Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน

Published by กรรณิกา ลิกัลตา, 2022-08-17 11:56:50

Description: การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD
เรื่อง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562

Search

Read the Text Version

ชื่อเร่อื ง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุม่ ร่วมมือ เทคนคิ STAD ผศู้ กึ ษาคน้ คว้า เรอ่ื ง สมการเชงิ เส้นสองตัวแปร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 นางสาวกรรณิกา ลิกัลตา ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 บทคดั ยอ่ คณิตศาสตร์มีบทบาทที่สาคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิด สรา้ งสรรค์ คดิ อยา่ งมีเหตุผล เป็นระบบ ระเบยี บ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหา และประเมินสถานการณ์ได้ อย่างถ่ีถ้วนรอบคอบ ทาให้สามารถคาดการณ์ วางแผนตัดสินใจและแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และ คณิตศาสตรย์ ังเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนศาสตร์อ่ืน ๆ ท่เี กี่ยวข้อคณิตศาสตร์ จงึ มีประโยชน์ต่อการดารงชีวิตและชว่ ยพัฒนาคุณภาพชวี ติ ให้ดีข้นึ และสามารถอยู่รว่ มกับอ่ืนได้อย่างมีความสขุ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 56) และคณติ ศาสตรย์ ังเป็นวชิ าทม่ี คี วามสาคัญยิ่ง เพราะเป็นวชิ าทนี่ าไปสู่การ พฒั นาความคดิ อย่างมเี หตุผลของผู้เรยี น เพื่อใหเ้ กดิ ทักษะความชานาญในการคิดเปน็ ทาเป็นและแกป้ ัญหาเป็น เปน็ คนชา่ งสังเกต แสดงความคดิ เหน็ ออกอย่างมีระเบียบ ชัดเจน รัดกุมมีความสามารถในการวิเคราะหป์ ัญหา คณิตศาสตรย์ ังมปี ระโยชนต์ ่อการดารงชวี ิตประจาวันของทุกคน ทุกระดับ ทุกอาชพี โดยท่ีทุกคนใช้คณติ ศาสตร์ ในชีวติ ประจาวันโดยไมร่ ูต้ วั ดังน้ันการศึกษาค้นคว้าคร้ังน้มี ีความมุ่งหมายคือ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ทเ่ี รียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD เร่ือง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ก่อนเรยี นและหลังเรยี น 2) เพ่ือเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ทเ่ี รียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนคิ STAD เร่อื ง สมการเชิงเส้นสอง ตวั แปร ก่อนเรยี นและหลงั เรียน และ 3) เพ่อื เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร กับเกณฑร์ ้อยละ 70 กลุม่ ตวั อย่างเปน็ นักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาท่ี 1/1 โรงเรยี นเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถิต จงั หวดั ชัยภมู ิ สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 30 ทก่ี าลงั เรียนในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 1 หอ้ งเรียน จานวน 34 คน ซง่ึ ผวู้ ิจัยไดเ้ ลือกสุ่มแบบเจาะจง เนอ่ื งจากนักเรยี นกลุ่มนี้อาศยั อยู่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน และมีผลสัมฤทธิ์ใกล้เคียงกัน เคร่ืองมือที่ใช้ใน การศึกษาค้นคว้าไดแ้ ก่ 1) แผนการจดั การเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมอื เทคนคิ STAD กล่มุ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ เร่อื ง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 9 แผน 2) บัตรกิจกรรมคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร วชิ าคณติ ศาสตร์พื้นฐาน ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 จานวน 9 ชดุ และ 3) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง เรื่อง สมการเชิงเส้นสองตวั แปร ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ผูว้ ิจัยสรา้ ง แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นขึน้ เป็นข้อสอบปรนัย 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ สถิติทีใ่ ชใ้ น การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ เลขคณติ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และสถติ ทิ ่ีใช้ในการทดสอบ สมมตฐิ าน ใช้ t-test (Dependent Samples) ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดงั น้ี 1. ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง เร่ือง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ทเ่ี รยี นด้วย การจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ บบกลุ่มรว่ มมือ เทคนคิ STAD นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยท่ากับ 14.18 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 20 คะแนน โดยนกั เรยี นมีคะแนนพัฒนาการเฉลีย่ เทา่ กบั 3.51 คะแนน

2. ผลสัมฤทธท์ิ างการ เรอ่ื ง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ทเี่ รียนด้วยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD โรงเรียนเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เร่ือง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ที่เรียนด้วยการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD โรงเรียนเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถิต จังหวัด ชยั ภมู ิ สงู กว่าเกณฑร์ ้อยละ 70 อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 โดยสรปุ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุม่ ร่วมมือ เทคนิค STAD มปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผล สามารถนาไปพฒั นาทักษะทางคณติ ศาสตร์ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ให้มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงข้นึ ได้

กิตติกรรมประกาศ การศกึ ษาคน้ ควา้ คร้ังนสี้ าเร็จลลุ ว่ งได้ โดยไดร้ ับความกรุณาคณะครูโรงเรยี นเทพสถติ วิทยาทกุ ทา่ นท่ี ไดใ้ ห้ความอนเุ คราะหใ์ นการใหค้ าแนะนา ปรึกษา เสนอแนะแนวทางแก้ไข ผวู้ ิจัยจงึ ขอขอบคุณเปน็ อย่างสงู ไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบคุณ คณุ ครูคมสัน มณีศรี หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ท่ีให้ความชว่ ยเหลอื แนะนา และใหค้ วามสะดวกในการให้เข้าไปจดั เกบ็ ข้อมูลเป็นอยา่ งดี ขอขอบใจ นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1/1 โรงเรียนเทพสถติ วิทยา ท่ีเปน็ กลุ่มตวั อย่างในการจดั กิจกรรม การเรยี นการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ ท้ายที่สุดนี้ ผู้ศึกษาขอกราบขอบพระคุณคณุ พ่อ คณุ แม่ ท่ีกรณุ าอบรมส่งั สอนและเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี ในการดาเนนิ ชีวิต ประโยชนและคณุ ค่าของการศกึ ษาค้นคว้าฉบับนี้ผูว้ ิจยั ขอมอบความดดี ังกล่าแด่ครูอาจารย์ และบุคคลท่เี กยี่ วข้องทุกท่านท่ใี หค้ วามชว่ ยเหลือ สนบั สนนุ และใหค้ าแนะนา ทาใหผ้ ้วู ิจยั มีโอกาสได้ศกึ ษา และทาวิจยั จนประสบความสาเร็จดว้ ยดี มา ณ โอกาสน้ดี ้วย กรรณิกา ลกิ ลั ตา

บทที่ 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ การศึกษาเป็นหัวใจในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ดังแนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพและ การเรียนรใู้ นทุกระดบั และประเภทการศึกษา ตามแผนพัฒนาการศึกษาแหง่ ชาติฉบบั ปรับปรุง (พ.ศ. 2552-2559) ซ่ึงมีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสารถทั้งด้านการอ่านและการเขียนภาษาไทย และภาษาตา่ งประเทศ การคิดคานวณ คิดวิเคราะห์ แกป้ ัญหา คิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ รักกานอ่าน มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง แสวงหาความรู้และพัฒนาตนเองอย่างเน่ืองตลอดชีวิต มคี วามร้เู ชิงวชิ าการและสรรถนะทางวชิ าชีพ สามรถประกอบอาชีพและอยูร่ ่วมกบั ผู้อน่ื อย่างมีความสขุ (สานักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2553, หนา้ 17-18) คณิตศาสตร์มบี ทบาทสาคญั ย่งิ ต่อการพฒั นาความคิดมนุษย์ ทาใหม้ นษุ ย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมเี หตุผล เปน็ ระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะหป์ ัญหาหรือสถานการณไ์ ดอ้ ย่างถีถ่ ว้ นรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตดั สนิ ใจ แก้ปัญหา และนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม นอกจากน้ี คณิตศาสตร์ยังเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์ อนื่ ๆ คณติ ศาสตรจ์ งึ มีประโยชน์ต่อการดาเนินชวี ติ (สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. 2553 : 1) คณติ ศาสตร์จึงมคี วามสาคัญต่อชีวติ ความเป็นอยู่ของมนุษยท์ งั้ ทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะ อย่างย่ิงในสังคมปัจจุบัน ความรเู้ กีย่ วกับคณิตศาสตร์กย็ ิ่งเพิ่มความสาคัญมากขึ้น เพราะสภาพทาง สังคมในปจั จุบันเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเรว็ และต่อเน่ือง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการส่ือสารข้อมูลต่างๆ สามารถหาได้อย่างรวดเร็วและไม่มีข้อจากัด การพัฒนาคุณภาพของ มนุษย์ วิทยาการสาขาวิชาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ ตลอดจน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต้องอาศัยความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน ความสาคัญของวชิ า คณิตศาสตร์จึงถือได้ว่าเป็นวิชาพ้ืนฐานในการศึกษาวิชาต่างๆหลายสาขา การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ รวมท้ังการแก้ปัญหาท้ังในชีวิตประจาวันและด้านอ่ืนๆ ก็ต้องอาศัยคณิตศาสตร์เป็นพ้ืนฐานท้ังส้ิน ดงั ท่ี กระทรวงศึกษาธิการ (2551:1) ได้กล่าววา่ บทบาทคณิตศาสตร์มีสองดา้ น ดา้ นแรกคณติ ศาสตร์ มฐี านะเป็นบทบาทพน้ื ฐาน กล่าวคอื ทาใหค้ นที่มีพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์สามารถเรยี นรเู้ ร่อื งต่างๆ ได้กว้างและลึกซ้ึง คณิตศาสตร์เป็นความรู้ที่สนับสนุนความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ คือ ผลต้องเกิด จากเหตุ ด้านทส่ี อง เป็นด้านที่เกี่ยวข้องกบั การพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศในแง่การเรียนรู้ และการ ประยกุ ต์ใช้ คณิตศาสตรย์ ังชว่ ยเสรมิ สรา้ งความเจริญงอกงามของจิตใจและความร้สู กึ อันละเอยี ดอ่อน ของมนษุ ย์ ฝกึ ใหผ้ ้เู รยี นมรี ะเบียบแบบแผน เน้อื หาในวิชาคณิตศาสตร์มคี วามกลมกลืน แต่ละส่วน จะเติบโตจากสงิ่ ท่ีมีอยู่ก่อน นอกจากนี้

2 คณิตศาสตร์เป็นวิชาทชี่ ่วยสร้างคุณลักษณะที่สาคัญหลายอย่างในตัวคน เช่น ความมีสมาธิ ความ แมน่ ยา ความมเี หตุผล การตัดสนิ ใจที่ถูกต้อง คุณลกั ษณะเหล่านม้ี คี วามจาเปน็ ต่อการดารงชวี ติ ของ มนษุ ย์ สอดคลอ้ งกบั ชมนาด เชอ้ื สวุ รรณทวี (2542 : 1) กล่าววา่ คณิตศาสตร์ เปน็ วิชาท่ชี ว่ ยพัฒนา กระบวนความคิดของคนใหร้ ู้จกั คิดเป็น คดิ อย่างมีเหตผุ ล มรี ะบบข้นั ตอนในการคดิ และยงั ช่วยสรา้ ง เสริมคุณลักษณะท่ีสาคัญ มีความจาเป็นในการดารงชีวิต เช่น ความเป็นผู้มีเหตุผล มีลักษณะนิสัย ละเอยี ด สุขุม รอบคอบ อีกท้ังเป็นพื้นฐานในการศึกษาสาขาอนื่ ต่อไป วิชาคณิตศาสตร์ ถอื ไดว้ ่าเปน็ เครอ่ื งมือที่จาเปน็ ท่สี ดุ สาหรบั ทกุ คนในโลกปจั จุบัน โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในระบอบประชาธปิ ไตย จะต้องมี การตัดสนิ ใจอยา่ งฉลาด สามารถแยกความแตกตา่ งระหว่างความสมเหตสุ มผล กับความไม่สมเหตุสมผลได้ สามารถอภิปรายปัญหาต่างๆ และประเมินผลได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนหาได้จากวิชาคณิตศาสตร์ท้ังสิ้น การจัดการศึกษาที่ดีจะต้องคานึงถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันใน ด้านต่างๆ ได้แก่ เชาวน์ปัญญา บุคลิกภาพ ความคิดสร้างสรรค์และพฤติกรรมอื่น ๆ การจัดการ เรียนการสอน จงึ มุง่ ใหเ้ กิดการเรียนรทู้ งั้ ด้านความเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคติไปพรอ้ มๆ กัน ในระบบ การเรยี น ผเู้ รียนควรเปน็ ผู้แสดงออกมากกวา่ ผูส้ อน การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนควรใหผ้ เู้ รยี น มีโอกาสได้แสดงออกมากท่ีสุด ให้ความสาคัญกับความรู้สกึ นึกคิด และค่านิยมของผู้เรียน การจัด บรรยากาศในการเรียน ควรเป็นแบบร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน ครูทาหน้าท่ีช่วยเหลือให้กาลังใจ และอานวยความสะดวกในขบวนการเรยี นของผเู้ รียนการจดั การ เรียนรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั ตาม แนวทางการจดั การเรยี นรู้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติพ.ศ. ๒๕๔๒ มเี ทคนิคและวธิ ีการศึกษา คน้ คว้า (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 6-7) ส่ือการเรยี นการสอนนัน้ มีความสาคัญต่อการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรูใ้ ห้กบั ผู้เรียน เพราะ ส่อื การสอนทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก ช่วยเพม่ิ พูนประสบการณ์ สร้างสถานการณ์ การเรียนรใู้ ห้แกผ่ ู้เรยี น กระตุ้นให้เกดิ การพัฒนาศกั ยภาพทางการคิด นอกจากนัน้ ส่ือการเรยี นรูใ้ นยคุ ปจั จบุ ันยงั มีอิทธิพลสูงต่อการกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นกลายเป็นผูแ้ สวงหาความรู้ด้วยตนเอง (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 6) จากผลการศึกษาระดับชาติพบวา่ เด็กไทยมผี ลการเรยี นคณิตศาสตรต์ ่าทุกปี จึงสารวจความเหน็ เก่ียวกับสาเหตทุ ่ีเด็กไทยอ่อนคณิตศาสตร์ ว่าสาเหตุที่เด็กไทยอ่อนคณติ ศาสตร์เน่ืองมาจากองค์ประกอบ ดงั นีส้ าเหตุที่เด็กไทยอ่อนคณิตศาสตร์ เกิดจากนักเรยี นไมช่ อบคิด ไมช่ อบแก้ปัญหา ขาดการฝกึ ฝนและ ทบทวนด้วยตนเองอย่างสมา่ เสมอ ผู้ปกครองมีการศึกษาน้อยก็มีส่วนที่เป็นสาเหตุที่ทาให้เด็กไทย ออ่ นคณิตศาสตร์ นอกจากน้สี ่ือการสอนและเครือ่ งอานวยการสอนไม่เพียงพอ และครูก็เป็นส่วนหนึง่ ทีเ่ ป็นสาเหตุทาใหน้ ักเรียนมีผลการเรียนทางคณติ ศาสตร์ตา่ เช่น ครูสอนไม่ดี อธิบายไมร่ เู้ รอื่ ง ครูดุ เจา้ อารมณ์ ครไู ม่เขม้ งวดในการทาการบา้ น ครูไม่อดทนท่จี ะอธบิ ายให้เด็กเข้าใจ ครไู ม่ใช้สื่อการสอน เพ่ือช่วยให้เด็กเข้าใจ ครูใหน้ ักเรยี นอ่านเองสรุปเองแล้วมาสอบ วธิ สี อนของครูไม่น่าสนใจ ครูมีความรู้ไม่ ดี ครไู ม่จบสาขาวิชาคณิตศาสตร์โดยตรง ครไู มเ่ ปิดใจกวา้ งใหน้ กั เรียนตอบอย่างอิสระ ครสู อนโดยไม่ เนน้ การคดิ แก้ปญั หาและไมเ่ นน้ การนาไปใช้ในชีวติ จรงิ ครูมภี าระงานท่ีรบั ผดิ ชอบในโรงเรียนมากไป เป็นเหตุใหเ้ ด็กไทยอ่อนคณติ ศาสตร์ จากการศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ า คณิตศาสตร์ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนเทสถติ วทิ ยา พบว่า มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นค่อนข้างตา่ และจากการสอนพบว่านกั เรยี น

3 สว่ นใหญจ่ ดจาบทเรยี นท่เี คยเรยี นมาแล้วไม่ค่อยได้ และขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะทางด้าน การคิดคานวณ ผู้วิจัยจึงได้ ใช้แบบฝึกทักษะมาช่วยในการเรียนการสอนเป็นวิธีหนึ่งท่ีทาให้นักเรียน สามารถพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรยี นให้สงู ข้ึนได้ เพราะแบบฝึกเสริมทกั ษะทาให้เกิด การเรยี นรจู้ ากการกระทาจริง เป็นประสบการณ์ตรงท่ผี ู้เรียนมีจดุ ประสงค์แน่นอน ทาให้สามารถรู้ และจดจาสงิ่ ทเ่ี รียนไดด้ ี จนนาไปใชใ้ นสถานการณ์เช่นเดยี วกันหรอื ต่อยอดได้ ดว้ ยเหตนุ ้ีผ้วู ิจัยจงึ ไดจ้ ดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกลมุ่ รว่ มมือ เทคนคิ STAD เรอื่ ง สมการเชงิ เส้นสองตัวแปร เพ่ือเสริมทักษะด้านการคิดคานวณ และเพิ่มศกั ยภาพการเรียนรวู้ ชิ าคณิตศาสตร์ให้กับ ผูเ้ รียนเพอื่ ใช้เปน็ หนึ่งในยุทศาสตรก์ ารพฒั นาการเรียนรวู้ ชิ าคณติ ศาสตร์ให้มีประสทิ ธภิ าพย่ิงข้ึน วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย 1. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนเทพสถิตวิทยา เร่ืองสมการเชิงเสน้ สองตัวแปร โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD ก่อนเรยี น และหลงั เรียน 2. เพื่อเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นคณิตศาสตร์ เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของ นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกล่มุ ร่วมมือ เทคนิค STAD ก่อนเรยี น และหลงั เรยี น 3. เพื่อเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD กับ เกณฑร์ ้อยละ 70 ความสาคญั ของการวิจัย 1. ทาให้ทราบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของ นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โดยการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบกลุม่ รว่ มมือ เทคนิค STAD 2. ทาใหท้ ราบความแตกต่างของผลผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นคณิตศาสตร์ เร่ืองสมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 3. เป็นแนวทางแก่ครูผู้สอนในการนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD ไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตรใ์ ห้เกิดประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขน้ึ ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร ประชากรไดแ้ ก่ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรียน เทพสถติ วทิ ยา อาเภอเทพสถิต จงั หวัดชัยภมู ิ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษานครราชสมี า เขต 30 จานวน 165 คน

4 2. กล่มุ ตัวอยา่ ง กลมุ่ ตวั อยา่ ง ได้แก่ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาท่ี 1 / 1 โรงเรยี นเทพสถติ วิทยา อาเภอเทพ สถิต จงั หวดั ชยั ภมู ิ สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษานครราชสมี า เขต 30 ที่กาลังเรยี นใน ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2560 จานวน 1 ห้องเรียน จานวน 34 คน 3. ตวั แปรที่ศึกษา 3.1 ตัวจดั กระทา ตวั แปรต้น ได้แก่ การจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบกล่มุ ร่วมมอื เทคนคิ STAD 3.1 ตวั แปรทศ่ี ึกษา ตวั แปรตาม ได้แก่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 4. เนื้อหาทใ่ี ช้ในการทดลอง เนอ้ื หาท่ใี ชใ้ นการทดลอง ไดแ้ ก่ เน้ือหาวชิ าคณิตศาสตรข์ องชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรอื่ งสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ตามหลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นร้คู ณติ ศาสตร์ โรงเรยี นเทพสถิต วิทยา 5. ระยะเวลาการทดลอง ระยะเวลาท่ใี ช้ในงานวิจัยครง้ั นี้ ดาเนนิ การในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 โดยใช้ เวลาท้งั หมด 20 ชว่ั โมง โดยแบง่ ดังนี้ 5.1 ใชเ้ วลาในการเรียนตามเนือ้ หา 18 ช่วั โมง 5.2 ใชเ้ วลาในการทดสอบกอ่ นเรียน จานวน 1 ชั่วโมง 5.3 ใช้เวลาในการทดสอบหลังเรียน จานวน 1 ชว่ั โมง กรอบแนวคดิ ในการวิจัย การวจิ ยั ในครั้งนี้ ผูว้ ิจัยสนใจจะศกึ ษาปัจจัยด้านการจัดการเรียนการสอน โดยการจัดกจิ กรรม การเรยี นรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องสมการเชิงเส้นสองตวั แปร ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 วา่ มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน โดยมีกรอบแนวคิดดงั น้ี ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ตัวจัดกระทา ตัวแปลทศ่ี กึ ษา การเรียนการสอนโดยการจดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนคณติ ศาสตร์ กจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบกลุ่ม เรอื่ งสมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ร่วมมือ เทคนิค STAD สมมติฐานการวิจัย 1. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชงิ เส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนคิ STAD หลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียน

5 2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นคณติ ศาสตร์ เรอื่ งสมการเชงิ เส้นสองตัวแปร ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ก่อนเรยี นและหลังเรียนโดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบกลมุ่ ร่วมมือ เทคนิค STAD หลงั เรยี นสูงกวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. การเรียนแบบกลมุ่ รว่ มมอื เทคนิค STAD หมายถึง การเรียนรแู้ บบรว่ มมอื อีกรูปแบบหน่ึง คลา้ ยกับเทคนคิ TGT ที่แบ่งผู้เรียนท่มี ีความสามารถแตกตา่ งกันออกเป็นกลุม่ เพื่อทางานร่วมกนั กลุม่ ละประมาณ 4-5 คน โดยกาหนดให้สมาชกิ ของกลุ่มไดเ้ รยี นรู้ในเนื้อหาสาระที่ผู้สอนจดั เตรียมไวแ้ ลว้ ทาการทดลองความรู้ คะแนนที่ได้จากการทดสอบของสมาชิกแต่ละคนนามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีม ผูส้ อนจะตอ้ งใชเ้ ทคนิคการเสริมแรง เชน่ การให้รางวัล คาชมเชย เป็นต้น ดงั นัน้ สมาชกิ กลมุ่ จะต้องมี การกาหนดเปา้ หมายรว่ มกนั ช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกัน เพือ่ ความสาเรจ็ ของกลุ่ม 2. นกั เรยี น หมายถงึ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาที่ 1 / 1 โรงเรียนเทพสถติ วิทยา อาเภอเทพสถิต จงั หวัดชัยภูมิ สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา เขต 30 ทีก่ าลังเรยี นในภาคเรยี น ที่ 2 ปีการศึกษา 2562 3. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น หมายถึง คะแนนท่ีไดจ้ ากการทาแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรียนทีผ่ ู้วิจัยสรา้ งขน้ึ หลังจากท่นี กั เรยี นได้เรยี นจบแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ วชิ าคณิตศาสตร์ เร่อื ง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1/1 โรงเรยี นเทพสถติ วิทยา อาเภอเทพสถติ จงั หวัดชยั ภูมิ สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษานครราชสีมา เขต 30 4. เกณฑ์ร้อยละ 70 หมายถึง ค่าคะแนนร้อยละ 70 ของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซ่ึงกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของโรงเรียนเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษานครราชสมี า เขต 30

6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง การศึกษาค้นควา้ อิสระการพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ แบบร่วมมือ เทคนิค STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการกาลังสองตวั แปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษาเอกสารและงาน ท่เี ก่ยี วข้อง ดงั ต่อไปน้ี 1. หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ 2. หลกั การสอนคณิตศาสตร์ 3. การเรียนรู้แบบรว่ มมือ 4. การเรียนรแู้ บบกลมุ่ ร่วมมอื เทคนคิ STAD 5. แผนการจดั การเรียนรู้ 6. งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง 6.1 งานวจิ ยั ในประเทศ 6.2 งานวิจยั ต่างประเทศ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ จากหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ผู้ศึกษา ค้นคว้าได้ศึกษาถึง วิสัยทัศน์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้และคุณภาพนักเรียน พอสรุปได้ดังน้ี (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 4 – 41) หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน ม่งุ พฒั นานักเรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ ทม่ี คี วามสมดลุ ทงั้ ด้านรา่ งกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดม่ันใน การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมทัง้ เจตคติ ท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นนักเรียนเป็น สาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 กาหนดสาระการเรียนรู้หลักที่จาเป็นสาหรับนักเรียนทุกคน ประกอบด้วยเน้ือหาวิชาคณิตศาสตร์และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนควรบูรณาการสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกันเท่าท่ีจะเป็นไปได้ สาระที่เป็นองค์ความรู้ของกลุ่มสาระ คณติ ศาสตร์ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 1 จานวนและการดาเนินการ มาตรฐาน ค 1.1 : เขา้ ใจถงึ ความหลากหลายของการแสดงจานวนและการใช้ จานวนในชีวติ จริง มาตรฐาน ค 1.2 : เข้าใจถึงผลท่เี กิดข้นึ จากการดาเนนิ การของจานวนและความสมั พนั ธ์ ระหว่างการดาเนนิ การตา่ ง ๆ และสามารถใช้การดาเนนิ การในการแกป้ ัญหาได้ มาตรฐาน ค 1.3 : ใช้การประมาณคา่ ในการคานวณและแก้ปัญหาได้ 1. เขา้ ใจเกี่ยวกับการประมาณคา่ และนาไปใช้แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

7 2. หารากทส่ี อง และหารากทสี่ ามของจานวนจรงิ โดยการประมาณ การเปดิ ตาราง หรือใชเ้ คร่อื งคานวณ และนาไปแกป้ ัญหาได้ มาตรฐาน ค 1.4 : เขา้ ใจในระบบจานวนและสามารถนาสมบัตเิ กยี่ วกับจานวน ไปใชไ้ ด้ สาระท่ี 2 การวดั มาตรฐาน ค 2.1 : เข้าใจเกี่ยวกับพืน้ ฐานเกี่ยวกบั การวัด มาตรฐาน ค 2.2 : แก้ปัญหาเกีย่ วกบั การวัดได้ ใช้ความรเู้ กยี่ วกับความยาว พนื้ ท่ี พ้ืนท่ีผิว และปริมาตร ในการแกป้ ญั หาในสถานการณต์ า่ ง ๆ ได้ สาระท่ี 3 เรขาคณติ มาตรฐาน ค 3.1 : อธบิ ายและวิเคราะหร์ ปู เรขาคณติ สองมิติและสามมติ ิได้ มาตรฐาน ค 3. 2 : ใช้การนึกภาพ (Visualization) ใชเ้ หตุผลเกย่ี วกบั ปริภมู ิ(Spatial Reasoning) และใช้แบบจาลองทางเรขาคณิต (Geometric Model) ในการแก้ปัญหาได้เข้าใจเก่ียวกับสมบัติ ของความเทา่ กนั ทกุ ประการและความคลา้ ยของรปู สามเหล่ยี ม สาระที่ 4 พีชคณติ มาตรฐาน ค 4.1 : เข้าใจวิเคราะหแ์ บบรูป (Pattern) ความสมั พันธ์และฟงั กช์ นั ตา่ ง ๆ มาตรฐาน ค 4.2 : ใชน้ ิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และแบบจาลองทางคณติ ศาสตรอ์ น่ื ๆ แทนสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนแปลความหมายและนาไปใชแ้ กป้ ัญหาได้ สาระท่ี 5 การวิเคราะห์ขอ้ มลู และความนา่ จะเป็น มาตรฐาน ค 5.1 : เข้าใจและใชว้ ธิ กี ารทางสถิติในการวิเคราะหข์ อ้ มูลได้ มาตรฐาน ค 5. 2 : ใชว้ ธิ ีการทางสถติ แิ ละความรูเ้ กย่ี วกับความน่าจะเป็นในการคาดการณ์ ไดอ้ ยา่ งสมเหตุสมผล มาตรฐาน ค 5. 3 : ใชค้ วามรู้เก่ยี วกบั สถิติและความน่าจะเป็นชว่ ยในการตดั สนิ และแก้ปัญหา ได้ สาระที่ 6 กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ มาตรฐาน ค 6.1 : มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหา การใหเ้ หตผุ ล การสื่อสาร การส่อื ความหมาย ทางคณิตศาสตร์ และการนาเสนอ การเชื่อโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และเช่ือมโยงกับ ศาสตรอ์ ืน่ ๆ และมคี วามคิดสร้างสรรค์ คณุ ภาพของผูเ้ รยี นเม่ือจบชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 1. มีความคิดรวบยอดเก่ียวกับจานวนจริง มีความเข้าใจเก่ียวกับอัตราส่วน สัดส่วน ร้อยละ เลขยก กาลังท่ีมีเลขชี้กาลังเป็นจานวนเต็ม รากที่สองและรากที่สามของจานวนจริง สามารถคานวณเกี่ยวกับจานวน เต็ม เศษส่วน ทศนิยม เลขยกกาลัง รากท่ีสองและรากท่ีสามของจานวนจริง และสามารถนาความรู้เก่ียวกับ จานวนไปใช้ในชวี ติ จริงได้ 2. มีความร้คู วามเขา้ ใจเกีย่ วกบั พื้นทผี่ ิวของปริซึม ทรงกระบอก และปริมาตรของปริซึม ทรงกระบอก พีระมิด กรวย และทรงกลม เลือกใช้หน่วยการวัดระบบต่าง ๆ เกี่ยวกับความยาว พ้ืนที่และปริมาตรได้อย่าง เหมาะสม พรอ้ มทงั้ นาความรเู้ กี่ยวกบั การวัดไปใชจ้ รงิ ได้ 3. สามารถสร้างและอธิบายขั้นตอนการสร้างรูปเรขาคณิตสองมิติโดยใช้วงเวียนและสันตรง อธิบาย ลักษณะและสมบตั ขิ องรปู เรขาคณิตสามมิติ ซง่ึ ไดแ้ ก่ ปรซิ ึม พรี ะมดิ ทรงกระบอก กรวย และทรงกลมได้

8 4. มคี วามเขา้ ใจสมบัตคิ วามเท่ากนั ทุกประการและความคล้ายของรูปสามเหลี่ยมเส้นขนาน ทฤษฎีบท ปีทาโกรัสและบทกลับ สามารถนาสมบัติเหล่านี้ไปใช้ในการให้เหตุผลและแก้ปัญหาได้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับ การแปลง (Transformation) ทางเรขาคณิตในเรื่องการเลื่อนขนาน(Translation) การสะท้อน (Reflection) และการหมนุ (Rotation) และนาไปใช้ได้ 5. สามารถนึกภาพและอธิบายลักษณะของรปู เรขาคณติ สองมิติและสามมติ ิได้ 6. สามารถวิเคราะห์อธิบายความสัมพันธ์แบบรูป สถานการณ์หรือปัญหาและสามารถใช้สมการเชิง เสน้ ตัวแปรเดียว ระบบสมการเชิงส้นสองตัวแปร อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดียวและกราฟในการแกป้ ัญหาได้ 7. สามารถกาหนดประเด็น เขียนข้อคาถามเกี่ยวกับปัญหาหรือสถานการณ์กาหนดวิธีการศึกษา เก็บ รวบรวมขอ้ มลู และนาเสนอแผนภมู ิรปู วงกลม หรือรูปอน่ื ที่เหมาะสมได้ 8. เข้าใจค่ากลางของข้อมูลในเร่อื งคา่ เฉลี่ยเลขคณติ มธั ยฐาน และฐานนยิ มของข้อมูลทย่ี ังไม่ได้แจก แจงความถี่ และเลอื กใชไ้ ด้อย่างเหมาะสม รวมท้ังใช้ความรู้พจิ ารณาข้อมลู ขา่ วสารทางสถติ ิ 9. เขา้ ใจเก่ยี วกบั การทดลองสุ่ม เหตกุ ารณ์ และความนา่ จะเปน็ ของเหตุการณ์สามารถใชค้ วามรู้ เกยี่ วกับความนา่ จะเป็นในการคาดการณ์และประกอบการตดั สนิ ใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ 10. ใชว้ ิธที ่หี ลากหลายในการแกป้ ัญหา ใช้ความรู้ ทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และใช้ เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสมให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และสรุปได้อย่างเหมาะสม ใช้ภาษาและสญั ลักษณท์ างคณิตศาสตรใ์ นการส่ือสาร การสื่อความหมาย และการนาเสนอได้อยา่ งถูกต้องชดั เชอื่ มโยงความรตู้ ่าง ๆ ในทางคณิตศาสตร์ และนาความรหู้ ลักการกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปเช่ือมโยงกับ สาสตร์อน่ื ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ สรุปเนื้อหาของกลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ รายวิชาคณติ ศาสตร์เพิม่ เติม ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ตามหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรยี นเทพสถิตวทิ ยา มเี น้อื หา ดังนี้ บทท่ี 1 การแยกตวั ประกอบพหนุ ามดีกรีสอง บทที่ 2 สมการกาลังสองตวั แปรเดียว บทท่ี 3 การแปรผนั ผู้ศึกษาคน้ คว้าเลอื กเน้อื หา เรอื่ ง สมการกาลังสองตัวแปรเดียว ซ่งึ อยู่ในสาระที่ 4 พีชคณิต ตาม มาตรฐาน ค 4.1 : เขา้ ใจวเิ คราะหแ์ บบรปู (Pattern) ความสัมพนั ธ์ และฟงั กช์ ันตา่ งๆ และ มาตรฐาน ค 4.2 : ใชน้ ิพจน์ สมการ อสมการ กราฟ และแบบจาลองทางคณติ ศาสตรอ์ ื่น ๆ แทนสถานการณต์ า่ ง ๆ ตลอดจนแปลความหมายและนาไปใช้แกป้ ัญหาได้ ผูศ้ กึ ษาจึงได้นาเนอ้ื หา มาจัดทาแผนการกิจกรรมการเรยี นรู้ ซึ่งมีเน้อื หาทงั้ หมด 6 แผน ดังนี้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ่ี 1 สมการกาลังสองตัวแปรเดยี ว แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 2 สมการกาลังสองตัวแปรเดียวรปู ท่วั ไป ax2 + bx + c = 0 เมือ่ a, b และ c เปน็ ค่าคงตวั ที่ a ≠ 0 แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูท้ ่ี 3 สมการกาลังสองตัวแปรเดยี วโดยใช้วิธีการแทน ค่าของตวั แปร แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ทู ี่ 4 สมการกาลังสองตวั แปรเดียวโดยใชว้ ธิ กี ารแยกตัว ประกอบดกี รสี อง แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ 5 สมการกาลังสองตัวแปรเดียวโดยการแก้สมการเชิงเส้น ตวั แปรเดยี ว

9 แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูท้ ี่ 6 โจทยป์ ญั หาเกีย่ วกับสมการกาลังสองตวั แปรเดียว หลกั การสอนคณิตศาสตร์ วิชาคณติ ศาสตรเ์ ป็นวิชา ทตี่ ้องมีความเกี่ยวขอ้ งกบั หลักการ และทฤษฎี ซง่ึ มีผู้ให้หลกั การสอนและ ทฤษฎี ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ จี่ ะใหเ้ กดิ ผลสูงสดุ กบั นักเรยี นไว้ดังนี้ อญั ชลี แจม่ เจรญิ และจาระไน เกษมศิริ (2526 : 53 – 54) ไดเ้ สนอแนวทางการสอนคณติ ศาสตรใ์ นระดับชั้นประถมศึกษา ดงั นี้ 1. ประสบการณท์ จี่ ัดให้นกั เรียนตอ้ งต่อเนือ่ งกับประสบการณแ์ ละความรเู้ ดมิ 2. การจัดสภาพการเรียนการสอน จะต้องคานึงถึงความเจริญเติบโต และพัฒนาการของนักเรียน ซ่ึงมี ความพร้อมและมาตรฐานทางการเรียนต่างกัน ผู้สอนจะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับ ความสามารถของนกั เรียน ซึ่งอาจจะแตกต่างกนั 3. การเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ให้นักเรียนก่อน เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้การสอนเป็น รายบคุ คลหรือเปน็ กลมุ่ จะชว่ ยให้นักเรียนมีความพร้อมวัย และความสามารถของแตล่ ะบคุ คล 4. คณติ ศาสตรม์ ีระบบท่ีจะต้องเรียนไปตามลาดับขั้น ความเข้าใจและทักษะพื้นฐานเบ้ืองต้นเป็นเรื่อง สาคัญ การสอนจะต้องช่วยใหน้ ักเรียนเกิดแนวความคิด เกดิ การเรยี นรแู้ ตล่ ะขัน้ ตอนเพอื่ ให้ได้แนวความคิดที่ไม่ ซับซ้อนหรือสับสน 5. นักเรียนระดับประถมศึกษาอยู่ในวัยอายุ 6-12 ปี จะเรียนได้ดีเม่ือเร่ิมเรียนด้วยของจริงหรือ อุปกรณ์ ซ่ึงมีลักษณะเป็นรูปธรรมแล้วนาไปสู่นามธรรมในภายหลัง ทั้งนี้เพ่ือให้เกิดความสัมพันธ์ใน แนวความคิด การจัดใหน้ กั เรยี นมกี ิจกรรมจากประสบการณ์ตรงอาจจะช่วยใหน้ ักเรยี นค้นพบและแก้ปัญหาได้ 6. การเรียนรู้จะเกิดผลดีถ้านักเรียนทางานร่วมกับผู้อ่ืน หรือมีส่วนร่วมในการคิดหากฎเกณฑ์ และใช้ ความคดิ ในการแก้ปญั หา 7. การมีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ รู้ความเป็นมาของคณิตศาสตร์ เห็นประโยชน์และ คุณค่า จะช่วยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้า อยากรู้และสามารถนาความคิดทางคณิตศาสตร์ไปใช้กับสถานการณ์ ตา่ ง ๆ อย่างกว้างขวาง 8. การประเมินผลการเรียนการสอน เป็นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็นส่วนหน่ึงของการเรียนการ สอน อาจใช้วิธีการตรวจผลงาน การจัดการแสดง แบบฝึกหัด ฯลฯ ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนรู้ข้อบกพร่องและ ความสามารถของตนเอง ยพุ ิน พิพิธกลุ (2530 : 49-50) ไดส้ รปุ หลกั การสอนคณติ ศาสตรไ์ วด้ ังนี้ 1. ควรสอนจากเรือ่ งง่ายไปสูเ่ ร่ืองยาก 2. เปล่ยี นจากรูปธรรมไปนามธรรม 3. สอนใหส้ มั พนั ธ์กับความคดิ เมื่อครูจะทบทวนเรื่องใด ก็ควรจะทบทวนให้รวบรวมเรื่องที่เหมือนกัน เขา้ เป็นหมวดหมู่ 4. เปลี่ยนวธิ กี ารสอนไม่ซ้าซ้อนนา่ เบือ่ หนา่ ย ครูควรสอนให้สนกุ สนานและนา่ สนใจ 5. ใชค้ วามสนใจของนักเรียนเปน็ จุดเรม่ิ ต้น เปน็ แรงดลใจท่จี ะเรียน 6. สอนใหผ้ ่านประสาทสัมผัส ครูอย่าพดู เฉย ๆ โดยไมใ่ ห้เหน็ ตัวอกั ษร 7. ควรจะคานงึ ถึงประสบการณเ์ ดิมและทักษะเดิมท่นี ักเรยี นมีอยู่ 8. เร่มิ สัมพนั ธ์กนั ก็ควรสอนไปพร้อมกนั 9. ใหน้ กั เรียนมองเหน็ โครงสรา้ งไมใ่ ช่เน้นแตเ่ นื้อหา 10. ไม่ควรเปน็ เรื่องยากเกนิ ไป

10 11. สอนให้นกั เรียนสรุปความคิดรวบยอดหรอื มโนมติ 12. ใหน้ กั เรยี นลงมือปฏิบัติในสง่ิ ทีท่ าได้ 13. ครูควรมีอารมณ์ขนั เพอ่ื ช่วยให้บรรยากาศในห้องเรยี นน่าเรยี นยง่ิ ข้ึน 14. ครูควรมีความกระตอื รอื รน้ และตน่ื ตัวอยเู่ สมอ 15. ครูควรหมั่นแสวงหาความร้เู พม่ิ เติม เพ่ือที่จะนาส่ิงแปลกและมาถา่ ยทอดให้ผเู้ รยี น จากท่ีนักการศึกษาได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าหลักการในการสอนคณิตศาสตร์เป็นส่ิงสาคัญมาก ของครูผู้สอน การจัดกิจกรรมการเรียนการเรียนรู้จะประสบผลสาเร็จก็ต่อเม่ือผู้สอนหรือผู้จัดกิจกรรมมี หลักการทด่ี ี มเี ทคนคิ ทดี่ ี ตลอดร้จู กั ทฤษฎใี นการสอน จึงจะทาให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน ไดบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ท่ตี ้งั ไว้ โสภณ บารงุ สงฆ์ (2530 : 22-23) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการสอนคณิตศาสตรท์ ่ีสาคัญไว้ คือ 1. ทฤษฎีการฝึกฝน ทฤษฎีนี้เน้นฝึกฝนให้ทาแบบฝึกหัดมาก ๆ ซ้า ๆ จนกว่าเด็กจะเคยชินกับวิธีการ นั้น เพราะเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวทาให้ผู้เรียนเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้ ฉะนั้นการสอนของครูจึงเริ่มต้นโดยครูให้ ตวั อยา่ ง บอกสตู รบอกกฎเกณฑแ์ ลว้ ให้นักเรยี นฝกึ ฝนทาแบบฝกึ หดั มาก ๆ จนชานาญ นักการศึกษาปัจจุบันยัง ยอมรับวา่ การฝึกฝนมีความจาเปน็ ในการสอนคณติ ศาสตร์ซ่ึงเป็นวิชาทักษะ แต่ทฤษฎีนี้ยังมีข้อบกพร่องหลาย ประการคือ 1.1 นกั เรยี นต้องจดจา ท่องกฎเกณฑ์ สูตร ท่ยี ุง่ ยาก 1.2 นกั เรียนไม่จดจาข้อเทจ็ จริงตา่ ง ๆ ทีเ่ รียนมาได้หมด 1.3 นักเรียนไมไ่ ด้เรยี นอย่างเข้าใจ จงึ เกิดความลาบาก สับสนในการคิดคานวณการ แก้ปญั หาและลมื ส่ิงที่เรยี นได้ง่าย 2. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยบังเอิญ ทฤษฎีนี้มีความเช่ือว่า เด็กจะเรียนรู้ได้ดีก็ต่อเมื่อมีความต้องการหรือ อยากรู้เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงเกิดขึ้นฉะนั้น กิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องจัดข้ึนจากเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนนั้น เกิดข้ึนในโรงเรียนหรือชุมชนซ่ึงนักเรียนได้ประสบกับตนเอง ส่วนข้อบกพร่องทางทฤษฎีน้ี คือเหตุการณ์ท่ี เหมาะสมในการจดั การเรยี นรู้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ดงั นัน้ การจดั การเรียนการสอนตามทฤษฎนี ้ีจะต้องไม่เกดิ ผล 3. ทฤษฎแี หง่ ความหมาย ทฤษฎนี ้ีเน้นตระหนักว่าการคิดคานวณกับการเป็นอยู่ในสังคมของเด็ก เป็น หัวใจสาคัญของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ และเช่ือว่านักเรียนจะเรียนรู้และเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ดี เม่ือได้ เรียนสิ่งท่ีมคี วามหมายตอ่ ตนเอง และเป็นเรื่องท่ีนกั เรียนได้พบเห็น ดงั น้ี 3.1 การสอนเรือ่ งใหมแ่ ต่ละครง้ั ควรใชข้ องจรงิ ประกอบการสอน เพ่อื ให้นักเรียนมองเหน็ ขน้ั ตอนตา่ ง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง 3.2 ใหโ้ อกาสนกั เรยี นไดแ้ สดงวธิ กี ารคิดคานวณของนักเรยี นเอง และควรใหน้ กั เรียน ชใี้ หเ้ หน็ ความยาก ตลอดจนขอ้ แตกตา่ งระหว่างเรื่องทเี่ รยี นใหม่กบั เร่ืองที่เรียนมาแลว้ 3.3 ให้นักเรยี นได้ใชค้ วามหมายของตนเองในการคน้ หาคาตอบ โดยใช้ความรทู้ ีม่ อี ยู่เป็น เครอื่ งมอื ในการคดิ 3.4 ควรใช้โสตทัศนูปกรณป์ ระกอบการสอนในข้นั ตอนต่าง ๆ 3.5 ใหน้ กั เรยี นทาแบบฝกึ หัดท่ีเกยี่ วกบั เร่ืองทีเ่ รยี นใหม่ พร้อมทง้ั อธิบายถึงวิธกี ารคดิ คานวณและวิธกี ารตรวจคาตอบดว้ ย 3.6 การฝกึ ฝนใหเ้ กิดทกั ษะนัน้ เปน็ สง่ิ ทตี่ ้องการ แต่ควรฝึกหลังจากท่นี ักเรยี นเข้าใจวธิ ี

11 นัน้ ๆ เปน็ อย่างดแี ล้ว 3.7 ควรสอนซา้ ในเร่อื งทนี่ กั เรียนไมเ่ ขา้ ใจจนกวา่ นกั เรียนเข้าใจและทาได้ถูกต้อง 3.8 ควรให้นกั เรียนนาความรทู้ ไ่ี ด้เรยี นมาแลว้ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน 3.9 ใหน้ ักเรยี นทาแบบฝึกหัดอยเู่ สมอ เพอื่ เป็นการฝกึ ทักษะในเรอ่ื งทเี่ รียนมาแลว้ จะเห็นได้ว่าในการเรียนการสอนกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ให้ได้รับความสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มี ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนสูงขนึ้ นั้น ครูต้องนาทฤษฎีการสอนคณิตศาสตร์มาใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ผู้เรยี น การเรียนรู้แบบรว่ มมือ ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษา ความหมายการเรียนรู้แบบร่วมมือ องค์ประกอบ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ แบบรว่ มมอื ประโยชนแ์ ละความสาคญั และรปู แบบการเรยี นรู้แบบรว่ มมือดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี 1. ความหมาย การเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื การเรียนรแู้ บบร่วมมอื น้นั ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ดงั น้ี สมคดิ สรอ้ ยน้า (2542 : 131) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่าเป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน ที่นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมมือกันในการทางานเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้ ช่วยเหลือและสนับสนุนความสาเร็จซ่ึงกันและกัน โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย 3-4 คน สมาชิกในกลุ่ม จะมีความแตกต่างกัน ทางด้านสติปัญญาและความสามารถ สมาชิกในกลุ่มจะปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้เกิด ความรูท้ ่วั กนั ท้ังกลมุ่ ดงั นนั้ ทกุ คนจะต้องช่วยเหลอื ตนเองและรบั ผิดชอบตนเองใหม้ าก สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2546 : 134) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า เป็น กระบวนการเรียนรู้ โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกัน ออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซ่ึงมีลักษณะการ รวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการทางานร่วมกัน มีการแลกเปล่ียนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพา อาศยั ซงึ่ กนั และกนั มคี วามรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ท้งั ในตนเอง สนอง อนิ ละคร (2544 : 116) ได้ใหค้ วามหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมอื วา่ เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนโดยแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มละ 4-6 คน ที่มีความสามารถคละกัน คือ มี นกั เรยี นเก่ง 1 คน นักเรียนปานกลาง 2-4 คน และนักเรียนอ่อน 1 คน นักเรียนทุกคนเรียนรู้และทากิจกรรม รว่ มกัน มกี ารปรึกษาหารือภายในกล่มุ ผลสาเร็จของนักเรียนแตล่ ะคนคือผลสาเรจ็ ของกลมุ่ จากความหมายของการเรยี นรู้แบบร่วมมือข้างต้นพอสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการจัดการ เรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนร่วมมือและช่วยเหลือกัน ในการเรียนรู้ และแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประกอบด้วยสมาชิกท่ีมีความสามารถต่างกัน ทางานร่วมกันเพ่ือเป้าหมายของกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มจะมี ปฏสิ มั พนั ธส์ ง่ เสริมซึ่งกนั และกนั มคี วามรับผิดชอบรว่ มกนั ท้งั ตนเองและสว่ นรวม มกี ารฝกึ ฝนและใช้ทักษะการ ทางานกลมุ่ รว่ มกัน ผลงานกลุ่มขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชกิ แต่ละคน 2. องคป์ ระกอบสาคญั ของการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 42-43) กล่าวว่าเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัด สภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกท่ีมี ความสามารถแตกต่างกันโดยแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จรงิ ในการเรยี นรูแ้ ละในความสาเรจ็ ของแต่ละกลุ่มท้ัง โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้รวมท้ังเป็นกาลังใจให้กันและกัน คนท่ีเรียน เก่งจะช่วยเหลือคนที่เรียนอ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเท่านั้น หากแต่

12 จะต้องรว่ มรบั ผิดชอบต่อการเรยี นร้ขู องเพอ่ื นสมาชิกทุกคนในกล่มุ ความสาเร็จของแต่ละบุคคลคือความสาเร็จ ของกลุ่ม ซ่ึงมีองคป์ ระกอบสาคญั ของการเรียนรู้แบบรว่ มมือ ดังน้ี 1. ประสบการณเ์ ป็นข้ันตอนที่ครผู ูส้ อนพยายามกระตุ้นให้ผูเ้ รยี นนาประสบการณเ์ ดิมของ ตนออกมาใชใ้ นการเรยี นและแบง่ ปันประสบการณ์ของตนกับเพ่ือน ๆ ท่ีอาจมีประสบการณ์คล้ายหรือแตกต่าง กนั 2. การสะทอ้ นความคิดและอภิปราย เปน็ ขัน้ ตอนทีผ่ เู้ รยี นไดม้ โี อกาสแสดงความคิดเหน็ และความรู้สึกของตนเองแลกเปล่ียนกับสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งครูผู้สอนจะเป็นผู้กาหนดประเด็นวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ถึงความคิด ความรู้สึกของผู้อื่นซ่ึงแตกต่างไปจากตนซ่ึงจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างข้ึน และผลของการสะท้อนความคดิ เห็นหรืออภปิ ราย จะทาให้ได้ข้อสรุปที่หลากหลาย และผู้เรียนได้เรียนรู้ทางาน เป็นทีม 3. ความเขา้ ใจและเกดิ ความคดิ รวบยอด เป็นขน้ั ตอนการสรา้ งความเขา้ ใจและนาไปสู่การ เกิดความคดิ รวบยอด อาจจะเกิดขน้ึ โดยผู้เรียนเป็นฝ่ายริเริ่มและครูช่วยเติมแต่งให้สมบูรณ์ หรือครูอาจนาทาง แลว้ ผ้เู รยี นสานตอ่ จนความคดิ นัน้ สมบรู ณ์เป็นความคดิ รวบยอดการทดลองหรือประยุกต์แนวคิด เป็นขั้นตอนท่ี ให้ผู้เรียนท่ีเกิดข้ึนใหม่ไปประยุกต์ใช้ในลักษณะหรือสถานการณ์ต่าง ๆ จนเกิดเป็นแนวทางปฏิบัติของผู้เรียน เอง สุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2546 : 134-135) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมี องคป์ ระกอบทีส่ าคญั ดังนี้ 1. การมีความสัมพนั ธ์เกีย่ วขอ้ งกนั ในทางบวก หมายถึงการทส่ี มาชิกในกล่มุ มกี ารทางาน อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการแข่งขัน มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกันมีบทบาทหน้าท่ีและ ประสบความสาเร็จร่วมกัน รวมทง้ั ได้รบั ผลประโยชนห์ รือรางวลั โดยเท่าเทยี มกัน 2. การปฏบิ ัติสัมพนั ธ์กันอย่างใกล้ชดิ ระหว่างกนั ทางานกลุม่ เป็นการเปดิ โอกาสให้ สมาชิกในกลุ่มแลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟังและมีการให้ ข้อมูลย้อนกลบั ซ่ึงกันและกัน 3. การตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน เปน็ กจิ กรรมท่ตี รวจเช็คหรอื ทดสอบให้มั่นใจว่าสมาชิกมีความรับผิดชอบต่องานกลุ่มหรือไม่ เพียงใด โดยสามารถที่จะทดสอบเป็น รายบุคคล เช่น การสงั เกต การทางาน การส่มุ ถามปากเปลา่ เป็นตน้ 4. การใชท้ ักษะระหวา่ งบุคคลและทกั ษะการทางานกล่มุ ในการเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื น้ี เพ่อื ใหง้ านกลุ่มประสบผลสาเร็จ ผู้เรียนควรจะได้รับการฝึกฝนทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่ม เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการเป็นผู้นา ทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหาและทักษะกระบวนการกลุ่ม เปน็ ตน้ 5. กระบวนการกลุ่ม เปน็ กระบวนการทม่ี ขี ้ันตอน ซง่ึ สมาชกิ แตล่ ะคนจะต้องทาความ เข้าใจในเป้าหมายการทางาน มีการวางแผน ดาเนินงานตามแผน ประเมินผลงานและปรับปรุงงานร่วมกัน องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ เป็นปัจจัยสาคัญที่จะช่วยให้งานกลุ่ม ประสบความสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงสมาชิกทุกคนจะต้องมีความมุ่งม่ันมีความสัมพันธ์และพ่ึงพาอาศัย ซึ่งกันและกนั อยา่ งจรงิ จงั ในการดาเนนิ กจิ กรรม จึงจะทาให้งานบรรลุเปา้ หมายท่ีกาหนดได้ 3. ขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบร่วมมือ

13 วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 35) ไดก้ ลา่ วถงึ ข้ันตอนการจัดการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื ไว้ 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ขนั้ เตรยี ม กจิ กรรมในขั้นเตรียมประกอบดว้ ย ครูแนะนาทักษะในการเรยี นรูร้ ว่ มกัน จะ จดั เป็นกลมุ่ ย่อยประมาณ 2-6 คน ครคู วรแนะนาเกีย่ วกับระเบยี บของกลุ่ม บทบาทหนา้ ท่ีของสมาชิกกลุ่ม แจ้ง วัตถุประสงค์ของบทเรียนและการทากิจกรรมร่วมกัน และการฝึกฝนทักษะพื้นฐานจาเป็นสาหรับการทา กจิ กรรมกลุ่ม 2. ขน้ั สอน ครนู าเขา้ สบู่ ทเรียน และแนะนาเนอ้ื หา แนะนาแหล่งขอ้ มลู และมอบหมายงาน ใหน้ ักเรียนแต่ละกลมุ่ 3. ขัน้ ทากจิ กรรมกลมุ่ นักเรยี นเรียนรู้รว่ มกันในกลุ่มยอ่ ย โดยทแ่ี ตล่ ะคนมีบทบาทตาม หน้าทต่ี ามท่ีได้รับมอบหมาย เปน็ ข้ันตอนทสี่ มาชกิ ในกลุ่มจะไดร้ ว่ มกนั รับผิดชอบต่อผลงานของกลมุ่ ในขั้นนี้ครูจะกาหนดให้นักเรียนใช้เทคนิคต่าง ๆ กัน เช่น Jigsaw, TGT, STAD,TAI, GT, LT, CIRC, Co-op- Co-op เป็นต้น เพราะเทคนิควิธีการแต่ละครั้งท่ีใช้จะต้องเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในกาเรียนแต่ละเร่ือง ใน การเรียนแต่ละคร้ังอาจต้องใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือหลาย ๆ เทคนิคประกอบกันเพื่อให้เกิด ประสิทธภิ าพในการเรยี น 4. ขัน้ ตรวจสอบผลงานและทดสอบ ในขนั้ น้ีเปน็ การตรวจสอบว่าผู้เรยี นไดป้ ฏบิ ัติหนา้ ท่ี ควรถว้ นแลว้ หรือยัง ผลการปฏิบัตเิ ป็นอย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลุ่มและรายบุคคล ในบางกรณีผู้เรียน อาจต้องซ่อมเสริมสว่ นทยี่ ังขาดตกบกพร่อง ตอ่ จากน้นั เปน็ การทดสอบความรู้ 5. ขน้ั สรปุ บทเรยี นและประเมนิ ผลการทางานกล่มุ ครูและผเู้ รยี นชว่ ยกนั สรุปบทเรียน ถ้ามี สิ่งท่ีผู้เรียนยังไม่เข้าใจครูควรอธิบายเพิ่มเติม ครูและนักเรียนช่วยกันประเมินผลการทางานและพิจารณาว่า อะไรคอื จุดเดน่ ของงานและอะไรคือสงิ่ ที่ควรปรบั ปรุงแก้ไข 4. ประโยชน์และความสาคัญของการเรยี นแบบร่วมมือ จากการท่นี กั การศกึ ษาจานวนมาก ไดน้ าเอาวิธีการในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือใน รูปแบบต่าง ๆ ไปปฏิบัติตามหลักการและข้ันตอนท่ีกล่าวมาแล้วนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงประโยชน์ และความสาคญั ของการเรียนแบบรว่ มมือไว้ดังนี้ สรุ ศักด์ิ หลาบมาลา (2531 : 5) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาคญั ของการเรียนแบบรว่ มมอื ไวด้ งั น้ี 1. เด็กเกง่ ที่เข้าใจคาสอนของครไู ด้ดี จะเปลี่ยนคาพูดของครูมาเป็นภาษาของเดก็ อธิบายให้ เพ่อื นไดฟ้ ัง ทาใหเ้ พอื่ นเขา้ ใจได้ดยี ่งิ ข้ึน 2. เด็กทาหนา้ ที่อธิบายบทเรียนให้เพ่ือนฟัง จะเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ขี ึน้ คือยงิ่ สอนย่ิงเข้าใจ บทเรียนไดด้ ียิง่ ขึน้ 3. การสอนเพื่อนเป็นการสอนแบบตวั ต่อตวั ทาให้เดก็ ได้รับความเอาใจใส่และมคี วาม สนใจมากขน้ึ 4. เด็กทกุ คนต่างกพ็ ยายามช่วยเหลือซงึ่ กันและกนั เพราะครคู ดิ คะแนนเฉล่ยี ของกลุ่มดว้ ย 5. เดก็ ทุกคนเขา้ ใจดวี า่ คะแนนของตนมสี ่วนช่วยเพมิ่ หรือลดคา่ เฉลีย่ ของกลุ่มดงั นัน้ ทกุ คน ต้องพยายามอยา่ งเตม็ ที่ จะคอยอาศยั เพ่อื นอยา่ งเดยี วไม่ได้ 6. เดก็ ทุกคนมีโอกาสฝึกทักษะทางสงั คม มหี ัวหนา้ กล่มุ มีผูช้ ่วย มีเพือ่ นรว่ มกล่มุ เป็นการ เรียนรู้วิธีการทา งานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากเมื่อเข้าสู่วงงานอันแท้จริงเม่ือโตเป็น ผใู้ หญ่แล้ว 7. เด็กไดม้ ีโอกาสเรียนรู้กระบวนการกลุม่ เพราะในการปฏิบัติงานรว่ มกันน้ัน ก็ต้องมีการ

14 ทบทวนกระบวนการทางานของกลุ่ม เพ่ือให้มปี ระสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานหรอื คะแนนของกลุ่มดีขึ้น 8. เดก็ เกง่ จะมบี ทบาททางสังคมมากข้ึน เขาจะรูส้ ึกว่าไดเ้ รียนหรือไม่ไปหลบทอ่ งหนงั สือ เฉพาะตน เขามีหนา้ ทต่ี ่อสงั คมด้วย 9. ในการตอบคา ถามในห้องเรยี น ถา้ หากตอบผิดเพ่ือนจะหัวเราะเมือ่ ทางานเปน็ ทีมเดก็ จะ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าหากตอบผิดถือว่าผิดท้ังทีม คนอื่น ๆอาจช่วยเหลือบ้าง ทาให้เด็กในทีมมีความ ผกู พันกนั มากขึน้ ชศู รี สนทิ ประชากร (2534 : 46-47) ได้ให้ความหมายถึงประโยชน์และความสาคัญของการเรียนแบบ รว่ มมอื ไวด้ ังนี้ 1. สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การเรยี นรูท้ ่ีดีขนึ้ และความรู้จะคงทนกวา่ 2. รู้จกั การใชเ้ หตผุ ลมากขึ้น มคี วามเข้าใจในเร่ืองนนั้ ลกึ ซ้งึ และมีความคิดสร้างสรรค์ มากกวา่ 3. มแี รงจูงใจท้งั ภายในและภายนอกทจี่ ะเรียนรมู้ ากขึน้ 4. สนใจในการทางานและลดความไม่เป็นระเบยี บวนิ ยั ของห้องเรียนลงได้มากเพราะทกุ คนทางานร่วมกัน 5. ไดร้ ับแนวความคดิ ความสามารถมากขน้ึ จากเพ่ือน 6. มีการยอมรับในความแตกตา่ งระหวา่ งเพอ่ื นในดา้ นต่าง ๆ เชน่ ลักษณะนสิ ัยเพศ ความสามารถ ระดับของสังคม และลกั ษณะแตกตา่ งอื่น ๆ ของเพอื่ น แม้กระทั่งสีผิวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเม่ือใช้ วิธีการน้ี จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความเข้าใจกันดีย่ิงข้นึ 7. มีการชว่ ยเหลอื สนับสนุนกันในด้านตา่ ง ๆ 8. มสี ุขภาพจิต การปรบั ตวั และการทางานในสถานทีท่ ่เี ป็นธรรมชาตดิ ไี ม่ตึงเครยี ด 9. ใช้ความสามารถของตนเองอย่างเตม็ ท่ีทจ่ี ะให้กบั เพ่ือน 10. มที ักษะทางดา้ นสงั คมมากขึน้ 11. มีทศั นคตทิ ี่ดีตอ่ ผสู้ อน 12. มที ัศนคติท่ีดมี ากข้ึนตอ่ การเรยี นวิชานน้ั และตอ่ เพื่อนรว่ มชน้ั 13. มีทัศนคตทิ ี่ดตี ่อโรงเรียน สรุปการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือไม่มีการแข่งขัน แต่ใช้แบบทดสอบแทน คือนักเรียนทุกคนต้องทา แบบทดสอบเก่ยี วกับเนื้อหาที่เรียน และจะมี คะแนนพิเศษ ให้ผู้เรียนคนที่ทาคะแนนได้ดีเพ่ิมข้ึนจากเดิมอย่าง มากในการสอบแต่ละคร้ังและจากการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีเทคนิควิธีการสอนหลายรูปแบบ คือปัจจัยสาคัญ ประการหนึ่งที่จะทาให้การจัดการเรียนการสอนประกอบความสาเร็จสามารถสร้างเสริมผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถ เจตคติและทักษะที่พึงประสงค์การใช้เทคนิควิธีการสอนท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับผู้เรียน จุดประสงค์การเรียนรู้และบริบทต่าง ๆจะบ่งช้ีถึงประสบการณ์และความเช่ียวชาญของครู ในด้านการจัดการ เรียนการสอน เนื่องจากเทคนิควิธีที่ดีและเหมาะสมจะนาไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมและแสดงบทบาทในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา ผู้ศึกษาค้นคว้าจึงได้ พิจารณาเลือกการใช้เทคนิค STAD และได้ศึกษารายละเอียดท่ีเกี่ยวข้องกับเทคนิคการสอนรูปแบบ STAD เพิม่ เติมดงั ต่อไปนี้ 5. รปู แบบหรือเทคนคิ การเรยี นร้แู บบร่วมมือ

15 การเรยี นรู้แบบร่วมมือมีเทคนิควิธีการสอนหลายรูปแบบ ซ่ึงมีรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยมใช้ ทัว่ ไปในปัจจบุ ันมี 8 รูปแบบ ดงั น้ี (สุรศกั ดิ์ หลาบมาลา. 2532 : 4) 5.1 Jigsaw ใช้สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3-6 สมาชิกในกลุม่ มี 6 คน ความรู้ ต่างกัน สมาชกิ แต่ละคนไปเรียนร่วมกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ ในหัวข้อที่แตกต่างกันออกไปแล้วทุกคนกลับมา กลุ่มของตนเองเพื่อสอนในส่ิงท่ีตนไปเรียนร่วมกับสมาชิกกลุ่มอ่ืน ๆการประเมินผลเป็นรายบุคคล แล้วรวม คะแนนของกลมุ่ เปน็ เทคนคิ ท่ีพัฒนาขน้ึ เพอื่ สง่ เสรมิ ความรว่ มมือและการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เทคนิคนีใ้ ชก้ ันมากในรายวิชาทผี่ ้เู รียนตอ้ งเรียนเนอ้ื หาวิชาจากตาราเรียน เชน่ สังคมศกึ ษา ภาษาไทย 5.2 Teams Games-Tournaments (TGT) เปน็ กิจกรรมท่เี หมาะกับการเรียนการสอนใน จุดประสงคท์ ต่ี อ้ งการให้กลุ่มศกึ ษาประเดน็ หรือปญั หาทมี่ คี าตอบถูกต้องเพยี งคาตอบเดียวหรือมีคาตอบถูกต้อง ชัดเจน เช่น การคานวณทางคณิตศาสตร์ การใช้ภาษา ภมู ิศาสตร์และทกั ษะการใชแ้ ผนท่แี ละความคิดรวบยอด ทางวทิ ยาศาสตร์ 5.3 Student Teams and Achievement Divisions (STAD) เทคนิคน้ีพัฒนาเพ่ิมเติมจาก TGT สมาชิกในกลุ่ม 4 คน ระดับสติปัญญาต่างกัน เช่น เก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คนและอ่อน 1 คน ครูกาหนด บทเรียนและงานของกลุ่มไว้ แล้วครูทาการสอนบทเรียนให้นักเรียนท้ังช้ัน แล้วให้กลุ่มทางานตามที่กาหนด นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพื่อนให้ถูกต้องก่อนนาส่งครู นักเรียนต่างคนต่าง ทาข้อสอบ แล้วนาคะแนนของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม ครูจัดลาดับของคะแนนทุกกลุ่มปิด ประกาศให้ทุกคนทราบ 5.4 Group Investigation (GI) เปน็ เทคนคิ เรียนเรียนแบบรว่ มมือทสี่ าคญั อกี เทคนคิ หนง่ึ เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนเพื่อเตรียมการทาโครงงานกลุ่ม หรือทางานที่ครูมอบหมาย ดังน้ันการใช้เทคนิคน้ีครู ควรฝึกทักษะการส่ือสาร ทักษะทางสังคมให้แก่ผู้เรียนก่อน เทคนิคน้ีเหมาะสาหรับการสืบค้นความรู้หรือ แก้ปัญหาเพอ่ื หาคาตอบในประเดน็ หรอื หัวข้อทส่ี นใจ เชน่ การเรยี นวชิ าชีววทิ ยาหรอื ส่งิ แวดล้อม 5.5 Learning Together (LT) สมาชิกในกลุ่มมี 4-5 คน ระดับความสามารถแตกต่างกันใช สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 -6 ครูทาการสอนทั้งชั้น เด็กแต่ละคนทางานตามท่ีครูมอบหมาย คะแนนของกลุม่ พิจารณาจากผลงานของกลุ่ม วธิ ีน้ีเป็นวิธีที่เหมาะกับการสอนวิชาที่มีโจทย์ปัญหา การคานวณ หรือการฝกึ ปฏบิ ัติการ 5.6 Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) เป็นตัวอย่างแนว ทางการนา เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือไปใช้เพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนภาษา สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพื้นฐานความรู้ เท่ากับ 2 คน อกี 2 คน กเ็ ท่ากันแตกตา่ งระดบั ความรกู้ ับ 2 คนแรก ครจู ะเรียกคู่ทม่ี ีความรู้เท่ากันจากทุกกลุ่ม มาสอน ให้กลับเข้ากลุ่มแล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอน คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบของ สมาชิกกลมุ่ เปน็ รายบุคคล 5.7 Co-op – Co-op เปน็ เทคนคิ ทีเ่ นน้ การร่วมมือกันทางานโดยสมาชกิ ของกลุม่ ที่มี

16 ความสามารถและความถนัดท่ีแตกตา่ งกนั ไดแ้ สดงบทบาทหนา้ ทที่ ่ตี นถนดั เต็มที่ ผู้เรียนเก่งได้ช่วยเหลือผู้เรียน ท่ีเรียนก่อน เป็นกิจกรรมเก่ียวกับการคิดระดับสูงทั้งการวิเคราะห์และสังเคราะห์ และเป็นวิธีการท่ีสามารถ นาไปใชส้ อนในวชิ าใดกไ็ ด้ 5.8 Team Assisted Individualization (TAI) กิจกรรมนี้เน้นการเรียนของผู้เรียนแต่ละ บคุ คล มากกว่าการเรียนรู้ในลักษณะกลุ่ม เหมาะสาหรับการสอนคณิตศาสตร์ การจัดกลุ่มการเรียนจะคล้ายกับ เทคนิค STAD และ TGT แต่ในเทคนิคนี้ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้และทางานตามระดับความสามารถของตน เมื่อทางานในส่วนของตนเสร็จแลว้ จงึ จะไปจับคหู่ รอื เขา้ กลุ่มทางาน การเรียนรูแ้ บบกลุ่มรว่ มมือมหี ลายรูปแบบ แตล่ ะรปู แบบมลี ักษณะเดน่ และลักษณะดอ้ ยท่ี แตกตา่ งกันไป ท่ีเหมือนกนั คอื แตล่ ะรูปแบบจะเปน็ การเรยี นรู้ท่ีแต่ละกลุ่มได้ลงมือศึกษาร่วมกัน สมาชิกแต่ละ กลุ่มให้ความสาคัญในการเรยี นรรู้ ่วมกนั และผ้ศู ึกษาค้นคว้าเลอื กใช้เทคนิค STAD เพราะเป็นวิธีที่เหมาะสมใน การจัดการเรียนการสอน การเรยี นแบบกลมุ่ รว่ มมือ เทคนคิ STAD ผูศ้ กึ ษาค้นคว้าได้ศึกษา ความหมาย และข้อดี การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 179) ได้ให้ความหมาย การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD ว่า หมายถึงกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีเทคนิคจะใช้การทดสอบรายบุคคลแทนการแข่งขัน โดยมีขั้นตอนของการ ดาเนนิ กจิ กรรมดังนี้ 1. ครนู าเสนอประเด็นหรือเนอ้ื หาใหม่ โดยอาจนาเสนอดว้ ยสอื่ ที่นา่ สนใจใช้ในการสอนโดยตรงหรือตั้ง ประเด็นให้ผู้เรยี นอภิปราย 2 จดั ผ้เู รียนเป็นกลุม่ ๆ ละ 4-5 คน ให้สมาชกิ มคี วามสามารถคละกนั มที งั้ ความสามารถสงู ปานกลาง และตา่ 3. แตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันศกึ ษาทบทวนเนอื้ หาทค่ี รูนาเสนอจนเขา้ ใจ 4. ผู้เรยี นทกุ คนในกลุ่มทาแบบทดสอบ (Quiz) เพือ่ วดั ความรู้ความเขา้ ใจในเนอ้ื หาทเี่ รยี น 5. ตรวจคาตอบของผเู้ รยี น นาคะแนนของสมาชิกทุกคนมารวมกันเปน็ คะแนนกลมุ่ 6. กลุ่มท่ีได้คะแนนรวมสูงสุด (ในกรณีท่ีแต่ละกลุ่มมีจานวนสมาชิกไม่เท่ากันให้ใช้คะแนนเฉลี่ยแทน คะแนนรวม) จะไดร้ บั คาชมเชยโดยอาจตดิ ประกาศไว้ทบ่ี อรด์ หรือปา้ ยนเิ ทศของหอ้ งเรยี น สุวิทย์ คามูล และอรทัย คามูล (2546 : 170-174) ซึ่งได้กล่าวถึงความหมายวัตถุประสงค์ และ รปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เทคนิค STAD ไวด้ งั นี้ 1. ความหมาย การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค STAD เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกรูปแบบหนึ่งคล้ายกับเทคนิค TGT ท่ีแบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันออกเป็นกลุ่มเพ่ือทางานร่วมกันกลุ่มละประมาณ 4-5 คน โดย กาหนดให้สมาชิกของกลุ่มได้เรียนรู้ในเน้ือหาสาระที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้วทาการทดลองความรู้ คะแนนที่ได้ จากการทดสอบของสมาชิกแต่ละคนนามาบวกเป็นคะแนนรวมของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง

17 เช่น การให้รางวัล คาชมเชย เป็นต้น ดังนั้นสมาชิกกลุ่มจะต้องมีการกาหนดเป้าหมายร่วมกันช่วยเหลือซึ่งกัน และกนั เพือ่ ความสาเร็จของกลมุ่ 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพ่ือส่งเสรมิ ใหผ้ ้เู รียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง 2.2 เพ่ือส่งเสริมใหผ้ ้เู รียนฝกึ ทักษะกระบวนการทางสงั คม เชน่ ทกั ษะกระบวนการกลุ่ม ทักษะการเปน็ ผ้นู า และฝกึ ความรบั ผดิ ชอบ 2.3 การทดสอบย่อย สมาชกิ หรอื ผ้เู รียนทุกคนทาแบบทดสอบยอ่ ยเปน็ รายบุคคลหลงั จาก เรยี นรู้หรือทากิจกรรมแล้ว 2.4 คะแนนพฒั นาการของผูเ้ รยี น เป็นคะแนนการพฒั นาหรอื ความกา้ วหนา้ ของสมาชกิ แต่ ละคน ซึ่งผ้สู อนและผเู้ รียนอาจร่วมกนั กาหนดคะแนนการพัฒนาเปน็ เกณฑ์ขึน้ มากไ็ ด้ 2.5 การรบั รองผลงานและเผยแพรช่ ่อื เสียงทมี เปน็ การประกาศผลงานทมี เพอ่ื รับรองและ ยกยอ่ งชมเชยในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ ปิดประกาศ ให้รางวัล ประกาศเสยี งตามสาย เป็นต้น 3. ขั้นตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 3.1 ข้นั เตรยี มเน้ือหา ประกอบดว้ ย 3.1.1 การเตรียมเน้ือหาสาระ ผ้สู อนจัดเตรยี มเนอื้ หาสาระหรือเรอ่ื งที่จะให้ผ้เู รยี น ได้เรียนรู้ เป็นเนื้อหาใหม่โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนศึกษา เรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งสื่อ วัสดุอุปกรณ์หรือแหล่ง การเรยี นรู้ ใบความรู้ ใบงาน เปน็ ตน้ 3.1.2 การจดั เตรยี มแบบทดสอบย่อย เช่น ขอ้ สอบ กระดาษคาตอบเกณฑก์ ารให้ คะแนน เปน็ ต้น 3.2 ขน้ั จดั เตรยี ม ผสู้ อนจัดทมี ผู้เรียนโดยใหค้ ละกนั ท้งั เพศและความสามารถ ทมี ละประมาณ 4-5 คน เช่น ทีมที่มีสมาชิก 4 คน อาจประกอบด้วยชาย 2 คน หญิง 2 คน เป็นคนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน อ่อน 1 คน เปน็ ตน้ โดยมีวิธีการจัดนกั เรียนเขา้ กลุ่มอาจทาไดด้ งั นี้ 3.2.1 จดั ลาดบั นกั เรยี นในช้ันจากเกง่ ทสี่ ุดไปหาออ่ นท่ีสุด โดยยดึ ตามผลการเรียน ที่ผ่านมา ซ่ึงอาจจะเป็นคะแนนจากการทดสอบ เกรด หรือการพิจารณาจากการตัดสินใจของครูเอง เป็น ส่วนประกอบ ครูอาจจะลาบากใจในการจดั ลาดับ แตก่ ็พยายามทาให้ดที ่ีสดุ เทา่ ที่จะทาได้ 3.2.2 หาจานวนกลุ่มทงั้ หมดว่ามกี ่ีกลมุ่ ควรประกอบดว้ ยสมาชิกประมาณ 5 คน ฉะนนั้ จานวนทง้ั หมดมกี ี่กลุ่มหาได้จากการหารจานวนนักเรียนท้ังหมดด้วย 5 ผลหารก็คือจานวนกลุ่มท้ังหมด ถ้าหารไม่ลงตัวอนโุ ลมให้บางกลมุ่ มีสมาชกิ 6 คน 3.2.3 กาหนดนกั เรยี นเขา้ กลุม่ แตล่ ะกลุ่มตอ้ งประกอบด้วยนักเรยี นท่ีมรี ะดับผล การเรียนจากเก่ง ปานกลาง น้อย และระดับผลการเรียนโดยเฉล่ียของทุกคนจะต้องใกล้เคียงกัน ซึ่งจะได้ นักเรยี นเขา้ กลมุ่ คละความสามารถ คือ เก่ง : ปานกลาง : อ่อน ตามอัตราส่วน 1 : 2 : 1 การศึกษาค้นคว้าคร้ัง นี้ มีจานวนนกั เรียนทีเ่ ป็นกลมุ่ ตัวอย่าง 45 คน ผู้ศกึ ษาค้นควา้ ได้ประยกุ ตใ์ นการจดั นักเรยี นเขา้ กลุม่ 3.3 ขั้นเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 3.3.1 ผสู้ อนเสนอแนะวธิ กี ารเรยี นรู้ 3.3.2 ทมี วางแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยแบ่งภาระหนา้ ท่ี เชน่ ผ้อู า่ นผู้หาคาตอบ

18 ผ้สู นับสนุน ผูจ้ ดบนั ทึก ผู้ประเมนิ เปน็ ต้น 3.3.3 สมาชิกในแตล่ ะกล่มุ ศกึ ษาเน้ือหาสาระและทากิจกรรมตามใบงานทผี่ ู้สอน กาหนดซึ่งการเรียนรู้ โดยวิธนี ี้เน้นการให้ความร่วมมอื ช่วยเหลอื กันในทมี มากกว่าการแขง่ ขัน 3.3.4 ผ้เู รยี นหรอื สมาชิกแต่ละกลมุ่ ประเมนิ เพ่อื ทบทวนความรู้ ความเข้าใจใน เนื้อหา 3.4 ข้ันทดสอบ 3.4.1 ผู้เรยี นแต่ละคนทาการทดสอบยอ่ ย เพ่อื วดั ความรคู้ วามเขา้ ใจในเน้ือหา สาระท่ีได้เรียนรู้จากขอ้ ทดสอบของผู้สอน 3.4.2 ผู้สอนและผู้เรียนอาจร่วมกันตรวจผลการทดสอบของสมาชิกแตล่ ะคน 3.4.3 ทมี จัดทาคะแนนความกา้ วหน้าของสมาชิกแต่ละคนและกลุ่ม คะแนน ของแตล่ ะคนในทีมคดิ คานวณจากผลต่างระหว่างคะแนนของการทดสอบย่อยกับคะแนนฐาน ซ่งึ มีเกณฑ์ในการใหค้ ะแนน 3.5 ขน้ั การรับรองผลงานและเผยแพรช่ อ่ื เสียงของทมี เป็นการประกาศผลงานของทมี วา่ แต่ ละทีมอยู่ในระดับคุณภาพใด รับรองยกย่อง ชมเชย ทีมท่ีมีคะแนนการพัฒนาสูงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ปิด ประกาศ ให้รางวัล ลงจดหมายข่าว ประกาศเสียงตามสาย เป็นต้น ซ่ึงกลุ่มแต่ละกลุ่มจะได้รับการรับรองหรือ รางวลั ตา่ ง ๆ ก็ตอ่ เม่ือสามารถทาคะแนนของกลุ่มได้มากกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้เกณฑ์การตัดสิน ว่ากลุ่มที่ควรได้รับ การยกย่องหรือยอมรับหาได้โดยการรวมคะแนนความก้าวหน้าของสมาชิกแต่ละคน แล้วนามารวมกันทั้งกลุ่ม จากนั้นหาค่าเฉลี่ยเป็นคะแนนความก้าวหน้าของกลุ่มและกลุ่มจะได้รับยกย่องหรือได้รับรางวัลต้องมีคะแนน ตามเกณฑ์ สลาวนิ (Slavin. 1995 : 7384) ได้ให้ความหมายถงึ การนาเทคนคิ ในการจัดกิจกรรมการสอนแบบ STAD คอื การเตรียมการสอน และการพจิ ารณาคะแนนพ้ืนฐานดังน้ี 1. การเตรียมการสอน (Preparation) ครจู ะดาเนนิ การ ดงั น้ี 1.1 เนือ้ หาของบทเรยี น การเรียนโดยใชว้ ธิ ี STAD สามารถใชไ้ ด้กับเนอื้ หาตา่ งๆ ทคี่ รสู ร้าง ข้นึ และโดยเฉพาะเน้ือหาทีโ่ ครงการการเรยี นรแู้ บบทีมมหาวิทยาลัยจอห์นฮอกินส์เป็นผู้สร้างข้ึน แต่จะเป็นการ ง่ายถ้าครูผู้สอนสร้างข้ึนเอง โดยการทาเอกสารประกอบการสอนหรือใบงาน กระดาษคาตอบ และข้อทดสอบ ยอ่ ยสาหรับเนือ้ หาที่จะสอนในแตล่ ะบท 1.2 การจัดกลมุ่ ผู้เรียนในแตล่ ะกลุ่มควรประกอบด้วยสมาชิก 4 คนเปน็ นักเรยี นทม่ี ี ความสามารถทางการเรียนสูง 1 คน ปานกลาง 2 คนและอ่อน 1 คน ครูควรจัดกลุ่มให้นักเรียนเอง เพราะถ้า ให้นกั เรียนจดั กลุ่มเอง นักเรียนจะเลือกคนท่ชี อบพอสนิทสนมกันเท่านัน้ ข้ันตอนในการจัดกลุม่ ไดแ้ ก่ 1.2.1 จัดทาเอกสารสรุปเกี่ยวกบั การเรยี นเป็นกลุ่มให้แต่ละกล่มุ 1.2.2 จัดนกั เรยี นเขา้ กล่มุ โดยจัดเรยี งนกั เรยี นทมี่ ีผลคะแนนสูงสุดไปถงึ ตา่ สุด ข้อมูลที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มได้จากคะแนนการทดสอบจะเป็นท่ีดีท่ีสุด รองลงมาคือ การใช้ผลการเรียนระดับ คะแนนวิชาทีผ่ ่านมาก หรอื บางครัง้ ขึ้นอยูก่ ับวิจารณญาณของผูส้ อนก็ได้ 1.2.3 พิจารณาจานวนกลมุ่ ในชนั้ เรยี น ในแต่ละกลุม่ ควรประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ดงั นนั้ นักเรยี นมกี ีก่ ลุ่มน้ันใหใ้ ช้ 4 หารจานวนนกั เรียน เช่น ในห้องเรียนหนึ่งมีนักเรียน 32 คน ก็จะแบ่ง นักเรยี นได้ 8 กล่มุ แตถ่ า้ หารดว้ ย 4 ไมล่ งตัวก็จะตอ้ งมบี างกลมุ่ ที่มสี มาชิกมากกว่า 4 คน เช่นในห้องเรียนหนึ่ง

19 มีนักเรียน 30 คน ก็จะสามารถแบ่งนักเรียนได้ 6 กลุ่มโดยมีกลุ่ม 5 กลุ่ม ที่มีสมาชิก 4 คน และมี 2 กลุ่มที่มี สมาชิก 5 คน อย่างน้เี ปน็ ต้น 1.3 การจดั นักเรียนเข้ากล่มุ ในแต่ละกลมุ่ ควรใหม้ ีความสมดลุ กัน เพ่อื ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ประกอบด้วยสมาชิกท่ีมีความสามารถทางการเรียนตั้งแต่ต่า ปานกลาง จนถึงสูงและระดับความสามารถโดย เฉลี่ยของแต่ละกลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ กัน ซ่ึงอาจจัดกลุ่มโดยอาศัยคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบก่อนเรียนหรือ คะแนนจากผลการเรยี นเดมิ 2. การพิจารณาคะแนนพื้นฐาน คะแนนพื้นฐานหมายถึงคะแนนจากการทดสอบคร้ังที่แล้วมา เม่ือครู ใช้เทคนิคน้ีและมีการทดสอบไป 2-3 ครั้ง แล้วนาคะแนนนี้มาเฉลี่ยเป็นคะแนนพื้นฐานหรืออาจจะใช้คะแนน ผลการเรียนของปที ีผ่ า่ นมากไ็ ด้ ข้อดีและขอ้ จากัดของการจดั การเรียนรแู้ บบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิค STAD สวุ ิทย์ คามูล และอรทัย คามูล (2546 : 175) ได้กล่าวถึงข้อดีและข้อจากัดของการจัดการเรียนรู้แบบ รว่ มมอื โดยใช้เทคนิค STAD ไวด้ งั น้ี ขอ้ ดี 1. ผเู้ รยี นมีความเอาใจใส่รบั ผดิ ชอบตนเองและกลุม่ ร่วมกับสมาชิกคนอ่ืน 2. สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนที่มีความสามารถแตกต่างกนั ได้เรียนรรู้ ่วมกัน 3. ส่งเสริมให้ผู้เรยี นผลัดเปล่ยี นกันเปน็ ผู้นา 4. ส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นได้ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรง 5. ผู้เรียนมคี วามต่นื เต้น และสนกุ สนานกับการเรยี นรู้ ข้อจากดั 1. ถ้าผู้เรียนขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบจะส่งผลให้ผลงานกลุ่มและการเรียนไม่ประสบ ความสาเรจ็ 2. เปน็ วิธที ี่ผ้สู อนจะต้องเตรียมการ ดูแลเอาใจใสใ่ นกระบวนการเรียนรูข้ องผู้เรยี นอยา่ งใกลช้ ิดจงึ จะ ได้ผลดี 3. ผ้สู อนมภี าระงานมากข้ึนจากการศึกษารปู แบบของการจัดกิจกรรมการเรียนรแู้ บบร่วมมอื เทคนคิ STAD พอสรุปได้วา่ เปน็ การสอนที่จดั ให้นกั เรียนเก่งนกั เรยี นปานกลาง และนักเรียน อ่อนไดเ้ รียนรูร้ ่วมกัน แตล่ ะกลมุ่ จะช่วยเหลือซึง่ กันและกนั สุดท้ายนักเรยี นแต่ละคนตอ้ งแขง่ ขนั กนั โดยการสอบซ่งึ กิจกรรมสอบนจ้ี ะ ไม่ใหช้ ว่ ยเหลอื กนั ต่างคนตา่ งทานาคะแนนที่ได้ไปเทียบกับคะแนนพน้ื ฐาน จากน้ันนาคะแนนของทุกคนใน กลุ่มมาหาค่าเฉลย่ี เพ่อื เปน็ คะแนนกลุม่ จากนนั้ ประกาศยกย่องหรอื ใหร้ างวัลสาหรบั ผทู้ ไี่ ด้คะแนนยอดเย่ยี ม และกลมุ่ ท่ีได้คะแนนยอดเย่ยี ม แผนการจัดการเรยี นรู้ ผศู้ กึ ษาค้นคว้าได้ศกึ ษาความหมาย ความสาคญั ของแผนการจดั การเรยี นรู้ การจดั ทาแผนการจดั การ เรยี นรรู้ ปู แบบของแผนการจดั การเรยี นรู้ และหลกั การเขียนแผนการจดั การเรยี นรดู้ ังนี้ 1. ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ สนุ ันทา สุนทรประเสรฐิ (2545 : 2) ได้ให้ความหมายว่า แผนการเรยี นรู้ คอื แนวดาเนนิ การและ วธิ กี ารจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ กิดการเรียนรู้ ซงึ่ มสี ว่ นสาคญั ประกอบด้วยจดุ ประสงคก์ าร

20 เรียนรู้ เนอ้ื หา (สาระการเรยี นรู้) วธิ กี ารจดั กิจกรรม (กระบวนการเรียนรู้) สอ่ื การเรียนรู้ (แหลง่ การเรียนรู้) และการประเมนิ ผลผู้เรียน (กระบวนการวัดและประเมินผล) ฉลวยศรี ท้าวน้อย (2547 : 33) ให้ความหมายการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถงึ การเตรยี มการจดั การเรยี นรไู้ วล้ ่วงหนา้ อยา่ งเปน็ ระบบ และเปน็ ลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการดาเนินการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาใดวิชาหน่ึงให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายท่ีหลักสูตรกาหนดแผนการ จดั การเรียนรมู้ ี 2 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดบั หน่วยการเรยี นรู้ และระดับบทเรียน เสาวลักษณ์ ตรองจิตร์ (2547 : 47) ได้ให้ความหมายของแผนการสอนไว้ว่า แผนการสอนหรือ แผนการเรียนรู้ คือ การเตรียมเพ่ือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้าให้สอดคล้องกับเรื่องท่ีจะสอนตรง ตามวตั ถุประสงคข์ องหลกั สูตร และเหมาะสมกบั ผู้เรียน เพ่อื ให้มปี ระสทิ ธิภาพในการสอน วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2549 : 249) ได้ให้ความหมายแผนการจดั การเรียนรูไ้ วว้ ่า แผนการการจัดการ เรียนรู้ คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้ส่ือการสอน การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับ เน้ือหาและจดุ ประสงคท์ ีก่ าหนดไว้ในหลักสูตร อีกนัยหนึ่งแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนท่ีผู้สอนจัดทาข้ึนจาก คู่มือครูหรือตามแนวการสอนของกรมวิชาการ ทาให้ผู้สอนทราบว่าจะสอนเน้ือหาใด เพื่อจุดประสงค์ใด สอน อยา่ งไร ใชส้ ื่ออะไร และวัดผลประเมนิ ผลอยา่ งไร จากความหมายของแผนการสอนดังกล่าวข้างต้นน้ันพอสรุปได้ว่า แผนการสอนหรือแผนการเรียนรู้ คือ การจัดเตรียมรายละเอียดของส่ิงท่ีจะสอนไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผู้สอนสามารถนาไปใช้ได้ทันที และ ผู้สอนคนอ่ืนสามารถสอนแทนได้ และเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งท่ีครูจะจัดการเรียนการสอนได้ตรงตามจัดมุ่ง หมายของหลกั สตู รอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 2. ความสาคญั ของแผนการจัดการเรยี นรู้ อาภรณ์ ใจเทีย่ ง (2537 : 203) ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคัญของแผนการจดั การเรยี นรู้ไวด้ ังนี้ 1. ทาให้เกดิ การวางแผนวิธกี ารสอนวธิ ีเรียนที่มีความหมายยง่ิ ข้ึน เพราะเป็นการจดั ทาอย่าง มีหลกั การท่ีถูกต้อง 2. ชว่ ยใหค้ รูมีคู่มือสอนทีท่ าด้วยตนเอง ทาใหเ้ กดิ ความสะดวกในการจดั การเรยี นการสอน ทาใหส้ อนไดค้ รบถ้วนตรงตามหลักสูตรและสอนไดท้ นั เวลา 3. เป็นผลงานวชิ าการท่ีสามารถเผยแพรเ่ ปน็ ตัวอยา่ งได้ 4. ชว่ ยใหส้ ะดวกแกค่ รูผู้สอนแทนในกรณที ค่ี รูผสู้ อนไมส่ ามารถเขา้ สอนได้ สนุ ันทา สุนทรประเสรฐิ (2545 : 2-3) ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของแผนการเรยี นรไู้ ว้ดงั น้ี 1. ทาใหค้ รผู ้สู อนเกดิ ความมน่ั ใจในการสอนมากขึ้น 2. ทาใหก้ ารสอนของครูตอ่ เน่อื ง 3. ทาใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความศรัทธาในตัวครู 4. ทาให้บทเรียนมีประโยชนแ์ ละมคี วามหมายต่อชวี ิตจริงของผู้เรยี น 5. เป็นแนวทางการสอนสาหรับผูอ้ ่นื ทจี่ าเปน็ ต้องสอนแทน 6. เปน็ หลกั ฐานในการวัดผลเรยี นของนกั เรียน 7. เป็นผลงานแสดงให้เห็นวา่ งานการสอนเป็นวชิ าชีพท่จี ะตอ้ งได้รบั การฝกึ ฝนมี ลักษณะเฉพาะของวชิ าชพี ครมู ใิ ชใ่ ครก็ทาได้ 3. การจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้

21 การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนมีอิสระในการออกแบบแผนการเรียนรู้ของตนเองซ่ึงมีได้ หลากหลายรปู แบบ แต่อย่างไรกต็ าม ผสู้ อนควรปฏิบัติตามนโยบายของโรงเรียนที่กาหนดไว้ว่าให้ใช้รูปแบบใด ถ้าโรงเรียนมิได้กาหนดรูปแบบไว้ จึงเลือกแบบท่ีตนเห็นว่าสะดวกต่อการนาไปใช้สรุปขึ้นตอนการจัดทา แผนการเรียนรไู้ ดด้ ังนี้ (สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. 2542 : 31) 3.1 เลอื กรูปแบบแผนการเรียนร้นู าหน่วยการเรยี นรทู้ กี าหนดไวแ้ ล้วพจิ ารณาจดั ทาแผนการเรยี นรู้ 3.2 ตง้ั ชือ่ หนว่ ยแผนตามสาระการเรียนรู้ 3.3 กาหนดจานวนเวลา ระบุระดบั ชน้ั 3.4 วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้รายปี / รายภาคที่เลือกไว้เขียนเป็น จุดประสงค์การเรียนรู้เปน็ รายวิชา โดยยึดหลักการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ของลินน์ มอริส (Lynn Mager) ท่ีว่าจุดประสงค์การเรียน 3.4.1 บรรยายจดุ ประสงคไ์ ม่ใช่วธิ กี าร 3.4.2 สะท้อนถงึ ระดบั ตา่ ง ๆ ของทักษะทเ่ี กดิ ข้ึน 3.4.3 ใช้คากริ ยิ าทเ่ี ปน็ รูปธรรม และใช้องคป์ ระกอบ 3 สว่ น ตามแนวของโรเบริ ต์ เมจเจอร์ (Robert Mager) 3.4.3.1 พฤตกิ รรม (Behavior) 3.4.3.2 สถานการณห์ รือเงือ่ นไข (Important Conditions) 3.4.3.3 เกณฑ์ (Criterion) 3.3.5 เลือกจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ทว่ี เิ คราะหไ์ ว้แลว้ เฉพาะขอ้ ทีส่ ัมพันธก์ ับหวั ข้อสาระการ เรียนรู้ กาหนดเปน็ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้หรอื จุดประสงคป์ ลายทางตามธรรมชาตวิ ิชา 3.3.6 วเิ คราะห์สาระการเรยี นรเู้ ป็นรายละเอยี ดสาหรับนาไปจดั การเรยี นรู้สาระการเรยี นรู้ จะเปน็ เน้ือหาใหม่ของมวลเน้ือหาที่กาหนดไว้ ที่จาเป็นต้องสอน 3.3.7 กาหนดจดุ ประสงคน์ าทางตามลาดับความยากงา่ ยของเน้ือหาน้ัน ๆ 3.3.8 เลือกกิจกรรมและเทคนิคการสอนทเี่ หมาะสม 3.3.9 เลอื กสื่ออุปกรณส์ าหรบั ใช้ประกอบการจดั การเรียนรูใ้ หเ้ หมาะสมกบั สาระการเรยี นรู้ ท่ีเลอื กมา เช่น รปู ภาพ บัตรคา วดี ีทศั น์ 3.3.10 จัดทาตามลาดบั ข้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยคานงึ ถึงขั้นตอนการสอนตาม ธรรมชาติวิชาตามจุดประสงค์นาทาง และควรคานงึ การบรู ณาการเทคนิค และกระบวนการเรียนรู้รวมทั้งสาระ การเรียนรอู้ ่นื ๆ เขา้ ไว้แตล่ ะข้นั ตอน 3.3.11 กาหนดและประเมินผล โดยระบวุ ธิ กี ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ ทั้งทเ่ี กิดระหว่างเรยี น ตามจุดประสงค์ย่อย / นาทาง และท่ีเกิดหลังการเรยี นการสอนเมือ่ จบแผนการเรยี นรู้โดยวิธีการวัดหลากหลาย รูปแบบตามความเหมาะสม เช่น ปฏิบัติจริง การทดสอบความรู้ทางานเป็นกลุ่ม ฯลฯ ดังท่ีกล่าวมาแล้ว เกี่ยวกับรูปแบบและผลการเรียนรู้ว่าควรประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการ เรยี นรู้ กระบวนการจัดการเรยี นรู้ กระบวนการประเมินผลแหล่งการเรยี นรู้ 4. รปู แบบของแผนการจัดการเรียนรู้ ณัฐวุฒิ กิจรุ่งเรือง (2545 : 51-58) ได้กล่าวถึงรูปแบบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่าไม่มีรูปแบบ ตายตวั ขึน้ อยู่กับหน่วยงานหรือสถานศึกษาแต่ละแห่งจะคิดดัดแปลงตามความเหมาะสมอย่างไรก็ตามลักษณะ

22 ส่วนใหญ่ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะคล้ายคลึงกันและแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นิยมใช้ใน ปัจจบุ ันมี 2 รูปแบบ คอื 4.1 แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบบรรยาย หรอื เรียงหัวขอ้ เปน็ การเขียนละเอียดของ องค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามลาดับ โดยใช้ความเรียงเป็นรูปแบบที่ ได้รับความนยิ ม แต่มขี อ้ จากัดในกรณที ่รี ายละเอียดอยู่คนละหน้ากันเนือ่ งจากยากตอ่ การมองเห็นความสัมพันธ์ ของแต่ละองค์ประกอบ 4.2 แผนการจัดการเรยี นรแู้ บบบรรยาย เขยี นโดยใช้หวั ขอ้ เร่ืองตามทกี่ าหนดมากากับแตล่ ะ กิจกรรมการเรียนการสอน จะเขียนเปน็ เชิงบรรยายกิจกรรมที่ครูจดั เตรียมไว้ โดยไม่ระบุชัดเจนว่านักเรยี นทาอะไร 4.3 แผนการจดั การเรียนร้แู บบตารางเขยี นโดยใช้หัวข้อตามทีก่ าหนดมากากบั 5. หลกั การเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ สุคนธ์ สินธพานนท์ และคนอ่ืน ๆ (2545 : 24-28) ได้เสนอหลักการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้ ดังน้ี 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ หลกั สตู รการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานกาหนดมาตรฐานการเรยี นรู้ตามสาระเรยี นรมู้ าตรฐานการเรียนรู้กาหนด คุณภาพผู้เรยี นดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรมและค่านยิ มของแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ไว้ เพื่อให้เป็นจุดมุ่งหมายในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยกาหนดมาตรฐานของแต่ละ สาระการเรียนรู้ไว้แล้วแต่กลุ่มสาระการเรียนรู้จะนามาวิเคราะ ห์ออกเป็นมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงช้ัน ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงช้ัน ออกมาเป็นผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ไว้ในแต่ละชั้นปี และผสู้ อนจะนาผลการเรยี นรมู้ ากาหนดในแผนการจดั การเรยี นรู้ 2. ผลการเรียนรู้ การเขยี นผลการเรยี นรู้เป็นการเขียนในสิ่งที่คาดหวังว่าผู้เรียนจะมีความรู้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ หรือมีทักษะ หรือเจตคติที่เกิดขึ้นอย่างไร ซ่ึงผู้สอนอาจจะกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละแผนการ จัดการเรียนรู้ก็ได้ การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้หรือการจัดการเรียนรู้ เขียนได้ 2 แบบคือ จุดประสงค์ ปลายทาง และจุดประสงค์นาทาง จุดประสงค์ปลายทาง คือจุดประสงค์ที่เป็นเป้าหมายสาคัญท่ีต้องการให้ เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนหลังจากที่ได้ดาเนินการตามขั้นตอนจนจบแผนการจัดการเรียนรู้น้ัน ซ่ึงการเขียนจุดประสงค์ ปลายทางน้ันจะครอบคลุมพฤติกรรมใหญ่ ๆ ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย หรือด้านจิตพิสัย เช่น มีความรู้ ความเข้าใจตระหนักในความสาคัญ สามารถนาไปปฏิบัติได้ ฯลฯจุดประสงค์นาทาง คือ จุดประสงค์ย่อยของ จดุ ประสงคป์ ลายทางลักษณะเปน็ จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมย่อย ๆ ซ่ึงเม่ือผู้เรยี นได้กระทาทุกพฤติกรรมแล้วจะ เกิดการเรียนรู้ถึงจดุ ประสงค์ปลายทาง ลักษณะของการเขียนจุดประสงคน์ าทาง ได้แก่ บอกได้ อธิบายได้ ลาดบั เหตุการณไ์ ด้ แปลความได้ เขยี นได้ อา่ นได้ วเิ คราะหไ์ ด้ ฯลฯ 3. สาระการเรยี นรู้ การเขียนเนื้อหาสาระในเรื่องต่าง ๆ จะเขียนเฉพาะขอบข่ายเน้ือหาเป็นประเด็นสาคัญสั้น ๆ ให้ สอดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรู้ หรอื จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4. การจัดการเรยี นรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้นับเป็นหัวใจสาคัญของการเรียน ผู้สอนควรใช้เทคนิคการจัดการเรียนการ สอนหลาย ๆ วธิ ี เพ่ือพัฒนาผูเ้ รยี นให้บุคคลแหง่ การเรียนรู้ พฒั นาผูเ้ รียนทงั้ ด้าน พุทธิพสิ ยั ทกั ษะพิสัย จิตพิสัย ดงั น้ันผู้สอนจะรอ้ งศกึ ษาความรู้เกย่ี วกับเทคนิคการสอนหลาย ๆ วธิ ที ี่เน้นผเู้ รียนท่สี าคัญ

23 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหล่งการเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้สาคัญของแผนการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องวางแผนว่าจะใช้ส่ือใดประกอบการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอน ส่ือบางประเภทผู้สอนสามารถผลิตเองได้แต่บางประเภทต้องจัดซื้อจัดหามาใช้ ประกอบการสอนสาหรบั แหล่งการเรียนร้นู ัน้ มคี วามสาคญั ต่อผู้เรียนมาก ซ่ึงผู้สอนควรจัดแหล่งเรียนรู้ให้มาพอ และนาผู้เรยี นไปเรียนรู้และหาประสบการณ์ตรง 6. การวดั ผลและประเมนิ ผล การวดั ผลและประเมนิ ผล เปน็ การประเมินทมี่ งุ่ เน้นการพัฒนาผู้เรยี นที่สาคัญมีการประเมินพัฒนาการ ของผู้เรียนในด้านความประพฤติ พฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปกับ กระบวนการเรยี นรู้ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับสรุปจากการศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้ศึกษาได้นา รูปแบบในการจัดทาแผนการเรียนรู้คือ จัดทาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยจัดทาแผนในรูปแบบบรรยาย หรือเรียงหวั ข้อ มาทาแผนในครั้งนี้ จานวน 6 แผน งานวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ ง 1. งานวจิ ัยในประเทศ ไกรศรี พลเยี่ยม (2547 : 88-114) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง สมการและอสมการ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธิผลทางการเรียน (STAD) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโพธิ์ศรีสว่างวิทยา อาเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองสมการและอสมการโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มตาม สังกัดสัมฤทธิผลทางการเรียน (STAD) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบวัดความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มตามสัมฤทธิผลทางการเรียน ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจดั การเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรือ่ ง สมการและอสมการ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โดยใช้ วิธกี ารแบง่ กลุ่มตามสงั กดั สมั ฤทธิผลทางการเรียน (STAD) มีประสิทธิภาพ 73.33/78.03 ดัชนีประสิทธิผลของ แผนการเรียนรู้มีคา่ เท่ากับ 0.52 และความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มตามสังกัด สมั ฤทธผิ ลทางการเรียน อย่ใู นระดบั มาก ชนิดา นนท์นภา (2545 : 60-118) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลการสอนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง บท ประยุกต์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ระหว่างการสอนด้วยวิธีแบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน (STAD) และการสอนปกติ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองบทประยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างการสอนด้วยวิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธ์ิผลทางการเรียนและการ สอนปกติ เพ่ือเปรียบเทียบดัชนีประสิทธิผลของแผนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างการสอนด้วยวิธีสอน แบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธ์ิผลทางการเรียนและการสอนปกติ เพ่ือเปรียบเทียบคะแนนความคงทนและ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องบทประยุกต์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีเรียน ด้วยวิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธ์ิผลทางการเรียน เพ่ือเปรียบเทียบคะแนนความคงทนและคะแนน ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรยี น วชิ าคณิตศาสตร์ เร่อื งบทประยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4ท่ีเรียนด้วยวิธีสอน

24 แบบปกติ และเพ่อื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองบทประยุกต์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ระหวา่ งการสอนด้วยวธิ ีสอนแบบแบง่ กลุ่มตามสังกดั สัมฤทธผิ์ ลทางการเรียนและการสอนแบบปกติ หลังจาก เรยี นไปแลว้ ระยะหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างเปน็ นักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 สงั กัดสานกั งานการประถมศึกษาอาเภอเมืองมหาสารคาม สานักงานการประถมจังหวัด มหาสารคาม จานวน 120 คน ได้แก่โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม จานวน40 คน เพื่อหาประสิทธิภาพของ เครือ่ งมือ และโรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม จานวน 80 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เพอ่ื ใช้เปน็ กลุ่มทดลองสอนแบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และกลุ่มควบคุมสอน ด้วยวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มละ 40 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ท่ีผู้วิจัย สร้างข้ึนแผนการสอนวิชาคณิตศาสตร์แบบปกติ จานวน 9 แผน แบบทดสอบประจาเน้ือหา 4 ฉบับ ฉบับละ 10 ข้อ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประจาบท ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจานวน 30 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนท่ีได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธิผล ทางการเรียนมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น สูงกวา่ นักเรียนท่ีได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับ .05 นักเรียนที่ได้รับ การสอนแบบแบ่งกลมุ่ ตามสงั กดั สมั ฤทธิผ์ ล มคี ะแนนความคงทนและคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ไมแ่ ตกต่างกนั นิคล ไชยช่วย (2549 : 51-72) ได้พัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองสมการเชิงเส้นตัวแปร เดียว กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตสาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) มีความ มุ่งหมายเพื่อพัฒนาแผนท่ีมีประสิทธิภาพ และหาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสมการเชิง เส้นตัวแปรเดียว กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ (STAD) เรือ่ งสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดียวเพ่ือศกึ ษาผลการใช้แผนการจดั การเรียนรู้และความพงึ พอใจของนักเรียนที่มีต่อ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปีที่ 1โรงเรยี นมอสวนขงิ พิทยาสรรพ์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2548 จานวน 25 คน 1 ห้องเรียน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้ามี 4 ชนิด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เร่ืองสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้ วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) จานวน 10 แผน ทาการสอนแผนละ 1 ชั่วโมง แบบสังเกตพฤติกรรมการ เรียนโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) ชนิดมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จานวน 12 ข้อ เป็นการ วิจัยแบบกึ่งทดลอง ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.88/74.00 ซ่ึง สูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ แผนการจัดการเรียนรู้มีดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.5742 หรือคิดเป็นร้อยละ 57.42 และ นักเรียนมคี วามพงึ พอใจต่อการเรียนด้วยการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (STAD) เร่ืองสมการเชิงเส้นตัว แปรเดียว โดยรวมและเปน็ รายขอ้ ทกุ ข้ออย่ใู นระดับมาก ยกเวน้ ขอ้ ทเี่ กย่ี วกับการเรียนแล้วทาให้เกิดความจา มี ความพึงพอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง อนันท์ บุตรศรีเมือง (2550 : 86-87) ได้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือในกลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค STAD เป็นการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ท้ังด้านร่างกายอารมณ์ สังคม และสติปัญญา ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสทิ ธผิ ลการศกึ ษาคน้ คว้าครั้งนจี้ ึงมีความม่งุ หมายเพื่อพัฒนาแผนการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ตัวประกอบของจานวนนับที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 75/75 ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ เปรียบเทียบคะแนนการทดสอบระหว่างก่อนเรียนและ

25 หลังเรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนบา้ นถนนโคกใหญ่ สานักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาบุรรี มั ย์ เขต 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2550 จานวน 24 คน จาก 1 ห้องเรียนซ่ึงได้มาโดยการสุ่มแบบสุ่มกลุ่ม(Cluster Random Sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้ามี3 ชนิด ได้แก่ แผนการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD จานวน 12 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน30 ข้อ และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ จานวน 20 ข้อ ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏว่า แผนการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD มปี ระสิทธิภาพด้านกระบวนการ(E1) สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ท่ีตั้งไว้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และด้านผลลัพธ์ (E2)สูงกว่าเกณฑ์ ที่ต้ังไว้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ดัชนีประสิทธิผลของการ เรียนรู้ด้วยแผนการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STADกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ มีค่าเท่ากับ 0.6733 และ นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD มีคะแนนการทดสอบหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .014. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 มีความพึงพอใจ ต่อการเรยี นด้วยกจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนิค STAD อย่ใู นระดับมากทสี่ ุด 2. งานวิจัยต่างประเทศ ฟารโ์ ลว์ (Farlow. 2004 : 395) ได้ศึกษาการสรา้ งชมุ ชนชั้นเรยี นและการใช้กลยุทธ์ในการเรียนรู้แบบ ร่วมมือกันของนกั เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ความมุ่งหมายของการวิจัยครั้งนี้คือ ศึกษาการใช้กลยุทธ์ในการ เรียนรู้แบบร่วมมือกัน เป็นวิธีการสร้างสภาพแวดล้อมของช้ันเรียนแบบรวม สาหรับนักเรียนท่ีมีความต้องการ พิเศษ การวิจัยเป็นกรณีศึกษากับนักเรียน 3 ประเภทได้แก่ กลุ่มนักเรียนท่ีบกพร่องด้านการเรียนรู้ และอีก สองกรณีเป็นนักเรียนในกลุ่มเสี่ยงผู้วิจัยทาการเก็บข้อมูลด้วยการสังเกต การสัมภาษณ์และประเมินจาก ปฏกิ ิริยาโตต้ อบของนักเรยี นผลการวจิ ัยพบวา่ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้เพ่ิมข้ึน และนักเรียนเรียนรู้ได้ดีรวมท้ัง สามารถแสดงการตอบสนองท่ดี ีขึ้นด้วยกระบวนการเรียนรแู้ บบรว่ มมือกัน แจ็คสัน (Jackson. 1998 : 1068-A) ได้ศึกษาผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ท่ีมี ต่อความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนต่างเชื้อชาติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนเกรด 7 ในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มี นักเรียนหลายเชื้อชาติ ผู้วิจัยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยกลุ่มทดลองมี นักเรียนประมาณ 4-5 กลุ่มย่อย ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีนักเรียนต่างเชื้อชาติกัน นักเรียนจะได้รับใบงานและการ ทดสอบย่อย คะแนนท่ีได้จากแบบทดสอบจะเป็นคะแนนของกลุ่ม ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการสอนแบบปกติ และให้ศึกษาตามลาพังคะแนนท่ีได้จะเป็นของนักเรียนแต่ละคน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนชายผิวดาของกลุ่ม ทดลองมีความสัมพันธ์กับเพ่ือนนักเรียนต่างชาติมากกว่านักเรียนชายผิวดาในห้องเรียนปกติอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติและพบว่า ผลการเรียนรู้แบบร่วมมือระหว่างนักเรียนชายผิวขาว นักเรียนหญิงผิวดา หรือนักเรียน หญงิ ผวิ ขาว ไมม่ ีความแตกตา่ งกัน ซุนยานโต (Suyanto. 1999 : 3766-A) ไดศ้ กึ ษาผลกระทบของการใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค การแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธ์ิ (STAD) ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียน Yogyakarta ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับช้ันประถมศึกษา ในแถบชนบทของอินโดนีเซียผลการวิจัยพบว่า ชั้นเรียนที่ถูกกาหนดให้ ใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคการแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธ์ิ (STAD) สามารถแสดงค่าการทดสอบระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ในระดับท่ีสูงกว่าช้ันเรียนท่ีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสาคัญ เมื่อทาการ ทดสอบผลกระทบของวิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคการแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) กับนักเรียนในแต่ ละระดับชั้นเรียนพบว่า นักเรียนในชั้นเรียนเกรด 3 และเกรด 5 ในกลุ่มที่ใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค

26 การแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธ์ิ (STAD) มีผลคะแนนจากการปฏิบัติงานท่ีสูงกว่า ชั้นเรียนท่ีสอนแบบปกติอย่างมี นัยสาคัญ แต่ไม่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญในผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่าง นกั เรยี นในชัน้ เรยี นเกรด 4 ในกลุ่มท่ใี ชว้ ีการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคการแบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) กับ นักเรียนคนอื่น ๆ ในกลุ่มควบคุม ผลการวิจัยยังพบว่านักเรียนในกลุ่มท่ีใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคการ แบ่งกลุ่มคละผลสัมฤทธิ์ (STAD) มีทัศนคติเก่ียวกับการจัดสภาพแวดล้อมในช้ันเรียนท่ีดีข้ึนอย่างมีนัยสาคัญ ดว้ ย วิสเกอร์ (Whicker. 1999 : 1951-A) ได้ศึกษาการใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือในหลักสูตรวิชา คณิตศาสตร์ขั้นสูงของโรงเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา เพ่ือทาการศึกษาเร่ืองการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางด้าน วชิ าการโดยใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ ในชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูงระดับมัธยมศึกษาและสารวจทัศนคติ ของนักเรียนเกี่ยวกับ การใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือและเทคนิคการให้รางวัล กลุ่ม โดยท่ีการวิจัยจะมุ่ง ประเด็นสาคัญไปที่คุณประโยชน์ของวิธีการเรียนแบบร่วมมือใช้เทคนิคการให้รางวัลกลุ่ม เปรียบเทียบกับ วิธีการเรียนแบบร่วมมือแต่ใช้เทคนิคการให้รางวัลแบบรายบุคคลผลจากการวิเคราะห์คาตอบจาก แบบสอบถามพบว่า ถึงแม้ว่านักเรียนทั้ง 2 กลุ่มจะมีความรู้สึกว่าพอใจกับคะแนนพิเศษท่ีได้รับ แต่ช้ันเรียนที่ ถูกกาหนดให้ได้รับคะแนนพิเศษจากการปฏิบัติงานกลุ่มกลับมีความรู้สึกว่าไม่ชอบการทางานในกลุ่มแบบ ร่วมมอื โดยทน่ี ักเรยี นในชัน้ เรียนนสี้ ว่ นใหญ่แสดงความคดิ เห็นวา่ ไมช่ อบการจัดกลมุ่ หรือการกาหนดสมาชิกใน กลุ่มแบบถาวร นักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงบางคนรู้สึกว่า ระบบของการให้รางวัลควรใช้การ พิจารณาจากการมีพฒั นาการของนกั เรียนแบบรายบุคคลมากกว่า แต่ยงั มีนักเรียนในช้ันเรียนเดียวกันน้ีอีกส่วน หนง่ึ ที่แสดงความรสู้ ึกว่า ระบบของการใหร้ างวัลแบบกลุ่มสามารถช่วยสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกในกลุ่มใช้ความ พยายามมากขึ้นกวา่ เดมิ ในการปฏิบัติงานได้ และยังส่งผลให้พวกเขาอยากที่จะช่วยเหลือเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ด้อย กว่าดว้ ยนักเรยี นส่วนใหญ่ของชนั้ เรยี นทถี่ กู กาหนดใหใ้ ช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ โดยให้รางวัลแบบรายบุคคลมี ความรู้สึกในด้านบวกกับกลุ่มท่ีร่วมมือกันเรียนรู้นักเรียนเหล่านี้กล่าวว่า พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ดีข้ึนเม่ือใช้ วิธีการเรียนแบบรว่ มมือกนั เรียนร้นู กั เรยี นเหล่าน้ีกลา่ ววา่ พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ดขี นึ้ เมอื่ ใช้วธิ กี ารเรียนแบบ ร่วมมือ เม่ือถามถึงส่ิงท่ีพวกเขาอยากจะเปลี่ยนแปลงเก่ียวกับโครงสร้างของวิธีการเรียนแบบรวมมือพบว่า นกั เรยี นจานวนมากกว่า 1 ใน 3 ของจานวนนักเรียนในช้ันเรียนท่ไี ดร้ ับรางวลั แบบรายบุคคลมีความรู้สึกว่าไม่มี สงิ่ ใดทจี่ าเปน็ ต้องเปลยี่ นแปลงอกี ในขณะที่มีนักเรียนอีกจานวนหนึ่งที่แสดงความต้องการให้เปล่ียนสมาชิกใน กลมุ่ บอ่ ย ๆ และผลจากการวิเคราะห์ขอ้ มลู ของนกั เรียนในท้ัง 2 ช้ันเรียน พบว่าการใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ กันเรียนรู้มีผลกระทบในด้านบวกต่อการพัฒนาทักษะเก่ียวกับการส่ือสารระหว่างบุคคลของนักเรียนได้อย่าง แนน่ อน จากการศึกษางานวิจัยท้ังในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น มีเจตคติที่ดี ต่อการเรียนและยังทาให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้อีกด้วยดังน้ัน ผู้ศึกษาค้นคว้าจึงมีความสนใจท่ี จะศึกษาค้นคว้าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ที่จะส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงข้ึน และมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ อีกท้ังเพ่ือเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นแนวทางให้ ครผู สู้ อนนาไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เพือ่ ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ผู้เรยี นต่อไป

27 บทที่ 3 วธิ ีดำเนินกำร การวจิ ัยครัง้ นเ้ี ปน็ การวจิ ัยเชิงทดลองเบ้ืองต้น ( Per-experimental Design ) เพื่อศกึ ษา ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนคณติ ศาสตร์ เรื่อง สมการเชงิ เส้นสองตัวแปร ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โดยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุม่ รว่ มมือ เทคนิค STAD ซ่ึงวิธดี าเนินการทดลอตามลาดับ ขั้นดงั ต่อไปน้ี 1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง 2. แผนแบบการวจิ ัย 3. เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 5. การวิเคราะหข์ ้อมูล ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง 1. ประชากร ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 โรงเรียนเทพสถติ วิทยา อาเภอเทพสถิต จงั หวัดชัยภูมิ สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา นครราชสมี า เขต 30 จานวน 165 คน 2. กลุ่มตัวอยา่ ง กลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาท่ี 1 / 1 โรงเรียนเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถติ จงั หวัดชยั ภมู ิ สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 30 ทกี่ าลงั เรยี นในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 1 ห้องเรียน จานวน 34 คน ซึ่งผู้วิจยั ได้เลือกสุ่มแบบเจาะจง เนื่องจากนักเรียน กลมุ่ น้ีอาศยั อยู่ในเขตภูมิศาสตรเ์ ดียวกัน จึงมลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กัน และมผี ลสัมฤทธ์ใิ กล้เคียงกนั จงึ เลือกกลุ่มตัวอยา่ งดังกล่าว แผนแบบกำรวจิ ยั การวจิ ัยคร้ังนเ้ี ปน็ การวิจยั เชิงทดลองเบ้ืองตน้ โดยมกี ารทดสอบก่อนเรยี นทจี่ ะดาเนินการ ทดลองกบั กลุ่มตวั อย่าง และทาการทดสอบหลงั เรียน แผนแบบการทดลองสรุปได้ดังภาพที่ 2 ภาพท่ี 2 แผนการวิจยั O1 x x แทน กาOรส2อนโดยใชบ้ ทเรียนโปรแกรม O1 แทน การวดั ก่อนการจดั กิจกรรมบทเรียนโปรแกรม (Per Test) O2 แทน การวดั หลงั การจัดกจิ กรรมบทเรียนโปรแกรม (Post Test) เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในกำรทดลอง

28 เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD กลุม่ สาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ เร่อื ง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 9 แผน มีขน้ั ตอนการสร้างดังนี้ 1.1 ศกึ ษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระและมาตรฐาน การเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ และค่มู ือการเขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ 1.2 ศกึ ษาทฤษฏีหลักการ และกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ ท่นี ามาใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการจดั การเรยี นการสอน 1.3 วิเคราะหเ์ นอื้ หาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ 1.4 ดาเนนิ การเขยี นแผนการจดั การเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝกึ เสรมิ ทักษะคณติ ศาสตร์ กล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ เรือ่ ง สมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 จานวน 9 แผน ดังน้ี แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ 1 คู่อนั ดบั แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ี 2 กราฟของคู่อันดับบนระบบพกิ ดั ฉาก แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่ 3 การอ่านและแปลความหมายของกราฟบน ระบบพิกัดฉาก แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ที่ 4 การเขยี นกราฟแสดงความเกี่ยวข้องของ ปรมิ าณสองชดุ แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี 5 กราฟของความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสน้ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ 6 สมการเชงิ เส้นสองตวั แปร แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ี 7 คาตอบของสมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ี 8 กราฟของสมการเชิงเส้นสองตวั แปร แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 9 การนาความรเู้ กีย่ วกับกราฟของความสมั พนั ธ์เชงิ เสน้ ไปใช้ในชวี ิตจรงิ 1.5 นาแผนการจัดการเรยี นรู้ทีผ่ วู้ จิ ัยสร้างข้ึน นาเสนอผู้เชย่ี วชาญ 3 ท่าน ตรวจ พิจารณาแกไ้ ข แล้วนามาปรับปรุงขั้นตอนในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ แก้ไขความเหมาะสมของ เน้อื หา 1.6 จดั ทาแผนการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตรฉ์ บับสมบูรณ์ที่ มปี ระสทิ ธิภาพ 2. ชุดกจิ กรรมการการเรียนรแู้ บบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD เร่ือง สมการเชงิ เส้นสองตัวแปร วชิ าคณติ ศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 จานวน 9 ชดุ มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 2.1 ศกึ ษาหลกั สตู รการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ของ กระทรวงศกึ ษาธิการ หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นเทพสถิติทยา กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ แบบเรียนกลมุ่ สาระการเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์ ของกระทรวงศึกษาธิการ 2.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งกับการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะเพื่อเปน็ แนวทางในการสรา้ งแบบชดุ กิจกรรม

29 2.3 วเิ คราะหม์ าตรฐานการศึกษา สาระการเรยี นรู้ ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวงั เลือก สาระการเรยี นร้เู รื่องสมการเชิงเส้นสองตวั แปรโดยดูจากผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ในเร่อื งสมการเชิง เสน้ สองตวั แปรท่มี ีค่าเฉลีย่ ในระดบั ตา่ 2.4 กาหนดรูปแบบและข้ันตอนการสรา้ งแบบฝึกทักษะ 2.5 สรา้ งชดุ กิจกรรมใหค้ รอบคลุมสาระการเรียนรู้ ผลการเรียนร้ทู คี่ าดหวงั โดย เรียงลาดับของเนอื้ หาจากง่ายไปหายาก จานวน 9 กจิ กรรม ซึ่งครอบคลมุ เนื้อหาเร่อื งทศนยิ มพร้อม ทั้งคาชีแ้ จงแบบฝึกทักษะ ดงั น้ี กจิ กรรมท่ี 1 เร่ือง คู่อันดับ กจิ กรรมท่ี 2 เร่ือง กราฟของคู่อันดบั บนระบบพิกัดฉาก กิจกรรมที่ 3 เร่ือง การอา่ นและแปลความหมายของกราฟบนระบบพิกัดฉาก กจิ กรรมท่ี 4 เรื่อง การเขยี นกราฟแสดงความเกีย่ วข้องของปรมิ าณสองชุด กิจกรรมที่ 5 เร่ือง กราฟของความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสน้ กจิ กรรมท่ี 6 เร่ือง สมการเชงิ เส้นสองตวั แปร กิจกรรมท่ี 7 เร่ือง คาตอบของสมการเชิงเสน้ สองตัวแปร กจิ กรรมที่ 8 เรื่อง กราฟของสมการเชิงเสน้ สองตวั แปร กจิ กรรมที่ 9 เร่ือง การนาความรูเ้ กย่ี วกับกราฟของความสัมพันธ์เชงิ เส้นไปใช้ในชีวติ จริง 2.6 สรา้ งกจิ กรรมแตล่ ะชุด โดยให้สัมพันธก์ ับเน้ือหาจุดประสงค์ ผลการเรียนรูท้ ่ี คาดหวงั ในชดุ กจิ กรรมแตล่ ะชุด และเขียนคาแนะนาการใช้แบบฝกึ ทกั ษะ 2.7 ทดลองภาคสนาม 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเร่ือง เรื่อง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนข้ึน เป็นข้อสอบ ปรนัย 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้ ซ่งึ ได้ดาเนินการสรา้ งตามขนั้ ตอนดังน้ี 3.1 ศึกษาหลักเกณฑ์ในการสร้างแบบทดสอบ เทคนิคการเขยี นข้อสอบ การวัดผล การศกึ ษา จากหนงั สือและเอกสารอ่นื ๆทเ่ี กี่ยวข้อง 3.2 ศึกษาหลักสูตรมธั ยมศึกษาพทุ ธศักราช 2551 ค่มู อื ครคู ณติ ศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 3.3 สร้างตารางวเิ คราะหเ์ น้ือหา และจุดประสงค์การเรยี นรู้เพื่อตรวจสอบค่าความ สอดคลอ้ งของข้อสอบ และจุประสงคก์ ารเรียนรู้ (IOC) (สมนกึ ภัททิยธน.ี 2549:220) ซึง่ คานวณได้ จากสตู ร IOC =  R N เมอ่ื IOC แทน คะแนนเฉล่ียระหว่างความคดิ เห็นของผเู้ ชย่ี วชาญ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผูเ้ ช่ียวชาญทั้งหมด N แทน จานวนผเู้ ชย่ี วชาญทัง้ หมด 3.4 สรา้ งแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ

30 3.5 นาแบบทดสอบทสี่ ร้างขึน้ เสนอต่ออาจารยท์ ปี่ รึกษา เพื่อตรวจสอบความ เท่ยี งตรงของเน้ือหา 3.6 นาแบบทดสอบที่ปรบั ปรุงแกไ้ ขแล้วไปทดลองใช้กับ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 3.7 คัดเลอื กแบบทดสอบจานวน 20 ขอ้ และสรา้ งเป็นแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นเพ่ือใชเ้ ปน็ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์กิ ่อนและหลงั เรียนของกลุ่มตัวอย่าง กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการเกบ็ ขอ้ มลู ในการวจิ ัยในครัง้ นผ้ี ูว้ ิจยั ไดด้ าเนินการเกบ็ ข้อมลู ตามข้ันตอนดงั นี้ 1. วางแผนดาเนนิ การจดั กจิ กรรมการการเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD เร่อื ง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยกาหนดวนั เวลา ท่ใี ช้ในการ ทดลอง คือ ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 11 ชวั่ โมง โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ ตารางท่ี 3.1 การทดลองใช้การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือ เทคนิค STAD เร่ือง สมการ เชิงเสน้ สองตัวแปร ของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ที่ เร่ือง จานวน (ชั่วโมง) 1 ทดสอบก่อนเรียน 1 2 กิจกรรมท่ี 1 เรื่อง คู่อันดับ 1 3 กจิ กรรมที่ 2 เรื่อง กราฟของคอู่ นั ดับบนระบบพกิ ดั ฉาก 1 4 กิจกรรมท่ี 3 เรื่อง การอา่ นและแปลความหมายของกราฟบนระบบพิกดั ฉาก 1 5 กจิ กรรมที่ 4 เร่ือง การเขยี นกราฟแสดงความเกย่ี วข้องของปริมาณสองชุด 1 6 กิจกรรมท่ี 5 เรอื่ ง กราฟของความสัมพนั ธเ์ ชิงเสน้ 1 7 กิจกรรมท่ี 6 เรอ่ื ง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร 1 8 กิจกรรมท่ี 7 เรื่อง คาตอบของสมการเชิงเสน้ สองตัวแปร 1 9 กจิ กรรมที่ 8 เรอ่ื ง กราฟของสมการเชงิ เส้นสองตวั แปร 1 10 กจิ กรรมที่ 9 เรอ่ื ง การนาความรเู้ กย่ี วกับกราฟของความสมั พนั ธ์เชิงเสน้ ไป 1 ใช้ในชีวติ จริง 11 ทดสอบหลังเรยี น 1 2. ในการทดลองครัง้ นผ้ี ู้วิจัยไดท้ าการทดลองสอนดว้ ยตนเองโดยมขี น้ั ตอนดงั น้ี 2.1 ทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ ง ทศนิยม ซึง่ มีท้งั หมด 20 ขอ้ 2.2 เริ่มดาเนินการทดลอง โดยชีแ้ จงให้นกั เรียนทราบถงึ จุดประสงค์การสอนก่อนท่ี จะดาเนินการสอน 2.3 ดาเนนิ การสอนตามแผนการจัดการเรยี นร้ปู ระมาณ 30 นาที และใหท้ าแบบ ฝกึ ทกั ษะท่ีผู้วจิ ยั สร้างข้นึ 20 นาที

31 2.4 หลงั จากสอนโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะครบท้งั 10 แบบฝึกแล้ว จึงทาการทดสอบ หลังเรียน (Post-test) ดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับเดิม กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล ในการวิจัยครัง้ นี้ จะใชส้ ถิติการวเิ คราะหข์ ้อมูล ดังต่อไปนี้ 1. สถิตพิ ืน้ ฐำน 1.1 ร้อยละ (Percentage) โดยคานวณจากสตู ร (สมบัติ ท้ายเรือคา, 2547, หนา้ 108) f p  n  100 เม่ือ p แทน รอ้ ยละ f แทน ความถ่ีของขอ้ มลู n แทน จานวนข้อมลู 1.2 ค่าเฉลยี่ เลขคณิต (Mean) โดยคานวณจากสูตร (สมบตั ิ ทา้ ยเรือคา, 2551, หนา้ 124) x  x n เมอ่ื x แทน ค่าเฉลยี่  x แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมด n แทน จานวน 1.3 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Devilation) โดยคานวณจากสูตร (สมบตั ิ ท้ายเรอื คา, 2547, หน้า 120) S.D.  n x2  ( x)2 n(n 1) เม่อื S.D. แทน ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของคะแนน x แทน คะแนนของแตล่ ะคน n แทน จานวนข้อมลู ทั้งหมด 2. สถิตทิ ีใ่ ช้ในกำรตรวจสอบคุณภำพของเคร่อื งมือ 2.1 สถิตทิ ่ีใช้ในการหาคณุ ภาพของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 2.1.1 ความเท่ยี งทรงตามเนื้อหา (Content Validitty) ของแบบทดสอบวดั ผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ โดยใช้คา่ ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกบั จุดประสงค์ (สมบตั ิ ท้ายเรือคา, 2551, หน้า 101) IOC  R N เมื่อ IOC แทน Index of leem Objiective Congruence

32 R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เชย่ี วชาญ N แทน จานวนผเู้ ชี่ยวชาญ 2.1.2 ค่าความยาก (Difficult : P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณติ ศาสตร์ โดยคานวณจากสตู ร (สมบัติ ทา้ ยเรอื คา, 2551, หน้า 88) P  PH  PL 2n เมอ่ื P แทน ดชั นคี วามยาก PH แทน จานวนคนตอบถกู ในกลุ่มสงู PL แทน จานวนคนตอบถกู ในกลุม่ ตา่ n แทน จานวนผู้ตอบท้งั หมดของกลุม่ สงู และกลมุ่ ตา่ 2.1.3 ค่าอานาจจาแนก (Discriminatin Index : B) ของแบบทดสอบวดั ผล สมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ โดยคานวณจากสูตร (สมบตั ิ ท้ายเรอื คา, 2551, หนา้ 89) B U  L n1 n2 เมอ่ื B แทน คา่ อานาจจาแนกของแบบทดสอบ U แทน จานวนผรู้ อบรู้หรอื ผู้สอบผ่านเกณฑ์ทตี่ อบถูก L แทน จานวนผู้ไมร่ อบรหู้ รือผูส้ อบไมผ่ า่ นเกณฑท์ ี่ตอบถูก n1 แทน จานวนผรู้ อบรู้หรือผสู้ อบผ่านเกณฑ์ n2 แทน จานวนผ้ไู ม่รอบรู้หรือผู้สอบไมผ่ า่ นเกณฑ์ 2.1.4 ค่าความเชื่อมัน่ (Rellabllity) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น โดยใช้วิธขี องคูเดอร์-วิชารต์ สัน (สมบตั ิ ท้ายเรือคา, 2547, หนา้ 93-94) ru  k k 1  p1q1  1  S2x   เมอ่ื ru แทน คา่ ความเชื่อม่ันของแบบทดสอบท้ังฉบับ k แทน จานวนขอ้ สอบ p1 แทน ค่าความยากของข้อสอบข้อที่ 1 q1 แทน 1- p1 S2x แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนสอบ 2.2 สถติ ิที่ใชใ้ นการทดสอบสมมุตฐิ าน 2.2.1 เปรยี บเทียบคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น โดย คานวณจากสูตร t-test for dependent samples (ชูศรี วงศร์ ตั นะ, 2550, หนา้ 179)

33 t  D ;df  n 1 ND2  (D)2 (N 1) เมอ่ื t แทน ค่าสถติ ิทดสอบ t D แทน ผลรวมของคะแนนความแตกต่างระหวา่ งคะแนนหลงั เรยี น และก่อนเรียน D2 แทน ผลรวมของกาลังสองของคะแนนความแตกตา่ งระหวา่ ง คะแนนหลงั เรียน และก่อนเรียน N แทน จานวนนักเรียนในกลุ่มตวั อยา่ ง df แทน ช้นั แห่งความเป็นอิสระ (degree of freedom) 2.2.2 เปรยี บเทียบคา่ เฉล่นี ของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกับเกณฑร์ ้องละ 70 โดย ใชส้ ูตร t-test for one sample (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2550, หน้า134) t  x  0 ; df  n 1 s เมื่อ t n แทน ค่าสถติ ทิ ดสอบ t x แทน ค่าเฉลยี่ ของกลุ่มตัวอย่าง 0 แทน คา่ เฉลีย่ ของกล่มุ ประชากร หรอื เกณฑท์ ต่ี ้งั ขึน้ s แทน ความเบยี่ งเบนมาตรฐานของกลุ่มตวั อยา่ ง df แทน ชัน้ แหง่ ความเป็นอิสระ (degree of freedom) 3. กำรวิเครำะหผ์ ลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น เร่ือง สมกำรเชงิ เส้นสองตัวแปร การวเิ คราะห์ข้อมลู เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรอ่ื ง สมการเชงิ เส้นสองตวั แปร กอ่ นและหลังการจดั การเรยี นรโู้ ดยการจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบกล่มุ ร่วมมือ เทคนิค STAD ของ นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1/1 ใชก้ ารหาค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ และหาค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สว่ นการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลงั การจัดการเรียนร้เู ร่ือง การบวกจานวน เต็ม โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน การจัดการเรียนรู้ เร่ือง สมการเชงิ เส้นสองตวั แปรโดยการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบ กล่มุ ร่วมมือ เทคนิค STAD กับเกณฑร์ ้อยละ 70 ใช้การหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (t-test)

34 บทที่ 4 ผลการวจิ ัย การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวจิ ัยเชงิ ทดลอง เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรวู้ ชิ าคณิตศาสตร์ เรอื่ ง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โดยการใช้การจัดกิจกรรมการ เรียนรูแ้ บบกลุม่ รว่ มมือ เทคนิค STAD ซึง่ ผลการวจิ ัยผู้วจิ ยั ขอเสนอตามลาดับขน้ั ดังตอ่ ไปนี้ 4.1 สัญลักษณท์ ี่ใชใ้ นการนาเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู 4.2 ลาดับขนั้ ในการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 4.3 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เพื่อความสะดวกในการนาเสนอข้อมลู ผู้วิจัยจงึ กาหนดสัญลักษณใ์ นการนาเสนอผลการ วิเคราะห์ข้อมลู ดงั น้ี N แทน จานวนกลุ่มตัวอย่าง x แทน คา่ เฉล่ยี S.D. แทน ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน Max แทน ค่าสงู สุด Min แทน ค่าตา่ สุด D แทน ผลรวมของผลรวมของผลตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นและ หลังเรียนแต่ละตวั ยกกาลังสอง ( D2 ) แทน ผลรวมของผลต่างของกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นทัง้ หมดยก กาลงั สอง t แทน คา่ วกิ ฤตใน t - distribution df แทน ช้นั แหง่ ความอสิ ระ (Degrees of Freedom) ลาดับขั้นในการนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ผ้ศู กึ ษาไดด้ าเนินการวเิ คราะห์ข้อมูลตามลาดบั ขน้ั ดังตอ่ ไปน้ี ตอนท่ี 1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการใช้การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD ตอนที่ 2 เปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นคณิตศาสตร์ เร่อื ง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยการใช้การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบกล่มุ ร่วมมือ เทคนคิ STAD ก่อนเรียนและหลังเรียน ตอนที่ 3 เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้น สองตัวแปร ของนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยการใช้การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD กับเกณฑ์ร้อยละ 70

35 ตอนท่ี 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณติ ศาสตร์ เร่ือง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร ของ นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการใช้การจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD ผวู้ ิจยั ไดน้ าแบบฝกึ ทักษะ เร่ือง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ไปใชใ้ นภาคสนามกบั นักเรียน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา จานวน 34 คน ตามลาดับขัน้ ตอนดังน้ี 1.1 ทดสอบนักเรยี นก่อนใช้กิจกรรม ด้วยแบบทดสอบวดั ความรู้ เรอื่ ง สมการเชงิ เสน้ สอง ตวั แปร จานวน 1 ชดุ มี 20 ขอ้ 1.2 ดาเนินการสอนโดยใช้กจิ กรรมในแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร โดย เรม่ิ จากกจิ กรรมท่ี 1 ไปจนถึงกิจกรรมที่ 9 ตามลาดบั ใช้เวลาแบบฝึกทกั ษะละ 1 คาบ 1.3 ทดสอบนักเรยี นหลงั ใช้กิจกรรม ดว้ ยแบบทดสอบฉบบั เดยี วกนั แบบทดสอบก่อนใช้กิจกรรม เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร แล้วนาผลท่ีได้มาเปรียบเทียบกันด้วยค่าเฉลี่ย ( x ) และส่วน เบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) ตารางที่ 1 แสดงคะแนนของการทดสอบวัดทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ญั หาคณติ สาสตรก์ อ่ น ใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะและหลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมอื เทคนิค STAD เร่ือง สมการ เชงิ เสน้ สองตัวแปร เลขที่ คะแนน ผลตา่ งคะแนน กอ่ นใช้กจิ กรรม หลงั ใชก้ ิจกรรม 1 14 16 2 28 91 3 11 83 48 13 5 57 15 8 6 11 92 78 11 3 87 14 7 9 13 16 5 10 14 16 2 11 15 17 2 12 15 18 3 13 12 14 2 14 10 15 5 16 11 14 3 17 12 15 3 18 9 12 3 19 8 15 5

36 ตารางท่ี 1 (ต่อ) เลขท่ี คะแนน ความแตกต่างของ ก่อนใช้ชดุ ฝกึ ทักษะ หลังใชช้ ดุ ฝกึ ทกั ษะ คะแนน 20 12 14 2 21 12 18 6 22 12 18 6 23 12 15 3 24 13 15 2 25 12 14 2 26 11 15 4 27 10 14 4 28 12 14 2 29 11 12 1 30 9 14 5 31 8 11 3 32 13 16 3 33 9 14 5 34 15 17 2 เฉล่ยี 11.03 14.18 3.45 S.D 2.98 3.46 - จากตาราง 1 จะเห็นวา่ ความแตกต่างของคะแนนการทดสอบก่อนใชแ้ ละหลงั ใช้กจิ กรรม การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนเป็น รายบุคคล จานวน 34 คน มคี วามแตกตา่ งของคะแนน 32 คน คอื คะแนนของการทดสอบ หลงั ใช้แบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง สมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร จะสูงกว่าคะแนนกอ่ นการใช้ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัว และมี 2 คน ท่ีคะแนนลดน้อยลง แสดงวา่ เมื่อนักเรยี นไดเ้ รียนโดยใช้กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกลุม่ รว่ มมือ เทคนิค STAD เรื่อง สมการเชิงเส้นสองตัว นกั เรยี นมที กั ษะเร่ืองสมการเชิงเสน้ สองตวั แปรสูงข้ึน ตอนที่ 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นคณิตศาสตร์ เร่ือง สมการเชงิ เสน้ สอง ตวั แปร ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น ตารางที่ 2 การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ เรือ่ ง สมการเชิงเส้นสอง ตัวแปร ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โดยการใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือเทคนิค STAD กอ่ นเรยี นและหลังเรียน

37 สภาพการณ์ N คะแนนเต็ม X SD. t p ก่อนเรียน 34 20 11.03 2.98 11.03* 0.000 หลังเรียน 34 20 14.18 3.46 *มีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 จากตารางที่ 2 พบว่า การทดลองก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 มคี ะแนนเฉลยี่ เท่ากบั 11.03 คะแนน และ 14.18 คะแนน ตามลาดับ และเมื่อเปรียบเทียบ ระหวา่ งคะแนนก่อนและหลงั พบว่า คะแนนสอบหลงั เรยี นของนักเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น อย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ .05 ตอนท่ี 3 เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ือง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โดยการใชก้ ารจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกล่มุ ร่วมมือ เทคนิค STAD กับเกณฑร์ ้อยละ 70 ตารางท่ี 3 เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนคณิตศาสตร์ เรอ่ื งสมการเชิงเส้นสองตวั แปร ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยการใช้การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD กับเกณฑร์ อ้ ยละ 70 (จาแนกรายคน) หลังเรยี น เลขที่ คะแนน คะแนนร้อยละ ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 (20) (100) 1 16 80 ผ่าน 2 9 45 ไมผ่ ่าน 3 8 40 ไม่ผา่ น 4 13 65 ไมผ่ ่าน 5 15 75 ผา่ น 6 9 45 ไม่ผา่ น 7 11 55 ไม่ผา่ น 8 14 70 ผา่ น 9 16 80 ผ่าน 10 16 80 ผ่าน 11 17 85 ผา่ น 12 18 90 ผา่ น 13 14 70 ผ่าน 14 15 75 ผา่ น 16 14 70 ผา่ น

38 เลขที่ คะแนน หลงั เรยี น ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 (20) คะแนนร้อยละ 17 15 (100) ผ่าน 18 12 75 ไมผ่ า่ น 19 15 60 ผา่ น 20 14 75 ผ่าน 21 18 70 ผ่าน 22 18 90 ผา่ น 23 15 90 ผา่ น 24 15 75 ผา่ น 25 14 75 ผา่ น 26 15 70 ผ่าน 27 14 75 ผ่าน 28 14 70 ผา่ น 29 12 70 ไม่ผ่าน 30 14 60 ผ่าน 31 11 70 ไมผ่ ่าน 32 16 55 ผ่าน 33 14 80 ผ่าน 34 17 70 ผา่ น 85 ผ่านเกณฑ์ 24 คน คะแนนเฉลี่ย 14.18 (คดิ เป็นร้อยละ 70.58) 70.90 จากตารางที่ 3 พบวา่ หลังการใช้บทเรยี นโปรแกรม นักเรียนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรือ่ ง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 ทีก่ าหนด จานวน 24 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 70.58 ของนักเรียนท้ังหมด

39 บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนีม้ วี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียน ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา เร่ืองสมการเชงิ เส้นสองตัวแปร โดยการจัดกจิ กรรม การเรยี นรแู้ บบกลุ่มรว่ มมือ เทคนคิ STAD กอ่ นเรียนและหลงั เรยี น 2) เพื่อเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง สมการเชงิ เส้นสองตวั แปร ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โดย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ืองสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ประชากรที่ใช้ในการวจิ ยั ได้แก่ นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาท่ี 1 / 1 โรงเรยี นเทพสถติ วทิ ยา อาเภอเทพสถติ จังหวดั ชยั ภูมิ สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 30 ท่กี าลงั เรียนในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จานวน 1 หอ้ งเรยี น จานวน 34 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ย 1) แผนการจัดการเรียนรโู้ ดยการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 9 แผน 2) ชุดกจิ กรรมการการเรยี นรแู้ บบกลมุ่ รว่ มมอื เทคนิค STAD เร่ือง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร วชิ าคณิตศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 จานวน 9 ชุด และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง เร่ือง สมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 ผวู้ ิจัยสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นขนึ้ เปน็ ขอ้ สอบ ปรนยั 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ้ การเก็บรวบรวมข้อมูล ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD เรอ่ื ง สมการเชงิ เส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยกาหนดวนั เวลา ทีใ่ ชใ้ นการ ทดลอง คือ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 จานวน 11 ชว่ั โมง การวเิ คราะห์ข้อมลู เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เร่ือง สมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร ของ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 กอ่ นและหลังการจดั การเรียนรโู้ ดยจดั กิจกรรมการเรยี นร้แู บบกล่มุ ร่วมมอื เทคนิค STAD ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1/1 ใช้การหาคา่ เฉลี่ย คา่ รอ้ ยละ และหาค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ก่อนและหลังการจดั การเรียนรู้ เรอื่ ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยจดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบ กลมุ่ รว่ มมือ เทคนิค STAD การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น การจัดการเรียนรู้ เรื่อง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือ เทคนิค STAD กับ เกณฑร์ ้อยละ 70 ใช้การหาค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) สรุปผลการวิจัย จากการวิจยั เพื่อศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรื่อง สมการเชิงเสน้ สองตวั แปร ของนกั เรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบกลุ่มร่วมมอื เทคนิค STAD ผลการวิจยั สรุปได้ ดงั น้ี

40 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรื่อง เร่ือง สมการเชิงเสน้ สองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปที ่ี 1 โดยจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนคิ STAD นักเรยี นได้คะแนนเฉล่ยี ท่ากบั 14.18 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน โดยนักเรียนมีคะแนนพฒั นาการเฉลี่ยเท่ากับ 3.51 คะแนน 2. ผลสมั ฤทธทิ์ างการ เรอื่ ง สมการเชงิ เส้นสองตวั แปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือ เทคนิค STAD โรงเรยี นเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพ สถิต จังหวดั ชยั ภมู ิ หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี น อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 3. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เรือ่ ง สมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 1 โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD โรงเรียนเทพสถิตวทิ ยา อาเภอเทพสถิต จงั หวดั ชัยภูมิ สงู กวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70 อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 การอภปิ รายผล การวจิ ัยเพอ่ื ศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เร่อื ง พหุนามและเศษส่วนของพหุนาม ของ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โดยการใช้แบบฝกึ เสริมทักษะคณิตศาสตร์ ผูว้ ิจยั ได้นามาอภิปรายผล ดงั น้ี 1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เร่อื ง สมการเชิงเส้นสองตวั แปร ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปี ที่ 1 โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค STAD นักเรยี นได้คะแนนเฉลยี่ ทา่ กับ 14.18 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน โดยนักเรียนมีคะแนนพฒั นาการเฉลย่ี เท่ากับ 3.51 คะแนน แสดงว่าการจดั การเรียนรู้ เรียน เร่อื ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ เทคนิค STAD สามารถทาให้นกั เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มขน้ึ สอดคล้องกับงานวิจัยของสุคนธ์ ยั่งยืน (2549) ; วิไลลักษณ์ มีทิศ (2551) ; นัชนันท์ กมขุนทด (2553) ทไ่ี ด้วิจัยและพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกเสรมิ ทักษะ ท่ีพบว่านกั เรยี น ทุกคนมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนเพิ่มขน้ึ 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอื่ ง สมการเชงิ เสน้ สองตวั แปร ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยจัดกิจกรรมการเรียนร้แู บบกล่มุ ร่วมมือ เทคนิค STAD โรงเรียนเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถิต จงั หวัดชัยภูมิ หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 เปน็ ไปตามสมมุติฐาน ทต่ี ง้ั ไว้ ทั้งน้ีอาจเน่ืองจากลักษณะกิจกรรมการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พหุนามและเศษส่วน ของพหนุ าม เป็นการเสนอส่ือท่ีนักเรียนสามารถนาสื่อไปเรยี นร้ใู นแหลง่ เรียนรู้ สถานที่ทีต่ นชอบได้ ทาให้ผู้เรยี นมคี วามกระตือรือรน้ ทจ่ี ะเรยี น เปน็ การเรยี นการสอนท่เี นน้ ใหผ้ เู้ รียนไดค้ ้นพบหลักการ ความเข้าใจเน้ือหาได้ตามความสามารถของแต่ละคน ไม่เสียเวลารอเพื่อน และการเรียนจากกจิ กรรมนน้ั ผสู้ อนเป็นเพยี งผู้คอยชแี้ นะในการเรียนเท่าน้ัน และเรียนเน้ือหาทลี ะน้อยค่อยฝกึ หดั เพื่อใหผ้ เู้ รยี น เกิดความอยากเรยี นต่อจนบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี ้ังเอาไว้ 3. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง สมการเชงิ เสน้ สองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกลมุ่ ร่วมมือ เทคนิค STAD โรงเรียนเทพสถิตวิทยา อาเภอเทพสถิต จงั หวดั ชัยภมู ิ สูงกวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมตุ ฐิ าน ทต่ี ั้งไว้ ทาให้นักเรียนทุกคนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นข้อดีที่ชว่ ยยกระดับคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เฉลี่ยทั้งห้องเรียนให้บรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนด สอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของสุคนธ์ ย่ังยืน (2549) ;

41 วไิ ลลกั ษณ์ มีทิศ (2551) ; นชั นันท์ กมขนุ ทด (2553) ท่ีพบว่าการจัดกจิ กรรมการเรียนร้โู ดยใช้ แบบฝึกเสรมิ ทักษะ ทาใหผ้ ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงกวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70 ขอ้ เสนอแนะ จากผลการวิจัย ผูว้ ิจยั มขี ้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1. ขอ้ เสนอแนะจากการทาวิจยั คร้ังนี้ 1.1 แบบฝกึ เสรมิ ทักษะไม่ควรมีเนอ้ื หาในแต่ละหน่วยมากเกนิ ไป จะทาให้ผู้เรียนเกดิ ความเบือ่ หนา่ ยได้ 1.2 ระยะเวลาในการทากจิ กรรมแต่ละครง้ั ไม่ควรใชร้ ะยะเวลาสัน้ หรือนานเกินไป เพราะ ระยะเวลาทส่ี ้ันเกนิ ไปนักเรยี นจะไม่เกิดการเรยี นรใู้ นเรอ่ื งน้ัน ๆ และถา้ ระยะเวลานานเกนิ ไปจะทาให้ นกั เรียนเกิดความเบ่ือหน่ายได้ 1.3 ในการรว่ มกจิ กรรมในแตล่ ะคร้ัง ครตู ้องเฉลยแบบฝึกทกั ษะทีถ่ ูกต้องในแต่ละเน้ือหา ทนั ทีหลังจากนักเรยี นได้ทากิจกรรมส้ินสดุ เพอื่ ใหน้ กั เรยี นแก้ไข 1.4 การจัดการเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะควรมบี รรยากาศท่สี ่งเสริมการ เรยี นรู้ของผู้เรยี น 2. ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยครัง้ ตอ่ ไป 2.1 ควรศกึ ษาโดยใช้แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะท่ีเน้นสอื่ แบบอื่นบ้างนอกจากส่อื ส่ิงพมิ พ์ เช่น ชดุ การสอนทีเ่ นน้ สื่ออเิ ล็กทรอนกิ ส์ เปน็ ต้น 2.2 ควรศกึ ษาการสร้างแบบฝกึ ทักษะ สาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ในเนื้อหา อ่ืน ๆ เพ่ือรวบรวมจัดเปน็ แบบฝึกทกั ษะและนาไปใชใ้ นการเรยี นการสอนนักเรียนใหม้ ีประสิทธภิ าพ ยง่ิ ข้ึน 2.3 ควรมกี ารศึกษาแบบการเรยี นรูข้ องผเู้ รยี นเพือ่ ทจี่ ะเปน็ ขอ้ มลู ในการเลือกใชส้ ือ่ การ เรยี นการสอนทีจ่ ะพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของผเู้ รียน

42 บรรณานกุ รม กติกา สวุ รรณสมพงศ์. (2541). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ความคงทนในการเรียนรู้ และเจตคตติ ่อวชิ าคณิตศาสตร์ เรอื่ ง เวลาและเงินของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โดยได้รับการสอนแบบวรรณีท่ีใช้แบบฝึกหดั ทสี่ ร้างข้ึนกับใชแ้ บบฝึกหดั ในหนังสอื เรยี น. ปริญญานิพนธก์ ารศกึ ษามหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551ก). ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช. จรงุ วงศ์คา. (2550). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น สาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะกบั วิธีการ สอนแบบปกติ. ปริญญานพิ นธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลกั สตู รและการสอน บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยราชภัฏบรุ ีรมั ย.์ ชมนาด เช้อื สุวรรณทวี. (2542). การสอนคณติ ศาสตร์. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยศรนี ครินทร์วโิ รฒ. ประสานมติ ร แคทลียา ใจมลู . ผลการจดั การเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนิค STAD ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ เรอื่ ง อตั ราสว่ นและร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นห้วยสา้ นยาววิทยา สานักงาน เขตพ้ืนท่ีการศึกษาเชยี งราย เขต 2. วิทยานิพนธ์ ค.ม.เชียงราย : มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย ประชิด วีระพงษ์. (2550). การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการหาร ของนกั เรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นปา่ โมง อาเภอเดชอุดม จังหวดั อุบลราชธานี. กรุงเทพฯ : สานักงานศนู ย์เครอื ข่ายครวู ทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลย.ี เยาวรตั น์ คมั ภบ์ ญุ ยอ. (2550). ผลของการเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยรายบคุ คลรว่ มกบั แบบ ฝกึ ทกั ษะ วิชาคณิตศาสตร์ประยกุ ต์ 2 ของนักเรยี นระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชน้ั ปี ที่ 2. ปริญญานิพนธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑิต. สนุ นั ทา สุนทรประเสริฐ. (2544). การผลติ นวัตกรรมการเรยี นการสอน (เลม่ 2) การสร้างแบบฝกึ . (ม.ป.ท.) : ชมรมพัฒนาความรูด้ ้านระเบยี บกฎหมาย. สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2553). แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรบั ปรุง (พ.ศ.2552-2559) ฉบับสรปุ . กรงุ เทพฯ : สกศ.

49 ประวตั ิส่วนตัว ช่อื นางสาวกรรณกิ า ลกิ ัลตา เกดิ 20 กนั ยายน 2535 สถานที่เกดิ จงั หวัดชัยภมู ิ สถานท่อี ยู่ปจั จุบัน 40 หมู่ 11 ตาบล บา้ นเด่ือ อาเภอ เกษตรสมบูรณ์ จงั หวดั ชัยภูมิ 36120 สถานทท่ี างานปจั จุบนั โรงเรยี นเทพสถติ วิทยา ตาบลวะตะแบก อาเภอเทพสถติ จังหวดั ชัยภูมิ รหัสไปรษณี 36230 ประวตั ิการทางาน พ.ศ. 2559 ครอู ตั ราจ้างช่วั คราว โรงเรยี นบญุ เหลือวทิ ยานสุ รณ์ 2 อาเภอพระทองคา จงั หวัดนครราชสมี า ปจั จุบนั บรรจขุ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ตาแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย โรงเรียนเทพสถติ วทิ ยา อาเภอเทพสถิต จังหวัดชยั ภมู ิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook