Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ เรื่อง ฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์

ใบความรู้ เรื่อง ฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์

Published by rinda2552, 2019-01-19 22:22:49

Description: ใบความรู้เรื่อง ฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์

Keywords: ภาษาไทย

Search

Read the Text Version

ภาษาไทย ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๔ ๑ ใบความรู้เรือ่ ง ฉันทลักษณ์ (โคลง ฉันท์) คาประพันธ์ คือถ้อยคาทีไ่ ด้ร้อยกรอง หรือเรียบเรยี งขึ้น โดยมีข้อบงั คับ จากัดคา และวรรค ตอน ให้รบั สัมผสั กัน ไพเราะ ตามกฎเกณฑ์ ทไี่ ด้วางไว้ในฉนั ทลกั ษณ์ คาประพนั ธ์ของไทย แบ่งออกเป็น ๗ ชนิด คือ โคลง ร่าย ลิลติ กลอน กาพย์ ฉันท์ กล โคลง โคลง คอื คาประพนั ธ์ชนดิ หนึ่ง ซึ่งมีวธิ ีเรยี บเรียงถอ้ ยคา เข้าคณะ มีกาหนดเอกโท และ สัมผสั แตม่ ไิ ดบัญญัติ บังคบั ครลุ หุ โคลงแบง่ ออกเป็น ๓ ชนดิ ๑. โคลงสุภาพ ๒. โคลงดั้น ๓. โคลงโบราณ โคลงสภุ าพ แบ่งออกเปน็ ๗ ชนิด คือ ๑. โคลง ๒ สภุ าพ ๒. โคลง ๓ สภุ าพ ๓. โคลง ๔ สุภาพ ใบความรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย

ภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๔ ๒ ๔. โคลง ๔ ตรีพิธพรรณ ๕. โคลง ๕ หรือมณฑกคติ (ปัจจุบันไมน่ ิยมแตง่ แลว้ ) ๖. โคลง ๔ จัตวาทัณฑี ๗. โคลงกระทู้ สอง ตาฝา่ แดดร้อน แรงแสง มือ หยาบเลอื ดตกแดง แตกด้าน ถอื ทกุ ข์ที่เขาแฝง ฝังราก ศลี แหง่ เราเขาค้าน ถูกเค้นฆ่าสยอง สอง มอื เร่งสร้างโลก ตลอดสวรรค์ ตนี หยัดคแู่ ข็งขนั คา่ ล้น ถือ เพลิงประกายฉนั ฉายชว่ ง ธรรม แหง่ เราเขาปล้น ปากย้ิมแสยะแสยง โคลงดัน้ แบง่ ออกเป็น ๖ ชนิด คือ ๑. โคลง ๒ ดั้น ๒. โคลง ๓ ดน้ั ๓. โคลงดน้ั ววิ ิธมาลี ๔. โคลงดั้นบาทกุญชร ๕. โคลงดนั้ ตรพี ธิ พรรณ ๖. โคลงด้ันจัตวาทณั ฑี โคลงโบราณ มีลักษณะคลา้ ยโคลงด้นั วิวิธมาลี แต่ไมบ่ ังคบั เอกโท มีบงั คบั แต่เพียงสัมผัส เท่าน้ัน เป็นโคลงทไี่ ทยเรา แปลงมาจากกาพย์ ในภาษาบาลี อันมชี ่ือว่า คัมภรี ์กาพยสารวิลาสนิ ี ซง่ึ ว่าดว้ ยวธิ แี ตง่ กาพย์ตา่ งๆ มอี ยู่ ๑๕ กาพยด์ ้วยกัน แตม่ ลี ักษณะเป็นโคลงอย่างแบบไทยอยู่ ๘ ชนิด เพราะเหตุทีไ่ ม่มีบงั คับเอกโท จึงเรียกว่า โคลงโบราณ นอกนั้น มลี กั ษณะเป็นกาพย์แท้ ใบความรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย

ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ ๓ โคลงโบราณ แบง่ ออกเป็น ๘ ชนิด คอื ๑. โคลงวชิ ชมุ าลี ๒. โคลงมหาวิชชุมาลี ๓. โคลงจิตรลดา ๔. โคลงมหาจิตรลดา ๕. โคลงสินธุมาลี ๖. โคลงมหาสนิ ธุมาลี ๗. โคลงนันททายี ๘. โคลงมหานนั ททายี ข้อบังคบั หรอื บัญญัตขิ องโคลง การแต่งโคลง จะต้องมีลักษณะบงั คับ หรือบัญญัติ ๖ อย่าง คอื ๑. คณะ ๒. พยางค์ ๓. สัมผัส ๔. เอกโท ๕. คาเป็นคาตาย ๖. คาสรอ้ ย คาสุภาพในโคลงน้ัน มีความหมายเป็น ๒ อย่าง คือ ๑.หมายถงึ คาท่ีไม่มีเครอื่ งหมาย วรรณยกุ ต์เอกโท ๒.หมายถงึ การบงั คับคณะ และสัมผสั อย่างเรียบๆ ไมโ่ ลดโผน ฉะนน้ั คาสภุ าพใน ฉนั ทลกั ษณ์ จงึ ผดิ กบั คาสภุ าพใน วจีวิภาค เพราะในวจีวภิ าค หมายถงึ คาพูดทีเ่ รียบร้อย ไม่หยาบโลน ไม่เปรียบเทียบ กบั ของหยาบ หรือไม่เป็นคา ทมี่ สี าเนียง และ สานวนผวนมา เป็นคาหยาบ ซึง่ นับอยู่ในประเภทราชาศัพท์ ใบความรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย

ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๔ ๔ ฉนั ท์ ฉันท์ คือลักษณะถ้อยคา ท่กี วไี ด้รอ้ ยกรองขึ้น เกดิ ความไพเราะ ซาบซ้งึ โดยกาหนดคณะ ครลุ หุ และสัมผัสไว้ เปน็ มาตรฐาน แต่เดิม ฉันท์ ไดถ้ กู ถ่ายแบบมาจากอินเดีย โดยจะแต่งเป็นภาษาบาลี และสนั สกฤต เฉพาะท่ี ในภาษาบาลี เขามีตาราท่กี ล่าวถึง วิธีแต่งฉันท์ไว้ เป็นแบบฉบับ เรียกชื่อวา่ \"คัมภรี ว์ ุตโตทยั \" ตอ่ มาคนไทยได้นามาแตง่ เป็นภาษาไทย โดยเพ่ิมเติม บังคับสัมผสั ขนึ้ เพ่ือใหเ้ กดิ ความ ไพเราะ ตามแบบนิยมของไทย (ฉบับเดิมจากอนิ เดียจะไมม่ กี ารบงั คบั ) ฉันทใ์ นภาษาบาลี แบ่งออกเป็น ๒ ชนดิ คือ ฉันท์วรรณพฤติ กบั ฉนั ทม์ าตราพฤติ ฉันท์วรรณพฤติ จะกาหนดด้วยตัวอักษร คือ วางคณะ และกาหนดเสียงหนักเบา ท่ีเรียกวา่ ครลุ หุ เป็นสาคัญ มาตราพฤติ จะกาหนดด้วยมาตรา คือ วางจังหวะสนั้ ยาว ของมาตราเสียง เปน็ สาคัญ นับคา ลหุเปน็ ๑ มาตรา คาครุ นับเปน็ ๒ มาตรา ไมก่ าหนดตวั อักษร เหมือนอยา่ งวรรณพฤติ ฉันท์ ฉันท์มชี อ่ื ต่างๆตามที่ปรากฏในคมั ภรี ว์ ุตโตทยั มีถึง ๑๐๘ ฉันท์ แต่ไทยเราดัดแปลง เอามา ใช้ไมห่ มด เลอื กเอามาแต่เฉพาะทีเ่ ห็นว่าไพเราะ มีทานองอ่านสละสลวย และเหมาะแก่การทจ่ี ะ บรรจคุ าในภาษาไทยได้ดี เท่าน้นั ฉันท์ที่นิยมแต่งในภาษาไทย เปน็ ฉนั ท์วรรณพฤตเิ ป็นพ้ืนทเ่ี ป็นมาตราพฤติ ไมใ่ คร่จะนิยม แตง่ เพราะจงั หวะ และทานองท่ีอา่ นในภาษาไทย ไมส่ จู้ ะไพเราะ เหมือนฉันทว์ รรณพฤติ แมฉ้ ันท์ วรรณพฤติ ทที่ า่ นแปลงมาเป็นแบบในภาษาไทยแลว้ ก็ไมน่ ยิ มแต่งกนั ทั้งหมด เทา่ ทสี่ ังเกตดู ในคา ฉันท์เกา่ ๆ มักนยิ มแตง่ กนั อย่เู พยี ง ๖ ฉันทเ์ ท่าน้ัน คือ - อนิ ทรวเิ ชยี รฉันท์ - โตฎกฉันท์ - วสันตดิลกฉนั ท์ - มาลนิ ีฉันท์ - สัททลุ วิกกฬี ติ ฉนั ท์ - สัทธราฉนั ท์ ใบความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย

ภาษาไทย ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔ ๕ เหตุที่โบราณนยิ มแต่งเฉพาะ ๖ ฉนั ท์ คงเปน็ เพราะฉันทท์ ง้ั ๖ นน้ั สามารถจะแตง่ เป็น ภาษาไทยไดไ้ พเราะกวา่ ฉนั ท์อน่ื ๆ และทา่ นมักนิยมเลอื กฉันท์ ให้เหมาะกบั บทของท้องเรื่อง เป็น ตอนๆ เช่น บทไหวค้ รู นิยมใช้ สทั ทลุ วิกกฬี ติ ฉนั ท์ หรือ สัทธราฉันท์ บทชมหรอื บทคร่าครวญ นยิ มใช้ อนิ ทรวิเชียรฉันท์ หรอื วสนั ตดิลกฉนั ท์ บทสาแดงอิทธิฤทธิ์หรืออัศจรรย์ นยิ มใช้ โตฎกฉันท์ (แต่คาฉนั ทเ์ ก่าๆไม่ใครน่ ยิ มใช้ โตฎกฉนั ท์) บทดาเนนิ ความยาวๆ ในท้องเรื่อง นยิ มใช้ กาพย์ฉบงั หรอื กาพย์สุรางคนางค์ ในปัจจบุ นั น้ีนิยมแต่งภชุ งคประยาตฉันท์ เพม่ิ ข้ึนอกี ฉนั หนงึ่ และมกั ใชแ้ ตง่ ในตอน พรรณนาโวหารหรือ ขอ้ ความที่น่าตนื่ เต้น การแตง่ ฉันท์ ต้องบรรจุคาให้ครบ ตามจานวนทบ่ี ่งไว้ จะบรรจุคาให้เกนิ กวา่ กาหนด เหมอื นการแตง่ โคลง กลอน และกาพย์ ไมไ่ ด้ เว้นไวแ้ ต่อักษรนา อนุญาตใหเ้ กินไดบ้ า้ ง แต่บัดนี้ ไม่ ใครน่ ิยมแล้ว คาใดท่กี าหนดไว้ว่า เปน็ ครแุ ละลหุ จะต้องเป็น ครุและลหจุ รงิ ๆ และเปน็ ได้ แตเ่ ฉพาะ ตรงท่บี ง่ ไว้ เท่าน้นั จะใชค้ รุและลหุ ผิดทไี่ ม่ได้ คา บ ก็ดี คาท่ปี ระสมดว้ ย สระอา ในแม่ ก กา กด็ ี ใช้เป็นลหไุ ด้ แต่บัดนี้คาทป่ี ระสมด้วยสระอา ไม่ใคร่นิยมใช้ เพราะถอื ว่า เป็นเสยี งที่มีตัวสะกดแฝง อยดู่ ้วย ฉันท์ทง้ั ๒๕ ชนิด มีช่ือ และลกั ษณะตา่ งๆ กนั ดงั จะไดอ้ ธิบาย ต่อไปน้ี ๑.จิตรปทาฉันท์ ๘ ใบความรู้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย

ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔ ๖ เหตุท่ีโบราณนยิ มแต่งเฉพาะ ๖ ฉนั ท์ คงเป็นเพราะฉันทท์ ัง้ ๖ นน้ั สามารถจะแต่งเปน็ ภาษาไทยไดไ้ พเราะกว่าฉนั ท์อ่ืนๆ และทา่ นมกั นิยมเลอื กฉันท์ ใหเ้ หมาะกบั บทของท้องเรื่อง เปน็ ตอนๆ เช่น บทไหวค้ รู นยิ มใช้ สทั ทุลวิกกฬี ิตฉันท์ หรือ สัทธราฉนั ท์ บทชมหรือบทคร่าครวญ นยิ มใช้ อินทรวิเชียรฉันท์ หรือ วสันตดลิ กฉันท์ บทสาแดงอิทธฤิ ทธิ์หรอื อัศจรรย์ นิยมใช้ โตฎกฉันท์ (แต่คาฉนั ทเ์ ก่าๆไม่ใคร่นยิ มใช้ โตฎก ฉนั ท์) บทดาเนนิ ความยาวๆ ในท้องเรื่อง นยิ มใช้ กาพยฉ์ บงั หรือ กาพย์สุรางคนางค์ ในปจั จบุ นั นี้นยิ มแตง่ ภชุ งคประยาตฉนั ท์ เพ่มิ ขึ้นอีกฉนั หน่งึ และมกั ใชแ้ ต่ง ในตอน พรรณนาโวหารหรือ ขอ้ ความท่ีนา่ ตื่นเตน้ การแต่งฉันท์ ต้องบรรจุคาให้ครบ ตามจานวนท่บี ่งไว้ จะบรรจุคาให้เกินกวา่ กาหนด เหมอื นการแตง่ โคลง กลอน และกาพย์ ไมไ่ ด้ เว้นไว้แต่อักษรนา อนุญาตให้เกินไดบ้ ้าง แตบ่ ัดนี้ ไม่ ใครน่ ิยมแล้ว คาใดที่กาหนดไว้วา่ เป็นครแุ ละลหุ จะตอ้ งเป็น ครุและลหุจริงๆ และเปน็ ได้ แตเ่ ฉพาะ ตรงท่บี ่งไว้ เทา่ น้ัน จะใชค้ รแุ ละลหุ ผิดทีไ่ ม่ได้ คา บ กด็ ี คาท่ีประสมด้วย สระอา ในแม่ ก กา ก็ดี ใชเ้ ป็นลหุได้ แต่บัดน้คี าทป่ี ระสมด้วยสระอา ไมใ่ คร่นิยมใช้ เพราะถือว่า เป็นเสียงทีม่ ีตัวสะกดแฝง อย่ดู ้วย ฉันทท์ ั้ง ๒๕ ชนดิ มีชื่อ และลกั ษณะต่างๆ กัน ดังจะได้อธบิ าย ตอ่ ไปน้ี ๑.จิตรปทาฉันท์ ๘ ใบความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย

ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔ ๗ ๑๘. ประภทั ทกฉนั ท์ ๑๕ ๑๙. วาณนิ ฉี ันท์ ๑๖ ๒๐. กสุ มุ ติ ลดาเวลลติ าฉันท์ ๑๘ ๒๑. เมฆวิปผุชชิตาฉันท์ ๑๙ ๒๒. สัททลุ วิกกฬี ติ ฉันท์ ๑๙ ๒๓. อที ิสฉนั ท์ ๒๐ ๒๔. สัทธราฉันท์ ๒๑ ใบความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook