ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเตมิ ๓. อธบิ ายลักษณะสำคญั และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวติ • แบคทเี รียเปน็ สิ่งมีชวี ิตพวกโพรคาริโอต ผนังเซลล์กล่มุ แบคทีเรีย สิง่ มชี ีวติ กล่มุ โพรทสิ ต์ สิง่ มีชีวิต มเี พปทิโดไกลแคนเป็นองค์ประกอบสำคัญกลุ่มพืช สิ่งมชี ีวติ กล่มุ ฟงั ไจ และสิ่งมีชวี ิต แบคทีเรยี ทว่ั ไปสร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ดำรงชีวิตกลมุ่ สตั ว์ แบบผ้สู ลายสารอนิ ทรยี ์หรือแบบปรสิต แตแ่ บคทเี รยี บางกลุ่ม เช่น ไซยาโนแบคทีเรยี สร้างอาหารเองได้จากกระบวนการสงั เคราะห์ ด้วยแสง • โพรทิสต์เปน็ ส่ิงมชี วี ติ พวกยูคารโิ อต มลี กั ษณะ หลากหลาย ท้ังทเ่ี ป็นสิง่ มชี วี ติ เซลลเ์ ดียวหรอื ส่งิ มีชวี ิตหลายเซลลท์ ่ยี งั ไม่พฒั นาไปเป็นเน้ือเย่ือ อาจมหี รอื ไมม่ ผี นงั เซลลเ์ ปน็ สว่ นประกอบของเซลล์ • พชื เปน็ สง่ิ มชี วี ติ หลายเซลลพ์ วกยคู ารโิ อต มผี นงั เซลล์ ซงึ่ มเี ซลลูโลสเป็นองค์ประกอบ มีวัฏจักรชีวิต แบบสลบั และมีระยะเอม็ บริโอในการสบื พนั ธุ์ แบบอาศัยเพศ พืชสร้างอาหารเองได้จาก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง • ฟังไจเป็นสง่ิ มีชวี ติ พวกยูคาริโอต มที ั้งส่ิงมชี วี ิต เซลล์เดยี วและหลายเซลล์ เซลล์ของฟังไจยังไม่ พัฒนาไปเปน็ เนอื้ เยอ่ื ผนังเซลลม์ ไี คทินเปน็ องค์ ประกอบสำคัญ ฟงั ไจสร้างอาหารเองไมไ่ ดแ้ ละ ดำรงชีวติ แบบผ้สู ลายสารอนิ ทรยี ห์ รอื แบบปรสิต • สตั วเ์ ป็นส่ิงมชี ีวติ หลายเซลล์พวกยคู าริโอต ไม่สามารถสร้างอาหารเองไดต้ อ้ งได้รบั อาหาร จากส่ิงมชี ีวติ อน่ื สว่ นใหญม่ ีระบบย่อยอาหาร บางชนดิ อาจเปน็ ปรสติ สตั ว์มรี ะยะเอม็ บริโอ ในการสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศ • สตั วอ์ าจแบ่งเปน็ กล่มุ ยอ่ ยโดยพิจารณาลกั ษณะ ต่าง ๆ คือ เนอื้ เยอ่ื สมมาตร การเปลย่ี นแปลงของ บลาสโทพอร์ การเจริญในระยะตัวออ่ น ทำให้ อาจแบง่ สตั วเ์ ป็นกลมุ่ ย่อย เช่น กลมุ่ ฟองนำ้ กลุ่มไฮดรา กลุ่มหนอนตวั แบน กลุ่มหอยและ หมึก กลุม่ ไสเ้ ดอื นดิน กล่มุ หนอนตัวกลม กลุ่มสตั วท์ ่ีมีขาเปน็ ปล้อง กลุม่ ดาวทะเลและ ปลงิ ทะเล และกลุม่ สัตว์ทมี่ โี นโทคอรด์ ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 145 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม ๔. อธบิ าย และยกตวั อย่างการจำแนกสง่ิ มชี ีวิต • การจำแนกสง่ิ มีชีวิตออกเป็นหมวดหมเู่ ป็นลำดบั จากหมวดหมใู่ หญจ่ นถงึ หมวดหมยู่ อ่ ย และวธิ กี าร ข้ันตา่ ง ๆ เร่มิ จากหมวดหมใู่ หญแ่ ลว้ แบ่งเปน็ เขยี นชอื่ วทิ ยาศาสตรใ์ นลำดับขนั้ สปีชีส์ หมวดหมยู่ อ่ ย มดี งั นี้ คงิ ดอม ไฟลมั คลาส ออรเ์ ดอร์ ๕. สรา้ งไดโคโทมสั คียใ์ นการระบสุ ิง่ มีชวี ิตหรอื แฟมลิ ี จีนัส และสปีชีส์ ตวั อย่างท่ีกำหนดออกเป็นหมวดหมู่ • ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ของสิง่ มีชีวิตในลำดบั ขน้ั สปีชีส ์ ท่ตี ้งั ขึ้นตามระบบทวินามเพือ่ ใช้ในการระบุถึง สงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ ใหม้ คี วามเขา้ ใจถกู ตอ้ งตรงกนั ประกอบด้วย ๒ สว่ น โดยส่วนแรกเป็น ช่อื สกุล ส่วนหลังเปน็ คำทรี่ ะบลุ ักษณะพิเศษของสิ่งมีชวี ติ ชนดิ นนั้ หรือเป็นคำท่มี คี วามหมายเฉพาะ โดยท้งั ๒ สว่ นน้ตี อ้ งเปน็ ภาษาละติน • ไดโคโทมัสคยี ์เป็นเคร่ืองมือทใ่ี ชเ้ พื่อระบหุ มวดหมู่ ของสง่ิ มชี ีวิตลำดบั ขนั้ ตา่ ง ๆ โดยมหี ลกั เกณฑ์ ในการนำลกั ษณะท่ตี า่ งกนั ของส่ิงมชี ีวติ มาพิจารณาเป็นคู่ • วิทเทเกอร์ เสนอแนวความคิดทวี่ า่ สงิ่ มีชีวติ พวก ยคู าริโอตมวี วิ ัฒนาการมาจากสงิ่ มชี วี ิตพวก โพรคารโิ อต และจำแนกสิ่งมชี วี ติ เป็น ๕ คิงดอม ประกอบด้วย มอเนอรา โพรทิสตา พืช ฟังไจ และสัตว์ • โวสซ์ และคณะ จำแนกส่งิ มชี ีวติ เปน็ ๓ โดเมน ประกอบดว้ ย แบคทีเรยี อาร์เคีย และยูคารีอา โดยแนวความคดิ การจำแนกสงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะโดเมน เปน็ กลมุ่ ยอ่ ยจะใชห้ ลกั ทวี่ า่ สงิ่ มชี วี ติ ในกลมุ่ เดยี วกนั มสี ายววิ ัฒนาการมาจากบรรพบรุ ุษรว่ มกัน146 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สาระชีววทิ ยา ๓. เขา้ ใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลย่ี นแกส๊ และคายนำ้ ของพชื การลำเลยี งของพชื การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธ์ุของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการ ตอบสนองของพชื รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ม.๔ - -ม.๕ ๑. อธิบายเก่ยี วกบั ชนดิ และลกั ษณะของเนอ้ื เยอ่ื พืช • เนอื้ เยอื่ พชื แบง่ เปน็ ๒ กลมุ่ ใหญ่ คอื เนอื้ เยอ่ื เจรญิ และเขียนแผนผังเพ่ือสรปุ ชนดิ ของเน้อื เย่อื พืช และเนื้อเยื่อถาวร • เน้ือเยอ่ื เจรญิ แบง่ เปน็ เน้ือเยอื่ เจรญิ ส่วนปลาย เน้ือเยื่อเจริญเหนือขอ้ และเนื้อเยอ่ื เจริญดา้ นข้าง • เน้อื เยื่อถาวรเปลยี่ นแปลงมาจากเน้อื เยอื่ เจริญ เนือ้ เยอื่ ถาวรอาจแบง่ ไดเ้ ป็น ๓ ระบบ คอื ระบบ เนอ้ื เยือ่ ผวิ ระบบเนอ้ื เยือ่ พ้นื และระบบเนื้อเย่ือ ท่อลำเลยี ง ซ่งึ ทำหน้าทต่ี ่างกนั ๒. สงั เกต อธบิ าย และเปรยี บเทียบโครงสร้าง • ราก คือ สว่ นแกนของพืชท่ีโดยท่วั ไปเจรญิ อยู่ ภายในของรากพืชใบเลย้ี งเดย่ี วและรากพืช ใตร้ ะดบั ผวิ ดนิ ทำหนา้ ทยี่ ึดหรือค้ำจนุ ใหพ้ ชื ใบเล้ียงคู่จากการตัดตามขวาง เจรญิ เติบโตอย่กู บั ที่ได้ และยงั มีหน้าทสี่ ำคญั ใน การดดู นำ้ และธาตอุ าหารในดนิ เพื่อส่งไปยงั สว่ น ตา่ ง ๆ ของพชื • โครงสร้างภายในของปลายรากท่ตี ัดตามยาว ประกอบดว้ ย เนอ้ื เยอ่ื เจรญิ แบง่ เปน็ บรเิ วณตา่ ง ๆ คือ บรเิ วณหมวกราก บริเวณเซลลก์ ำลงั แบ่งตวั บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว และบรเิ วณทเ่ี ซลล์ มกี ารเปล่ียนแปลงไปทำหน้าทีเ่ ฉพาะและเจรญิ เติบโตเตม็ ที่ • โครงสร้างภายในของรากระยะการเตบิ โตปฐมภูมิ เมื่อตัดตามขวางจะเห็นโครงสรา้ งแบ่งเป็น ๓ ชั้น เรียงจากด้านนอกเขา้ ไป คอื ช้ันเอพิเดอร์มิส ช้ันคอรเ์ ทกซ์ และช้ันสตลี ในช้นั สตีลจะพบ มัดทอ่ ลำเลยี งทีม่ ีลกั ษณะแตกตา่ งกันใน พืชใบเลยี้ งเด่ียวและพชื ใบเล้ียงคู่ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 147 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่มิ เติม • โครงสรา้ งภายในของรากระยะการเตบิ โตทุตยิ ภมู ิ ชน้ั เอพิเดอรม์ ิสจะถกู แทนที่ด้วยชัน้ เพริเดิร์ม ซึ่งมี คอรก์ เปน็ เนอ้ื เยอ่ื สำคญั ชัน้ คอร์เทกซอ์ าจมกี าร เปลี่ยนแปลงเกดิ เซลล์ทีท่ ำให้มคี วามแขง็ แรง เพ่มิ ขน้ึ หรอื เกดิ เซลลท์ ่สี ะสมอาหารเพิม่ ขึน้ ส่วนลกั ษณะมดั ท่อลำเลยี งจะเปลยี่ นไป เนอ่ื งจาก มกี ารสร้างเน้อื เยอ่ื ลำเลยี งเพ่มิ ขนึ้ ๓. สงั เกต อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • ลำต้น คือ ส่วนแกนของพืชที่โดยท่วั ไปเจริญ ภายในของลำตน้ พืชใบเลย้ี งเดย่ี วและลำตน้ พชื อยู่เหนอื ระดบั ผวิ ดินถดั ขึ้นมาจากราก ทำหน้าท่ี ใบเลยี้ งคูจ่ ากการตดั ตามขวาง สรา้ งใบและชใู บ ลำเลียงน้ำ ธาตอุ าหาร และ อาหารท่ีพืชสร้างขึ้นสง่ ไปยังส่วนต่าง ๆ • โครงสรา้ งภายในของลำตน้ ระยะการเตบิ โตปฐมภมู ิ เมื่อตดั ตามขวางจะเห็นโครงสรา้ งแบง่ เปน็ ๓ ชน้ั เรยี งจากดา้ นนอกเขา้ ไป คอื ช้นั เอพเิ ดอร์มสิ ช้นั คอร์เทกซ์ และชัน้ สตลี ซึ่งชน้ั สตีลจะพบมดั ท่อลำเลยี งที่มีลกั ษณะแตกตา่ งกนั ในพชื ใบเล้ยี งเด่ยี ว และพืชใบเลี้ยงคู่ • ลำตน้ ในระยะการเตบิ โตทตุ ยิ ภมู ิ จะมีเส้นรอบวง เพมิ่ ขน้ึ และมโี ครงสรา้ งแตกตา่ งจากเดมิ เนอื่ งจาก มกี ารสรา้ งเนอื้ เยอ่ื เพริเดิรม์ และเนอ้ื เย่อื ท่อลำเลียงทตุ ิยภูมิเพมิ่ ขึ้น ๔. สังเกต และอธบิ ายโครงสรา้ งภายในของใบพชื • ใบมีหน้าทส่ี งั เคราะห์ด้วยแสง แลกเปล่ยี นแกส๊ จากการตดั ตามขวาง และคายนำ้ ใบของพืชดอกประกอบด้วย ก้านใบ แผน่ ใบ เสน้ กลางใบ และเสน้ ใบ พชื บางชนดิ อาจ ไม่มีกา้ นใบ ท่ีโคนกา้ นใบอาจพบหรอื ไม่พบหใู บ • โครงสรา้ งภายในของใบตดั ตามขวาง ประกอบดว้ ย เน้อื เยอ่ื ๓ กลุ่ม ได้แก่ เอพเิ ดอร์มิส มโี ซฟิลล์ และเนอ้ื เย่ือทอ่ ลำเลยี ง ๕. สืบค้นขอ้ มลู สังเกต และอธิบายการแลกเปลยี่ น • พืชมีการแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำผา่ นทาง แกส๊ และการคายน้ำของพืช ปากใบเป็นส่วนใหญ่ ปากใบพบไดท้ ี่ใบและ ลำตน้ ออ่ น เมือ่ ความช้นื สัมพัทธใ์ นอากาศ ภายนอกตำ่ กวา่ ความช้นื สัมพัทธ์ภายในใบพชื ทำใหน้ ำ้ ภายในใบพชื ระเหยเป็นไอออกมาทาง รูปากใบ เรียกว่า การคายนำ้ 148 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม • ความช้นื ในอากาศ ลม อณุ หภมู ิ สภาพน้ำในดนิ ความเขม้ ของแสง เป็นปัจจัยท่ีมผี ลต่อการคายนำ้ ของพืช๖. สบื ค้นข้อมูล และอธิบายกลไกการลำเลยี งนำ้ • พชื ดดู น้ำและธาตอุ าหารต่าง ๆ จากดนิ โดยเซลล์และธาตอุ าหารของพชื ขนรากแลว้ ลำเลียงผ่านช้ันคอรเ์ ทกซ์เขา้ สู่๗. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ ายความสำคญั ของธาตุอาหาร เนอื้ เยอ่ื ลำเลยี งนำ้ ในชน้ั สตลี ซง่ึ เปน็ การดดู นำ้ จากดนิ และยกตวั อยา่ งธาตุอาหารทีส่ ำคญั ที่มีผลต่อ สูเ่ น้ือเย่อื ลำเลยี งน้ำในแนวระนาบ และลำเลียงการเจรญิ เตบิ โตของพืช ไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของพชื ในแนวดิง่ • ในสภาวะปกติการลำเลยี งน้ำจากรากส่ยู อด ของพืชอาศยั แรงดงึ จากการคายนำ้ ร่วมกับ แรงโคฮชี นั แรงแอดฮีชัน • ในภาวะทบี่ รรยากาศมีความช้นื สมั พัทธส์ งู มาก จนไมส่ ามารถเกดิ การคายนำ้ ไดต้ ามปกติ น้ำท่ี เขา้ ไปในเซลลร์ ากจะทำใหเ้ กดิ แรงดนั เรียกวา่ แรงดนั ราก ทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์กัตเตชนั • พชื แตล่ ะชนิดต้องการปรมิ าณและชนดิ ของ ธาตุอาหารแตกต่างกัน สามารถนำความรู้ เกย่ี วกบั สมบตั ขิ องธาตอุ าหารชนดิ ตา่ ง ๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื ในสารละลายธาตุอาหาร เพื่อใหพ้ ืชเจรญิ เตบิ โตไดต้ ามท่ีตอ้ งการ๘. อธิบายกลไกการลำเลียงอาหารในพืช • อาหารทไี่ ด้จากกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง จากแหลง่ สรา้ ง จะถูกเปล่ยี นแปลงเป็นซโู ครส และลำเลยี งผา่ นทางทอ่ โฟลเอ็ม โดยอาศยั กลไก การลำเลยี งอาหารในพืชซ่งึ เกี่ยวขอ้ งกบั แรงดนั นำ้ ไปยงั แหล่งรับ๙. สบื คน้ ข้อมลู และสรุปการศึกษาที่ไดจ้ ากการ • การศกึ ษาค้นคว้าของนกั วทิ ยาศาสตร์ในอดีต ทดลองของนกั วิทยาศาสตรใ์ นอดตี เกยี่ วกับ ทำให้ไดค้ วามร้เู ก่ยี วกับกระบวนการสงั เคราะห์ กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ด้วยแสงมาเป็นลำดบั ข้นั จนไดข้ ้อสรปุ วา่ คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เปน็ วตั ถดุ ิบทพี่ ืชใช้ ในกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง และผลผลิต ท่ไี ด้ คือ นำ้ ตาล ออกซเิ จนตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 149 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ ๑๐. อธิบายขั้นตอนท่ีเกดิ ข้ึนในกระบวนการ • กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงมี ๒ ขั้นตอน คอื สังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C3 ปฏกิ ริ ยิ าแสง และการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ • ปฏิกริ ิยาแสงเปน็ ปฏกิ ริ ิยาที่เปล่ยี นพลังงานแสง เป็นพลงั งานเคมี โดยแสงออกซิไดซโ์ มเลกุลสารสี ทไี่ ทลาคอยด์ของคลอโรพลาสต์ ทำให้เกดิ การ ถา่ ยทอดอเิ ล็กตรอน ไดผ้ ลติ ภณั ฑเ์ ปน็ ATP และ NADPH+ H+ ในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ • การตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ เกดิ ในสโตรมา โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบสิ โก ไดส้ ารทป่ี ระกอบดว้ ย คารบ์ อน ๓ อะตอม คอื PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ทไี่ ด้จากปฏิกิรยิ าแสงไปรีดิวซ์ สารประกอบคาร์บอน ๓ อะตอม ได้เป็นน้ำตาล ที่มคี าร์บอน ๓ อะตอม คอื PGAL ซ่งึ ส่วนหนง่ึ จะถกู นำไปสร้าง RuBP กลบั คนื เป็นวัฏจกั ร โวดฏั ยจพักืชรคCลั 3วจนิ ะเพมีกยี างอรตยรา่ ึงงคเดายีรวบ์ อนไดออกไซดด์ ว้ ย ๑๑. เปรียบเทยี บกลไกการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ • พเกชื ดิ Cขนึ้4 ทตรีเ่ ซึงลคลารม์ บ์โี ซอฟนลิ อลน์ ินโดทยรียP์ E๒P ครง้ั ครง้ั แรก ในพืช C3 พืช C4 และ พืช CAM และเอนไซม์ เพบคารบ์ อกซิเลส ไดส้ ารประกอบทมี่ ีคาร์บอน ๔ อะตอม คือ OAA ซ่ึงจะมกี ารเปล่ียนแปลง ทางเคมไี ด้สารประกอบทีม่ ีคารบ์ อน ๔ อะตอม คอื กรดมาลิก ซงึ่ จะถูกลำเลียงไปจนถึงเซลล์ บนั เดิลชีทและปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซด์ ในคลอโรพลาสต์เพ่ือใชใ้ นวฏั จกั รคลั วินตอ่ ไป • พืช CAM มีกลไกในการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ ทคลั้ง้า๒ยพคืชร้ังCใน4 เแซตล่มลกี์เดาียรตวกรงึนั คโาดรย์บเอซนลอลนม์ ินีกาทรรตียร์งึ คาร์บอนอนนิ ทรยี ค์ รงั้ แรกในเวลากลางคนื และปล่อยออกมาในเวลากลางวันเพ่อื ใชใ้ น วัฏจักรคลั วนิ ตอ่ ไป ๑๒. สบื คน้ ขอ้ มลู อภปิ ราย และสรปุ ปจั จยั ความเขม้ • ปัจจยั ทีม่ ผี ลต่อการสงั เคราะหด์ ้วยแสง เช่น ของแสง ความเข้มขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ ความเขม้ ของแสง ความเขม้ ข้นของ และอณุ หภมู ิ ทม่ี ีผลตอ่ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง คาร์บอนไดออกไซด์ อณุ หภมู ิ ปริมาณนำ้ ในดิน ของพชื ธาตุอาหาร อายใุ บ150 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม ๑๓. อธบิ ายวฏั จกั รชวี ิตแบบสลับของพชื ดอก • พชื ดอกมวี ัฏจักรชวี ติ แบบสลบั ประกอบดว้ ย ๑๔. อธิบาย และเปรียบเทยี บกระบวนการสร้าง ระยะทีส่ รา้ งสปอร์ เรยี ก ระยะสปอโรไฟต์ (2n) เซลล์สบื พนั ธ์เุ พศผแู้ ละเพศเมยี ของพืชดอก และระยะที่สร้างเซลลส์ ืบพันธุ์ เรยี ก และอธิบายการปฏสิ นธขิ องพืชดอก ระยะแกมโี ทไฟต์ (n) • สว่ นประกอบของดอกท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การสบื พันธุ์ โดยตรงคือช้นั เกสรเพศผูแ้ ละชน้ั เกสรเพศเมยี ซงึ่ จำนวนรงั ไขเ่ กีย่ วข้องกับการเจรญิ เป็นผล ชนดิ ต่าง ๆ • พชื ดอกสรา้ งไมโครสปอรแ์ ละเมกะสปอร์ ซึ่งอาจ สร้างในดอกเดียวกันหรือต่างดอกหรือต่างต้นกนั • การสร้างไมโครสปอร์ของพชื ดอกเกดิ ข้นึ โดย ไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลลแ์ บ่งเซลลแ์ บบ ไมโอซิสได้ไมโครสปอร์ โดยไมโครสปอรน์ ้ี แบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ได้ ๒ เซลล์ คือ ทวิ บเ์ ซลล์ และเจเนอเรทฟิ เซลล์ เม่ือมกี ารถ่ายเรณไู ปตกบน ยอดเกสรเพศเมยี ทิวบเ์ ซลล์จะงอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสไดเ้ ซลลส์ บื พนั ธ์ุ เพศผู้ ๒ เซลล์ • การสรา้ งเมกะสปอรเ์ กดิ ขนึ้ ภายในออวลุ ในรงั ไข่ โดยเซลลท์ เี่ รียกวา่ เมกะสปอร์มาเทอรเ์ ซลล ์ แบ่งไมโอซิสไดเ้ มกะสปอร์ ซง่ึ ในพืชส่วนใหญ่ จะเจริญพฒั นาต่อไปไดเ้ พียง ๑ เซลล์ ทเ่ี หลอื อีก ๓ เซลลจ์ ะฝ่อ เมกะสปอร์จะแบ่งไมโทซสิ ๓ ครั้ง ได้ ๘ นวิ เคลยี ส ทปี่ ระกอบดว้ ย ๗ เซลล์โดยม ี ๑ เซลล์ ที่ทำหนา้ ทเี่ ป็นเซลลส์ ืบพันธ์ุ เรยี ก เซลล์ไข่ ส่วนอกี ๑ เซลลม์ ี ๒ นิวเคลียส เรียก โพลารน์ วิ คลไี อ • การปฏิสนธิของพืชดอกเปน็ การปฏิสนธคิ ู่ โดย คูห่ นง่ึ เปน็ การรวมกนั ของสเปิร์มเซลล์หน่งึ กับเซลล์ไข่ได้เปน็ ไซโกต ซึง่ จะเจรญิ และพฒั นา ไปเป็นเอม็ บรโิ อ และอกี ค่หู นึ่งเป็นการรวมกัน ของสเปริ ์มอกี เซลล์หนึง่ กับโพลารน์ ิวคลไี อ ไดเ้ ปน็ เอนโดสเปริ ม์ นวิ เคลยี ส ซง่ึ จะเจรญิ และพฒั นา ต่อไปเปน็ เอนโดสเปิร์มตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 151 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พิ่มเตมิ ๑๕. อธบิ ายการเกดิ เมลด็ และการเกดิ ผลของพชื ดอก • ภายหลงั การปฏิสนธิ ออวลุ จะมกี ารเจริญ โครงสรา้ งของเมลด็ และผล และยกตวั อยา่ ง และพฒั นาไปเป็นเมลด็ และรงั ไข่จะมีการเจรญิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากโครงสรา้ งตา่ ง ๆ ของเมลด็ และพัฒนาไปเป็นผล และผล • โครงสรา้ งของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมล็ด เอม็ บริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างของผล ประกอบด้วย ผนงั ผล และเมลด็ ซง่ึ แต่ละสว่ น ของโครงสรา้ งจะมปี ระโยชน์ตอ่ พชื เองและตอ่ ส่ิงมชี วี ิตอ่นื ๑๖. ทดลอง และอธบิ ายเก่ียวกับปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่มี • เมล็ดทเี่ จรญิ เตม็ ทจ่ี ะมกี ารงอกโดยมปี ัจจยั ตา่ ง ๆ ผลตอ่ การงอกของเมลด็ สภาพพกั ตวั ของเมลด็ ที่มีผลตอ่ การงอกของเมลด็ เช่น นำ้ หรือความชนื้ และบอกแนวทางในการแกส้ ภาพพักตวั ออกซเิ จน อณุ หภูมิ และแสง เมล็ดบางชนิด ของเมล็ด สามารถงอกไดท้ นั ที แตเ่ มลด็ บางชนดิ ไมส่ ามารถ งอกไดท้ นั ทเี พราะอยูใ่ นสภาพพกั ตวั • เมล็ดบางชนดิ มสี ภาพพักตวั เนอ่ื งจากมีปัจจยั บางประการทมี่ ผี ลยบั ยั้งการงอกของเมล็ด ซ่ึงสภาพพกั ตัวของเมล็ดสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ตามปจั จยั ท่ยี ับยงั้ ๑๗. สืบค้นขอ้ มลู อธิบายบทบาทและหน้าทีข่ อง • พชื สรา้ งสารควบคุมการเจริญเติบโตหลายชนดิ ออกซิน ไซโทไคนนิ จบิ เบอเรลลิน เอทลิ นี ท่ีส่วนต่าง ๆ ซ่ึงสารนเี้ ปน็ สิง่ เร้าภายในท่ีมผี ล และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเก่ียวกบั ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื เชน่ ออกซนิ ไซโทไคนนิ การนำไปใช้ประโยชนท์ างการเกษตร จบิ เบอเรลลนิ เอทลิ ีน และกรดแอบไซซกิ • แสงสว่าง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี และนำ้ ๑๘. สืบค้นขอ้ มูล ทดลอง และอภปิ รายเกี่ยวกบั เปน็ ส่ิงเร้าภายนอกทมี่ ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโต สง่ิ เร้าภายนอกทม่ี ผี ลตอ่ การเจริญเติบโต ของพชื ของพืช • ความรูเ้ ก่ียวกับการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ภายใน และสิ่งเร้าภายนอกทีม่ ีผลต่อการเจริญเติบโต ของพชื สามารถนำมาประยุกตใ์ ช้ควบคมุ การเจรญิ เติบโตของพืช เพมิ่ ผลผลติ และยืดอายุ ผลผลิตได้ม.๖ - -152 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระชวี วทิ ยา ๔. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปล่ียนแก๊ส การลำเลยี งสารและการหมนุ เวยี นเลอื ด ภมู คิ มุ้ กนั ของรา่ งกาย การขบั ถา่ ย การรบั รู้ และการตอบสนอง การเคล่ือนท่ี การสืบพันธ์ุและการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับ การรักษาดลุ ยภาพ และพฤติกรรมของสตั ว์ รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติมม.๔ - -ม.๕ ๑. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • รา มีการปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยอาหารและกระบวนการยอ่ ยอาหารของสัตว์ที่ไมม่ ี นอกเซลล์ ส่วนอะมบี าและพารามีเซียมมกี ารยอ่ ยทางเดินอาหาร สตั ว์ทมี่ ที างเดินอาหาร อาหารภายในฟูดแวคิวโอลโดยเอนไซม์ในแบบไมส่ มบูรณ์ และสตั วท์ มี่ ที างเดนิ อาหาร ไลโซโซมแบบสมบรู ณ์ • ฟองน้ำ ไมม่ ที างเดนิ อาหารแต่จะมเี ซลล์พิเศษ ๒. สงั เกต อธิบาย การกนิ อาหารของไฮดรา ทำหนา้ ทจ่ี บั อาหารเขา้ สเู่ ซลลแ์ ลว้ ยอ่ ยภายในเซลล์และพลานาเรีย โดยเอนไซมใ์ นไลโซโซม • ไฮดราและพลานาเรยี มที างเดินอาหาร แบบไมส่ มบรู ณ์ จะกินอาหารและขับกากอาหาร ออกทางเดียวกัน • ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั สว่ นใหญ่ และสตั ว์มกี ระดกู สนั หลงั จะมีทางเดนิ อาหาร แบบสมบรู ณ์๓. อธิบายเก่ยี วกับโครงสร้าง หน้าท่ี และ • การย่อยอาหารของมนษุ ย์ประกอบด้วย การย่อยกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซมึ เชงิ กลโดยการบดอาหารให้มีขนาดเลก็ ลง และสารอาหารภายในระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์ การยอ่ ยทางเคมีโดยอาศยั เอนไซม์ในทางเดิน อาหาร ทำใหโ้ มเลกลุ ของอาหารมขี นาดเลก็ จนเซลล์สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ • การย่อยอาหารของมนษุ ยเ์ กดิ ข้นึ ทชี่ ่องปาก กระเพาะอาหาร และลำไส้เลก็ • สารอาหารท่ยี อ่ ยแล้ว วิตามนิ บางชนิด และ ธาตอุ าหารจะถกู ดดู ซมึ ทว่ี ลิ ลสั เขา้ สหู่ ลอดเลอื ดฝอย แล้วผ่านตับกอ่ นเขา้ สหู่ วั ใจ ส่วนสารอาหาร ประเภทลิพิดและวิตามนิ ทล่ี ะลายในไขมัน จะถกู ดูดซึมเขา้ ส่หู ลอดนำ้ เหลืองฝอยตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 153 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม • อาหารทไี่ มถ่ ูกยอ่ ยหรือย่อยไมไ่ ดจ้ ะเคลื่อนต่อไป ยังลำไส้ใหญ่ นำ้ ธาตุอาหาร และวิตามินบางส่วน ดูดซมึ เขา้ สผู่ นังลำไสใ้ หญ่ ทเ่ี หลือเป็นกากอาหาร จะถูกกำจดั ออกทางทวารหนัก ๔. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • ไส้เดือนดนิ มีการแลกเปลย่ี นแกส๊ ผา่ นเซลล์บรเิ วณ ทที่ ำหน้าทแี่ ลกเปล่ยี นแก๊สของฟองน้ำ ไฮดรา ผวิ หนังทเี่ ปยี กชื้น พลานาเรีย ไส้เดอื นดนิ แมลง ปลา กบ และนก • แมลงมีการแลกเปลยี่ นแก๊สโดยผ่านทางท่อลม ๕. สังเกต และอธิบายโครงสรา้ งของปอดในสตั ว์ ซงึ่ แตกแขนงเปน็ ท่อลมฝอย เลยี้ งลูกดว้ ยนำ้ นม • ปลาเปน็ สัตว์นำ้ มีการแลกเปลี่ยนแก๊สทล่ี ะลาย อยใู่ นนำ้ ผ่านเหงอื ก • สตั ว์สะเทินนำ้ สะเทินบกใช้ปอดและผวิ หนัง ในการแลกเปลยี่ นแก๊ส • สตั วเ์ ล้ือยคลาน สตั ว์ปีก และสัตว์เล้ียงลูก ด้วยน้ำนมอาศยั ปอดในการแลกเปล่ยี นแก๊ส ๖. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายโครงสร้างทีใ่ ช้ในการ • ทางเดินหายใจของมนษุ ยป์ ระกอบด้วย ช่องจมกู แลกเปล่ยี นแกส๊ และกระบวนการแลกเปล่ยี น โพรงจมูก คอหอย กลอ่ งเสยี ง ทอ่ ลม หลอดลม แกส๊ ของมนษุ ย์ และถุงลมในปอด ๗. อธิบายการทำงานของปอด และทดลองวดั • ปอดเปน็ บริเวณทมี่ ีการแลกเปลยี่ นแกส๊ ระหวา่ ง ปริมาตรของอากาศในการหายใจออกของมนุษย์ ถงุ ลมกบั หลอดเลอื ดฝอย และบริเวณเซลล์ของ เนื้อเยอื่ ตา่ ง ๆ มีการแลกเปลย่ี นแกส๊ โดยการ แพร่ผ่านหลอดเลือดฝอยเชน่ กนั • การหายใจเขา้ และการหายใจออกเกดิ จาก การเปลยี่ นแปลงความดนั ของอากาศภายในปอด โดยการทำงานร่วมกันของกลา้ มเน้อื กะบงั ลม และกลา้ มเน้ือระหวา่ งกระดกู ซโ่ี ครง และควบคุม โดยสมองสว่ นพอนสแ์ ละเมดลั ลาออบลองกาตา ๘. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย และเปรยี บเทียบระบบ • ส่ิงมีชวี ิตเซลล์เดยี วและสัตว์ท่ีมีโครงสรา้ งรา่ งกาย หมุนเวียนเลอื ดแบบเปดิ และระบบหมนุ เวียน ไม่ซบั ซอ้ นมกี ารลำเลยี งสารตา่ ง ๆ โดยการแพร่ เลือดแบบปดิ ระหวา่ งเซลล์กับสิ่งแวดลอ้ ม ๙. สงั เกต และอธิบายทิศทางการไหลของเลือด • สตั ว์ทม่ี โี ครงสรา้ งร่างกายซบั ซอ้ นจะมกี ารลำเลยี ง และการเคล่อื นทีข่ องเซลลเ์ มด็ เลือดในหางปลา สารโดยระบบหมนุ เวียนเลอื ด ซึ่งประกอบดว้ ย และสรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของหลอดเลอื ด หวั ใจ หลอดเลือด และเลอื ด กับความเรว็ ในการไหลของเลอื ด154 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เติม • ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดมี ๒ แบบ คอื ระบบ๑๐. อธบิ ายโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ หมนุ เวยี นเลอื ดแบบเปดิ และระบบหมนุ เวยี นเลอื ด และหลอดเลอื ดในมนษุ ย์ แบบปดิ • ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบเปดิ พบในสัตว์จำพวก๑๑. สังเกต และอธิบายโครงสร้างหัวใจของสตั ว์ หอย แมลง กุง้ ส่วนระบบหมนุ เวียนเลอื ดแบบปิด เล้ยี งลกู ดว้ ยนำ้ นม ทิศทางการไหลของเลือด พบในไส้เดือนดนิ และสัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั ผ่านหวั ใจของมนุษย์ และเขยี นแผนผงั สรปุ • ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดของมนุษย์ ประกอบดว้ ย การหมนุ เวยี นเลือดของมนษุ ย์ หัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึ่งเลอื ดไหลเวยี น อยูเ่ ฉพาะในหลอดเลือด๑๒. สืบค้นข้อมลู ระบคุ วามแตกตา่ งของ • หวั ใจมเี อเตรยี มทำหน้าทรี่ ับเลือดเขา้ สู่หัวใจ และ เซลลเ์ มด็ เลือดแดง เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว เวนตริเคลิ ทำหนา้ ท่สี ูบฉดี เลอื ดออกจากหวั ใจ เพลตเลต และพลาสมา โดยมีล้นิ กนั้ ระหว่างเอเตรียมกับเวนตรเิ คลิ และ ระหวา่ งเวนตรเิ คิลกบั หลอดเลอื ดท่นี ำเลอื ด๑๓. อธิบายหม่เู ลือดและหลกั การใหแ้ ละรบั เลือด ออกจากหวั ใจ ในระบบ ABO และระบบ Rh • เลอื ดออกจากหัวใจทางหลอดเลอื ดเอออตาร์ อารเ์ ตอรี อารเ์ ตอรโิ อล หลอดเลอื ดฝอย เวนลู เวน และเวนาคาวา แล้วเขา้ สหู่ วั ใจ • ขณะทหี่ ัวใจบีบตวั สบู ฉดี เลอื ด ทำใหเ้ กดิ ความดันเลือดและชีพจร สภาพการทำงาน ของร่างกาย อายุ และเพศของมนษุ ย์ เป็นปจั จยั ท่ีมีผลตอ่ ความดนั เลือดและชีพจร • เลอื ดมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยเซลลเ์ มด็ เลอื ดชนดิ ตา่ ง ๆ เพลตเลต และพลาสมา ซึ่งทำหน้าทแี่ ตกต่างกัน • หมเู่ ลอื ดของมนษุ ยจ์ ำแนกตามระบบ ABO ไดเ้ ปน็ เลือดหมู่ A B AB และ O ซึ่งเรยี กช่อื ตามชนดิ ของแอนตเิ จนทเ่ี ยื่อห้มุ เซลล์เม็ดเลือดแดง และ จำแนกตามระบบ Rh ได้เป็น เลือดหมู่ Rh+ และ Rh- การให้และรับเลอื ดมหี ลกั วา่ แอนติเจนของ ผูใ้ ห้ต้องไมต่ รงกบั แอนติบอดขี องผูร้ ับ และ การใหแ้ ละรับเลือดทีเ่ หมาะสมที่สดุ คอื ผู้ให้ และผู้รับควรมเี ลือดหมูต่ รงกนั ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 155 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ๑๔. อธบิ าย และสรปุ เกยี่ วกับสว่ นประกอบและ • ของเหลวทซี่ ึมผา่ นผนังหลอดเลอื ดฝอยออกมา หนา้ ท่ีของน้ำเหลือง รวมทัง้ โครงสรา้ งและ อยู่ระหว่างเซลล์ เรยี กว่า น้ำเหลือง ทำหนา้ ท่ี หน้าท่ขี องหลอดนำ้ เหลอื ง และต่อมน้ำเหลอื ง หล่อเลีย้ งเซลลแ์ ละสามารถแพรเ่ ขา้ สู่ หลอดน้ำเหลอื งฝอย ซงึ่ ตอ่ มาหลอดนำ้ เหลอื งฝอย จะรวมกนั มีขนาดใหญข่ น้ึ และเปดิ เขา้ สรู่ ะบบ หมนุ เวยี นเลอื ดทห่ี ลอดเลอื ดเวนใกลห้ ัวใจ • ระบบน้ำเหลอื งประกอบดว้ ย น้ำเหลือง หลอดน้ำเหลอื ง และตอ่ มนำ้ เหลอื ง โดยทำหนา้ ท่ี นำนำ้ เหลืองกลับเข้าสู่ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ต่อมนำ้ เหลืองเปน็ ทีอ่ ย่ขู องเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว ทำหนา้ ทท่ี ำลายสิ่งแปลกปลอมทลี่ ำเลียงมากบั น้ำเหลือง ๑๕. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ าย และเปรยี บเทียบกลไก • กลไกทร่ี า่ งกายตอ่ ต้านหรอื ทำลายส่ิงแปลกปลอม การต่อตา้ นหรอื ทำลายส่ิงแปลกปลอม มอี ยู่ ๒ แบบ คอื แบบจำเพาะและแบบไมจ่ ำเพาะ แบบไม่จำเพาะและแบบจำเพาะ • ตอ่ มไขมัน ตอ่ มเหงือ่ ท่ผี ิวหนงั ช่วยปอ้ งกนั และ ๑๖. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย และเปรยี บเทียบ ยบั ยัง้ การเจริญของจุลินทรยี ์บางชนิด และเมอ่ื การสร้างภมู ิคมุ้ กันก่อเองและภมู ิคุ้มกันรบั มา เชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอมเขา้ สรู่ ่างกาย เซลล์ ๑๗. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายเกย่ี วกบั ความผดิ ปกติ เมด็ เลอื ดขาวชนดิ นวิ โทรฟลิ และโมโนไซต์ ของระบบภูมคิ ุม้ กนั ที่ทำใหเ้ กดิ เอดส์ ภมู ิแพ้ จะมีการตอ่ ตา้ นและทำลายสงิ่ แปลกปลอม การสร้างภูมติ ้านทานต่อเนือ้ เยอ่ื ตนเอง โดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส สว่ นอโี อซิโนฟิล เกี่ยวข้องกบั การทำลายปรสติ เบโซฟลิ เก่ียวขอ้ ง กับปฏกิ ริ ิยาการแพ้ ซ่ึงเปน็ การตอ่ ต้านหรือ ทำลายสง่ิ แปลกปลอมแบบไม่จำเพาะ • การต่อต้านหรอื ทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบ จำเพาะจะเก่ียวขอ้ งกับการทำงานของลมิ โฟไซต์ ชนดิ เซลล์บีและเซลล์ที • อวัยวะทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับการสรา้ งและตอบสนอง ของลมิ โฟไซตป์ ระกอบดว้ ย ตอ่ มนำ้ เหลอื ง ทอนซลิ ม้าม ไทมัส และเนือ้ เยือ่ น้ำเหลอื งทผ่ี นงั ลำไสเ้ ลก็ • การสรา้ งภูมคิ มุ้ กนั แบบจำเพาะของร่างกาย มี ๒ แบบ คอื ภมู คิ ุม้ กนั ก่อเองและภูมคิ ้มุ กนั รับมา • การได้รับวัคซีนหรือทอกซอยดเ์ ป็นตวั อย่างของ ภมู ิคมุ้ กันก่อเอง โดยการกระตนุ้ ใหร้ ่างกาย สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ขนึ้ ดว้ ยวธิ กี ารใหส้ ารทเ่ี ปน็ แอนตเิ จน เขา้ สรู่ ่างกาย ส่วนภูมิค้มุ กันรับมาเป็นการรับ แอนตบิ อดโี ดยตรง เช่น การได้รบั ซรี มั การได้รบั น้ำนมแม่156 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเตมิ • เอดส์ ภมู แิ พ้ และการสรา้ งภมู ติ า้ นทานตอ่ เนอ้ื เยอ่ื ตนเอง เป็นตัวอยา่ งของอาการท่เี กดิ จากระบบ ภมู คิ มุ้ กันของร่างกายทท่ี ำงานผดิ ปกติ๑๘. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย และเปรยี บเทยี บ • อะมบี า และพารามเี ซยี มเปน็ ส่งิ มีชีวิตเซลลเ์ ดียวโครงสร้างและหน้าท่ีในการกำจดั ของเสยี ทมี่ ีคอนแทรกไทล์แวควิ โอลทำหนา้ ที่ในการกำจดัออกจากรา่ งกายของฟองนำ้ ไฮดรา พลานาเรยี และรักษาดลุ ยภาพของนำ้ และแร่ธาตใุ นเซลล์ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง และสัตวม์ กี ระดกู สันหลงั • ฟองนำ้ และไฮดรามีเซลลส์ ่วนใหญ่สัมผสั กบั น้ำ โดยตรง ของเสียจงึ ถกู กำจัดออกโดยการแพรส่ ู่ สภาพแวดล้อม • พลานาเรยี ใช้เฟลมเซลล์ซงึ่ กระจายอยู่ ๒ ข้าง ตลอดความยาวของลำตวั ทำหนา้ ทขี่ บั ถา่ ยของเสยี • ไสเ้ ดือนดนิ ใชเ้ นฟริเดียม แมลงใช้มัลพิเกียนทิวบูล และสตั ว์มีกระดูกสนั หลงั ใชไ้ ตในการขบั ถ่าย ของเสีย๑๙. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าทขี่ องไต และ • ไตเป็นอวยั วะท่ที ำหน้าท่ีเกี่ยวกับการขับถ่ายโครงสรา้ งทใ่ี ช้ลำเลยี งปสั สาวะออกจาก และรักษาดุลยภาพของนำ้ และแร่ธาตใุ นรา่ งกายร่างกาย • ไตประกอบดว้ ยบริเวณสว่ นนอก ท่ีเรยี กว่า๒๐. อธบิ ายกลไกการทำงานของหน่วยไต ในการ คอรเ์ ทก็ ซ์ และบรเิ วณส่วนใน ทเ่ี รียกว่า เมดลั ลากำจดั ของเสียออกจากรา่ งกาย และเขียน และบรเิ วณสว่ นปลายของเมดัลลาจะยืน่ เขา้ ไปแผนผังสรุปขน้ั ตอนการกำจัดของเสยี จรดกบั ส่วนทเ่ี ปน็ โพรงเรียกว่า กรวยไต ออกจากร่างกายโดยหนว่ ยไต โดยกรวยไตจะตอ่ กบั ท่อไตซ่งึ ทำหนา้ ที่ลำเลียง๒๑. สบื ค้นข้อมลู อธบิ าย และยกตวั อย่างเก่ยี วกบั ปัสสาวะไปเก็บไว้ที่กระเพาะปสั สาวะเพอ่ื ขับถ่ายความผิดปกตขิ องไตอนั เนอ่ื งมาจากโรคต่าง ๆ ออกนอกร่างกาย • ไตแต่ละข้างของมนุษย์ประกอบด้วยหน่วยไต ลักษณะเปน็ ทอ่ ปลายข้างหนึง่ เปน็ รูปถ้วย เรยี กว่า โบว์แมนสแ์ คปซูล ล้อมรอบกลมุ่ หลอดเลอื ดฝอย ท่ีเรยี กว่า โกลเมอรลู สั • กลไกในการกำจัดของเสยี ออกจากรา่ งกาย ประกอบด้วยการกรอง การดดู กลับ และการ หลั่งสารท่เี กินความต้องการออกจากรา่ งกาย • โรคนวิ่ และโรคไตวายเปน็ ตวั อยา่ งของโรคทเ่ี กดิ จาก ความผดิ ปกตขิ องไต ซงึ่ สง่ ผลกระทบตอ่ การรกั ษา ดุลยภาพของสารในรา่ งกายตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 157 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พิม่ เติม • นอกจากไตท่ีทำหนา้ รักษาดุลยภาพของน้ำแร่ธาตุ และกรด-เบส ผวิ หนงั และระบบหายใจ ยงั มีส่วน ชว่ ยในการรักษาดุลยภาพเหล่าน้ีด้วยม.๖ ๑. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • สัตว์ส่วนใหญม่ ีระบบประสาททำให้สามารถรบั รู้ และหน้าที่ของระบบประสาทของไฮดรา และตอบสนองต่อสิง่ เรา้ ได้ เช่น ไฮดรา มรี า่ งแห พลานาเรีย ไส้เดือนดนิ กุ้ง หอย แมลง ประสาท พลานาเรยี ไสเ้ ดือนดนิ กุ้ง หอย และ และสตั วม์ กี ระดูกสันหลัง แมลงมปี มประสาทและเส้นประสาท ส่วนสตั ว์ ๒. อธบิ ายเกย่ี วกับโครงสร้างและหนา้ ทข่ี อง มีกระดูกสนั หลัง มีสมอง ไขสันหลงั ปมประสาท เซลล์ประสาท และเสน้ ประสาท ๓. อธบิ ายเกี่ยวกับการเปลยี่ นแปลงของศกั ย์ไฟฟ้า • หนว่ ยทำงานของระบบประสาท คอื เซลล์ ทเี่ ยือ่ หมุ้ เซลล์ของเซลลป์ ระสาท และกลไก ประสาท ซึ่งประกอบด้วยตวั เซลล์ และ การถ่ายทอดกระแสประสาท เสน้ ใยประสาททท่ี ำหนา้ ทร่ี บั และสง่ กระแสประสาท เรียกวา่ เดนไดรตแ์ ละแอกซอน ตามลำดบั • เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่ ไดเ้ ป็น เซลลป์ ระสาทรับความรสู้ ึก เซลล์ประสาทสั่งการ และเซลลป์ ระสาทประสานงาน • เซลลป์ ระสาทจำแนกตามรูปร่างได้เปน็ เซลล์ ประสาทขั้วเดียว เซลล์ประสาทขัว้ เดยี วเทียม เซลล์ประสาทสองขว้ั และเซลลป์ ระสาทหลายข้วั • กระแสประสาทเกดิ จากการเปลยี่ นแปลงศกั ยไ์ ฟฟา้ ทีเ่ ย่ือหุม้ เซลล์ของเดนไดรต์และแอกซอน ทำใหม้ ี การถา่ ยทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาท ไปยังเซลล์ประสาท หรอื เซลล์อื่น ๆ ผ่านทาง ไซแนปส์ • ระบบประสาทของมนษุ ย์แบ่งไดเ้ ปน็ ๒ ระบบ ตามตำแหน่งและโครงสร้าง คอื ระบบประสาท สว่ นกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลัง และระบบ ประสาทรอบนอก ไดแ้ ก่ เสน้ ประสาทสมอง และเส้นประสาทไขสันหลัง ๔. อธิบาย และสรุปเกยี่ วกับโครงสร้างของระบบ • สมองแบ่งออกเปน็ ๓ สว่ น คอื สมองสว่ นหน้า ประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก สมองสว่ นกลาง และสมองสว่ นหลงั สมองแตล่ ะสว่ น ๕. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ ายโครงสร้างและหน้าท่ขี อง จะควบคมุ การทำงานของร่างกายแตกตา่ งกัน ส่วนตา่ ง ๆ ในสมองส่วนหนา้ สมองสว่ นกลาง โดยมเี สน้ ประสาทที่แยกออกจากสมอง ๑๒ คู่ สมองส่วนหลัง และไขสนั หลงั ไปยงั อวยั วะตา่ ง ๆ ซงึ่ บางคทู่ ำหนา้ ทรี่ บั ความรสู้ กึ ๖. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย เปรยี บเทยี บ และ เข้าสู่สมอง หรือนำคำสั่งจากสมองไปยังหน่วย ปฏบิ ตั งิ าน หรอื ทำหน้าทีท่ ัง้ สองอย่าง ยกตัวอยา่ งการทำงานของระบบประสาท โซมาติก และระบบประสาทอตั โนวตั ิ158 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เตมิ • ไขสนั หลงั เปน็ สว่ นท่ีต่อจากสมองอยภู่ ายใน กระดูกสันหลงั และมเี ส้นประสาทแยกออกจาก ไขสันหลงั เป็นคู่ ซงึ่ ทำหน้าท่ปี ระมวลผลการ ตอบสนองโดยไขสันหลงั เช่น การเกดิ รเี ฟล็กซ์ ชนิดตา่ ง ๆ และการถา่ ยทอดกระแสประสาท ระหวา่ งไขสันหลังกบั สมอง • เส้นประสาทไขสนั หลังทกุ คจู่ ะทำหนา้ ทีร่ บั ความรู้สึกเข้าสไู่ ขสันหลงั และนำคำสัง่ ออกจาก ไขสนั หลัง • ระบบประสาทรอบนอกส่วนทส่ี งั่ การแบง่ เป็น ระบบประสาทโซมาตกิ ซ่ึงควบคมุ การทำงาน ของกลา้ มเนอ้ื โครงรา่ ง และระบบประสาทอตั โนวตั ิ ซ่งึ ควบคมุ การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนอื้ เรียบ และตอ่ มต่าง ๆ • ระบบประสาทอตั โนวตั แิ บง่ การทำงานเปน็ ๒ ระบบ คอื ระบบประสาทซมิ พาเทตกิ และระบบประสาท พาราซมิ พาเทติก ซ่ึงส่วนใหญ่ทำงานตรงกันข้าม เพ่ือรักษาดลุ ยภาพของกระบวนการต่าง ๆ ในรา่ งกาย๗. สบื คน้ ข้อมูล อธิบายโครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ อง • ตา หู จมกู ล้ิน และผิวหนงั เป็นอวัยวะรบั ความตา หู จมกู ลน้ิ และผวิ หนงั ของมนษุ ย์ ยกตวั อยา่ ง รู้สกึ ทรี่ ับสิ่งเร้าทีแ่ ตกต่างกัน จงึ มีความสำคญั โรคต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง และบอกแนวทางในการ ทีค่ วรดแู ล ปอ้ งกนั และรักษาใหส้ ามารถทำงานดแู ลป้องกนั และรกั ษา ไดเ้ ป็นปกติ๘. สังเกต และอธิบายการหาตำแหนง่ ของจุดบอด • ตาประกอบด้วย ช้ันสเคลอรา โครอยดแ์ ละเรตินาโฟเวีย และความไวในการรบั สมั ผสั ของผิวหนัง เลนสต์ าเปน็ เลนส์นนู อยู่ถัดจากกระจกตา ทำหนา้ ทรี่ วมแสงจากวัตถไุ ปท่เี รตินา ซ่ึง ประกอบดว้ ย เซลลร์ บั แสง และเซลลป์ ระสาท ท่ีนำกระแสประสาทสูส่ มอง • หปู ระกอบดว้ ย ๓ สว่ น คอื หสู ว่ นนอก หสู ว่ นกลาง และหูส่วนใน ภายในหูสว่ นในมคี อเคลีย ซ่งึ ทำหน้าที่รบั และเปล่ียนคลื่นเสียงเป็นกระแส ประสาท นอกจากนีย้ งั มีเซมิเซอรค์ วิ ลาร์แคเเนล ทำหน้าที่รบั รเู้ กยี่ วกับการทรงตวั ของรา่ งกายตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 159 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ • จมูกมีเซลล์ประสาทรบั กล่ินอยภู่ ายในเย่ือบจุ มูก ท่ีเป็นตวั รบั สารเคมีบางชนิดแล้วเกิดกระแส ประสาทส่งไปยงั สมอง • ลิ้นทำหนา้ ท่รี บั รส โดยมตี ุ่มรับรสกระจาย อยู่ท่วั ผวิ ลน้ิ ด้านบน ตุ่มรับรสมีเซลล์รบั รส อยูภ่ ายใน เมอ่ื เซลล์รับรสถกู กระตุ้นดว้ ยสารเคมี จะกระตนุ้ เดนไดรต์ของเซลลป์ ระสาทเกดิ กระแส ประสาทสง่ ไปยังสมอง • ผิวหนัง มหี น่วยรับสิ่งเรา้ หลายชนิด เชน่ หน่วย รบั สมั ผสั หนว่ ยรบั แรงกด หนว่ ยรบั ความเจบ็ ปวด หนว่ ยรับอุณหภมู ิ ๙. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง • สงิ่ มชี วี ติ เซลลเ์ ดยี วบางชนิดเคลอ่ื นที่โดยการ และหนา้ ทขี่ องอวยั วะทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเคลอ่ื นที่ ไหลของไซโทพลาซึม บางชนิดใชแ้ ฟลเจลลมั ของแมงกะพรุน หมกึ ดาวทะเล ไส้เดอื นดนิ หรอื ซิเลีย ในการเคลอื่ นที่ แมลง ปลา และนก • สัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั เชน่ แมงกะพรุน เคล่ือนที่โดยอาศยั การหดตัวของเน้อื เยอ่ื บรเิ วณ ขอบกระดงิ่ และแรงดันน้ำ • หมกึ เคลื่อนทโี่ ดยอาศยั การหดตวั ของกล้ามเน้อื บรเิ วณลำตัว ทำใหน้ ำ้ ภายในลำตวั พ่นออกมา ทางไซฟอน ส่วนดาวทะเลใช้ระบบท่อนำ้ ในการ เคลอื่ นท่ี • ไส้เดอื นดนิ มีการเคล่ือนที่ โดยอาศยั การหดตัว และคลายตวั ของกลา้ มเน้ือวงและกลา้ มเนอื้ ตามยาวซึ่งทำงานในสภาวะตรงกนั ข้าม • แมลงเคลอ่ื นทีโ่ ดยใช้ปีกหรือขา ซ่ึงมกี ล้ามเน้ือ ภายในเปลือกห้มุ ทำงานในสภาวะตรงกนั ขา้ ม • สตั ว์มีกระดูกสนั หลัง เช่น ปลา เคลอ่ื นทโี่ ดยอาศัย การหดตัวและคลายตวั ของกลา้ มเนื้อทีย่ ดึ ตดิ อยู่ กับกระดูกสนั หลงั ท้ัง ๒ ข้าง ทำงานในสภาวะ ตรงกันขา้ ม และมคี รบี ทอี่ ยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยโบกพดั ในการเคลอื่ นที่ ส่วนนกเคลอ่ื นที่ โดยอาศัยการหดตวั และคลายตัวของกล้ามเน้อื กดปกี กบั กลา้ มเน้ือยกปกี ซึง่ ทำงานในสภาวะ ตรงกนั ข้าม160 ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ ๑๐. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายโครงสรา้ งและหน้าท่ี • มนษุ ย์เคลื่อนที่โดยอาศยั การทำงานของกระดูกของกระดูกและกล้ามเน้ือท่ีเก่ียวขอ้ งกับการ และกล้ามเนอ้ื ซง่ึ ยึดกนั ดว้ ยเอ็นยดึ กระดูก เคลื่อนไหวและการเคลื่อนที่ของมนษุ ย์ • บรเิ วณทีก่ ระดูกต้ังแต่ ๒ ช้ินมาต่อกัน เรยี กว่า ๑๑. สงั เกต และอธิบายการทำงานของขอ้ ตอ่ ชนิด ข้อต่อ และยดึ กันด้วยเอน็ ยึดขอ้ ต่าง ๆ และการทำงานของกล้ามเนอ้ื โครงร่าง • กระดูกเป็นเน้อื เย่ือทีใ่ ชค้ ้ำจุนและทำหน้าที่ในการทเี่ กี่ยวข้องกบั การเคลอื่ นไหวและการเคลอ่ื นท่ี เคล่อื นไหวของร่างกาย แบ่งตามตำแหนง่ ได้เป็นของมนุษย์ กระดูกแกนและกระดกู รยางค์ • กลา้ มเนอ้ื ในรา่ งกายมนษุ ยแ์ บง่ ออกเปน็ กลา้ มเนอ้ื โครงรา่ ง กล้ามเน้อื หัวใจ และกล้ามเนอื้ เรยี บ กลา้ มเน้อื ทงั้ ๓ ชนดิ พบในตำแหนง่ ทีต่ า่ งกนั และมหี นา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั • กลา้ มเนอ้ื โครงรา่ งสว่ นใหญท่ ำงานรว่ มกนั เปน็ คู่ ๆ ในสภาวะตรงกันข้าม๑๒. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และยกตัวอย่าง • การสืบพนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศของสตั ว์เปน็ การการสบื พนั ธ์แุ บบไม่อาศัยเพศและการสบื พันธุ์ สบื พันธท์ุ ่ีไมม่ ีการรวมของเซลลส์ ืบพันธ์ุ เช่น แบบอาศยั เพศในสตั ว์ การแตกหนอ่ และการงอกใหม ่ • การสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศของสตั วเ์ ปน็ การสบื พนั ธุ์ ท่ีเกดิ จากการรวมนวิ เคลียสของเซลล์สบื พนั ธ ์ุ ซ่ึงมีทัง้ การปฏิสนธิภายนอกและการปฏสิ นธิ ภายใน สัตวบ์ างชนดิ มี ๒ เพศในตวั เดยี วกัน แต่การผสมพันธ์สุ ่วนใหญ่จะผสมขา้ มตัว๑๓. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายโครงสร้างและหนา้ ท่ีของ • การสืบพนั ธ์ุของมนษุ ย์มีกระบวนการสรา้ งสเปริ ์มอวัยวะในระบบสบื พนั ธเ์ุ พศชายและระบบ จากเซลลส์ เปอร์มาโทโกเนียมภายในอณั ฑะ และสบื พันธุ์เพศหญงิ กระบวนการสรา้ งเซลล์ไข่จากเซลล์โอโอโกเนียม๑๔. อธิบายกระบวนการสรา้ งสเปริ ์ม กระบวนการ ภายในรังไข ่ สรา้ งเซลล์ไข่ และการปฏิสนธิในมนุษย์ • อวยั วะสบื พนั ธุ์ของเพศชายประกอบด้วย อัณฑะ ทำหนา้ ท่ีสร้างสเปิรม์ และฮอร์โมนเพศชาย และมี โครงสร้างอนื่ ๆ ท่ีทำหนา้ ที่ลำเลยี งสเปิร์ม สร้างน้ำเล้ียงสเปิรม์ และสารหลอ่ ล่ืนท่อปสั สาวะ • อณั ฑะประกอบดว้ ยหลอดสร้างสเปิร์ม ซ่งึ ภายใน มีเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมทเี่ ปน็ เซลล์ตัง้ ตน้ ของกระบวนการสร้างสเปิร์มตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 161 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ • อวัยวะสืบพนั ธุข์ องเพศหญงิ ประกอบดว้ ย รงั ไข่ ท่อนำไข่ มดลูก และช่องคลอด รังไข่ทำหนา้ ท่ี สรา้ งเซลลไ์ ข่และฮอรโ์ มนเพศหญิง • กระบวนการสรา้ งสเปริ ์มเรมิ่ ต้นจากสเปอรม์ าโท- โกเนียมแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ ได้ สเปอรม์ าโท- โกเนียมจำนวนมาก ซ่งึ ต่อมาบางเซลล์พฒั นา เปน็ สเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรก โดยสเปอรม์ าโทไซต์ ระยะแรกจะแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ I ไดส้ เปอรม์ าโทไซต์ ระยะทส่ี องซงึ่ จะแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ II ได้สเปอร์มาทดิ ตามลำดับ จากนน้ั พฒั นาเปน็ สเปริ ์ม • กระบวนการสรา้ งเซลล์ไขเ่ รมิ่ จากโอโอโกเนยี ม แบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ไดโ้ อโอโกเนยี ม ซงึ่ จะพฒั นา เปน็ โอโอไซตร์ ะยะแรก แลว้ แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ I ไดโ้ อโอไซตร์ ะยะท่สี องซ่ึงจะเกดิ การตกไข่ต่อไป เมื่อได้รับการกระตนุ้ จากสเปิรม์ โอโอไซตร์ ะยะ ที่สองจะแบ่งแบบไมโอซิส II แล้วพฒั นาเปน็ เซลล์ไข่ • การปฏสิ นธิเกิดข้ึนภายในทอ่ นำไขไ่ ดไ้ ซโกต ซึ่งจะเจรญิ เปน็ เอม็ บริโอและไปฝังตวั ที่ผนังมดลกู จนกระทง่ั ครบกำหนดคลอด ๑๕. อธบิ ายการเจริญเตบิ โตระยะเอม็ บริโอ • การเจริญเตบิ โตของสัตว์ เชน่ กบ ไก่ และสัตว์ และระยะหลังเอม็ บริโอของกบ ไก่ และมนุษย์ เลีย้ งลูกดว้ ยนำ้ นม จะเร่ิมต้นดว้ ยการแบง่ เซลล์ ของไซโกต การเกิดเนอื้ เยอื่ เอม็ บริโอ ๓ ช้นั คอื เอกโทเดิร์ม เมโซเดริ ์ม และเอนโดเดิรม์ การเกิด อวยั วะ โดยมีการเพมิ่ จำนวน ขยายขนาด และ การเปลีย่ นแปลงรปู ร่างของเซลล์เพื่อทำหน้าท่ี เฉพาะอย่าง ซ่งึ พฒั นาการของอวัยวะตา่ ง ๆ จะทำใหม้ กี ารเกดิ รปู รา่ งทแ่ี นน่ อนในสตั วแ์ ตล่ ะชนดิ • การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมขี ้นั ตอนคลา้ ยกบั การเจริญเตบิ โตของสตั วเ์ ล้ียงลกู ด้วยนำ้ นมอื่น ๆ โดยเอม็ บรโิ อจะฝงั ตัวทผ่ี นังมดลกู และมกี าร แลกเปล่ียนสารระหว่างแมก่ ับลกู ผ่านทางรก162 ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เติม ๑๖. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเขียนแผนผังสรปุ • ฮอรโ์ มนเปน็ สารทค่ี วบคมุ สมดลุ ตา่ ง ๆ ของรา่ งกายหนา้ ที่ของฮอรโ์ มนจากตอ่ มไร้ท่อและเน้ือเยอ่ื โดยผลติ จากตอ่ มไรท้ อ่ หรอื เนอ้ื เยอ่ื โดยตอ่ มไรท้ อ่ น้ีทสี่ รา้ งฮอร์โมน จะกระจายอยู่ตามตำแหน่งตา่ ง ๆ ทัว่ รา่ งกาย • ต่อมไร้ทอ่ ท่ีสรา้ งหรือหลั่งฮอรโ์ มน ไมม่ ที ่อในการ ลำเลยี งฮอร์โมนออกจากตอ่ มจงึ ถูกลำเลียง โดยระบบหมนุ เวียนเลือดไปยงั อวยั วะเป้าหมาย ทีจ่ ำเพาะเจาะจง • ต่อมไพเนียลสร้างเมลาโทนินซงึ่ ยับยง้ั การเจริญ เติบโตของอวัยวะสืบพนั ธชุ์ ว่ งกอ่ นวยั เจรญิ พันธุ์ และตอบสนองต่อการเปล่ยี นแปลงของแสง ในรอบวัน • ตอ่ มใตส้ มองสว่ นหนา้ สร้างและหลง่ั โกรทฮอรโ์ มน โพรแลกทนิ ACTH TSH FSH LH เอนดอรฟ์ ิน ซ่ึงทำหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกัน • ตอ่ มใต้สมองส่วนหลงั หลั่งฮอร์โมนซง่ึ สรา้ งจาก ไฮโพทาลามสั คอื ADH และออกซิโทซิน ซ่งึ ทำ หนา้ ที่แตกต่างกัน • ต่อมไทรอยด์สรา้ งไทรอกซินซึ่งควบคมุ อตั รา เมแทบอลซิ ึมของร่างกาย และสรา้ งแคลซโิ ทนนิ ซงึ่ ควบคมุ ระดับแคลเซียมในเลอื ดให้ปกติ • ต่อมพาราไทรอยดส์ รา้ งพาราทอรโ์ มนซึง่ ควบคมุ ระดบั แคลเซียมในเลือดใหป้ กติ • ตบั ออ่ นมกี ลมุ่ เซลล์ทส่ี รา้ งอินซูลินและกลคู ากอน ซึ่งควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลอื ดให้ปกต ิ • ตอ่ มหมวกไตส่วนนอกสรา้ งกลโู คคอร์ติคอยด์ มเิ นราโลคอรต์ คิ อยด์ และฮอรโ์ มนเพศ ซง่ึ มหี นา้ ท่ี แตกตา่ งกนั สว่ นต่อมหมวกไตส่วนในสร้าง เอพิเนฟรินและนอรเ์ อพิเนฟริน ซึง่ มีหนา้ ที่ เหมอื นกนั • อณั ฑะมกี ลุ่มเซลล์สรา้ งเทสโทสเทอโรน ส่วนรังไข่ มีกลุม่ เซลลท์ ่สี รา้ งอีสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน ซึ่งมีหน้าท่แี ตกตา่ งกนั ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 163 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม • เน้อื เย่ือบางบริเวณของอวยั วะ เช่น รก ไทมัส กระเพาะอาหาร และลำไสเ้ ลก็ สามารถสร้าง ฮอร์โมนไดห้ ลายชนิด ซงึ่ มีหน้าท่แี ตกต่างกนั • การควบคุมการหล่งั ฮอรโ์ มนจากต่อมไรท้ ่อ มีทง้ั การควบคมุ แบบปอ้ นกลับยบั ยั้ง และการควบคมุ แบบป้อนกลบั กระตุ้น เพ่ือรกั ษาดลุ ยภาพ ของรา่ งกาย • ฟโี รโมนเป็นสารเคมีท่ีผลิตจากต่อมมีทอ่ ของสัตว์ ซ่ึงส่งผลต่อสตั ว์ตัวอ่ืนท่ีเป็นชนดิ เดยี วกัน ๑๗. สบื ค้นขอ้ มลู อธบิ าย เปรียบเทยี บ และ • พนั ธกุ รรมและสิ่งแวดลอ้ มมีผลตอ่ การแสดง ยกตัวอย่างพฤตกิ รรมที่เปน็ มาแตก่ ำเนดิ พฤติกรรม และพฤติกรรมทีเ่ กิดจากการเรียนร้ขู องสัตว์ • พฤติกรรมท่ีเปน็ มาแตก่ ำเนิดแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๑๘. สืบค้นขอ้ มูล อธิบาย และยกตวั อยา่ ง หลายชนดิ เช่น โอเรยี นเตชัน (แทกซิสและ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพฤตกิ รรมกบั ไคนีซิส) รีเฟลก็ ซ์ และฟิกแอกชนั แพทเทิรน์ วิวัฒนาการของระบบประสาท • พฤติกรรมที่เกิดจากการเรยี นรู้ แบง่ ได้เป็น ๑๙. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และยกตวั อยา่ งการสอ่ื สาร แฮบบิชูเอชัน การฝังใจ การเช่ือมโยง ระหวา่ งสตั ว์ที่ทำใหส้ ตั ว์แสดงพฤตกิ รรม (การลองผดิ ลองถูกและการมีเงอ่ื นไข) และการใช้เหตุผล • ระดับการแสดงพฤติกรรมทสี่ ัตว์แตล่ ะชนดิ แสดงออกจะแตกตา่ งกันซึง่ เป็นผลมาจาก วิวฒั นาการของระบบประสาทท่ีแตกต่างกัน • การสอื่ สารเป็นพฤตกิ รรมทางสงั คมแบบหนง่ึ ซึง่ มหี ลายวิธี เชน่ การสือ่ สารด้วยท่าทาง การสือ่ สารด้วยเสยี ง การสือ่ สารดว้ ยสารเคมี และการสอ่ื สารดว้ ยการสมั ผสั 164 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระชีววิทยา ๕. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและ การหมนุ เวยี นสารในระบบนเิ วศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลย่ี นแปลงแทนท่ี ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชากรและรูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ปญั หาและผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการแกไ้ ขปญั หาช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พมิ่ เตมิ ม.๔ - -ม.๕ - -ม.๖ ๑. วเิ คราะห์ อธบิ าย และยกตวั อย่างกระบวนการ • ระบบนเิ วศจะดำรงอยู่ได้ต้องมีกระบวนการต่าง ๆถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ เกดิ ขน้ึ กระบวนการทสี่ ำคัญ ได้แก่ การถา่ ยทอด๒. อธบิ าย ยกตวั อย่างการเกิดไบโอแมกนิฟเิ คชัน พลังงาน และการหมนุ เวยี นสาร การถ่ายทอดและบอกแนวทางในการลดการเกดิ พลังงานในระบบนิเวศสามารถแสดงได้ดว้ ยไบโอแมกนิฟเิ คชนั แผนภาพท่ีเรยี กว่า โซ่อาหาร สายใยอาหาร ๓. สบื ค้นขอ้ มลู และเขยี นแผนภาพ เพื่ออธิบาย และพรี ะมิดทางนเิ วศวทิ ยา วัฏจกั รไนโตรเจน วฏั จักรกำมะถนั และวฏั จักร • พลังงานที่ถ่ายทอดไปในแต่ละลำดับขัน้ การกนิฟอสฟอรัส อาหารมปี ริมาณท่ไี มเ่ ทา่ กัน พลงั งานสว่ นใหญ่ จะสญู เสียไปในรปู ความร้อนระหวา่ งการถ่ายทอด จากสงิ่ มีชวี ติ หนึ่งไปยังสง่ิ มีชีวิตอกี ชนดิ หน่ึง • การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศบางครงั้ อาจทำให้มสี ารพิษสะสมอยู่ในสง่ิ มีชวี ติ ดว้ ย เรยี กวา่ การเกดิ ไบโอแมกนฟิ เิ คชนั ซง่ึ อาจมรี ะดบั ความเขม้ ขน้ ของสารพิษมากขน้ึ ตามลำดบั ขั้นของ การกินจนอาจกอ่ ใหเ้ กิดอันตรายตอ่ สิง่ มีชวี ิต • สารต่าง ๆ ในระบบนเิ วศมกี ารหมุนเวียนเกดิ ขึน้ ผา่ นทง้ั ในสง่ิ มชี วี ติ และสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ กลบั คนื สรู่ ะบบ อยา่ งเป็นวัฏจักร เชน่ วัฏจกั รไนโตรเจน วฏั จกั ร กำมะถัน และวฏั จกั รฟอสฟอรัส ๔. สบื คน้ ขอ้ มูล ยกตวั อยา่ ง และอธิบายลกั ษณะ • ไบโอมคือระบบนเิ วศขนาดใหญ่ทกี่ ระจายอยตู่ ามของไบโอมทกี่ ระจายอยตู่ ามเขตภมู ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ เขตภมู ิศาสตร์ต่าง ๆ บนโลก เชน่ ไบโอมทุนดราบนโลก ไบโอมสะวนั นา ไบโอมทะเลทราย โดยแตล่ ะ ไบโอมจะมีลักษณะเฉพาะของปัจจยั ทางกายภาพ ชนดิ ของพืช และชนิดของสัตว์ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 165 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พิ่มเติม ๕. สบื คน้ ขอ้ มลู ยกตวั อยา่ ง อธบิ าย และเปรยี บเทยี บ • ระบบนเิ วศมกี ารเปลย่ี นแปลงได้ การเปลย่ี นแปลง การเปลี่ยนแปลงแทนท่แี บบปฐมภูมิ และ ทเ่ี กิดขึ้นอย่างชา้ ๆ ทำให้ระบบนเิ วศสามารถ การเปลีย่ นแปลงแทนที่แบบทตุ ยิ ภมู ิ ปรับสมดุลได้ แต่การเปลยี่ นแปลงท่เี กดิ ข้นึ อยา่ งรวดเรว็ อาจส่งผลกระทบต่อองคป์ ระกอบ ทางชวี ภาพในระบบนเิ วศทำใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง แทนท่ขี องสิ่งมชี วี ิตขน้ึ • การเปล่ยี นแปลงแทนท่ีทางนิเวศวทิ ยา มที ้งั การเปล่ยี นแปลงแทนทแี่ บบปฐมภูมแิ ละ การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทตุ ิยภูมิ ๖. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ าย ยกตัวอยา่ ง และสรปุ • ประชากรของสง่ิ มชี ีวิตทุกชนดิ มลี ักษณะ เกย่ี วกับลกั ษณะเฉพาะของประชากรของ หลายประการทเี่ ปน็ ลักษณะเฉพาะ เชน่ ขนาด ส่งิ มีชีวติ บางชนิด ของประชากร ความหนาแน่นของประชากร ๗. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และยกตวั อยา่ ง การกระจายตวั ของสมาชิกในประชากร การเพ่มิ ของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชยี ล โครงสรา้ งอายุของประชากร อตั ราส่วนระหวา่ ง และการเพ่มิ ของประชากรแบบลอจิสตกิ เพศ อตั ราการเกดิ และอตั ราการตาย การอพยพเขา้ ๘. อธบิ าย และยกตวั อยา่ งปจั จยั ทค่ี วบคมุ การเตบิ โต การอพยพออกของประชากร และการรอดชวี ติ ของประชากร ของสมาชิกที่มอี ายตุ ่างกัน • ลกั ษณะเฉพาะของประชากรมอี ทิ ธิพลตอ่ การเปล่ยี นแปลงขนาดของประชากรซง่ึ เปน็ กระบวนการที่เกดิ ขึน้ อยเู่ สมอ • การเพิ่มประชากรแบบเอ็กโพเนนเชยี ลเปน็ การ เพ่มิ จำนวนประชากรอย่างรวดเรว็ แบบทวีคูณ • การเพ่ิมประชากรแบบลอจสิ ติกเป็นการเพ่ิม จำนวนประชากรท่ีขึน้ อยู่กบั สภาพแวดลอ้ ม หรือมตี วั ตา้ นทานในสิง่ แวดลอ้ มมาเกีย่ วขอ้ ง • การเติบโตของประชากรขน้ึ กับปจั จยั ต่าง ๆ ซง่ึ แบ่งได้เปน็ ปัจจยั ทขี่ ้ึนกบั ความหนาแนน่ ของประชากร และปจั จยั ทไี่ มข่ น้ึ กบั ความหนาแนน่ ของประชากร • ประชากรมนุษย์มอี ตั ราการเตบิ โตอย่างรวดเร็ว แบบเอก็ โพเนนเชยี ลหลงั จากการปฏวิ ัต ิ ทางอุตสาหกรรมเป็นตน้ มา166 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม ๙. วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปปญั หา • ปญั หาทเี่ กิดกับทรพั ยากรนำ้ สว่ นใหญ่เกิดจากการขาดแคลนน้ำ การเกดิ มลพษิ ทางนำ้ และ การปลอ่ ยนำ้ ที่ผา่ นการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมผลกระทบทีม่ ีตอ่ มนุษย์และสิง่ แวดล้อม รวมทง้ั ตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์และยังไมไ่ ดร้ บั การบำบัดลงเสนอแนวทางการวางแผนการจัดการนำ้ สู่แหล่งนำ้ ทำใหเ้ กดิ มลพิษทางนำ้ และการแก้ไขปัญหา • การตรวจสอบคณุ ภาพนำ้ นยิ มใช้การหาคา่ ปริมาณออกซเิ จนทล่ี ะลายน้ำ และคา่ ปรมิ าณ ออกซิเจนท่ีจุลนิ ทรีย์ในนำ้ ใชใ้ นการยอ่ ยสลายสาร อินทรยี ์ในน้ำ • การจดั การทรพั ยากรนำ้ เพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ควรมีการวางแผนการใชน้ ำ้ การแกไ้ ขปัญหา คุณภาพนำ้ รวมท้งั การปลูกจติ สำนึกในการใชน้ ำ้ อย่างถกู ต้อง๑๐. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรุปปัญหามลพษิ ทาง • การปนเปอื้ นของสารเคมี ฝนุ่ ละออง และจลุ นิ ทรยี ์ อากาศ และผลกระทบทีม่ ีต่อมนุษยแ์ ละ ตา่ ง ๆ ทำให้เกิดมลพษิ ทางอากาศ ซงึ่ เกิดไดท้ ั้ง สง่ิ แวดลอ้ ม รวมท้ังเสนอแนวทางการแก้ไข จากธรรมชาตแิ ละจากการกระทำของมนษุ ย์ ปัญหา • การเกดิ มลพษิ ทางอากาศทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ เชน่ การเกดิ พายุ การเกดิ ไฟปา่ และการเกดิ แกส๊ พษิ จากการย่อยสลายของจลุ นิ ทรีย์ • การเกิดมลพษิ ทางอากาศท่เี กิดจากการกระทำ ของมนษุ ย์ เชน่ การใชเ้ ชอื้ เพลงิ ฟอสซลิ ในรปู แบบ ตา่ ง ๆ • การจดั การทรพั ยากรอากาศควรประกอบด้วย การกำหนดนโยบาย และวางแผนงานเพื่อป้องกัน และแก้ไข รวมท้ังการปลูกจิตสำนึกในการดูแล รกั ษาคุณภาพอากาศ๑๑. วิเคราะห์ อภิปราย และสรปุ ปัญหาทเ่ี กดิ กับ • มลพิษทางดนิ และปญั หาความเสอื่ มโทรมของดิน ทรัพยากรดนิ และผลกระทบท่มี ตี ่อมนษุ ย์และ ส่วนใหญม่ ีสาเหตจุ ากการกระทำของมนุษย์ สง่ิ แวดล้อม รวมทั้งเสนอแนวทางการแกไ้ ข • การจัดการทรัพยากรดนิ เพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์ ปญั หา สูงสุดควรมีการปอ้ งกนั และการแกป้ ญั หาการเกิด มลพิษและความเสอ่ื มโทรมของดนิ รวมทง้ั การ ปลกู จติ สำนึกในการใชด้ ินอย่างถูกต้องตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 167 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ ๑๒. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรปุ ปญั หา ผลกระทบ • พ้นื ท่ีปา่ ไม้ทีล่ ดลงอาจมีสาเหตมุ าจากธรรมชาติ ท่ีเกดิ จากการทำลายปา่ ไม้ รวมทั้งเสนอ เชน่ ไฟป่า แผ่นดนิ ไหว ภเู ขาไฟระเบิด หรอื อาจมี แนวทางในการป้องกนั การทำลายปา่ ไม้และ สาเหตมุ าจากการกระทำของมนษุ ย์ เชน่ การตดั ไม้ การอนรุ ักษป์ า่ ไม้ ทำลายป่า การบกุ รุกพื้นที่ปา่ เพ่อื ครอบครองที่ดิน การเผาปา่ การทำเหมืองแร ่ • พน้ื ที่ป่าไม้ทลี่ ดลงทำใหภ้ มู ิประเทศมีสภาพ แห้งแล้ง เกดิ อุทกภัย เกิดการพงั ทลายของดนิ ตลอดจนการเพิ่มขนึ้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ซ่ึงเปน็ แกส๊ เรือนกระจกชนดิ หน่งึ นอกจากน้ี ทำให้สัตว์ป่าและพืชพรรณธรรมชาตลิ ดจำนวนลง หรอื สญู พันธ์ุได้ • การจดั การทรัพยากรป่าไม้ควรจดั การใหม้ ี ทรัพยากรปา่ ไม้คงอยู่อยา่ งย่ังยนื หรอื เพ่ิมขึ้น เช่น การกำหนดพนื้ ทป่ี ่าอนรุ ักษ์ ส่งเสรมิ การปลกู ปา่ ปอ้ งกันการบุกรุกปา่ การใชไ้ ม้อยา่ งมคี ุณค่าและ มปี ระสทิ ธภิ าพ รวมถึงการปลกู จิตสำนกึ เร่อื ง การอนรุ กั ษป์ า่ ไม้ ๑๓. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรปุ ปญั หา ผลกระทบ • การลดจำนวนลงของสัตวป์ า่ เปน็ ผลเนือ่ งมาจาก ท่ที ำให้สตั ว์ป่ามีจำนวนลดลง และแนวทาง การกระทำของมนุษย์เปน็ สว่ นใหญ่ คอื การทำให้ ในการอนรุ กั ษ์สตั ว์ป่า แหลง่ ท่ีอยอู่ าศยั ลดลงและการล่าสตั วป์ ่า • การจัดการทรัพยากรสตั วป์ า่ ควรมกี ารดำเนินการ ให้มีพนื้ ทป่ี า่ ไมเ้ พอื่ การอยู่อาศยั อยา่ งเพยี งพอ รวมทัง้ การไม่ทำร้ายสัตว์ป่าหรือทำให้สตั วป์ า่ ลดจำนวนลง รวมทั้งการปลูกจิตสำนกึ ใหช้ ว่ ยกนั อนรุ กั ษ์168 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๑. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของ สารประกอบอินทรยี แ์ ละพอลเิ มอร์ รวมทงั้ การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พิ่มเตมิ ม.๔ ๑. สืบค้นขอ้ มลู สมมตฐิ าน การทดลอง หรอื • นักวทิ ยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของอะตอม และผลการทดลองทเ่ี ป็นประจักษพ์ ยานในการเสนอ เสนอแบบจำลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการแบบจำลองอะตอมของนักวทิ ยาศาสตร ์ ศกึ ษาข้อมูล การสังเกต การตงั้ สมมตฐิ าน และและอธบิ ายวิวัฒนาการของแบบจำลองอะตอม ผลการทดลอง • แบบจำลองอะตอมมีววิ ัฒนาการ โดยเร่มิ จาก ดอลตันเสนอว่าธาตุประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็น อนุภาคขนาดเล็กไมส่ ามารถแบ่งแยกได้ ตอ่ มา ทอมสนั เสนอว่าอะตอมประกอบดว้ ยอนุภาค ที่มปี ระจลุ บ เรยี กวา่ อิเล็กตรอน และอนุภาค ประจบุ วก รัทเทอร์ฟอรด์ เสนอว่าประจบุ วก ที่เรียกว่า โปรตอน รวมตวั กนั อย่ตู รงกง่ึ กลาง อะตอม เรยี กว่า นวิ เคลียส ซ่ึงมขี นาดเล็กมาก และมีอิเลก็ ตรอนอยูร่ อบนวิ เคลยี ส โบรเ์ สนอว่า อเิ ลก็ ตรอนเคล่ือนท่เี ปน็ วงรอบนิวเคลยี ส โดยแตล่ ะวงมีระดบั พลังงานเฉพาะตวั ในปัจจุบัน นกั วิทยาศาสตรย์ อมรบั วา่ อเิ ล็กตรอนมีการ เคล่ือนทร่ี วดเรว็ รอบนวิ เคลียส และไม่สามารถ ระบุตำแหนง่ ทแ่ี น่นอนได้ จึงเสนอแบบจำลอง อะตอมแบบกลุม่ หมอก ซงึ่ แสดงโอกาสการพบ อเิ ล็กตรอนรอบนิวเคลยี ส๒. เขียนสัญลักษณน์ ิวเคลียรข์ องธาตุ และระบุ • สญั ลักษณ์นวิ เคลียรข์ องธาตุ ประกอบดว้ ย จำนวนโปรตอน นวิ ตรอน และอิเลก็ ตรอนของ สัญลกั ษณ์ธาตุ เลขอะตอมซึ่งแสดงจำนวน อะตอมจากสญั ลักษณน์ วิ เคลียร์ รวมท้ังบอก โปรตอน และเลขมวลซงึ่ แสดงผลรวมของจำนวน ความหมายของไอโซโทป โปรตอนกบั นวิ ตรอน อะตอมของธาตชุ นดิ เดยี วกนั ทีม่ จี ำนวนโปรตอนเทา่ กัน แตม่ ีจำนวนนิวตรอน ต่างกนั เรยี กวา่ ไอโซโทปตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 169 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ๓. อธิบาย และเขียนการจัดเรยี งอเิ ลก็ ตรอน • การศกึ ษาสเปกตรัมการเปลง่ แสงของอะตอมแก๊ส ในระดบั พลังงานหลักและระดบั พลงั งานยอ่ ย ทำให้ทราบว่า อเิ ล็กตรอนจัดเรียงอยู่รอบ ๆ เมื่อทราบเลขอะตอมของธาตุ นิวเคลยี สในระดบั พลงั งานหลกั ต่าง ๆ และ แต่ละระดบั พลังงานหลกั ยงั แบง่ เปน็ ระดบั ๔. ระบหุ มู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และ พลงั งานย่อยซึ่งมบี ริเวณที่จะพบอิเลก็ ตรอน ก่ึงโลหะ ของธาตุเรพรีเซนเททีฟและธาตุ เรียกวา่ ออร์บิทัล ไดแ้ ตกตา่ งกัน และอเิ ลก็ ตรอน แทรนซชิ นั ในตารางธาตุ จะจดั เรยี งในออรบ์ ทิ ัลใหม้ ีระดับพลงั งานต่ำท่สี ุด สำหรบั อะตอมในสถานะพื้น ๕. วเิ คราะห์ และบอกแนวโน้มสมบตั ิของธาตุ • ตารางธาตุในปจั จุบนั จัดเรยี งธาตตุ ามเลขอะตอม เรพรีเซนเททฟี ตามหมู่และตามคาบ และสมบัตทิ ค่ี ล้ายคลึงกนั เปน็ หมแู่ ละคาบ โดยอาจแบง่ ธาตุในตารางธาตุเป็นกลุม่ ธาตโุ ลหะ ๖. บอกสมบตั ิของธาตโุ ลหะแทรนซิชนั และ กง่ึ โลหะ และอโลหะ นอกจากนอี้ าจแบ่งเป็น เปรยี บเทียบสมบตั ิกับธาตโุ ลหะในกลมุ่ ธาตุ กลุม่ ธาตุเรพรีเซนเททีฟและกลุ่มธาตุแทรนซชิ นั เรพรเี ซนเททฟี • ธาตเุ รพรเี ซนเททฟี ในหมเู่ ดยี วกนั มจี ำนวนเวเลนซ-์ อิเลก็ ตรอนเทา่ กนั และธาตทุ ่อี ยูใ่ นคาบเดยี วกนั มเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งานหลกั เดยี วกนั ธาตเุ รพรเี ซนเททฟี มีสมบตั ทิ างเคมีคลา้ ยคลึงกัน ตามหมู่ และมแี นวโน้มสมบตั บิ างประการเปน็ ไป ตามหมแู่ ละตามคาบ เชน่ ขนาดอะตอม รศั มไี อออน พลงั งานไอออไนเซชนั อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ ี สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน • ธาตแุ ทรนซชิ ันเปน็ โลหะท่ีส่วนใหญม่ ีเวเลนซ์- อิเล็กตรอนเทา่ กบั ๒ มีขนาดอะตอมใกล้เคยี งกัน มจี ดุ เดือด จดุ หลอมเหลวและความหนาแนน่ สงู เกิดปฏกิ ริ ิยากับน้ำได้ชา้ กวา่ ธาตโุ ลหะในกลุม่ ธาตุ เรพรเี ซนเททฟี เม่อื เกิดเปน็ สารประกอบ ส่วนใหญจ่ ะมสี ี170 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พิ่มเติม ๗. อธิบายสมบัติ และคำนวณครึง่ ชวี ิตของไอโซโทป • ธาตแุ ตล่ ะชนิดมไี อโซโทป ซ่งึ ในธรรมชาติบางธาตุกมั มนั ตรังสี มีไอโซโทปทีแ่ ผ่รังสีได้ เนือ่ งจากนิวเคลยี ส ไม่เสถยี ร เรียกวา่ ไอโซโทปกมั มันตรงั สี สำหรบั ธาตกุ มั มนั ตรังสเี ป็นธาตุทที่ ุกไอโซโทปสามารถ แผ่รังสไี ด้ รังสีทเี่ กดิ ขน้ึ เช่น รังสแี อลฟา รงั สบี ตี า รงั สแี กมมา โดยคร่ึงชวี ติ ของไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี เป็นระยะเวลาท่ีไอโซโทปกัมมนั ตรังสีสลายตัว จนเหลอื ครงึ่ หนง่ึ ของปรมิ าณเดมิ ซง่ึ เป็นค่าคงที่ เฉพาะของแต่ละไอโซโทปกมั มันตรงั สี๘. สืบค้นข้อมูล และยกตัวอยา่ งการนำธาต ุ • สมบตั บิ างประการของธาตุแต่ละชนดิ ทำให้ มาใชป้ ระโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อสงิ่ มชี ีวิต สามารถนำธาตไุ ปใช้ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ และสิง่ แวดล้อม ได้อย่างหลากหลาย ทั้งนก้ี ารนำธาตุไปใช้ต้อง ตระหนักถึงผลกระทบท่ีมตี ่อส่ิงมชี วี ติ และ สิง่ แวดลอ้ มโดยเฉพาะสารกมั มันตรังสซี ึ่งตอ้ งมี การจดั การอยา่ งเหมาะสม๙. อธบิ ายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะ • สารเคมีเกิดจากการยึดเหนยี่ วกนั ด้วยพันธะเคมี ไอออนกิ โดยใชแ้ ผนภาพหรอื สัญลกั ษณ์ ซึง่ เกย่ี วขอ้ งกบั เวเลนซอ์ ิเล็กตรอนท่แี สดงได้ดว้ ย แบบจดุ ของลิวอิส สัญลกั ษณแ์ บบจุดของลิวอิส โดยการเกิด พนั ธะเคมี สว่ นใหญเ่ ป็นไปตามกฎออกเตต • พันธะไอออนิกเกิดจากการยดึ เหนี่ยวระหว่าง ประจไุ ฟฟา้ ของไอออนบวกกับไอออนลบ สว่ นใหญไ่ อออนบวกเกิดจากโลหะเสยี อเิ ลก็ ตรอน และไอออนลบเกิดจากอโลหะรับอเิ ล็กตรอน สารประกอบที่เกดิ จากพันธะไอออนกิ เรียกว่า สารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิก ไมอ่ ย่ใู นรูปโมเลกุล แตเ่ ป็นโครงผลึกทป่ี ระกอบ ดว้ ยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรยี งตัวต่อเนอ่ื ง กันไปทง้ั สามมติ ิ๑๐. เขยี นสูตร และเรียกชอื่ สารประกอบไอออนกิ • สารประกอบไอออนกิ เขยี นแสดงสูตรเคมีโดยให้ สัญลกั ษณธ์ าตทุ ่ีเป็นไอออนบวกไว้ข้างหนา้ ตาม ด้วยสัญลกั ษณธ์ าตุทเี่ ป็นไอออนลบ โดยมีตวั เลข แสดงอัตราสว่ นอยา่ งตำ่ ของจำนวนไอออนท่ีเป็น องค์ประกอบตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 171 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ • การเรียกชอื่ สารประกอบไอออนิกทำไดโ้ ดย เรยี กช่อื ไอออนบวกแล้วตามดว้ ยชือ่ ไอออนลบ สำหรบั สารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะทม่ี ี เลขออกซเิ ดชันได้หลายค่า ต้องระบเุ ลข ออกซเิ ดชันของโลหะดว้ ย ๑๑. คำนวณพลงั งานทเ่ี กย่ี วข้องกับปฏิกิรยิ า • ปฏิกิริยาการเกดิ สารประกอบไอออนิกจากธาตุ การเกดิ สารประกอบไอออนกิ จากวัฏจักร เกีย่ วข้องกับปฏิกิรยิ าเคมหี ลายข้ันตอน มที ง้ั บอร์น-ฮาเบอร์ ที่เป็นปฏิกิริยาดดู พลังงานและคายพลงั งาน ซึ่งแสดงไดด้ ้วยวฏั จักรบอรน์ -ฮาเบอร์ และ พลงั งานของปฏกิ ิรยิ าการเกิดสารประกอบ ไอออนกิ เปน็ ผลรวมของพลังงานทกุ ขั้นตอน ๑๒. อธบิ ายสมบัตขิ องสารประกอบไอออนกิ • สารประกอบไอออนกิ ส่วนใหญ่มลี กั ษณะเป็น ผลึกของแขง็ เปราะ มีจดุ หลอมเหลวและ จดุ เดอื ดสูง ละลายนำ้ แล้วแตกตัวเปน็ ไอออน เรยี กวา่ สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ เมอื่ เปน็ ของแขง็ ไม่นำไฟฟ้า แตถ่ า้ ทำให้หลอมเหลวหรือละลาย ในนำ้ จะนำไฟฟา้ • สารละลายของสารประกอบไอออนิกแสดงสมบัติ ความเปน็ กรด–เบส ตา่ งกัน สารละลายของ สารประกอบคลอไรด์มสี มบัติเปน็ กลาง และ สารละลายของสารประกอบออกไซด์มีสมบตั ิ เปน็ เบส ๑๓. เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสุทธิ • ปฏิกริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก สามารถเขียน ของปฏิกิรยิ าของสารประกอบไอออนิก แสดงด้วยสมการไอออนิกหรือสมการไอออนกิ สุทธิ โดยท่สี มการไอออนกิ แสดงสารตงั้ ต้นและ ผลิตภณั ฑ์ทุกชนดิ ท่แี ตกตัวไดใ้ นรูปของไอออน สว่ นสมการไอออนิกสุทธิแสดงเฉพาะไอออนท่ี ทำปฏิกริ ยิ ากัน และผลติ ภัณฑท์ เ่ี กดิ ขน้ึ 172 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เติม ๑๔. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโคเวเลนตแ์ บบพนั ธะเดย่ี ว • พนั ธะโคเวเลนตเ์ ปน็ การยดึ เหนยี่ วทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายใน พันธะคู่ และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอิส โมเลกุลจากการใชเ้ วเลนซ์อเิ ล็กตรอนรว่ มกัน ของธาตุ ซึง่ สว่ นใหญเ่ ปน็ ธาตอุ โลหะ โดยท่วั ไป จะเปน็ ไปตามกฎออกเตต สารทย่ี ดึ เหนี่ยวกนั ดว้ ย พนั ธะโคเวเลนต์เรียกวา่ สารโคเวเลนต์ พนั ธะ โคเวเลนต์เกดิ ไดท้ ั้งพันธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ และ พันธะสาม ซงึ่ สามารถเขียนแสดงได้ด้วย โครงสรา้ งลวิ อสิ โดยแสดงอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ ด้วยจุดหรอื เส้น และแสดงอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ยี ว ของแต่ละอะตอมด้วยจดุ ๑๕.เขยี นสูตร และเรยี กช่ือสารโคเวเลนต์ • สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ โดยทั่วไป เขยี นแสดงด้วยสญั ลักษณข์ องธาตเุ รียงลำดับ ตามคา่ อิเลก็ โทรเนกาติวติ ีจากน้อยไปมาก โดยมีตวั เลขแสดงจำนวนอะตอมของธาตุ ที่มมี ากกว่า ๑ อะตอมในโมเลกุล • การเรยี กชื่อสารโคเวเลนตท์ ำไดโ้ ดยเรียกชอื่ ธาตทุ อี่ ยูห่ น้ากอ่ น แลว้ ตามดว้ ยชื่อธาตุท่ีอยู่ถัดมา โดยมคี ำนำหนา้ ระบุจำนวนอะตอมของธาตทุ เี่ ปน็ องค์ประกอบ๑๖. วิเคราะห์ และเปรยี บเทยี บความยาวพันธะ • ความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะในสาร และพลงั งานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ รวมทงั้ โคเวเลนต์ขน้ึ กับชนดิ ของอะตอมคู่รว่ มพนั ธะ คำนวณพลังงานท่เี ก่ียวข้องกบั ปฏกิ ิรยิ าของ และชนิดของพันธะ โดยพันธะเดีย่ ว พันธะค่ ู สารโคเวเลนตจ์ ากพลงั งานพนั ธะ และพันธะสาม มคี วามยาวพันธะและพลงั งาน พนั ธะแตกตา่ งกัน นอกจากนี้ โมเลกลุ โคเวเลนต์ บางชนิดมีค่าความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะ แตกตา่ งจากของพนั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ และพนั ธะสาม ซง่ึ สารเหล่านส้ี ามารถเขยี นโครงสรา้ งลิวอสิ ทีเ่ หมาะสมไดม้ ากกวา่ ๑ โครงสร้าง ที่เรียกว่า โครงสรา้ งเรโซแนนซ์ • พลังงานพันธะนำมาใช้ในการคำนวณพลงั งาน ของปฏิกริ ิยา ซึง่ ไดจ้ ากผลตา่ งของพลังงาน พนั ธะรวมของสารตั้งต้นกบั ผลิตภณั ฑ์ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 173 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม ๑๗. คาดคะเนรปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยใช้ • รปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนต์ อาจพจิ ารณาโดยใช้ ทฤษฎกี ารผลกั ระหวา่ งคอู่ เิ ลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ ทฤษฎีการผลักระหวา่ งคู่อิเลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์ (VSEPR) ซ่ึงขึน้ อย่กู บั จำนวนพันธะและจำนวน อเิ ล็กตรอนคโู่ ดดเด่ยี วรอบอะตอมกลาง โมเลกุลโคเวเลนต์มที ง้ั โมเลกลุ มขี ัว้ และไมม่ ีขว้ั สภาพขัว้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวม ปรมิ าณเวกเตอรส์ ภาพขั้วของแตล่ ะพนั ธะตาม รปู ร่างโมเลกุล ๑๘. ระบชุ นิดของแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งโมเลกุล • แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ ซ่ึงอาจเปน็ โคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว แรงแผ่กระจายลอนดอน แรงระหวา่ งขว้ั จดุ เดอื ด และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์ และพันธะไฮโดรเจน มผี ลต่อจุดหลอมเหลว จุดเดือด และการละลายน้ำของสาร นอกจากน้ี สารโคเวเลนต์สว่ นใหญย่ ังมจี ุดหลอมเหลว และจุดเดือดตำ่ กวา่ สารประกอบไอออนิก เนื่องจากแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุล มคี ่านอ้ ยกว่าพนั ธะไอออนิก • สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญ่มจี ดุ หลอมเหลวและ จุดเดือดตำ่ และไมล่ ะลายในน้ำ สำหรบั สาร โคเวเลนต์ที่ละลายนำ้ มที ัง้ แตกตัวและไมแ่ ตกตัว เป็นไอออน สารละลายท่ไี ด้จากสารที่ไมแ่ ตกตวั เป็นไอออนจะไม่นำไฟฟ้า เรยี กว่า สารละลาย- นอนอเิ ลก็ โทรไลต์ ส่วนสารละลายท่ไี ดจ้ ากสาร ท่แี ตกตวั เปน็ ไอออนจะนำไฟฟา้ เรียกว่า สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ สารละลายของ สารประกอบคลอไรดแ์ ละออกไซด์จะมีสมบัติ เป็นกรด ๑๙. สบื ค้นขอ้ มูล และอธิบายสมบัติของ • สารโคเวเลนตบ์ างชนดิ ท่ีมโี ครงสรา้ งโมเลกุล สารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาข่ายชนดิ ต่าง ๆ ขนาดใหญแ่ ละมพี ันธะโคเวเลนต์ต่อเน่อื ง เป็นโครงรา่ งตาข่าย จะมจี ุดหลอมเหลวและ จุดเดอื ดสงู สารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาขา่ ยทม่ี ี ธาตอุ งค์ประกอบเหมือนกนั แต่มีอญั รูปตา่ งกนั จะมสี มบัตติ ่างกนั เชน่ เพชร แกรไฟต์174 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชนั้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พิม่ เติม ๒๐. อธบิ ายการเกดิ พนั ธะโลหะและสมบตั ขิ องโลหะ • พนั ธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของ ทุกอะตอมของโลหะเคลอื่ นที่อยา่ งอิสระไปท่วั ท้ังโลหะ และเกิดแรงยึดเหนย่ี วกบั โปรตอน ในนวิ เคลียสทกุ ทิศทาง • โลหะสว่ นใหญเ่ ปน็ ของแขง็ มผี วิ มนั วาว สามารถ ตเี ปน็ แผ่นหรือดึงเป็นเส้นได้ นำความรอ้ นและนำ ไฟฟ้าไดด้ ี มีจุดหลอมเหลวและจดุ เดือดสงู ๒๑. เปรยี บเทยี บสมบตั บิ างประการของสารประกอบ • สารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ ไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ สบื คน้ ขอ้ มลู มีสมบัติเฉพาะตวั บางประการท่ีแตกต่างกนั เชน่และนำเสนอตวั อยา่ งการใช้ประโยชนข์ อง จุดเดอื ด จุดหลอมเหลว การละลายน้ำ การนำสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และ ไฟฟ้า จงึ สามารถนำมาใช้ประโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆโลหะ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ไดต้ ามความเหมาะสมม.๕ ๑. อธบิ ายความสมั พนั ธแ์ ละคำนวณปรมิ าตร • พฤติกรรมของแก๊ส และความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ความดัน หรืออณุ หภมู ิของแก๊สทภี่ าวะตา่ ง ๆ ปริมาตร ความดัน และอณุ หภูมขิ องแก๊ส อธบิ าย ตามกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของ ได้ดว้ ยกฎของบอยล์ กฎของชารล์ กฎของ เกย–์ ลสู แซก เกย์–ลูสแซก และกฎรวมแกส๊ ซ่งึ สามารถนำมา ใชใ้ นการคำนวณปรมิ าตร ความดัน หรอื อณุ หภมู ิ ๒. คำนวณปริมาตร ความดัน หรอื อณุ หภูมิ ของแก๊สทีภ่ าวะตา่ ง ๆ ได้ ของแก๊สทภี่ าวะต่าง ๆ ตามกฎรวมแกส๊ ๓. คำนวณปริมาตร ความดัน อณุ หภูมิ จำนวนโมล • ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปริมาตร และจำนวนโมลหรือมวลของแกส๊ จากความสมั พันธ์ตามกฎของ หรือมวลของแก๊ส อธบิ ายความสมั พันธ์ได้ด้วยอาโวกาโดร และกฎแกส๊ อดุ มคติ กฎของอาโวกาโดร สำหรับความสัมพันธร์ ะหวา่ ง ปริมาตร ความดัน อุณหภมู ิ และจำนวนโมล ของแกส๊ อธบิ ายไดด้ ว้ ยกฎแกส๊ อดุ มคติ ซง่ึ สามารถ นำมาใช้ในการคำนวณและการอธิบายการ เปล่ยี นแปลงทเี่ กย่ี วข้องกับจำนวนโมลของแกส๊ ท่ภี าวะต่าง ๆ ได้๔. คำนวณความดนั ยอ่ ยหรอื จำนวนโมลของแกส๊ • ในธรรมชาติ แกส๊ สว่ นใหญอ่ ยรู่ วมกนั เปน็ แกส๊ ผสม ในแกส๊ ผสม โดยใช้กฎความดันยอ่ ยของดอลตนั ในกรณที ่ีแกส๊ ในแกส๊ ผสมไม่ทำปฏิกริ ิยากัน ความดันของแกส๊ แตล่ ะชนดิ แปรผนั ตามเศษส่วน โมลของแก๊ส ทมี่ ีอยู่ในแก๊สผสมตามกฎ ความดนั ย่อยของดอลตนั ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 175 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ ๕. อธบิ ายการแพร่ของแกส๊ โดยใช้ทฤษฎจี ลน์ • แกส๊ สามารถแพรไ่ ด้ การแพร่ของแกส๊ อธิบาย ของแก๊ส คำนวณและเปรียบเทียบอตั รา ไดด้ ว้ ยทฤษฎีจลน์ของแกส๊ ทีอ่ ุณหภมู เิ ดยี วกนั การแพรข่ องแกส๊ โดยใชก้ ฎการแพร่ผ่านของ แก๊สจะแพรไ่ ด้ช้าหรอื เร็วขึน้ อยกู่ ับมวลโมเลกุล เกรแฮม ของแก๊ส อัตราการแพร่ของแก๊สเปน็ สดั ส่วน ผกผนั กับรากทีส่ องของมวลโมเลกลุ ของแก๊ส สัมพนั ธ์กับกฎการแพร่ผา่ นของเกรแฮม ๖. สืบคน้ ข้อมลู นำเสนอตัวอย่าง และอธบิ ายการ • สมบตั แิ ละกฎต่าง ๆ ของแกส๊ สามารถนำไปใช้ ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรูเ้ กย่ี วกบั สมบตั แิ ละกฎตา่ ง ๆ อธิบายปรากฏการณ์ หรือประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ของแก๊สในการอธบิ ายปรากฏการณ์ หรือ ประจำวนั และในอุตสาหกรรม แกป้ ัญหาในชีวิตประจำวันและในอุตสาหกรรมม.๖ ๑. สบื ค้นข้อมลู และนำเสนอตัวอยา่ งสารประกอบ • สารประกอบอินทรยี เ์ ปน็ สารประกอบของ อนิ ทรยี ท์ ี่มีพันธะเดีย่ ว พนั ธะคู่ หรือพันธะสาม คาร์บอนสว่ นใหญพ่ บในส่งิ มีชีวติ มีโครงสร้าง ท่ีพบในชีวติ ประจำวนั หลากหลายและแบ่งได้หลายประเภท เนอื่ งจาก ธาตคุ าร์บอนสามารถเกิดพันธะโคเวเลนตก์ ับธาตุ คาร์บอนดว้ ยพนั ธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ พันธะสาม นอกจากน้ียังสามารถเกดิ พนั ธะโคเวเลนตก์ ับธาตุ อ่นื ๆ ได้อีกดว้ ย และมกี ารนำสารประกอบ อนิ ทรีย์ไปใช้ประโยชน์อยา่ งหลากหลาย ๒. เขยี นสตู รโครงสรา้ งลวิ อสิ สตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ • โครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรยี ์แสดงไดด้ ้วย และสูตรโครงสรา้ งแบบเส้นของสารประกอบ สูตรโครงสรา้ งลวิ อสิ สูตรโครงสร้างแบบยอ่ อินทรีย์ หรือสูตรโครงสรา้ งแบบเสน้ ๓. วิเคราะห์โครงสรา้ ง และระบปุ ระเภท • สารประกอบอนิ ทรยี ม์ หี ลายประเภท การพจิ ารณา ของสารประกอบอินทรยี จ์ ากหมู่ฟังก์ชนั ประเภทของสารประกอบอนิ ทรยี อ์ าจใชห้ มฟู่ งั กช์ นั เปน็ เกณฑไ์ ดเ้ ป็นแอลเคน แอลคีน แอลไคน์ อะโรมาติกไฮโดรคารบ์ อน แอลกอฮอล์ อีเทอร์ เอมนี แอลดไี ฮด์ คีโตน กรดคาร์บอกซลิ กิ เอสเทอร์ เอไมด์ ๔. เขียนสตู รโครงสร้างและเรยี กชอื่ สารประกอบ • การเรยี กช่ือสารประกอบอินทรีย์ประเภทแอลเคน อนิ ทรยี ป์ ระเภทตา่ ง ๆ ท่ีมีหมฟู่ ังกช์ นั ไมเ่ กิน แอลคนี แอลไคน์ แอลกอฮอล์ อีเทอร์ เอมีน ๑ หมู่ ตามระบบ IUPAC แอลดีไฮด์ คโี ตน กรดคาร์บอกซลิ กิ เอสเทอร์ และเอไมด์ จะเรียกตามระบบ IUPAC หรอื อาจเรียกโดยใช้ช่อื สามัญ176 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม ๕. เขยี นไอโซเมอรโ์ ครงสร้างของสารประกอบ • ปรากฏการณ์ท่ีสารมีสตู รโมเลกลุ เหมือนกันแต่มี อินทรียป์ ระเภทต่าง ๆ สมบตั ิแตกตา่ งกนั เรียกวา่ ไอโซเมอรซิ ึม และ เรียกสารแต่ละชนดิ ว่า ไอโซเมอร์ ไอโซเมอร์ทีม่ ี สตู รโมเลกลุ เหมือนกันแต่มีสูตรโครงสรา้ งตา่ งกนั เรียกวา่ ไอโซเมอรโ์ ครงสรา้ ง๖. วเิ คราะห์ และเปรยี บเทียบจดุ เดือดและ • สารประกอบอนิ ทรียท์ ี่มีหมฟู่ งั กช์ ัน ขนาดโมเลกุล การละลายในน้ำของสารประกอบอนิ ทรียท์ มี่ ี หรอื โครงสร้างของสารตา่ งกนั จะมจี ุดเดือดและ หมู่ฟงั ก์ชัน ขนาดโมเลกลุ หรือโครงสร้างต่างกนั การละลายในนำ้ ตา่ งกนั สำหรบั การละลายของ สารพจิ ารณาไดจ้ ากความมขี ว้ั ของตัวละลายและ ตัวทำละลาย โดยสารสามารถละลายไดใ้ น ตัวทำละลายท่มี ขี ั้วใกล้เคียงกัน๗. ระบุประเภทของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน • สารประกอบอนิ ทรียป์ ระเภทแอลเคน แอลคนี และเขียนผลิตภณั ฑ์จากปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้ แอลไคน์ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เป็น ปฏิกิรยิ ากับโบรมีน หรอื ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซ่งึ เม่ือเกิดปฏกิ ริ ยิ า โพแทสเซียมเปอรแ์ มงกาเนต การเผาไหม้ ปฏกิ ิรยิ ากบั โบรมีนและปฏิกริ ยิ ากับ โพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต จะใหผ้ ลของ ปฏิกริ ิยาตา่ งกนั จงึ สามารถใชเ้ ป็นเกณฑ์ ในการจำแนกประเภทของสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนได้๘. เขียนสมการเคมแี ละอธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า • กรดคาร์บอกซิลกิ ทำปฏกิ ิริยากับแอลกอฮอล์ได้เอสเทอริฟเิ คชนั ปฏิกิริยาการสังเคราะห์เอไมด์ เปน็ เอสเทอร์ เรียกว่า ปฏกิ ริ ยิ าเอสเทอรฟิ ิเคชนัปฏกิ ริ ยิ าไฮโดรลซิ สิ และปฏกิ ริ ยิ าสะปอนนฟิ เิ คชนั กรดคารบ์ อกซลิ ิกทำปฏกิ ิรยิ ากบั เอมีนเกิดเปน็ ๙. ทดสอบปฏิกิรยิ าเอสเทอรฟิ เิ คชัน ปฏิกิริยา เอไมด์ เอสเทอร์และเอไมดส์ ามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลซิ ิส และปฏิกิรยิ าสะปอนนฟิ เิ คชนั ไฮโดรลซิ สิ ปฏิกิรยิ าไฮโดรลิซิสของเอสเทอร์ ในเบสแอลคาไล เรยี กวา่ ปฏกิ ริ ยิ าสะปอนนฟิ เิ คชนั ๑๐. สืบค้นข้อมลู และนำเสนอตวั อยา่ งการนำ • สารประกอบอินทรยี ์สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ สารประกอบอินทรียไ์ ปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ไดม้ ากมายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งนำไปใช้เป็น ประจำวันและอุตสาหกรรม สารต้ังต้นและตวั ทำละลายในอุตสาหกรรม ดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ อตุ สาหกรรมเชอ้ื เพลงิ และพลงั งาน อุตสาหกรรมอาหารและยา อตุ สาหกรรมเกษตรตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 177 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พม่ิ เตมิ ๑๑. ระบปุ ระเภทของปฏกิ ริ ิยาการเกดิ พอลเิ มอร์ • พอลเิ มอร์เปน็ สารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จากโครงสรา้ งของมอนอเมอร์หรือพอลเิ มอร์ ซึง่ ประกอบดว้ ยหนว่ ยยอ่ ยทเ่ี รียกวา่ มอนอเมอร์ เชอ่ื มต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ โดยมที งั้ พอลิเมอร์ธรรมชาติและพอลเิ มอร์สังเคราะห์ ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ พอลเิ มอร์ อาจเป็นปฏิกริ ิยาแบบ ควบแนน่ หรอื ปฏิกริ ิยาแบบเติม ขน้ึ อยู่กับ หมฟู่ งั ก์ชันและโครงสรา้ งของมอนอเมอร์ ๑๒. วิเคราะห์ และอธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ ง • พอลเิ มอรม์ ีโครงสรา้ งตา่ งกนั อาจเป็นโครงสรา้ ง โครงสร้างและสมบัตขิ องพอลเิ มอร์ รวมท้งั แบบเส้น แบบกง่ิ หรือแบบรา่ งแห ขึน้ อยกู่ บั ชนิด การนำไปใชป้ ระโยชน์ ของมอนอเมอรแ์ ละภาวะของปฏกิ ริ ิยาการเกดิ พอลิเมอร์ ซึ่งโครงสร้างของพอลเิ มอร์ส่งผลต่อ จดุ หลอมเหลว ความหนาแน่น ความเปราะ ความเหนยี ว ความยืดหยนุ่ จงึ สามารถนำไป ประยกุ ต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย ๑๓. ทดสอบ และระบปุ ระเภทของพลาสติก • พอลิเมอร์ที่ให้ความร้อนแล้วสามารถนำกลับมา และผลติ ภัณฑ์ยาง รวมทงั้ การนำไปใช้ ขึน้ รูปใหมไ่ ด้ เรยี กว่า พอลเิ มอร์เทอรม์ อพลาสติก ประโยชน์ สว่ นใหญ่มโี ครงสรา้ งแบบเสน้ และแบบกง่ิ ส่วนพอลเิ มอรท์ ใี่ ห้ความร้อนแล้วไมอ่ อ่ นตัว จึงไม่สามารถนำกลบั มาข้ึนรูปใหมไ่ ด้ เรยี กว่า พอลเิ มอร์เทอร์มอเซต มีโครงสรา้ งแบบร่างแห พลาสติกมีทงั้ ท่ีเป็นพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติก และพอลิเมอร์เทอรม์ อเซต ผลติ ภณั ฑย์ างเป็น พอลเิ มอรเ์ ทอรม์ อเซต ซึง่ ทำใหม้ สี มบัติและ การนำไปใช้ประโยชน์ต่างกัน ๑๔. อธิบายผลของการปรบั เปล่ยี นโครงสร้าง และ • การปรบั เปล่ยี นโครงสร้างหรอื การสังเคราะห์ การสงั เคราะห์พอลิเมอร์ทม่ี ตี อ่ สมบัติของ พอลเิ มอร์ เช่น วัลคาไนเซชัน การสงั เคราะห์ พอลิเมอร์ โคพอลิเมอร์ การสงั เคราะห์พอลเิ มอรน์ ำไฟฟา้ เป็นการปรับปรุงคุณภาพของพอลเิ มอร์ เพ่ือให้ได้ ผลติ ภณั ฑท์ ่สี ามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อยา่ งเหมาะสมและหลากหลายมากขึ้น ๑๕. สืบคน้ ขอ้ มูล และนำเสนอตัวอย่างผลกระทบ • การใชแ้ ละการกำจดั ผลิตภัณฑพ์ อลเิ มอร์ อาจส่ง จากการใช้และการกำจัดผลิตภัณฑ์พอลเิ มอร์ ผลกระทบต่อสิง่ มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม จงึ ควร และแนวทางแกไ้ ข ตระหนกั ถงึ ผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ และแนวทางแกไ้ ข178 ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๒. เขา้ ใจการเขยี นและการดลุ สมการเคมี ปรมิ าณสมั พนั ธใ์ นปฏกิ ริ ยิ าเคมี อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด–เบส ปฏิกิริยา รีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทัง้ การนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ม.๔ ๑. แปลความหมายสญั ลักษณ์ในสมการเคม ี • ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เป็นการเปล่ยี นแปลงท่มี ีสารใหม่ เขยี นและดลุ สมการเคมีของปฏกิ ิริยาเคม ี เกดิ ขึ้นจากการจดั เรียงตัวใหมข่ องอะตอมธาตุ บางชนดิ โดยจำนวนและชนดิ ของอะตอมธาตไุ มเ่ ปลย่ี นแปลง ปฏิกิรยิ าเคมเี ขยี นแสดงได้ด้วยสมการเคมี ๒. คำนวณปริมาณของสารในปฏิกิรยิ าเคมี ซึ่งประกอบดว้ ยสตู รเคมขี องสารตง้ั ต้นและ ท่ีเกี่ยวข้องกบั มวลสาร ผลิตภณั ฑ์ ลูกศรแสดงทิศทางของการเกิด ปฏกิ ิริยา และเลขสมั ประสิทธ์ิของสารต้ังตน้ ๓. คำนวณปรมิ าณของสารในปฏิกิริยาเคมี และผลติ ภณั ฑท์ ด่ี ลุ แลว้ นอกจากนอี้ าจมสี ญั ลกั ษณ์ ที่เก่ยี วข้องกับความเขม้ ขน้ ของสารละลาย แสดงสถานะของสาร หรอื ปจั จยั อ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง ในการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ๔. คำนวณปริมาณของสารในปฏกิ ิริยาเคมี • การดลุ สมการเคมที ำไดโ้ ดยการเตมิ เลขสมั ประสทิ ธ์ิ ทเ่ี ก่ยี วข้องกับปริมาตรแก๊ส หน้าสารตั้งตน้ และผลิตภณั ฑ์ เพ่อื ใหอ้ ะตอม ของธาตใุ นสารตงั้ ต้นและผลติ ภณั ฑเ์ ท่ากัน ๕. คำนวณปริมาณของสารในปฏิกิรยิ าเคมี • การเปลย่ี นแปลงปริมาณสารในปฏิกิริยาเคมี หลายขน้ั ตอน มคี วามสัมพันธก์ นั ตามเลขสัมประสทิ ธิ์ ในสมการเคมี ซง่ึ บอกถงึ อตั ราสว่ นโดยโมลของสาร ๖. ระบุสารกำหนดปรมิ าณ และคำนวณปริมาณ ในปฏิกริ ยิ า สามารถนำมาใช้ในการคำนวณ สารต่าง ๆ ในปฏกิ ิริยาเคมี ปรมิ าณของสารทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั มวล ความเขม้ ข้น ของสารละลาย และปรมิ าตรของแก๊สได้ • ความสัมพนั ธ์ของโมลสารตั้งตน้ และผลติ ภัณฑ์ ในปฏิกิรยิ าเคมีหลายขัน้ ตอน พิจารณาได้จาก เลขสมั ประสิทธข์ิ องสมการเคมรี วม • ปฏกิ ริ ิยาเคมีที่สารต้ังต้นทำปฏิกิริยาไม่พอดีกนั สารตั้งตน้ ท่ที ำปฏกิ ิรยิ าหมดก่อน เรยี กว่า สารกำหนดปรมิ าณ ซึง่ เป็นสารท่ีกำหนดปริมาณ ผลติ ภัณฑท์ ีเ่ กดิ ขึ้น และปรมิ าณสารตัง้ ตน้ อ่นื ท่ที ำปฏิกริ ิยาไปเมือ่ สิน้ สดุ ปฏกิ ิริยาตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 179 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ ๗. คำนวณผลได้ร้อยละของผลิตภณั ฑ์ในปฏิกิริยา • ผลิตภณั ฑ์ที่เกดิ ข้ึนจรงิ ในปฏกิ ิรยิ าเคมสี ว่ นใหญ ่ เคมี มปี รมิ าณน้อยกวา่ ท่คี ำนวณไดต้ ามทฤษฎ ี ซง่ึ ค่าเปรยี บเทียบผลได้จรงิ กับผลได้ตามทฤษฎี เป็นร้อยละ เรยี กว่า ผลไดร้ ้อยละม.๕ ๑. ทดลอง และเขียนกราฟการเพิม่ ขนึ้ หรอื ลดลง • ปฏิกริ ิยาเคมแี ตล่ ะปฏกิ ริ ยิ ามีอตั ราการเกดิ ของสารทที่ ำการวัดในปฏิกริ ยิ า ปฏิกริ ิยาเคมีต่างกัน โดยอาจวดั จากการลดลง ๒. คำนวณอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี และเขยี นกราฟ ของสารต้งั ต้นหรอื การเพิม่ ขึ้นของผลติ ภัณฑ์ การลดลงหรอื เพม่ิ ขึ้นของสารท่ีไม่ไดว้ ัด ตอ่ หนง่ึ หนว่ ยเวลา และหารด้วยเลขสัมประสิทธิ์ ในปฏกิ ิริยา ของสารนน้ั ๆ ในสมการเคมี เพอื่ ใหไ้ ดอ้ ตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่ีเทา่ กันไม่ว่าจะเป็นการวัดจาก สารตั้งต้นหรอื ผลติ ภัณฑ์ ๓. เขยี นแผนภาพ และอธบิ ายทศิ ทางการชนกนั • ปฏกิ ิริยาเคมีจะเกิดข้ึนไดก้ ็ตอ่ เมือ่ อนุภาคของ ของอนภุ าคและพลงั งานทีส่ ่งผลตอ่ อัตรา สารต้งั ตน้ ชนกนั ในทิศทางท่ีเหมาะสมและมี การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี พลังงานอยา่ งน้อยเทา่ กับพลังงานกอ่ กมั มันต์ ดงั นน้ั อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าจงึ ขนึ้ กบั ทศิ ทางการชน และพลงั งานทเี่ กดิ จากการชน ๔. ทดลอง และอธบิ ายผลของความเขม้ ขน้ พนื้ ทผ่ี วิ • อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมขี องสารหนึ่ง ๆ ข้นึ อยู่ ของสารตง้ั ต้น อุณหภมู ิ และตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าท่ีมี กับความเข้มข้น พน้ื ทีผ่ วิ อณุ หภูมิ ตัวเรง่ และ ตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคม ี ตัวหนว่ งปฏิกริ ยิ า นอกจากนอี้ ตั ราการเกดิ ๕. เปรยี บเทยี บอตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเม่ือมกี าร ปฏิกิริยาเคมียงั ขึน้ อย่กู บั ชนดิ ของสารที่ทำ เปลยี่ นแปลงความเขม้ ขน้ พนื้ ทผ่ี วิ ของสารตงั้ ตน้ ปฏิกิรยิ าด้วย อุณหภูมิ และตวั เร่งปฏิกิรยิ า ๖. ยกตัวอยา่ ง และอธิบายปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ อตั รา • ความรเู้ กีย่ วกับปจั จัยท่มี ีผลต่ออัตราการเกดิ การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมใี นชีวติ ประจำวัน ปฏกิ ริ ยิ าเคมีสามารถนำมาใช้อธบิ ายกระบวนการ หรืออตุ สาหกรรม ทีเ่ กดิ ขึ้นในชวี ติ ประจำวนั หรอื อตุ สาหกรรม180 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พมิ่ เติม ๗. ทดสอบ และอธิบายความหมายของ • ปฏกิ ริ ิยาเคมีท่สี ามารถดำเนินไปขา้ งหน้าและ ปฏิกิริยาผันกลับไดแ้ ละภาวะสมดุล ย้อนกลบั ได้ เรยี กวา่ ปฏกิ ิรยิ าผนั กลบั ได้ เม่ือ ปฏิกริ ยิ าดำเนินไปความเขม้ ข้นของสารตัง้ ตน้ ๘. อธิบายการเปลย่ี นแปลงความเข้มขน้ ของสาร และอัตราการเกิดปฏิกิรยิ าไปข้างหน้าจะลดลง อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าไปขา้ งหน้า และอตั รา สว่ นความเขม้ ขน้ ของผลติ ภัณฑแ์ ละอัตราการเกดิ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าย้อนกลบั เมอ่ื เริม่ ปฏกิ ิรยิ า ปฏกิ ิริยายอ้ นกลบั จะเพ่ิมขึน้ เมอื่ อัตราการเกิด จนกระทง่ั ระบบอย่ใู นภาวะสมดลุ ปฏกิ ริ ิยาไปข้างหนา้ เท่ากับอตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ ายอ้ นกลบั ระบบจะอยใู่ นภาวะสมดลุ ทมี่ คี วามเขม้ ขน้ ของสารตง้ั ตน้ และผลติ ภณั ฑค์ งที่ เรยี กว่า สมดลุ พลวตั ๙. คำนวณคา่ คงทส่ี มดลุ ของปฏกิ ิรยิ า • ณ ภาวะสมดุล ความสัมพนั ธ์ระหว่างความเขม้ ข้น๑๐. คำนวณความเขม้ ข้นของสารท่ภี าวะสมดุล ของผลิตภัณฑ์กับสารตั้งตน้ แสดงได้ดว้ ย ค่าคงท่ีสมดลุ ซง่ึ เปน็ คา่ คงท่ี ณ อุณหภูมิหนง่ึ ๑๑. คำนวณค่าคงท่สี มดุลหรอื ความเข้มขน้ ของ • คา่ คงทสี่ มดลุ ของปฏกิ ริ ยิ าหลายขน้ั ตอน หาไดจ้ าก ปฏกิ ิรยิ าหลายขน้ั ตอน ผลคูณของค่าคงทสี่ มดุลของปฏกิ ริ ยิ ายอ่ ยทีน่ ำ สมการเคมมี ารวมกนั โดยถ้ามีการคูณสมการย่อย ใหย้ กกำลังคา่ คงทีส่ มดลุ ดว้ ยตวั เลขทค่ี ูณ และ หากมีการกลับขา้ งสมการ ให้กลับค่าคงท่ีสมดุล เปน็ ตัวหาร๑๒. ระบุปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อภาวะสมดลุ และ • เมอื่ ระบบท่ีอยใู่ นภาวะสมดุลถูกรบกวน โดยการ คา่ คงทีส่ มดุลของระบบ รวมทง้ั คาดคะเน เปลีย่ นแปลงความเข้มข้นของสาร ความดัน หรือ การเปล่ยี นแปลงท่ีเกิดข้นึ เม่ือภาวะสมดลุ อุณหภูมิ ระบบจะเกดิ การเปล่ียนแปลงเพื่อเข้าสู่ ของระบบถูกรบกวน โดยใช้หลกั ของ ภาวะสมดุลอกี ครัง้ ตามหลกั ของเลอชาเตอลเิ อ เลอชาเตอลเิ อ ท้ังน้ีการเปลย่ี นแปลงอุณหภมู ิมีผลทำให้ ค่าคงท่สี มดุลเปล่ียนแปลง๑๓. ยกตวั อยา่ ง และอธิบายสมดุลเคมขี อง • ความรเู้ กี่ยวกบั สมดลุ เคมสี ามารถนำมาใช้อธิบายกระบวนการทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงิ่ มชี วี ติ ปรากฏการณ์ กระบวนการท่ีเกิดข้นึ ในสิง่ มีชวี ติ ปรากฏการณ์ในธรรมชาตแิ ละกระบวนการในอุตสาหกรรม ในธรรมชาติและกระบวนการในอุตสาหกรรม๑๔. ระบุ และอธิบายวา่ สารเป็นกรดหรือเบส • สารในชีวติ ประจำวนั หลายชนดิ มีสมบตั ิเป็นกรด โดยใช้ทฤษฎกี รด–เบสของอาร์เรเนยี ส หรือเบส ซ่งึ พจิ ารณาได้โดยใชท้ ฤษฎีกรด-เบส เบรนิ สเตด–ลาวรี และลิวอสิ ของอาร์เรเนยี ส เบรนิ สเตด–ลาวรี หรือลวิ อสิ ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 181 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม ๑๕. ระบุคกู่ รด-เบสของสารตามทฤษฎกี รด-เบส • ตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด–ลาวรี เมอ่ื ของเบรนิ สเตด-ลาวรี กรดหรอื เบสละลายนำ้ หรอื ทำปฏิกิริยากับสารอน่ื จะมีการถา่ ยโอนโปรตอนระหวา่ งสารตงั้ ต้น ทีเ่ ป็นกรดและเบส เกิดเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ซงึ่ เป็น โมเลกลุ หรือไอออนทเี่ ปน็ คูก่ รด-เบสของ สารตัง้ ตน้ นน้ั โดยสารท่เี ป็นค่กู รด-เบสกนั จะมี โปรตอนตา่ งกัน ๑ โปรตอน ๑๖. คำนวณ และเปรยี บเทียบความสามารถ • กรดและเบสแตล่ ะชนิดสามารถแตกตัวในน้ำได้ ในการแตกตัวหรือความแรงของกรดและเบส แตกตา่ งกัน กรดแก่หรอื เบสแก่สามารถแตกตวั เปน็ ไอออนในน้ำไดเ้ กือบสมบูรณ์ สว่ นกรดออ่ น หรอื เบสออ่ นแตกตัวเป็นไอออนไดน้ ้อย โดยความสามารถในการแตกตวั หรอื ความแรง ของกรดหรอื เบสอาจพิจารณาไดจ้ ากคา่ คงที่ การแตกตวั ของกรดหรือเบส หรือปรมิ าณ การแตกตวั เป็นร้อยละของกรดหรือเบส ๑๗. คำนวณคา่ pH ความเขม้ ข้นของไฮโดรเนยี ม • น้ำบริสทุ ธ์ทิ อ่ี ุณหภูมิ ๒๕ องศาเซลเซยี สแตกตัว ไอออนหรือไฮดรอกไซด์ไอออนของ ใหไ้ ฮโดรเนียมไอออนและไฮดรอกไซดไ์ อออน สารละลายกรดและเบส ทม่ี คี วามเขม้ ขน้ เทา่ กนั คอื 1.0 x 10-7 โมลตอ่ ลติ ร โดยมคี า่ คงทก่ี ารแตกตัวของน้ำ เท่ากบั 1.0 x 10-14 • เม่อื กรดหรอื เบสแตกตวั ในนำ้ คา่ ความเป็นกรด- เบสของสารละลายแสดงได้ดว้ ยคา่ pH ซง่ึ สัมพันธก์ บั ความเข้มข้นของไฮโดรเนยี มไอออน โดยสารละลายกรดมีความเข้มขน้ ของไฮโดรเนยี ม ไอออนมากกว่า 1.0 x 10-7 โมลตอ่ ลติ ร หรือมีค่า pH นอ้ ยกว่า ๗ สว่ นสารละลายเบสมี ความเข้มขน้ ของไฮโดรเนียมไอออนน้อยกว่า 1.0 x 10-7 โมลตอ่ ลติ ร หรือมีคา่ pH มากกวา่ ๗ ๑๘. เขยี นสมการเคมแี สดงปฏิกริ ิยาสะเทิน และ • ปฏกิ ริ ิยาสะเทนิ ระหวา่ งกรดแกแ่ ละเบสแก่ ระบคุ วามเป็นกรด-เบสของสารละลาย ใหส้ ารละลายทเ่ี ป็นกลาง ปฏิกริ ิยาสะเทนิ หลงั การสะเทิน ระหวา่ งกรดแก่และเบสออ่ น ให้สารละลาย ที่เปน็ กรด สว่ นปฏกิ ริ ิยาสะเทนิ ระหว่างกรดออ่ น ๑๙. เขียนปฏกิ ิริยาไฮโดรลซิ ิสของเกลอื และระบุ และเบสแก่ ให้สารละลายท่ีเปน็ เบส ความเป็นกรด-เบสของสารละลายเกลอื 182 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม • เกลอื ทไี่ ด้จากการสะเทินของกรดแกด่ ว้ ยเบสอ่อน เมอื่ ละลายในนำ้ จะเกดิ ปฏิกริ ยิ าไฮโดรลซิ สิ ได้ สารละลายทมี่ ีสมบตั เิ ป็นกรด ส่วนเกลือทีไ่ ดจ้ าก การสะเทินของกรดอ่อนด้วยเบสแก่ เมือ่ ละลาย ในน้ำจะเกดิ ปฏกิ ิริยาไฮโดรลซิ สิ ได้สารละลาย ทมี่ ีสมบัตเิ ป็นเบส๒๐. ทดลอง และอธบิ ายหลักการการไทเทรต • การไทเทรตเปน็ เทคนคิ ในการวเิ คราะหห์ าปรมิ าณ และเลือกใช้อนิ ดเิ คเตอร์ที่เหมาะสมสำหรบั หรือความเข้มขน้ ของสารทีท่ ำปฏิกริ ิยาพอดีกนั การไทเทรตกรด-เบส จุดท่ีสารทำปฏกิ ิรยิ าพอดีกนั เรยี กวา่ จดุ สมมูล ในทางปฏบิ ตั ิ จดุ สมมลู ของปฏกิ ริ ยิ าอาจไมส่ ามารถ สงั เกตเห็นได้ จึงสังเกตจากการเปลี่ยนสขี อง อนิ ดเิ คเตอร์ เพอ่ื บอกจดุ ยตุ ขิ องการไทเทรต ดงั นน้ั อนิ ดิเคเตอรท์ ่ีเหมาะสมในการไทเทรตกรด-เบส ควรเป็นอินดเิ คเตอรท์ เี่ ปลยี่ นสีในชว่ ง pH ตรงกับ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั pH ของสารละลาย ณ จดุ สมมลู ๒๑. คำนวณปริมาณสารหรือความเข้มข้นของ • ปรมิ าณกรดและเบสทที่ ำปฏิกิริยาพอดีกนั จาก สารละลายกรดหรอื เบสจากการไทเทรต การไทเทรตกรด-เบส สามารถนำไปคำนวณ ความเขม้ ข้นของกรดหรือเบสที่ตอ้ งการทราบ ความเขม้ ข้นได้๒๒. อธบิ ายสมบัติ องค์ประกอบ และประโยชน์ • สารละลายบฟั เฟอร์เป็นสารละลายของกรดออ่ น ของสารละลายบฟั เฟอร์ กบั เกลือของกรดอ่อนนั้น หรอื เบสอ่อนกับเกลือ ของเบสออ่ นนนั้ เมอื่ เตมิ กรด เบส หรอื นำ้ จะมผี ลต่อการเปลยี่ นแปลงคา่ pH น้อยกว่า สารละลายทว่ั ไป สมบตั เิ ฉพาะของสารละลาย บัฟเฟอรเ์ ปน็ ประโยชนต์ ่อการควบคุม pH ของระบบในสงิ่ มชี ีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม๒๓. สบื คน้ ขอ้ มลู และนำเสนอตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์ • ความรเู้ กย่ี วกบั กรด-เบส สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์และการแก้ปัญหาโดยใช้ความร้เู กย่ี วกับ และแก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวนั เกษตรกรรมกรด–เบส อตุ สาหกรรม และการแพทย ์ ๒๔. คำนวณเลขออกซเิ ดชนั และระบุปฏิกิริยา • เคมไี ฟฟา้ เปน็ การศึกษาเก่ียวกับการเปลยี่ นแปลง ทีเ่ ป็นปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ ระหวา่ งพลงั งานไฟฟ้าและการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ทม่ี ีการถ่ายโอนอเิ ล็กตรอนแล้วทำใหเ้ กิดการ เปลยี่ นแปลงเลขออกซเิ ดชนั ซงึ่ เป็นเลขท่แี สดง ประจไุ ฟฟ้าหรือประจุไฟฟา้ สมมตขิ องอะตอมธาตุ เรยี กปฏกิ ิริยาชนิดนี้วา่ ปฏิกริ ิยารดี อกซ์ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 183 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ๒๕. วิเคราะห์การเปลย่ี นแปลงเลขออกซิเดชัน • ปฏิกริ ยิ ารดี อกซม์ ีทัง้ ครง่ึ ปฏกิ ริ ิยาที่มีการให้ และระบุตัวรีดวิ ซแ์ ละตวั ออกซิไดส์ รวมทัง้ อเิ ลก็ ตรอน เรยี กวา่ คร่ึงปฏกิ ิรยิ าออกซเิ ดชนั เขยี นครง่ึ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั และครงึ่ ปฏกิ ริ ยิ า และคร่ึงปฏิกิรยิ าทม่ี ีการรับอิเล็กตรอน เรยี กวา่ รีดกั ชันของปฏิกริ ิยารดี อกซ์ ครงึ่ ปฏิกริ ยิ ารีดกั ชนั โดยสารท่ใี หอ้ เิ ลก็ ตรอน จะมเี ลขออกซเิ ดชนั เพม่ิ ขึ้น เรยี กวา่ ตัวรีดวิ ซ์ สว่ นสารทร่ี บั อิเลก็ ตรอนจะมเี ลขออกซิเดชนั ลดลง เรียกว่า ตัวออกซิไดส์ ๒๖. ทดลอง และเปรียบเทยี บความสามารถในการ • การเปรยี บเทียบความสามารถในการเป็นตวั รดี วิ ซ์ เปน็ ตวั รดี ิวซห์ รือตวั ออกซิไดส์ และเขียนแสดง หรอื ตวั ออกซิไดส์สามารถพิจารณาไดจ้ ากผล ปฏิกริ ิยารดี อกซ์ การทดลองของปฏิกิริยารดี อกซ ์ ๒๗. ดลุ สมการรีดอกซด์ ว้ ยการใช้เลขออกซเิ ดชัน • ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์เขียนแทนได้ดว้ ยสมการรีดอกซ์ และวิธีครงึ่ ปฏกิ ริ ิยา ซึ่งการดุลสมการรดี อกซท์ ำไดโ้ ดยการใช้ เลขออกซิเดชันและวธิ คี รง่ึ ปฏกิ ริ ยิ า ๒๘. ระบุองคป์ ระกอบของเซลล์เคมีไฟฟา้ และ • เซลล์เคมไี ฟฟา้ ประกอบด้วยแอโนด แคโทด และ เขียนสมการเคมีของปฏกิ ิริยาทแี่ อโนดและ สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ ซึง่ อาจเชื่อมต่อกันด้วย แคโทด ปฏกิ ิรยิ ารวม และแผนภาพเซลล์ สะพานเกลอื โดยทแี่ อโนดเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั และแคโทดเกิดปฏิกริ ยิ ารีดกั ชัน ทำใหอ้ ิเล็กตรอน เคล่ือนทจี่ ากแอโนดไปแคโทด เซลลเ์ คมีไฟฟ้า สามารถเขยี นแสดงไดด้ ว้ ยแผนภาพเซลล์ ๒๙. คำนวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล ์ • ค่าศกั ย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์คำนวณไดจ้ าก และระบปุ ระเภทของเซลล์เคมีไฟฟา้ ขว้ั ไฟฟ้า คา่ ศกั ย์ไฟฟ้ามาตรฐานของครง่ึ เซลล์ ถ้าคา่ และปฏกิ ริ ยิ าเคมีทเ่ี กิดขึ้น ศกั ยไ์ ฟฟา้ ของเซลลเ์ ป็นบวก แสดงว่าปฏกิ ริ ยิ า รดี อกซ์เกิดขนึ้ ได้เอง ซงึ่ ทำใหเ้ กดิ กระแสไฟฟ้า เรียกเซลลช์ นิดนีว้ า่ เซลลก์ ลั วานิก แต่ถา้ ค่า ศกั ย์ไฟฟา้ ของเซลลเ์ ปน็ ลบ แสดงวา่ ปฏิกิรยิ า รีดอกซ์ไม่สามารถเกิดได้เอง ตอ้ งมกี ารให้กระแส ไฟฟ้าจึงจะเกดิ ปฏกิ ิรยิ าได้ เซลล์ชนิดน้ีเรยี กว่า เซลล์อเิ ล็กโทรลติ ิก184 ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเติม ๓๐. อธิบายหลกั การทำงาน และเขยี นสมการแสดง • เซลล์เคมไี ฟฟ้าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ปฏกิ ิรยิ าของเซลลป์ ฐมภมู ิและเซลล์ทุตยิ ภูมิ ในชวี ติ ประจำวนั เชน่ แบตเตอร่ี ซงึ่ มที งั้ เซลลป์ ฐมภมู ิ และเซลลท์ ุติยภูมิ โดยปฏิกริ ยิ าเคมที ่ีเกิดขน้ึ ภายในเซลลป์ ฐมภูมิไม่สามารถทำให้เกิดปฏกิ ริ ยิ า ยอ้ นกลบั ไดโ้ ดยการประจไุ ฟ จงึ ไมส่ ามารถนำกลบั มาใชไ้ ดอ้ ีก ปฏิกริ ิยาเคมที เ่ี กิดขึน้ ภายใน เซลลท์ ตุ ยิ ภมู สิ ามารถทำใหเ้ กดิ ปฏกิ ริ ยิ ายอ้ นกลบั ได้โดยการประจไุ ฟ จึงนำกลบั มาใชไ้ ด้อกี ๓๑. ทดลองชุบโลหะและแยกสารเคมดี ้วยกระแส • เซลลอ์ เิ ลก็ โทรลติ กิ สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ไฟฟา้ และอธิบายหลกั การทางเคมไี ฟฟ้าทใี่ ช้ ทงั้ ในชวี ิตประจำวัน และในอุตสาหกรรมในการชบุ โลหะ การแยกสารเคมดี ว้ ยกระแส หลายประเภท เชน่ การชบุ โลหะ การแยกสารเคมีไฟฟ้า การทำโลหะใหบ้ รสิ ุทธ์ิ และการปอ้ งกัน ด้วยกระแสไฟฟา้ การทำโลหะใหบ้ รสิ ุทธ ิ์ การกดั กรอ่ นของโลหะ การปอ้ งกันการกัดกรอ่ นของโลหะ๓๒. สบื คน้ ขอ้ มลู และนำเสนอตวั อยา่ งความกา้ วหนา้ • ปฏิกริ ิยาเคมหี ลายปฏิกิรยิ าท่ีพบในชวี ิตประจำวันทางเทคโนโลยที ่เี ก่ียวขอ้ งกบั เซลลเ์ คมีไฟฟา้ เป็นปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ เช่น ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ในชีวติ ประจำวัน ปฏิกริ ยิ าในเซลล์เคมไี ฟฟา้ ซึง่ ความรู้เรอื่ ง เซลล์เคมีไฟฟา้ และความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี ท่ีเก่ยี วข้องกับเซลลเ์ คมีไฟฟา้ นำไปสู่นวัตกรรม ด้านพลงั งานท่ีเปน็ มิตรต่อสงิ่ แวดลอ้ ม ม.๖ - -ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 185 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระเคมี ๓. เขา้ ใจหลกั การทำปฏบิ ตั กิ ารเคมี การวดั ปรมิ าณสาร หนว่ ยวดั และการเปลย่ี นหนว่ ย การคำนวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบรู ณาการ ความรแู้ ละทกั ษะในการอธบิ ายปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจำวนั และการแก้ปัญหา ทางเคมีชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พม่ิ เติมม.๔ ๑. บอก และอธบิ ายขอ้ ปฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน้ และปฏบิ ตั ติ น • การทำปฏิบตั กิ ารเคมีตอ้ งคำนงึ ถงึ ความปลอดภยั ทแ่ี สดงถงึ ความตระหนกั ในการทำปฏบิ ตั กิ ารเคมี และความเปน็ มิตรต่อสง่ิ แวดล้อม ดงั น้ันจงึ ควร เพ่ือให้มีความปลอดภัยทงั้ ตอ่ ตนเอง ผ้อู ่ืนและ ศกึ ษาข้อปฏบิ ตั ขิ องการทำปฏิบตั ิการเคมี เช่น สง่ิ แวดล้อม และเสนอแนวทางแกไ้ ขเมื่อเกดิ ความปลอดภัยในการใชอ้ ปุ กรณ์และสารเคมี อบุ ตั ิเหตุ การปอ้ งกนั อบุ ตั ิเหตุระหวา่ งการทดลอง การกำจัดสารเคมี ๒. เลอื ก และใชอ้ ปุ กรณห์ รือเครอื่ งมอื ในการทำ • อปุ กรณแ์ ละเครอ่ื งมอื ชั่ง ตวง วัดแตล่ ะชนดิ ปฏิบัติการ และวดั ปรมิ าณต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ ง มวี ิธกี ารใช้งานและการดูแลแตกต่างกัน ซ่งึ การ เหมาะสม วดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ ใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่มี ีความเทย่ี งและ ความแมน่ ในระดับนยั สำคญั ท่ตี ้องการ ตอ้ งมี การเลอื กและใชอ้ ปุ กรณ์ในการทำปฏิบตั กิ าร อย่างเหมาะสม ๓. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขยี น • การทำปฏิบตั ิการเคมีตอ้ งมีการวางแผน รายงานการทดลอง การทดลอง การทำการทดลอง การบนั ทกึ ข้อมูล สรปุ และวิเคราะห์ นำเสนอข้อมูล และการ เขยี นรายงานการทดลองทถ่ี ูกตอ้ ง โดยการทำ ปฏบิ ตั กิ ารเคมตี อ้ งคำนงึ ถงึ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ์ และจิตวิทยาศาสตร์ ๔. ระบุหนว่ ยวดั ปรมิ าณต่าง ๆ ของสาร และ • การทำปฏบิ ัติการเคมตี อ้ งมีการวัดปริมาณต่าง ๆ เปลยี่ นหน่วยวัดให้เปน็ หน่วยในระบบเอสไอ ของสาร การบอกปริมาณของสารอาจระบุ ดว้ ยการใช้แฟกเตอรเ์ ปล่ียนหน่วย อยู่ในหนว่ ยตา่ ง ๆ ดังนนั้ เพอื่ ให้มมี าตรฐาน เดยี วกัน จึงมีการกำหนดหนว่ ยในระบบเอสไอ ให้เป็นหนว่ ยสากล ซง่ึ การเปลี่ยนหน่วย เพือ่ ใหเ้ ปน็ หนว่ ยสากล สามารถทำไดด้ ว้ ยการใช้ แฟกเตอรเ์ ปล่ียนหนว่ ย186 ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิ่มเติม ๕. บอกความหมายของมวลอะตอมของธาตุ และ • มวลอะตอมของธาตุ เปน็ มวลของธาตุ ๑ อะตอมคำนวณมวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุ มวลโมเลกลุ ซ่ึงเปน็ ผลรวมของมวลโปรตอน นวิ ตรอน และและมวลสตู ร อเิ ลก็ ตรอน แตเ่ นอื่ งจากอเิ ลก็ ตรอนมมี วลนอ้ ยมาก เมือ่ เทียบกบั โปรตอนและนิวตรอน ดังน้นั มวลอะตอมจึงมีค่าใกล้เคยี งกับผลรวมของ มวลโปรตอนและนวิ ตรอน • มวลอะตอมเฉล่ียของธาตเุ ปน็ คา่ เฉล่ียจากคา่ มวลอะตอมของแต่ละไอโซโทปของธาตชุ นิดนนั้ ตามปรมิ าณทม่ี ีในธรรมชาติ • มวลโมเลกลุ และมวลสตู รเป็นผลรวมของ มวลอะตอมเฉล่ยี ของธาตุทเี่ ป็นองคป์ ระกอบ ของสารนั้น๖. อธบิ าย และคำนวณปรมิ าณใดปริมาณหน่ึงจาก • โมลเปน็ ปรมิ าณสารทมี่ จี ำนวนอนุภาคเทา่ กบั ความสมั พันธข์ องโมล จำนวนอนภุ าค มวล และ เลขอาโวกาโดร คอื 6.02 × 1023 อนภุ าคปรมิ าตรของแกส๊ ท่ี STP มวลของสาร ๑ โมล ทมี่ ีหนว่ ยเปน็ กรมั เรียกวา่ มวลตอ่ โมล ซ่งึ มีค่าตวั เลขเทา่ กบั มวลอะตอม มวลโมเลกุลหรือมวลสูตรของสารนนั้ สำหรับสาร ทมี่ สี ถานะแกส๊ ๑ โมล จะมีปรมิ าตรเท่ากบั 22.4 ลูกบาศกเ์ ดซิเมตร ที่ STP๗. คำนวณอตั ราสว่ นโดยมวลของธาตุองค์ประกอบ • สารประกอบเกดิ จากการรวมตวั ของธาตุ ตงั้ แต ่ ของสารประกอบตามกฎสดั ส่วนคงท่ี ๒ ชนดิ ข้นึ ไป โดยมีอตั ราส่วนโดยมวลของธาตุ องค์ประกอบคงที่เสมอ ตามกฎสดั สว่ นคงท่ี๘. คำนวณสตู รอย่างง่ายและสตู รโมเลกุลของสาร • สูตรเคมีสามารถแสดงได้ดว้ ยสตู รเอมพิริคัลหรอื สตู รอยา่ งงา่ ยและสตู รโมเลกุล ซึง่ สตู รอยา่ งงา่ ย คำนวณได้จากร้อยละโดยมวลและมวลอะตอม ของธาตุองค์ประกอบ และถ้าทราบมวลโมเลกลุ ของสารจะสามารถคำนวณสูตรโมเลกลุ ได้๙. คำนวณความเข้มข้นของสารละลายในหนว่ ย • สารทพ่ี บในชีวติ ประจำวันจำนวนมากอยู่ในรูป ตา่ ง ๆ ของสารละลาย การบอกปริมาณของสาร ในสารละลายสามารถบอกเปน็ ความเข้มข้น ในหน่วยรอ้ ยละ ส่วนในลา้ นส่วน ส่วนในพันลา้ นส่วน โมลารติ ี โมแลลติ ี และเศษส่วนโมลตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 187 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม ๑๐. อธิบายวธิ กี าร และเตรยี มสารละลายให้มี • การเตรยี มสารละลายใหม้ คี วามเข้มข้นและ ความเขม้ ขน้ ในหนว่ ยโมลาริตี และปรมิ าตร ปรมิ าตรของสารละลายตามท่กี ำหนด ทำได้โดย สารละลายตามที่กำหนด การละลายตัวละลายทเ่ี ป็นสารบรสิ ทุ ธ์ใิ น ตัวทำละลายหรอื นำสารละลายท่มี ีความเขม้ ขน้ มาเจอื จางดว้ ยตวั ทำละลาย โดยปรมิ าณของสารทใ่ี ช้ ขึ้นอยกู่ บั ความเข้มขน้ และปรมิ าตรของ สารละลายทตี่ อ้ งการ ๑๑. เปรยี บเทยี บจดุ เดือดและจดุ เยอื กแข็งของ • สารละลายมจี ุดเดอื ดและจดุ เยือกแขง็ แตกต่างไป สารละลายกบั สารบริสทุ ธ์ิ รวมท้งั คำนวณ จากสารบริสุทธิท์ เ่ี ป็นตัวทำละลายในสารละลาย จดุ เดือดและจดุ เยือกแขง็ ของสารละลาย โดยสมบตั ิท่ีเปลย่ี นแปลงไปขึน้ อยู่กบั ปริมาณของ ตวั ละลายในตัวทำละลาย และชนดิ ของ ตวั ทำละลายม.๕ - -ม.๖ ๑. กำหนดปญั หา และนำเสนอแนวทางการแกป้ ญั หา • สถานการณบ์ างสถานการณใ์ นชวี ิตประจำวนั โดยใชค้ วามรทู้ างเคมจี ากสถานการณ์ท่ีเกดิ ข้นึ การประกอบอาชีพ หรอื อตุ สาหกรรม สามารถ ในชวี ติ ประจำวัน การประกอบอาชพี หรือ นำความรทู้ างเคมไี ปใชป้ ระโยชนห์ รอื แกป้ ญั หาได้ อุตสาหกรรม ๒. แสดงหลักฐานถงึ การบรู ณาการความรทู้ างเคมี • การศึกษาและการแกป้ ญั หาในสถานการณ์ หรือ ร่วมกับสาขาวิชาอน่ื รวมทัง้ ทกั ษะกระบวนการ ประเดน็ ทสี่ นใจทำไดโ้ ดยการบรู ณาการความรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์หรอื กระบวนการออกแบบ ทางเคมรี ่วมกับวิทยาศาสตรแ์ ขนงอ่นื รวมท้ัง เชิงวิศวกรรม โดยเน้นการคดิ วเิ คราะห์ การ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และทกั ษะกระบวนการ แกป้ ญั หาและความคดิ สร้างสรรค์ เพ่อื แก้ ทางวทิ ยาศาสตรห์ รือกระบวนการออกแบบ ปัญหาในสถานการณ์หรอื ประเด็นท่ีสนใจ เชงิ วศิ วกรรม โดยเน้นการคดิ วเิ คราะห์ แกป้ ญั หา และความคดิ สร้างสรรค์ ๓. นำเสนอผลงานหรอื ชนิ้ งานทไ่ี ดจ้ ากการแกป้ ญั หา • การนำเสนองานหรือแสดงผลงาน เป็นการเปิด ในสถานการณ์หรือประเด็นทสี่ นใจโดยใช้ โอกาสใหผ้ มู้ ีส่วนรว่ มได้แลกเปลีย่ นแนวคดิ เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลงาน รวมทัง้ เพิ่มโอกาสในการพฒั นางาน โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ เครอ่ื งมือ ประกอบการนำเสนอ ซึ่งจะทำให้การสอ่ื สาร มีประสทิ ธิภาพมากขึ้น188 ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พิม่ เติม ๔. แสดงหลักฐานการเขา้ รว่ มการสมั มนา การเขา้ • การสัมมนา การประชุมวชิ าการ หรอื การ ร่วมประชุมวิชาการ หรือการแสดงผลงาน รว่ มแสดงผลงาน สิ่งประดษิ ฐใ์ นงานนทิ รรศการ สงิ่ ประดิษฐ์ในงานนิทรรศการ เป็นการเปิดโอกาสใหผ้ มู้ สี ่วนรว่ มไดแ้ ลกเปล่ยี น ความคดิ แสดงทศั นคตติ อ่ กรณศี กึ ษา สถานการณ์ หรือประเด็นสำคัญทางเคมี ซงึ่ ชว่ ยส่งเสรมิ ใหพ้ ฒั นากระบวนการคดิ ทักษะการสอ่ื สาร ทักษะการใช้เทคโนโลยี เพอื่ การค้นควา้ และ การสอ่ื สาร ซงึ่ สามารถทำได้หลายระดบั โดย อาจเป็นระดบั ช้นั เรียน โรงเรยี น กลุม่ โรงเรยี น ชุมชน ระดบั ชาติ หรือนานาชาติตวั ชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 189 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สาระฟิสิกส์ ๑. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนที่แนวตรง แรงและกฎการเคล่ือนท่ีของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุล กลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนรุ กั ษ์ โมเมนตมั การเคลอ่ื นทแ่ี นวโคง้ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ ม.๔ ๑. สบื คน้ และอธิบายการคน้ หาความรู้ทางฟสิ ิกส์ • ฟสิ ิกส์เป็นวทิ ยาศาสตรแ์ ขนงหน่ึงทศ่ี ึกษาเกีย่ วกบั ประวัติความเปน็ มา รวมทั้งพฒั นาการของ สสาร พลงั งาน อันตรกิรยิ าระหวา่ งสสารกบั หลักการและแนวคิดทางฟสิ กิ ส์ท่ีมีผลต่อ พลังงาน และแรงพน้ื ฐานในธรรมชาติ การแสวงหาความรใู้ หมแ่ ละการพฒั นาเทคโนโลยี • การคน้ ควา้ หาความรทู้ างฟสิ กิ สไ์ ดม้ าจากการสงั เกต การทดลอง และเก็บรวบรวมขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ หรอื จากการสรา้ งแบบจำลองทางความคดิ เพอ่ื สรุป เปน็ ทฤษฎี หลักการหรือกฎ ความรเู้ หลา่ นี้ สามารถนำไปใชอ้ ธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาติ หรอื ทำนายสงิ่ ทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต • ประวัตคิ วามเป็นมาและพัฒนาการของหลกั การ และแนวคดิ ทางฟสิ ิกส์เปน็ พื้นฐานในการแสวงหา ความร้ใู หมเ่ พิ่มเตมิ รวมถงึ การพฒั นาและความ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยกี ็มสี ว่ นในการคน้ หา ความรูใ้ หม่ทางวิทยาศาสตร์ด้วย ๒. วัด และรายงานผลการวัดปริมาณทางฟสิ กิ ส์ • ความรทู้ างฟิสกิ สส์ ่วนหน่ึงไดจ้ ากการทดลอง ได้ถกู ตอ้ งเหมาะสม โดยนำความคลาดเคล่ือน ซง่ึ เก่ยี วข้องกับกระบวนการวดั ปริมาณทางฟสิ ิกส์ ในการวดั มาพิจารณาในการนำเสนอผล รวมท้ัง ซึง่ ประกอบด้วยตวั เลขและหน่วยวดั แสดงผลการทดลองในรปู ของกราฟ วเิ คราะห์ • ปรมิ าณทางฟสิ กิ สส์ ามารถวัดไดด้ ้วยเครอ่ื งมือ และแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรง ตา่ ง ๆ โดยตรงหรอื ทางออ้ ม หน่วยทีใ่ ชใ้ นการวดั ปรมิ าณทางวทิ ยาศาสตรค์ อื ระบบหนว่ ย ระหวา่ งชาติ เรียกย่อว่า ระบบเอสไอ • ปริมาณทางฟสิ ิกสท์ ี่มคี ่านอ้ ยกว่าหรอื มากกว่า ๑ มาก ๆ นยิ มเขยี นในรปู ของสญั กรณว์ ทิ ยาศาสตร์ หรอื เขยี นโดยใชค้ ำนำหนา้ หนว่ ยของระบบเอสไอ การเขยี นโดยใชส้ ญั กรณว์ ทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ การเขยี น เพอื่ แสดงจำนวนเลขนัยสำคัญที่ถกู ตอ้ ง190 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเตมิ • การทดลองทางฟสิ กิ สเ์ กยี่ วกบั การวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ การบนั ทึกปรมิ าณทไ่ี ด้จากการวดั ดว้ ยจำนวน เลขนยั สำคญั ทเ่ี หมาะสม และคา่ ความคลาดเคลอื่ น การวเิ คราะห์และการแปลความหมายจากกราฟ เชน่ การหาความชนั จากกราฟเสน้ ตรง จดุ ตดั แกน พ้ืนที่ใตก้ ราฟ เปน็ ตน้ • การวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ จะมคี วามคลาดเคลอื่ นเสมอ ข้นึ อยกู่ บั เคร่อื งมือ วิธกี ารวัด และประสบการณ์ ของผวู้ ัด ซ่งึ ค่าความคลาดเคลอื่ นสามารถแสดง ในการรายงานผลทัง้ ในรปู แบบตัวเลขและกราฟ • การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวดั ให้เหมาะสมกับ สิง่ ทีต่ ้องการวัด เชน่ การวัดความยาวของวัตถุ ทต่ี ้องการความละเอียดสงู อาจใช้เวอรเ์ นียร์ แคลลิเปิรส์ หรอื ไมโครมเิ ตอร์ • ฟสิ กิ สอ์ าศยั คณติ ศาสตรเ์ ปน็ เครอื่ งมอื ในการศกึ ษา ค้นควา้ และการส่อื สาร๓. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่าง • ปริมาณทีเ่ ก่ยี วกับการเคล่ือนที่ ไดแ้ ก่ ตำแหนง่ตำแหน่ง การกระจดั ความเร็ว และความเร่ง การกระจดั ความเร็ว และความเรง่ โดยความเร็วของการเคล่อื นทขี่ องวัตถุในแนวตรงทีม่ คี วามเรง่ และความเรง่ มีทงั้ ค่าเฉล่ียและค่าขณะหน่งึ ซงึ่ คิดคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทง้ั ทดลองหาคา่ ในชว่ งเวลาส้นั ๆ สำหรับปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่ความเร่งโน้มถว่ งของโลก และคำนวณปริมาณ เกยี่ วขอ้ งกบั การเคล่อื นที่แนวตรงด้วยความเรง่ตา่ ง ๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง คงตวั มีความสัมพนั ธ์ตามสมการ v = u + at ( ( ∆x = u +2v t v∆2x==uu2t++ 2 12a ∆axt2 • การอธบิ ายการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุสามารถเขียน อยูใ่ นรปู กราฟตำแหนง่ กบั เวลา กราฟความเร็ว กับเวลา หรอื กราฟความเรง่ กับเวลา ความชัน ของเส้นกราฟตำแหน่งกับเวลาเป็นความเรว็ ความชันของเส้นกราฟความเร็วกบั เวลาเปน็ ความเร่ง และพนื้ ท่ใี ต้เสน้ กราฟความเร็วกับเวลา เปน็ การกระจดั ในกรณีทผ่ี สู้ ังเกตมคี วามเรว็ ความเรว็ ของวัตถทุ ่สี ังเกตไดเ้ ป็นความเร็วทเี่ ทียบ กบั ผูส้ งั เกตตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 191 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม • การตกแบบเสรีเปน็ ตัวอยา่ งหนงึ่ ของการเคลือ่ นที่ ในหน่ึงมติ ิท่ีมีความเร่งเท่ากับความเรง่ โน้มถว่ ง ของโลก ๔. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลัพธข์ องแรงสอง • แรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอรจ์ ึงมีทัง้ ขนาดและทิศทาง แรงท่ที ำมมุ ตอ่ กนั กรณีที่มแี รงหลาย ๆ แรง กระทำตอ่ วตั ถุ สามารถ หาแรงลพั ธ์ท่กี ระทำตอ่ วัตถุ โดยใชว้ ิธเี ขียน เวกเตอรข์ องแรงแบบหางตอ่ หวั วธิ สี รา้ งรปู สเี่ หลย่ี ม ดา้ นขนานของแรงและวิธคี ำนวณ ๕. เขยี นแผนภาพของแรงทีก่ ระทำตอ่ วัตถอุ สิ ระ • สมบตั ขิ องวตั ถุที่ต้านการเปลี่ยนสภาพการ ทดลอง และอธบิ ายกฎการเคลอื่ นทขี่ องนวิ ตนั เคลอ่ื นท่ี เรยี กว่า ความเฉ่อื ย มวลเปน็ ปริมาณ และการใชก้ ฎการเคลอื่ นทขี่ องนวิ ตนั กบั สภาพการ ทบ่ี อกใหท้ ราบวา่ วตั ถใุ ดมคี วามเฉอื่ ยมากหรอื นอ้ ย เคล่อื นทีข่ องวัตถุ รวมทัง้ คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ • การหาแรงลพั ธ์ที่กระทำตอ่ วตั ถุสามารถเขยี นเปน็ ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง แผนภาพของแรงทกี่ ระทำต่อวตั ถอุ ิสระได้ • กรณีทีไ่ มม่ แี รงภายนอกมากระทำ วัตถุจะ ไม่เปล่ียนสภาพการเคลื่อนท่ซี ึ่งเป็นไปตามกฎ การเคลอ่ื นทขี่ ้อทห่ี นง่ึ ของนวิ ตัน • กรณที ีม่ ีแรงภายนอกมากระทำโดยแรงลพั ธ ์ ที่กระทำตอ่ วตั ถุไมเ่ ปน็ ศนู ย์ วตั ถจุ ะมคี วามเรง่ โดยความเร่งมีทศิ ทางเดยี วกบั แรงลพั ธ ์ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งแรงลพั ธ์ มวลและความเรง่ เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการ i∑ =n 1 F i = m a ตามกฎการเคล่ือนท่ีข้อ ท่สี องของนวิ ตนั • เมอ่ื วตั ถสุ องกอ้ นออกแรงกระทำตอ่ กนั แรงระหวา่ ง วตั ถทุ งั้ สองจะมขี นาดเทา่ กนั แตม่ ที ศิ ทางตรงขา้ ม และกระทำตอ่ วัตถุคนละก้อน เรยี กว่า แรงคู่ กิรยิ า-ปฏิกริ ิยา ซงึ่ เป็นไปตามกฎการเคลอื่ นท่ี ขอ้ ที่สามของนิวตัน และเกิดขนึ้ ได้ทงั้ กรณที ่วี ตั ถุ ทง้ั สองสัมผัสกันหรอื ไมส่ ัมผัสกันก็ได้ ๖. อธบิ ายกฎความโนม้ ถ่วงสากลและผลของ • แรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวลเปน็ แรงทม่ี วลสองกอ้ นดงึ ดดู สนามโนม้ ถว่ งทท่ี ำใหว้ ตั ถุมีนำ้ หนกั รวมทงั้ ซงึ่ กนั และกนั ดว้ ยแรงขนาดเทา่ กนั แตท่ ศิ ทางตรงขา้ ม คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง และเป็นไปตามกฎความโนม้ ถว่ งสากล เขยี นแทน ได้ดว้ ยสมการFG = Gm1m2 R2192 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เตมิ • รอบโลกมีสนามโน้มถว่ งทำใหเ้ กิดแรงโนม้ ถ่วง ซง่ึ เปน็ แรงดงึ ดดู ของโลกทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ ทำใหว้ ตั ถุ มีน้ำหนกั ๗. วิเคราะห์ อธบิ าย และคำนวณแรงเสยี ดทาน • แรงทีเ่ กิดขึน้ ทผี่ วิ สมั ผสั ระหว่างวตั ถสุ องก้อน ระหว่างผวิ สัมผัสของวตั ถุคหู่ นง่ึ ๆ ในกรณีท่ีวตั ถุ ในทิศทางตรงข้ามกบั ทศิ ทางการเคล่ือนทหี่ รือหยุดน่ิงและวตั ถุเคลอ่ื นท่ี รวมทั้งทดลองหา แนวโน้มท่ีจะเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ เรียกว่า สมั ประสทิ ธค์ิ วามเสียดทานระหว่างผวิ สัมผัส แรงเสยี ดทาน แรงเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สมั ผสั คหู่ นง่ึ ๆของวตั ถคุ ู่หน่งึ ๆ และนำความรู้เรอื่ งแรงเสียด ขนึ้ กับสัมประสทิ ธิค์ วามเสยี ดทานและทานไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั แรงปฏิกิรยิ าตั้งฉากระหว่างผวิ สัมผัสคนู่ ้นั ๆ • ขณะออกแรงพยายามแตว่ ัตถุยังคงอยูน่ ิ่ง แรงเสยี ดทานมขี นาดเทา่ กบั แรงพยายามทก่ี ระทำตอ่ วตั ถนุ นั้ และแรงเสียดทานมคี า่ มากท่ีสุดเมื่อวตั ถุ เร่มิ เคล่ือนท่ี เรยี กแรงเสยี ดทานน้ีวา่ แรงเสียดทานสถิต แรงเสยี ดทานทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ ขณะกำลงั เคลอื่ นท่ี เรียกวา่ แรงเสียดทานจลน์ โดยแรงเสยี ดทานทเ่ี กดิ ระหวา่ งผิวสัมผัสของวัตถุ คู่หนึ่ง ๆ คำนวณไดจ้ ากสมการ ƒs ≤ µsN ƒk = µkN • การเพิม่ หรือลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคล่ือนท่ี ของวัตถุ ซ่ึงสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ๘. อธิบายสมดุลกลของวัตถุ โมเมนต์ และผลรวม • สมดลุ กลเปน็ สภาพทว่ี ตั ถรุ กั ษาสภาพการเคลอ่ื นท่ีของโมเมนต์ทมี่ ตี อ่ การหมนุ แรงคู่ควบและผล ให้คงเดมิ คอื หยดุ นิ่งหรือเคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเรว็ของแรงคคู่ วบทมี่ ตี ่อสมดลุ ของวตั ถุ เขียน คงตวั หรอื หมุนดว้ ยความเร็วเชิงมุมคงตัวแผนภาพของแรงท่ีกระทำตอ่ วตั ถอุ ิสระเมอื่ วัตถุ • วตั ถุจะสมดุลต่อการเลือ่ นท่ีคอื หยุดนิ่งหรืออย่ใู นสมดุลกล และคำนวณปริมาณต่าง ๆ เคลื่อนทีด่ ้วยความเรว็ คงตวั เมื่อแรงลพั ธท์ กี่ ระทำทเ่ี ก่ยี วข้อง รวมท้งั ทดลองและอธิบายสมดลุ ตอ่ วัตถเุ ป็นศนู ย์ เขียนแทนได้ดว้ ยสมการ ของแรงสามแรง ∑ n i=1Fi= 0 • วตั ถจุ ะสมดุลต่อการหมุนคอื ไม่หมุนหรอื หมุนด้วย ความเรว็ เชงิ มุมคงตวั เมอื่ ผลรวมของโมเมนต์ท่ี กระทำต่อวตั ถเุ ป็นศูนย์เขียนแทนได้ดว้ ยสมการ i∑ =n 1 M i = 0 โดยโมเมนตค์ ำนวณได้ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 193 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273