มหิฬามุขชาดก ชาดกว่าด้วยโทษของการคบคนพาล สดๆนที่ดรสขๆดก เวฬุวันมหาวิหาร นครลาวัตถี สาเทดุที่ตรสซาตก ในสมัยพุทธกาลมีชาวเมืองราชคฤห์สองคนเป็นเพื่อนกัน ได้พากันมาบวชในบวรพุทธศาสนาคนหนึ่งบวชในสำนักพระบรม ศาสดา ส่วนอีกคนหนึ่งบวชในสำนักพระเทวทัตที่ตำบลคยาสีสะ ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูสร้างถวาย อย่างไรก็ตาม ภิกษุที่งสองสหาย ยังคงไปมาหาส่กันอย่เสมอ
นิทานชาดกเล่มสาม ๕(ร) วันหนึง ภิกษุทีเป็นศิษย์ของพระเทวทัตกล่าวกับเพือนว่า \"นี่แนะท่าน! อย่าได้ออกบิณฑบาตให้ลำบากลำบนเลย ดูซิ เดินเสียเหงื่อไหลไคลย้อยเชียวซํ้าบางวันยังได้ไม่พอฉันเสียอีก มาฉันด้วยกันที'ลำนักของพระเทวทัตดีกว่า พระเจ้าอชาตคัตรูทรง ให้จัดภัตตาหารในวังมาถวายถึง ๕๐๐ ลำ รับทุกวัน ด้วนแต่มีรล เป็นเสีคอย่างจะหาที่ไหนเทียบไม่ได้เชียวแหละ\" แรก ๆ ที่ได้รับคำเชิญชวนจากเพื่อน ภิกษุนั้นก็บ่ายเบี่ยง แต่เมื่อได้1ปเหินและถูกคะยนคะยอบ่อยเข้า ๆ จึงร่วมฉันอาหารด้วย ต่อมาก็ไบ่ฉันเป็นบ่ระจำ เมื่อฉันแล้ว จึงกลับมายังเวฬุวันมหาวิหาร เป็นบ่กติ เพื่อนพระภิกษุทงหลายต่างพากันซักถาม ภิกษุรูบ่นี้จึง กล่าวว่า \"เราไปฉันอาหารที'สำนักของพระเทวทัตก็จริงอยู่ แต่ พระเทวทัตไม่ได้เป็นคนให้เรานี่ เราฉันอาหารของผู้ที่มีจิตศรัทธา นำ มาถวาย ไม่เห็นจะผิดอะไร\" เพื่อนพระภิกษุจึงพากันว่ากล่าว แล้วนำตัวไบ่เฟ้าพระลัมมา ลัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสอบถามได้ความเป็นจริงแล้ว จึงทรง ตำ หนิว่า \"ดูก่อนภิกษุ เธอมาบวชอยู่ในลำนักของเราซึ่งสอนให้ละ กิเลส นำ ตนให้พ้นจากกองทุกข์ แล้วท่าไมจึงไปฉันอาหารในลำนัก ของพระเทวท้ตซึ่งเป็นคนทุศีลด้วยเล่า ถึงแม้เธอจะอ้างว่าได้ร้บ อาหารจากเพื่อนหรือจากคนที่เขามีศร้ทธาถวายให้ ไม่ได้รับจาก
๕]ปี นิทานชาดกเล่มสาม พระเทวท้ต ก็ฟังไม่ขึ้นหรอก เพราะอาหารนั้นได้มาเพราะการ กระทำอันมิขอบของพระเทวท้ต คนเราเมื่อคบอันไปนานเข้า ๆ ความคิดอ่านก็จะไปในทางเดียวอัน คบคนดีก็จะเป็นคนดี คบคนชั่ว ก็จะพลอยชั่วไปด้วย เหมือนเมื่อครงที'เธอเกิดเป็นข้างชื่อ มหิ'ฟิามุข เมื่อชาติก่อนโน้น\" แล้วพระพุทธองค์ทรงนำ มหิ'ฟิามุชชาดก มาตรัสเล่า ดังนี้ เนี้อหาชาดก ในอดีตกาล ณ นครพาราณลี พระเจ้าพรหม'ดัตมี'จ้าง พระที่นั่งชื่อ 'พลายมหิ'พามุข เป็นจ้างที่งดงาม สงบเสงี่ยมเรัยบร้อย อยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด พระองค์จึงโปรดปรานมาก ต่อมามีโจรกลุ่มหนึ่งได้มาปลูกเ'ดีง'ดักอาศัยอยู่ไม่ไกลจาก โรงจ้างนัก 'ทุก ๆ คืนไนเวลาดึกสงัด พวกโจรจะวางแผนปล้นสะดม ชาวบ้านซาวเมือง ปรึกษาหารือกันต่าง ๆ เป็นด้นว่า จะขุดอุโมงค์ อย่างไร จะ'ซ่อนดัวที่ไหน จะ'ข่มขวัญหรือฆ่าเจ้าทรัพย์อย่างไร ครั้น เมื่อปล้นกลับมาแล้ว จะเลี้ยงฉลองกันด้วยสุราอาหาร ต่างพูด ถึง การปล้นราวกับไปสร้างวีรกรรมมา จากนั่นจะวางแผนปล้นฆ่ากัน ต่อไป เป็นเซ่นนี้ทุกคืน พลายมหิฬามุขได้ดังพฤติกรรมที่ทารุณโหดร้ายอยู่ทุกคืน ๆ ก็ลำ ศัญผิดคิดว่าเขาต้องการสอนไห้ตน'ทำเซ่นนั่นด้วย จึงได้เปลี่ยน กิริยาอาการตามไป เริมแสดงท่าทางเกะกะเกเรขึนเรื่อย ๆไจ้งวงหวด
๕๔ นิทานชาดทเล่มสาม ซ้ายป่ายขวาบ้าง เห็นใครเดินเข้ามาใกล้ ก็จะเข้าทำร้าย แม้แต่ข้าง ด้วยกันยังไม่ละเว้น จนกระทั่ง ในวันหนึ่งที่พลายมหิฬามุขตกมัน ก็ยิ่งแลดงอาการเกะกะเกเรอย่างน่ากลัว ถึงกับพังโรงข้างจนพินาศ เมื่อควาญข้างเข้าห้าม ก็ใข้งวงลับฟาดกับพื้นจนตาย แล้วยังอาละวาด ไล่ฆ่าควาญข้างอื่น ๆ อีกหลายคน ความได้ทราบถึงพระเจ้าพรหมหัต พระองค์ทรงวิตกกังวล ยิ่งนัก เพราะตามป่กติแล้ว ข้างเป็นลัตว์ที่มีกตัญณูสูง การฆ่าควาญ ข้างที่เลียงตนมา ข้างจะไม่ทำเด็ดขาด เว้นเลียแต่ว่ามันจะตกมัน จนครองสติไม่อยู่ จำ อะไรไม่ได้เท่านึ่น แต่พลายมหิฬามุขเป็นข้าง ทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมาก ถึงตกมันก็ไม่น่าจะร้ายกาจถึงเพียงนั้นได้ พระองค์จึงมีรับสั่งไห้อำมาตย์บัณฑิตผู้หนึ่งไป่ตรวจดูอาการของ พลายมหิฬามุข ท่านบัณฑิตตรวจดูแล้ว ก็เห็นว่าเป็นป่กติดี ไม่มี โรคภัยไข้เจ็บได ๆ จึงได้เรียกป่ระชุมควาญข้างทั่งหมด เพื่อหาสาเหตุ ที'เกิดขึ้น \"พลายมหิฬามุขอยู่ในวังตํ้งแต่เล็กแต่น้อย เป็นช้างที่ว่านอน สอนง่าย ไม'เคยดือดึงเลยสักครั้งเดียว แล้วอยู่ดีๆ ทำ ไมถึงกลาย เป็นช้างที่โหดเหี้ยมไปได้ ด้องมีคนคอยเหี้ยมสอนแน่ ๆ พวกเล้า ที่อยู่ในหี้คงจะรู้ จงบอกมาเดี๋ยวหี้\" บัณฑิตคาดคนถาม \"ไม'มีใครสอนจริงๆทำน\" ควาญข้างทั่งหลายต่างตอบ เป็นเสียงเดียวกัน อำ มาตย์บัณฑิตจึงรุกต่อ \"พวกเล้าไม่เหินมีอะไรผิดสังเกตบ้างเลยรึ\"
นิทานชาดกเล่มสาม ๕๕ \"ไมมจ๊ะท่าน ทุกอย่างเคยเป็นอย่างไรกิเป็นอย่างนั้น เคย ให้นั้า กิให้เหมือนเดิม ถึงเวลาอาบนั้ากิอาบ เวลาt!กกิมืก เวลานอน กินอน อ้อ....แต่หมูนั้พอตกกลางคืนจะมืเสียงหนวกหูน่ารำคาญ เหลือเกิน\" ควาญช้างผู้หนึ่งลาธยาย อำ มาตย์บัณฑิตซักถามได้ความว่าเป็นเสียงโจรทีมาซ่องสุม อยู่ใกล้ๆ จึงเชื่อว่าพลายมหิฬามุขมีนิสัยเปลี่ยนไปเพราะได้ฟัง ถ้อยคำของพวกโจร ครั้นตกเวลากลางคืน ท่านบัณฑิตได้มาพิสูจน์ ความจริงด้วยตนเอง แล้วกราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระองค์จึงมีรับสั่งให้จ้บโจรกลุ่มนั้นมาลงโทษ แล้วทรงปรึกษากับ อำ มาตย์บัณฑิตว่า \"พลายมหิฬามุขฟ'งถ้อยคำของพวกโจรจนเป็นช้างเกเร ไปแล้ว ท่านบัณฑิตคิดว่ามืทางใดบ้าง ทจะท่าให้กลับเป็นช้างทีดิ ดังเดิมไเอ้' อำ มาตย์บัณฑิตกราบทูลเลนอแนะว่า \"ขอเดชะ โดยนิลัยของพลายมหิฬามุขนั้น จะเชื่อฟงคำสั่ง สอนเสมอ การที'จะให้กลับเป็นช้างที'ดิได้นั้น ควรจะเชิญผู้ทรงศีล นัง้หลายไปสนทนาธรรมใกล้โรงช้างนั้น เมื่อพลายมหิฬามุขได้ฟง ปอยเช้าๆจิตใจจะโอบอ้อมอารีกลับเป็นช้างที่ดีดังเดิมได้พระเจ้าช้า\" พระเจ้าพรหมทัตจึงโปรดให้กระทำตามคำแนะนำของ อำ มาตย์บัณฑิต พลายมหิฬามุขเมื่อได้ฟังถ้อยคำลนทนาของผู้มีคืล นั้งหลาย เป็นด้นว่า ควรมีความเมตตากรุณา ควรโอบอ้อมอารี
๖ นิทานชาดกเล่มสาม มีความลำรวม ฯลฯ พลายมหิฬามุขได้ฟังธรรมอยู่เป็นประจำเช่นนั้น ก็กลับเป็นช้างที่มีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดังเดิม พระเจ้าพรหมหัต ทรงดีพระหัยมาก จึงได้พระราชทานรางวัลมากมายแก่อำมาตย์ บัณฑิตผู้นั้น 'ประชุมซาดก พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า ยมหิฟๆมุข ได้มาเป็นพระภิกษุรูปนี้ 'พระเจ้า'พร\"พม•หัต'พระองค์'นั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ อำ มาตย์บัฒ.หิต ได้มาเป็นพระองค์เอง ซ้อคิตจากชาดก ๑. การคลุกคลีไกลํซ๊ดกับคนพาลเป็นโทษอย่างยิง ฉะบัน ไม่ว่ากาลไหน ๆ ควรหลีกให้ห่างไกลจากคนพาล และไม่คบคนพาล โดยเด็ดขาด ลำ ห'รับคำว่า ค'น นั้น ได้แก่ การมีพฤติการณ์ต่อไปนี้ ๑. มีการไปมาหาสู่กัน ๒. หมั่นเช้าไปนั้งใกล้ (ตีสนิท) ๓. มีความจริงใจรักใคร่กันจริง sr. เลื่อมใสบับถือ ๕. เป็นเพื่อนร่วมคิดเห็น
นิทานชาดกเล่มสาม (ร:๗ ๖. เป็นเพื่อนร่วมกินร่วมอยู่ ๗. ร่วมถ่ายทอดความประพฤติ ๒. ลักษณะของคนพาล ได้แก่ ๑. ชอบคิดเรื่องชั่วตํ่าเป็นปกติ ๒. ชอบพูดชั่วตํ่าเป็นปกติ ๓. ชอบทำชั่วตํ่าเป็นปกติ ๓. โทษของการคบคนพาล มีโดยย่อดังนี้ ๑. ทำ ให้พลอยแปดเปีอนเป็นมลทิน ทงจะติด ความเป็นพาลและมีวินิจฉัยเสียตามไปด้วย ๒. ทำ ให้ถูกติเตียน ถูกมองในแง่ร้าย และไม่ได้รับ ความไว้วางใจจากคนทั่วไป ๓. ทำ ลายประโยชน์ของเรา ก่อให้เกิดความหายนะ การงานล้มเหลวเพราะคนพาลชอบก้าวก่ายงาน ของ^น ทไ .1.Var. ภยท้งหลายจะ เหลเข้ามาหาเรา เพราะคนพาล เป็นอัปมงคล อยู่ที่ไหนก็มีแต่เรื่องเดือดร้อน เราจึงพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ๕. ทำ ให้เราเอาตัวไม'รอด คุ้มตัวเองไม่ได้ ๖. มีอบายภูมิเป็นที่ไป โบราณทำนว่า ฝานสุนัขให้ห่างศอก ฝานวอก (ลิง) ให้ห่างวา ฝานพาลา (คนพาล) ให้ห่างร้อยโยชน์ พ้นโยชน์ หมื่นโยชน์
^<=• ป็ทานชาดกเล่มสาม แม้อำมาตย์บัณฑิตในอดีตกาลเมื่อพิจารณาเห็นโทษของ การคบคนพาลว่ามีมากมายยิ่งนัก จึงอธิษฐานจิตว่า \"ขอข้าพเจ้า อย่าพึงได้เห็น อย่าพึงได้ยินคนพาล แม้แต่ คำ ว่า คนพาลอยู่ที่โน้น อย่าพึงอยู่ร่วมกับคนพาล อย่าพึงทำ และ อย่าพึงพอใจการสนทนาปราศรัยกับคนพาลเป็นกันขาด\" อธิบายฟั'ฬท์ มหิฬามุขชาดก (อ่านว่า มะ-หิ-ลา-มุก-ขา-ดก) มหิ'อๆมุข 'ช้างมงคลชื่อมหิฬามุข 'พระคาดา'ประจำชาดก โบราณใจราน วโจ นิลมม มหิฬามุโข โปถยมานุจาริ สุสณฺฌตานํ หิ วโจ นิสมฺม คชุตฺตโม ลพพคุเณสุ อฎจ^า พระยาช้างต้นมหิฬามุขเที่ยวประหารคน เพราะได้ฟังคำซองพวกโจรมาก่อน พระยาช้างต้นกลับตั้งอยู่ในคุณ\"กั้งปวง เพราะได้ฟังคำของผ้มีศีลสำรวมตนดีแล้ว ดังนี้
อภิณห'ชาดก ชาดกว่าด้วยการติดเพื่อน สดๆนที่ดรสซๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเ'ฬดุที่ตรัสซาดก มีชายสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ชายคนหนึ่งเข้ามาบวชใน บวรพุทธศาสนา ส่วนเพื่อนแม้มิได้บวชก็บำเพ็ญตนเป็นอุบาสก ทำ บุญให้ทานโดยสมํ่าเสมอตลอดมาเป็นเวลานานปี
๖0 นิทานชาดกเล่มสาม เนื่องจากทงสองคนนีมีความรักใคร่สนิทสนมกันมาก ทุก ๆ วันเพื่อนที่บวชเป็นพระจะไปฉันอาหารยังเรือนของเพื่อนที'เป็นอุบาสก เมือฉันเสเจ สมควรแก่เวลาแล้ว เพื่อนผู้เป็นอุบาสกจะเดินมาล่งถึง เซตวันมหาวิหาร แล้วนงคุยกันต่อจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกจึงกลับ เข้าเมือง เพื่อนผู้เป็นภิกษุจะเดินไปล่งจนถึงประตูเมือง แล้วจึงกลับ เข้าวัด ตามล่งกันไปล่งกันมาเช่นนี้เป็นปี ๆ จนเป็นที่รู้กันในหมู'ภิกษุ ทั่วไป วันหนื่ง ภิกษุทั่งหลายได้สนทนากันที่ธรรมสภาถึงเรื่องของ พระเถระผู้นี้กับอุบาสกผู้สหาย พระสัมมาลัมพุทธเจ้าเสด็จมาและ ทรงสอบถาม เมื่อทรงทราบเรื่องแล้วจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพ นิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า \"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่บดนี้เท่านนที่คนทั้งสองมี ความคุ้นเคยสนิทสนมกนมาก แม้เมึ่อชาติก่อนโน้น ก็มีความคุ้นเคย สนิทสนมเช่นนี้เหมีอนก้น\" แล้วพระพุทธองค์ทรงนำ อภิผ,'ฬฃๆดก มาตรัสดังนี้ เนอหๆซๆดก ณ โรงข้างของพระเจ้าพรหมทัต มืลูกสุนัขตัวหนื่งพลัดจาก แม่มาอาศัยอยู่ในโรงข้างนั้น พระยาข้างด้นรักและเอ็นดูลูกสุนัขมาก ให้ร่วมกินอาหารและขนมนมเนยด้วย เมื่อกินแล้ว ก็เล่นกันเป็นที่
นิทานชาดกเล่มสาม ๖๑ สนุกสนาน ลูกสุนัขมักจะวิ่งหลอกล่อช้างต้นไปมา ฝ่ายช้างต้นก็ใช้ งวงจับลูกสุนัขไสไปไสมาตามพื้นบ้าง ยกไว้บนกระพองบ้าง สัตว์ ทงสองร่วมกิน ร่วมเล่น และอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันต้วยความ ผาสุกตลอดมา อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งเช้ามาในโรงช้าง เห็นลูกสุนัข มีสักษณะดี ขนเป็นเงางาม ท่าทางเฉลียวฉลาด จึงบังเกิดความ เอ็นดู ถึงกับเอ่ยปากขอชื้อลูกสุนัขจากควาญช้างเพื่อจะนำไปเลี้ยง ควาญช้างทนรบเร้าอ้อนวอนไม่ไดีจึงขายให็ไป นับแต่วันที่ลูกสุนัขถูกพรากไป พระยาช้างต้นก็ไม'เป็นอันกิน อันนอน แม้กระทั่งควาญช้างพาไปอาบนํ้า ก็ไต้แต่ยืนนึ่งเฉย ไม'ขัดลีร่างกายอย่างเคย ซํ้าบางคราวยังเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย นํ้าตาไหลพรากลงอาบแก้ม ใครจะเรียกขานอย่างไรก็ไม'รับรู้ ราวกับ ว่าหัวใจสลายไปเลียแล้ว เมื่อพระยาช้างต้นมีอาการเช่นนี้หลายวันเช้า ควาญช้าง เสึกวิตกกังวลมาก เกรงว่า หากพระยาช้างต้นเป็นอะไรไป ตน จะมีความผิด จึงไต้นำความขึ้นกราบทูลให้พระเจ้าพรหมหัตทรงทราบ พระองค์จึงมีรับทั่งให้อำมาตย์บัณฑิตผู้หนึ่งไปตรวจดูอาการพระยา ช้างต้น อำ มาตย์บัณฑิตเมื่อได้ตรวจดูอาการแล้ว ไม'พบความผิดปกติ ใด ๆ พระยาช้างต้นยังมีร่างกายแข็งแรงดี ไม'ป่วยไม'ใช้ จึงสันนิษฐาน ว่าอาการที่ปรากฏนั้นคงมิใช่เกิดจากโรคทางกาย ต้องเกิดจากโรค
นิทานชาดกเล่มลาม ๖๓ ทางใจเปนแน่ แต่อะไรเล่าคือลาเหตุให้เป็นเซ่นนํ่ \"ตามธรรมดาในหมู่ชนทั่วไปที่จะปีอาการเสียใจถึงเพียงน มักเป็นเพราะถูกพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก.... หรือว่าพระยาช้างต้น ถูกพรากจากผู้เป็นที่รักด้วย ใครกันหนอที่เป็นที่รักของพระยาช้างด้น จะว่าควาญช้างกัไม่ใช่ เพราะยังอยู่ที่นี่แต'จะต้องปีแน่ๆ คนที่ สนิทสนมและด้นเคยกับพระยาช้างต้นยิงกว่าควาญช้าง\" คิดดังนี้แล้ว อำ มาตย์บัณฑิตจึงลอบถามควาญช้างทันที \"นี่ พ่อควาญ ธรรมดาพระยาช้างสนิทสนมกับใครเป็นพีเศษ บ้างไหม\" \"ไม'เหนปีใครเลยจะ นอกจากลูกสุนิขตวหนี่งที่เคยเล่น ด้วยกัน\" ควาญช้างตอบ \"ลูกสุนัขที่ไหน พ่อควาญเลี้ยงไวร็ ฉันไม'เหนปีเลย\" \"ไม'ได้เสียงไว้หรอก ไม'รู้ว่ามันมาจากไหน เหนมากินช้าว กินขนมของพระยาช้างต้นบุกวัน แล้วกัเล่นกัน กินนอนอยู่ในโรงช้าง นี่แหละ\" ควาญช้างตอบ \"แล้วมันไปไหนเสียเล่า ไปพามาให้ดูหน่อยซิ\" อำ มาตย์ บัณฑิตร้องลั่ง แต่ควาญช้างบอกว่าได้ขายให้ชาวบ้านคนหนึ่งไป็ เลีriแล้วและไม่รู้ด้วยว่าบ้านชองแกอยู่ที่ไหน อำ มาตย์บัณฑิตจึงกราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบว่า ที่ช้างด้นมีอาการซึมเศร้าเหมือนหมดอาลัยในชีวิตแล้ว'นั้น เป็นเพราะ
๖cr นิทานชาดกเล่มสาม คิดถึงลูกสุนัขที่เป็นเพื่อนรักกัน พระองค์จึงโปรดให้ป่าวประกาค ไป่ทั่วเมืองให้ผ้ที่เลี้ยงสุนัขตัวนีไว้ปล่อยออกมาเลีย มิฉะนน หาก ตรวจพบในเรือนของ^ด ผ้นนจะมืโทษ ฝ่ายลูกสุนัขนั้น เมื่อถูกนำไป่เลียงไว้ก็ไม่เป็นอันกินอันนอน เซ่นเดียวกัน แม้ว่าจะได้รับการเอาอกเอาใจอย่างไรก็ตาม มันได้แต่ นอนนํ้าตาซึมอยู่กับที่ จนกระทั่งชาวบ้านคนที่นำไป่เลียงได้ยินเลียง ทหารป่าวประกาศข่าว จึงปล่อยมันไป่ ทันทีที่พ้นจากรั้วบ้าน ลูกสุนัขวิ่งสุด'ฝืเท้าตรงมายังโรงช้างด้น ด้วยใจที่ลิงโลด พระยาช้างด้นเห็นลูกสุนัขวิ่งมาแต่ไกล ก็เป่ล่ง เลียงร้องด้วยความดีใจ และใช้งวงกอดรัดไว้ทันทีที่ลูกสุนัขมาถึงตัว นำ ตาแห่งความปีติไหลพรากด้วยกันทงดู่ พระยาช้างด้นค่อย ๆ วางลูกสุนัขไว้บนกระพองด้วยความรักอย่างสุดซึง แล้วให้ลูกสุนัข กินข้าวและขนมของตน เมื่ออิ่มแล้วตนจึงค่อยกินภายหลัง อำ มาตย์บัณฑิตเห็นว่าพระยาช้างต้นเป็นปกติสุขดีแล้ว จึง ไป่กราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระองค์ทรงตรัสชมเชย ที่ท่านบัณฑิต!'อัธยาศัยของลัตว์เดียรัจฉาน และทำให้พระยาช้างต้น เป็นปกติสุขเซ่นเดิมได้ จึงได้พระราชทานยศและทรัพย์สินเป็นรางวัล ให้เป็นอันมาก บระฃุมฃๆดก พระลัมมาลัมพทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า
นิทานชาดกเล่มสาม ๖๕ ลูกสุนัข ได้มาเป็นอุบาลกในขณะนี้ พระยาขางต้น ได้มาเป็นพระเถระผู้ลหาย พระเจ้า'พรหมทัด ได้มาเป็นพระอานนท์ อำ มาตย์บัณฑิต ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากชาดก การมีเพื่อนเป็นลิ่งดี แต่การติดเพื่อนจะไหโทษ เพราะก่อ ให้เกิด'ทุกข์ ๒ ประการ คือ ๑. ทุกข์เพราะความคิดถึง ๒. ทุกข์เพราะเลียการงาน แม้กระทั่งในครอบครัวก็เช่นกัน ลามีหรือภรรยาที่ติดฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งมากเกินใป จนต้องเกี่ยวก้อยห้อยตามกันไปทุกหนแห่ง เหมือนเงาตามตัว หรือพ่อแม่ที่ติดลูกจนทะนุถนอมและห่วงใยตังไช่ ในหินก็ไม่ปาน ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใดเลย เพราะ นอกจากจะลร้างความทุกข์กังวลให้ต้องทรมานซึ่งกันและกันเมื่อ พรากจากกันแล้ว ยังทำให้ต่างฝ่ายไม่ลามารถเป็นตัวของตัวเองใต้ เป็นการถ่วงความเจริญก้าวหน้าของกันและกันอีกด้วย ตังนั้น ใคร ทีกำ ลังรักใคร่ในบุคคลใดก็ตาม 'พึงเตือนตนให้รักแต่พอประมาณ ล'วนใครที่ยังไม่ใต้รักใคร่ผู้Iด ก็อย่าได้ขวนขวายให้วุ่นวายใจ ใ'หคิด เลมอว่า \"มากร้กก็มากนํ้าตา ไม่มีรักก็ไรันํ้ๆตา\"
๖๖ • นิทานชาดทเล่มลาม อธิบายสั'พฬ อภิณหชาดก (อ่านว่า อะ ทิน หะ ชา ดก) อภิผ.ฬ การไม่พรากจากกัน ช้างต้น ช้างทรงของพระราชา \"พระคาฉาบระจำชาดก นาลํ กพลํ ปทาตเว น ปิณฺฑํ น กุเล น ฆํลิตุ๊ มณฺณามิ อภิณฺหทลสนา นาโค ลิเนหมกาลิ กุกฺกุเร พระยาช้างต้นไม่ลามารถจะรับอาหารได้ ไม่สามารถจะรับ ก้อนช้าวได้ ไม่ลามารถจะรับหญ้าได้ ไม่ลามารถจะลีกายได้ ช้าพระบาทสำคัญว่า พระยาช้างต้นมีความสิเนหาอาลัยลูกสุนัข เพราะได้เห็นกันเนือง ๆ คังนื
นันทิวิสาล'ชาดก ชาดกว่าด้วยการ'พดจาไพเราะ สถาน■ที่ตรัสชาดก เซตวันมหาวิหาร นครลาวัตถี สาเทตุที่ตรัสชาดก ครั้งหนึ่งในลมัยพุทธกาล มีภิกษุ ๖ รูป เรียกว่าพระฉัพพัคคีย์ เป็นผู้ที่ไม'ตั้งใจปฏิป้ติธรรม ชอบก่อกวน กลั่นแกล้ง หาเรื่องทะเลาะ วิวาท พูดจาข่มขู่ เลียคลีภิกษุอื่น ๆ อยู่เลมอ
bcr . นิทานชาดกเล่มลาม จนกระทั่งความทราบถึงพระสัมมาล้มพุทธเจ้า พระพุทธองค์ จึงกล่าวตำหนิโทษพระฉัพพัคคีย์ แล้วตรัสใหโอวาทว่า \"ผู้กล่าววาจาหยาบคาย ย่อมนำความฉิบหายมาให้ตนเอง เพราะเขาย่อมไม่เป็นที่พอใจของใคร ๆ แม้แต่ส้ตว์เดียร้จฉาน ก็ตาม\" แล้วพระพุทธองค์ทรงนำ นันทิวิสิาลชาดก มาตรัสเล่า เป็นอุทาหรณ์ ดังนี้ เนี้อหาชาดก ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าคันธาระครองราชสมปติอยู่ ณ เมืองตักกสิสา มืพราหมณ์ผู้หนึ่งได้เลี้ยงลูกโคไว้ด้วยความทะนุถนอม เอาไจไล่ดูแลราวกับมันเป็นลูกของตนเลยทีเดียว พราหมณ์เรียก ลูกโคด้วยชื่อที่มืความหมายซึ่งแสดงถึงความรักอันมากมายว่า นันทิวิลาล โคนันทิวิสาลได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างดีจนเติบโตเป็นโคหนุ่ม มืรูปร่างลํ่าสัน แข็งแรง เป็นโคที่ชยันขันแข็ง อยู่ไนถ้อยคำชองพราหมณ์ ชรา แม้ว่าโคนันทิวิสาลจะตั้งไจทำไร่ไถนาช่วยเหลือการงานอย่าง เต็มที่แล้วก็ตาม แต่ยังคิดหาโอกาสตอบแทนคุณของพราหมณ์ไห้ มากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ วันหนึ่ง ขณะที่พราหมณ์ชรานั่งพักผ่อนอยู่ที่โคนไม้ข้างบ้าน
นิทานชาดกเล่มสาม ๖๙ โคนันทิวิลาลเดินเข้าไปหาแล้วพูดขึ้นว่า \"พ่อจ๋า พ่อเหน็ดเหนื่อยเลื้ยงฉันมาจนโตเป็นหนุ่มแล้ว แม้ฉันจะเอาใจใส่ช่วยเหลืองานของพ่ออย่างไร ก็ยังรูสึกว่าตอบแทน คุณของพ่อน้อยเกินไป ฉันอยากจะช่วยพ่อให้มากกว่าปีอีกจ๊ะ\" พราหมณ์ยกมือขึ้นลูบหัวโคนันทิวิลาลด้วยความเอ็นดู แล้ว กล่าวว่า \"ลูกเอีย ลูกช่วยงานพ่อสารพัดอย่างอยู่แล้วนื่ ยังจะมีอะไร อีกหรือทีลูกคิดว่าจะช่วยพ่อได้ปะ?\" โคนันทิวิลาลจีงตอบว่า \"ฉันอยากจะให้พ่อไปท้าพนันกับท่านเศรษฐีด้วยเงินเดิมพัน สัก ๑,๐00 กหาปณะ บอกเขาว่าพ่อมีโคที'แข็งแรงที่ลูด ลากเกวียน ได้ทีละ ๑๐๐ เส่ม รับรองว่าเขาจะด้องรืบรับคำท้าของพ่อแน่นอน\" พราหมณ์ได้ฟังแล้วไม่เชื่อหูตัวเอง จึงถามซํ้าว่า \"อะไรนะ ลูกลากเกวียนได้ทีละ ๑๐๐ เส่มเชียวหรือ อย่ามา ล้อพ่อเส่นนะ ลากเกวียนเปส่าหรือเกวียนบรรทุกของส่ะ?\" เมื่อโคนันทิวิลาลยืนยันว่าลามารถลากเกวียนบรรทุกของได้ ๑๐๐ เล่มอย่างแน่นอนพราหมณ์จึงเข้าไปในเมืองเพื่อท้าพนันท่าน เศรษฐีทันที \"นี่ท่าน ฉันมีโคอยู่ตัวหนึ่ง แข็งแรงมาก\" \"ไม'แปลกนี่ฉันก็มีโคที่แข็งแรงเหมีอนกัน\" ท่านเศรษฐีพูด อย่างไม่ใส่ไจ
๗๐ นิทานชาดกเล่มสาม \"แต่โคของฉันลากเกวียนได้ทีละ ๑๐๐ เล่มเชียวนะ\" พราหมณ์รุกเร้าต่อ \"ฟย! โคอะไรลากเกวียนไดทีละ ๑๐๐ เล่ม ฉันไม่เชื่อหรอก\" เศรษฐีกล่าวตอบ \"จริง ๆ นะ ถ้าไม่เชื่อ พนันกันไหมล่ะ\" พราหมณ์ไดโอกาล ท้าพนันทันที \"ได้ซิ สักเท่าไรดีล่ะ?\" \"๑,๐๐๐ กหาปณะเลยเป็นไง\" เศรษฐีมองหน้าพราหมณ์ พลางรับคำท้า พร้อมกับกำหนด วันประลองกำลังโคนันทิวิลาลในใจของเศรษฐีคิดว่า พราหมณ์นำ โชคลาภมาให้ตนแท้ๆ เพราะจะมีโคที่ใหนที่ลามารถลากเกวียนใด้ ศรงละถึง ๑๐๐ เล่ม แต่...ถ้าพราหมณ์ใม'แน่ใจจริง จะกล้ามาท้า พนันตนหรือ เงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะลำหรับพราหมณ์ผู้นี้ ใม่ใซ' จำ นวนเล็กน้อยเลย เมื่อถึงกำหนดนัดประลองกำลัง คืนนั้น พราหมณ์ชรานั่ง นับเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ พลางรำพึงขึ้นว่า \"เราจะไปวางเดิมพันกับท่านเครษฐีพรุ่งนี้แล้ว ถ้าเราชนะ เราจะได้เงินมาอีกพันหนึ่ง แต่ถ้าเราแพ้เราจะด้องสูญเสียเงินที'เรา ล้อุตล่าห์เก็บหอมรอมริบมาด้วยความเหนื่อยยากนี้\" พราหมณ์ชรารู้สึกวิตกกังวลจนใม'อาจข่มตาหลับลงใด้ จนกระทั่งใกล้รุ่งจึงเผลอหลับใปด้วยความอ่อนเพลีย
นิทานชาดกเล่มสาม ^<^ เช้าวันนั้น โคนันทิวิสาลได้มาปลุกพราหมณ์ชราให้ลุกขึน เมื่อชำระร่างกายแด้วจึงพากันเดินเช้าไปในเมือง ทันทีที่ย่างเท้าเช้า เมือง พราหมณ์ชรารู้สึกตกใจที่เห็นซาวบ้านยืนจับกลุ่มวิพากษ์ วิจารณ์การประลองกำลังครั้งนี้ บางคนวิ่งเช้ามาถามว่า \"พ่อพราหมณ์ไม่กลัวจะหมดตัวเรอะ?\" หรือใม่ก็ท้าทายว่า \"พ่อพราหมณ์จะพนันกับฉันด้วยมํ้ยล่ะ ต่อ ๑๐ เอา ๑ เลย โคนันทิวิสาลลากไม่ไหวหรอก\" บางคนยิ้มเยาะ กล่าวถ้อยคำกระทบกระเทียบต่าง ๆ นานา พราหมณ์ชราเริ่มรู้สึกว่า กำ ลังใจของตนตกลงไปเรื่อย ๆ จนแทบจะ ไม่มืแรงเดิน และเมื่อเห็นขบวนเกวียน ๑๐๐ เล่ม ผูกติดกันยาวเหยียด อยู่ช้างหน้า แต่ละเล่มล้วนบรรทุกดิน หิน และทรายจนเพียบ พราหมณ์ชราแทบจะหมดแรงไปเลยทีเดียว รู้สึกว่ามือเท้าอ่อนเปลี้ย เหงื่อไหลเปียกซุ่มไปทงกาย ตนเองขึ้นไปนั่งที่ ทูบเกวียน ด้วยจิตใจ ที่วุ่นวายลับลน \"นี่เราจะต้องมาเสียเงิน และอับอายขายหน้าชาวบ้าน เพราะโคที่เราอุตล่าห์เลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อยหรือนี่ โคนันทิวิสาล จะเอาแรงที่ไหนมาลากเกวียนหนัก ๆ ไดถึง ๑๐๐ เล่ม มันเคยลาก แค่ไม่ที่สิบเล่ม มันหลอกเราหรือเปล่า มันโกหกเราหรือเปล่า\" ความคิดทั้งหลายอื้ออึงอยู่ในลมอง จนพราหมณ์ชราควบคุม อารมณ์ไม่อยู่ กระทั้งได้ยินเสียงกรรมการดีกลองให้สัญญาณ พราหมณ์ชราจึงเอื้อปฎักขึ้นพร้อมกับตะโกนว่า
€ไ!๒ นิทานชาดกเล่มสาม \"เจ้าโคเกเร จงลากเกวียนไปเดียวนี้! เจ้าโคนี้โกง จงลาก ไปเร็ว ๆ\" โคนันทิวิสาลไเพนดังนั้นถึงกับนํ้าตาไหลพราก คิดไม่ถึงว่า พราหมณ์จะร้องเรียกตนด้วยถ้อยคำที่บาดหูด'อหน้าฝูงชนจำนวน มากมายเช่นนี้ จึงหมดกำลังใจที่จะออกแรงลากเกวียนไป ได้แต่ยืนนิ่ง อยู่กับที่นิ่นเอง พราหมณ์ชราแพ้พนันกลับบ้าน ทงเลียดายเงิน ทั้งอับอาย ขายหน้า จึงได้แต่นอนก่ายหน้าผากอยู่ในบ้านจนกระทั้งเย็น โคนันทิวิลาลเห็นผิดลังเกต จึงเดินเข้าไปถามว่า \"พ่อพราหมณ์ พ่อนอนหลับไปหรือ?\" พราหมณ์จึงตอบว่า \"คนถูกหลอกให้เสียเงินไปตงพัน จะนอนหลับได้อย่างไรกัน\" โคนันทิวิสาลจึงกล่าวว่า \"พ่อพราหมณ์ ตลอดเวลาที่พ่อเลยงฉันมา ฉันเคยโกหก เคยคดโกง เคยเกะกะเกเรให้พ่อต้องเดีอดร้อนรำคาญใจบ้างไหม?\" พราหมณ์ตอบทันทีว่า \"ไม'เคยนี่! ทำ ไมหรือ?\" โคนันทิวิสาลจึงกล่าวว่า \"เมื่อฉันไม่เคยโกหก ไม่เคยคดโกง ไม่เคยเกเร แล้วทำไม พ่อถึงเรืยกฉันว่า เจ้าโคเกเร เจ้าโคนี้โกงล่ะ ฉันพังแล้วหมดกำลังใจ ลากเกวียนจริง ๆ พ่อแพ้พนันเพราะคำพูดของพ่อเองแท้ๆ\"
นิทานชาดกเล่มสาม ojcn พราหมณ์ชราได้ฟังดังนั้น จึงสำนึกได้และรูลึกเสียใจยิ่งนัก โคนันทิวิลาลได้กล่าวยํ้าแก่พราหมณ์อีกว่า \"ขอให้พ่อมั่นใจเถิดว่า เกวียนบรรทุกหิน บรรทุกทราย ทัง้ ๑๐๐ เล่มมั่นน่ะ ฉันลากได้ พ่อไปท้าพนันท่านเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง เถิด คราวนี้เพิ่มเดิมพันเปีนสองเท่าเลย แต่ขอเถอะนะ อย่าเรียก ฉันว่า โคเกเร หรีอ โคขี้โกงอีกเลย พังแล้วมันทอนกำลังใจจริง ๆ\" พราหมณ์ชราจึงไปท้าพนันกับเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อใกล้ เวลาประลอง พราหมณ์ชรานำพวงมาลัยมาคล้องคอให้!คนันทิวิลาล พาไป เทียมเกวียน พร้อมกับเอามือลูบหลังโคไปมา แล้วกล่าวว่า \"ลูกเอ๋ย เกวียนทั้ง ๑๐๐ เล่มนี้ บรรทุกทั้งดิน หิน ทราย มันหนักมากนะลูก ลูกค่อยๆดึงไปนะ พ่อจะเอาใจช่วยเต็มที'เลย\" โคนันทิวิสาลได้ฟังคำพูดที่ไพเราะรื่นหูเช่นนั้นก็เกิดกำลังใจ มืเรี่ยวแรงเต็มที่ จึงค่อย ๆ ออกแรงลากเกวียนทั้ง ๑๐๐ เล่มนั้น บรรดาชาวเมืองทั้งหลายที่เฝัาดูการประลองกำลังครั้งสำคัญนี้เมื่อ เห็นพราหมณ์ชรายิ้มแย้มแจ่มใส มืท่าทีมั่นใจ จึงต่างพากันล่งเสียง เอาใจช่วย \"ดึงเลย....ดึงเลย นันทิวิสาลลูกพ่อ เล้า....อบ\" เกวียนทั้ง ๑๐๐ เล่มค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องปรบมือแสดงความยินดีของชาวเมืองทั้งสอง ข้างทาง \"ไขโย.....เกวียนเคลื่อนแล้ว ไชโย....โคนันทิวิลาสเก'งจริงๆ\"
นิทานชาดกเล่มสาม ๗(Sr เศรษฐีเห็นดังนั้นถึงกับตกตะลึงแทบไม'เชื่อลายตาตัวเอง และได้มอบเงิน ๒,๐๐๐ กหาปณะแก่พราหมณ์ชรา พร้อมทั้งกล่าว แสดงความชื่นซมในความลามารถของโคนันทิวิสาล ส่วนชาวบ้านซาว เมืองทั้งหลายต่างเข้ารุมล้อมแสดงความยินดี บางคนก็ให้เงินทอง ของกินของใช้แก่พราViมณ์ชราและโคนันทิวิลาสเป็นรางวัลในครั้งนี้อีกด้วย 'ประซุมซๆดก เมื่อพระสัมมาส้มพุทธเล้าตรัสชาดกจบแล้ว ทรงตรัสคาถาว่า \"ไม่ว่าเมื่อใด บุคคลคารกล่าวแต'คำที'น่าพอใจเท่านั้น ไม่ควรกล่าวคำที'ไม่น่า'พอใจ ด้งเช่นพราหมณ์เมื่อกล่าวคำที'น่าพอใจ โค■นันทิวิสาลก็ลากเกวียนอันห'แกนั้น ไปได้ ท่าใ'ห้พราหมณ์ได้ ทรัพย์ โคนันทิวิสาลก็ดีใจที'ช่วยเหลือพราหมณ์ได้อีกด้วย\" พระสัมมาส้มพุทธเล้าทรงประชุมชาดกว่า \"ฬรๆหมณ์รเรๆ ได้มาเป็นพระอานนท์ โค'นันทิรสาล ได้มาเป็นพระองค์เอง ฃ้อคิดจๆกซๆดก ๑. แม้แต่สัตว์เดียรัจฉาน ก็ยังมืความกดัญณูรู้คุณ และ พยายามตอบแทนผู้มืพระคุณแก่มัน หากใครไม่รู้คุณคนก็แย่ยิ่งกว่า สัตว์ ไม่สมควรที่ผู้ใดจะคบค้าสมาคม เพราะเขาเป็นพาลแท้ๆ
๗๖ นิทานชาดกเล่มสาม ๒. แม้คนที่กตัญญูรู้คุณ ตั้งใจจะทดแทนคุณ ยอมทำตามใจ เราทุกอย่าง ก็ยิ่งมีสิ่งที่เขาทนไม่ไ^อถ้อยคำที่ไม่ไพเราะ คำ พูด ที่เสียดแทงไจ เพราะฉะนนไม'ว่ากาลไหน ๆใคร ๆ ก็ไม่ควรพูด คำ หยาบเลย ๓. การพูดด้วยคำพูดที่ดีพร้อมไนทุกแง'ทุกมุม เป็นมงคล อย่างยิ่ง จัดอยู่ไนมงคลชีวิต มงคลที่ ๑๐ ปีวาจาสุภาษิต sr. องค์ประกอบของวาจาสุภาษิต ๑. พูดด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา มีเจตนาดี ๒. พูดแต่คำจริง ๓. พูดแต่คำสุภาพอ่อนน้อม (T. พูดแต่คำที่เป็นประโยชน์ ๕. พูดตามกาลอันสมควร รู้ว่าเมื่อไรควรพูด เมื่อไร ควรนิ่ง <$r. อานิสงส์ของวาจาสุภาษิต ๑. ทำ ไห้บุคคลยึดเหนิ่ยวนํ้าไจกันไว้ได้ ๒. ทำ ไห้ได้ ลาภ ยค มิตร และบริวาร ๓. เป็นทางมาแห่งบุญ เป็นมหากุศลมีผลอันยิ่งไหญ' ทงภพนี้ ภพหน้า ทงแก่ตนและ^น sr. ทำ ไห้ได้รับความสุขความเจริญ ๕. ทำ ไห้ได้ลักษณะมหาบุรุษโดยง่าย เช่น การพูด คำ จริงไจ สมานสามัคคี มีอานิสงส์ทำไห้ฟัน แข็งแรง เรียบชิดสนิทกันดี ไม'ห่างหรีอเกยกัน
นิทานชาดกเล่มสาม ๗๗ และมีฬนครบ (to ซี่ ดังพระสัมมาลัมพุทธเจ้า การพูดคำสุภาพจะทำให้มีลิ้นใหญ่ รับรสใดดี มีเสียงไพเราะดุจเสียงมหาพรหม เป็นต้น เสิยงมหๆพรฬม มีสักษณะ cr ประการ คือ ๑. เสียงแจ่มใส ไม่แหบเครือ ๒. เสียงซัดเจน ซัดถ้อยซัดคำ ไม'ติดซัด ๓. ไพเราะ อ่อนหวาน <t. เสนาะโสต ๕. กลมกล่อม หยดย้อย ๖. ไม่แตก ไม่พร่า ๗. เสียงซึ้ง e?. เสียงมีกังวาน อริบๆยฟิพทํ นันทิวิสาลชาดก (อ่านว่า นัน-ท-วิ-ลาน-ชา-ดก) นอก ไม้ที่ไช้คล้องบนคอวัวหรือควายที่ไถนา' หรือเทียมเกวียน เทียม การนำวัวหรือควายมาไล่แอก ทบ ไม้แม่แคร่เกวียนที่ยื่นออกไปติดกับแอก
ต'c? นิทานชาดทเล่มสาม ฬระคาดๆ'ประจํๆชๆดก มนุณฺณเมว ภาเสยฺย นามนุณฺณ กุทาจนํ มนุณฺณํ ภาสมานสฺล ครุภาวํ อุทฺทธริ ธนณจ นํ อลาเภลิ เตน จตุตมโน อหุ บุคคลพึงกล่าวแต่คำที่ไพเราะ ไม'พึงกล่าวคำที่ไม่ไพเราะไม'ว่ากาลไหน ๆ เมื่อพราหมณ์กล่าวคำไพเราะ โคนันทิวิสาลได้ลากภาระอันหนักไปได้ ทำ ให้พราหมณ์ได้ทอัพย์ด้วย ตนเองก็ปลืมใจเพราะการช่วยเหลือนนด้วย
กัณหซาดก ชาดกว่าด้วยผ้เอาการเอางาน สดๆนทีตรัสปีๆดก เซตวันมหาวิหาร นครลาวัตถี สๆเทดุทีตรัสปีๆดก ขณะที่พระสัมมาลัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร แคว้นมคธ มีพระอรหันต์รูปหนึ่งได้แสดง 277^พ?ริ£โเหาะเหินเดิน อากาศให้ซาวบ้านซาวเมีองเห็น คนทั้งหลายจึงพากันแห่แหนมาดู ท่าน แล้วใจษขานเล่าลือต่อ ๆ กันไปอย่างรวดเร็ว คนที่ยังไม่ได้เห็น ก็มากราบขอร้องให้ท่านแลดงให้ดูใหม่ คนที่เคยเห็นแล้วก็อยากเห็นอีก แม้ซาวเมีองที่อยู่ห่างไกลยังพากันละทิงบ้านเรือนเพียงเพื่อมาขอซม เป็นบุญตา ดูราวกับว่ามีงานมหกรรมเกิดขึนทีเดียว ท่าให้ท่านถูก รบกวนมาก ไม่เป็นอันได้พักผ่อนหรือปฎิปติธรรม ซาวบ้านซาวเมือง ทั้งหลายก็ไม่เป็นอันทำมาหากินเซ่นกัน
fJO นิทานชาดกเล่มลาม พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง จึงตรัสเรียกพระอรหันต์ รูปนั้นมากล่าวตำหนิ แล้วทรงบัญญ้ติสิกขาบทห้ามพระภิกษุแสดง ปาฏิหาริย์ ในครั้งนั้น พวกเดียรถีย์หรีอนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ทราบข่าวนี้ เห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำลายเกียรติคุณพระพุทธศาสนา เพื่อหวังจะให้คนทงหลายหันมาเคารพเลื่อมใสตน จึงประกาคท้า พระบรมศาสดาแข่งขันแสดงปาฏิหาริย์ ข่าวการท้าพระสัมมาล้มพุทธเจ้าของพวกเดียรถีย์แพร่สะพัด ไปอย่างรวดเร็วราวไฟไหม้ป้า ชาวบ้านซาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ กันอย่างมากมาย บ้างวิตกกังวลห่วงใย บ้างอยากรู้อยากเห็นพระเจ้า พิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ซึ่งขณะนั้นทรงป้ฏิป้ติธรรมจนบรรลุ เป็นพระโสดาบันแล้ว แมืได้สดับข่าวนี้ ยังรีบเสด็จมาเฝัาพระสัมมา ล้มพุทธเจ้าด้วยความกังวลพระทัย และกราบทูลถามว่า \"พระพุทธเจ้าข้า พวกเดียรถีย์มันบังอาจมาท้าพระองค์ แสดงปาฏิหาริย์ พระองค์จะทรงรับคำท้าหรือ พระพุทธเจ้าข้า\" \"รับ มหาบพิตร\" พระพุทธองค์ทรงตอบ พระเจ้าพิมพิสาร จึงกราบทูลแย้งว่า \"พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงห้ามภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ แต่พระองค์จะทรงแสดงเสียเอง เช่นนี้มิเป็นการเสียวาจาหรือ พระพุทธเจ้าข้า\" พระพทธองค์ทรงย้อนถามพระเจ้าพิมพิสารว่า
นิทานชาดกเล่มสาม '๑ \"มหาบพิตร พระองค์ทรงห้ามชาวบานเก็บผลไมในอุทยาน ของพระองค์ใขไหม ถ้าขาวบ้านไปเก็บล่ะ พระองค์จะทำประการใด\" พระเจ้าพิมพิสารตรัลตอบว่า \"ลงโทษ พระพุทธเจ้าข้า\" \"แล้วถ้าพระองค์หรงเก็บเองล่ะ จะไดไหม\" \"ได้ พระพุทธเจ้าข้า เพราะข้าพระพุทธเจ้าเปีนเจ้าของ\" พระเจ้าพิมพิสารทรงตอบไปตามลำดับ พระสัมมาล้มพุทธเจ้าจึง ตรัสว่า \"มหาบพิตร ทรงฟังไหดี เราห้ามสาวกของเราแสดง ปาฏิหาริย์ มิได้หมายความว่า เราจะห้ามตนเองแสดงด้วย เมื่อ พวกเดียรถีย์มาท้าเรา เราก็จะรับคำท้า\" พระพุทธองค์ทรงมีรับสั่งให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศไป ทั่วเมีองว่า พระองค์จะแสดงปาฎิหาริยิไนวันเพ็ญเดือน c? คือไน เวลาอีก <r เดือนข้างหน้า ณ นครสาวัตถี แคว้นโกศส พวกเดียรถีย์ เมื่อทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับคำท้าก็ตกใจ ต่างปรึกษากันหาวิธีที่จะไม่ให้พระพุทธองค์ทรงมีโอกาสแสดง ปาฏิหาริย์ได้ ในที่สุด จึงตกลงกันว่า จะคอยติดตามพระพุทธองค์ ไปทุกหนทุกแห่ง เพื่อหาโอกาสขัดขวางและก่อกวน และไข้!อกาสนั้น บอกกล่าวแก่ซาวบ้านทั่งหลายว่า พวกตนคอยติดตามควบคุม พระพุทธองค'ไว้มิให้หนีหน้าไปเลีย
<;^๒ นิทานชาดกเล่มสาม เวลาผ่านไปตามลำดับ ข่าวการแลดงปาฏิหาริย์ระหว่าง พระบรมศาลดากับพวกเดียรถีย์ได้แพร่กระจายไปยังหมู่ซนต่าง ๆ ทั่วแผ่นดิน เมื่อระยะเวลาใกล้เข้ามา พระพุทธองค์จึงเสด็จจาก แคว้นมคธไปยังนครสาวัตถี แคว้นโกศล ซึ่งเป็นสถานที่กำหนดแสดง ปาฏิหาริย์ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถีงแศว้นโกศล พระเจ้าปเสนทิ กษัตริย์แหงแคว้นโกศลทรงเข้าเฝัา กราบทูลว่า พวกเดียรถีย์ได้สร้าง หอคอยสูงลิ่วขึ้นเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ พระองค์จึงขอสร้างปะรำพิธี ถวายเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงไข้แสดงปาฏิหาริย์บ้าง แต่พระพุทธ องค์ตรัสว่า จะแสดงปาฏิหาริย์ใต้ด้นมะม่วง ข่าว ที่พระพุทธองค์จะทรงแสดงปาฏิหาริย์ใต้ด้นมะม่วงแพร่ ออกไปอีก พวกเดียรถีย์จึงพากันโค่นด้นมะม่วงในย่านนั้นเสียจน หมดลิ้น ไม่เหลือแม้ด้นมะม่วงที่งอกใหม่ ๆ ครนวันกำหนดแสดงปาฏิหาริย์ ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดีอน มาถึง พระพุทธองค่ได้เสด็จมายังที่นัดหมายพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ บรรดาพระอรหันตสาวก อุบาสกอุบาสิกาทงหลายที่มีญาณ แก่กล้า สามารถแสดงอิทธิฤทธี้ใต้ ต่างอาสาพระบรมศาสดาขอแสดง ฤทธี้แข่งขันกับพวกเดียรถีย์เอง เพราะเห็นว่า'ฝืมือของพวกเดียรถีย์ ไม่ถึงกับต้องให้พระบรมศาสดาทรงแสดงเองหรอก แต่พระพุทธองค์ ทรงปฏิเสธ พร้อมกับตรัสว่า
นิทานชาดกเล่มสาม \"เป็นพุทธวิส้ยของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อตรัสรู้และ ประกาศพระศาสนาแล้ว จะต้องแสดงปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่ง และ จะมาแสดง ณ สถานที'แห่งนี้ ต้งนี้น ภาระครั้งนี ตถาคตจะต้อง กระทำเอง\" ขณะนั้น คนดูแลอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล นำ มะม่วง ลุกผลหนึ่งมาถวาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับมาฉัน แล้วนำ เมล็ดมะม่วงนั้นปักลงไปบนผืนดินพร้อมกับรดนำ ในฉับพลันนั้นเอง ลำ ต้นอ่อนของมะม่วงก็แทงยอดทะลุเมล็ดออกมา แล้วเติบโตลูงฃึน แตกกิ่งก้านสาขาสูงใหญ่ ผลิดอกออกช่อล่งกลิ่นหอมใปทํ่'วบริเวณ พลันดอกร่วงหล่นใปกลายเป็นผลค่อย ๆใหญ่ฃึน ๆ ดกระย้าใปทงต้น สร้างความตื่นตะลึงให้กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ข้าราชบริพาร และ ชาวเมืองทงหลาย แม้พวกเดียรถีย์เองยังตะลึงงันจ้องมองแทบใม' กระพริบตา พระพุทธองค์ทรงเด็ดผลมะม่วงแจกจ่ายพระภิกษุทั้งหลาย ที่มาประชุมกันนั้น แม้จะฉันจนทั้วแล้วก็ยังมืเหลืออีกมากมาย ฝ่ายเดียรถีย์เห็นความพ่ายแพ้ของตนรออยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ต้วยความมื ทีฎฐิมานะ จัด จีงใม'ยอมอ่อนน้อม ขณะนั้นเอง ทั้งหอก็พ้งครืนลงมา หอสูงทานกำลังใม'ใหว ชั่วขณะนั้นเอง ทั้งหอก็พ้งครืนลงมา ก่อความโกลาหลในหมู'เดียรถีย์ เป็นการใหญ่ หัวหน้าคนหนึ่งชื่อ 'ปูรผ>กัฝืสบ เลึกอับอายขายหน้า มากจนใม'อาจอยู'ดความพ่ายแพ้ของตนใต้ จึงเล็ดลอดออกจาก
๘(ร: นิทานชาดกเล่มสาม บริเวณพิธีนั้นไป ขณะทีปูรณกัลสปะวิงออกมานัน เป็นเวลาเดียวกับที่ศิษย์ คนหนึงกำลังแบกหม้อข้าวต้มพร้อมกับถือเชือกเสันหนึ่งเดินลวนทาง มาพอดีปูรณกัสสปะ จึงฉวยเอาหม้อข้าวต้มและเชือกจากศิษย์แล้ว วิ่งไปยังฝังแมนั้า ไข้เชือกมัดหม้อกับฝาจนแน่น แล้วไข้ปลายเชือก อีกข้างหนึ่งผูกคอตนเอง โดดลงในแมนาฆ่าตัวตายในที่สุด ฝ่ายพระบรมศาสดาทรงเสด็จขึ้นไปกลางอากาศ แสดง ยมกปาฏิหาริย์ ปรากฏเป็นนํ้าและไฟพวยพุ่งสลับกันไปจาก พระวรกายเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย และ เบืองขวา จากพระโสต พระนาสิก พระหัตถ์ พระองคุลี และขุม พระโลมา ในขณะเดียวกันทรงเปล่ง ฉัฬพรรณร้งสี เป็นลีเขียว เหลีอง แดง ขาว ลีแสด และลีเลื่อมปกัสสร สว่างไสวล่งประกายเจิดจ้า ชาวเมืองทงหลายที่รอชมปาฏิหาริย์อย่างมืดฟ้ามัวดินต่างจ้องมอง แทบไม่กระพริบตาราวกับว่าจะไม่ยอมให้ภาพอันมหัศจรรย์นั้น คลาดสายตาไต้แม้เพียงเลี้ยววินาที ขณะที่แสดงปาฏิหาริย์นั้น พระพุทธองค์ทรงเนรมิตพุทธนิมิต ขึ้นองค์หนึ่งเพื่อให้ประชาชนทั้งหลายไต้ถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ อีกต้วย ปรากฏว่าในการชมปาฏิหาริย์ครั้งนี้ ทำ ให้มืผู้บรรสุธรรม ขนต่าง ๆ มากมาย หลังจากที่แสดงปาฏิหาริย์เสร็จแล้ว พระพุทธองคไต้เสด็จ หายไปในกลางอากาศ ประชาชนทั้งหลายต่างตกใจ จึงพากันไป
นิทานชาดกเล่มสาม ๘ ถามพระอนุรุทธผู้เป็นเลิศทาง ทิพยจักษุ ก็ทราบว่าพระพุทธองค์ เสด็จไปยังสวรรค์ชํ้นดาวดึงส์ อันเป็นสวรรค์ซันทีสอง เพือแสดง พระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา แม้ว่าพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา เมือเสด็จ สวรรคตแล้ว ได็ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ซนดุสิต ซึงเป็นสวรรค์ ชั้นที่สี่ แต่ก็ได้เสด็จลงมาฟังธรรมบนชั้นดาวดึงส์ เพือให้เทพยดา ทงหลายในชั้นนั้นได้มืโอกาสฟังด้วย เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเทพบุตร พุทธมารดาจนครบ ๓ เดือนแล้ว จึงเสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ ทางด้านประตูเมืองลังกัสสะ ใน จันมหาปวารณา และทรงแสดง ปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเนรมิต ธรรมร้งสี เป็นความสว่างไสวไปทั่ว ทังพืนพิภพ มืความสว่างไสวราวทับดวงอาทิตย์นับฟัน ๆ ดวงมา รวมทัน แต่ไมม้ความร้อน มืแต่ความเย็นตาเย็นใจ ซวนให้บังเกิด ความซุ่มชื่นเบิกบานใจ ในวันนั้นประซาซนต่างมาชุมนุมทันเนืองแน่นทั่งแผ่นดิน มองไปทางใดจะเห็นแต่ประซาซนคลุมแผ่ไปทุกอณูพืนที่ แต่ไม่ว่า ใครจะอยู่ใกล้ไกลเพียงไร จะเห็นพระพุทธองคได้ด้วยพุทธานุภาพ ประหนึ่งเห็นการลอยเด่นของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ฉะนั้น
นิทานชาดกเล่มสาม ยิ่งกว่านั้น พระพุทธองค์ยังได้ทรงแสดง ปาฏิหาริย์เปีดโลก ด้วยการทำให้ทังเทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกทังหลายต่างมองเห็น ซึงกันและกัน แม้จะอยู่ต่างภพต่างภูมิกัน ทำ ให้หมดสิ้นความสงสัย ในเรืองนรกสวรรค์และการเวียนว่ายตายเกิด บังเกิดสัมมาทิฎเโดย ทั่วหน้ากัน หสังจากแสดงปาฏิหาริย์แล้ว พระพุทธองคํใด้เสด็จกสับไป ยังเซตวันมหาวิหาร ในวันต่อมา พระภิกษุทั่งหลายนั่งสนทนากันในธรรมสภา ต่างพรรณนาถึงพระพุทธานุภาพอันผู้iดเสมอเหมือนมิได้ พระพุทธ องค์ทรงทราบดังนั้น จึงตรัสว่า \"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่บ้ดนี้เท่านนที่เราสามารถ ท่าธุระที่ไม่มิผู้ใดกระท่าได้ แม้เมื่อก่อน เรามิก่าเนิดเป็นเพียงส้ตว์ เดียร้จฉาน เราก็สามารถท่าธุระที่ษุคคลอื่นไม่สามารถท่าได้เช่นกัน\" พระภิกษุทั่งหลายใคร่จะทราบเรื่องราวแต่หนหสัง พระพุทธ องค์จึงทรงนำ กัผ,ฬซๆดก มาตรัส ดังนี้ เนื้อทๆซๆดก ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมปติ ณ กรุง พาราณส มหญิงชรายาจกคนหนีงอาดัยเลียงซึพด้วยภารแบ'งบัาน ที่นางอาศัยอยู่ให้เป็นที่พักแก่คนเดินทางทั่วไป
นิทานชาดกเล่มสาม วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งได้มาพักที่บ้านของนาง ก่อนจากไป เขาได้มอบลูกโคตัวหนึ่งให้แทนค่าที่พัก หญิงชราเห็นลูกโคมีท่าทาง ฉลาดเฉลียว แข็งแรง ผิวงามตังสีดอกอัญชัน ดวงตาเป็นประกาย แจ่มจรัส จึงบังเกิดความเอ็นดู รับลูกโคไว้ด้วยความยินดี และเรียก มันด้วยความรักว่า อัยยกกา\"ฬกะ หรีอ เจ้าโคดำฃองยาย ทุก ๆ วัน นางจะนำ'ข้าวอย่างดี พร้อมด้วยหญ้าอ่อน ๆ มาเลียงเจ้าโคดำ จนกระทั่งมันเติบโตใหญ่ มีร่างกายสง่าน่าเกรงขามและแข็งแรงกว่า โคทั่วไปในละแวกเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น เจ้าโคดำนียังเป็นโคทีสงบ เสงี่ยมเรียบร้อย ไม่ดุร้าย เด็กชาวบ้านมาเหนึ่ยวมาโหนเขา มา'ฉุดหาง กระชาก'พู มันก็ไม่โกรธ ซํ้ายังเข้าใจภาษาคนอีกด้วย เจ้าโคดำนี้มีความคิดที่จะตอบแทนคุณยายเฒ่าอยู่เสมอ ด้วยคิดว่านางสูทนลำบากเลี้ยงตนมาอย่างดีทง ๆ ที่นางก็ยาก่จนมาก ตังนั้น เมื่อโคดำเห็นใครเขามีงานที่ด้องแบกด้องหาม มันจะเข้าไปทำ กิริยาให้เขารู้ จนเขาจ้างให้ทำงาน ได้เงินทองข้าวของมาเท่าไรก็นำ กลับมาให้ยายเฒ่าหมดสิน ความทีรู้ภาษาคนและมีพละกำลังแข็งแรง กว่าโคทั่วไปนี้ จึงเป็นที่รู้กันทงหมู่บ้านว่า หากใครมีงานทีหนักมาก โคของตนแบกหามไม่ไหว หรีอมีเกวียนตกหล่มฉุดไมขนแล้วละก้อ หากจ้างโคดำไป จะไม'ผิดหวังอย่างแน่นอน อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้าหนุ่มนำเกวียน ๕๐๐ เล่มบรรทุกสินค้า ข้ามท่านํ้ามา แต่เนึ่องจากไม่ชำนาญทางจึงนำเกวียนทั้งหมดตกหล่ม ขึ้นฝังไม่ได้ แม้จะช่วยกันฉุดช่วยกันลากจนสุดความสามารถแล้ว ยังไม่สามารถ^นมาได้ ดูเหมีอนว่ายิงฉุดลากเท่าไร ล้อเกวียน
f? นิทานซาดทเล่มสาม จะยิงจมลึกลงไปในเลนมากขึนเท่านั้น พ่อค้าหนุ่มรูลึกกังวลมาก เกรงว่าสินค้าจะเปียกนํ้าเสียหาย ในขณะทีกำลังคิดหาหนทางอยู่นั้น พ่อค้าหนุ่มมองไปเห็น โคดำกำลังเล็มหญ้าอยู่กับฝูงโคทังหลาย ด้วยความที่เป็นผู้มีความรู้ เรืองลักษณะโคอยู่บ้าง เมือเห็นโคดำก็ทราบทันทีว่าเป็น โคอาชาไนย จึงตรงเข้าไปถามหาเจ้าของกับเด็กเลี้ยงโคเพื่อจะว่าจ้างให้ลากเกวียน เด็กเลี้ยงโคจึงตอบว่า \"พีชาย เจ้าของเขาไม่อยู่ที่นี่หรอก ถ้าพี่ชายจะจ้าง พีข' าย ตกลงราคากับโคดำได้เลย\" พ่อค้าหนุ่มจึงสนตะพายให็โคดำแล้วจูงใป แต่โคดำใม่ยอมเดิน พ่อค้าหนุ่มจึงกล่าวว่า \"ปี พ่อโคดำจ้ะ ถ้าพ่อลากเกวียนของฉันพี่ติดหล่มทง ๕-00 เล่มขึนมาได้ละถ้อ ฉันจะให้ค่าจ้าง ๑,๐๐๐ กษาปณ์ตกลงไหมล่ะ\" โคดำไดํยินดังนัน ก็เดินไปยังท่าข้ามแต่โดยดี เมื่อเห็นขบวน เกวียนตกลงไปในหล่มลึกเซ่นนั้น ก็รู้ว่าเป็นงานหนักยิ่งนัก แต่ถึง จะหนักอย่างใร ก็ต้องทำให้สำเรืจให็ใด้ ยายเฒ่าจะใต้พ้นจากความ ยากจนเสียที เมือเทียมเกวียนเสร็จแล้ว โคดำค่อย 'ๆ รวบรวมพละกำลัง ทงหมดฉุดลากเกวียนที่ตกหล่มนั้นท่ามกลางการเอาใจซ่วยของพ่อค้ๆ และบริวารทังหลาย รวมทังเด็กเลียงโคทีมามุงดอย่ ในทีลุดขบวน
นิทานชาดกเล่มสาม (^๙ เกวียนค่อย ๆ เคลื่อนที่ พ้นจากหล่มขึนมาได้ ทุกคนปรบมือโห่ร้อง ด้วยความดีใจ พ่อค้าหนุ่มเห็นขบวนเกวียนพ้นจากหล่มขึ้นมาได้ จึงนำเงิน &-00 กษาปณ์ห่อผ้า แล้วผูกไว้ที่คอของโคดำ โคดำนน แม้จะไม่เคยได้รับเงินมากถึง ๑,๐๐๐ กษาปณ์ แตกพอจะคาดคะเนได้ว่าเงิน ๑,๐๐๐ กษาปณ์นั้นต้องมืนำหนัก มากกว่านี้ จึงยืนขวางขบวนเกวียนไว้ พร้อมกับจ้องมองมายังพ่อค้า หนุ่มอย่างจะเอาเรื่อง พ่อค้าหนุ่มเห็นดังนั้น เสึกใจคอไม่ดี คิดว่าชะรอยโคดำดัวนี คงจะรู้ว่าเราห่อเงินให้เพียงครื่งเดียว ถ้าเราไม'ยอมจ่ายให้ครบ เห็นที จะโดน'เล่นงานเป็นแนํ คิดดังนี้แล้ว จึงค่อย ๆ เอือมมือไปหยิบถุงเงิน มาแล้วใส่เงินเพิ่มลงไปอืก &■๐๐ กษาปณ์ ครบ ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ตามที่ตกลงไว้ แล้วผูกคืนให้ตามเดิม เมื่อโคดำได้เงินครบแล้ว จึงวิ่งกลับบ้านไปหายาย บรรดา เด็กเลี้ยงโควิ่งตามไปเป็นพรวน ยายเห็นโคดำกลับมาด้วยท่าทางอิดโรย ซูบซีด เหงื่อไหลโทรมกาย นัยน์ตาแดงกํ่า พร้อมกับถุงเงินที่ห้อย คอมา โดยมีเด็ก ๆ แย่งกันเล่าเรื่องให้ฟัง ยายถึงกับกอดคอโคดำ ร้องไห้ด้วยความลงสาร พลางรำพันว่า \"เจ้าโคดำของยายเอ๋ย ถ้าเจ้าจะต้องลำบากเพื่อยายถึง เพียงนี้ ให้ยายตายเสียดีกว่า ฮือ....ฮือ....\"
i i ii
นิทานชาดกเล่มสาม \\ ๙๑ ครั้นคลายโศกเศร้าลงแล้ว ยายเฒ่าจึงรีบนำผ้าชุบนํ้าอุ่น มาเช็ดตัวโคดำ นำ นํ้ามันมาทาแก้ขัดยอกให้ พร้อมทั้งหานํ้าและ อาหารอย่างดีมาเลี้ยงโคดำ กาลเวลาผ่านไป ยายเฒ่ามีฐานะดีขึ้น ไม'ต้องลำบาก ยากแค้นตังแต่ก่อน และด้วยความรักความผูกพันที่มีต่อกันมาตลอด เมื่อยายเฒ่าและโคดำละโลกนี้ไปแล้ว ยังไดํไปช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีก ไนภพชาติต่อ ๆ มา 'ประซุมซๆดก เมื่อพระสัมมาล้มพุทธเจ้าตรัส กัด4หฃๆดก จบแล้ว ไต้ตรัส พระคาถาว่า \"ในที่ใด ๆ ที่ปีธุระมาก ในที่ใด ๆ มีหนทางลึก คนทงหลาย ก็เทียมโคก้ณหะในที่นนๆ โคก้ณห่ะนนเล่า ก็ลากภาระนั้นไปได้ ด้งนี้ๆ\" จากนนทรงประชุมซาดกว่า ยายเฒ่า ไต้มาเป็นพระอุบลวรรณาเถรี โคดำ ไต้มาเป็นพระองค์เอง
๙๒ นิทานซาดทเล่มสาม ฟ้อคิดจากยๆดก ๑. ลักษณะเด่นของผู้นำคือ เมือเห็นว่างานใดเป็นงานหนัก งานยาก ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง แม้ลูกน้องจะอาสาก็ไม่ยอม เพราะ ควรต้องทำเป็นตัวอย่าง เพื่อไว่มืมือให้ลูกน้องเกิดศรัทธาในความรู้ ความลามารถ จะใต้เกิดกำลังใจทำความดีให็ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้ถือคติว่า เมื่อเป็นผู้นำแล้ว ถึงคราวทำงานหรือลำบาก ต้องออกหน้า แต่เวลาพักผ่อนต้องรอทีหลัง ให้ดูสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นตัวอย่าง เมื่อเกิด ศึกลงศรามถึงขึ้นต่อสู้ประจันบาน พระองค์จะทรงอยู่หน้าเลมอ ครั้นพอถึงคราวต้องถอย พระองค์จะทรงอยู่รั้งท้าย เพื่อคอยระวัง ศัตรูที่จะตามโจมตีข้างหลัง เราคนไทย มืพระสัมมาลัมพุทธเจ้าเป็นบรมครูทางธรรม มีพระนเรศวรมหาราชเป็นครูทางโลก จึงควรต้องทำงานอย่างเต็มที' อย่าเห็นแต่ความละดวกลบาย ลนุกลนาน ปล่อยชีวิตให้สูญเปลา ไป,วันหนึ่ง ๆ ๒. ใครทีเป็นผู้Iหญ' เมื่อรับปากเด็กแล้ว อย่ากลับกลอก บิดพขึ้วเป็นอันขาด โบราณท่านกล่าวว่า \"ถ้าโกงคนเสมอกันย'งพอให้อภัย แต่ถ้าโกงลูกน้อง โกงลูกจ้าง หรือผู้อ่อนแอกว่า ถือว่าเลวที่สุด ใช้ไม่ได้\"
นิทานชาดกเล่มสาม ๙๓ ๓. หมั่นประพฤติธรรม แกตนให้เป็นคนซื่อ อย่าทำตัวเป็น คนมีเหลี่ยมมีคู เพราะวันหนึ่งในที่ลุด จะติดเหลี่ยมตัวเอง อาจถึง ตายเหมีอนเดียรถีย์ปูรณกัสสปะ ในชาดกเรื่องนี้ <r. ความกตัญณูกตเวที เป็นคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานของคน มีความรับผิดชอบ เพราะฉะนี้น พ่อแม่ทุกท่านจึงควรอบรมลูกหลาน ให้มีความกตัญญูกตเวทีมาตั้งแต่เล็ก ในการอบรมบุตรหลานให้มีความกตัญญูกตเวที จะต้อง เรื่มแกให้มีความเคารพเลียก่อน เมื่อเด็กเกิดความเคารพแล้ว อุปนิสัย ที่ดีอย่างหนึ่งจะเกิดตามคือ \"ชอบจ้องจ้บความถูกต้อง ความดี ของคนอื่นมาเป็น ต้วอย่าง และจะไม่คอยจ้องจับผิดใครอีกต่อไป แต่จะคอยจับผิด ต้วเองแทน ในไม่ข้า ความกตัญญกตเวทีก็จะเกิดตาม\" ๕. การรับคนเข้าทำงาน ถ้าต้องการจะให้ไต้คนดีจริง มี ความรับผิดชอบสูง ควรเลือกจากผู้ที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ และ เว้นจากอบายมุขโดยเด็ดขาด เพราะ คนขาดความกตัญญู คือคนใจบอด คนเล่นการพนัน คือขโมย คนกินเหล้า คือคนปอนทำลายความลามัคคื คนเจ้าข้ คือคนทำให้เลียการปกครอง ๖. คนจะเอาดีไต้ หรือจะมีความสำเร็จในชีวิตไต้ ต้อง ประกอบด้วยองค์ (T คือ
๙(ร: นิทานชาดกเล่มสาม ๑. ความรูดี ๒. ความสามารถดี ๓. ความประพฤติดี ar. ทำ บุญมาดี อรบๆยสํ^ฬท์ กัณหชาดก (อ่านว่า กัน-หะ-ชา-ดก) กัฌ.ห ดำ บาฏ'พารย์ การกระทำที่ปังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ มี ๓ แบบคือ พิฎฐมานะ 0. สิ'พรบาฏิหาเย* ได้แก่การแสดง ฤทธี้ต่าง ๆ เซ่น เหาะเหินเดินอากาศ เป็นความ ลามารถเฉพาะบุคคล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงห้ามลาวกแลดง to. อาเพศนาบาฎิหาเย์ ได้แก่ความ ลามารถรู้วาระจิต ทายใจ^นได้เป็นอัศจรรย์ ๓. อนุสาสนีย์บาฏิพาเย' ได้แก่การ ลอนธรรมให้เ'ข้าใจได้เป็นอัศจรรย์ ปราศจาก ข้อสังสัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงลรรเลริญ ปาฏิหาริย์แบบนี้ว่าเป็นเลิศ เพราะเป็นเหตุ ให้พระพุทธศาลนาเจริญรุ่งเรืองลถาพรตลอดไป ความดื้อรั้นถือดี
นิทานชาดทเล่มสาม ๙๕ ยมก'ปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่แสดงเป็นคู'ๆ ได้แก่ ปาฏิหาริย์คู่ที่ ๑ ปรากฏเป็น'ก่อไฟ ฉัหหรรณรังสิ ไหลจากพระวรกายเบื้องบน ท่อนํ้าไหลจาก พระวรกายเบื้องล่าง ปาฏิหาริย์คู่.ที่ ๒ ปรากฏเป็นท่อไฟ ไหลจากพระวรกายเบื้องล่าง ท่อนํ้าไหลจาก พระวรกายเบื้องบน ปาฏิหาริย์คู่ที่ ๓ ปรากฏเป็นท่อไฟ ไหลจากพระวรกายเบื้องหน้า ท่อนํ้าไหลจาก พระวรกายเบื้องหลัง ปาฏิหาริย์คู่ที่ ๔ ปรากฏเป็นท่อไฟ ไหลจากพระวรกายเบื้องหลัง ท'อนํ้าไหลจาก พระวรกายเบื้องหน้า ในทำนองเดียวกัน ยังทรงกระทำให้มี ท่อไฟและท่อนาไหลจากพระวรกายเบื้อง ซ้าย เบื้องขวาจากพระโสต พระนาสิก พระหัตถ์ พระองคุลี 'ขุมพระโลมาแต่ละ'ขุมเป็นลำดับ ๆไป รัศมี ๖ ประการคือ ๑. เขียวเหมีอนดอกอัญชัน เรียกว่า นีละ ๒. เหลืองเหมือนหรดาล เรียกว่า ขีเตะ ๓. แดงเหมือนตะวันอ่อน เรียกว่า โลหิตะ ar. ขาวเหมือนแผ่นเงิน เรียกว่า โอหๆตะ
๙๖ นิทานชาดกเล่มสาม ๕. ลีแสดแก่ หรือ ลีหงสบาท เหมือน ดอกเซ่ง หรือดอกหงอนไก่ เรืยกว่า ป'ญเฃฐ ๖. เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก เรืยกว่า 'ปภัสสร ทิพยจักษุ ตาทิพย์ จันมหา'ปวารณา ได้แก่วันขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๑๑ เป็นวันสุดท้าย แห่งการจำพรรษา เป็นธรรมเนียมมาแต่สมัย \"พุทธกาลว่า ในวันนี้ พระภิกษุทงหมดในแต่ ละวัดจะมาประ'ชุมก้นในโบสถ์ และกล่าวคำ ปวารณา ดือเปิดโอกาสให้พระภิกษุว่ากล่าว ตักเตือนก้น แม้พระผู้!หญ่ก็อนุญาตให้พระผู้ น้อยชี้ข้อบกพร่องได้ เ'ลื่อจะได้แก้!ขเลียให้ดี และพระภิกษุผู้น้อยก็มากราบขอให้ภิกษุผู้!หญ่ ขึ้ข้อบกพร่องในตนเซ่นก้น โคอาชาไนย โคที่มืลักษณะ'พิเศษ และมีความสามารถยิ่ง กว่าโค'ทั่วไป พระคาถา'ประจำชาดก ยโต ยโต ครุ ธุรํ ยโต คมภีรวตฺตนิ ตทาสล กณฺหิ ยุณฺซนฺติ สุวาลฺสุ ตํ วหเต ธุรํ - ในที่ใดๆมืธุระหมักมาก ในที่ใดๆมีหนทางลึก คนทั่งหลาย ก็เทียมโคก้ณหะในที่นน ๆ โคก้ณหะนนเล่าก็ลากภาระนนไปได้
มุณิกซาดก ชาดกว่าด้วยความมีอายุยืน สดๆนที่ดรส2เๆดก เซตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเพดุที่ดรสซาดก พระสัมมาล้มพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระภิกษุรูปหนึ่งมีความ ปรารถนาจะสึก เพราะได้รับการเอาอกเอาใจพูดจาชักชวนแทะโลม จากลาวแก่นางหนึ่ง
๙f? นิทานชาดกเล่มสาม พระพุทธองค์จึงทรงสอบถาม พระภิกษุรูปนันก็ยอมรับ แต่โดยดี พระบรมศาสดาจึงตรัสเตือนสติว่า \"ดูก่อน ภิกษุ มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่หญิงคนนี้ทำให้เธอ พินาศ เมือก่อนนี เธอถึงกับสินชีวิตในวันวิวาห์ของหญิงคนนี้ ต้องเป็นอาหารอันโอชะเลี้ยงคนมากมายในงานทีเดียว\" ตรัสดังนีแล้ว พระองค์ทรงนำ มุผิ,กชๆดก มาแสดงดังนี้ เนี้อหาชาดก ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี ณ ชนบทแห่งหนึ่ง ชาวนาครอบครัวหนึ่งได้เลี้ยงโคไว้สองดัวพี่น้อง ซือ มหาโรหิต กับ จุหโรหิต และเลียงสุกรดัวหนึ่งชื่อ มุผิกะ แต่เช้าตรู่ทุก ๆวัน ชาวนาจะนำโคทั้งสองไปไถนา บรรทุกนํ้า บรรทุกทืเน กว่าจะได้กลับบ้านพักผ่อนก็ตะวันตกดินไปแล้ว ไม่ว่า งานได ๆ ทีเป็นงานหนักตรากตรำ ชาวนาได้อาศัยแรงโคทั้งสองนี้เสมอ กล่าวได้ว่าโคทั้งสองเป็นกำลังลำศัญของครอบครัวทีเดียว อยู่มาวันหนึ่ง ชาวนาได้จัดพิธีหทั้นลูกสาวของตนไห้กับ ชายหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพิธีหมนผ่านพันไปแล้ว แกก็คิดตระเตรียม งานลำหรับวันแต่งงานที่จะมาถึงไนไม'ช้า ทุก ๆ วัน ลูกสาวชาวนาจะนำช้าว ถํ่ว รำ และอาหารอย่างดี จำ นวนมากไปเลียงหมูมุณิกะ เมื่ออากาคร้อน หญิงสาวจะอาบนํ้า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114