Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พันธะโคเวเลนต์

พันธะโคเวเลนต์

Published by yodngam303, 2020-06-29 23:00:25

Description: พันธะโคเวเลนต์

Search

Read the Text Version

Covalent B ON D

Ionic compound Covalent compound

Covalent bond

Covalent bond แรงผลักมากไม่เกดิ เป็ นโมเลกุล • เม่ืออะตอมทงั้ 2 เข้ามาใกล้กนั ใน ไม่ดงึ ดูด ไม่เกดิ เป็ นโมเลกุล ระยะที่เหมาะสม จะมีพลงั งานศกั ย์ ต่าสดุ ดงึ ดดู ได้ดี แรงผลักน้อย เสถียร เกดิ เป็ นโมเลกุล • อะตอมเกิดการใช้อิเลก็ ตรอนร่วมกนั เป็นเป็นโมเลกลุ ขนึ ้ แรงยดึ เหน่ียวท่ี ทาให้อะตอมอยรู่ วมกนั ได้ในลกั ษณะ นี ้เรียกวา่ “พันธะโคเวเลนต์”

Covalent bond พันธะโคเวเลนต์ หมายถึง แรงยดึ เหน่ียวท่เี กดิ ขึน้ ระหว่างอะตอม 2 อะตอมท่ีมี IE สูง โดยใช้เวเลนต์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั ระหว่างอะตอม ซ่งึ จะต้องเป็ นไปตามกฎออกเตต โดยมีสมดุลของแรงดึงดูดระหว่างอิเล็กตรอนกับโปรตอน แรงผลักระหว่างโปรตอนกับโปรตอน และแรงผลักระหว่างอิเล็กตรอนกบั อเิ ลก็ ตรอน อเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะ หรือพนั ธะโคเวเลนต์ IE สูง กบั IE สูง หรืออโลหะกับอโลหะ อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว หรืออเิ ลก็ ตรอนคอู่ สิ ระ

Covalent bond พนั ธะโคเวเลนต์เป็ นพนั ธะท่เี กดิ จากอะตอมของ • อโลหะกบั อโลหะ เช่น CO2 และ NH3 • ก่งึ โลหะกับอโลหะ เช่น SiO2 และ GeCl4 • โลหะบางชนิด (Be และ B) กับอโลหะ เช่น BeCl2 และ BF3

High electronegativity



ประเภทพันธะโคเวเลนต์  Single bond (พันธะเด่ยี ว) เกิดจากอะตอมใช้เวเลนต์อเิ ล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เช่น

Covalent bond  Double bond (พนั ธะคู่) เกดิ จากอะตอมใช้เวเลนต์อเิ ล็กตรอนร่วมกนั 2 คู่ เช่น

Covalent bond  Triple bond (พันธะสาม) เกิดจากอะตอมใช้เวเลนต์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั 3 คู่ เช่น

Covalent bond พันธะโคออร์ดเิ นตโคเวเลนต์ (Coordinate Covalent bond) พันธะท่เี กดิ ขึน้ โดยอเิ ล็กตรอนค่รู ่วมพันธะมาจากอะตอมของธาตุเดียว ส่วนอกี ธาตุหน่ึงไม่ได้ส่ง อิเล็กตรอนมาร่ วมพันธะแต่มาใช้อิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียวของธาตุอ่ืน เพ่ือให้จานวนเวเลนต์ อเิ ล็กตรอนครบ 8 ตามกฎออกเตต O3

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ 1. สูตรแบบจุด หรือสูตรลิวอสิ (electron-dot structure) เป็ นการสร้างพนั ธะโดยการนาเอาเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนมาใช้ร่วมกนั การให้หรือ/และรับอเิ ลก็ ตรอน ของอะตอมทงั้ สองอะตอมให้เป็ นไปตาม “กฎออกเตต (octet rule)” โดยแสดงเวเลนซ์อิเล็กตรอน เป็ นจุด

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ 1. สูตรแบบจุดหรือลิวอสิ (Lewis structure) H2O หลักการเขียน 1. เขยี นอะตอมกลาง 2. เขียนจดุ แทนเวเลนต์อิเล็กตรอน 3. นาอะตอมของแต่ละธาตุมาเข้าค่กู ันโดยให้แต่ละ อะตอมท่ใี ช้อเิ ล็กตรอนร่วมกันมวี าเลนซ์อิเล็กตรอน เป็ นแปดตามกฏออกเตต

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule เป็ นกฎท่วี ่าด้วยการจัดอิเล็กตรอนของอะตอมท่มี ารวมเป็ นโมเลกุล เพ่อื ทาให้เวเลนต์ อเิ ล็กตรอนครบ 8 หรือ 2 เท่ากบั He ซ่งึ ทาให้สารประกอบเสถยี ร วธิ ีท่จี ะทาให้เวเลนต์อเิ ล็กตรอน ครบ 8 1. การรับและให้อิเล็กตรอน แล้วทาให้อะตอมทงั้ สองมีเวเลนต์อเิ ลก็ ตรอนครบ 8 ได้แก่ สารประกอบไอออนิก และเกดิ พนั ธะไอออนิก 2. การใช้เลก็ ตรอนร่วมกนั (Share) แล้วทาให้อะตอมค่ทู ่ใี ช้อเิ ล็กตรอนร่วมกนั ครบ 8 ได้แก่ สารประกอบโคเวเลนต์ และเกิดพันธะโคเวเลนต์

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule โมเลกุลท่ไี ม่เป็ นไปตามกฎออกเตต 1. พวกท่ไี ม่ครบออกเตต ได้แก่ สารประกอบของธาตุในคาบท่ี 2 ของตารางธาตุ ท่มี ีเวเลนต์ อเิ ล็กตรอนน้อยกว่า 4 4Be = 2 , 2 เวเลนต์อเิ ล็กตรอนเท่ากับ 2 5B = 2 , 3 เวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับ 3 ธาตุ Be และ B เม่ือเกิดเป็ นสารประกอบโคเวเลนต์ท่วั ๆ ไปจะ ไม่ครบออกเตต เช่น BF3 BCl3 BeCl2 และ BeF2 เป็ นต้น

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule โมเลกุลท่ไี ม่เป็ นไปตามกฎออกเตต 2. พวกท่เี กินออกเตต ตามทฤษฎีสารประกอบของธาตุท่อี ย่ใู นคาบท่ี 3 ของตารางธาตุเป็ น ต้นไป สามารถสร้างพนั ธะแล้วทาให้อิเลก็ ตรอนเกนิ 8 ได้ (ตามกฎการจดั อเิ ล็กตรอน 2n2 ในคาบท่ี 3 สามารถมีอเิ ล็กตรอน ได้เตม็ ท่ถี งึ 18 อเิ ล็กตรอน) เช่น PCl5 SF6 เป็ นต้น

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule โมเลกุลท่ไี ม่เป็ นไปตามกฎออกเตต 3. ออกไซด์ของ N และ Cl - ออกไซด์บางตวั ของธาตุไนโตรเจน NO, NO2, N2O, N2O3, N2O5 - ออกไซด์ของคลอรีน ClO2 ธาตุเหล่านี้ (N และ Cl) สามารถมีอิเล็กตรอนท่ไี ม่ได้จบั คู่ หรือ อเิ ล็กตรอนเด่ยี ว (Unpaired electron) ซ่งึ ทาให้แสดงสมบตั ิ เป็ น paramagnetic ได้

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule การตรวจสอบสารประกอบต่างๆ ว่าเป็ นไปตามกฎออกเตตหรือไม่ ทาได้ โดยนับอิเล็กตรอนจากอะตอมกลางดังนี ้ ➢ นับเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของอะตอมกลางของธาตนุ ัน้ ๆ ➢ นับจานวนแขนท่เี กดิ กับอะตอมกลาง ➢ นับประจุลบของไอออนนัน้ ๆ ➢ เอาข้อ1,2,3 มารวมกนั ข้อระวัง ! สารประกอบบางตวั สามารถ เกิดโคออร์ดเิ นตได้จะไม่เกิดออกเตต

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ : Octet rule สารประกอบท่คี รบออกเตต เป็ นไปตาม สารประกอบท่เี กนิ ออกเตต CO2 กฎออกเตต BrF5 CN- SF6 สารประกอบไม่ครบออกเตต ไม่เป็ นไปตามกฎออกเตต BeCl2 สารประกอบออกไซด์ NO2

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ 2. สูตรแบบเส้น (graphic structure) HCN มีสูตรแบบเส้นเป็ น H- C – N ◆ ใช้เส้นตรง 1 เส้น ( — ) แทนอเิ ลก็ ตรอนท่ใี ช้ร่วมกัน 1 คู่ ◆ ใช้เส้นตรง 2 เส้น ( = ) แทนอิเล็กตรอนท่ใี ช้ร่วมกนั 2 คู่ PCl3 มีสูตรแบบเส้นเป็ น ◆ ใช้เส้นตรง 3 เส้น (  ) แทนอิเล็กตรอนท่ใี ช้ร่วมกนั 3 คู่ Cl — P — Cl ◆ ให้เขียนไว้ในระหว่างสัญลักษณ์ของธาตคุ ่รู ่วมพันธะ Cl ◆ อเิ ล็กตรอนคู่โดดเด่ยี วท่เี หลืออาจเขียนโดยใช้จดุ แทน หรือไม่ เขียนเลยก็ได้

สูตรโครงสร้างพนั ธะโคเวเลนต์ จงเขียนสูตรลิวอสิ และสูตรแบบเส้นของสารประกอบต่อไปนี้ 1. CCl4 2. PBr3 3. OF2 4. Br2 5. BH3

การเขียนสูตรโมเลกุลโคเวเลนต์ 1.โมเลกุลโคเวเลนต์เกดิ จากการรวมกันของธาตตุ งั้ แต่ 2 อะตอมขนึ้ ไป กาหนดให้เขียนสัญลักษณ์ของธาตุเรียงลาดบั ค่า EN จากน้อยไปมากดงั นี้ Si < B < P < H < C,Se < S < I < Br < N < Cl < O < F 2.ใช้อเิ ล็กตรอนคู่ร่วมพันธะของแต่ละอะตอมของธาตคุ ณู ไขว้ ตวั อย่าง จงเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ 162C และ 1362S วธิ ีทา C มีการจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนเป็ น 2,4 S มีการจัดเรียงอเิ ล็กตรอนเป็ น 2,8,6 อเิ ล็กตรอนค่รู ่วมพนั ธะ C S = C1S2 หรือ CS2 4 2

Covalent bond ตวั อย่าง จงเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ ������������������������ และ ������������������������ วธิ ีทา C มีการจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนเป็ น 2,4 O มีการจัดเรียงอเิ ล็กตรอนเป็ น 2,6 อเิ ล็กตรอนค่รู ่วมพนั ธะ C O = C1O2 4 2 หรือ CO2

Covalent bond ตัวอย่าง จงเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ ������������������������ และ ������������������ วธิ ีทา O มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนเป็ น 2,6 H มีการจัดเรียงอเิ ล็กตรอนเป็ น 1 อเิ ล็กตรอนค่รู ่วมพนั ธะ H O = H2O1 หรือ H2O 1 2

การเรียกช่อื สารประกอบโคเวเลนต์ 1. สารประกอบธาตุคู่ ให้อ่านธาตุตวั หน้าก่อนและตาม CH4 ด้วยธาตตุ วั หลังโดยเปล่ียนท้ายพยางค์เป็ นไอด์ (-ide) Carbon tetrahydride 2. ระบุจานวนอะตอมของแต่ละธาตุด้วยจานวนในภาษากรีก ดงั นี้ (methane) Mono = 1 Di = 2 Tri = 3 Tetra = 4 Penta = 5 Hexa = 6 Hepta = 7 Octa = 8 Nona = 9 Deca = 10 3. ถ้าธาตุตวั หน้ามอี ะตอมเดยี วไม่ต้องระบุจานวนอะตอม แต่ธาตุตวั หลังต้องระบุจานวนอะตอม แม้มีเพยี งอะตอมเดยี ว

การเรียกช่อื สารประกอบโคเวเลนต์ PH3 phosphorus trihydride 1 = Mono SCl6 sulfur hexachloride 2 = Di N2O3 dinitrogen trioxide 3 = Tri 4 = Tetra HI hydrogen monoiodide* 5 = Penta 6 = Hexa 7 = Hepta 8 = Octa 9 = Nona 10 = Deca

การเรียกช่อื สารประกอบโคเวเลนต์ จงอ่ านช่ือสารประกอบเหล่ านี ้ Arsenic pentafluoride Aluminium triiodide AsF5 Dinitrogen monoxide AlI3 Dicholrene heptaoxide N2O Carbon monoxide Cl2O7 CO

เฉลย SO3 sulfur trioxide sulfur dibromide SBr2 N2S P2Br4 dinitrogen monosulfide carbon disulfide CS2 SiO2 BF3 diphosphorus tetrabromide diboron tetrahydride B2H4 silicon dioxide dinitrogen trioxide N2O3 boron trifluoride nitrogen trichloride NCl3

ประจุฟอร์มอล (Formal Charge) • เป็ นความแตกต่างระหว่างจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอม ประจุ เด่ียวกับของอะตอมในโครงสร้างลิวอิส (ประจุของแต่ละอะตอม ฟอร์ มอล ในโมเลกุลโคเวเลนต์) แบบท่มี ี Formal charge • เพ่ือใช้เป็ นการทานายเสถยี รภาพของโมเลกุลจาก Lewis structure น้อยกว่า จะเสถยี รกว่า เพราะการเขียนสูตรโครงสร้างแบบ Lewis มีได้หลายแบบต้องหา แบบท่เี สถยี รท่สี ุด โดยคานวณ Formal Charge (FC) Formal Charge = V – N - ������ ������ ������ V จานวนเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนของอะตอมท่พี จิ ารณา N จานวนของอเิ ลก็ ตรอนท่ไี ม่ได้สร้างพันธะของอะตอมท่ีพจิ ารณา B จานวนอเิ ลก็ ตรอนท่ีสร้างพันธะรอบๆ อะตอมท่ีพจิ ารณา

ประจุฟอร์มอล (Formal Charge) การพจิ ารณาประจุฟอร์มอล และโครงสร้างลิวอิส 1. สาหรับโมเลกุลท่เี ป็ นกลาง โครงสร้างลิวอสิ ท่ไี ม่มีประจุฟอร์มอล จะเป็ นท่ยี อมรับมากกว่า โครงสร้างท่มี ีประจุฟอร์มอล 2. โครงสร้างลวิ อิสท่มี ีค่าประจุฟอร์มอลสูง เช่น +2 +3 หรือ -2 -3 ขนึ้ ไป จะมีความเป็ นไปได้ น้อยกว่าแบบท่มี ีประจุฟอร์มอลต่า 3. ในโครงสร้างท่มี ีประจุฟอร์มอลเท่ากนั โครงสร้างท่แี สดงค่าของประจุฟอร์มอลลบอยู่ท่ี ตาแหน่งอะตอมท่มี ีค่า EN สูง จะเป็ นโครงสร้างท่ถี ูกต้องมากกว่า

ประจุฟอร์มอล (Formal Charge) คานวณหา formal charge แต่ละอะตอมของ SO2 จานวนอเิ ลก็ ตรอนท่ีสร้างพันธะรอบๆ ของ S จานวนอเิ ลก็ ตรอนท่ีสร้างพันธะรอบๆ ของ O จานวนเวเลนต์อเิ ลก็ ตรอนของ S จานวนของอเิ ลก็ ตรอนท่ีไม่ได้สร้างพนั ธะของ O FC ของ S = 6 - 2 - ������ (8) = 0 FC ของ O = 6 – 4 - ������ (4) = 0 ������ ������ จานวนเวเลนต์อเิ ลก็ ตรอนของ O จานวนของอเิ ลก็ ตรอนท่ีไม่ได้สร้างพันธะของ S

ประจุฟอร์มอล (Formal Charge) จงคานวณหา formal charge ของ O3 O = 6 – 6 - ������ (������) = -1 O = 6 – 2 - ������ (������) = +1 O = 6 – 4 - ������ (������) = 0 ������ ������ ������ -1 +1 0

ประจุฟอร์มอล (Formal Charge) จงพจิ ารณาโครงสร้างโมเลกุลของ ClO2 ว่าแบบใดเสถียรกว่ากนั Cl Cl OO OO A B การหาค่า FC โครงสร้าง A การหาค่า FC โครงสร้าง B Cl = 7 - 3 - ������ (������) = +2 Cl = 7 - 3 - ������ (������) = 0 ������ ������ O = 6 – 6 - ������ (������) = -1 O = 6 – 6 - ������ (������) = -2 ������ ������ โครงสร้าง B จะเสียรกว่า เพราะมีค่า FC ต่ากว่า ดงั นัน้ สูตรโครงสร้างท่เี ป็ นไปได้ คอื โครงสร้าง B

ประจุฟอร์มอล (Formal Charge) หลักการพจิ ารณาว่าโครงสร้างใดเป็ นโครงสร้างท่เี ป็ นไปได้มากท่ีสุด มีดังนี้ 1. เป็ นไปตามกฎออกเตดมากท่สี ุด 2. โครงสร้างท่มี ีประจุฟอร์มอลต่าท่ีสุด 3. อะตอมท่ีมีค่า EN สูงควรมีประจุฟอร์มอลเป็ นลบ 4. อะตอมชนิดเดียวกันไม่ควรมปี ระจุฟอร์มอลตรงข้ามกัน CO2 +1 0 -1 0 00 -1 0 +1 OC−O O=C=O O−CO [SCN]-

เรโซแนนซ์ (Resonance) หมายถงึ การใช้สูตรโครงสร้างแบบจุดของลิวอสิ ตงั้ แต่ 2 โครงสร้างขึน้ ไปแทนโมเลกุลใด โมเลกุลหน่ึง โครงสร้างเรโซแนนซ์ (Resonance structure) คือ สูตรโครงสร้างของท่สี ารท่สี ามารถเขียน ได้มากกว่า 1 แบบ ซ่งึ แต่ละสูตรท่เี ขียนขนึ้ มาจะไม่สอดคล้องกับสูตรโครงสร้างท่แี ท้จริง การจะเป็ นโครงสร้างเรโซแนนซ์ได้สารต้องมีการจัดเรียงตวั ของอะตอมเหมือนกัน ต่าง เพยี งการกระจายอิเลก็ ตรอนในพันธะเท่านัน้

เรโซแนนซ์ (Resonance) โครงสร้างลิวอสิ ของ O3 O O OO OO O +1 O+1 OO OO -1 -1 จากการทดลองพบว่า ความยาวพนั ธะระหว่าง O ทงั้ สองเท่ากันแสดงว่า 1.278 Å O 1.278 Å โมเลกุล O3 ไม่เกดิ พนั ธะทงั้ 2 แบบ แต่เกดิ โครงสร้างท่เี รียกว่า OO โครงสร้างเรโซแนนซ์ (Resonance structure)

เรโซแนนซ์ (Resonance) ในบางโมเลกุลหรือไอออน สามารถเขียนแบบจาลองของลิวอิสได้มากกว่า 1 แบบ เช่น CO2 และ SO2 เรียกปรากฏการณ์นีว้ ่า ปรากฏการณ์เรโซแนนซ์ โดยต้องมีการจัดเรียงลาดบั ของอะตอมเหมือนกนั เสมอ ต่างกันแต่เพยี งการกระจายอเิ ลก็ ตรอนในพนั ธะ -1 +1 -1 +1

เรโซแนนซ์ (Resonance) SO2 เกดิ เรโซแนนซ์ได้ 2 แบบ ดงั นี้ SO3 เกดิ เรโซแนนซ์ได้ 3 แบบ ดงั นี้ เรโซแนนซ์ไฮบริด (Resonance hybrid)

เรโซแนนซ์ (Resonance) HCO2- เกดิ เรโซแนนซ์ได้ 2 แบบดังนี้ NO2- เกดิ เรโซแนนซ์ได้ 2 แบบ ดังนี้

เรโซแนนซ์ (Resonance) C6H6 (benzene) เกดิ เรโซแนนซ์ได้ 2 แบบ ดงั นี้





ค่าต่างๆ ท่เี ก่ียวข้องกับพนั ธะและโครงสร้างของโมเลกุล ▪ ความยาวพนั ธะ ▪ พลังงานพันธะ ▪ พลังงานสลายพันธะและสร้างพันธะ และพลงั งานพนั ธะ เฉล่ีย ▪ มุมพนั ธะ ▪ สภาพขัว้ ของพันธะ

ความยาวพนั ธะ (Bond Length) ความยาวพันธะ หมายถึง ระยะทางระหว่างนิวเคลียสของอะตอมสอง อะตอมท่สี ร้างพนั ธะกนั ในโมเลกุล อะตอมแต่ละชนิดอาจเกิดพันธะมากกว่า 1 ชนิด เช่น C กับ C , N กับ N และพนั ธะแต่ละชนิดจะมีพลังงานพนั ธะและความยาวพันธะแตกต่างกัน พนั ธะเด่ยี ว > พันธะคู่ > พันธะสาม

พลังงานพนั ธะ (Bond Energy) พลังงานพันธะ หมายถึง พลังงานท่ีใช้ไปเพ่ือสลายพันธะระหว่างอะตอมภายใน โมเลกุลซ่งึ อยู่ในสถานะแก๊สให้แยกออกเป็ นอะตอมในสถานะแก๊ส เช่น H2(g) + 436 kJ → 2H(g) HBr(g) + 366 kJ → H(g) + Br(g) พลังงานพนั ธะใช้บอกความแขง็ แรงของพันธะ พนั ธะสาม > พนั ธะคู่ > พนั ธะเด่ยี ว

พลังงานพนั ธะ (Bond Energy) พลังงานสร้างพันธะและสลายพนั ธะ คอื พลังงานท่ตี ้องใช้ในการสร้าง หรือสลายพันธะเคมีแต่ละพนั ธะในโมเลกุล พนั ธะเคมีชนิดเดยี วกนั ในโมเลกุลท่ตี ่างกันอาจมีค่าพลังงานสลายพันธะต่างกนั เช่น C-H ((((HHHH----CCCC))))CCCCHHHH324====343526313859kkkkJJJJ//mm//mmoooollll • CH4(g) → CH3(g) + H(g) • CH3(g) → CH2(g) + H(g) • CH2(g) → CH(g) + H(g) • CH(g) → C(g) + H(g)

พลังงานพนั ธะ (Bond Energy) พลังงานสร้างพนั ธะและสลายพนั ธะ • การสลายพนั ธะ เป็ นการเปล่ียนแปลงประเภทดดู พลังงาน (endothermic energy) H2(g) + 436 kJ  2H(g) • การสร้างพนั ธะ เป็ นการเปล่ียนแปลงประเภทคายพลังงาน (exothermic energy) 2H(g)  H2(g) + 436 kJ ในปฏกิ ิริยาเคมีท่วั ไปจะมที งั้ การสลายพนั ธะเดมิ และการสร้างพันธะใหม่จึงมีการดดู พลังงานและคายพลังงานพร้ อมๆกัน H2(g) + I2(g)  2HI(g) 2NH3(g)  N2(g) + 3H2(g)

พลังงานพนั ธะ (Bond Energy) พลงั งานสร้างพนั ธะและสลายพนั ธะ ปฏิกิริยาเคมีใดๆ พลังงานท่เี ปล่ียนแปลง (H) มีค่าเท่ากับผลต่างระหว่างพลังงานท่ใี ช้ สลายพนั ธะเดมิ กับพลังงานท่ไี ด้จากการสร้างพันธะใหม่ พลังงานสลายพันธะเดมิ > พลังงานสร้างพันธะใหม่ = ปฏิกริ ิยาดดู ความร้อน (endothermic reaction) (H เป็ น +) พลังงานสลายพนั ธะเดมิ < พลังงานสร้างพนั ธะใหม่ = ปฏิกริ ิยาคายความร้อน (exothermic reaction) (H เป็ น -)

พลังงานพนั ธะ (Bond Energy) พลงั งานพนั ธะเฉลยี่ (Average Bond Energy) พลังงานพันธะเฉล่ีย เป็ นค่าเฉล่ียของพลังงาน สลายพันธะสาหรับพันธะแต่ละ ชนิดในโมเลกุลต่างๆ (เป็ นค่า โดยประมาณ)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook