Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่

หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่

Description: หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่

Search

Read the Text Version

หลกั กรรมสําหรับคนสมัยใหม พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)

สารบัญ อนโุ มทนา ........................................................................................(๑) หลักกรรมสําหรับคนสมัยใหม ............................................. ๑ แนวการอธิบายเรอื่ งกรรม ..................................................................๑ ตอน ๑ กรรม โดยหลกั การ .......................................................๓ ความหมายและประเภทของกรรม .............................................๓ กรรมในฐานะกฎเกณฑแ หงเหตุและผล......................................๘ กฎแหงกรรม ในฐานะเปน เพยี งอยา งหนงึ่ ในนยิ าม ๕.................๑๐ เขาใจหลักกรรม โดยแยกจากลัทธทิ ผี่ ิดท้งั สาม......................... ๑๔ บุญ-บาป กศุ ล-อกศุ ล............................................................ ๒๐ ตอน ๒ กรรม โดยใชก าร ........................................................ ๒๘ ความสําคญั ของมโนกรรม/ คานยิ มกาํ หนดวิถีชวี ติ และสังคม ........................................ ๒๘ จิตสํานึก-จติ ไรสาํ นกึ /ภวงั คจิต-วิถจี ิต...................................... ๓๑ จิตไรส ํานึก: จุดเร่มิ แหงการใหผ ลของกรรม.............................. ๓๓ การใหผลของกรรมระดับภายนอก: สมบตั ิ ๔ - วิบตั ิ ๔.............. ๓๙ การปฏบิ ตั ทิ ถี่ ูกตอ งในการทํากรรม ......................................... ๔๕ ทาทที ถ่ี กู ตองตอกรรมเกา ...................................................... ๔๗

หลกั กรรมสําหรบั คนสมยั ใหม∗ ทา นพระเถรานเุ ถระทีเ่ คารพนบั ถอื ทกุ ทา น การบรรยายในวนั นที้ า นกาํ หนดใหพ ดู เรอื่ งกรรม เรอ่ื งกรรม เปน หลกั ธรรมทส่ี าํ คญั มากในพระพทุ ธศาสนา นอกจากสาํ คญั แลว ก็เปนหัวขอทีค่ นมกั มีความสงสยั เขาใจกันไมช ัดเจนในหลายแง หลายอยา ง บางครงั้ กท็ าํ ใหน กั เผยแผพ ระพทุ ธศาสนาประสบความ ยากลําบากในการทจี่ ะชี้แจง อธิบาย หรอื ตอบปญ หา ไขขอสงสยั แนวการอธบิ ายเร่ืองกรรม การอธิบายเรอื่ งกรรมน้นั โดยทัว่ ไปมักพดู กันเปน ๒ แนว แนวที่ไดยินกันมาก คอื แนวทพ่ี ูดอยางกวางๆ เปนชวงยาวๆ เชน พูดวา คนนีเ้ ม่อื สมัยกอนเคยหักขาไกไ ว แลว ตอ มาอีก ๒๐–๓๐ ป โดนรถชนขาหัก กบ็ อกวาเปน กรรมทไี่ ปหกั ขาไกไ ว หรือคราวหนึ่ง หลายสิบปแ ลว ไปเผาปา ทําใหสตั วตาย ตอมาอีกนานทเี ดียว อาจ จะแกเฒา แลว มเี หตุการณเ ปน อุบัติภัยเกิดข้นึ ไฟไหมบ านแลวถกู ไฟคลอกตาย นีเ้ ปน การอธิบาย เลาเรื่อง หรือบรรยายเกยี่ วกบั กรรมแบบหน่ึง ซงึ่ มกั จะไดยินกนั บอ ยๆ ∗ บรรยายในการอบรมพระธรรมทตู ทีว่ ดั จกั รวรรดิราชาวาส วันเสารที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๙ (ในการพมิ พค รง้ั ใหมเดอื น พ.ย. ๒๕๔๕ ไดตรวจชําระขัดเกลาถอยคําสาํ นวน และซอยยอ หนา เปน ตน ใหอ านงายขึน้ ตลอดทง้ั เรอ่ื ง)

๒ หลักกรรมสําหรับคนสมยั ใหม การอธบิ ายแนวนมี้ คี วามโลดโผน นา ตนื่ เตน นา สนใจ บาง ทกี ็อานสนกุ เปน เคร่อื งจงู ใจคนไดป ระเภทหน่ึง แตค นอกี พวกหนึ่ง ก็มองไปวา ไมเ หน็ เหตผุ ลชดั เจน การไปหกั ขาไกไวกับการมาเกดิ อุบัติเหตุรถชนในเวลาตอมาภายหลังหลายสิบปน้ันมีเหตุผลเช่ือม โยงกันอยา งไร ผูทเี่ ลา กไ็ มอธิบายชแี้ จงใหเ ห็น ทาํ ใหเ ขาเกดิ ความ สงสัย คนทหี่ นกั ในเรื่องเหตุผล เม่ือไมสามารถช้ีแจงเหตุปจ จัย เชื่อมโยงใหเ ขามองเห็นชัดเจน เขาก็ไมย อมเช่อื ยิ่งสมัยนีเ้ ปน ยคุ ทถ่ี ือวาวิทยาศาสตรเ จรญิ ตอ งอธิบายเหตุ ผลใหเห็นจริงเห็นจังไดวาเรื่องโนนกับเร่ืองน้ีสัมพันธกันอยางไร พระพุทธศาสนาท่ีแทนั้นตองการใหเห็นความสัมพันธแหงเหตุ ปจจัยชัดเจนทง้ั ดา นรูปธรรมและดา นนามธรรม แตพวกเราเอง ปลอยตัวหละหลวมกนั มา วทิ ยาศาสตรก เ็ หมือนมาชว ยเตอื นให เราหันไปฟน วธิ คี ิดของพระพทุ ธศาสนาข้ึนมา ซง่ึ จะมีอะไรๆ ใหแก วิทยาศาสตรด ว ย นกี่ ค็ ือการอธิบายแบบที่สอง การอธบิ ายแบบที่ ๒ กค็ ือ อธบิ ายในแงข องเหตปุ จจยั ท่ี แยกแยะเช่ือมโยงใหเห็นชัด ซ่ึงเปนเรื่องละเอียดซับซอน นับวา ยากอยู จะตองอาศัยการพินิจพิจารณาและศึกษาหลักวิชามาก และบางทีก็หาถอยคํามาพูดใหมองเห็นชัดเจนไดยาก หรือเราไม คอยมีเวลาที่จะอธิบาย เพราะคนสวนใหญมาพบกันในที่ประชุม เพียงชั่วโมง ๒ ช่ัวโมง ซ่ึงจะพูดกันไดก็แตเร่ืองในข้ันตัวอยาง หยาบๆ มองชวงไกลๆ สําหรับเร่ืองที่จะพูดกันในวันนี้คิดวา เราควรจะมาหาทาง พิจารณาในแงวิเคราะหหรือแยกแยะความเปนเหตุเปนผลเทา ทีจ่ ะ เปนไปได ขอใหล องมาพจิ ารณาดูกนั วา จะอธบิ ายไดอยางไร

ตอน ๑ กรรม โดยหลักการ ความหมายและประเภทของกรรม กอ นจะพดู เรอื่ งกรรมนน้ั เราจะตอ งเขา ใจกอ นวา กรรมมคี วาม หมายอยางไร แมแตเรือ่ งความหมายของคํากเ็ ปน ปญ หาเสยี แลว ก. ความหมายท่ีผดิ พลาดคลาดเคล่ือน ลองไปถามชาวบา นดูวา “กรรม” แปลวาอะไร เอาคาํ พดู ในภาษาไทยกอน บางทีเราพดู วา “แลวแตบญุ แตกรรม” กรรมใน ที่นี้หมายถึงอะไร กรรมในทน่ี ม้ี าคกู ับบุญ พอกรรมมาคูกบั บญุ เรา ก็แปลบุญเปน ฝายดี บญุ อาจเปนการกระทาํ ทด่ี ีหรือผลดที จี่ ะไดรบั สวนกรรมก็กลายเปน การกระทาํ ช่วั หรือผลชวั่ ท่ีไมนาพอใจ นค่ี อื ความหมายหน่งึ ท่ีชาวบานเขา ใจ ดงั นัน้ ชาวบานสว นมากพอไดย ิน คําวากรรมแลว ไมช อบ เพราะมีความรูสกึ ในทางที่ไมด ี มองกรรม วาเปนเรอื่ งราย จากตัวอยางนี้ คาํ วา กรรมและบญุ จึงเปน เครอื่ งชีช้ ัดอยาง หนึ่งวา คนเขาใจความหมายของกรรมในทางไมดี เอาบุญเปนฝาย ขางดี แลว เอากรรมเปน ฝา ยตรงขา ม อีกตัวอยางหนึ่งวา คนผูหนงึ่ ไปประสบเคราะหราย บางคน กบ็ อกวา “เปน กรรมของเขา” คนนัง่ เรอื ไปในทะเล เรอื แตก จมนา้ํ ตาย หรอื ถกู พายพุ ัดมาแลวเรือลมตายไป อบุ ตั เิ หตอุ ยา งน้ี บางคน

๔ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม บอกวาเปนกรรมของเขา คําวากรรมในที่นี้เรามองในแงเปน ผลราย ท่ีเขาไดรับ เปนเคราะห หรือเปน ผลไมดที ส่ี ืบมาจากปางกอน นี่ก็แสดงวา เรามองคําวา กรรมในแงอ ดีต คอื มองในแงวา เปน เรื่องผานมาแลว มาแสดงผล และเปน เร่ืองทีไ่ มดี ได ๒ แง คือ ๑ เปน เรื่องขางไมด ี ๒ เพง เนน ในทางอดตี ในเวลาเดียวกันก็มองไปในแงเปน ผลดว ย อยา งทีพ่ ดู วา “จงกมหนารบั กรรมไปเถิด” ท่ีวารับกรรม ก็คือรับผลของกรรม นายคนหนงึ่ ไปลกั ของเขามา ถกู จบั ไดข งั คกุ คนอน่ื ก็มาปลอบใจ วา เอ็งกม หนารบั กรรมไปเถิดนะ เราทาํ มาไมดี กรรมในที่นี้กลาย เปนผล คอื เปนผลของกรรมนัน่ เอง น้ีคือความหมายของกรรมที่เราใชกันในภาษาไทย ในฐานะทีเ่ ปนผเู ลาเรยี นศกึ ษาแลว ลองวนิ ิจฉยั ดวู า ความ หมายเหลา นถี้ ูกหรือไม ความหมายทเ่ี นน ไปในทางไมดี เปน เร่ือง ไมด คี กู บั บญุ เปน เรอ่ื งทเี่ นน อดตี และมองไปทผี่ ลอยา งน้ี ถกู หรอื ไม เมื่อพิจารณาตรวจดู เรากจ็ ะมองเห็นไดชดั วา ถา เอาหลกั ธรรมแทๆ มาวินิจฉยั แลว ความหมายเหลา นี้คลาดเคลือ่ น ไดเพียง แงเดียว ขา งเดยี ว เปนเพียงสวนหนึง่ ของความหมายที่แทจ รงิ เพราะวา “กรรม” นน้ั แปลวา การกระทาํ เปน กลางๆ จะดกี ไ็ ด จะชว่ั ก็ได บญุ ก็เปน กรรม บาปก็เปนกรรม หมายความวาบุญคูกับบาป แตคนไทยมบี อ ยๆ ทีเ่ อาบุญมาคูก ับกรรม เอากรรมเปน ขางราย สวนท่ีวา กมหนารบั กรรมไป กเ็ ปนการมองทผ่ี ล แตท ่ีจริง น้ันกรรมเปน ตัวการกระทาํ ซง่ึ จะเปนเหตุตอไป สว นผลของกรรม ทานเรียกวา วบิ าก หรอื จะเรยี กวาผลเฉยๆ กไ็ ด ตัวกรรมเองแทๆ นั้นไมใ ชผ ล

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕ ในเม่อื “กรรม” ในภาษาทเ่ี ราใชก นั อยนู ้ี มคี วามหมาย คลาดเคลือ่ น ไมตรงกบั หลกั ทแ่ี ทจรงิ กเ็ ปนเครอ่ื งแสดงวา ไดม ี ความเขา ใจไขวเ ขวในเรอ่ื งกรรมเกดิ ขนึ้ เพราะภาษาเปน เครอ่ื งแสดง วา คนมีความเขา ใจอยา งไร เพราะฉะน้นั ในขัน้ ตนนเ้ี ราจะตองทาํ ความเขาใจใหถูกตองเสยี กอนวา กรรมคอื อะไร ถาประชาชนยังเขาใจคลาดเคลื่อนวากรรมเปนเร่ืองของ การกระทําที่รายทช่ี วั่ เราก็ตอ งแกไขความเขาใจใหเห็นวา กรรมนี้ เปนคํากลางๆ จะดีกไ็ ด จะชั่วก็ได ถาเปนฝา ยดีก็เรียกวาเปนบญุ หรือบุญกรรม ถาเปนฝายช่ัวก็เรียกวาบาป หรือบาปกรรม หรือ มิฉะน้นั ก็เรยี กวา กุศลกรรม และอกศุ ลกรรม จะตอ งชีแ้ จงใหเ กดิ ความเขาใจถูกตอ ง นีเ้ ปน เรื่องพื้นฐานขน้ั ตน ๆ ซง่ึ ไดเ ห็นชัดๆ วา แมแตความหมายเรากไ็ ขวเ ขวกันแลว ข. ความหมายท่ถี กู ตองตามหลัก เมื่อเรารูวาความเขาใจของชาวบานไขวเขวไป เราก็ตอ งชกั จูงเขาเขามาหาความเขาใจทแี่ ทจ ริง คาํ ถามขอ แรกกค็ ือความ หมายตามหลกั วา อยา งไร ผมจะลองยกขอ ความในพระสตู รหนง่ึ ชื่อวา วาเสฏฐสตู ร มาพูดสักนดิ หน่ึง ในพระสตู รนน้ั พระพุทธเจาตรัสวา บคุ คลเปน ชาวนาก็เพราะกรรม เปน โจรกเ็ พราะกรรม เปน พราหมณก ็เพราะ กรรม เปนกษัตริยก็เพราะกรรม เปน ปุโรหติ ก็เพราะกรรม ฯลฯ เปน โนนเปนนีก่ เ็ พราะกรรม จากขอความทไี่ ดฟ งกนั แคน้ี กข็ อใหมาสํารวจดูกนั วาใคร เขาใจคําวากรรมในความหมายวา อยา งไร ถาบอกชาวบานวา ที่

๖ หลักกรรมสําหรบั คนสมัยใหม เปนชาวนาน่ีกเ็ พราะกรรม เขาก็คงจะคดิ วาหมายถงึ ชาติกอ นได ทํากรรมอะไรบางอยา งไว จงึ ทาํ ใหชาตินี้ตอ งมาเกดิ เปนชาวนา หรือถาบอกวา เปนกษตั ริยเ พราะกรรม เขาก็คงจะเขา ใจไปวา ออ คนนี้คงจะไดทาํ อะไรดไี ว อาจจะใหท าน รักษาศลี เปน ตน ชาติน้ี จึงมาเกิดเปนกษตั ริย แตล องไปดใู นพระสูตรสิวา ทา นหมายถงึ อะไร ในพระสูตร คําวา เปน ชาวนาเพราะกรรม เปน ตน นี้ พระพุทธเจา ตรัสไวเ องเลย วา นายคนน้ี เขาดาํ นา หวานขา ว ไถนา เขากเ็ ปน ชาวนา การที่เขา ทํานาน่ันเอง กท็ าํ ใหเ ขาเปนชาวนา คือเปนไปตามการกระทาํ อนั ไดแกอ าชพี การงานของเขา อกี คนหนง่ึ เปน ทปี่ รกึ ษาของพระเจา แผน ดนิ เขากเ็ ปน ปโุ รหติ ตามอาชีพการงานของเขา สว นนายคนนไี้ ปลกั ของเขา ไปปลน เขา ก็กลายเปนโจร ตกลงวา กรรมในท่ีนี้หมายถึง การกระทาํ ทเ่ี ปนอาชีพการ งานท้ังหลาย เปนข้นั ของการกระทําประจําตัวที่มองเห็นเดนชดั งายๆ หยาบๆ ปรากฏออกมาภายนอก นค่ี อื ความหมายของกรรม ทนี่ า พจิ ารณา ซง่ึ เหน็ ไดว า ทา นมงุ เอาสง่ิ ซง่ึ มองเหน็ ปจ จบุ นั นแ่ี หละ เปนหลักกอ น เพราะการกระทาํ นเี้ ปน คํากลางๆ ไมไ ดพูดวาเมือ่ ไร พอพูดข้ึนมาวากรรม กต็ อ งมองทป่ี จ จุบันเปนจดุ เร่ิมกอ น แตถ าพดู จํากัดลงไปวาการกระทําเม่อื ไรก็เม่อื นนั้ แหละ ไมว าจะเปนอดีต ปจจุบัน หรอื อนาคตกต็ าม การกระทํานัน้ ๆ ก็เปน กรรมท้ังนนั้ แตเมื่อจะดูความหมายทลี่ ึกเขาไป กต็ อ งมองใหถึงจิตใจ เม่ือมองลึกเขา ไปถงึ จติ ใจ เราก็คงจะจาํ ไดถ ึงพุทธพจน ท่ีใหค าํ จํากัดความบอกความหมายของกรรมวา เจตนาหํ ภิกฺขเว กมมฺ ํ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗ วทามิ “ภิกษุท้งั หลาย เรากลา วเจตนาวาเปนกรรม” ตกลงวา เจตนา คือตัวความคดิ จงใจ เจตจาํ นง ความตงั้ จิตคิดมุงหมายนี่แหละ เปนกรรม เมอ่ื บุคคลจงใจ มีเจตนาอยางใดแลว ก็แสดงออกมา เปน การกระทาํ ทางกายบา ง แสดงออกมาทางวาจาเปน การพดู บา ง นี้ก็คือ ความหมายทแ่ี ทจ ริงของกรรมทค่ี อ ยๆ มองละเอยี ดเขามา เม่ือมองหยาบๆ ขา งนอก กรรมก็คืออาชีพ การทาํ งาน การ ดําเนนิ ชวี ติ ของเขา แตมองลกึ เขาไปถงึ จิตใจ กรรมก็คือตวั เจตนา ค. ประเภทของกรรม จากน้ีเรากม็ าแบงประเภทของกรรมออกไป เม่ือวา โดยทาง แสดงออก ถา แสดงออกทางกาย เคลื่อนไหวทําโนน ทํานี่ ก็เปน กายกรรม ถาแสดงออกทางวาจาโดยพดู ออกมา กเ็ ปนวจีกรรม ถา แสดงออกทางใจอยูในระดบั ความคิด คิดปรุงแตงไปตา งๆ กเ็ ปน มโนกรรม กรรมโดยทว่ั ไปนนั้ เมอ่ื จาํ แนกโดยคณุ ภาพกแ็ บง เปน ๒ อยา ง คอื เปน กรรมดี เรยี กวา กศุ ลกรรม และเปน กรรมชวั่ เรยี กวา อกศุ ลกรรม ในบางแหงทานจําแนกออกไปเปนหลายอยางมากกวานี้ อีก เชน กรรมที่ ๑ กรรมดํา กรรมท่ี ๒ กรรมขาว กรรมที่ ๓ กรรม ทั้งดําท้งั ขาว และกรรมท่ี ๔ กรรมไมดําไมขาว เปนไปเพ่อื ความสน้ิ กรรม แบบนเ้ี ปน การอธิบายละเอียดข้ึนไปอกี กรรมดําคืออะไร ยกตัวอยา งเชน อกศุ ลกรรม มองใหเหน็ หยาบๆ ก็คือการกระทําทเ่ี ปนการเบยี ดเบียน ทาํ ใหผอู นื่ เดอื ดรอ น กรรมขาวก็คือกรรมทตี่ รงขา มกบั กรรมดํานัน้ ซ่ึงไมท าํ ใหผ อู ่ืนเดือด รอน ไมเปนการเบียดเบียน แตเปน การชวยเหลอื สง เสรมิ ทาํ ใหผ ู

๘ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม อ่นื มีความสขุ กรรมทงั้ ดาํ ท้งั ขาว ก็คือ กรรมทป่ี ะปนกนั มีทง้ั การ กระทําที่เปนไปเพือ่ ความเบียดเบียน และไมเปน ไปเพือ่ ความเบียด เบียน สุดทา ยมาถงึ กรรมไมด าํ ไมขาว เปน ไปเพ่ือความสิ้นกรรม ยกตัวอยา งเชน โพชฌงค ๗ มรรคมอี งค ๘ ซงึ่ บางทีกเ็ รียกวา กรรม เหมือนกัน แตเ ปนกรรมท่ไี มด ําไมขาว และเปนไปเพอื่ ความสน้ิ กรรม กรรมแบบน้ีกลับทาํ ใหเราสน้ิ กรรมไปดว ยซํ้า เม่ือมองละเอียดลงไปถึงความหมายที่แยกประเภทอยางนี้ เรากเ็ หน็ ชดั ขนึ้ มาวา กรรมนน้ั อยทู ต่ี วั เราทกุ ๆ คน ทปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ดําเนินชีวิตอยทู กุ เวลานเ่ี อง เรม่ิ ต้ังแตค วามรูสึกนกึ คดิ การพูดจา เคลื่อนไหวทําโนนทํานี่ ตลอดจนปฏิบตั ิการตา งๆ แมแ ตที่เรียกวา การปฏิบตั ิธรรมช้ันใน ไมว าจะเปนการปฏบิ ัติตามมรรคมอี งค ๘ การเจริญโพชฌงค ๗ ก็เปนกรรมท้ังน้ัน ไมพ น เรอื่ งกรรมเลย จะเห็นวากรรมในความหมายนี้ละเอียดกวากรรมที่เคยพูด ในเร่อื งไปหกั ขาไก เผาปาคลอกสตั ว หรืออะไรทาํ นองน้นั จงึ ตอง แยกแยะกนั ใหล ะเอียด เม่ือมาถึงข้นั นแ้ี ลว จะอธบิ ายกนั อยางไรใหเหน็ วา ทําไม การกระทาํ จึงออกผลอยา งน้นั อยางนี้ได นี่เปน เรอ่ื งท่เี ราจะตอง พิจารณา แตทพี่ ูดมานถี้ อื วา เปนความเขาใจพน้ื ฐานขน้ั ตน ท่วี าจะ ตองพูดกันในเรื่องความหมายของกรรมใหชัดเจนเสียกอนวากรรม คอื อะไร กรรมในฐานะกฎเกณฑแหง เหตุและผล แงที่จะตอ งเขาใจเกย่ี วกบั กรรมยงั มีอกี หลายอยา ง เชน เรา จะตอ งมองกรรมในแงของกฎเกณฑแหงเหตแุ ละผล

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๙ กรรมเปนเรื่องของความเปน ไปตามเหตปุ จ จยั พระพุทธ ศาสนาถอื หลกั การใหญทค่ี รอบคลมุ ทุกส่ิงทกุ อยา ง คือ ความเปน ไปตามเหตุปจจัย และเร่ืองกรรมก็อยูใ นกฎแหงเหตุปจ จยั น้ี หลกั เหตปุ จ จยั ในพระพทุ ธศาสนา กค็ อื หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท และกรรมก็เปนสวนหน่ึงในหลักปฏิจจสมปุ บาทนน้ั ลองไปแยก แยะปฏิจจสมุปบาททจ่ี าํ แนกเปน องค ๑๒ คู ทานจะสรปุ ใหเหน็ วา องค ๑๒ ของปฏิจจสมปุ บาท หรอื ปจจยาการนัน้ ประมวลเขา แลว ก็เปน ๓ สวน คอื เปนกิเลส กรรม และวิบาก จะเหน็ วา กรรมเปน สว นหนงึ่ ในปฏิจจสมุปบาทนน้ั คอื สวนทเี่ รียกวา กรรมในวงจรท่ี เรยี กวา ไตรวฏั ฏ ไดแ ก กเิ ลส กรรม วิบาก หมวดท่ี ๑ อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน เรยี กวาเปนกเิ ลส หมวดที่ ๒ สังขาร ภพ เรยี กวา เปนกรรม หมวดท่ี ๓ คือนอกจากนั้น มวี ญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ เปนตน เรียกวา เปนวิบาก มี ๓ สวนอยา งน้ี การศึกษาเร่ืองกรรม ถาจะเอาละเอียดแลวตอ งเขา ไปถึง หลกั ปฏิจจสมุปบาท ถา ตอ งการพดู เรอื่ งกรรมใหช ดั เจน กห็ นีไม พนที่จะศึกษาใหลึกลงไปถึงหลักธรรมใหญที่เรียกวาปฏิจจสมุป- บาทน้ี เพราะที่มาของหลกั กรรมอยทู ่ีปฏิจจสมปุ บาทนน่ั เอง จะ ตองแจกแจงใหเหน็ วาองคข องปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ประการน้นั มา ออกลูกเปนกิเลส กรรม และวิบากอยางไร จากน้ันก็ชใ้ี หเ ห็นความสมั พันธข องกิเลส กรรม และวิบาก เชน คนมคี วามโลภ เปนกเิ ลส เมื่อมคี วามโลภเกดิ ขึ้นแลว ก็ไปทํา กรรม เชน ไปลกั ของเขา ถาไดม าสมหวังกด็ ีใจมคี วามสุข เรยี กวา เปนวิบาก เม่ือเขาจับไมไดก ็ยง่ิ มคี วามกาํ เรบิ ใจอยากไดม ากขึ้น ก็

๑๐ หลักกรรมสาํ หรับคนสมัยใหม เกิดกิเลส โลภมากยง่ิ ข้ึน ก็ไปทาํ กรรมลักขโมยอกี เลยเกดิ เปนวง จรกเิ ลส กรรม วิบาก เรื่อยไป แตถาถูกขัด คือโลภ ไปลกั ของเขา ถกู ขัดขวางกเ็ กดิ โทสะ เปนกิเลส ก็เกิดการตอสูก ัน ฆากนั ทํารา ยกนั เปน กรรมขึ้นมาอีก แลวกเ็ กดิ วิบาก คือเจ็บปวดเดือดรอน วนุ วาย เกดิ ความทุกข ซง่ึ อาจรวมทั้งถกู จบั ไป ถูกลงโทษ ดังนี้เปนตน นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลส กรรม วบิ าก ทอี่ ยใู นวงจรปฏจิ จสมปุ บาท คือการท่ีตองมองเรื่องกรรมตามแนวของกฎเกณฑแหงเหตุและผล หรือเร่ืองความเปนไปตามเหตปุ จจัย ทีเ่ ราเรียกวา อิทัปปจจยตา อันนี้ขอขา มไปกอ น กฎแหงกรรม ในฐานะเปนเพียงอยา งหนง่ึ ในนยิ าม ๕ เมื่อเราเขา ใจแงตา งๆ ในเบ้ืองตน เกย่ี วกับกรรมแลว ก็ควร เขาใจตอไปดว ยวา กรรมน้เี ราถือวาเปนกฎอยา งหนงึ่ เรามกั จะ เรยี กวา “กฎแหง กรรม” กฎแหงกรรมนี้ ศพั ทท างวิชาการแทๆ ทานเรยี กวา กรรม- นิยาม ซ่ึงก็แปลตรงๆ วากฎแหง กรรม เปน กฎเกณฑแ หง เหตแุ ละ ผลอยางหนงึ่ แตในทางพทุ ธศาสนา ทา นบอกวา กฎเกณฑแ หง เหตแุ ละ ผลน้ี มใิ ชมีเฉพาะกรรมนิยามอยางเดยี ว กฎอยางนม้ี ีหลายกฎ ทานประมวลไวว ามี ๕ กฎดว ยกนั เรียกวานิยาม ๕ หรือกฎ ๕ มี อะไรบา ง จะยกใหกรรมนยิ ามเปนขอ ท่ี ๑ ก็ได ดังนี้ ๑. กรรมนยิ าม กฎแหงกรรม ไดแ กก ฎเกณฑแหงเหตแุ ละ ผลเก่ียวกับการกระทาํ ของมนษุ ย เชนท่ีวา ทําดไี ดด ี ทําชวั่ ไดช ่วั

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑ ๒. จิตตนยิ าม กฎเกณฑเกี่ยวกบั การทาํ งานของจิต เชน เมื่อจติ อยา งน้เี กิดขน้ึ จะมีเจตสิกอะไรประกอบไดบาง ถา เจตสกิ อันน้ีเกิดขนึ้ จะมเี จตสิกไหนเกิดรว มได อนั ไหนรวมไมไ ด เมอ่ื จิตจะ ขึ้นสูวถิ ีออกรับอารมณ มันจะดาํ เนินไปอยางไร กอ นออกจาก ภวงั คก็มีภวังคจลนะ (ภวงั คไหว) แลวจึงภวังคุปจเฉท (ตัดภวังค) จากน้ันมีอะไรตอไปอีกจนถึงชวนจิต แลว กลับตกภวังคอ ยางเดิม อีก อยางนี้เรยี กวา กฎแหงการทํางานของจติ คอื จติ ตนยิ าม ๓. พีชนยิ าม กฎเกีย่ วกบั พชื พนั ธุ เชน ปลูกมะมว งกเ็ กดิ เปน มะมว ง ปลกู มะนาวกเ็ กดิ เปน ตน มะนาว ปลกู เมลด็ พืชอะไรก็ ออกผล ออกตน เปนพชื ชนิดน้นั อยา งนี้เรียกวาพีชนิยาม ๔. อตุ ุนยิ าม กฎเกณฑเ ก่ยี วกับอตุ ุ อุตคุ ือเรอ่ื งอณุ หภมู ิ สภาพแวดลอ มทางธรรมชาติ กฎเกณฑเก่ยี วกับดินฟาอากาศ พูด อยางชาวบา นก็เชน อากาศรอ นข้นึ เรากเ็ หงอื่ ออก อากาศเย็นลง เย็นมากๆ เขา นํ้ากลายเปน นํา้ แข็ง หรอื ถา รอนมากขึน้ นา้ํ ก็กลาย เปนไอ นเี้ รยี กวาอตุ ุนิยาม ๕. ธรรมนยิ าม กฎแหง ธรรม คือ ความเปน เหตุเปน ผลกัน ของส่ิงทั้งหลาย หรอื ความเปน ไปตามธรรมดาแหง เหตปุ จจยั เชน คนเกิดมาแลวก็ตองแก ตองเจบ็ ตอ งตาย สิง่ ท้งั หลายเกิดขนึ้ ตง้ั อยแู ลวก็ดบั ไป เปนตน ตกลงวา กฎนม้ี ีตัง้ ๕ กฎ กรรมนิยามเปนเพียงกฎหน่งึ ใน ๕ กฎน้ัน การที่เราจะวเิ คราะหพจิ ารณาส่ิงท้งั หลายจึงอยา ไปยึด ถือวาทุกอยางตอ งเปนเรอ่ื งของกรรมทงั้ นนั้ มฉิ ะนน้ั จะกลายเปน ทัศนะทผี่ ิดพลาด เพราะพระพุทธศาสนาสอนไวแ ลว วากฎธรรม ชาติมี ๕ อยา ง หรือนยิ าม ๕ กรรมนยิ ามเปน เพยี งกฎหน่ึง

๑๒ หลักกรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม เมื่ออะไรเกิดข้ึนอยา ไปบอกวาเปน เพราะกรรมเสมอไป ถา บอกอยา งนนั้ จะผิด ยกตวั อยา งเชน นาย ก. เหงื่อออก ถามวา นาย ก. เหงื่อออกเพราะอะไร ถาเปน เพราะอากาศรอ น ลอง วินิจฉัยซิวา อยูในนิยามไหน ถา วาอะไรๆ ก็เปน เพราะกรรม ถา อยางนนั้ นาย ก. เหงื่อออกก็เพราะกรรมสิ ลองบอกซิวา เปน กรรม อะไรของนาย ก. ทีต่ อ งเหง่อื ออก ไมใ ชอ ยา งนน้ั หรอก นาย ก. เหงอ่ื ออกเพราะอากาศรอน นเ่ี รยี กวา อุตุนิยาม แตไมแ นเ สมอไป บางทีนาย ก. เหงอ่ื ออกไมใ ชเ พราะรอนก็ มี เชน นาย ก. ไปทําความผดิ ไว พอเขาท่ีประชุม เขาเกดิ สอบสวน หาตัวผูก ระทําผิด นาย ก. มคี วามหวาดกลัวมาก ก็อาจจะกลัวจน เหงอื่ ออก ในกรณีอยา งน้ี นาย ก. เหง่ือออกเพราะอะไร ตรงนีต้ อบ ไดว าเพราะกรรม นี่คอื กรรมนยิ าม ฉะนั้น สงิ่ ท่ีเกิดขึ้น แมแ ตเปนปรากฏการณอยา งเดียวกัน บางทีกเ็ กิดจากเหตคุ นละอยาง เราจะตอ งเอานยิ าม ๕ มาวัด วิเคราะหว า มันเกิดจากอะไร อยา งท่ยี กตวั อยางมาแลว วา เหงื่อ ออก อาจจะเปน เพราะเขารูตวั วา ไดทาํ ความผดิ ไว ตอนนี้หวาด กลัววาจะถกู จบั ไดจ งึ เหงือ่ ออก ถาอยา งนก้ี เ็ ปนกรรมนยิ าม แตถา อยูดีๆ เขาไมไดทาํ อะไร อากาศมันรอนหรือไปออกกําลงั มากๆ ใครๆ ก็เหงื่อออกได เปนธรรมดา น่เี ปนอตุ นุ ิยาม อีกตัวอยา งหนง่ึ ถา น้าํ ตาไหล เปน เพราะอะไร เปน นยิ าม อะไร ตองวนิ จิ ฉยั จบั นิยามใหดี ในเวลาตัดสนิ เร่ืองกรรม ถา เขาใจ เร่ืองนิยาม ๕ จะชวยในการอธิบายเรอื่ งกรรมไดม าก คนเสยี ใจรอ ง ไหก็น้ําตาไหล แตดีใจก็นาํ้ ตาไหลไดเ หมือนกัน อันหนึ่งเปนจติ ต นยิ าม เปนไปตามการทาํ งานของจิต จติ ท่ีมคี วามปลาบปลื้มดใี จ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๓ หรือเสียใจก็ทาํ ใหนํา้ ตาไหล แตอาจจะบวกกับเหตุผลทมี่ าจาก กรรมนยิ าม เชนเสียใจในความผดิ ทีไ่ ดกระทาํ ไว แตก ็ไมแนเ สมอ ไป บางทเี ราไมไดด ีใจหรือเสียใจสักหนอ ย แตเราไปถกู ควันไฟรม เขาก็นํ้าตาไหล แลว อนั น้เี ปน นยิ ามอะไร กเ็ ปน อุตนุ ิยาม ฉะนนั้ การ วินิจฉัยสิ่งตา งๆ อยา ไปลงโทษกรรมเสียทัง้ หมด พระพุทธเจา ตรัสไววา ใครก็ตามที่ยึดถือวาอะไรๆ ทกุ อยา ง ลวนเปนผลเกิดจากกรรมทง้ั สน้ิ นั้น เปนคนท่ีถอื ผดิ เชน ในเรื่องโรค ภยั ไขเ จบ็ พระองคก ต็ รสั ไว มพี ทุ ธพจนใ นสฬายตนวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย พระสตุ ตนั ตปฎ ก พระไตรปฎ กเลม ๑๘ ขอ ๔๒๗ วา โรคบางอยา งเกดิ จากการบรหิ าร กายไมสมํ่าเสมอก็มี เกดิ จากอุตุคอื สภาพแวดลอมแปรปรวนเปน สมุฏฐานกม็ ี เกดิ จากเสมหะเปนสมฏุ ฐานก็มี เกดิ จากดีเปน สมุฏฐานกม็ ี เกดิ จากสมฏุ ฐานตางๆ ประกอบกนั ก็มี เกิดจากกรรม ก็มี แปลวาโรคบางอยางเกิดจากกรรม แตหลายอยางเกิดจาก อุตุนิยมบา ง เกดิ จากความแปรปรวนของรางกายบาง เกิดจาก การบริหารรางกายไมส มา่ํ เสมอ เชน พักผอ นนอยเกินไป ออก กําลังมากเกนิ ไป เปน ตนบา ง กรรมเปน เพยี งเหตุหน่งึ เทาน้นั จะ โทษกรรมไปทุกอยา งไมได ยกตัวอยา ง คนเปน แผลในกระเพาะอาหาร บางทเี ปน เพราะฉันยาแกไขแกป วด เชน แอสไพรนิ ในเวลาทองวาง พวกยา แกไขแกปวดเหลา นีเ้ ปน กรด บางทีมนั กก็ ัดกระเพาะทะลุ อาจจะ ทาํ ใหถ ึงกับมรณภาพไปเลย ยาแกไขแ กป วดบางอยางมอี นั ตราย มาก เขาจงึ หา มฉันเวลาทอ งวาง ตอ งใหม ีอะไรในทอ งจงึ ฉนั ได บางคนเลอื ดไหลในกระเพาะ ไมรวู า เปนเพราะเหตใุ ด ทีแ่ ทเปน

๑๔ หลักกรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม เพราะกินยาแกไขแกปวดน่ีเอง นกี้ ็เปน เหตุอันหนึง่ แตบางคนเปน แผลในกระเพาะอาหาร เพราะความวติ ก กังวล คิดอะไรตางๆ ไมส บายใจ กลุมใจบอ ยๆ คับเครยี ดจติ ใจอยู เสมอเปนประจํา จงึ ทําใหมกี รดเกดิ ข้นึ ในกระเพาะอาหาร แลวกรด นี้มันก็กัดกระเพาะของตวั เองเปนแผล จนกระท่งั เปนโรครายแรง ถึงกับตองผาตดั กระเพาะทิ้งไปครึง่ หนงึ่ กม็ ี จะเห็นวาผลอยา งเดียวกัน แตเ กิดจากเหตุคนละอยาง ที่ ฉันแอสไพรินหรอื ยาแกป วดแกไขแ ลว กระเพาะทะลุ เปนอุตุนยิ าม แตที่คิดวิตกกังวลกลุมใจอะไรตออะไรแลวเกิดแผลในกระเพาะ เปน กรรมนยิ าม จิตใจไมด มี อี กศุ ลมากก็ทําใหโ รคเกดิ จากกรรมได มากมาย อยางท่ีเปนกันมากเวลาน้ีคือโรคเครียด กโ็ รคกรรม หรอื โรคเกิดจากกรรมน่นั เอง (กรรมนิยาม ผสมดวยจิตตนยิ าม) แตอยางไรกต็ าม เราตองเอาหลักเรอ่ื งนยิ าม ๕ มาวินจิ ฉยั อยาไปลงโทษกรรมทกุ อยาง แลวบางอยางกเ็ กิดจากนยิ ามตา งๆ หลายนยิ ามมาประกอบกนั เปนอันวาเราควรรูจกั นยิ าม ๕ ไว เวลาสอนชาวบา นจะได ใหพจิ ารณาเหตุผลโดยรอบคอบ เขา ใจหลักกรรม โดยแยกจากลัทธิที่ผิดท้งั สาม ก. สามลทั ธิเดียรถยี  มิใชพุทธ แงตอ ไป คือ จะตอ งแยกหลักกรรมออกจากลัทธิผดิ ๆ ท่ี พระพุทธเจา ตรสั ไว เรียกวา ติตถายตนะ ๓ ตติ ถายตนะ แปลวา ประชมุ แหง ลทั ธิ ลทั ธเิ ดยี รถ ยี  มี ๓ ลทั ธิ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕ ลัทธิท่ี ๑ ถือวา บคุ คลจะไดส ขุ กด็ ี จะไดทุกขก ็ดี มิใชสุขมิ ใชทุกขกด็ ี ลว นเปนเพราะกรรมที่ทําไวแ ตป างกอนทง้ั ส้ิน (ฟง ใหดี ระวังนะ จะสบั สนกับพระพุทธศาสนา) ลัทธนิ ้ีเรียกวา บพุ เพกตวาท ลัทธทิ ี่ ๒ บอกวา บุคคลจะไดส ุขกด็ ี จะไดทุกขกด็ ี ไดไมสุข ไมทุกขก ด็ ี ลวนเปน เพราะเทพผูยิ่งใหญบนั ดาลใหทงั้ ส้นิ คือพระผู เปนเจา บนั ดาลใหเปน ลทั ธินี้เรียกวา อศิ วรนิรมิตวาท หรอื อสิ สร- นิมมานเหตวุ าท ลัทธิที่ ๓ ถือวา บุคคลจะไดส ุขกด็ ี จะไดท ุกขก ็ดี ไดไมสุข ไดไมทกุ ขก ็ดี ลวนแตเ ปนเรอื่ งบงั เอญิ เปนไปเองลอยๆ แลว แตโชค ชะตา ไมม เี หตุปจ จัย ลทั ธนิ ้ีเรียกวา อเหตุวาท หลักเหลา นีม้ ีมาในพระคมั ภีรทงั้ น้ัน ติตถายตนะท้งั ๓ ทานกลา วไวท ้ังในพระสูตรและในอภธิ รรม ในพระอภธิ รรมทา น เนนไวในคมั ภรี ว ภิ ังค พระไตรปฎ กเลม ๓๕ ขอ ๙๔๐ แตใ นพระ สูตรกม็ ีในองั คุตตรนกิ าย ตกิ นิบาต พระไตรปฎกเลม ๒๐ ขอ ๕๐๑ แตเ รามกั ไมเอามาพดู กัน สว นนยิ าม ๕ อยใู นคัมภรี ฝา ยอภธิ รรม ซ่ึงอธิบายถงึ เรอื่ งกฎเกณฑแหงความเปนไปตามเหตุปจจัย นิยาม ๕ น้นั สาํ หรับเอาไวพ ิจารณาความเปน เหตปุ จจัยให รอบคอบ อยา ไปเอาอะไรเขากรรมหมด สว นติตถายตนะหรือ ประชมุ ลทั ธิ ๓ พวก ก็ผดิ หลกั พระพุทธศาสนา ไดแ ก ๑. บุพเพกตวาท ถือวา อะไรๆ กเ็ ปน เพราะกรรมที่ทาํ ไว ปางกอน ๒. อิศวรนริ มติ วาท ถือวาจะเปน อะไรๆ กเ็ พราะเทพผูยงิ่ ใหญบันดาล หรือพระผเู ปนเจาบันดาล ๓. อเหตุวาท ถือวา สิ่งทั้งหลายอะไรจะเกดิ ขึ้น ไมม ีเหตุ

๑๖ หลักกรรมสําหรบั คนสมัยใหม ปจจยั แลว แตจะบงั เอญิ เปน ไป คอื ลทั ธโิ ชคชะตา สามลัทธนิ พ้ี ระพทุ ธเจา ตรัสวา เปน ลทั ธิทีผ่ ดิ เหตุผลคือ เพราะมันทําใหค นไมมีฉนั ทะ ไมมีความเพียรท่จี ะทําอะไร เนื่อง จากเปนความเช่ือวาส่ิงทัง้ หลายเปน ไปอยา งไมมีหลกั เกณฑ หรือ ไปข้ึนตอตวั การภายนอกท่เี ราควบคมุ ไมไ ด ไมข ึ้นกับการกระทาํ ของเรา ข. ลัทธกิ รรมเกา คอื ลัทธนิ คิ รนถ โดยเฉพาะลทั ธทิ ่ี ๑ นน้ั ถอื วา อะไรๆ กแ็ ลว แตก รรมปางกอ น มันจะเปน อยา งไรก็สดุ แตกรรมเกา เราจะทาํ อะไรกไ็ มม ปี ระโยชน กรรมปางกอ นมันกําหนดไวห มดแลว แลวเราจะไปทําอะไรได ก็ ตองปลอ ย คอยรอ แลว แตมนั จะเปน ไป พระพุทธเจาตรสั วา ลทั ธินี้ เปนลทั ธิของพวกนิครนถ หัวหนาช่ือวานิครนถนาฏบตุ ร ใหไปดู พระไตรปฎก เลม ๑๔ พระสตู รแรก เทวทหสตู ร ตรสั เรือ่ งนี้โดย เฉพาะกอ นเลย สว นในองั คตุ ตรนิกาย ติกนิบาต ตรัสเร่ืองนี้ไวรวม กัน ๓ ลัทธิ แตในเทวทหสูตร พระไตรปฎกเลม ๑๔ มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณณาสก ตรัสเฉพาะเรอ่ื งลทั ธทิ ่ี ๑ ไมต รัสลัทธอิ นื่ ดว ย ลัทธินิครนถน ้ถี ือวา อะไรๆ ก็เปนเพราะกรรมท่ที าํ ไวในชาติ กอ น เพราะฉะนน้ั เราจะตอ งทาํ ใหส น้ิ กรรมโดยไมท าํ กรรมใหม และ เผากรรมเกาใหหมดส้นิ ไปดว ยการบําเพญ็ ตบะ ลัทธินี้ตองแยกให ดีจากพุทธศาสนา ตองระวังตัวเราเองดวยวาจะผลุนผลันหรือผลีผลามตกลง ไปใน ๓ ลทั ธิน้ี โดยเฉพาะลทั ธกิ รรมเกาทีถ่ ือวาอะไรๆ กแ็ ลวแต กรรมเกา เทาน้ัน

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๗ คําวา “กรรม” น้ีเปนคาํ กลางๆ เปนอดตี ก็ได ปจจุบนั ก็ได อนาคตกไ็ ด พทุ ธศาสนาเนน ปจ จุบันมาก กรรมเกา ไมใ ชไ มม ีผล มันมีผลสําคัญ แตม นั เสรจ็ ไปแลว และเปนเหตุเปนปจจยั ใหเ กดิ ผล ในปจจุบัน ซ่ึงเราจะตอ งใชปญ ญาแยกแยะเพื่อทาํ กรรมที่ดแี ละแก ไขปรับปรงุ ตวั ใหเ กดิ ผลท่ีดีตอ ไปภายหนา นีพ่ ูดกนั ทวั่ ๆ ไป โดย หลักการกค็ อื ตองพยายามแยกใหถูกตอ ง มี ๓ ลทั ธนิ ี้ ทจ่ี ะตอ งทํา ความเขาใจเสียกอ นเปน เบ้อื งตน ค. อนั ตรายเกดิ ข้นึ มา เพราะวางอุเบกขาแบบเฉยโง กอนจะผา นไป มีเกรด็ แทรกอีกนิดหนึ่ง คอื ความเช่ือถอื ท่ี คลาดเคลอื่ นนิดๆ หนอ ยๆ ซง่ึ ทําใหก ารปฏบิ ัติผดิ ได เชน การถอื แตลัทธิกรรมเกา บางทกี ็ทําใหเรามองคนวา ทีเ่ ขาประสบผลราย เกิดมายากจน หรือไดรบั เคราะหก รรมตางๆ ก็เพราะเปนกรรมของ เขาเทาน้ัน เม่ือเราบอกวา นเี่ ปน กรรมของเขาแลว เรากเ็ ลยบอกวา ใหเขากม หนารับกรรมไป เราก็ไมตอ งชวยอะไร เม่ือถือวาเปนกรรมของเขา เราก็วางเฉย แถมยังบอกวา เราปฏบิ ตั ธิ รรมดว ย คือถอื อุเบกขา วางเฉยเสยี ไมชว ย คนก็เลยไม ตองชวยเหลือกนั คนท่ไี ดร ับเคราะห ไดรับความทุกขยากลาํ บาก ก็ ตองลําบากตอไป มีฝรัง่ พวกหนงึ่ ตเิ ตยี นพทุ ธศาสนาวาสอนคน แบบนี้ เราตองพิจารณาตัวเราเองวา เราสอนอยางน้นั จริงหรือ เปลา แตตามหลกั พุทธศาสนาทีแ่ ทนน้ั ไมไ ดส อนอยา งนี้ เรือ่ ง อยางนีม้ คี วามละเอยี ดออ น(ทางปญ ญา)

๑๘ หลักกรรมสาํ หรับคนสมัยใหม เราบอกวา คนประสบเคราะหกรรม ไดร บั ความทกุ ขย าก เดือดรอน ก็กรรมของเขา ใหเ ขากม หนารบั กรรมไป อยา งนถี้ กู ไหม อยา งนถ้ี ือวา วางอเุ บกขาใชห รือไม อุเบกขาแปลวา อะไรแน อเุ บกขา คือความวางเฉยในแงท ี่ วางใจเปนกลาง ในเม่ือเขาสมควรจะตอ งรบั ผดิ ชอบตัวเอง เชน เก่ียวกับความเปนธรรม เพอื่ รักษาความเปน ธรรมแลว ตองวางใจ เปน กลางกอน เม่อื จะตองลงโทษกล็ งโทษไปตามเหตุผล คอื ตาม กรรมที่เขาทํา เชน ศาลจะทาํ หนาทใ่ี หถ กู ตอ ง เมื่อคนทําความผดิ มา ผูพพิ ากษากต็ องวางใจเปนกลาง แลว ตดั สิน ถา เขาเปนผผู ิด ก็ ตองไดร บั โทษตามกฎหมายกบิลเมอื ง อยางนเ้ี รยี กวา วางอเุ บกขา การวางอุเบกขานนั้ เปน ไปพรอ มกับการรกั ษาธรรม คอื ใน จิตใจมีเจตนาทจ่ี ะรักษาธรรมไว เมื่อจะชว ยคนกต็ องไมใ หเสีย ธรรม ถา หากคิดเมตตากรุณาชวยโจรแลว เสยี ธรรมก็ผดิ เมตตา กรุณาตองไมเกินอเุ บกขา เมตตา-กรณุ า-มทุ ิตา รักษาคน แต อุเบกขานน้ั รักษาธรรมไว ในกรณีทไ่ี มไดรักษาธรรมเลย และกไ็ ม ชวยคน อยางนี้ผดิ นวี่ าอยางรวบรัดแบบพดู กันงา ยๆ ถาเราไปเจอคนทกุ ขย ากขัดสนขน แคน เราจะอางวาเปน (ผล)กรรมของเขาแตช าติปางกอน ใหเขากมหนารบั กรรมไป การ อางอยา งนี้ผดิ ถึง ๓ ดา น ๓ ขัน้ ตอน ๑. ถาเปนผลกรรมชาตกิ อ น น่ีก็คือเขาไดรับผลของกรรม นั้นแลว คือเกดิ มาจน สภาพปจ จุบันคือสภาพทไ่ี ดรับผลแลว ไมใ ช สภาพรอผล เมอ่ื ผลกรรมเกาออกไปแลว หนาท่ขี องเราท่ีจะทาํ ตอ สภาพปจ จบุ นั ทเี่ ขาทกุ ขย าก กค็ อื ตอ งใชเ มตตากรณุ าไปชว ยเหลอื

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๙ เหมือนกับกรณีเดก็ วายนา้ํ ไมเ ปน เลนซน ไมเ ชอ่ื ฟง พอแม แลวไปตกนํ้า การทเ่ี ขาตกน้ํากเ็ ปนการรับ(ผล)กรรมของเขาแลว ตอนนี้เขากําลังทกุ ข ถงึ ตอนท่ีเราตอ งใชค วามกรณุ าไปชวย จะไป อางวาเปน(ผล)กรรมของเขาแลวปลอยใหเ ด็กตาย ยอ มไมถูกตอง ๒. คนเราทํากรรมด-ี ช่วั ตางๆ มักจะปนๆ กนั ไป บางคนทัง้ ท่ีทําความดมี าก แตเ วลาจะตายจิตแวบไปนกึ ถงึ กรรมไมดี เลย พลาดมาเกดิ ไมด ี เราพวกมนุษยป ถุ ชุ นไมไ ดหย่ังรเู ร่ืองอยางน้ี เพียงพอที่จะตัดสิน แตภ าพปจจบุ นั คอื เขาทุกขเดอื ดรอนเปนทีต่ ัง้ ของกรณุ า จงึ ตอ งใชธ รรมขอ กรุณาเขา ไปชวยเหลือ ๓. ปรากฏการณอยา งหน่ึงหรืออยา งเดียวกนั อาจเกิดจาก เหตุปจจัยตางอยา ง หรือหลายเหตปุ จ จยั ประกอบกัน อยางท่ีพูด แลว ในเรอื่ งนิยาม ๕ เหตุปจจัยในอดีตกม็ ี เหตุปจ จยั ในปจ จุบันกม็ ี เหตุปจ จัยภายในก็มี เหตปุ จจยั ภายนอกก็มี ในเร่ืองความยากจนนี้ ถาเปน สภาพทางสังคม ขอใหล อง ไปดูอยา งจกั กวตั ตสิ ูตร (พระไตรปฎกเลม ๑๑) หรือกูฏทนั ตสูตร (พระไตรปฎกเลม ๙) จะเห็นวาพระพุทธเจา ทรงเนนเหตปุ จ จยั และ การแกไขปญ หาดานการบริหารการปกครองบา นเมอื ง อยา งนเ้ี ปน ตวั อยา ง ซง่ึ จะตอ งไมม องขา มไป อยา มองอะไรแบบทกึ ทกั ทนั ทงี า ยๆ หลักธรรมประเภทน้ีทรงสอนไวเพื่อใหรูจักใชปญญาพิจารณาแยก แยะความสัมพันธแหง เหตุปจจัย ไมใชมองแบบตีคลมุ ในกรณีอยางน้ี ถาเราถืออุเบกขาวางเฉย ก็กลายเปน อญั ญาณเุ บกขา คือเฉยโง กลายเปน บาปอกุศลไป เพราะวางเฉย โดยไมรเู ร่อื งราว ไมเ หมือนกรณที ่ีมีคนลกั ขโมยของ แลวถูกจับคุม ขัง เรารวู า อะไรเปนอะไร แลวเราจึงวางอุเบกขาเพือ่ รกั ษาธรรม

๒๐ หลักกรรมสําหรบั คนสมัยใหม ฉะนั้น ถาหากคนเขามีความทกุ ขย ากเดือดรอน เรอื่ งอะไร จะไมชวย การชว ยนั้นกเ็ ปนการทาํ กรรมดขี องตัวเราเองดวย และก็ เปนการเมตตากรุณาชว ยเขา ใหเขาทาํ ความดี โดยเม่อื ไดร ับการ ชวยเหลือน้นั แลว เขากม็ ีโอกาสแกไ ขปรบั ปรุงตัวและมีกําลังท่ีจะ ไปทํากรรมดีอ่นื ๆ ตอ ไป แตก ารชวยท่ดี ีทีส่ ดุ ก็คอื การชว ยใหเ ขา ชว ยตวั เองได ท้ังนี้เปน เรื่องทีจ่ ะตองพิจารณาในรายละเอยี ด แตการที่จะ บอกเหมาลงไปวา คนไดรบั ทกุ ขย ากเดอื ดรอ น เปนกรรมของเขา ปลอยใหเขารบั กรรมไป อยา งนไ้ี มถกู ตองมหี ลกั วาเปน เร่อื งของ การรักษาธรรมหรอื ไม เหลา นเี้ ปน แงต า งๆ ทจี่ ะมาชว ยในการ พิจารณาเรือ่ งกรรม บุญ-บาป กศุ ล-อกุศล อีกเรื่องหนึ่งคอื เร่อื งความหมายของกรรม ทแ่ี ยกเปนกุศล อกุศล เปนบุญ เปนบาป ในเวลาแยกประเภทกรรม เรามกั แยกเปนกุศลกรรม และ อกุศลกรรม หรืองายๆ กเ็ ปนบุญ เปนบาป หรือบุญกรรม และ บาปกรรม เราจะอธิบายเร่ืองกรรมไดชดั เจน เม่อื เราอธิบายความ หมายของกศุ ล อกุศล บุญ บาปไดด วย ก. กุศล คอื อะไร? กุศลมคี วามหมายอยางไร ชาวบานมักจะมีความสงสยั หรือเขาใจพรา ๆ มัวๆ เขามักจะไมรูว าอะไรเปนกศุ ลหรอื เปน อกศุ ล

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๑ พอบอกวา เชิญชวนมาทาํ บญุ ทาํ กุศลกัน ใหบริจาคเงินสรา งศาลา แลว ไดกุศล ชาวบานก็ไมรวู า กุศลคอื อะไร บางทีชาวบานมองกศุ ลคลายกบั วาเปน ตวั อะไร หรอื เปน อํานาจอะไรอยา งหนง่ึ ทีล่ อยอยูทีไ่ หนไมร ู ซึ่งมองไมเ หน็ แลวจะมา ชวยคนในเม่ือถงึ เวลาทีค่ วรจะชว ย แตท นี ้คี วามหมายทถี่ ูกตอ งใน ทางหลักธรรมเปน อยางไร กศุ ล น้ันตามหลกั ทานบอกวา แยกความหมายได ๔ อยา ง ความหมายท่ี ๑ วา อาโรคยะ แปลวา ไมมโี รค หมาย ความวา เปนสิ่งทเ่ี กอื้ กูลตอ สุขภาพ คําวาสขุ ภาพในทนี่ ห้ี มายถึง สุขภาพของจิตใจ ซ่งึ เปน ฐานของสขุ ภาพกายดว ย คอื ทําใหจ ิตใจ เขมแข็งสมบูรณ เหมอื นกับรางกายของเรานี้ เม่ือไมม ีโรคก็เปน ราง กายท่ีแข็งแรงสมบูรณ จิตใจทไ่ี มถ กู โรคคอื กเิ ลสเบยี ดเบยี น กเ็ ปน จิตใจที่แขง็ แรงสมบูรณ สบายคลอ งแคลว ใชง านไดด ี อยา งท่ีทาน เรียกวา ควรแกง าน หรอื เหมาะแกการใชงาน จิตใจแบบน้เี รยี กวา เปนจติ ใจไมมโี รค ความหมายท่ี ๒ วา อนวชั ชะ แปลวา ไมเ สียหาย ไมม โี ทษ คอื ไมม ีสิ่งมวั หมอง ไมส กปรก ไมบ กพรอ ง สะอาด ผอ งแผว ผอง ใส ปลอดโปรง เปนตน เอางา ยๆ วา สะอาดบริสทุ ธ์ิ ความหมายท่ี ๓ วา โกศลสัมภูต แปลวาเกดิ จากปญญา เกิดจากความฉลาด หมายความวา กุศลเปนเรือ่ งที่ประกอบไป ดวยปญญา คือความรเู ขา ใจ ทําดวยความรูเหตผุ ล และทําตาม ความรูเ หตผุ ลน้ัน เชน มองเห็นความดีความชวั่ รูค ณุ รูโทษ รู ประโยชน รไู มใ ชประโยชน ทําดวยจติ ใจทส่ี วางไมโ งเ ขลามดื มัว เรียกวา เปนความสวา งของจิตใจ เม่ือมกี ุศลเกิดขึน้ ในจิตใจแลว

๒๒ หลักกรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ไมปดบังปญ ญา จิตใจสวา ง ไมมืดไมบอด มองเหน็ อะไรๆ ถกู ตอง ตามความเปน จริง ความหมายที่ ๔ สุดทายคอื สุขวบิ าก มีสขุ เปน ผล ทาํ ให เกิดความสขุ เวลาทําจติ ใจก็โปรง สบาย สดชืน่ รา เรงิ เบกิ บาน ผองใส สงบเย็น ไมเ รา รอ น บบี ค้ัน อึดอดั คบั แคน ท่ีวามาทงั้ ๔ ขอ นค้ี อื ความหมายของกศุ ล เปน ลักษณะที่ จะเอามาวนิ จิ ฉยั คือ สิ่งที่เปน กุศลน้ันจะตอ ง ๑. อโรค ไมมีโรค เกื้อกูล จิตใจมีความแข็งแรงสมบูรณ จติ ใจคลองแคลว ใชงานไดด ี ๒. อนวัชชะ ไมม โี ทษ ไมมีมลทิน ไมม วั หมอง ไมเ สื่อมเสีย มคี วาม สะอาด บรสิ ทุ ธิ์ ผองแผว ปลอดโปรง ๓. โกศลสัมภตู มีปญญา รู เหตุผล รดู ชี ว่ั รคู ุณรโู ทษ สวา ง ไมมดื มัว และ ๔. สุขวบิ าก มสี ุข เปนผล ทําดวยความโปรง สบาย ทาํ แลว ก็แชม ชื่นเยน็ ใจ ตัวอยางลกั ษณะและอาการของกศุ ลท่เี กดิ ขึ้นในใจ เชน มี เมตตาเปนอยางไร พอเมตตาเกิดขึ้นในใจปบ กเ็ ย็นฉา่ํ จิตใจไมมี โรค จติ ใจมีความแขง็ แรงในตัวของมัน มคี วามเอบิ อ่ิม สบาย เยน็ ช่ืน ยิม้ ได ปลอดโปรง ผอ งใส ทงั้ ใจทัง้ กายราบรนื่ ผอ นคลาย เลือด ลมเดนิ คลองดี และมีความรคู วามเขาใจ สวา งอยภู ายในวา คนอ่ืน เขามีความสขุ ความทุกขอยา งไร เราควรจะมีจิตใจตอ เขาอยา งไร และมีความสขุ พรอ มอยใู นตัวดวย แตใ นทางตรงขา ม ถามีโทสะเกิดข้ึน เปนอยางไร พอโทสะ หรือความโกรธ ความคดิ ประทษุ รา ยเกดิ ขนึ้ ปบ ก็รสู กึ เรา รอนแผด เผา จิตเปนโรค จิตบกพรอ ง ถูกบีบค้ัน มันไมส บาย ถกู เบยี ดเบยี น ขนุ มวั ไมบ รสิ ทุ ธ์ิ ไมส ะอาด ไมปลอดโปรง ไมผ อ งใส ใจของ กาย เครียด เลือดลมคั่ง และมืดมวั เหมอื นตาบอด ไมรู ไมคิด ไมมอง

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๓ เห็นบุญเห็นคณุ ไมค ํานึงถึงโทษ ไมรวู าใครเปน ใครท้ังนั้น และมี ความทุกข พลงุ พลา น เดือดรอนใจ น่ีลักษณะของอกศุ ล เพราะฉะนั้น กศุ ลและอกศุ ลจงึ ไมตองไปรอดผู ลขางนอก พอเกิดขน้ึ ในใจกบ็ อกตวั เองของมันทันที ปรากฏผลแกช ีวิตจติ ใจ เปนความหมายของตัวมันเอง พอมขี นึ้ มาปบ ก็สําเรจ็ ความหมาย ในตัวทันที ถาใครถามวาดีช่วั มีจริงไหม กบ็ อกวาฉนั ไมตอบละ มันก็เปน อยา งท่มี นั เปนนัน่ แหละ ความเปน กศุ ลและอกศุ ลเปนสภาวะตามธรรมชาติ มนั มี ภาวะของมนั อยใู นตัวแลว เราตองอธบิ ายกรรมใหล กึ เขา มาถึง ความหมายในจิตใจทีเ่ ปน พื้นแทๆ ของตัวมนั เอง ใหเหน็ วามันมี ความหมายอยูในตวั ของมันเองพรอ มแลว ไมตอ งไปรอผลไกล ถาม: อาโรคยะ แปลวา ไมมโี รคใชไหมครบั ตอบ: อาโรคยะ มาจากอโรคะ คือ อ+โรค อโรค ก็คือ ไมม ี โรค แลวบวก ณฺย ปจจัย เขาไป เปน ภาวตทั ธติ ตามหลกั ไวยากรณเปน อาโรคฺย แปลวา ความเปนอโรค คือ ความไมมโี รค นี้หมายถงึ ความไมเ ปน โรคของจิต ไมใ ชแคโ รคของรางกาย จิตท่ี ไมมีโรค กส็ มบรู ณแข็งแรง และชวยหนุนสุขภาพรางกายดวย แมแตภาษิตท่ีเราทองกันในภาษาไทยที่เพี้ยนเปน อโรคยา ปรมา ลาภา นนั้ (ความจรงิ ภาษาบาลเี ปน อาโรคยฺ ปรมา ลาภา) ใน พระไตรปฎก พระพทุ ธเจา ก็ตรัสวา ความหมายท่ีแทจรงิ ไมไดม ุง เพียงไมมโี รคกาย ทีว่ า ความไมมโี รคเปนลาภอยางยงิ่ หรอื ลาภท้งั หลายมีความไมมโี รคเปน อยางย่งิ นน้ั พระองคหมายถงึ พระ นิพพาน อาโรคยะ น้ี หมายถึง พระนิพพาน พระนิพพานเปนภาวะ ไรโ รค คือความมีสุขภาพจิตสมบูรณ

๒๔ หลักกรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม เรื่องนีพ้ ระพุทธเจาตรัสกับมาคัณฑยิ ะ ทานมาคณั ฑิยะไป สนทนาธรรมกับพระพุทธเจา อางสุภาษิตเกาวา อาโรคฺยปรมา ลาภา ซ่ึงในที่นี้เขามีความเขา ใจวาเปนโรคกาย แตพระพทุ ธเจา ตรัสวามันไมไ ดม คี วามหมายแคบเทานั้น แตหมายถงึ ความไมมี โรคทางจติ ใจดวย ใชไดท กุ ระดับ สําหรับชาวบานก็ใชในระดับโรคทางกายธรรมดา แตใน ทางธรรม พระพุทธเจา ตรัสไวใ นพระสตู รในมัชฌิมนกิ าย หมายถึง พระนิพพานเลย เปน ภาวะไมมีโรคโดยสมบรู ณตง้ั แตในจิตใจ หมายความวา ภาษิตนใี้ ชไ ดท ุกระดบั ตั้งแตร ะดับชาวบา น ไปจน กระทั่งถึงบรรลนุ พิ พาน แตใ หรคู วามหมายแตล ะข้นั ๆ ความหมายของคําวา “กุศล” ก็ใหเขา ใจตามลักษณะทีว่ า มานี้ สว นทเี่ ปนอกศุ ลก็ตรงขาม ดงั ไดย กตัวอยางไปแลว เชน เมอื่ เมตตาเกิดข้ึนในใจเปนอยางไร โทสะเกิดขึ้นเปนอยางไร ลักษณะ ก็จะผิดกันใหเห็นชัดๆ วา ผลมันเกิดทันที อยางที่เรียกวาเปน สนั ทฏิ ฐโิ ก เห็นเอง เห็นทันตา ข. บญุ หมายความแคไหน? คําท่ีเน่ืองกันอยูกับกุศลและอกุศล ก็คือคําวา “บุญ” และ ”บาป” บุญกับกุศล และบาปกับอกุศล ตางกนั อยางไร ในที่หลายแหง ใชแ ทนกนั ได อยา งในพุทธพจนท ต่ี รสั เร่อื ง ปธาน คือความเพียร ๔ ก็ตรสั คาํ วา อกศุ ลกบั คาํ วา บาปไวด วยกนั อยูในประโยคเดยี วกนั คือเปนถอ ยคาํ ทช่ี ว ยขยายความซง่ึ กนั และ กัน เชนวา ภกิ ษยุ งั ฉนั ทะใหเ กิดขน้ึ ระดมความเพยี รเพอ่ื ปด กั้น บาปอกศุ ลธรรมซึง่ ยังไมเ กดิ มใิ หเกดิ ขึน้ นเี้ รยี กวา สงั วรปธาน

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๕ แสดงใหเห็นวา บาปกับอกุศลมาดวยกัน แตสําหรบั บญุ กับกศุ ล ทานบอกวา มนั มีความกวา งแคบ กวา กันอยหู นอย คือ กศุ ล นน้ั ใชไ ดท ั้งโลกยิ ะและโลกตุ ตระ เปนคาํ กลางๆ และเปน คําท่ีใชใ นทางหลักวิชาการมากกวา บางทกี ็ระบุวา โลกิยกศุ ล โลกุตตรกุศล แตถา พูดเปน กลางๆ จะเปนโลกิยะก็ได เปนโลกุตตระกไ็ ด สว นคาํ วา บญุ นยิ มใชใ นระดบั โลกยิ ะ แตก ไ็ มเ สมอไป มี บางแหงเหมือนกันที่ทานใชในระดับโลกุตตระ อยางท่ีแยกเรียก วา โอปธกิ ปุฺ แปลวา บญุ ทเ่ี นื่องดว ยอปุ ธิ และ อโนปธกิ ปุฺ บญุ ไมเ นอื่ งดว ยอปุ ธิ เปน ตน หรอื บางทใี ชต รงๆ วา โลกตุ ตรปญุ ญะ บุญในระดับโลกตุ ตระ แตโดยทั่วไปแลว บุญใชในระดบั โลกิยะ สว นกุศลเปนคํา กลางๆ ใชไดท ัง้ โลกิยะและโลกุตตระ น่เี ปน ความกวางแคบกวา กัน นิดหนอยระหวางบญุ กบั กุศลในแงร ปู ศพั ท ซงึ่ กอ็ าจเอาไปชวย ประกอบเวลาอธบิ ายเรอื่ งกรรมได แตเปนเรือ่ งเกร็ด ไมใ ชเปน ตัว หลักใหญ บุญ นัยหนึ่งแปลวา เปน เครอ่ื งชําระสนั ดาน เปน เครอ่ื ง ชําระลา งทําใหจติ ใจสะอาด ในเวลาท่ีสง่ิ ซึ่งเปนบญุ เกดิ ขึน้ ในใจ เชน มีเมตตาเกดิ ขน้ึ ก็ชาํ ระจติ ใจใหสะอาดบริสุทธ์ิ ศรทั ธาเกิดขึน้ จิตใจก็ผอ งใส ทาํ ใหหายเศราหมอง หายสกปรก ความหมายตอ ไปนกั วิเคราะหศพั ท แปล บุญ วา นํามาซงึ่ การบูชา หรือทําใหเ ปนผคู วรบูชา คอื ใครกต็ ามส่งั สมบญุ ไว สง่ั สม ความดี เชน ส่ังสมศรัทธา เมตตา กรุณา มุทติ า ผนู ้ันก็มแี ตค ุณ ธรรมมากมาย และคณุ ธรรมหรอื คุณสมบตั ิเหลา นั้นก็ยกระดับชวี ติ

๒๖ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม จิตใจของเขาขน้ึ ทาํ ใหเปน ผคู วรบชู า ฉะน้นั ความหมายหนึ่งของ บุญก็คือ ทําใหเปน คนนาบูชา อีกความหมายหนึ่งคอื ทําใหเกิดผลที่นาชน่ื ชม เพราะวา เมอื่ เกดิ บญุ แลว กม็ วี บิ ากทด่ี งี าม นา ชนื่ ชม จงึ เรยี กวา มผี ลอันนา ชน่ื ชม ใกลก บั พุทธพจนท่วี า สุขสเฺ สตํ อธวิ จนํ ยททิ ํ ปุฺานิ ซึ่งแปล วา ภิกษุทง้ั หลาย คาํ วา บุญนเี้ ปน ชือ่ ของความสขุ เมือ่ บญุ เกดิ ขนึ้ ในใจแลว จติ ใจกส็ บาย มคี วามเอบิ อ่ิมแชมชน่ื ผองใส บญุ จึงเปน ชอื่ ของความสขุ สวนบาปน้นั ตรงกนั ขา ม บาป น้ันโดยตัวอกั ษร หรือโดย พยญั ชนะ แปลวา สภาวะทที่ ําใหถ งึ ทุคติ หรอื ทําใหไปในท่ีชว่ั หมายถึงสิ่งทท่ี าํ ใหจติ ตกตํ่า พอบาปเกิดขน้ึ ความคดิ ไมด ีเกดิ ขึน้ โทสะ โลภะ เกิดข้ึน จิตกต็ กตา่ํ ลงไป และนาํ ไปสูทคุ ติดวย ทานใหความหมายโดยพยญั ชนะอีกอยางหนึ่งวา เปนส่ิงที่ คนดีพากันรักษาตนใหปราศไป หมายความวา คนดีท้งั หลายจะ รักษาตนเองใหพนไปจากสง่ิ เหลาน้ี จึงเรยี กสง่ิ เหลานี้วา เปน บาป เปนสิ่งท่คี นดีละท้งิ พยายามหลีกหลบเลี่ยงหนีไมอ ยากเกีย่ วขอ ง ดวย น่เี ปน ความหมายประกอบ ซงึ่ อาจจะเอาไปใชอธบิ ายเปน เกร็ดได ไมใชตัวหลกั แทๆ เอามาพูดรวมไวด วยในแงต า งๆ ท่เี ราจะ ตองทาํ ความเขา ใจเก่ยี วกบั เรื่องกรรม เทาท่ีไดบรรยายมา เมื่อวาโดยสรปุ ก็มคี วามสําคัญที่จะ ตอ งมองอยู ๔ ประการ คือ ๑. กรรมเปนเรอ่ื งของความเปน เหตุเปน ผล เปน เร่อื งของ กฎเกณฑแ หงเหตปุ จจยั ถาจะอธิบายลงลกึ กต็ อ งโยงเขา ไปในเร่ือง ไตรวัฏฏ คอื กิเลส กรรม และวิบาก เขา สูหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๗ ๒. จะตองรวู ากรรมน้เี ปนนิยามหนงึ่ หรือกฎหนง่ึ ใน บรรดานิยาม ๕ เทาน้ัน อยา เหมาทกุ อยางเขาเปนกรรมหมด ตอ ง แยกแยะเหตุปจจยั ใหถูกตอง ๓. ตอ งแยกหลกั กรรมออกจากลัทธิผิดสามอยา งใหไ ดด ว ย คือ ลัทธปิ ุพเพกตวาท ลัทธอิ ศิ วรนริ มติ วาท และลัทธิอเหตวุ าท ๔. ใหนําความเขาใจความหมายของกศุ ล อกศุ ล มาชว ย ในการอธบิ ายแงลกึ ใหเ หน็ ผลตางๆ ท่เี กิดขึ้นในระดบั จิตใจ ใหเขา ใจความหมายของกรรมทแี่ ทจ รงิ ท่เี ปนสภาวะอยใู นจติ ใจ ซง่ึ มีผล ประจักษทนั ที

ตอน ๒ กรรม โดยใชการ ความสาํ คญั ของมโนกรรม/ คานยิ มกาํ หนดวถิ ีชวี ิตและสังคม ขอผานไปยังเรือ่ งการใหผ ลของกรรม อยางทบ่ี อกแลว วา เราไดย นิ บอ ยๆ เกย่ี วกบั คาํ อธบิ ายการใหผ ลของกรรมแบบโลดโผน ซ่ึงเปนเรื่องนาต่ืนเตน เปนเหตกุ ารณใ หญๆ แบบท่ีวา ทาํ ใหสตั วขา หัก แลว ตอมาตวั เองไปถูกรถทับขาหัก อะไรทาํ นองน้ี ซ่ึงไดยนิ กัน บอย จนบางทีทาํ ใหร สู กึ วา กรรมเปนอาํ นาจเรน ลบั อยา งหนึง่ ซงึ่ ลอยอยทู ี่ไหนก็ไมร ู มนั คอยจอ งจะมาลงโทษเรา ถา อธิบายแบบนี้ ก็มีปญหาทบ่ี อกแลว วา คนท่ีเปน นกั คดิ เหตุผลจะไมค อยยอมรบั ลองมาพิจารณากันดวู า เราจะสามารถอธบิ ายกรรมในแง สืบสาวเหตปุ จจัยไดอ ยา งไร ความเปน เหตุเปนผลน้ันอยูท่กี ารสืบ สาวเหตปุ จ จยั ใหเห็นวา แตละอยางเช่ือมโยงกนั สืบทอดและตอ เน่อื งกันอยา งไร จงึ มาออกผลอยางน้ี ถา อธิบายตรงนไี้ ด คนจะ ตองยอมรบั การท่จี ะอธบิ ายอยางนีไ้ ดก็ตองลงไปถึงจุดเร่มิ ของมนั คอื ถึงขางในจติ ใจ พระพุทธเจา ตรัสวา กรรม มี ๓ คอื กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๙ ในบรรดากรรม ๓ อยางน้นั กรรมทลี่ ะเอยี ดออนทสี่ ดุ ก็ได แก มโนกรรม คอื กรรมทางใจ กรรมทางใจนอกจากเปนเรือ่ งละเอียดออนแลว ก็เปน จดุ เริ่มดวย หมายความวา การกระทาํ ที่จะออกมาเปนวจีกรรมและ เปนกายกรรมได กเ็ พราะเกิดขนึ้ เปนมโนกรรมกอน คนเราตองคิด กอน คิดขน้ึ มาในใจ คดิ ชวั่ แลว จงึ พูดชว่ั ทาํ ช่วั ถาพูดชัว่ ข้นึ เฉยๆ อาจเปนเพียงเคยปากหรอื ใชคาํ พดู ไมถ ูกเทาน้ัน ไมใชเปน กรรม คนจะทาํ อะไรกเ็ รมิ่ จากความนกึ คดิ ในใจ ทเ่ี รยี กวา มโนกรรม ในทางพระพุทธศาสนาจงึ ถือวามโนกรรมสําคญั ที่สุด พระพุทธเจา ตรัสโดยทรงเปรียบเทียบกับลทั ธนิ คิ รนถ ในลัทธนิ ิครนถเ ขาเรียกกรรมวา ทณั ฑะ ซึ่งแบง ออกเปน ๓ คือ กายทณั ฑะ วจีทณั ฑะ มโนทัณฑะ และบอกวา กายทัณฑะ สําคัญที่สดุ เพราะวา เพียงลาํ พังคดิ อยา งเดยี วไมทาํ ใหตายได แต ถาเปนกายทณั ฑะ เอามีดมา ไปถงึ ฟนคอ กต็ ายแนๆ หรอื วา ฉวย ปนมายงิ กต็ าย ลาํ พงั คดิ ไมตาย เพราะฉะนัน้ ลทั ธนิ ิครนถถ ือวา กายทัณฑะสําคญั ที่สดุ แตพระพุทธศาสนาถือวา มโนกรรมสําคญั ที่สุด เพราะ มโนกรรมเปน จดุ เร่ิมตน เปน ตัวการใหญ เปนเจาของแผนการ บุคคลก็ดี สังคมกด็ ี จะเปนไปอยางไรก็ดําเนินไปตามมโนกรรม เปนใหญ มโนกรรมเปนตัวกาํ หนดวถิ หี รือชแ้ี นวทางใหแ กแนวคิด ความนิยม ความเชื่อถอื เปน ตวั กํากบั การ เชน คนๆ หนงึ่ มคี วาม ชอบในอะไร ใฝในอะไร ชวี ติ ของเขากจ็ ะดําเนินไปตามวิถีทางท่ี ชอบท่ใี ฝน ัน้

๓๐ หลักกรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม สมมติวา เดก็ คนหนง่ึ เกิดชอบบวชพระ ชอบหม ผาเหลอื ง เห็นเณรแลวก็อยากเปนเณรบา ง ความฝกใฝพ อใจอันน้ีก็มาหลอ หลอมทําใหเขาคดิ ที่จะบวช ตอ มาเขากอ็ าจจะบวชแลว กอ็ ยูใน พระศาสนาไป แตอ กี คนหน่ึงจิตชอบใฝไ ปในทางทีอ่ ยากไดของ ของคนอื่น โดยไมต องทาํ อะไร ก็อาจจะไปลกั ขโมย วถิ ีชีวติ กจ็ ะหนั เหไปอีกแบบหน่ึง นีก้ ค็ อื เรื่องของมโนกรรม ทม่ี ีผลบนั ดาลชีวติ ทงั้ ชีวิตใหเปนไปตา งๆ กนั ความนิยม ความชอบ ความเชอ่ื ถือตางๆ น้ีเปนเคร่อื งกําหนดชะตาและสรา งชวี ติ ของคน พระพทุ ธศาสนา มองในขั้นลึกซึง้ อยา งน้ี จงึ ถอื วามโนกรรมสําคญั แมแตส ังคมมนุษยท่ีจะเปนไปอยางไร ก็เริ่มมาจาก มโนกรรม เชนสง่ิ ที่ปจจุบนั นช้ี อบเรียกวา คานยิ ม เม่ือสงั คมมคี า นิยมอยางไร กจ็ ะชกั นําลกั ษณะการดาํ เนนิ ชีวติ ของมนษุ ยใน สังคมน้นั ใหเปน อยา งน้นั ยกตัวอยางเชน คนในสงั คมหนงึ่ ถอื วา ถาเรารักษาระเบียบ วินัยไดเครง ครดั ก็เปน คนเกง ความเกงกลา สามารถอยูท่กี ารทาํ ได ตามระเบียบแบบแผน ความนิยมความเกง ในแงน้กี เ็ รียกวา เปน คา นิยมในการรักษาระเบียบวินยั คนพวกนีก้ ็จะพยายามรกั ษา ระเบยี บวินยั ใหเครงครัด จนอาจทําใหป ระเทศน้นั สังคมนัน้ มี ระเบียบวินยั ดี สวนในอีกสงั คมหน่งึ คนอาจจะมคี านิยมตรงขา ม โดยมี ความชืน่ ชมวา ใครไมตอ งทาํ ตามระเบยี บได ใครฝน ระเบียบได ใครมอี ภิสิทธ์ไิ มต อ งทําตามกฎเกณฑได เปน คนเกง ในสังคมแบบ น้ี คนก็จะไมมีระเบยี บวนิ ยั เพราะถือวาใครไมตองทําตามระเบียบ ได คนนน้ั เกง

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๑ ขอใหลองคิดดูวา สงั คมของเรา เปนสังคมแบบไหน มีคา นิยมอยา งไร นเ้ี ปนตวั อยา งที่แสดงใหเ หน็ วา ความใฝความชอบ อะไรตางๆ ทีอ่ ยใู นจิตใจเปนตวั นํา เปนเคร่อื งกาํ หนดวิถชี ีวติ ของ บุคคล และเปนเคร่ืองชีน้ ําชะตากรรมของสงั คม สังคมใดมคี า นิยมท่ดี งี าม เออื้ ตอการพฒั นา สงั คมนั้นก็มี ทางที่จะพฒั นาไปไดด ี สังคมใดมีคา นิยมต่ําทราม ขดั ถว งการ พัฒนา สังคมน้ันก็มีแนวโนม ที่จะเสื่อมโทรม พฒั นาไดย าก จะ ประสบปญ หาและอุปสรรคในการพฒั นาอยา งมากมาย ถาจะ พัฒนาสังคมน้ันใหกา วหนา ถา ตอ งการใหส งั คมเจริญ พัฒนาไป ไดด ี กจ็ ะตอ งแกค านยิ มทีผ่ ดิ พลาดใหได และตองสรา งคานิยมที่ ถูกตอ งใหเกิดขึน้ ดว ย เรื่องคานิยมนี้เปนตัวอยางเดนชัดอยางหน่ึงของมโนกรรม มโนกรรมเปนส่ิงสาํ คญั มาก มีผลระยะยาว ลึกซง้ึ และกวางไกล ครอบคลุมไปหมด พระพทุ ธศาสนาถอื วา คา นยิ มนเ้ี ปนส่งิ สําคญั มาก และมองที่จิตใจเปน จุดเรมิ่ ตน เพราะฉะนน้ั ในการพิจารณา เร่ืองกรรม จะตอ งใหเขาใจถึงหลกั การของพระพุทธศาสนา ทถี่ ือวา มโนกรรมสําคัญทีส่ ุด และใหเ หน็ วาสาํ คญั อยางไร นคี้ อื จดุ ทหี่ นึง่ จติ สํานึก-จติ ไรส าํ นกึ /ภวงั คจติ -วถิ จี ิต สืบเน่ืองจากเรอื่ งมโนกรรมน้ัน ก็ทาํ ใหต อ งมาศึกษาเรือ่ ง จิตใหมากขนึ้ จติ ใจของคนเราน้คี ดิ นกึ อะไรตา งๆ สิ่งทพ่ี ูดและทําก็ เปนไปตามจิตใจ แตจ ิตใจเปนเร่ืองละเอียดซับซอน บางครัง้ และ ในเรื่องบางอยางเราบอกไมถูกดวยซ้ําวาตัวเราเองเปนอยางไร

๓๒ หลักกรรมสําหรับคนสมัยใหม บางทีเราทาํ อะไรไปอยา งหนง่ึ เราบอกไมถ กู วา ทาํ ไมเราจงึ ทาํ อยา ง นั้น เพราะวาจิตใจมคี วามสลับซบั ซอนมาก ตามหลักพุทธศาสนาน้ัน มีการแบงจิตเปน ๒ ระดับ คือ จติ ระดบั วิถี กับจิตระดบั ภวงั ค จิตระดับภวังคเปน จิตท่ีเปน องค แหงภพ เปน ระดบั ที่เราไมร ตู วั เรียกไดว าไรส ํานกึ ภพจะเปนอยาง ไร ชีวิตแทๆ ท่ีกรรมออกผลจะเปนอยา งไรน้นั อยทู ีภ่ วงั ค แมแ ตจตุ ิ ปฏิสนธิก็เปน ภวังคจิต ฉะนั้นเราจะมาพจิ ารณาเฉพาะจติ ในระดับ ท่ีเรารูสํานึกกันนไ้ี มไ ด การพจิ ารณาเรอื่ งกรรมน้ี จะตองลึกลงไป ถึงขั้นจิตตํ่ากวาหรือเลยสํานกึ ไป อยางท่ีเราใชศัพทวา ภวงั ค ในจิตวิทยาสมยั น้ีก็มีหลายสาขา หลายสาํ นกั ซึง่ มีกลุม สาํ คญั ทเี่ ขาศกึ ษาเรอื่ งจติ แบบนเี้ หมอื นกนั เขาแบง จติ เปน จติ สาํ นกึ กับจิตไรสาํ นกึ จิตสํานึกกค็ ือจิตท่ีรูตัว ที่พูดส่ิงตา งๆ ทาํ สงิ่ ตางๆ อยางที่รๆู กันอยู แตมจี ิตอกี สว นหนึง่ เปนจิตไรส ํานึก ไมรตู วั จติ ท่ี ไรสํานึกนี้เปนจติ สว นใหญข องเรา เขาเทียบเหมือนภูเขานา้ํ แข็งท่ี อยูในนํา้ นํา้ แข็งสว นทอ่ี ยใู ตนา้ํ มมี ากกวา และมากกวาเยอะแยะ ดวย สวนทโ่ี ผลมามีนิดเดยี ว คือจิตสํานึกที่เรารูตวั กันอยู พูดจาทาํ อะไรกันอยูนี้ แตสวนทไี่ มร สู าํ นกึ หรือไรส าํ นกึ น้ัน เหมือนกอนน้าํ แข็งที่อยูใ ตพ้ืนนํา้ ซึ่งมีมากกวา เยอะแยะ เปน จติ สว นใหญข องเรา การศึกษาเร่ืองจติ นั้นจะตองศกึ ษาไปถงึ ข้นั จติ ไรส าํ นกึ ท่ี เปนจิตสว นใหญ มิฉะนน้ั จะรเู รื่องจิตนิดเดยี วเทานั้น การพิจารณา เรื่องกรรมกจ็ ะตองเขา ไปใหถ งึ จดุ นี้ ในเรอื่ งจิตไรสาํ นึกนี้ มีแงทเี่ ราควรรอู ะไรบา ง แงค วรรทู ่ี หนึ่งคือทบ่ี อกวา ส่งิ ทเี่ ราไดร ับรเู ขา มาทาง ตา หู จมกู ลน้ิ กาย เหลาน้ี จติ จะบันทึกเกบ็ ไวห มดไมมีลืมเลย

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๓ ตามท่ีเขาใจกัน ตามธรรมดานี้ ส่งิ ทง้ั หลายทไ่ี ดประสบน้นั เราลืมแทบทั้งหมด จําไดนดิ เดยี วเทานน้ั นเ่ี ปน เรื่องของจติ สํานึก แตตามความเปน จริง ความจาํ เหลาน้นั ยงั คงอยูใ นจติ ไรส ํานกึ ส่ิง ที่สบทราบคิดนกึ ทกุ อยางต้ังแตเ กิดมา มันจาํ ไวห มด แลวถา รูจ กั ฝกดีๆ ก็ดึงเอามันออกมาไดด ว ย นักจิตวิทยาบางสมยั สนใจเรอ่ื ง การสะกดจิตมาก เพราะเหตผุ ลหลายอยา ง เหตุผลอยางหน่ึงกค็ ือ เม่ือสะกดจิตแลวสามารถทําใหคนนั้นระลึกเรื่องราวเกา ๆ สมยั เดก็ เชน เมอ่ื ๑ ขวบ ๒ ขวบ เอาออกมาได ซง่ึ แสดงวา ประสบการณเ หลา นั้นไมไ ดห ายไปไหน ยงั อยหู มด น้ีเปนแงท ่หี น่งึ จิตไรสาํ นกึ : จดุ เริม่ แหง การใหผ ลของกรรม ที่วามาน้ีมคี วามหมายอยา งไรเกี่ยวกบั กรรม ความหมายก็ คือ มันแสดงวาสิง่ ทเี่ ราทาํ ไวท ้ังหมด สิ่งทเ่ี ราคิด เรานึก ทุกอยา งไม ไดหายไปไหนเลย ยังคงอยูในจติ ใจของเราทงั้ หมด เพยี งแตเ ราไมร ู ตัวและระลึกออกมาโดยจติ สํานกึ ไมไดเทา น้นั เราสามารถเอาวชิ า การสมัยใหมท่ีเขาศึกษา วจิ ัย วเิ คราะหกันทีหลงั น้มี าประกอบการ ศึกษาเรื่องกรรมไดด วย ทาํ ใหเ ห็นวาวิธีการสมัยใหมในยุคหลังน้กี ็ เปนเคร่ืองชวยยํ้าสนับสนุนใหคนปจจุบันเขาใจหลักความจริงของ จิตท่ีทานสอนไวว า เปนอยา งไร ก. จิตสะสมประสบการณท กุ อยาง และปรุงแตงชวี ิตเรา สิ่งที่เปนประสบการณข องมนษุ ยนีจ้ ติ เราไมไดล ืมเลย และ ก็เปนอนั วา จิตส่งั สมไวทุกอยาง เมื่อสัง่ สมแลว ก็ไมไดสัง่ สมไวเ ฉยๆ มันมีผลตอตัวเราท้งั หมดดวย โดยที่เราไมรูต วั สภาพจิตสว นท่ีปรุง

๓๔ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม แตง ชีวิตของเราน้ี สว นมากเปน จติ ที่ไมรตู ัว ตัวอยางงายๆ ถา เรามีจติ โกรธบอยๆ เปน คนฉนุ เฉยี ว พบ อะไรขัดใจนิดก็เกิดโทสะ และแสดงความเกรย้ี วกราดออกมาใหจติ กาํ เริบอยเู สมอ ตอ ไปถาส่งั สมสภาพจิตอยางน้อี ยูเรอ่ื ยๆ กจ็ ะ กลายเปนนสิ ยั ทําใหเปนคนมักโกรธ ความโกรธงา ยจะเปน ลักษณะจิตใจ เปนนสิ ยั ตอมาสภาพจิตกแ็ สดงออกทางหนาตา หนานิ่วคิ้วขมวดอยูเสมอ กลายเปนส่ิงทเี่ ราเรียกวาบุคลกิ ภาพ และออกมามผี ลท้ังตอ และจากผูอ่ืน คนทพ่ี บเหน็ กไ็ มอ ยากคบ ไม อยากพูดจาดวย เขาอยากจะหลกี เลยี่ ง กลัวจะเกดิ เรื่อง อะไร ทํานองนี้ แลวก็กลับมามผี ลตอชวี ิตของตนเอง รวมความวาเรอ่ื งก็ดาํ เนินไปในลักษณะท่วี า จากความคดิ จิตใจ ก็ออกมาเปน ลกั ษณะนิสัย เปนบคุ ลกิ ภาพ แลว ก็เปนวิถชี วี ิต ของคนนั้น และความมีนิสัยอยา งนี้ หรือมีความโนมเอยี งอยางน้ี ก็ ชักจูงตัวเขาเอง ชวนใหไ ปพบกับประสบการณตา งๆ และสถาน การณทที่ าํ ใหเ กดิ เรอ่ื งอยางนนั้ ๆ ขึ้นมา สวนในทางตรงขา ม คนทีม่ จี ติ เมตตา ยม้ิ แยมแจม ใส คดิ นึกเร่ืองดๆี เสมอ เวลาพบอะไร จิตใจก็มองไปในแงดี สบายใจ ยม้ิ แยมแจมใส ตอ มา หนากเ็ ปนหนา ตาทยี่ มิ้ แยม เปนคนมเี สนห  นา รัก นาชม ชวนใหคบหา แลวทง้ั หมดนัน้ กอ็ อกมาเปนผลตอวิถีชีวิต ของเขาตอ ไปดวย นี่ก็เปน เร่ืองของการส่ังสม ข. จติ สวนใหญแ ละขุมพลังแท อยทู ่จี ติ ไรสาํ นกึ แงตอไปคือ เมอ่ื จิตไรสาํ นกึ นเ้ี ปนสว นใหญ ก็เปน สวนทีม่ ี กําลังมาก จติ ของเรานีเ้ ราเอามาใชงานนดิ หนอยเทา น้ัน ความจริง

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๕ มันมีพลังมากมายท่ีเราไมรตู วั และยังไมร ูจกั ดึงเอามาใช แตเ ราจะ เห็นตัวอยางไดวา จิตมีกําลงั ขนาดไหน ในเมอ่ื มเี หตกุ ารณทบ่ี ังคบั ตัวไมได เชนเวลาเกดิ ไฟไหมขน้ึ บางคนยกตุม นํา้ ได หรอื ว่ิงหนี ดวยความตกใจ มาถงึ รั้วแหงหนง่ึ ซ่ึงสงู ปรกตแิ ลว กระโดดขามไม ได แตด ว ยความกลวั หนภี ัยมาน้นั สามารถกระโจนขามไปได เร่ือง อยางน้ีเราไดย นิ กันบอ ยๆ แสดงใหเห็นวา ทจ่ี รงิ จติ ของเรานั้นมี ความสามารถอะไรบางอยา งอยขู างใน แตตามปกติ เราไมร ูจกั ใช มัน มนั กเ็ ลยไมเปนประโยชน ความสามารถนอ้ี ยูทไี่ หน กอ็ ยูทจ่ี ติ ไรส าํ นกึ น้นั ตอนท่ีเรา หนีภัยดวยความตกใจกด็ ี ตอนท่แี บกตมุ นํ้าหรือของหนักไปได เวลาไฟไหมก็ดี ตอนน้ันเราคุมสติไมอ ยู จิตสาํ นกึ ของเราไมทํางาน แตถูกจิตไรสํานึกกํากับการออกมาแสดงบทบาททําใหเราทําอะไร ไดแปลกๆ พเิ ศษออกไป หรืออยา งในเวลาสะกดจิต ทําใหเ อาเข็ม แทงไมเ จบ็ ตลอดจนสามารถสะกดจติ แลวผาตัดบางอยางได ไมรู สึกเจ็บปวดอะไรเลย นีเ้ ปนเร่อื งของจิตใจซ่ึงมีสว นที่เราไมรจู กั อีก มาก พวกนักจติ วเิ คราะหก็มาศกึ ษากนั นักจิตวิเคราะหค นสาํ คญั ช่ือนายซิกมุนด ฟรอยด (Sigmund Freud) ไดศ กึ ษาเรอ่ื งจติ สาํ นึก และจิตไรส ํานกึ นีม้ าก ที่วาจิตเปน ตัวปรงุ แตง สรางสรรคน ัน้ จติ สํานกึ ไดแตค ิด ปรุงแตงเบ้อื งตนเทาน้ัน ตวั ปรุงแตง สรางสรรคแ ทจ รงิ ทส่ี รา งผล ออกมาแกช ีวติ สว นใหญ เปนนิสัย เปน บุคลิกภาพ ตลอดจนเปน ชะตากรรมของชีวิตนน้ั อยูท ีจ่ ติ ไรส ํานกึ ทีเ่ ราไมรูตัว ซึง่ ทาํ งานของ มนั อยูตลอดเวลา จะขอชักตัวอยางหนึ่งมาแสดงใหเห็นเกี่ยวกับเร่ืองกรรม

๓๖ หลักกรรมสําหรับคนสมัยใหม ซ่ึงอาจจะชวยใหเ หน็ ทางเปนไปไดมากข้นึ วา วธิ ีการศึกษาแบบ สมัยใหมจ ะมาสนับสนุนการอธิบายเรอื่ งกรรมอยา งไร นายซิกมุนด ฟรอยด เลาใหฟ ง ถึงกรณหี นึง่ วา เดก็ ผหู ญงิ อายุ ๑๗ ป ชอบออกไปเทย่ี วนอกบา นกบั ผชู ายคนหนึ่ง พอไมพ อ ใจมาก วันหนึ่งกท็ ะเลาะกับพอ พอ โกรธมากก็ทบุ หนา เด็กหญิงคน น้ี เด็กคนน้ีเจบ็ ก็โกรธมาก อารมณว ูบขึ้นมาก็เง้ือแขนขวาข้ึนมาจะ ทุบพอ บา ง พอเง้ือขนึ้ ไปแลว จะทบุ ลงมา กช็ ะงักเง้อื คาง นึกขนึ้ ได วาน่ีเปนพอ ของเรา เราไมควรจะทาํ ราย กย็ ้ังไวไ ด แตกย็ งั ถอื วาตัว ทาํ ถูก ไมเชอ่ื ฟง พอแม พอ ก็โกรธไมยอมพูดดว ย ตอมาเชา วันหนึ่ง อยดู ๆี เด็กคนนี้ยกแขนขวาไมขน้ึ แขนที่ จะใชต พี อน้นั ขยบั เขย้ือนไมไ ดเ ลย เรยี กวา ใชไมไ ด เหมอื นเปน อัมพาต หมอทางกายตรวจดแู ลวกไ็ มเ ห็นมอี ะไรผิดปกติเลย แขนก็ แข็งแรง เสนเอน็ ประสาทอะไรก็ไมบกพรองเสยี หาย (ลองนกึ เทียบ กับคนที่ไปฟงผลสอบ พอรูว า สอบตกก็เขาออน ยนื ไมอ ยู ท้งั ทร่ี าง กายกํายาํ ลาํ่ สัน หรอื คนทไ่ี ดย นิ ศาลตดั สินประหารชวี ติ อะไร จําพวกน)ี้ เร่ืองน้ีถา เราอธิบายแบบหักขาไกแลวตอมาตวั เองขาหัก ก็ เรียกวาเปน กรรมสนองแลว แตในกรณนี ี้เขาเอาเร่อื งจรงิ มาศกึ ษา วิเคราะหในเชิงวทิ ยาศาสตร และพยายามอธบิ ายตามแบบนักจติ วิเคราะห ศกึ ษาไปไดความแลว เขากอ็ ธบิ ายวา จติ ไรสํานึกของ เด็กคนน้ีแสดงตัวออกมาทาํ งาน ในเวลาทจี่ ิตไรส าํ นึกทํางานแลว จิตสํานกึ สูไมได ตอ งอยูใตอ ํานาจของมัน จิตไรส ํานึกทํางานเพราะอะไร ดว ยเหตุผลอะไร เหตุผลคอื ความรูสึกขดั แยง เกดิ ข้ึน เด็กนน้ั รูวา การตีพอ น้ีไมดี ถึงแมว าเขาจะ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๗ ไมไดทุบตีจรงิ แตเขาก็เงือ้ แขนขน้ึ กําลังจะทําอาการนน้ั แลว อยาง ไรก็ตาม เขาก็ไมอ าจยอมรบั ผิดได เพราะเขาถือวาเร่ืองทเี่ ขา ทะเลาะกบั พอนน้ั เขาไมผ ิด จติ สํานึกแกปญหาใหเ ขาไมได ความรู สึกขัดแยง กห็ นักหนวงทว มทับฝงลึกลงไป ในทส่ี ดุ การท่เี ขาเกดิ อาการแขนขยบั เขย้อื นไมไ ดน ัน้ เปน ดวย ๑. จิตไรสาํ นกึ ตองการขอความเหน็ ใจจากพอ ดวยอาการ ที่เขาขยับเขยือ้ นแขนไมได เขาเกิดไมส บาย มอี าการผิดปกตไิ ป แลว มันจะชวยใหพ อ เหน็ ใจเขาได เหมอื นกับยกโทษใหโ ดยออ ม โดยไมต องพูดขอโทษ (และก็ไมตองบอกวายกโทษ) แตท ่แี สดง ออกมาอยา งน้ี จิตสาํ นกึ ไมร ูตวั จิตไรสาํ นึกเปน ผทู ํางาน และ ๒. เปน การชดเชยความรสู ึกทีว่ าไดทําผิด เหมอื นวา ไดลง โทษตัวเอง มกี ารลงโทษเสรจ็ ไปแลว เพราะความคดิ ภายนอกถอื วาตวั ทําถกู แลว ไมย อมไปขอโทษพอ ยงั ไปคบผชู าย ยังออกไป นอกบานตามเดมิ แตใ นจติ สวนหนง่ึ มีความรูสึกวา ทไ่ี ดทะเลาะกับ พอ แสดงกบั พอ อยางนน้ั เปนความผดิ แลว ความรสู กึ ขดั แยงนี้ก็ลง ลึกไปอยใู นจิตไรส ํานึก แลว กช็ ดเชยออกมา โดยแสดงอาการให เห็นวามันไดถ กู ลงโทษแลว เปน อนั วา ฉันไดชดใชค วามผิดน้ันแลว จะไดพนความรสู กึ ขดั แยง น้ไี ปได ดวยเหตุผลทก่ี ลา วมานี้ เด็กน้นั กเ็ ลยขยับเขยอ้ื นแขนไมได ทั้งๆ ท่ีไมม โี รคหรือความผดิ ปรกตทิ างรา งกายเลยสกั นดิ เดยี ว แพทยคน หาเหตุแลว ไมพ บ ปจจุบันก็มอี ยางนบ้ี อ ยๆ คนทเี่ ปน โรคทางกาย มอี าการ ปวดศีรษะ หาสาเหตไุ มพบตางๆ เหลา น้ี จติ แพทยท ช่ี าํ นาญจะ ตองคน หาเหตทุ างจติ ใจ นี้กเ็ ปน ตวั อยางหนง่ึ ซ่ึงถามองเผนิ ๆ หรอื

๓๘ หลักกรรมสําหรบั คนสมัยใหม มองชวงยาวขามข้ันตอน กพ็ ดู ถงึ เหตแุ ละผลแคว า จะตีพอ ตอ มา แขนทจ่ี ะตีพอ กเ็ สยี ใชไ มไ ด ค. จติ ทาํ งานตลอดเวลา และนําพาชีวิตไป รวมความวา จิตไรสาํ นึกของเราทาํ งานอยเู สมอ ส่งิ ทเ่ี กดิ ข้ึนในจติ ใจแลว มันไมลมื ถา ไดท าํ ความช่ัวอะไรสักอยา ง จติ ก็ไป พัวพันอยู แลว ไปปรุงแตง อยูขางใน เชน ชักพาใหจ ิตโนม เอียงไป หาสภาพอยา งน้นั อยูเรอ่ื ย หรอื ปรงุ แตงความคิดวนเวยี นอยกู ับ เร่ืองแบบน้นั สมมติวาไปหักขาไกไว จิตกส็ ะสมความรูส กึ และภาพนี้ไว ในจิตไรส ํานึก แลว มนั กป็ รุงแตงของมันวนเวยี นอยนู ่ันเอง ออกไป ไมได จิตครุน คิดแตเรือ่ งขาหักๆ ๆ แลว จิตไรสาํ นกึ น้นั กค็ อยโอกาส ชักพาตัวเองไปหาเหตุการณที่จะนําไปสูการที่ตัวเองจะตองขาหัก หรือตอไประยะยาวเมื่อไปเกิดใหมมันก็เลยปรุงแตงขาตัวเองให พิการไปเลย เปน ตน น้ีเปนการอธบิ ายรวบรัดใหเ หน็ ทางเปนไปไดต างๆ ซงึ่ ใน ทางจิตวทิ ยาสมยั ใหมก ็เหน็ วา มคี วามสัมพนั ธก นั อยู แตผ ลท่สี ดุ มันเปนเร่อื งเหตปุ จ จยั ในกระบวนการของจิต เปน เรอื่ งของกรรมน้ี เอง น้เี ปน เพียงตัวอยา งใหเหน็ อยา งผิวเผนิ ขณะที่เรอื่ งจิตน้เี รายงั จะตองศึกษาใหละเอียดยิง่ ขึ้นไป ไมค วรผลผี ลามเอาความคดิ เหตุ ผลอยางงายๆ ของตนไปตัดสนิ เหตุผลท่อี ยใู นวิสัยอกี ระดับหนง่ึ ท่ี เลยขึ้นไป หรือสรุปเอาเรือ่ งทส่ี ลบั ซบั ซอนลงไปอยา งงา ยๆ พรอมกันนน้ั ก็ใหเ ห็นอกี อยางหนงึ่ วา วิชาการสมัยใหมบ าง อยางอาจจะมาชวยอธิบายสนับสนุนใหคนสมัยน้ีเขาใจคําสอน

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๓๙ ของพระพทุ ธเจา ไดเปนอยางดี และเด๋ียวนน้ี ักจติ วทิ ยาสมยั ใหม อยางนักจติ วเิ คราะหหลายคน กม็ าเลอื่ มใสในหลักธรรมของพระ พุทธศาสนา แลว เอาไปใชใ นการศึกษาเร่ืองจติ ใจและแกป ญหา โรคจิต เทาท่ีพูดแทรกเขามาในตอนนี้ก็เปนเร่ืองเก่ียวกับจิตของ คน หลักกรรมหรอื กฎแหงกรรมก็ทํางานสมั พันธก บั จติ ใจนน่ั เอง คอื สมั พันธก ับจติ ตนิยาม จิตตนิยามกับกรรมนิยามตองไปดวยกนั ตองอาศัยซึ่งกนั และกัน ในทน่ี ้เี ปนเพียงตองการชีใ้ หเหน็ วา ส่งิ ท่ี เราคิดวา เปน อํานาจเรน ลับมหศั จรรยน ้นั กเ็ ปนเร่อื งธรรมดานเี่ อง ซึ่งเปนไปตามเหตุปจจยั มีความสัมพันธส บื เนอ่ื งโยงกันอยใู หเห็น ได เปนแตว าตอนนเี้ รายงั ไมม ีความสามารถทจี่ ะเแยกแยะเหตุ ปจจัยนั้นออกมาใหเหน็ ชดั เจนเทานน้ั เอง เม่ือพูดถงึ ความเปนไปไดอ ยา งน้ี พอใหเหน็ แนวทางแลว ถาทานสนใจกอ็ าจจะศกึ ษาตอ ไป เปน เรอื่ งของการคน ควา เรา อาจจะโยงหลักอภธิ รรม เรือ่ งของจิต ทัง้ เร่ืองวิถจี ติ และภวังคจติ กับเรื่องจิตสาํ นกึ และจิตไรส าํ นกึ ของจติ วิทยาสมัยใหม เอามา เทียบเคียงกนั อนั ไหนเสริมกันก็จะไดน าํ มาชวยประกอบการ อธิบายแกค นยุคน้ใี หด ีย่งิ ข้ึนไป ขอผา นเรอ่ื งน้ไี ปกอน การใหผลของกรรมระดบั ภายนอก: สมบัติ ๔ - วิบตั ิ ๔ แงตอ ไป เกย่ี วกับการไดร ับผลกรรมอีกระดบั หนึ่ง อยางท่ี เราพูดอยเู สมอวา ทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชัว่ ไดชั่ว และมผี ชู อบแยง วา ทาํ ดไี ม เห็นไดด เี ลย ฉนั ทําดีแตไ ดชวั่ ไอคนนน้ั ทําชัว่ มันกลับไดด ี นก้ี ็เปน อีกระดับหนึ่งทน่ี า สนใจ ซึ่งก็ตอ งมีแงมแี นวในการทีจ่ ะอธบิ าย

๔๐ หลักกรรมสําหรับคนสมัยใหม เบ้ืองแรกเราตองแยกการใหผ ลของกรรมออกเปน ๒ ระดับ คือระดับที่เปนผลกรรมแทๆ หรือเปนวิบาก กับระดบั ผลขางเคียงท่ี ไดรบั ภายนอก ยกตัวอยา งเปนอปุ มาจึงจะพอมองเห็นชดั เชน คนหนงึ่ บอกวา ผมขยนั ทาํ การงาน แตไมเ ห็นรวยเลย แลว กบ็ อกวา ทาํ ดไี ม ไดด ี ในท่ีน้ี ขยัน คือ ทําดี และ รวย คือ ไดดี ทาํ ดี คือ ขยันก็ตองได ดี คือ รวย ปญหาอยูท่วี ารวยนน้ั เปนการไดดจี รงิ หรือเปลา ถาจะใหช ดั กต็ อ งหาตัวอยา งท่ีเปนรปู ธรรมยง่ิ ขึน้ เชน นาย ก. ขยนั ปลกู มะมวง ต้ังใจปลูกอยางดี พยายามหาวิธกี ารที่จะปลกู ปลูกแลวปรากฏวา มะมว งงอกงามจรงิ ๆ แลว นาย ก. กม็ มี ะมว ง เตม็ สวน แต นาย ก. ขายมะมวงไมได มะมว งเสยี เปลา มากมาย นาย ก. ไมไ ดเงนิ นาย ก. ก็ไมรวย นาย ก. กบ็ น วา ผมขยัน=ทาํ ดี ปลูกมะมวงเตม็ ที่ แตผมไมไ ดด ี=ไมรวย ปญหาท่เี กิดข้นึ คือ นาย ก. ลาํ ดบั เหตุและผลไมถ กู แยก ข้ันตอนของการไดรบั ผลไมถ ูกตอ ง นาย ก. ทําเหตุคือขยันปลูก มะมว ง กจ็ ะตองไดรับผลคอื ไดม ะมว ง มะมวงกง็ อกงาม มผี ลดก บริบรู ณ นี่ผลตรงกบั เหตุ ปลูกมะมวงไดมะมวง ขยันปลกู มะมวง ก็ ไดม ะมวงมากมาย แตนาย ก. บอกวา ไมไ ดเ งิน ไมรวยคอื ไมไ ดเ งิน ปลูกมะมวงแลวไมไดเ งิน นี่ไมถ กู แลว ปลูกมะมวงแลวจะ ไดเงนิ ไดอ ยางไร ปลกู มะมว งก็ตองไดมะมวง นีแ่ สดงวา นาย ก. พูดลําดบั เหตุผลผดิ เหตผุ ลทีถ่ กู คือ ปลูกมะมวงแลว ไดม ะมวง แต ปลูกมะมว งแลว รวย หรือปลูกมะมว งแลวไดเงินนีย้ ังตอ งดขู น้ั ตอ ไป ถา ปลูกมะมวงแลว ไดมะมว งมากมาย มะมวงลนตลาด คนปลูกทวั่ ประเทศ เลยขายไมอ อก กเ็ สียเปลา เปนอนั วาไมไดเงนิ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๔๑ ฉะนั้นก็ไมร วย อาจจะขาดทนุ ยบุ ยบั ก็ได เราตอ งแยกเหตผุ ลใหถกู เปนอันวา อยามาเถียงกฎแหง กรรมเลย ไปศกึ ษาพัฒนา ปญญาของคุณเองนัน่ แหละ กฎไมผ ดิ หรอก คุณปลกู มะมว งก็ได มะมว ง สวนจะไดเ งนิ หรือไมน ัน้ ตองอยทู ่เี หตปุ จจัยอนื่ ซึ่งเปน ลําดับเหตแุ ละผลอีกชวงตอนหน่ึง ท่ีจะตองแยกแยะวนิ ิจฉัยตอ ไป อีก เชนวา คุณขายเปน ไหม รูจ กั ตลาดไหม ตลาดตอนนม้ี ีความ ตองการมะมว งไหม ตองการมากไหม ราคาดีไหม ถาตอนน้คี น ตองการมะมว งมาก ราคาดี จัดการเรื่องขายไดเ กง คุณก็ไดเ งินมา จากการขายมะมว ง กร็ วย นเ่ี ปน อกี ตอนหน่ึง คนเราโดยท่วั ไปมัก จะเปนอยา ง นาย ก. น้ี คอื มองขามข้นั ตอนของเหตุผล จะเอาปลูก มะมว งแลว รวย จงึ ยงุ เพราะตวั เองคดิ ผิด ในเร่ืองนี้จะตองแบงลาํ ดบั เรือ่ งเปน ๒ ข้นั ขน้ั ที่ ๑ บอก แลววา ปลูกมะมวงไดมะมวง เมื่อไดมะมวงแลว ขั้นท่ี ๒ ทาํ อยาง ไรกบั มะมว งจงึ จะไดเงิน จึงจะรวย เราตองคดิ ใหตลอดทง้ั ๒ ตอน ตอนท่ี ๑ ถูกตองตามเหตุปจจัยแนน อนแลว คือปลกู มะมวงไดม ะมวง หลกั กรรมกเ็ หมอื นกนั หลกั กรรมในขน้ั ท่ี ๑ คือ ปลูกมะมว ง ไดม ะมวง เหตุดี ผลกด็ ี เมอ่ื ทา นปลกู เมตตาขน้ึ ในใจ ทานก็มเี มตตา มีความแชม ชนื่ จติ ใจสบาย ยิ้มแยมผอ งใส มีความ สุขใจ แตจะไดผ ลอะไรตอไปเปนอีกข้ันตอนหนง่ึ สาํ หรับตอนที่ ๒ ทานใหขอพิจารณาไวอ กี หลักหน่ึง ดังท่ี ปรากฏในอภธิ รรม บอกไววา การท่กี รรมจะใหผลตอไป จะตอ ง พิจารณาเร่ืองสมบตั ิ ๔ และวบิ ตั ิ ๔ ประกอบดว ย คือ ตอนได มะมวงแลวจะรวยหรือไม ตองเอาหลกั สมบตั ิ ๔ วิบตั ิ ๔ มา พิจารณา

๔๒ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม สมบตั ิ คือองคประกอบท่ีอาํ นวยชว ยเสรมิ กรรมดี มี ๔ อยาง คือ ๑. คติ คือ ถ่ินท่ี เทศะ ทางไป ทางดาํ เนนิ ชีวิต ๒. อปุ ธิ คอื รางกาย ๓. กาล คอื กาลเวลา ยุคสมัย ๔. ปโยค คือ การประกอบ หรือการลงมอื ทํา น้ีเปนความหมายตามศพั ท ฝา ยตรงขา ม คอื วิบตั ิ กม็ ี ๔ เหมือนกัน คอื ถา คติ อุปธิ กาล ปโยค ดี ชว ยเสริม กเ็ รียกวา เปน สมบัติ ถา ไมด ี กลายเปนจุดออน เปนขอ ดอย หรือบกพรอง ก็เรยี ก วาเปนวบิ ัติ ลองมาดวู า หลกั ๔ นม้ี ีผลอยา งไร สมมติวา คุณ ก. กับ คณุ ข. มวี ชิ าดีเทากนั ขยนั นสิ ัยดที ้ัง คู แตเขาตอ งการรบั คนทาํ งานท่เี ปนพนกั งานตอ นรับ อยา งที่ ปจจุบันเรยี ก receptionist ทําหนา ท่รี ับแขก หรอื ปฏิสันถาร คณุ ก. ขยัน มนี ิสัยดี ทําหนาท่รี บั ผดิ ชอบดี แตหนา ตาไมส วย คณุ ข. ก็ ขยัน มีนสิ ัยดี มคี วามรับผิดชอบดี และหนา ตาสวยกวา เขาก็ตอ ง เลือกเอาคุณ ข. แลว คุณ ก. จะบอกวา ฉนั ขยันอุตสาหทําดี ไมเ หน็ ไดดีเลย เขาไมเ ลือกไปทํางาน นีก่ เ็ พราะตวั เองมอี ปุ ธิวิบตั ิ เสียใน ดานรางกาย หรืออยา งคน ๒ คนตางก็มีความขยันหมนั่ เพยี ร มี ความดี แตค นหนึ่งรา งกายไมแ ขง็ แรง มโี รคออดๆ แอดๆ เวลา เลือก คนข้ีโรคกไ็ มไดรับเลือก นี้ก็เรียกวา อปุ ธวิ บิ ัติ ในเรื่องคติ คอื ที่ไปเกดิ ถิน่ ฐาน ทางดําเนนิ ชวี ติ ถาจะ อธิบายแบบชวงยาวขามภพขา มชาติ ก็เชน วา คนหน่งึ ทาํ กรรมมา ดีมากๆ เปนคนที่ส่ังสมบญุ มาตลอด แตพ ลาดนิดเดยี ว ไปทาํ กรรม ช่ัวนิดหนอย แลวเวลาจะตาย จติ ไปประหวัดถงึ กรรมชว่ั นัน้ กลาย

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๓ เปนอาสันนกรรม ทําใหไปเกดิ ในนรก พอดชี วงนน้ั พระพุทธเจามา อุบัติ ทง้ั ท่ีแกสง่ั สมบญุ มาเยอะ ถาไดฟง พระพุทธเจา ตรัส แกมี โอกาสมากทจ่ี ะบรรลธุ รรมขนั้ สูงได แตแ กไปเกดิ อยูในภพที่ไมมี โอกาสเลย ก็เลยพลาด น่ีเรียกวา คติวิบัติ ทีน้ีพูดชวงสั้นในชีวิตประจําวัน สมมติวาทา นเปนคนมสี ติ ปญญาดี แตไ ปเกดิ ในดงคนปา แทนทจี่ ะเปน นกั วทิ ยาศาสตรที่เกง กลาสามารถอยา งไอนส ไตน กไ็ มไ ดเปน อาจจะมปี ญญาดกี วา ไอนสไตนอีก แตเ พราะไปเกิดในดงคนปา จึงไมมโี อกาสพัฒนา ปญญาน้นั น่ีเรียกวา คติเสีย ก็ไมไดผ ลนีข้ นึ้ มา นี่คือ คติวบิ ัติ ขอตอ ไป กาลวิบตั ิ เชน ทา นอาจจะเปนคนเกง ในวิชาการ บางอยาง ศลิ ปะบางอยาง แตทา นมาเจริญเตบิ โตอยูในสมัยทเี่ ขา เกิดสงครามกันวุนวาย และในระยะทเี่ กดิ สงครามนเี้ ขาไมต องการ ใชวิชาการหรือศิลปะดา นนัน้ เขาตองการคนทร่ี บเกง มกี ําลังกาย แข็งแรง กลา หาญ เกง กลาสามารถ และมวี ชิ าที่ตองใชใ นการทาํ สงคราม วิชาการและศิลปะที่ทา นเกงเขาก็ไมเอามาพูดถึงกัน เขา พูดถึงแตค นที่รบเกง สามารถทาํ ลายศัตรไู ดม าก ทา นก็ไมไดรับ การยกยอ งเชิดชู เปนตน นเี่ รยี กวา กาลวบิ ัติ สําหรับทา นหรือนาย คนน้ี ขอ สดุ ทายคอื ปโยควบิ ตั ิ มีตัวอยา งเชน ทานเปน คนว่งิ เร็ว ถาเอาการวิ่งมาใชในการแขงขันกีฬา ทานก็อาจมีช่ือเสียง เปนผู ชนะเลิศในทีมชาตหิ รือระดับโลก แตทานไมเ อาความเกง ในการว่ิง มาใชใ นทางดี ทา นเอาไปว่ิงราว ลักของเขา ก็เลยไดรบั ผลรา ย ถูก จับขังคุก หรือเสียคนไปเลย นีเ้ ปน ปโยควิบตั ิ

๔๔ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม วาที่จริง ถาไมม งุ ถงึ ผลภายนอกหรอื ผลขางเคยี งสบื เน่ือง การเปนคนดี มีความสามารถ การเปนคนปา ทมี่ ีสติปญ ญาดี การมี ศิลปะวิชาการที่ชํานาญอยางใดอยางหน่งึ ตลอดจนการว่งิ ไดเร็ว มันกม็ ีผลดีโดยตรงของมนั อยแู ลว และผลดีอยา งนน้ั มีอยูใ นตัวใน ทันทีตลอดเวลา แตใ นการท่ีจะไดรับผลตอ เน่อื งอีกข้นั หนึง่ นัน้ เรา จะตอ งเอาหลักสมบตั -ิ วบิ ตั เิ ขาไปเก่ียวขอ ง เหมือนปลกู มะมว งเม่อื ก้ีน้ี ผลท่ีแนนอน คอื ทา นปลูก มะมว ง ทานกไ็ ดมะมวง นีต้ รงกนั เปนระดับผลกรรมแทๆ ข้ันตน สวนในขัน้ ตอ มา ถา ตองการใหป ลกู มะมว งแลว รวยดวย ทานจะ ตองรูจกั ทาํ ใหถ ูกตอ งตามหลกั สมบตั ิ-วบิ ตั ิเหลานี้ดว ย เชนตอ งรู จักกาละ เปน ตน วา กาลสมยั นี้คนตองการมะมวงมากไหม ตลาด ตองการมะมว งไหม มะมวงพันธอุ ะไรทค่ี นกําลงั ตองการ สภาพ ตลาดมะมว งเปน อยางไร มมี ะมวงลนตลาดเกนิ ความตอ งการไหม จะประหยัดตน ทุนในการปลกู และสง ใหถงึ ตลาดไดอ ยางไร เราควร จะจัดดําเนนิ การในเร่อื งเหลาน้ใี หถ กู ตอ งดว ย ไมใชคิดแตเพยี งวา ฉันขยันหมั่นเพยี รแลว กท็ ําไป เลยไดค วามโงม าเปน ปจจัยใหไดรบั ผลของอกศุ ลกรรม เปนอันวา ตองพิจารณาเร่ืองสมบตั ิ-วิบัติ ๔ น้เี ขามา ประกอบ วา ทําเลที่แหลงน้ีเปนอยางไร กาลสมยั น้ีเปนอยางไร การ ประกอบการของเรา เชนการจดั การขายสง ตางๆ นี้ เราทาํ ไดถ กู ตองดีไหม ถา เราปลูกมะมว งไดม ะมว งดีแลว แตเราปลกู ไมถ ูกกาล สมัย เราไมรูจักประกอบการใหถูกตอ ง อยา งนอ ยกม็ ีกาลวิบัติ และ ปโยควบิ ตั ิขึ้นมา เราก็ขายไมออก เลยตองขาดทุน ถึงขยนั ปลูก มะมว งก็ไมรวย (อาจจะจนหนักลงไปอกี )

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๔๕ การปฏิบัติท่ถี กู ตอ งในการทํากรรม เปนอันวา ถาชาวพทุ ธเราจะฉลาดรอบคอบในการทาํ กรรม ก็จะตองทาํ ใหถูกทงั้ ๒ ช้ัน ช้ันที่ ๑ ตัวกรรมนน้ั ตอ งเปนกรรมดี ไมใ ชกรรมชว่ั แลว ผลดี ข้ันที่ ๑ กเ็ กิดข้ึน จติ ใจของเราก็ไดร ับผลดที เ่ี ปนความสุข มคี วาม สุขเปนวิบากเปน ตน ตลอดจนผลดที ่ีออกมาทางวิถีชีวติ ท่ัวๆ ไป เชน ความนยิ มนับถือตางๆ เรยี กวามีดเี ขา มาในตัวอยูแลว แตในชนั้ ท่ี ๒ เราจะใหก ารงานกิจการของเราไดผลดมี ากดี นอย เราจะตองพจิ ารณาเรือ่ งคติ อุปธิ กาล ปโยค เขา มาประกอบ ดว ย ตอ งพจิ ารณา ๒ ช้นั ไมใชค ิดจะทาํ ดีกท็ ําดีดมุ ๆ ไป อยา งไรกต็ าม คนบางคนอาจจะเอาเรอ่ื ง คติ อปุ ธิ กาล ปโยค เขา มาใชโ ดยวธิ ีฉวยโอกาส เชน กาลสมบัติ ก็ฉวยโอกาสวา กาล สมัยน้ี คนกําลงั ตอ งการส่ิงน้ี ฉันกท็ าํ ส่งิ ที่เขาตองการ โดยจะดหี รอื ไมก็ชางมัน ใหไ ดผ ลทีต่ องการกแ็ ลวกนั นเ้ี รยี กวา มงุ แตผลชน้ั ท่ี ๒ แตผ ลชน้ั ท่ี ๑ ไมค าํ นงึ กเ็ ปน สง่ิ ทเ่ี สยี หายและเปน ขอ ดอ ยในทางกรรม ฉะนั้น ในฐานะที่เปนชาวพุทธจะตอ งมองผลช้นั ที่ ๑ กอน คือจะทาํ อะไรก็หลกี เล่ียงกรรมช่วั และทาํ กรรมดีไวก อน เม่ือไดพื้น ฐานดีนี้แลว กค็ าํ นงึ ถงึ ช้นั ท่ี ๒ เปนผลสบื เนือ่ งภายนอกซึ่งขึ้นตอ คติ อุปธิ กาล ปโยคดว ย กจ็ ะทําใหง านของตนไดผลดโี ดยสมบรู ณ เปนอันวา ในการสอนเร่อื งกรรมตอนนีม้ ี ๒ ชน้ั คอื ตวั กรรมทด่ี ที ี่ช่วั เอง และองคป ระกอบเรือ่ งคติ อุปธิ กาล ปโยค ถา เรา ตอ งการผลภายนอกเขา มารว ม เราจะตอ งใหช าวพทุ ธรจู กั พจิ ารณา และมคี วามฉลาดในเร่ือง คติ อปุ ธิ กาล ปโยคดว ย

๔๖ หลักกรรมสําหรับคนสมัยใหม สมมติวาคน ๒ คน ทํางานอยา งเดียวกนั โดยมคี ุณสมบัติ เหมอื นกนั ดเี หมอื นกนั ทง้ั คู แตถ า รา งกายคนหนง่ึ ดี อกี คนหนง่ึ ไมด ี คนที่รางกายไมด ี ก็เสียเปรยี บ และตองยอมรบั วา ตัวเองมอี ุปธวิ บิ ตั ิ เมื่อรูอยา งนีแ้ ลว ก็ตองแกไ ขปรบั ปรุงตัว ถา แกทร่ี า งกายไม ได กต็ อ งเพมิ่ พนู คณุ สมบตั ิทีด่ ใี หดียิ่งขึน้ เม่ือดยี ่ิงขนึ้ แลว คนท่รี าง กายไมด ี แตม คี ณุ สมบตั อิ นื่ เชน ในการทาํ งานมคี วามสามารถชาํ นิ ชํานาญกวา มากมาย จนกระทงั่ มาชดเชยคณุ สมบตั ิในดา นราง กายดีของอกี คนหนงึ่ ไปได แมตวั เองจะรา งกายไมด ี เขากต็ อ งเอา เพราะเปนคนมีความสามารถพิเศษ น้ีก็เปนองคประกอบทม่ี าชว ย ถาเรามีรางกายไมด ี บกพรอ งในดานอุปธวิ ิบัติ เรากจ็ ะตอ ง สรางกรรมดีในสว นอื่นใหเหนือยิง่ ข้นึ ไป ไมใ ชม ัวแตท อใจวา ทําดี แลวไมไ ดด ี นีเ้ ปนการรูจกั เอาหลกั เรื่อง คติ อปุ ธิ กาล ปโยค เขา มา ประกอบ และใชใ หเ ปน ประโยชน น่ีคือเร่ืองการใหผ ลของกรรมในแงต า งๆ นาํ มาถวายเปน เพียงแงค ดิ เพอ่ื ใหเ ห็นวาเร่อื งกรรมนต้ี องคิดหลายๆ แง หลายๆ ดาน แลว เราจะเห็นทางออกในการอธบิ ายไดดยี ิ่งขึ้น และมีความ รอบคอบสมบรู ณย งิ่ ขึน้ อยางไรก็ตาม จดุ สําคญั ก็คอื ตอ งการเช่อื มโยงใหเ ห็น ความเปนเหตเุ ปนปจจยั เพอื่ เราจะไมใ ชพูดแตเพยี งวา มีเหตอุ นั นี้ เกิดข้ึนในทแ่ี หง หน่งึ ในเวลาหน่ึงนานมาแลว สกั ๒๐–๓๐ ป ตอ มาเกิดผลดอี ันหนึง่ แลว เราก็จับมาบรรจบกัน โดยเชือ่ มโยงเหตุ ปจจัยไมได ซงึ่ แมจ ะเปน จริง ก็มีนํา้ หนกั นอ ย ไมคอยมีเหตุผลให เห็น คนกอ็ าจจะไมคอยเช่ือ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๔๗ เราจึงควรพยายามศกึ ษา สบื สาวเหตปุ จ จัยใหล ะเอยี ดย่งิ ขึ้น ถึงแมวามันจะยงั ไมช ัดละเอยี ดออกมา ไมปรากฏออกมาเต็มที่ แตก็พอใหเห็นทางเปนไปได คนสมยั นกี้ ็ตอ งยอมรับในเรอื่ งความ เปนไปได เพราะมนั เขาในแนวทางของเหตุปจ จัยแลว ผมคิดวา เร่ืองกรรมจะพูดไวเปนแนวทางเทา น้กี อ น ทา ทที ่ีถูกตองตอ กรรมเกา มีปญหาท่ีทานถามมาหลายขอ ดว ยกนั ปญ หาหนง่ึ เกีย่ ว กับเรือ่ งบพุ เพกตวาท เปนเรอื่ งที่ถามในหลกั นี้ จึงนาจะตอบ ทานถามวาทารกทีค่ ลอดมา บางคร้ังมโี รคที่หาสาเหตุไม ได หรือถอื กําเนดิ ในครอบครวั ทล่ี าํ บากขาดแคลน ถา ไมอ ธิบายใน แนวบพุ เพกตวาทแลว เราควรอธบิ ายอยางไรใหเ ขา ใจงา ย ในการตอบปญ หานี้ ตอ งพดู ใหเ ขา ใจกนั กอ นวา การปฏเิ สธ บพุ เพกตวาท ไมไ ดห มายความวา เราถือวากรรมเกาไมมผี ล ลทั ธิ บุพเพกตวาท ถือวาเปน อะไรๆ กเ็ พราะกรรมเกา ท้งั ส้ิน เอาตวั กรรม เกา เปน เกณฑต ดั สนิ โดยสนิ้ เชงิ ฉะนน้ั จะทาํ อะไรในปจ จบุ นั กไ็ มม ี ความหมาย เพราะแลวแตกรรมเกา ตอไปจะเปน อยา งไรก็ตอ งแลว แตกรรมเกา จะใหเปน ไป ทาํ ไปกไ็ มม ปี ระโยชน นคี้ อื ลทั ธกิ รรมเกา แตใ นทางพระพทุ ธศาสนา กรรมเกาน้นั ทา นกถ็ อื วาเปน กรรมอยา งหนง่ึ ที่เกิดขน้ึ แลว มีผลมาถงึ ปจ จุบนั แตชาวพทุ ธไมจ บ ตันอับจนอยูแคกรรมเกา ทีน้ีมาถึงเร่ืองท่ีเด็กคลอดออกมามีโรคที่หาสาเหตุไมได หรือเกิดในครอบครัวท่ีลาํ บากขาดแคลน นเ้ี ราสามารถอธิบายดว ย เรื่องกรรมเกา ตามหลกั กรรมนยิ ามไดด ว ย และอธบิ ายตามหลกั นยิ าม

๔๘ หลักกรรมสําหรบั คนสมยั ใหม อนื่ ๆ ดวย เชน ในดา นพชี นยิ ามวา ในสว นกรรมพนั ธุพอ แมเปน อยางไร เพราะกรรมพนั ธเุ ปนตัวกําหนดไดดวย ถา พอแมมีความ บกพรองในเรอ่ื งบางอยา ง เชน เปน โรคเบาหวาน ลูกกม็ ีทางเปน ได เหมือนกนั น้ีพชี นิยาม สวนกรรมนยิ าม ก็อาจจะอธบิ ายในแง ความเหมาะสมสอดคลองกันของคนทจ่ี ะมาเกิด กบั คนทีจ่ ะเปน พอแม ทาํ ใหม าเกิดเปนลูกของคนนี้ และมคี วามบกพรองตรงนี้ โดยมีพชี นิยามเขามาประกอบชว ยกาํ หนด สําหรับกรณีท่ีมาเกดิ ในครอบครัวทีล่ ําบากขาดแคลน ถา เราจะยกใหเปนเรอ่ื งกรรมเกากต็ ัดตอนไป ในเม่ือเขาเกดิ มาแลวใน ครอบครวั อยา งน้ี เราก็ตามไมเห็น ก็ตอ งตดั ตอนไปวาทํากรรมเกา ไมดี จงึ มาเกิดในครอบครวั ขาดแคลน แตเม่ือเกดิ อยา งนัน้ แลว ตามหลักกรรมท่ีถูกตองก็ตอ งคดิ ไปอีกวา เพราะเหตทุ ่เี กดิ ในครอบ ครวั ขาดแคลน ก็แสดงวาเรามีทุนเกาท่ีดีมานอย ก็ย่ิงจะตอง พยายามทํากรรมดีใหม ากขนึ้ เปน พเิ ศษ เพื่อจะปรบั แกช ดเชยให ผลตอไปขางหนา ดี ไมใชคดิ วา ทํากรรมมาไมดกี ็ตอ งปลอยแลวแต กรรมเกาจะใหเปน ไป ถา คิดอยางนัน้ กไ็ มถ กู ในทางท่ถี ูก จะตองคาํ นึงใหครบทั้งกรรมเกาและกรรมใหม เมอ่ื กรรมเกา ทม่ี มี าไมด ี กย็ งิ่ ทาํ ใหจ ะตอ งมกี าํ ลงั ใจเพยี รพยายาม แกไขปรับปรุง เชน ถา หากคนที่เขาเกิดมาร่าํ รวยแลว เขามีความ เพียรพยายามเทา นี้ สามารถประสบความสําเรจ็ กา วหนา ได เรา เกิดมาในตระกลู ทขี่ าดแคลน เรากย็ ิ่งตองมีความเพยี รพยายามให มากกวาเขาอีกมากมาย เราจึงจะมีชีวิตทีเ่ จริญกา วหนาได ตอ งตั้ง จิตอยา งนจี้ งึ จะถูกตอ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook