นวนพระปญญาวมิ ตุ 5 ประเภท คอื พระสกุ ขวิปส สก และทานผไู ดฌ าน 4 ข้นั ใดข้นั หน่ึงมากอ นไดบ รรลุอรหัตตผล) พระเตวชิ ชะ กับพระฉฬภญิ ญะ เปน อุภโตภาควิมตุ ทั้งนัน้ แตท านแยกพระอุภโตภาควมิ ุตไว เปน ขอ หนง่ึ ตางหาก เพราะพระอุภโตภาควิมตุ ทไ่ี มไดโ ลกยี วิชชาและโลกียอภญิ ญา กม็ ี สว น พระปฏิสัมภิทัปปต ตะ ไดความแตกฉานท้งั สด่ี วยปจ จยั ทัง้ หลาย คือ การเลาเรยี น สดบั สอบคน ประกอบความเพียรไวเกา และการบรรลุอรหัต. พระอรหนั ต 5 นัน้ แตล ะประเภท จําแนกโดยวโิ มกข 3 รวมเปน 15 จาํ แนกออกไปอกี โดย ปฏิปทา 4 จึงรวมเปน 60 ความละเอยี ดในขอนี้ จะไมแ สดงไว เพราะจะทําใหฟ น เฝอ ผตู อ งการ ทราบยิง่ ขึ้นไป พงึ นาํ หลกั ท่ีกลาวมาต้งั เปนเกณฑจ ําแนกไดเ อง ดู [61] อรหันต 2; [106] วชิ ชา 3; [155] ปฏสิ มั ภทิ า 4; [274] อภิญญา 6. Vism.710. วิสุทธฺ ิ.3/373; วสิ ุทธฺ ิ.ฏีกา3/657. [63] อริยบุคคล 7 (บุคคลผูประเสริฐ — Ariyapuggala: noble individuals) เรียงจาก สูงลงมา 1. อุภโตภาควมิ ตุ (ผูห ลดุ พนท้งั สองสว น คอื ทา นทไ่ี ดสัมผสั วิโมกข 8 ดว ยกาย และส้ิน อาสวะแลวเพราะเหน็ ดว ยปญญา หมายเอาพระอรหันตผ ไู ดเจโตวิมุตติข้ันอรปู สมาบตั ิมากอนที่ จะไดปญ ญาวิมตุ ติ — Ubhatobhàgavimutta: one liberated in both ways) 2. ปญญาวมิ ตุ (ผหู ลุดพนดวยปญ ญา คือ ทา นทมี่ ิไดสมั ผสั วโิ มกข 8 ดวยกาย แตสนิ้ อาสวะ แลว เพราะเหน็ ดว ยปญ ญา หมายเอาพระอรหนั ตผ ไู ดป ญ ญาวมิ ตุ ตกิ ส็ าํ เรจ็ เลยทเี ดยี ว — Pa¤¤a- vimutta: one liberated by understanding) 3. กายสกั ขี (ผเู ปน พยานดว ยนามกาย หรอื ผูประจักษกับตวั คือ ทา นท่ไี ดส ัมผัสวโิ มกข 8 ดวยกาย และอาสวะบางสวนกส็ ิ้นไปเพราะเหน็ ดวยปญ ญา หมายเอาพระอรยิ บคุ คลผูบ รรลุโสดา ปตตผิ ลแลว ขนึ้ ไป จนถึงเปน ผปู ฏบิ ัติเพือ่ อรหตั ทม่ี ีสมาธนิ ทรียแกกลา ในการปฏิบัติ — Kàya- sakkhã: the body-witness) 4. ทิฏฐิปปตตะ (ผบู รรลุสัมมาทฏิ ฐิ คือ ทา นท่เี ขาใจอริยสจั จธรรมถกู ตอ งแลว และอาสวะบาง สวนกส็ นิ้ ไปเพราะเห็นดวยปญ ญา หมายเอาพระอริยบคุ คลผบู รรลโุ สดาปต ติผลแลว ขน้ึ ไป จน ถงึ เปน ผูปฏบิ ตั เิ พ่ืออรหตั ทม่ี ปี ญญินทรียแกกลาในการปฏบิ ัติ — Diññhippatta: one attained to right view) 5. สัทธาวมิ ุต (ผูหลุดพนดวยศรัทธา คอื ทา นท่เี ขา ใจอริยสัจจธรรมถกู ตอ งแลว และอาสวะ บางสวนกส็ น้ิ ไปเพราะเห็นดวยปญ ญา แตม ีศรทั ธาเปนตวั นํา หมายเอาพระอริยบคุ คลผบู รรลุ โสดาปตตผิ ลแลวขน้ึ ไป จนถงึ เปนผูปฏบิ ัตเิ พือ่ อรหตั ท่มี ีสทั ธินทรียแกกลาในการปฏิบัติ —

[63] 82 พจนานุกรมพุทธศาสตร Saddhàvimutta: one liberated by faith) 6. ธัมมานุสารี (ผแู ลน ไปตามธรรม หรอื ผแู ลนตามไปดวยธรรม คือ ทานผูป ฏิบตั เิ พอื่ บรรลุ โสดาปต ติผลที่มปี ญญนิ ทรยี แกกลา อบรมอริยมรรคโดยมปี ญ ญาเปน ตัวนาํ ทานผนู ีถ้ า บรรลุผล แลวกลายเปน ทิฏฐปิ ปต ตะ — Dhammànusàrã: the truth-devotee) 7. สัทธานุสารี (ผูแลน ไปตามศรัทธา หรอื ผูแลน ตามไปดว ยศรทั ธา คอื ทานผปู ฏบิ ัตเิ พื่อบรรลุ โสดาปต ติผลที่มีสัทธินทรียแ กกลา อบรมอรยิ มรรคโดยมศี รทั ธาเปนตวั นํา ทานผูน ถ้ี าบรรลุผล แลวกลายเปน สทั ธาวมิ ตุ — Saddhànusàrã: the faith-devotee) กลาวโดยสรุป บคุ คลประเภทที่ 1 และ 2 (อภุ โตภาควมิ ตุ และปญญาวิมตุ ) ไดแ กพระอรหนั ต 2 ประเภท บคุ คลประเภทที่ 3, 4 และ 5 (กายสกั ขี ทฏิ ฐิปปต ตะ และสทั ธาวิมตุ ) ไดแ กพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และทา นผตู ้ังอยูในอรหตั ตมรรค จาํ แนกเปน 3 พวกตามอนิ ทรียที่ แกกลา เปนตัวนําในการปฏบิ ัติ คอื สมาธินทรีย หรือปญ ญินทรยี  หรอื สทั ธินทรีย บุคคลประเภทที่ 6 และ 7 (ธมั มานุสารี และสทั ธานุสารี) ไดแกทานผูต้งั อยใู นโสดาปต ต-ิ มรรค จาํ แนกตามอนิ ทรียท่ีเปน ตวั นําในการปฏิบัติ คอื ปญญินทรยี  หรอื สทั ธนิ ทรีย อยา งไรกต็ าม ขอ ความทีอ่ ธบิ ายมาเกย่ี วกับบุคคลประเภทที่ 3, 4, 5 บางคมั ภีรก ลาววาเปน การแสดงโดยนปิ ปริยาย คอื แสดงความหมายโดยตรงจาํ เพาะลงไป แตในคัมภีรปฏสิ มั ภทิ ามคั ค ทา นแสดงความหมายโดยปริยาย เรยี กผูทีป่ ฏิบัติโดยมสี ัทธนิ ทรียเปนตวั นาํ วาเปน สัทธาวิมตุ ตั้งแตบ รรลโุ สดาปตตผิ ล ไปจนบรรลุอรหตั ตผล; เรียกผูปฏบิ ัตโิ ดยมีสมาธินทรยี เ ปน ตัวนาํ วา เปน กายสักขี ต้ังแตบรรลุโสดาปตติมรรค ไปจนบรรลุอรหัตตผล; เรียกผูท่ีปฏิบัติโดยมี ปญญินทรยี เปนตวั นาํ วาเปน ทฏิ ฐปิ ปตตะ ตัง้ แตบ รรลโุ สดาปต ติผลไปจนบรรลอุ รหตั ตผล; โดยนยั นีจ้ งึ มีคาํ เรียกพระอรหันตว า สทั ธาวิมุต หรือ กายสักขี หรอื ทฏิ ฐปิ ปตตะ ไดด ว ย แตถา ถือศพั ทเครงครัด กม็ แี ต อุภโตภาควมิ ตุ กบั ปญญาวิมตุ เทาน้ัน ในฎีกาแหงวิสุทธิมคั คคอื ปรมตั ถมญั ชุสา มคี ําอธิบายวา ผไู มไ ดว ิโมกข 8 เมื่อต้งั อยใู นโสดา ปตตมิ รรคเปน สทั ธานสุ ารี หรือ ธมั มานสุ ารี อยา งใดอยางหน่ึง ตอ จากนัน้ เปน สัทธาวมิ ุต หรือ ทิฏฐิปปตตะ จนไดสําเรจ็ อรหตั ตผล จงึ เปน ปญญาวมิ ุต; ผูไดวิโมกข 8 เม่อื ต้งั อยใู น โสดาปตตมิ รรคเปน สทั ธานุสารี หรอื ธัมมานุสารี อยา งใดอยางหนง่ึ ตอ จากนนั้ เปน กายสกั ขี เมอื่ สาํ เร็จอรหตั ตผล เปน อุภโตภาควมิ ุต นอกจากน้ี มีขอสงั เกตวา บุคคลประเภทกายสกั ขีนเี่ องที่ไดช ือ่ วา สมถยานิก; สวนคําวา ปญญาวิมุต บางแหงมีคําจาํ กัดความแปลกออกไปจากนี้วา ไดแกผ ูท บ่ี รรลุอรหตั โดยไมได โลกียอภญิ ญา 5 และอรปู ฌาน 4 (ส.ํ นิ.16/283–9/147–150; S.II.121.) อรยิ บุคคล 7 นี้ ในพระสุตตันตปฎก นยิ มเรียกวา ทักขไิ ณยบุคคล 7. D.III.105,254; A.I.118; Ps.II.52; Pug.10,73; Vism.659. ท.ี ปา.11/80/115; 336/266; องฺ.ติก.20/460/148; ขุ.ปฏ.ิ 31/493–5/380–3; อภ.ิ ปุ.36/13/139; วสิ ทุ ธิ.3/302; วสิ ุทธ.ิ ฏกี า3/562–568.

หมวด 2 83 [65] [64] อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย — Attha: meaning) พระสูตรทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัส วา โดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คอื 1. เนยยตั ถะ ([พระสตู ร]ซง่ึ มีความหมายทีจ่ ะตองไขความ, พทุ ธพจนท ีต่ รสั ตามสมมติ อันจะ ตองเขาใจความจริงแททซี่ อ นอยูอีกชัน้ หน่ึง เชน ท่ีตรสั เรื่องบุคคล ตัวตน เรา–เขา วา บุคคล 4 ประเภท, ตนเปนท่พี ่งึ ของตน เปนตน — Neyyattha: with indirect meaning; with meaning to be defined, elucidated or interpreted) 2. นตี ตั ถะ ([พระสูตร]ซึ่งมีความหมายทีแ่ สดงชัดโดยตรงแลว , พุทธพจนทต่ี รัสโดยปรมัตถ ซงึ่ มคี วามหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เชนท่ีตรสั วา รปู เสียง กลน่ิ รส เปนตน — Nãtattha: with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning) ผใู ดแสดงพระสตู รที่เปนเนยยัตถะ วา เปน นีตตั ถะ หรือแสดงพระสูตรทเ่ี ปนนตี ัตถะ วาเปน เนยยตั ถะ ผนู นั้ ช่อื วา กลาวตพู ระตถาคต. A.I. 60 องฺ.ทุก.20/270/76 [65] อุปญญาตธรรม 2 (ธรรมทพี่ ระพทุ ธเจา ไดท รงปฏิบตั ิเหน็ คุณประจกั ษก ับพระองค เอง คอื พระองคไดท รงอาศัยธรรม 2 อยา งนีด้ ําเนนิ อริยมรรคาจนบรรลุจุดหมายสงู สุด คือ สัมมาสมั โพธญิ าณ — Upa¤¤àta-dhamma: two virtues realized or ascertained by the Buddha himself) 1.อสนตฺ ุฏิตา กสุ เลสุ ธมฺเมสุ (ความไมสนั โดษในกศุ ลธรรม, ความไมรูอิ่มไมร พู อใน การสรา งความดีและสิ่งท่ีดี — Asantuññhità kusalesu dhammesu: discontent in moral states; discontent with good achievements) 2.อปฺปฏิวาณิตา ปธานสมฺ ึ (ความไมระยอ ในการพากเพียร, การเพยี รพยายามกาวหนา เรอื่ ยไปไมย อมถอยหลงั — Appañivàõità padhànasmi§: perseverance in exertion; unfaltering effort) D.III.214; A.I.50,95; Dhs.8,234. ที.ปา.11/227/227; อง.ฺ ทกุ .20/251/64; 422/119; อภ.ิ ส.ํ 34/15/8; 875/339.

ติกะ — หมวด 3 Groups of Three (including related groups) [66] กรรม 3 (การกระทาํ , การกระทาํ ท่ปี ระกอบดวยเจตนา ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม — Kamma: action; deed) 1. กายกรรม (กรรมทําดวยกาย, การกระทําทางกาย — Kàya-kamma: bodily action) 2. วจกี รรม (กรรมทาํ ดวยวาจา, การกระทําทางวาจา — Vacã-kamma: verbal action) 3. มโนกรรม (กรรมทําดวยใจ, การกระทาํ ทางใจ — Mano-kamma: mental action) M.I.373. ม.ม.13/64/56. [67] กุศลมูล 3 (รากเหงา ของกุศล, ตน ตอของความดี — Kusala-måla: wholesome roots; roots of good actions) 1. อโลภะ (ความไมโ ลภ, ธรรมท่เี ปน ปฏิปก ษก ับโลภะ, ความคดิ เผื่อแผ, จาคะ — Alobha: non-greed; generosity) 2. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย, ธรรมท่ีเปน ปฏปิ ก ษก บั โทสะ, เมตตา — Adosa: non- hatred; love) 3. อโมหะ (ความไมห ลง, ธรรมทเี่ ปนปฏิปก ษก บั ความหลง, ปญ ญา — Amoha: non- delusion; wisdom) D.III.275. ท.ี ปา.11/394/292. [68] อกุศลมูล 3 (รากเหงาของอกุศล, ตนตอของความช่ัว — Akusala-måla: unwholesome roots; roots of bad actions) 1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed) 2. โทสะ (ความคิดประทุษรา ย — Dosa: hatred) 3. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion) D.III.275; It.45. ท.ี ปา.11/393/291; ขุ.อติ .ิ 25/228/264. [69] กุศลวิตก 3 (ความตรกึ ทเ่ี ปน กศุ ล, ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม — Kusala-vitakka: wholesome thoughts) 1. เนกขัมมวติ ก (ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทางเสยี สละ ไมต ดิ ในการปรนปรอื สนองความอยากของตน — Nekkhamma-vitakka: thought of renunciation; thought free from selfish desire)

หมวด 3 85 [72] 2. อพยาบาทวิตก (ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท, ความนกึ คดิ ท่ีประกอบดวยเมตตา ไมข ดั เคืองหรอื เพง มองในแงร าย — Abyàpàda-vitakka: thought free from hatred) 3. อวหิ งิ สาวติ ก (ความตรกึ ปลอดจากการเบยี ดเบยี น, ความนกึ คดิ ทปี่ ระกอบดว ยกรณุ าไมค ดิ รา ย หรอื มงุ ทาํ ลาย — Avihi§sà-vitakka: thought of non-violence; thought free from cruelty) A.III.446. อง.ฺ ฉกฺก.22/380/496. [70] อกุศลวิตก 3 (ความตรกึ ที่เปน อกศุ ล, ความนกึ คดิ ทไี่ มด ี — Akusala-vitakka: unwholesome thoughts) 1. กามวิตก (ความตรึกในทางกาม, ความนึกคิดในทางแสหาหรือพัวพันติดของในสิ่งสนอง ความอยาก — Kàma-vitakka: thought of sensual pleasures) 2. พยาบาทวติ ก (ความตรกึ ในทางพยาบาท, ความนกึ คดิ ทป่ี ระกอบดว ยความขดั เคอื งเพง มองใน แงร า ย — Byàpàda-vitakka: thought full of hatred or ill-will; malevolent thought) 3. วหิ งิ สาวิตก (ความตรกึ ในทางเบียดเบียน, ความนกึ คดิ ในทางทําลาย ทาํ รายหรอื กอ ความ เดือดรอ นแกผ อู นื่ — Vihi§sà-vitakka: thought of violence or cruelty; cruel thought) A.III.446. องฺ.ฉกฺก.22/380/496. [71] โกศล 3 (ความฉลาด, ความเชยี่ วชาญ — Kosalla: skill; proficiency) 1. อายโกศล (ความฉลาดในความเจริญ, รอบรูท างเจรญิ และเหตขุ องความเจรญิ — âya- kosalla: proficiency as to gain or progress) 2. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสอื่ ม, รอบรทู างเสอ่ื มและเหตขุ องความเสอ่ื ม — Apàya- kosalla: proficiency as to loss or regress) 3. อปุ ายโกศล (ความฉลาดในอบุ าย, รอบรวู ธิ แี กไ ขเหตกุ ารณแ ละวธิ ที จี่ ะทาํ ใหส าํ เรจ็ — Upàya- kosalla: proficiency as to means and methods) D.III.220; Vbh.325. ที.ปา.11/228/231; อภ.ิ วิ.35/807/439. [72] ญาณ 31 (ความหย่งั ร,ู ปรีชาหย่ังรู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. อตีตังสญาณ (ญาณหย่ังรูสวนอดีต, รูอดีตและสาวหาเหตุปจจัยอันตอเน่ืองมาได — Atãta§sa-¤àõa: insight into the past; knowledge of the past) 2. อนาคตังสญาณ (ญาณหย่ังรูสวนอนาคต, รูอนาคต หยง่ั ผลทจี่ ะเกดิ สืบตอ ไปได — Anàgata§sa-¤àõa: insight into the future; knowledge of the future) 3. ปจจุปปน นังสญาณ (ญาณหยั่งรูสว นปจ จุบัน, รปู จจบุ นั กําหนดไดถ งึ องคประกอบและ เหตปุ จ จัยของเรอ่ื งทีเ่ ปนไปอยู — Paccuppanna§sa-¤àõa: insight into the present; knowledge of the present) D.III.275. ท.ี ปา.11/396/292.

[73] 86 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [73] ญาณ 32 (ความหยัง่ รู, ปรชี าหย่งั รู — ¥àõa: insight; knowledge) 1. สจั จญาณ (หยัง่ รูสจั จะ คอื ความหยง่ั รอู ริยสัจจ 4 แตล ะอยา งตามทเ่ี ปน ๆ วา นที้ ุกข นี้ ทกุ ขสมทุ ยั นท้ี ุกขนิโรธ นีท้ ุกขนโิ รธคามินปี ฏปิ ทา — Sacca-¤àõa: knowledge of the Truths as they are) 2. กิจจญาณ (หย่ังรกู จิ คอื ความหยัง่ รกู ิจอันจะตอ งทําในอริยสจั จ 4 แตล ะอยางวา ทกุ ขควร กําหนดรู ทกุ ขสมุทัยควรละเสีย เปน ตน — Kicca-¤àõa: knowledge of the functions with regard to the respective Four Noble Truths) 3. กตญาณ (หยัง่ รกู ารอันทําแลว คอื ความหย่ังรูว า กจิ อันจะตอ งทําในอริยสัจจ 4 แตละอยา ง นน้ั ไดทําเสรจ็ แลว — Kata-¤àõa: knowledge of what has been done with regard to the respective Four Noble Truths) ญาณ 3 ในหมวดนี้ เน่ืองดว ยอริยสจั จ 4 โดยเฉพาะ เรียกชือ่ เตม็ ตามทมี่ าวา ญาณ-ทัสสนะ อนั มปี รวิ ฏั ฏ 3 (ญาณทัสสนะมรี อบ 3 หรือ ความหยงั่ รหู ย่งั เหน็ ครบ 3 รอบ — thrice- revolved knowledge and insight) หรือ ปรวิ ฏั ฏ 3 แหงญาณทสั สนะ (the three aspects of intuitive knowledge regarding the Four Noble Truths) ปรวิ ฏั ฏ หรอื วนรอบ 3 นี้ เปน ไปในอรยิ สจั จท งั้ 4 รวมเปน 12 ญาณทสั สนะนนั้ จงึ ไดช อื่ วา มี อาการ 12 (twelvefold intuitive insight หรอื knowing and seeing under twelve modes) พระผมู พี ระภาคทรงมีญาณทสั สนะตามเปน จรงิ ในอรยิ สัจจ 4 ครบวนรอบ 3 มอี าการ 12 (ตปิ ริวฏฏํ ทวฺ าทสาการํ ยถาภตู ํ าณทสสฺ นํ ) อยา งนแี้ ลว จึงปฏิญาณพระองคไ ดวาทรงบรรลุ อนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณแลว. ดู [205] กจิ ในอรยิ สัจจ 4. Vin.I.11; S.V.422. วนิ ย.4/16/21; ส.ํ ม.19/1670/530; ส.ํ อ.3/409. [74] ตัณหา 3 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving) 1. กามตณั หา (ความทะยานอยากในกาม, ความอยากไดกามคุณ คือส่ิงสนองความตองการ ทางประสาทท้ังหา — Kàma-taõhà: craving for sensual pleasures; sensual craving) 2. ภวตณั หา (ความทะยานอยากในภพ, ความอยากในภาวะของตัวตนทจี่ ะได จะเปนอยางใด อยา งหนงึ่ อยากเปน อยากคงอยตู ลอดไป, ความใครอ ยากทป่ี ระกอบดว ยภวทฏิ ฐหิ รอื สสั สตทฏิ ฐิ — Bhava-taõhà: craving for existence) 3. วิภวตัณหา (ความทะยานอยากในวิภพ, ความอยากในความพรากพนไปแหงตัวตนจาก ความเปนอยางใดอยา งหนึง่ อันไมป รารถนา อยากทําลาย อยากใหด บั สูญ, ความใครอยากที่ ประกอบดว ยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททฏิ ฐิ — Vibhava-taõhà: craving for non-existence; craving for self-annihilation) A.III.445; Vbh.365. อง.ฺ ฉกกฺ .22/377/494; อภิ.วิ.35/933/494.