ห นั ง สื อ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ชอื มโยง (CONNECTIONISM THEORY) ธอร์นไดค์ (EDWARD L. THORNDIKE)
คํานาํ หนังสอื อิเล็กทรอนิกสฉ์ บบั นีเปนสว่ นหนึงของรายวชิ า พฤติกรรมการสอนนวตั กรรมและคอมพวิ เตอร์ เพอื ศึกษา หาความรูใ้ นเรอื งทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ชอื มโยง (Connectionism Theory) ซงึ รหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ ฉบบั นีประกอบด้วย หลักการ การทดลอง ผลการทดลอง กฎการเรยี นรู้ และแนวทางการนําไปประยุกต์ใช ้ ผจู้ ดั ทําได้เลือก หวั ขอ้ นีในการทํารายงานฉบบั นี อันเนืองมาจากเปนเรอื งทีน่าสนใจและจะเปนแนวทางแก่ ผทู้ ีกําลังศึกษาหรอื ผทู้ ีสนใจในเรอื งทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ชอื มโยง (ConnectionismTheory)ผจู้ ดั ทําหวงั วา่ หนังสอื อิเล็ก ทรอนิกสฉ์ บบั นีจะใหค้ วามรูแ้ ละเปนประโยชน์แก่ผอู้ ่าน ทกุ ๆ ท่าน และหากมขี อ้ แนะนําหรอื ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผจู้ ดั ทําขอน้อมรบั ไวแ้ ละขออภัย มา ณ ทีนีด้วย นางสาวไอรดา โพธารนิ ทร์ ผจู้ ดั ทํา
สารบัญ หน้า ก เรอื ง ข คํานํา 1 สารบญั 2 ทฤษฎีความสมั พนั ธเ์ ชอื มโยงของธอรน์ ไดค์ 3 หลักการเรยี นรู้ 4 การทดลอง 5 ผลการทดลอง 6 สรุปผลการทดลอง 9 กฎการเรยี นรู้ การประยุกต์ใชใ้ นด้านการเรยี นการสอน 12 ผจู้ ดั ทํา 13 เอกสารอ้างอิง
1 ทฤษฎีความสมั พนั ธเ์ ชอื มโยงของธอรน์ ไดค์ ธอรน์ ไดค์ได้ใหก้ ําเนิดทฤษฎีการเรยี นรูท้ ีเน้นความ สมั พนั ธเ์ ชอื มโยงระหวา่ งสงิ เรา้ (S) กับ การตอบสนอง (R) เขาเชอื วา่ การเรยี นรูจ้ ะเกิดขนึ ได้ต้องสรา้ งสงิ เชอื มโยง หรอื พนั ธะ (Bond) ระหวา่ ง สงิ เรา้ กับการตอบสนอง จงึ เรยี ก ทฤษฎีวา่ ทฤษฎีพนั ธะระหวา่ งสงิ เรา้ กับการตอบสนอง (ConnectionismTheory) หรอื ทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ชอื มโยง (Connectionism Theory)
2 หลักการเรยี นรู้ ทฤษฎีสมั พนั ธเ์ ชอื มโยงของธอรน์ ไดค์ กล่าวถึง การเชอื มโยงระหวา่ งสงิ เรา้ กับการตอบสนอง โดยมหี ลัก พนื ฐานวา่ “การเรยี นรูเ้ กิดจากการเชอื มโยงระหวา่ งสงิ เรา้ กับการตอบสนองทีมกั จะออกมา ในรูปแบบต่าง ๆ หลายรูป แบบ โดยการลองถกู ลองผดิ จนกวา่ จะพบรูปแบบทีดหี รอื เหมาะสมทีสดุ ” ธอรน์ ไดค์ได้ทําการทดลองพบวา่ การเรยี นรูข้ อง อินทรยี ์ ทีด้อยความสามารถเกิดจากการลองผดิ ลองถกู ( Trial and Error ) ซงึ ต่อมาเขานิยมเรยี กวา่ การเรยี นรู้ แบบเชอื มโยง
3 การทดลอง ธอรน์ ไดค์ใชแ้ มวอายุ 8 เดือน เปนสตั วท์ ดลอง โดยก่อนการทดลองได้สรา้ งแรงขบั ใหเ้ กิดกับ แมวก่อน คือใหแ้ มวอดอาหารจนหวิ แล้วนําแมวทีหวิ ใสห่ บี กล และที หน้าประตหู บี กลก็มจี านวางล่อไว้ ในระยะทีเหมาะสม ไมใ่ หใ้ กล้นักจนแมวใชเ้ ท้าเขยี ปลาได้ และไมห่ า่ งนักจน แมวมองไมเ่ หน็ ทังนีเพอื ให้ แมวมองเหน็ ปญหาและ พยายามหาทางออกมากินปลาทีอยูห่ น้าประตหู บี กลใหไ้ ด้ ธอรน์ ไดค์ใชเ้ วลา 5 วนั ในการทดลอง โดยแบง่ เปนชว่ งเชา้ และบา่ ย วนั ละ 20 ครงั รวมเปน 100 ครงั และเมอื ทดลอง ครบ 10 ครงั แมวจะได้กินอาหารและหยุดพกั
4 ผลการทดลอง 1. ระยะแรก ๆ ของการทดลอง แมวมปี ฏิกิรยิ าตอบ สนองหลาย ๆ อยา่ ง เชน่ กัด ขว่ น ตะกยุ เดนิ รอบ ๆ ตะกายบนผนัง เปนต้น 2. การทดลองมากครงั ทําใหแ้ มวไปเหยยี บคานโดย บงั เอิญ มผี ลทําใหป้ ระตหู บี กลเปดออก และแมวก็ออกไป กินปลาได้ตามต้องการ 3. การทดลองทีเพมิ มากขนึ ๆ จะทําใหพ้ ฤติกรรม การเดาสมุ่ ของแมวลดลงและในทีสดุ แมว สามารถเหยยี บ คานไม้ ทําใหป้ ระตหู บี กลเปดออก และออกมากินอาหารได้ โดยไมต่ ้องเสยี เวลาลองผดิ ลองถกู อีกเลย
5 สรปุ ผลการทดลอง ธอรน์ ไดค์อธบิ ายวา่ การตอบสนองของแมวเพอื แก้ ปญหาในสถานการณ์นัน เปนการตอบสนอง แบบสมุ่ หรอื ลองผดิ ลองถกู กล่าวคือ การทีแมวเกิดการเรยี นรกู้ ารเปด ประตกู ลออกมากินอาหารได้นัน ครงั แรก ๆ เปนการบงั เอิญ หรอื โดยไมต่ ังใจ หรอื ไมไ่ ดว้ างแผนมาก่อน แต่เปนการเดาสมุ่ หรอื ลองผดิ ลองถกู และเมอื พบวธิ แี ก้ ปญหาได้ แมวจงึ เลือกใชว้ ธิ นี ันอีกในคราวต่อไป
6 กฏการเรยี นรู้ 1. กฎแหง่ ความพรอ้ ม (Law of Readiness) หมายถึง สภาพความพรอ้ มหรอื ความมวี ุฒภิ าวะ ภาวะของเด็กทัง ทางรา่ งกาย อวยั วะต่าง ๆ ในการเรยี นรู้ และจติ ใจ รวมทัง พนื ฐานประสบการณ์เดิม สภาพความพรอ้ มของ หู ตา ประสาท สมอง กล้ามเนือ ประสบการณ์เดิมทีจะเชอื มโยง ความรูใ้ หม่ หรอื สงิ ใหม่ ตลอดจนความสนใจ ความเขา้ ใจต่อ สงิ ทีจะเรยี น ถ้าเด็กมคี วามพรอ้ มตามองค์ประกอบ ต่าง ๆ ดังกล่าว ก็จะทําใหเ้ ด็กเกิดการเรยี นรไู้ ด้
7 กฏการเรยี นรู้ 2. กฎแหง่ การฝกหดั หมายถึง การทีผเู้ รยี นไดฝ้ กหดั หรอื กระทําซาํ ๆ บอ่ ย ๆ ยอ่ มจะทําใหเ้ กิดความสมบูรณ์ถกู ต้อง ซงึ กฎนีเปนการเน้นความมนั คงระหวา่ งการเชอื มโยง และการตอบสนองที ถกู ต้องยอ่ มนํามาซงึ ความสมบูรณ์ กฎแหง่ การฝกหดั แบง่ ออกเปน 2.1 กฎแหง่ การใช้ หมายถึง การฝกฝน การตอบ สนองอยา่ งใดอยา่ งหนึงอยูเ่ สมอ เมอื ได้เรยี นรูส้ งิ ใดแล้ว ได้นําไปใชอ้ ยูเ่ ปนประจาํ ก็จะทําใหค้ วามรูค้ งอยูค่ งทนถาวร และไมล่ ืม 2.2 กฎแหง่ การไมใ่ ช้ หมายถึง การไมไ่ ดฝ้ กฝนหรอื ไมไ่ ด้ใช้ ไมไ่ ด้ทําบอ่ ย ๆ เมอื บุคคลได้เกิดการ เรยี นรแู้ ล้ว แต่ ไมไ่ ด้นําความรูไ้ ปใชห้ รอื ไมเ่ คยใช้ ยอ่ มทําใหก้ ารทํากิจกรรม นันไมด่ ีเท่าทีควร หรอื อาจ ทําใหค้ วามรูน้ ันลืมเลือนไปได้
8 กฏการเรยี นรู้ 3. กฎแหง่ ความพงึ พอใจ กฎนีเปนผลทีทําใหเ้ กิดความ พอใจ กล่าวคือ เมอื อินทรยี ไ์ ด้รบั ความพอใจ จะทําใหพ้ นั ธะ หรอื สงิ เชอื มโยงระหวา่ งสงิ เรา้ กับการตอบสนองมคี วาม เขม้ แขง็ มนั คง ในทางกลับกันหากอินทรยี ไ์ ด้รบั ความไม่ พอใจ จะทําใหพ้ นั ธะหรอื สงิ เชอื มโยงระหวา่ งสงิ เรา้ กับการ ตอบสนองอ่อนกําลังลง หรอื อาจกล่าวได้วา่ หากอินทรยี ไ์ ด้ รบั ความพอใจจากผลของการกระทํากิจกรรม ก็จะเกิดผลดี กับการเรยี นรู้ ทําใหอ้ ินทรยี อ์ ยากเรยี นรูเ้ พมิ มากขนึ อีก และในทางตรงกันขา้ มหากอินทรยี ์ ได้รบั ผลทีไมพ่ อใจ ก็จะทําใหไ้ มอ่ ยากเรยี นรูห้ รอื เบอื หน่ายและเปนผลเสยี ต่อ การเรยี นรู้
9 การประยุกต์ใชใ้ นดา้ นการเรยี นการสอน 1. ในการเรยี นการสอนครูต้องใหค้ วามสาํ คัญ และความ เขา้ ใจในความแตกต่างของผเู้ รยี น ทังแตกต่างทางดา้ น อารมณ์ด้านความชอบ ความสนใจ การตอบสนองได้ไมเ่ ท่า กัน ต้องสรา้ งทัศนคติ ทีดีเกียวกับเนือหาวชิ าทีเรยี นใหก้ ับผู้ เรยี น เชน่ ชใี หเ้ หน็ ประโยชน์ หาบุคคลตัวอยา่ งทีประสบ ความสาํ เรจ็ เปนต้น 2. การวางเงือนไข ครูควรมกี ารวางเงือนไขในการเรยี น เชน่ หากผเู้ รยี นสอบหรอื ทําผลงานได้สาํ เรจ็ จะใหท้ ํา กิจกรรมนันทนาการเพอื คลายความเครยี ด เปนต้น และ ควรใชก้ ารวางเงือนไขทีแตกต่างกัน ไมใ่ ชใ่ ชเ้ พยี งเงือนไข เดียวอาจจะเปนการใหผ้ เู้ รยี นทํากิจกรรมสนุก ๆ การเล่น เกม การพาไป ทัศนศึกษา การใหด้ วู ดิ ีโอ
10 การประยุกต์ใชใ้ นดา้ นการเรยี นการสอน 3. ในการสอน ควรมกี ารใชก้ ารเสรมิ แรงทางบวกแก่ผู้ เรยี น เชน่ การใหค้ ะแนน การให้ ของรางวลั การกล่าวคํา ชมเชย เปนการกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดพฤติกรรมทีพงึ ประสงค์ และควรสงั เกตวา่ การเสรมิ แรง แบบใดทีผเู้ รยี น ชอบสง่ ผลต่อการตอบสนองพฤติกรรมทีดี ควรมกี ารใช้ การเสรมิ แรงทีหลากหลาย 4. ครูผสู้ อนไมค่ วรใชก้ ารลงโทษทีรุนแรงเกินไป เพราะนอกจากจะไมเ่ กิดการเรยี นรูแ้ ล้ว ยงั ทําใหผ้ เู้ รยี นผู้ เรยี นเกิดความอคติอีกด้วย ควรใชว้ ธิ กี ารงดการเสรมิ แรง เมอื ผเู้ รยี นมพี ฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงค์
11 การประยุกต์ใชใ้ นดา้ นการเรยี นการสอน 5. ก่อนดําเนินการสอนครูต้องคํานึงถึงความพรอ้ มของ ผเู้ รยี นทังด้านรา่ งกาย ด้านอารมณ์ ด้านอุปกรณ์การเรยี น และครูผสู้ อนต้องสรา้ งความพรอ้ มทางความรูใ้ หก้ ับผเู้ รยี น ด้วย คือการอธบิ ายของความรูเ้ ดิมเพอื ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการจาํ ได้ถึงเนือหาก่อนหน้าทีเคยศึกษาใหส้ ามารถเชอื มโยงความ รูไ้ ด้ 6. ครูผสู้ อนควรมกี ารกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดการฝกหดั คือ การใหก้ ารบา้ น การใหท้ ําแบบฝกหดั บอ่ ย ๆ แต่ควรแบบฝกหดั ทีเปนเรอื งเดียวกันแต่มรี ูปแบบที หลากหลาย เพอื ไมใ่ หผ้ เู้ รยี นเกิดความเบอื หน่าย
ผจู้ ดั ทํา นางสาวไอรดา โพธารนิ ทร์ รหสั 60101209138 สาขาวชิ านวตั กรรมและคอมพวิ เตอรศ์ ึกษา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร
อ้างอิง มณั ฑรา ธรรมบุศย.์ ทฤษฎีการเรยี นรูข้ องธอรน์ ไดค์. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : https: //sites.google.com /site/psychologybkf1. (วนั ทีค้นขอ้ มูล : 4 สงิ หาคม 2563). สวุ รรณา มวี ฒั นะ. (2554). การศึกษาความสามารถในการปฏิบตั ิ อยา่ งอิสระตามตารางกิจกรรมของเด็กปฐมวยั ทีมคี วาม บกพรอ่ งทางสติปญญาระดับเล็กน้อยจากการสอนโดย ใชต้ ารางกิจกรรมทีมภี าพประกอบรว่ มกับเบยี อรรถกร. ปรญิ ญานิพนธ.์ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. 28-32
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: