Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาอุโบสถศีล ธ.ศ.โท

วิชาอุโบสถศีล ธ.ศ.โท

Published by suttasilo, 2021-07-07 21:55:33

Description: วิชาอุโบสถศีล ธรรมศึกษาโท

Keywords: หนังสือเรียน,วิชาอุโบสถศีล,ธรรมศึกษาโท

Search

Read the Text Version

˹§Ñ Ê×ÍàÃÂÕ ¹ ÇªÔ ÒÍâØ ºÊ¶ÈÅÕ ¸ÃÃÁÈÖ¡ÉÒâ·

อโุ บสถศีล หลกั สตู รวิชาวินัย ธรรมศึกษาชั้นโท  ศีล ศลี เป็นเครื่องควบคมุ ความประพฤตทิ างกาย วาจา ใหอ้ ยใู่ นสภาพท่ี เรียบรอ้ ยดีงาม พน้ จากความเบยี ดเบียนและเป็นเคร่อื งรองรบั กศุ ลธรรมชนั้ สงู ย่ิง ๆ ขนึ้ ไป จนถงึ มรรค ผล นิพพาน อนั เป็นเป้าหมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนิกชน กอ่ นจะบาํ เพญ็ กศุ ลอย่างอ่นื จงึ ตอ้ งสมาทานศลี ก่อน และก่อนแตจ่ ะ สมาทานศีล จะเป็นศลี ๕ ศีล ๘ อโุ บสถศลี หรอื ศีล ๑๐ กต็ าม ลว้ นตอ้ ง เปล่งวาจาถึงพระรตั นตรยั ว่าเป็น สรณะ กอ่ นทงั้ สนิ้ ดงั นนั้ ก่อนท่ีจะอธิบายอโุ บสถศีล จึงขออธิบายพระรตั นตรยั โดยยอ่ พอให้ ผศู้ กึ ษาทราบความเป็นมา ความหมาย และวธิ ีปฏบิ ตั ทิ ีถ่ กู ตอ้ ง เพอื่ ป้องกนั บาป อกศุ ลทจี่ ะเกดิ ขึน้ จากการปฏบิ ตั ผิ ิด และเพอ่ื เป็นบญุ กศุ ลท่ีจะเกดิ ขึน้ จากการปฏิบตั ิชอบต่อ พระรตั นตรยั ----------------------------------

๑๗๓ พระรัตนตรัย พระรตั นตรยั คือพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ มี ความสาํ คญั ทีส่ ดุ สาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน เพราะเป็นเสมือนประตทู ่จี ะเขา้ มาสู่ พระพทุ ธศาสนา ผทู้ ีเ่ ขา้ มาส่พู ระพทุ ธศาสนาจะเป็นมนษุ ยห์ รือเทวดา จะเขา้ มาในฐานะ เป็นภกิ ษุ ภิกษุณี อบุ าสกหรืออบุ าสิกาก็ตาม ลว้ นแตต่ อ้ งเขา้ มาทางพระรตั นตรยั ทงั้ สิน้ ดว้ ยความเคารพนบั ถือ บชู า และศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ พระธรรม หรอื พระสงฆ์ จึงไดเ้ ขา้ มาและการจะไดเ้ ป็นภิกษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก และอบุ าสกิ า กล็ ว้ นแต่ตอ้ งเปลง่ วาจาว่า พทุ ฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉา มิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ฯ ทัง้ สิน้ เพราะฉะนนั้ พระรตั นตรยั จงึ เป็นเร่ืองทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนควรศกึ ษา เพอ่ื ความ เขา้ ใจและปฏบิ ตั ไิ ดถ้ กู ตอ้ ง ตามหวั ขอ้ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ใครเป็ นผกู้ ลา่ วเป็ นครัง้ แรก ถามว่า คาํ วา่ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺ ฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ ใครเป็นผกู้ ล่าวเป็นครงั้ แรก ? ตอบวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั เป็นครงั้ แรก ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี ในโอกาสทท่ี รงสง่ พระอรหนั ต์ ๖๐ รูป ไปประกาศพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื เป็นการใหบ้ รรพชาอปุ สมบทแก่ผทู้ ศ่ี รทั ธาปรารถนาใครจ่ ะบวชในพระพทุ ธศาสนา ดงั พระพทุ ธดาํ รสั ว่า ผมู้ งุ่ บรรพชาอปุ สมบทอนั ภิกษุพึงใหป้ ลงผมและหนวดก่อน แลว้ ใหน้ งุ่ หม่ ผา้ กาสายะ ใหก้ ราบเทา้ ภกิ ษุทงั้ หลาย แลว้ พึงสอนใหว้ ่าตามว่า พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมฺมํ สรณํ คจฉฺ ามิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ฯ ตตยิ มปฺ ิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ

๑๗๔ ๒. ความหมายของคาํ วา่ พุทธะ ธรรมะ และสังฆะ คาํ ว่า พทุ ธะ โดยอรรถะ คือความหมาย ไดแ้ ก่บคุ คลพิเศษทีม่ ขี นั ธ สนั ดานอนั อบรมดว้ ยบารมีธรรมมายาวนาน อยา่ งตา่ํ ท่สี ดุ ๔ อสงไขย กบั อีก ๑ แสนกปั จนไดบ้ รรลุอนตุ ตรวิโมกข์ อันเป็ นเหตใุ ห้เกดิ อนาวรณญาณ (ความ รูอ้ ะไรได้ตลอด )หรอื ไดร้ ูย้ ิ่งซงึ่ สจั จะทงั้ หลาย อนั เป็นปทฏั ฐานแหง่ สพั พญั �ตุ ญาณ ส่วนโดยพยญั ชนะ คาํ วา่ พุทธะ แปลไดม้ ากมายหลายนยั แตท่ ่ีทราบ กนั โดยมาก แปลวา่ ผูร้ ู้ และทรงสอนให้ผอู้ ื่นรู้ ผู้ตืน่ และทรงปลุกให้ ผูอ้ น่ื ต่นื จากความหลับด้วยอาํ นาจของกเิ ลส ผเู้ บกิ บาน คอื เป็ นผรู้ ู้แลว้ สามารถกาํ จดั กเิ ลสให้สิน้ ไปจากขันธสนั ดานไปดว้ ย มิใช่รู้อยา่ งเดยี ว คาํ ว่า ธัมมะ ( ธรรม ) แปลวา่ สภาพที่ทรงไว้ โดยความหมายสงู สดุ ไดแ้ ก่ มรรค หรอื วริ าคธรรม ( นิพพาน ) เพราะมรรค หรือวริ าคธรรม ทรงไวซ้ ึง่ ผูท้ ี่เจริญ มรรค และผทู้ าํ ใหแ้ จง้ ( บรรลุ ) พระนิพพานไม่ใหต้ กไปในอบายทงั้ หลาย ( สตั ว์ ดิรจั ฉาน เปรต สตั วน์ รก อสรุ กาย ) และทาํ ใหโ้ ปรง่ ใจอย่างย่ิง สว่ นความหมายโดยออ้ ม แมป้ รยิ ตั ิธรรม คือการศึกษาพระพทุ ธพจน์ และปฏิบตั ธิ รรม คือการฝึกหดั กาย วาจา ใจ ไปตามศีล สมาธิ และปัญญา ก็ จดั เป็นธัมมะ ( ธรรม ) ได้ เพราะเป็นปฏิปทาเบอื้ งตน้ อนั จะนาํ ไปส่กู ารบรรลมุ รรค และทาํ ใหแ้ จง้ พระนิพพาน ดงั กล่าวแลว้ คาํ วา่ สงั ฆะ แปลวา่ กล่มุ บคุ คลผรู้ วมตวั กนั คาํ นีเ้ ป็นช่ือของกล่มุ บคุ คล กลมุ่ หนึ่ง ผรู้ วมตวั กนั ดว้ ยคณุ เครอ่ื งรวมตวั คือ ทิฏฐิ และศลี สมดงั ทพี่ ระผมู้ พี ระ ภาคเจา้ ไดต้ รสั ไวว้ า่ ดกู อ่ นอานนท์ เธอจะสาํ คญั ความขอ้ นนั้ เป็นไฉน ธรรมเหลา่ ใดที่เราแสดง แลว้ เพ่อื ความรูย้ ิง่ สาํ หรบั เธอทงั้ หลาย คอื สติปัฏฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔

๑๗๕ อทิ ธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ดกู อ่ นอานนท์ เธอจะไม่เห็นภกิ ษุแมส้ องรูป มวี าทะตา่ งกนั ในธรรมเหล่านเี้ ลย ๓ . ความหมายของสรณะ สรณะ มีความหมายวา่ กาํ จดั บบี ทาํ ลาย นาํ ออก และดบั ซ่ึงภยั ความหวาดสะดงุ้ ความทกุ ข์ ทคุ ติ และความเศรา้ หมอง ( กิเลส ) อธิบายว่า เม่ือบคุ คลเขา้ ถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยการปฏิบตั ิ ตามพระธรรม จนสามารถทาํ ลายกิเลส มคี วามรกั โลภ โกรธ หลง เป็นตน้ ได้ ภยั เป็นตน้ เหลา่ นนั้ ก็จะถกู กาํ จดั หรอื ถกู ทาํ ลายหมดสิน้ ไป พระพุทธเจ้า ช่อื วา่ สรณะ เพราะเป็นผกู้ าํ จดั ภยั ของสตั วท์ งั้ หลาย ดว้ ยการนาํ ออกจากส่ิงที่ไมเ่ ป็นประโยชน์ แลว้ ไดบ้ รรลซุ ึ่งสง่ิ อนั เป็นประโยชน์ พระธรรม ช่อื วา่ สรณะ เพราะทรงไวซ้ ่ึงผูป้ ฏบิ ตั ิตามไมใ่ หต้ กไปในอบาย คอื ไมใ่ หก้ ลายสภาพเป็นสตั วด์ ิรจั ฉาน เปรต สตั วน์ รก และอสรุ กาย และช่วยใหผ้ ู้ ปฏบิ ตั ิตามไดร้ บั ความปลอดโปรง่ ใจ พระสงฆ์ ช่อื วา่ สรณะ เพราะเป็นเนือ้ นาบญุ ของโลก หมายความว่า พระสงฆ์ ผปู้ ระพฤติดีปฏิบตั ิชอบ ท่เี รยี กวา่ อรยิ สงฆ์ ใครไดถ้ วาย จตปุ ัจจยั แก่ทา่ น การถวายนนั้ ยอ่ มมีผลมาก มอี านิสงสม์ าก เกิดความรุง่ เรอื งแผ่ไพศาล เพราะเป็นการสนบั สนนุ คนดใี หม้ ีกาํ ลงั ทาํ งานแก่สงั คม

๑๗๖ ๔. ความหมายของคาํ ว่า สรณะคมน์ ดวงใจทมี่ ีความเลอื่ มใส และมีความเคารพในพระรตั นตรยั นนั้ ว่า พระรตั นตรยั เป็นของเรา พระรตั นตรยั เป็นผนู้ าํ ทางชวี ิตของเรา ซ่ึงสามารถนาํ ไปสกู่ ารทาํ ลายกเิ ลส ไดช้ อื่ ว่า สรณคมน์ ( การถึงพระรตั นตรยั วา่ เป็นสรณะ ) ๕. วิธถี งึ พระรัตนตรยั ว่าเป็ นสรณะ วิธีถึงพระรตั นตรยั ว่าเป็นสรณะนนั้ มีหลายอย่าง ในทน่ี จี้ ะกลา่ วเฉพาะทีป่ รากฏ โดยมาก ๕ วธิ ี คือ ๕.๑ วิธสี มาทาน ตวั อย่างเช่น พาณชิ สองพน่ี อ้ ง ผมู้ ีนามวา่ ตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ ไดเ้ ปล่งวาจาถงึ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ และพระธรรมเป็นสรณะวา่ เอเต มยํ ภนเฺ ต ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉาม, ธมฺม�ฺจ, อปุ าสเก โน ภควา ธาเรตุ อชชฺ ตคเฺ ค ปาณุเปเต สรณํ คเต แปลว่า ขา้ แต่ พระองคผ์ เู้ จริญ ขา้ พระองคท์ งั้ สองนี้ ขอถึงพระผมู้ ีพระภาคเจา้ และพระธรรมวา่ เป็น สรณะ ขอพระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงทรงจาํ ขา้ พระองคท์ งั้ สอง ว่าเป็นอบุ าสกผถู้ ึง สรณะดว้ ยชวี ิต ตงั้ แตบ่ ดั นีเ้ ป็นตน้ ไป ๕.๒ วธิ มี อบตนเป็ นสาวก เชน่ พระมหากสั สปเถระ ครงั้ ยงั เป็นปิปผลมิ าณพ ออกบวชอทุ ิศพระอรหนั ตท์ งั้ หลายท่ีมีอย่ใู นโลก ไดไ้ ปพบพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประทบั น่งั สมาธิอย่ทู ่โี คนตน้ พหปุ ตุ ตนิโครธ ( อรรถกถาวา่ ตน้ สขี าว ใบสเี ขียว ผลสแี ดง) ใน ระหว่างทางเมืองราชคฤหไ์ ปนาลนั ทา เขา้ ใจว่าเป็นพระอรหนั ต์ จงึ นอ้ มกายเขา้ ไปเฝา้ ดว้ ยความเคารพอย่างยิ่ง แลว้ เปล่งวาจามอบตนเป็นสาวกว่า สตถฺ า เม ภนฺเต ภควา, สาวโกหมสฺมิ แปลว่า ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ เป็น ศาสดาของขา้ พระองค์ ขา้ พระองคเ์ ป็นสาวก

๑๗๗ ๕.๓ วิธที มุ่ เทความเล่อื มใสในพระศาสดาหรอื ยอมนอบน้อม เช่น พรหมายพุ ราหมณ์ เป็นตน้ ในพรหมายสุ ตู ร มชั ฌมิ นิกาย กล่าวว่า พรหมายุ พราหมณ์ เป็นพราหมณผ์ ใู้ หญ่ เชย่ี วชาญไตรเวท รูจ้ กั ศาสตรว์ า่ ดว้ ยคดีโลก และ มหาปรุ ิสลกั ษณะไดย้ นิ กติ ตศิ พั ทว์ ่า พระพทุ ธเจา้ ทรงมีมหาปรุ ิสลกั ษณะครบ ๓๒ ประการ จงึ สง่ อตุ ตรมาณพผเู้ ป็นศษิ ยเ์ อกไปพสิ ูจนค์ วามจริง อตุ ตรมาณพรบั คาํ ของ อาจารยไ์ ปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ หน็ มหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๐ ประการหมดแลว้ ยงั เหลอื อีก ๒ ประการ ที่ยงั ไม่เหน็ ครนั้ เขาเหน็ มหาปรุ ิสลกั ษณะครบทงั้ ๓๒ ประการและ ความเป็นไปแห่งอริ ิยาบถทงั้ ปวงของพระพุทธเจา้ แลว้ จึงกลบั ไปกราบเรียนใหอ้ าจารย์ ทราบ ครนั้ อตุ ตรมาณพพรรณามหาปรุ สิ ลกั ษณะของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จบลง พรหมายพุ ราหมณก์ ็ไดล้ กุ ขึน้ ยนื หม่ ผา้ เฉวียงบ่า ผนิ หนา้ ไปทางทิศทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ประณมมือเปลง่ วาจาวา่ นโม ตส�ส ภควโต อรหโต สมมาสม�พทุ ธส�ส ๓ ครงั้ แปลวา่ ข้าพเจา้ ขอนอบน้อมแดพ่ ระผมู้ ีพระภาค อรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ ัน้ ๕.๔ วธิ มี อบตน เช่นพระโยคีผมู้ ีศรทั ธา ขวนขวายในการเจรญิ กรรมฐาน ก่อนแตจ่ ะสมาทานกรรมฐาน ตอ้ งกล่าวคาํ มอบตนตอ่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ว่า อมิ าหํ ภนเฺ ต ภควา อตฺตภาวํ ตมุ หฺ ากํ ปริจจฺ ชามิ แปลว่า ข้าแตพ่ ระผูม้ ี พระภาคเจา้ ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ขอสละอตั ตภาพร่างกายนแี้ ก่พระพุทธองค์ ๕.๕ วิธีปฏิบตั ิหน้าที่ของพุทธบรษิ ทั คอื การกาํ จดั กิเลสทงั้ หลาย ทาํ ตนใหบ้ รรลธุ รรมเป็นพระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ เหมอื น พระอรยิ สาวกบางท่านไดฟ้ ังธรรมเทศนาของพระศาสดาแลว้ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรม

๑๗๘ เป็นตน้ วธิ ีนีจ้ ดั ว่าเป็นวธิ ีถงึ สรณคมนข์ นั้ สงู สดุ และมีความม่นั คงทสี่ ดุ เป็นโลกตุ ตร สรณคมน์ ๖. การขาดสรณคมน์ บคุ คลผถู้ งึ สรณคมน์ มี ๒ ประเภท คือ ปถุ ชุ นกบั พระอริยบคุ คล การ ขาดสรณคมนย์ ่อมมใี นปถุ ชุ นเท่านนั้ ส่วนพระอรยิ บคุ คลจะไม่ยอมขาดสรณคมนเ์ ดด็ ขาด ดงั สปุ ปพทุ ธกฏุ ฐิ เป็นตน้ พระอรรถกถาจารยเ์ ล่าไวใ้ นอรรถกถาธรรมบทวา่ วนั หน่งึ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ธรรมแก่บรษิ ทั ท่ีวหิ ารเวฬวุ นั สปุ ปพทุ ธกฏุ ฐิซงึ่ เป็นโรคเรอื้ น ยากจนเข็ญใจ ไดไ้ ปฟัง ธรรมอย่ขู า้ งทา้ ยบรษิ ัทเขาไดบ้ รรลโุ สดาบนั ประสงคจ์ ะกราบทลู การบรรลธุ รรมใหพ้ ระ พทุ ธเจา้ ทรงทราบ แตไ่ มม่ ีโอกาสเพราะบริษัทหนาแนน่ จึงกลบั ไปทอ่ี ยขู่ องตน ครนั้ บรษิ ทั กลบั ไปหมดแลว้ เขาจึงมาเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ทา้ วสกั กะเทวราชทราบเช่นนนั้ จึง ไดเ้ สดจ็ ลงมาตรสั กบั เขาวา่ สปุ ปพทุ ธะ ท่านเป็นคนขดั สน ทา่ นจงกล่าวคาํ ว่า พระ พทุ ธเจา้ ไม่ใช่พระพทุ ธเจา้ แทจ้ ริง พระธรรมไม่ใช่พระธรรมแทจ้ รงิ พระสงฆไ์ ม่ใชพ่ ระสงฆ์ แทจ้ ริง พอกนั ทพี ระพทุ ธเจา้ พระธรรมและพระสงฆ์ ( เลิกนบั ถือ ) เราจะใหท้ รพั ย์ แก่ท่านมากมายนบั ประมาณไมไ่ ด้ สปุ ปพทุ ธะ ถามว่า ทา่ นเป็นใคร ทา้ วสกั กะ ตอบว่า เราเป็นทา้ วสกั กะจอมเทพ สปุ ปพทุ ธะกลา่ ววา่ ทา่ นทา้ วสกั กะผไู้ ม่มีหิริ ท่านพดู ว่า ขา้ พเจา้ เป็นคนขดั สนจนยาก แตข่ า้ พเจา้ ไม่ไดข้ ดั สนจนธรรม ไม่ไดจ้ นความสขุ เลย ทา่ นไม่สมควรจะ พดู เช่นนีก้ บั ขา้ พเจา้ คนมีอรยิ ทรพั ยส์ ามารถมีความสขุ ไดใ้ นสภาพที่คนอื่นเขารูส้ กึ เป็น ทกุ ข์ ทา้ วสกั กะเมื่อไม่อาจจะใหส้ ปุ ปพทุ ธกฏุ ฐิพดู อย่างนนั้ ได้ จงึ เสดจ็ จากเขาไปเฝา้ องคส์ มเด็จสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กราบทลู ถอ้ ยคาํ ที่โตต้ อบกนั ใหท้ รงทราบ พระพทุ ธเจา้ ได้ ตรสั ว่า ทา้ วสกั กะเช่นพระองคจ์ าํ นวนรอ้ ยจาํ นวนพนั กไ็ ม่สามารถจะใหส้ ปุ ปพทุ ธกฏุ ฐิ พดู คาํ วา่ พระพทุ ธเจา้ ไมใ่ ชพ่ ระพทุ ธเจา้ พระธรรมไมใ่ ชพ่ ระธรรม พระสงฆไ์ ม่ใช่

๑๗๙ พระสงฆ์ (แทจ้ รงิ ) เร่ืองนีแ้ สดงใหเ้ หน็ ทศั นะทางพทุ ธศาสนาว่า คนผบู้ รรลสุ จั จะแลว้ จะไม่ยอมประพฤตกิ ายทจุ รติ วจที จุ ริต และมโนทจุ ริต เพราะเหตแุ ห่งทรพั ย์ อวยั วะและแมแ้ ต่ชีวิตอยา่ งแน่นอน เพราะฉะนนั้ การขาดสรณคมนจ์ งึ มไี ดเ้ ฉพาะผูเ้ ป็นปถุ ชุ นเท่านนั้ การขาด สรณคมนม์ เี พราะเหตุ ๓ อย่าง คือ ๑. เพราะความตาย ๒. เพราะทาํ รา้ ยพระศาสดา ๓. เพราะไปนบั ถอื ศาสดาอื่น การขาดสรณคมนเ์ พราะความตาย เป็นการขาดท่ไี มม่ โี ทษ คอื ไม่ทาํ ใหไ้ ปสู่ ทคุ ตภิ มู ิ การขาดเพราะทาํ รา้ ยพระศาสดาเหมอื นพระเทวทตั เป็นตน้ ที่คดิ ทาํ รา้ ยพระ ศาสดาดว้ ยการส่งั นายขมงั ธนไู ปลอบปลงพระชนม์ กลงิ้ ศิลาใหท้ บั ใหป้ ล่อยชา้ งนาฬาครี ี ไปทาํ รา้ ย และทาํ สงั ฆเภทแยกพระสงฆไ์ ปจากพระองค์ จดั เป็นการขาดสรณคมนท์ ่ี มีโทษเพราะทาํ ใหพ้ ระเทวทตั หลงั จากมรณภาพแลว้ ไปตกนรกอเวจี ส่วนการขาดสรณคมน์ เพราะไปนบั ถือศาสดาอืน่ นนั้ มมี ากทงั้ ในสมยั พทุ ธกาล และในปัจจบุ นั นี้ แมจ้ ะไม่ทราบว่าผปู้ ระพฤตอิ ย่างนนั้ ตายแลว้ ไมต่ กนรกเหมือนพระ เทวทตั กต็ าม แตก่ แ็ สดงถึงความไม่นา่ เชื่อถอื ของคนเหลา่ นนั้ ท่พี รอ้ มจะทรยศกบั ใคร ก็ไดเ้ ม่อื เขาไดผ้ ลประโยชนท์ ม่ี ากกว่า ไดท้ ราบวา่ ผทู้ ีอ่ าศยั ผา้ เหลืองบวชเรยี นใน พระพทุ ธศาสนาจนจบเปรียญธรรมสงู สดุ จบปริญญาจากมหาวทิ ยาลยั สงฆ์ หรือบวชจน ไดเ้ ป็นเจา้ คณะตาํ บล อาํ เภอแลว้ ไดถ้ กู ศาสนาอ่นื ซือ้ ไปหวนกลบั มาทาํ ลาย พระพทุ ธศาสนา ก็มไี ม่ใช่นอ้ ย คนพวกนีจ้ รงิ ๆ แลว้ เป็นคนไมม่ ีศาสนา บวชเป็นพระมกั จะไมเ่ ช่ือเรือ่ ง บาปบญุ จะไมย่ อมทาํ กจิ วตั ร เชน่ ไหวพ้ ระสวดมนตจ์ ึงไม่รูจ้ กั คาํ ว่า นริ ามิสสขุ วนั ๆ หน่ึงคดิ แตจ่ ะหาทรพั ยส์ ินเงินทอง รูปเสียง กลิ่น รส สมั ผัสทน่ี ่าปรารถนา จงึ มคี า่ เหมือนคนตกนรกทงั้ เป็น ครนั้ พอมีใครมาเสนอเงินทองใหก้ ร็ บี ไปทนั ที มกั จะไป

๑๘๐ สอนไปแนะเยาวชนวา่ อยา่ ไปบวชเลยอาจารยบ์ วชแลว้ ไม่ไดเ้ ร่ืองหรอก แตน่ า่ จะบอก ดว้ ยว่า เมือ่ ครงั้ อาจารยบ์ วชอย่อู าจารยไ์ ม่เคยเชื่อเรื่องบาป บญุ คณุ โทษ ไมเ่ คย ทาํ กจิ วตั รของพระสงฆเ์ ลย การขาดสรณคมนด์ ว้ ยการไปนบั ถือศาสดาอื่น จงึ เป็นเรื่องนา่ กลวั มาก เพราะ คนอยา่ งนนั้ แนน่ อนวา่ เป็นคนไม่มศี าสนาพรอ้ มท่จี ะทาํ ลายใครก็ได้ เมื่อตนได้ ผลประโยชน์ ๗. สรณคมนเ์ ศร้าหมอง ส่วนบคุ คลผทู้ ีป่ ระพฤติดว้ ยความไม่รู้ ความรูผ้ ดิ ความสงสยั และความ ไม่เอือ้ เฟื้อในพระรตั นตรยั สรณคมนไ์ ม่ขาดแตเ่ ป็นความเศรา้ หมอง ความไม่รู้ คือ ไม่ศึกษาเล่าเรยี นพระพทุ ธศาสนาคิดเอาเอง ปฏิบตั ิเอาเอง แลว้ นาํ ไปส่งั สอนผอู้ นื่ ความรูผ้ ดิ คอื เรียนพระปริยตั ธิ รรมแต่ไม่เชอ่ื พระไตรปิกฏ อรรถกถา ตง้ั ตวั เป็นศาสดาตีความเอาตามความพอใจ ความสงสยั คือ สงสยั ว่าพระพทุ ธเจา้ พระธรรมและพระสงฆม์ ีจริงหรือเปลา่ ทาํ บญุ ไดบ้ ญุ จริงหรือเปล่า ทาํ บาปแลว้ บาปจรงิ หรอื เปล่า ชาตหิ นา้ มจี ริงหรอื เปล่า นรกสวรรคม์ จี ริงหรือเปลา่ เป็นตน้ ความเอือ้ เฟื้อ คือ ไม่ประพฤตติ อ่ พระรตั นตรยั ดว้ ยกายกรรม วจกี รรม และมโนกรรม ที่ประกอบดว้ ยเมตตาคือความปรารถนาดี เช่นตดั เศยี รพระพทุ ธรูป ทาํ ลายโบสถ์ พระเจดีย์ ขโมยพระพทุ ธรูปไปขาย ประพฤติการไม่สมควรเชน่ ไปแสดง ความรกั ทางกามราคะ ตามบริเวณศาสนสถาน เชน่ โบสถ์ และพระเจดีย์ เป็นตน้ ไม่เอือ้ เฟื้อต่อพระธรรมคอื คดั คา้ นพระธรรมว่าไมส่ ามารถจะใหค้ ณุ ใหโ้ ทษไดจ้ รงิ ไม่ศกึ

๑๘๑ ษาเล่าเรียน ไมส่ นใจฟังเม่ือมกี ารแสดงธรรมตลอดถึงการเหยยี บย่าํ ทาํ ลายหนงั สือหรือส่ิง อนื่ ใดที่จารกึ พระธรรม ไมเ่ ออื้ เฟื้อในพระสงฆ์ ด่าว่าพระสงฆ์ ยยุ งใหแ้ ตกแยกกนั ไม่ทาํ บญุ และขดั ขวางผอู้ ่นื ไม่ใหท้ าํ บญุ เป็นตน้ ๘. พระรัตนตรยั แยกกันไมไ่ ด้ พระรตั นตรยั คือพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ ทงั้ ๓ นี้ แยกจากกนั ไม่ได้ ตอ้ งมีความสมั พนั ธเ์ ก่ยี วเน่อื งกนั อย่เู สมอ พระอรรถกถาจารยท์ า่ น อปุ มาไวด้ งั นี้ ๑. พระพทุ ธเจา้ เปรียบเหมอื นดวงจนั ทร์ พระธรรมเปรยี บเหมือนกล่มุ รศั มที ีม่ ี ความสวา่ งและเย็นตาเย็นใจของดวงจนั ทร์ พระสงฆเ์ ปรียบเหมือนสตั วโ์ ลก ทไี่ ดร้ บั ความสขุ สดช่นื จากแสงจนั ทรน์ นั้ ขอ้ นจี้ ะเห็นไดช้ ดั เจนว่าถา้ มีแตด่ วงจนั ทรไ์ ม่มแี สงจนั ทร์ คงไมม่ ใี ครเห็นดวงจนั ทรว์ า่ อย่ทู ี่ไหน หรอื ถา้ มดี วงจนั ทรแ์ ละมแี สงจนั ทร์ แตไ่ มม่ สี ตั ว์ โลกก็คงไม่มีใครเห็นดวงจนั ทรแ์ ละไดร้ บั ผลประโยชนจ์ ากดวงจนั ทร์ ดวงจนั ทรก์ ับแสง จนั ทรจ์ งึ มีคา่ เทา่ กบั ไมม่ ีน่นั เอง พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆก์ เ็ หมือนกนั ถา้ มีแตพ่ ระพทุ ธเจา้ ไมม่ ีพระธรรม ก็คงเป็นพระพทุ ธเจา้ ไม่ได้ คงเป็นเจา้ ชายสทิ ธัตถะธรรมดาเหมือนเดมิ หรือถา้ มีพระพทุ ธเจา้ และพระธรรม แต่ไม่มีพระสงฆ์ ก็ไมม่ ใี ครเช่อื ว่าเจา้ ชายสิทธัตถะ เป็นพระพทุ ธเจา้ เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ จงึ ตอ้ ง เก่ยี วเน่อื งกนั อย่เู สมอ เกดิ อะไรกบั สว่ นหน่ึงกก็ ระทบไปถงึ อกี ๒ ส่วนดว้ ย อยา่ งหลีกเลย่ี งไม่ได้ ๒. พระพทุ ธเจา้ เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ พระธรรมเปรียบเหมือนแสงสว่าง

๑๘๒ และความรอ้ นของดวงอาทิตย์ พระสงฆเ์ ปรยี บเหมอื นสตั วโ์ ลกท่ีไดร้ บั แสงสวา่ งและไออนุ่ จากดวงอาทติ ย์ ๓. พระพทุ ธเจา้ เปรียบเหมอื นกอ้ นเมฆ พระธรรมเปรยี บเหมือนนา้ํ ฝนอนั เกิด จากกอ้ นเมฆ พระสงฆเ์ ปรยี บเหมือนโลกพรอ้ มทงั้ แมกไมแ้ ละกอหญา้ ทีไ่ ดร้ บั ความชมุ่ ชน่ื จากนา้ํ ฝน ๔. พระพทุ ธเจา้ เปรยี บเหมือนสารถีผชู้ าญฉลาด พระธรรมเปรียบเหมอื นอุบาย วิธีสาํ หรบั ฝึกมา้ พระสงฆเ์ ปรียบเหมอื นมา้ ทีไ่ ดร้ บั การฝึกหดั ไวด้ แี ลว้ ๕. พระพทุ ธเจา้ เปรยี บเหมือนผชู้ ีท้ าง พระธรรมเปรยี บเหมอื นหนทางทถี่ กู ที่ ตรงและมีความปลอดภยั พระสงฆเ์ ปรียบเหมอื นคนเดนิ ทางผถู้ ึงท่หี มายแลว้ ๖. พระพทุ ธเจา้ เปรยี บเหมือนผชู้ ีข้ มุ ทรพั ย์ พระธรรมเปรยี บเหมอื นขมุ ทรพั ย์ พระสงฆเ์ ปรียบเหมือนคนท่ีไดร้ บั ทรพั ยส์ มบตั ิไปใชอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ๙. ผู้เข้าไปหาพระรตั นตรยั ดว้ ยอกศุ ลจิตยอ่ มเกิดโทษ พระมหาโมคคลั ลาเถระ พระอคั รสาวกเบอื้ งซา้ ย ไดก้ ลา่ วกบั มารท่เี ขา้ ไปหา พระพทุ ธเจา้ ดว้ ยประสงคร์ า้ ย เช่นครงั้ เสด็จออกผนวชก็ไปหา้ มไวโ้ ดยอา้ งวา่ จกั รรตั นะ จะเกดิ ขนึ้ ภายใน ๗ วนั ท่านจะไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดอิ ยแู่ ลว้ จะไปบวชทาํ ไม่ เม่อื ตรสั รูแลว้ ก็ไดไ้ ปทลู ขอใหเ้ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน แต่พระพทุ ธองคท์ รงหา้ มปราม มารว่า ขอใหบ้ รษิ ัทของเรารูป้ ริยตั ิ ปฏิบตั ไิ ด้ เขา้ ใจธรรม นาํ ไปใชเ้ ป็นเสียกอ่ น เราจึงจะนพิ พาน ต่อจากนนั้ พระยามารกต็ ิดตามรงั ควานทงั้ พระศาสดาและพระสาวกมา ตลอดเวลา แมแ้ ตพ่ ระมหาโมคคลั ลาเถระกถ็ กู รงั ควานดว้ ย ครงั้ หน่ึง พระเถระจงึ ไดก้ ล่าวกบั มารวา่

๑๘๓ ไฟ ไมไ่ ด้ตัง้ ใจเลยวา่ เราจะเผาไหม้คนโง่ คนโง่ตา่ ง หากทีเ่ ข้าไปหาไฟอนั กาํ ลังลุกโซน เขาเข้าไปหาไฟให้เผาไหมต้ ัว เขาเอง ดกู ่อนมารผใู้ จบาป ไฉนทา่ นจึงเข้าไปหาพระตถาคต เหมือนคนโง่เขา้ ไปหาไฟเล่า คนโงเ่ ข้าไปหาพระตถาคต แทนที่จะได้บญุ กลับไดบ้ าป ซา้ํ ยงั สาํ คญั ผิดว่า ไม่เหน็ จะบาปอะไร ( น่าส่งสารจรงิ ๆ ) ๑๐. พระรัตนตรยั เป็ นสรณะทีป่ ลอดภัย ผทู้ ี่มจี ติ ใจศรทั ธาเลือ่ มใส และเคารพนบั ถือบชู า เช่ือม่นั พระธรรมคาํ ส่งั สอน ขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ ปฏิบตั ติ ามแมด้ ว้ ยชวี ิต ไมย่ อมใหส้ รณคมน์ ขาดไป ยอ่ มไดร้ บั ผลทน่ี า่ ปรารถนา ดงั ท่พี ระพทุ ธองคต์ รสั ไวว้ ่า ชนเหล่าใดเหลา่ หนึ่ง ถึงพระพุทธเจา้ เป็ นสรณะ ชนเหล่า นั้น ละกายมนุษยไ์ ปแลว้ จกั ไม่เข้าถึงอบายภูมิ จักทาํ หมูเ่ ทพ ใหบ้ รบิ ูรณ์ ( ไดไ้ ปเกิดในสวรรค์ ) บุคคลใด ถงึ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็ น ทีพ่ ่งึ แลว้ เหน็ อริยสจั ๔ คือ เห็นทุกข์ เหตุให้ทุกขเ์ กิด ความดับทุกข์ และมรรคมอี งค์ ๘ อนั ประเสรฐิ ซึ่งทาํ ใหถ้ ึง ความดบั ทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ สรณะนัน้ ของบุคคลนั้น เป็ นสรณะที่ปลอดภัย เป็ นสรณะอันสงู สุด เขาอาศัยสรณะนัน้ ยอ่ มพ้นจากความทกุ ขท์ ั้งปวงได้ จากพระพทุ ธพจนท์ ี่ไดย้ กมานี้ เป็นการรบั ประกนั จากองคส์ มเด็จพระสมั มา สมั พทุ ธเจา้ วา่ ผทู้ ีถ่ ึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะแลว้ ปลอดภยั พน้ จากความทกุ ขท์ งั้ ปวงไดน้ นั้ ตอ้ งเหน็ อรยิ สจั ๔ หมายความว่า ตอ้ งดาํ เนินชีวติ ดว้ ยปัญญาอนั ชอบตามหลกั อริยสจั ๔ ไมใ่ ช่ถึงพระพทุ ธเจา้ พระ ธรรม

๑๘๔ และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะแลว้ ยงั กราบไหวอ้ อ้ นวอนขอพรส่ิงอน่ื เช่น แมน่ าํ้ ภเู ขา ตน้ ไม้ เทพเจา้ เป็นตน้ อนั นอกเหนือไปจากพระรตั นตรยั ไม่ ปฏบิ ตั ติ ามหลกั อริยสจั ๔ ถา้ อย่างนจี้ ะมาโทษพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และ พระสงฆว์ ่า พึ่งอะไรไมไ่ ด้ ยอ่ มไม่ยตุ ิธรรมสาํ หรบั พระรตั นตรยั การทไี่ ดพ้ บพระรตั นตรยั อนั เป็นสรณะที่ใหค้ วามปลอดภยั ทาํ ลายความทกุ ข์ ไดจ้ ริง แลว้ ไม่ยอมรบั นบั ถอื ไมป่ ฏบิ ตั ิตามพระธรรมคาํ ส่งั สอน ก็เท่ากบั คนผปู้ ฏเิ สธ สริ ทิ ี่เขา้ มาหาตน สมกบั ทพี่ ระมหาปันถกเถระ ไดก้ ล่าวไวว้ า่ ผู้ทไ่ี ดพ้ บพระสัมมาสมั พุทธเจา้ แล้ว ปลอ่ ยโอกาสนั้นให้ผ่านไปโดยไม่ สนใจศึกษา และปฏิบตั ิตามโอวาทของพระองค์ ผู้นั้นเป็ นคนไม่มีบุญ เหมือน กับคนทใ่ี ชม้ อื และเท้าปัดป้องสิรทิ ี่เข้ามาหาตนถงึ ที่นอน แล้วขบั ไล่ไสส่งออกไป ----------------------------------

๑๘๕ อโุ บสถศีล อุโบสถศีล เป็นเร่อื งของกศุ ลกรรมที่สาํ คญั ประการหน่ึงของคฤหสั ถ์ แปลว่า การเขา้ จาํ เพือ่ หยดุ การงานของฆราวาส เชน่ ทาํ นา ทาํ ไรเ่ ป็นตน้ ไวช้ ่วั คราวแลว้ มาทาํ กิจกรรมทางศาสนา เป็นการขดั เกลากิเลสอย่างหยาบใหเ้ บาบาง และเป็นทาง แห่งความสงบระงบั อนั เป็นความสขุ สงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา เพราะฉะนนั้ พทุ ธ ศาสนกิ ชนผเู้ ป็นฆราวาส จงึ นิยมเอาใจใสห่ าโอกาสประพฤติปฏิบตั ติ ามสมควร อโุ บสถนนั้ ปฏิบตั กิ นั มาก่อนพทุ ธกาล ปรากฏทม่ี าในอรรถกถาคงั คมาลชาดก อฏั ฐกนบิ าต และในอโุ บสถขนั ธกะ ดงั นี้ ในอรรถกถาคงั คมาลชาดก มีใจความว่า สมยั หน่งึ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ ่ีพระวิหารเชตวนั ตรสั เรยี กคนรกั ษาอโุ บสถมาแลว้ ตรสั วา่ พวกเธอทงั้ หลาย ทาํ ความดแี ลว้ ท่ีรกั ษาอโุ บสถ พวกเธอรกั ษาอโุ บสถ ควรใหท้ าน รกั ษาศีล ไม่ ควรทาํ ความโกรธ ควรเจรญิ เมตตาภาวนา ควรอยู่จาํ อโุ บสถในครบเวลา เพราะว่า บณั ฑิตในปางกอ่ นอาศยั อโุ บสถเพยี งกึง่ เดียวยงั ไดย้ ศใหญ่มาแลว้ อนั อบุ าสกและอบุ า สกิ าเหลา่ นนั้ ทลู ขอรอ้ งแลว้ จงึ ไดน้ าํ เรือ่ งอดีตมาเลา่ วา่ ในอดีตกาล มีเศรษฐีคนหนึง่ มีทรพั ยม์ าก มบี ริวารเป็นคนดี ชอบ ทาํ บญุ บรจิ าคทาน ภรรยา บตุ ร ธิดา บรวิ ารชน แมก้ ระท่งั คนเลีย้ งววั ของเศรษฐีนนั้ ลว้ นเป็นผเู้ ขา้ จาํ อโุ บสถ เดอื นละ ๖ วนั ในกาลนนั้ พระ โพธิสตั วเ์ กิดในครอบครวั คนขดั สน มีอาชพี รบั จา้ ง เป็นอยอู่ ย่างอตั คดั ขดั สน เขา ไปยงั บา้ นของเศรษฐีเพือ่ ขอทาํ งาน เศรษฐีบอกว่า ทกุ คนในบา้ นนี้ ลว้ นแต่เป็นผู้ รกั ษาศลี ถา้ เธอรกั ษาศีลได้ ก็ทาํ งานได้ แตล่ มื บอกวิธีรกั ษาศลี แกเ่ ขา

๑๘๖ พระโพธิสัตวเ์ ป็ นคนว่างา่ ย ทาํ งานแบบถวายชีวติ ไมค่ าํ นงึ ถงึ ความ ยากลาํ บาก ตื่นกอ่ น นอนที่หลงั เสมอ ตอ่ มาวนั หน่งึ มีมหรสพในเมอื ง เศรษฐี เรยี กสาวใชม้ าส่งั วา่ วนั นีเ้ ป็นวนั อโุ บสถ เธอจงหงุ อาหารใหค้ นงานแตเ่ ชา้ ตรู่ พวก เขารบั ประทานอาหารแลว้ จะไดร้ กั ษาอโุ บสถ ฝ่ายพระโพธิสตั ว์ ต่นื นอนแลว้ ไดอ้ อกไปทาํ งานแตเ่ ชา้ มืด ไม่มใี ครบอกว่าวนั นีเ้ ป็นวนั อโุ บสถ คนทงั้ หมดรบั ประทาน อาหารเชา้ แลว้ ต่างรกั ษาอโุ บสถ แมเ้ ศรษฐีพรอ้ มภรรยาและบตุ รธิดา ก็ไดอ้ ธิฐาน อโุ บสถ ไปยงั ทีอ่ ยขู่ องตนแลว้ น่งั นกึ ถงึ ศีล พระโพธสิ ตั วท์ าํ งานตลอดทง้ั วนั เม่ือพระอาทติ ยต์ กดนิ จึงไดก้ ลบั มา แมค่ รวั นาํ อาหารไปให้ พระโพธิสตั ว์ รูส้ กึ แปลกใจ จงึ ถามว่า วนั อนื่ ๆ เวลานี้ มีเสียงดงั วนั นีค้ นเหล่านนั้ ไปไหนกนั หมด ครนั้ ทราบวา่ ทกุ คนสมาทานอโุ บสถ ตา่ งอย่ใู นที่ของตนจึงคิดวา่ เราคนเดียวไม่มีศลี ในทา่ มกลางของผมู้ ีศลี จะอย่ไู ด้ อยา่ งไร ? เราจะอธิษฐานอโุ บสถ ในตอนนีจ้ ะไดห้ รือไมห่ นอ ? จึงเขา้ ไปถามเศรษฐี เศรษฐีบอกว่า เม่ือรกั ษาอโุ บสถตอนนี้ จะไดอ้ โุ บสถกรรมครง่ึ เดียว เพราะไมไ่ ด้ อธิษฐานแตเ่ ชา้ พระโพธิสตั ว์ บอกวา่ ครงึ่ เดียวก็ไดข้ อรบั จงึ สมาทานศลี กบั เศรษฐีอธิษฐานอโุ บสถ เขา้ ไปยงั ท่อี ยู่ของตนนอนนึกถงึ ศีล ในปัจฉิมยาม หวิ อาหารจนเป็นลม เพราะยงั ไม่ไดร้ บั ประทานอาหารเลยตลอดทงั้ วนั เศรษฐีนาํ เอาเภสชั ตา่ ง ๆ มาให้ ก็ไมย่ อมรบั ประทาน ยอมเสยี ชวี ิต แตไ่ ม่ยอมเสยี ศลี ในขณะ ใกลจ้ ะเสยี ชีวติ พระเจา้ พาราณสี เสด็จประทกั ษิณพระนครมาถงึ ท่นี นั้ เขาไดเ้ หน็ สริ ิแหง่ พระราชา จงึ ปรารถนาราชสมบตั ิ ครนั้ สิน้ ชีวติ แลว้ ไดถ้ อื ปฏสิ นธิในพระ ครรภอ์ คั รมเหสี เพราะผลแห่งอโุ บสถกรรมกงึ่ หนึง่ ครนั้ ประสตู แิ ลว้ ทรงไดร้ บั ขนานพระนามวา่ อทุ ยั กมุ าร

๑๘๗ ในอโุ บสถขนั ธกะ มหาวรรค วนิ ัยปิ ฎก มีใจความวา่ สมยั นนั้ พระ ผมู้ ีพระภาคเจา้ ประทบั อยทู่ ีภ่ เู ขาคชิ ฌกฏู ใกลพ้ ระนครราชคฤห์ พวกปริพาชกผู้ นบั ถือลทั ธิอ่ืน ประชมุ กล่าวธรรมในวนั ๑๔ คา่ํ ๑๕ คา่ํ และวนั ๘ ค่าํ คนจาํ นวนมากไปฟังธรรมของพวกเขาแลว้ ไดค้ วามรกั ความเล่ือมใส และเป็นพวก กบั ปริพาชกเหล่านนั้ พระเจ้าพมิ พสิ าร ไดท้ รงทราบเรือ่ งนัน้ แลว้ ทรงเกิดความคิดวา่ แมพ้ ระ สงฆก์ ็สมควรจะประชมุ กนั ในวนั เช่นนนั้ บา้ ง จึงเสดจ็ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ กราบ ทลู เรอ่ื งนนั้ แลว้ เสด็จกลบั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั เรยี กภิกษุทงั้ หลายมาแลว้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตใหเ้ ธอทงั้ หลายประชมุ พรอ้ มกนั ในวนั ๑๔ คา่ํ ๑๕ ค่าํ และ ๘ คา่ํ ภิกษุทงั้ หลายไดป้ ระชมุ กนั ตามพทุ ธดาํ รสั แต่น่งั อย่เู ฉย ๆ ชาวบา้ นมาเพื่อจะฟังธรรมก็ไม่พดู ดว้ ย จึงถูกติเตยี น ขอ้ นขอดวา่ เหมือน พวกสุกรใบ้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงทราบเรื่องน้นั แลว้ จึงตรัสเรียกภกิ ษุท้งั หลายมาแลว้ ตรสั ว่า ดกู อ่ นภิกษุท้งั หลาย เราอนุญาตให้เธอท้งั หลายประชมุ กนั กล่าวธรรม ใน วนั ๑๔ ค่าํ ๑๕ คา่ํ และ ๘ ค่าํ ภกิ ษุทงั้ หลายไดท้ าํ ตามนนั้ แลว้ ท้งั ๒ เร่อื งทีน่ ํามากลา่ วนี้ ย่อมเป็นเคร่อื งแสดงว่า อโุ บสถนนั้ มี ปฏบิ ตั ิกนั มากอ่ นแลว้ และเป็นช่ือของวนั ที่เจา้ ลทั ธินนั้ ๆ กาํ หนดไว้ เพ่ือความสะดวก ในการทาํ กจิ กรรมตามลทั ธิของตน ดว้ ยการงดอาหาร ต่อมา เมอื่ พระผมู้ พี ระภาค เจา้ เสด็จอบุ ตั ิขนึ้ แลว้ จงึ ทรงบญั ญัติอโุ บสถศลี อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ พรอ้ ม ทงั้ สรณคมน์ เพราะฉะนนั้ อโุ บสถ จงึ มี ๒ อย่าง คอื ๑. อุโบสถนอกพทุ ธกาล ไดแ้ ก่การเขา้ จาํ ดว้ ยการงดอาหาร ตงั้ แต่เที่ยง วนั ไปแลว้ ในวนั ทกี่ าํ หนดไว้ ดงั คาํ ท่ีพระอรรถกถาจารยก์ ลา่ วไว้ ในอรรถกถา

๑๘๘ คงั คมาลชาดกอฏั ฐกนบิ าตวา่ บตุ รและภรรยากด็ ี บรวิ ารชนก็ดี ของเศรษฐีนนั้ โดยทีส่ ดุ แมค้ นเลยี้ งโคในเรอื นนนั้ ทงั้ หมดลว้ นเขา้ จาํ อโุ บสถเดอื นละ ๖ วนั ๒. อโุ บสถในสมัยพุทธกาล ไดแ้ ก่ อโุ บสถท่เี ป็นพทุ ธบญั ญตั ิ อนั ประกอบดว้ ยสรณคมน์ และองค์ ๘ มปี าณาติปาตา เวรมณี เป็นตน้ ----------------------------------------

๑๘๙ อโุ บสถศลี มี ๓ ประการ ๑. ปกติอโุ บสถ ไดแ้ ก่ อโุ บสถทีร่ บั รกั ษากนั ตามปกติ เฉพาะวนั หน่งึ คนื หนง่ึ อย่างที่อบุ าสกอบุ าสิการกั ษากนั อยทู่ กุ วนั นี้ มีเดอื นละ ๔ วนั คอื วนั ขึน้ ๘ คา่ํ วนั ขนึ้ ๑๕ ค่าํ วนั แรม ๘ คา่ํ วนั แรม ๑๔ คา่ํ หรอื ๑๕ ค่าํ ๒. ปฏชิ าครอุโบสถ ไดแ้ ก่ อโุ บสถทร่ี บั รกั ษาเป็นพเิ ศษกวา่ ปกติ คือ รกั ษาคราวละ ๓ วนั คือวนั รบั วนั รกั ษา และวนั ส่ง เชน่ จะรบั อโุ บสถวนั ๘ คา่ํ ตอ้ งรบั และรกั ษามาแตว่ นั ๗ ค่าํ ตลอดไปจนถึงวนั ๙ คา่ํ จนไดอ้ รุณใหม่ ของวนั ๑๐ คา่ํ น่นั เองจึงหยดุ รกั ษา ๓. ปาฏหิ ารยิ อุโบสถ ไดแ้ ก่ อโุ บสถทร่ี บั รกั ษาตลอด ๔ เดอื นฤดฝู น คือตงั้ แต่วนั แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๘ จนถงึ วนั เพ็ญกลางเดอื น ๑๒ ปาฏิหารยิ อโุ บสถ ถอื ตามคตินยิ มของคนอินเดียในสมยั นนั้ เทยี บเคียงได้ กบั เรอ่ื งบญั ญัตกิ ารจาํ พรรษาของภิกษุ ในวสั สปู นายิกขนั ธกะ พระวนิ ยั ปิฎกวา่ --------------------------------------------------------------------------------------------------------- ปฏชิ าครอุโบสถ รกั ษาเดือนละ ๑๑ วนั คอื ขา้ งขึน้ ๕ วนั ไดแ้ ก่ วนั ขึน้ ๔ ค่าํ ๖ คา่ํ ๗ คา่ํ ๙ คา่ํ และขา้ งแรม ๖ วนั ไดแ้ ก่ วนั แรม ๑ ค่าํ ๔ คา่ํ ๖ คา่ํ ๗ คา่ํ ๙ ค่าํ ๑๒ คา่ํ หรอื ๑๓ คา่ํ ปาฏหิ าริยอุโบสถ บางแห่งแสดงวา่ ๕ เดอื น คอื ตงั้ แต่เดอื น ๘ ถงึ เดือน ๑๒ บาง อาจารยก์ ล่าววา่ ๓ เดอื น คือ เดือน ๘ เดอื น ๑๒ เดือน ๔ บางพวกกล่าววา่ ๔ วนั คือ ๗ ค่าํ ๙ คา่ํ ๑๓ ค่าํ หรือ ๑๔ คา่ํ ๑ ค่าํ

๑๙๐ สมยั นัน้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ พระเวฬวุ นั พระนครราชคฤห์ ครงั้ นนั้ พระพทุ ธองคย์ งั มไิ ดท้ รงบญั ญตั ิใหภ้ กิ ษุทงั้ หลายอยจู่ าํ พรรษา ภิกษุทงั้ หลาย เที่ยวจาริกไป ตลอดฤดหู นาว ฤดรู อ้ น และฤดฝู น คนทงั้ หลายจึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะ เชอื้ สายศากยบตุ ร จงึ ไดเ้ ทย่ี วจารกิ ไปอยา่ งนี้ เหยียบย่าํ ขา้ วกลา้ ทเ่ี ขยี วสด เบยี ดเบยี นสิ่งมชี ีวติ ทาํ สตั วเ์ ลก็ ๆ จาํ นวนมากใหถ้ ึง ความวอดวายเล่า กพ็ วกปริพาชกอญั ญเดียรถีย์ ผกู้ ลา่ วธรรมอนั ตา่ํ ทราม ยงั พกั อาศยั อย่ปู ระจาํ ตลอดฤดฝู น ภกิ ษุทงั้ หลาย จึงกราบทลู เรอ่ื งนนั้ แก่พระพทุ ธองค์ ลาํ ดบั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทงั้ หลาย ปรารภเหตนุ นั้ แลว้ ตรสั วา่ ดกู ่อนภิกษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตใหภ้ กิ ษุทงั้ หลายอยจู่ าํ พรรษา ครงั้ นนั้ ภิกษุทงั้ หลาย คดิ ว่า พวกเราพึงจาํ พรรษาเมือ่ ไรหนอ ? จงึ ทลู ถามพระผมู้ ีพระ ภาคเจา้ พระพทุ ธองคร์ บั ส่งั ว่า ดกู ่อนภกิ ษุทงั้ หลาย เราอนญุ าตใหจ้ าํ พรรษาใน ฤดฝู น นเี้ ป็นคตินยิ มของคนอนิ เดียในสมยั นนั้ การรกั ษาปาฏิหาริยอโุ บสถ อาจ เก่ียวเน่ืองกบั คตนิ ยิ มนกี้ ไ็ ด้ ---------------------------------------------

๑๙๑ รักษาอโุ บสถเพอ่ื ข่มกเิ ลส อโุ บสถนีเ้ ป็ นวงศข์ องโบราณบัณฑิต ทา่ นเหล่านนั้ ไดเ้ ขา้ จาํ อโุ บสถ เพื่อ ข่มกิเลสมีราคะเป็นตน้ สมดงั ทพ่ี ระอรรถกถาจารยไ์ ดก้ ล่าวไว้ ในอรรถกถาปัญจุ โปสถชาดกวา่ ครงั้ หนงึ่ องคส์ มเด็จพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั น่งั บนพทุ ธอาสนท์ า่ มกลาง บริษัท ๔ ในธรรมสภา ทรงทอดพระเนตรดบู ริษทั ดว้ ยพระทยั ออ่ นโยน ทรงทราบวา่ วนั นเี้ ทศนาจะเกดิ ขึน้ เพราะอาศยั ถอ้ ยคาํ ของอบุ าสกทงั้ หลาย จงึ ตรสั เรยี กพวกเขา มาถามวา่ เธอทงั้ หลายกาํ ลงั รกั ษาอโุ บสถกนั หรอื ? เมื่อพวกเขาทลู ตอบวา่ พระ พทุ ธเจา้ ขา้ จึงตรสั วา่ พวกเธอทาํ ดแี ลว้ ชื่อว่าอโุ บสถนี้ เป็นวงศแ์ หง่ โบราณ บณั ฑิต ดว้ ยวา่ โบราณบณั ฑิตทงั้ หลาย ไดอ้ ย่จู าํ อโุ บสถ เพ่ือข่มกเิ ลสมีราคะเป็นตน้ อบุ าสกเหลา่ นนั้ ทลู วงิ วอนแลว้ จึงไดน้ าํ อดีตนทิ านมาตรสั วา่ ในอดตี กาล มีสถานทีอ่ นั เป็นป่าน่ารื่นรมยย์ ิง่ แหง่ หนึ่ง ระหวา่ งแควน้ ทงั้ ๓ มีแควน้ มคธเป็นตน้ พระโพธิสตั วเ์ กดิ ในตระกลู พราหมณม์ หาศาล ในแควน้ มคธ ครนั้ เจริญวยั แลว้ ละกามออกไปยงั ป่านนั้ สรา้ งอาศรม บวชเป็นฤาษี ในทไี่ ม่ หา่ งจากอาศรมของฤาษีนนั้ มีนกพริ าบสองตวั ผวั เมีย อยทู่ ีป่ ่าไผ่แห่งหน่งึ งตู วั หน่ึง อย่ทู ่ีจอมปลวก สนุ ขั จงิ้ จอกอย่ทู ี่พ่มุ ไม้ หมอี ย่ทู ี่พ่มุ ไมอ้ กี แหง่ หน่งึ สตั วท์ ัง้ ๔ นนั้ เขา้ ไปหาพระฤาษีแลว้ ฟังธรรมตามเวลาอนั สมควร คร้นั ต่อมาวนั หน่งึ นกพริ าบสองผวั เมีย ออกจากรงั ไปหาอาหาร เหยย่ี ว

๑๙๒ ไดเ้ ฉ่ียวเอาลกู นอ้ ยซงึ่ บนิ ตามหลงั ไป แลว้ จกิ กินทงั้ ทล่ี กู นกสง่ เสยี งรอ้ ง นกพิราบ เสียใจมาก คิดว่าความรกั นีท้ าํ ใหเ้ ราทกุ ขใ์ จเหลอื เกนิ จึงไปยงั สาํ นกั ของดาบส สมาทาน อโุ บสถแลว้ นอนอยู่ ณ ท่สี มควรแหง่ หนงึ่ เพื่อขม่ ความเสยี ใจ อนั เกิดจากความรกั ฝ่ ายงู ออกจากท่อี ยูไ่ ปหากนิ ไดไ้ ปยงั ทางสญั จรของฝงู โค เพราะกลวั เสยี งเทา้ โค จึงหลบเขา้ ไปยงั จอมปลวกแหง่ หนึ่ง ครงั้ นนั้ โคอสุ ภะซึง่ เป็นโคมงคล ของนายบา้ น เขา้ ไปเอาสขี า้ งถจู อมปลวก ไดเ้ หยยี บงนู นั้ งโู กรธจดั จึงกดั โค อสุ ภะนนั้ ถึงแกค่ วามตาย พวกชาวบา้ นทราบขา่ วว่า โคตาย จึงพากนั มาบชู าดว้ ย ดอกไมเ้ ป็นตน้ ขดุ หลมุ ฝังแลว้ กลบั ไป งคู ิดวา่ เราฆ่าโคนี้ เพราะความโกรธ ทาํ ใหค้ นเป็นจาํ นวนมาก ตอ้ งเศรา้ โศกเสียใจ ถา้ เรายงั ขม่ ความโกรธไม่ได้ จะไม่ ออกไปหากนิ จงึ ไปยงั อาศรมของฤาษี สมาทานอโุ บสถเพอื่ ขม่ ความโกรธแลว้ ฝ่ ายสุนัขจิง้ จอก ออกไปหากินพบซากชา้ ง เขา้ ไปภายในทอ้ ง ซากชา้ ง นนั้ ไดย้ บุ ลง สนุ ขั จงิ้ จอกออกมาขา้ งนอกไม่ได้ ติดอย่ใู นทอ้ งชา้ งหลายวนั ไดร้ บั ความทกุ ขท์ รมานมาก ต่อมาวนั หนงึ่ ฝนตกลงมาอยา่ งหนกั ทาํ ใหห้ นงั ของชา้ งเนา่ จงึ ออกมาได้ คิดวา่ เพราะความโลภ เราจงึ ประสบความทกุ ขน์ ี้ ถา้ ยงั ข่มความ โลภไม่ได้ จะไม่ออกไปหากิน ไปยงั อาศรมพระฤาษี สมาทานอโุ บสถเพอื่ ขม่ ความ โลภ ฝ่ ายหมี เกดิ ความโลภจดั ออกจากป่าไปยงั หมบู่ า้ นชายแดน แควน้ มลั ละ พวกชาวบา้ นบอกตอ่ ๆ กนั วา่ หมีเขา้ มายงั หม่บู า้ น ตา่ งถือธนแู ละท่อนไม้ เป็นตน้ ออกไปลอ้ มพ่มุ ไมท้ ่ีหมนี นั้ หนีเขา้ ไป ช่วยกนั ทบุ ตจี นศีรษะแตก เลอื ดไหล หมีนนั้ คิดวา่ ความทกุ ขน์ เี้ กดิ แก่เรา เพราะความโลภจดั ถา้ เรายงั ข่มความโลภ นไี้ ม่ได้ จะไม่ออกไปหากิน ไปยงั อาศรมของพระฤาษี สมาทานอโุ บสถ เพือ่ ข่ม ความโลภนนั้

๑๙๓ แม้ฤาษเี อง ก็ตกอย่ใู ตอ้ าํ นาจของมานะถือตวั เพราะอาศยั ชาติตระกลู จงึ ไมส่ ามารถจะทาํ ฌานใหเ้ กิดขนึ้ ได้ ครัง้ นัน้ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ องคห์ นง่ึ ทราบวา่ เขาเป็นผถู้ ือตวั คิดวา่ ผนู้ ไี้ มใ่ ช่คนธรรมดา เป็นพทุ ธางกรู จะไดบ้ รรลสุ พั พญั �ตุ ญาณในกลั ป์ นี้ เราจกั ทาํ การขม่ มานะผนู้ ี้ แลว้ ทาํ ใหเ้ ขาไดฌ้ านสมาบตั ิ ในขณะท่ฤี าษีกาํ ลงั นอน ใน บรรณศาลา จงึ มาจากป่าหิมพานต์ น่งั บนแท่นของฤาษี ฤาษีทราบว่า พระปัจเจก พทุ ธเจา้ น่งั บนอาสนะของตน มคี วามโกรธ เขา้ ไปหา ชีห้ นา้ ดา่ วา่ เจา้ สมณะ โลน้ ถอ่ ย กาฬกณิ ี จงฉิบหาย เจา้ มาน่งั บนแผน่ หินทน่ี ่งั ของขา้ ทาํ ไม่ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ ได้พดู กบั ฤาษีนั้นว่า ท่านสตั บรุ ุษทาํ ไม ? จงึ ถอื ตวั นกั เล่า อาตมาบรรลปุ ัจเจกพทุ ธญาณแลว้ ท่านกจ็ ะเป็นพทุ ธสพั พญั �ใู นกลั ป์ นี้ ท่านเป็นหน่อเนอื้ พทุ ธะ บาํ เพ็ญความดีมาแลว้ เมื่อเวลาผ่านไปเทา่ นี้ จะเป็นพระ พทุ ธเจา้ ทรงพระนามวา่ สิทธตั ถะ ไดใ้ หโ้ อวาทว่า ทา่ นเป็นผถู้ ือตวั หยาบคาย รา้ ยกาจเพ่ืออะไร ? ทาํ อยา่ งนไี้ ม่สมควรแก่ท่านเลย ฤาษีนนั้ กย็ งั ไหวท้ ่าน และ ไมถ่ ามว่า ตนเองจะไดเ้ ป็นพระพทุ ธเจา้ เม่อื ไร ? พระปัจเจกพทุ ธเจา้ พดู กบั เขาว่า ทา่ นไม่รูห้ รอกว่า เรากม็ ีชาติสงู และมคี ณุ ใหญเ่ หมือนกนั ถา้ แนจ่ ริง ก็เหาะให้ ไดเ้ หมอื นเราสิ ไดเ้ หาะขนึ้ ไปในอากาศโปรยฝ่นุ ทเี่ ทา้ ของตนลงบนมวยของเขาแลว้ กลบั ไปยงั ป่าหิมพานต์ ฤาษีเกดิ ความสลดใจ หลงั จากพระปัจเจกพทุ ธเจา้ ไปแลว้ คิดวา่ พระ สมณะนีม้ ีรา่ งกายหนกั แตเ่ หาะไปเหมอื นปยุ นนุ่ ทีถ่ กู ลมพดั เราไม่ไหวท้ ่าน ไม่ถามท่าน ดว้ ยความเยอ่ หย่งิ เพราะชาติ ขนึ้ ชื่อว่าชาติชนั้ วรรณะ จะทาํ อะไรได้ การประพฤติ ศีลเทา่ นนั้ เป็นคณุ ใหญใ่ นโลกนี้ แตม่ านะนีข้ องเราเมือ่ เจรญิ ขนึ้ มแี ต่จะนาํ ไปสนู่ รก

๑๙๔ ถา้ เรายงั ขม่ มานะนีไ้ มไ่ ด้ จะไม่ไปหาผลาผล จึงเขา้ ส่บู รรณศาลา สมาทานอโุ บสถ เพ่ือขม่ มานะ เรอ่ื งปัญจอโุ บสถชาดกนี้ แสดงใหเ้ หน็ ว่า ความทกุ ขแ์ ละภยั อนั ตรายท่ี เกิดขึน้ กบั มนษุ ยเ์ ป็นส่วนตวั หรอื สงั คมกต็ าม มกั เกิดขึน้ เพราะความขาดศลี ธรรม การแกไ้ ขความทกุ ขแ์ ละภยั อนั ตรายนนั้ ควรแกด้ ว้ ยศีลธรรม ไม่ควรแกด้ ว้ ยกเิ ลส หรอื ดว้ ยอบายมขุ เช่น เสพสงิ่ เสพตดิ และเทย่ี วเตรเ่ สเพล เป็นตน้ เพราะย่งิ เพมิ่ ปัญหาใหม้ ากและกวา้ งขวางออกไปอีก การเขา้ จาํ อโุ บสถสงบจิตใจ จะทาํ ใหเ้ กดิ ปัญญามองเหน็ วธิ ีแกไ้ ขปัญหาท่ีถกู ตอ้ งได้ ------------------------------------------------

๑๙๕ อโุ บสถศลี มี ๘ สกิ ขาบท ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณสี ิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสิกขาบท คือ เวน้ จากฆ่าสตั วด์ ว้ ยตนเอง และใชผ้ อู้ น่ื ใหฆ้ ่า ๒. อทนิ นฺ าทานา เวรมณสี ิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสกิ ขาบท คอื เวน้ จากลกั ฉอ้ ของเขาดว้ ยตนเอง และ ใชผ้ ูอ้ น่ื ใหล้ กั ฉอ้ ๓. อพฺรหมฺ จรยิ า เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ เป็นขา้ ขา้ พเจา้ สมาทานสิกขาบท คือ เวน้ จากประพฤตอิ สทั ธรรม ศึกแก่ พรหมจรรย์ ๔. มสุ าวาทา เวรมณสี ิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสกิ ขาบท คอื เวน้ จากพดู เทจ็ คาํ ไม่จรงิ ล่อลวงอาํ พราง ทา่ นผอู้ ่นื ๕. สุราเมรยมชชฺ ปมาทฏฺ ฐานา เวรมณสี ิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสิกขาบท คือ เวน้ จากเหตเุ ป็นทตี่ งั้ แหง่ ความประมาท คือ ดืม่ กินซ่ึงนาํ้ เมาคือสรุ าและเมรยั และเคร่ืองดองท่เี ป็นของทาํ ใจให้ คล่งั ไคลต้ ่าง ๆ ๖. วิกาลโภชนา เวรมณีสิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสิกขาบท คอื เวน้ จากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คอื ตง้ั แตเ่ ทย่ี งแลว้ ไปจนถึงเวลาอรุณขนึ้ ใหม่

๑๙๖ ๗. นจฺจคตี วาทิตวสิ ูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฑฺ นวิภูสนฏฺ ฐานา เวรมณสี ิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสกิ ขาบท คอื เวน้ จากฟ้อนราํ ขบั รอ้ ง ประโคม เครอ่ื งประโคมต่าง ๆ ดกู ารเล่นแตบ่ รรดาท่ีเป็นขา้ ศกึ แกก่ ศุ ล และลบู ทาทดั ทรงประดบั ตกแต่งซงึ่ รา่ งกาย ดว้ ยระเบียบดอกไมแ้ ละของหอม เครือ่ งทาเครอ่ื งยอ้ ม ผดั ผิวต่าง ๆ ๘. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสิกขาบท คือ เวน้ จากน่งั นอนบนเตยี งต่งั มเี ทา้ สงู เกินประมาณ และท่ีน่งั ทน่ี อนอนั ใหญ่ และเครอ่ื งปลู าดอนั งามวิจิตร ตา่ ง ๆ ---------------------------------------------------

๑๙๗ อธบิ ายอุโบสถศลี ๘ ขอ้ โดยสงั เขป อุโบสถศลี ทัง้ ๘ นัน้ สิกขาบทที่ ๑ เวน้ จากทาํ สตั วม์ ีชีวิตใหต้ กลว่ ง คือ เวน้ จากฆ่าสตั วม์ ีชีวติ คาํ ว่า สตั ว์ ในทีน่ ี้ ประสงคท์ งั้ มนษุ ยแ์ ละเดยี รฉานยงั เป็นอยู่ ทกุ เพศ ทกุ วยั ทกุ ชนิด สิกขาบทนมี้ ีองค์ ๕ คอื สตั วม์ ีชีวิต ๑ รูว้ า่ สตั วม์ ีชวี ิต ๑ จิตคิด จะฆา่ ๑ พยายามฆ่า ๑ สตั วต์ ายดว้ ยความพยายามนนั้ ๑ สิกขาบทที่ ๒ เวน้ จากถอื เอาส่ิงของทเี่ จา้ ของไม่ไดใ้ ห้ กิริยาทีถ่ ือเอาในท่ีนี้ หมายถึง ถือเอาดว้ ยอาการเป็นโจร สงิ่ ของทเ่ี ขาไม่ไดใ้ หใ้ นทน่ี ี้ หมายถงึ สิ่งของ ที่มีเจา้ ของ ทงั้ ที่เป็นสวิญญาณกทรพั ย์ ทงั้ ที่เป็นอวญิ ญาณกทรพั ย์ อนั เจา้ ของไม่ ไดย้ กใหเ้ ป็นสทิ ธิ์ขาด อย่างหนึง่ ส่ิงของท่ไี มใ่ ชข่ องใคร แตม่ ีผรู้ กั ษาหวงแหน เชน่ ของสงฆ์ ของสว่ นรวมอนั เป็นสาธารณะประโยชน์ อย่างหนง่ึ สิกขาบทนีม้ อี งค์ ๕ คอื ของมเี จา้ ของหวง ๑ รูว้ า่ มีเจา้ ของหวง ๑ จิตคิดจะลกั ๑ พยายามลกั ๑ นาํ ของมาดว้ ยความพยายามนนั้ ๑ สกิ ขาบทท่ี ๓ เจตนาเป็นเหตกุ า้ วล่วงฐานะ โดยประสงคจ์ ะเสพอสทั ธรรม ซ่งึ เป็นไปทางกายทวาร ช่ือว่า อพรหมจรรย์ ไดแ้ ก่ ความลอุ าํ นาจแก่ราคะแลว้ เสพอสทั ธรรมในมรรคใดมรรคหนงึ่ บรรดามรรคทงั้ ๓ (ทวารหนกั ทวารเบา ปาก) สกิ ขาบทนีม้ ีองค์ ๔ คือ อชั ฌาจรณียวตั ถุ วตั ถทุ จ่ี ะพงึ ประพฤติลว่ ง (มรรคทงั้ ๓) ๑ จติ คดิ จะเสพในอชั ฌาจรณียวตั ถนุ นั้ ๑ ความพยายามใน ในการเสพ ๑ มคี วามยินดี ๑

๑๙๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ การแสดงความเทจ็ เพอื่ ใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจผิด คลาดเคลอ่ื น จากความเป็นจริง ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี จดั เป็นมสุ าวาท สกิ ขาบทนี้มอี งค์ ๔ คอื เรื่องไม่จรงิ ๑ จิตคดิ จะพดู ใหผ้ ิด ๑ พยายามพดู ออกไป ๑ คนอน่ื เขา้ ใจเนอื้ ความนนั้ ๑ สิกขาบทท่ี ๕ นา้ํ เมาทีเ่ ป็นแต่เพยี งของดอง เช่น นา้ํ ตาลเมาต่าง ๆ ชอื่ เมรยั เมรยั นนั้ เขากล่นั ใหเ้ ขม้ ขน้ ขนึ้ ไปอีก เชน่ เหลา้ ต่าง ๆ ชื่อสรุ า สรุ า เมรยั นี้ ทาํ ใหผ้ ดู้ ื่มเมาเสียสติ สามารถทาํ ความช่วั ไดท้ กุ อย่าง จึงไดช้ อ่ื วา่ เป็น ที่ตง้ั แหง่ ความประมาท สกิ ขาบทนี้มีองค์ ๔ คอื ของทาํ ใหเ้ มา มีสรุ าเป็นตน้ ๑ จิตใคร่ จะดม่ื ๑ ทาํ พยายามดมื่ ๑ ดม่ื ใหล้ ว่ งลาํ คอเขา้ ไป ๑ สิกขาบทที่ ๖ กาลท่ีผรู้ กั ษาอโุ บสถศีลจะบริโภคอาหารได้ คือ ตง้ั แตอ่ รุณขนึ้ มาแลว้ จนถึงเทย่ี ง เรยี กว่า กาล ส่วนตงั้ แตเ่ ทีย่ งแลว้ ไปจนถึงกอ่ นอรุณขึน้ เรียกว่า วกิ าล จะบรโิ ภคอาหารในเวลานีไ้ ม่ได้ สกิ ขาบทนี้มีองค์ ๔ คือ เวลาตง้ั แตเ่ ทยี่ งแลว้ ไปถึงก่อนอรุณขนึ้ ๑ ของเคีย้ วของกนิ สงเคราะหเ์ ขา้ ในอาหาร ๑ พยายามกลืนกิน ๑ กลนื ใหล้ ว่ ง ลาํ คอเขา้ ไป ดว้ ยความพยายามนนั้ ๑ สิกขาบทท่ี ๗ การดทู ีช่ อ่ื วา่ เป็นขา้ ศกึ ศตั รูนนั้ เพราะขดั แยง้ ตอ่ คาํ สอน ของศาสนา การฟอ้ นราํ การขบั รอ้ ง การดีดสตี ีเป่า จะทาํ ดว้ ยตนเอง หรอื ใช้ ใหผ้ อู้ น่ื ทาํ ก็ตาม ถา้ เป็นขา้ ศกึ แกก่ ศุ ล จดั เป็นความผิดในสิกขาบทนีท้ งั้ สิน้

๑๙๙ สิกขาบทนีม้ ีองค์ ๓ คอื การเลน่ มีฟ้อนราํ ขบั รอ้ งเป็นตน้ ๑ ไปเพื่อ จะดหู รือฟัง ๑ ดหู รอื ฟัง ๑ สิกขาบทท่ี ๘ การหา้ มทน่ี ่งั ทน่ี อนอนั เกินขนาด อนั ไดช้ อื่ ว่า อุจจา สยนะ และเครื่องปูลาดท่ไี มส่ มควร อนั ไดช้ ือ่ วา่ มหาสยนะ นนั้ เพ่อื ประสงคไ์ ม่ ใหเ้ ป็นของโอโ่ ถงและย่วั ยวนใหเ้ กิดราคะความกาํ หนดั ยนิ ดี พระอรหนั ตท์ งั้ หลาย เป็น ผเู้ วน้ จากทนี่ ่งั ท่นี อนสงู และทีน่ ่งั ที่นอนใหญน่ นั้ สิกขาบทนี้มอี งค์ ๓ คอื ทน่ี ่งั ที่นอนสงู ใหญ่ ๑ รูว้ ่าที่น่งั ทนี่ อนสงู ใหญ่ ๑ น่งั หรือนอนลง ๑ ---------------------------------------

๒๐๐ วิธสี มาทานอุโบสถศลี พระอรรถกถาจารย์ กล่าวไวว้ ่า ในอรรถกถาอโุ บสถสตู รวา่ บคุ คลผู้ จะเขา้ จาํ อโุ บสถศลี นนั้ พงึ ตงั้ ใจวา่ พรุง่ นเี้ ราจกั รกั ษาอโุ บสถ ตรวจตราการทาํ อาหารเป็น ตน้ เสยี แต่ในวนั นี้ ส่งั การงานใหเ้ รียบรอ้ ยว่า ท่านทงั้ หลายจงทาํ ส่ิงนแี้ ละสงิ่ นี้ ในวนั อโุ บสถ พงึ เปลง่ วาจาสมาทานองคอ์ โุ บสถ ในสาํ นกั ของภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสก หรอื อบุ าสกิ ากไ็ ด้ ซึ่งเป็นผรู้ ูจ้ กั ลกั ษณะของศลี ๑๐ แต่เชา้ ตรู่ ถา้ ไมร่ ู้ บาลี พงึ อธิษฐานวา่ ขา้ พเจา้ อธิษฐานอโุ บสถทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ไิ ว้ เมือ่ ไม่ ไดผ้ อู้ ่นื พงึ อธิฐานดว้ ยตนเองกไ็ ด้ แต่ควรทาํ การเปลง่ วาจาโดยแท้ เมือ่ เขา้ จาํ อโุ บสถแลว้ ไม่ควรจดั แจงการงานทีเ่ ก่ียวกบั การเบยี ดเบียนผอู้ ืน่ ควรใหเ้ วลาผ่าน ไปดว้ ยการนบั อายแุ ละวยั สว่ นพระฎีกาจารยอ์ ธิบายวา่ ตงั้ แตส่ มาทานศลี แลว้ ผรู้ กั ษาอโุ บสถไม่ควร ทาํ กจิ อะไรอย่างอนื่ ควรใหเ้ วลาผ่านไปดว้ ยการฟังธรรม หรอื มนสิการกรรมฐาน ระเบียบพิธี เมื่อถึงวนั อโุ บสถ ๘ ค่าํ ๑๔ ค่าํ หรือ ๑๕ คา่ํ ผรู้ กั ษาอโุ บสถ นาํ ภตั ตาหารคาวหวานไปทาํ บญุ ทีว่ ดั ซ่ึงอย่ใู กลบ้ า้ น หรือท่ีตนศรทั ธาเล่อื มใส หลงั จากทพี่ ระสงฆท์ าํ วตั รเชา้ เสรจ็ แลว้ พึงเร่ิมกลา่ วคาํ บชู าพระรตั นตรยั ว่า ยมหํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ภควนตฺ ํ สรณํ คโต (หญิงว่า คตา) พระผมู้ ีพระภาคเจา้ พระองคใ์ ด ตรสั รูด้ ีโดยชอบ ขา้ พเจา้ ถึงแลว้ วา่ เป็นท่ีพ่งึ กาํ จดั ภยั ไดจ้ ริง อิมินา สกกฺ าเรน ตํ ภควนฺตํ อภิปชู ยามิ ขา้ พเจา้ ขอบชู า พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นนั้ ดว้ ยเครอื่ งสกั การะนี้

๒๐๑ ยมหํ สวากฺขาตํ ภควตา ธมฺมํ สรณํ คโต (หญิงวา่ คตา) พระธรรมใดอนั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไวด้ ีแลว้ ขา้ พเจา้ ถงึ แลว้ วา่ เป็นทพ่ี ึง่ กาํ จดั ภยั ไดจ้ ริง อมิ ินา สก�กาเรน ตํ ธมมฺ ํ อภิปชู ยามิ ขา้ พเจา้ บชู าซ่งึ พระธรรมนนั้ ดว้ ยเครื่องสกั การะนี้ ยมหํ สุปฏิปนฺนํ สงฺฆํ สรณํ คโต (หญิงว่า คตา) พระสงฆ์ หมใู่ ด เป็นผปู้ ฏิบตั ดิ ีแลว้ ขา้ พเจา้ ถึงแลว้ ว่าเป็นทพ่ี ึ่ง กาํ จดั ภยั ไดจ้ ริง อมิ นิ า สกฺกาเรน ตํ สงฆฺ ํ อภปิ ชู ยามิ ขา้ พเจา้ บชู าซ่ึงพระสงฆห์ ม่นู นั้ ดว้ ยเคร่อื ง สกั การะนี้ อรหํ สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ ภควา พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ (กราบ) สวากขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ (กราบ) สปุ ฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ (กราบ) ตอ่ จากนนั้ ผเู้ ป็นหวั หนา้ พงึ น่งั คกุ เขา่ ประนมมอื ประกาศอาํ อโุ บสถ ดงั นี้ อชฺช โภนโฺ ต ปกขฺ สฺส อฏฺ ฐมีทวิ โส (๑๔ ค่าํ ใหว้ ่า จาตุทฺทสี ทิวโส ๑๕ ค่าํ ให้วา่ ปณณฺ รสีทิวโส , อมาวสที ิวโส) เอวรูโป โข โภนโฺ ต ทวิ โส พุทฺเธน ภควตา ป�ญฺ ตฺตสสฺ ธมฺมสสฺ วนสฺส เจว ตทตฺถาย อุปาสกอปุ าสิกานํ อุโปสถกมมฺ สสฺ จ กาโล โหติ ฯ หนฺท มยํ โภนโฺ ต สพเฺ พ อิธ สมาคตา ตสสฺ ภควโต ธมมฺ านุ ธมฺมปฏปิ ตตฺ ิยา ปชู นตฺถาย อิม�จฺ รตฺตึ อมิ �ฺจ ทิวสํ อุโปสถํ อปุ วสิสสฺ ามาติ กาลปริจฺเฉทํ กตวา ตํ ตํ เวรมณึ อารมมฺ ณํ กรติ วฺ า อวิกขฺ ติ ตฺ จิตฺตา หุตฺวา สกกฺ จฺจํ อุโปสถงฺคานิ สมาทเิ ยยฺ ยาม อีทิสํ หิ อุโปสถกาลํ สมปฺ ตตฺ านํ อมหฺ ากํ ชวี ิตํ มา นริ ตฺถกํ โหตุ ฯ ขา้ พเจา้ ขอประกาศเริม่ เรอ่ื งความทจ่ี ะไดส้ มาทานรกั ษาอโุ บสถ ตามกาล

๒๐๒ สมยั พรอ้ มดว้ ยองค์ ๘ ประการ ใหส้ าธุชนท่ีจะตงั้ จติ สมาทานทราบท่วั กนั ก่อนแต่จะสมาทาน ณ บดั นี้ ดว้ ยวนั นี้ เป็นวนั อฏั ฐมี ดถิ ที ่ี ๘ (วนั จาตทุ ทสี ดิถที ี่ ๑๔ วนั ปัณณรสี , วนั อมาวสี ดถิ ที ่ี ๑๕ ) แห่งปักษม์ าถึงแลว้ ก็แลวนั เชน่ นี้ เป็นกาลท่จี ะฟังธรรม และทาํ การรกั ษาอโุ บสถ เพอื่ ประโยชนแ์ หง่ การฟังธรรม บดั นีข้ อกศุ ลอนั ยงิ่ ใหญ่ คือ ตงั้ จิตสมาทานอโุ บสถ จงเกิดมีแกเ่ ราทงั้ หลาย บรรดามาประชมุ ณ ท่ีนี้ เราทงั้ หลายพงึ มีจิตยินดีวา่ จะรกั ษาอโุ บสถ อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ วันหนง่ึ คนื หนึง่ ณ เวลาวนั นีแ้ ลว้ จงตง้ั จิตคดิ งดเวน้ ไกลจากการทาํ ชีวติ สตั วใ์ หต้ กล่วงไป คือฆ่าสตั วเ์ องและใชใ้ หค้ นอ่นื ฆ่า ๑ เวน้ จากถอื เอาสิ่งของทเ่ี จา้ ของไม่ให้ คอื ลกั และฉ้อและใชใ้ หล้ กั ฉอ้ ๑ เวน้ จากอพรหมจรรย์ ๑ เวน้ จากพดู คาํ เทจ็ คาํ ไมจ่ ริง และลอ่ ลวงอาํ พรางทา่ นผอู้ ืน่ ๑ เวน้ จากด่ืมกนิ ซึง่ สรุ าเมรยั สารพดั นาํ้ กล่นั นา้ํ ดอง อนั เป็นของใหผ้ ดู้ ื่มแลว้ เมา ซ่งึ เป็นเหตทุ ี่ตง้ั แหง่ ความประมาท ๑ เวน้ จากบริโภค อาหารในเวลาวกิ าล ตง้ั แต่พระอาทติ ยเ์ ทย่ี งแลว้ ไปจนถงึ เวลาอรุณขึน้ ใหม่ ๑ เวน้ จากฟ้อนราํ ขบั รอ้ งและประโคมดนตรี และดกู ารเลน่ บรรดาเป็นขา้ ศึกแก่กศุ ล และ ทดั ทรงระเบยี บดอกไม้ ลบู ไลท้ าตวั ดว้ ยของหอม เครอื่ งยอ้ มเครอื่ งแตง่ และประ ดบั รา่ งกายดว้ ยเครื่องอาภรณว์ จิ ติ รงดงามต่าง ๆ ๑ เวน้ จากน่งั นอนเหนือที่น่งั ที่นอน อนั สงู มีเตียงต่งั สงู กว่าประมาณ และท่นี ่งั ท่ีนอนอนั ใหญ่ภายในมนี นุ่ และสาํ ลี และ เคร่อื งลาดอนั วิจติ รงดงาม ๑ จงทาํ ความเวน้ องคท์ ่จี ะพึงเวน้ ๘ ประการนี้ เป็น อารมณ์ อยา่ มีจติ ฟงุ้ ซ่านส่งไปอ่ืน จงสมทานองคอ์ โุ บสถ ๘ ประการนีโ้ ดยเคารพ เถิดเพ่อื บชู าพระผมู้ พี ระภาคเจา้ นนั้ ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ิอย่างยง่ิ ตามกาํ ลงั ของเราทงั้ หลาย ซ่ึงเป็นคฤหสั ถ์ ชีวติ แหง่ เราทงั้ หลายเป็นมาถึงวนั อโุ บสถนี้ จงอยา่ ล่วงไปปราศจาก ประโยชนเ์ ลย

๒๐๓ ต่อจากนนั้ พงึ กลา่ วคาํ อาราธนาอโุ บสถศลี พรอ้ มกนั ดงั นี้ มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏฺ ฐงคฺ สมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม (วา่ ๓ จบ) เสรจ็ แลว้ พึงตงั้ ใจรบั สรณคมนแ์ ละอโุ บสถศีลโดยเคารพ โดยว่าตามคาํ ที่ พระสงฆบ์ อก ดงั นี้ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมาสมฺพทุ ฺธสฺส (วา่ ๓ จบ) พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ตติยมปฺ ิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ฯ เมื่อพระสงฆว์ ่า ตสิ รณคมนํ นิฏฺ ฐิตํ พงึ รบั พรอ้ มกนั ว่า อาม ภนฺเต ต่อจากนนั้ พงึ รบั อโุ บสถศลี ทงั้ ๘ ขอ้ ดงั กล่าวไวแ้ ลว้ ขา้ งตน้ ตอ่ ไปนี้ เมื่อรบั ศลี จบแลว้ พึงกลา่ วตามพระสงฆว์ ่า อมิ ํ อฏฺ ฐงฺคสมนฺนาคตํ , พทุ ฺธป�ฺญตฺตํ อุโปสถํ , อิม�จฺ รตตฺ ึ อิม�จฺ ทวิ สํ , สมฺมเทว อภริ กขฺ ิตํ สมาทยิ ามิ ขา้ พเจา้ สมาทานอโุ บสถ ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญัตไิ ว้ อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ, นเี้ พ่อื จะรกั ษาไวใ้ หด้ ี ไมใ่ หข้ าดไม่ใหท้ าํ ลาย ตลอดวนั หนึง่ กบั คนื หนง่ึ ณ เวลาวนั นี้ พระสงฆบ์ อกตอ่ ว่า อมิ านิ อฏฺ ฐ สิกขฺ าปทานิ อชเฺ ชกํ รตฺตินฺทิวํ อโุ ปสถวเสน สาธุกํ รกขฺ ิตพฺพานิ ใหร้ บั พรอ้ มกนั ว่า อาม ภนเฺ ต แลว้ พระสงฆจ์ ะบอกอานิสงสข์ องศีลตอ่ ไป ดงั นี้ สีเลน สุคตึ ยนฺติ , สเี ลน โภคสมฺปทา , สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ , ตสฺมา สลี ํ วโิ สธเย ฯ

๒๐๔ จบพธิ ีสมาทานอโุ บสถศีลเพยี งเท่านี้ ต่อจากนนั้ พึงตง้ั ใจฟังพระธรรมเทศนา หรอื มนสิการกรรมฐานตอ่ ไปนี้ เม่ือรกั ษาครบเวลาวนั หน่ึงกบั คนื หนงึ่ แลว้ การสมา ทานก็สิน้ สดุ ลง ----------------------------------------------

๒๐๕ อโุ บสถศีลมผี ลน้อยและมผี ลมาก การบาํ เพ็ญบญุ กศุ ลในพระพทุ ธศาสนา แบง่ ออกเป็น ๓ ระดบั คือ อย่างตา่ํ อย่างกลาง และอย่างสงู การทาํ บญุ ดว้ ยฉนั ทะ วิรยิ ะ จติ ตะ และวมิ งั สาอย่างตา่ํ จดั เป็นบญุ อย่างต่าํ การทาํ บญุ ดว้ ยฉนั ทะ วิริยะ จติ ตะ และวิมงั สาอย่างกลาง จดั เป็นบญุ อยา่ งกลาง การทาํ บญุ ดว้ ยฉนั ทะ วิรยิ ะ จติ ตะ และวิมงั สาอย่างสงู จดั เป็นบญุ อยา่ งสงู การทาํ บญุ เพราะตอ้ งการชื่อเสียง จดั เป็นบญุ อย่างต่าํ การทาํ บญุ เพราะตอ้ งการผลบญุ จดั เป็นบญุ อยา่ งกลาง การทาํ บญุ เพราะสาํ คญั ว่าเป็นส่ิงควรทาํ จดั เป็นบญุ อย่างสงู แมก้ ารสมาทานรกั ษาอโุ บสถศีล กเ็ ช่นเดยี วกนั อธั ยาศยั ของผสู้ มาทานยอ่ ม แตกตา่ งกนั ไป ทาํ ใหไ้ ดผ้ ลไมเ่ หมือนกัน ผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ตรสั แกน่ างวสิ าขาใน อโุ บสถสตู ร ติกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ ายว่า ดกู ่อนวิสาขา อโุ บสถมี ๓ อย่าง คือ โคปาลกอโุ บสถ ๑ นิคคณั ฐอโุ บสถ ๑ อรยิ อุโบสถ ๑ ๑. โคปาลกอโุ บสถ หมายถงึ อโุ บสถทอ่ี บุ าสกอบุ าสิการกั ษา มอี าการ เหมือนคนเลยี้ งโค ทรงอธิบายว่า คนเลยี้ งโค มอบโคทงั้ หลายใหเ้ จา้ ของในเวลา เยน็ แลว้ คาํ นึงอย่างนี้ วนั นี้ โคเทยี่ วหากินในทโ่ี นน้ ๆ ดม่ื นา้ํ ในทีโ่ นน้ ๆ ทีนี้ พรุง่ นี้ โคจกั เทีย่ วหากนิ ในท่ีโนน้ ๆ จกั ด่ืมนาํ้ ในท่โี นน้ ๆ ฉนั ใด คนรกั ษาอโุ บสถ บางคน ก็ฉันนนั้ เหมอื นกนั คาํ นงึ ไปอย่างนีว้ ่า วนั นีน้ ะ เราเคยี้ วกนิ ขาทนียะสงิ่ นี้ ๆ บรโิ ภคโภชนยี ะสง่ิ นี้ ๆ พรุง่ นี้ เราจกั เคยี้ วกินขาทนียะสง่ิ นี้ ๆ จกั บรโิ ภค โภชนียะสง่ิ นี้ ๆ คนรกั ษาอโุ บสถ ผนู้ นั้ มีใจไปกบั ความยาก ใชว้ นั ใหห้ มดไปดว้ ย ความอยากนนั้ การรกั ษาอโุ บสถเช่นนี้ ย่อมไม่มผี ลมาก ไม่มีอานสิ งสม์ าก ดงั เรือ่ งเลา่ ของคนถอื ศลี ไปเกดิ เป็นเปรต แตค่ นตกเบ็ดไดข้ ึน้ สวรรค์ ว่า

๒๐๖ ในอโุ บสถ มีคนกล่มุ หนึ่งไปถือศีลอยบู่ นศาลาวดั สว่ นคนอกี คนหนงึ่ ไปน่งั ตกปลาอยทู่ ่ฝี ่ังคลองตรงขา้ มศาลา วนั นนั้ ปลากินเบ็ดดี คนตกเบ็ดวดั เอา ๆ ได้ ปลามาก คนถอื ศีลอยบู่ นศาลา มองไปทีค่ นตกปลา ก็เกดิ ความโลภอยากไดป้ ลา นกึ วา่ ทาํ ไมวนั นีต้ อ้ งเป็นวนั อโุ บสถ ถา้ ไม่เชน่ นนั้ คงไดป้ ลากบั เขาบา้ ง จิตใจคิดถึง แตป่ ลา ไมเ่ ป็นอนั คิดถึงศลี คดิ ถึงกรรมฐาน และฟังธรรมเลย ฝ่ายคนตกปลา มองไปบนศาลาวดั เหน็ คนน่งุ ขาวห่มขาวถอื ศีลกนั แต่ตวั เองตอ้ งมาน่งั ตกปลา ไม่รู้ จกั ว่าวนั โกนวนั พระ เกดิ หริ ิโอตตปั ปะ กลบั ไปถงึ บา้ น หยดุ การทาํ บาป เกิด สมั ปัตตวริ ตั ขิ ึน้ มา ใจเลยสบาย ส่วนคนถอื ศีล รอ้ นรนไปดว้ ยความโลภ เรง่ วนั เวลา ใจจงึ มีแตค่ วามทกุ ข์ คนขนึ้ สวรรคค์ อื คนทใี่ จมีความสขุ คนตกนรกคอื คน ทใ่ี จมแี ตค่ วามทกุ ข์ ดงั คาํ พดู ทว่ี า่ สวรรคอ์ ย่ใู นอก นรกกอย่ใู นใจ การปฏบิ ตั ิ ธรรมอยา่ งนี้ ยอ่ มไมเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไร เพราะจิตใจไมไ่ ดเ้ ขา้ ถึงธรรมเลย ๒. นคิ คณั ฐอโุ บสถ หมายถึง อโุ บสถของนกั บวชนอกพระพทุ ธศาสนา ทรงอธิบายว่า ครนั้ ถึงวนั อโุ บสถ นิครนถจ์ ะเรยี กพวกสาวกมาสอนวา่ สเู จา้ จง เปลือ้ งผา้ ออกใหห้ มดแลว้ ประกาศตนอยา่ งนีว้ า่ ขา้ พเจา้ ไม่เก่ียวขอ้ งกบั ใคร ๆ ใน ที่ไหน ๆ และความกงั วลในสง่ิ อะไร ๆ และในทไ่ี หน ๆ กไ็ ม่มี แต่ความจริงไม่ได้ เป็นเช่นนนั้ พวกเขายงั รูจ้ กั ญาตพิ ีน่ อ้ งพวกพอ้ งของเขา และญาติพ่นี อ้ งพวกพอ้ งของ เขา กร็ ูจ้ กั เขา และเขากย็ งั ตอ้ งรบั อาหารจากคนอืน่ อยู่ ดงั นนั้ สิ่งทีน่ คิ รนถ์ สอนนนั้ จึงไม่เป็นความจริงได้ คนรักษาอโุ บสถกเ็ ช่นเดยี วกนั บางคนเช่ือถือในสิ่งที่เป็นไปไม่ไดห้ ลงอาจารย์ หลงสาํ นกั ทงิ้ พอ่ แม่ ทงิ้ ลกู จนขาดความกตญั �กู ตเวที และไมท่ าํ หนา้ ทข่ี อง บพุ พการี ทาํ ใหเ้ กดิ ปัญหาทางครอบครวั การถือศลี หรือการปฏิบตั ธิ รรมอยา่ งนีย้ ่อม ไม่เกดิ ผลดแี ตอ่ ยา่ งใด เพราะเป็นความประพฤติทเ่ี ลยศีล เลยธรรม หรือทาํ ลายระบบ ศลี ธรรมน่นั เอง

๒๐๗ ๓. อรยิ อโุ บสถ หมายถงึ อโุ บสถท่อี บุ าสกอบุ าสิการกั ษา ประเสริฐ พเิ ศษโดยขอ้ ปฏิบตั ิ ทรงอธิบายวา่ จติ ของมนษุ ยท์ เ่ี ศรา้ หมองดว้ ยอาํ นาจกิเลสนี้ สามารถชาํ ระลา้ งใหส้ ะอาดไดด้ ว้ ยความเพียร เหมือนศีรษะทเี่ ปือ้ น ทาํ ใหส้ ะอาดไดด้ ว้ ย เครอื่ งสนานศีรษะ รา่ งกายท่ีเปือ้ น ทาํ ใหส้ ะอาดไดด้ ว้ ยเครื่องชาํ ระลา้ งรา่ งกาย ผา้ ท่ี สกปรก ฟอกใหส้ ะอาดไดด้ ว้ ยเคร่อื งซกั ผา้ แว่นที่มวั หมอง ทาํ ใหใ้ สไดด้ ว้ ยนาํ้ มนั ทองคาํ ที่หมองคลา้ํ ทาํ ใหส้ กุ ปล่งั ไดด้ ว้ ยเคร่ืองมือของช่างทอง และส่ิงท่ีจะทาํ จติ อนั เศรา้ หมองใหบ้ ริสทุ ธิ์ผ่องแผว้ ไดน้ นั้ คือ ๑. พุทธานุสสติ ระลกึ ถงึ คณุ ความดขี องพระพทุ ธเจา้ ๒. ธมั มานุสสติ ระลกึ ถึงคณุ ความดีของพระธรรม ๓. สงั ฆานุสสติ ระลกึ ถงึ ความดีของพระสงฆ์ ๔. สลี านุสสติ ระลกึ ถึงศลี ของตน ๕. เทวตานุสสติ ระลกึ ถงึ ความดีที่ทาํ ใหเ้ ป็นเทวดา มี ศรทั ธา ศีล สตุ ะ จาคะ และ ปัญญา เป็นตน้ เมอ่ื ผรู้ กั ษาอุโบสถระลกึ ถึงอนุสสติทั้ง ๕ นี้ ชื่อวา่ ประพฤติพรหมอโุ บสถ ธมั มอโุ บสถ สงั ฆอโุ บสถ สีลอโุ บสถ และเทวตาอโุ บสถ จติ ของเธอปรารภพระ พทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ ศีล และเทวดา ย่อมผ่องใส ความปราโมทย์ ย่อมเกดิ ขึน้ เธอย่อมละอปุ กิเลสเสียได้ การทาํ จติ ทเี่ ศรา้ หมองใหผ้ อ่ งแผว้ ย่อม มีได้ ดว้ ยความเพยี รอย่างนแี้ ล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรสั ไปวา่ ดกู อ่ นวสิ าขา อรยิ สาวกนนั้ แล ย่อม พิจารณาเห็นดว้ ยตนเองอยา่ งนวี้ า่ พระอรหนั ตท์ งั้ หลาย ละปาณาตบิ าตแลว้ เป็น ผเู้ วน้ ขาดจากปาณาตบิ าต วางทอ่ นไม้ วางศสั ตรา มคี วามละอายบาป มี ความเอน็ ดู เกือ้ กลู อนเุ คราะหส์ รรพสตั วอ์ ยตู่ ลอดชีพ แมเ้ ราในวนั นีก้ ็เป็นเชน่ นนั้

๒๐๘ ตลอดคืนหน่ึงและวนั หนึง่ นดี้ ว้ ยองคอ์ โุ บสถนี้ เราไดช้ อื่ วา่ ปฏิบตั ิตามพระอรหนั ตท์ งั้ หลายอยา่ งหนง่ึ และอโุ บสถกจ็ กั เป็นอนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหน่งึ พระอรหันตท์ ้งั หลาย ละอทินนาทานแลว้ เวน้ ขาดจากอทินนาทาน ถอื เอาแต่ของทีเ่ ขาให้ หวงั แตข่ องท่เี ขาให้ มีตนอนั ไมเ่ ป็นขโมย เป็นผเู้ ป็นอยู่ สะอาดตลอดชพี แมเ้ ราในวนั นกี้ เ็ ป็นเช่นนนั้ ตลอดคืนและวนั หนง่ึ ดว้ ยองค์ อโุ บสถนี้ เราชื่อว่า ปฏบิ ตั ติ ามพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย อยา่ งหนง่ึ และอโุ บสถก็ จกั เป็นอนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหนึง่ พระอรหันตท์ ้งั หลาย ละอพรหมจรรยแ์ ลว้ เป็นพรหมจารี เวน้ จากเมถนุ อนั เป็น ธรรมของชาวบา้ นตลอดชพี แมเ้ ราในวนั นีก้ เ็ ป็นเชน่ นนั้ ตลอดคนื หนึง่ และวนั หนึง่ นี้ ดว้ ย องคอ์ โุ บสถนี้ เราช่ือวา่ ปฏบิ ตั ิตามพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย อยา่ งหนง่ึ และอโุ บสถก็จกั เป็นอนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหนึง่ พระอรหนั ตท์ ั้งหลาย ละมสุ าวาทแลว้ เป็นผเู้ วน้ ขาดจากมสุ าวาท พดู แต่คาํ จริง พดู จรงิ เสมอ มีถอ้ ยคาํ ม่นั คง เป็นท่ีวางใจได้ ไมล่ วงโลกตลอดชพี แมเ้ ราในวนั นกี้ ็เป็นเช่นนนั้ ตลอดคืนหนึ่งและวนั หนึ่งนี้ ดว้ ยองคอ์ โุ บสถนี้ เราชือ่ ว่า ปฏิบตั ติ ามพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย อยา่ งหน่ีง และอโุ บสถก็จกั เป็นอนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหนง่ึ พระอรหันตท์ ง้ั หลาย ละการด่มื สรุ าเมรยั อนั เป็นที่ตง้ั แห่งความประ มาทแลว้ เป็นผเู้ วน้ ขาดจากการดืม่ นาํ้ เมาตลอดชีพ แมเ้ ราในวนั นกี้ เ็ ป็นเชน่ นนั้ ตลอด คนื หนงึ่ และวนั หนึง่ นี้ ดว้ งองคอ์ โุ บสถนี้ เราไดช้ ื่อวา่ ปฏบิ ตั ิตามพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย อยา่ งหน่งึ และอโุ บสถก็จกั เป็นอนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหน่งึ

๒๐๙ พระอรหันตท์ ง้ั หลาย บริโภคอาหารครงั้ เดียว งดอาหารในราตรี เวน้ จากการบรโิ ภคในเวลาวกิ าลตลอดชพี แมเ้ ราในวนั นีก้ ็เป็นเชน่ นนั้ ตลอดคนื หน่ึงและวนั หนึ่งนเี้ ราไดช้ อ่ื วา่ ปฏบิ ตั ติ ามพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย อย่างหน่ึง และอโุ บสถก็จกั เป็นอนั เรา รกั ษาแลว้ อยา่ งหน่ึง พระอรหนั ตท์ ้งั หลาย เวน้ ขาดจากการฟ้อนราํ การขบั รอ้ ง การประโคม ดนตรี ดกู ารเลน่ การประดบั ตกแตง่ กายดว้ ยดอกไมข้ องหอม และเคร่ืองทาผวิ อนั เป็นฐานแต่งตวั ตลอดชพี แมเ้ ราในวนั นีก้ เ็ ป็นเชน่ นนั้ ตลอดคืนหน่งึ และวนั หน่ึงนี้ ดว้ ยองคอ์ โุ บสถนี้ เราไดช้ ื่อว่า ปฏบิ ตั ติ ามพระอรหนั ตท์ งั้ หลายอยา่ งหนงึ่ และ อโุ บสถก็จกั เป็นอนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหนงึ่ พระอรหันตท์ ้งั หลาย ละท่ีนอนสงู ที่นอนใหญ่แลว้ เป็นผูเ้ วน้ ขาดจากที่ นอนสงู ท่นี อนใหญ่ ใชท้ ่ีนอนตา่ํ บนเตียงบา้ ง บนเครือ่ งลาดทาํ ดว้ ยหญา้ บา้ ง ตลอดชีพ แมเ้ ราในวนั นกี้ เ็ ป็นเช่นนนั้ ตลอดคืนหนงึ่ และวนั หน่งึ นี้ ดว้ ยองคอ์ โุ บ สถนี้ เราไดช้ ื่อวา่ ปฏิบตั ิตามพระอรหนั ตท์ งั้ หลายอยา่ งหน่งึ และอโุ บสถก็จักเป็น อนั เรารกั ษาแลว้ อย่างหนึง่ ดกู อ่ นวิสาขา อรยิ อโุ บสถเป็นอยา่ งนแี้ ล อโุ บสถทรี่ กั ษาแลว้ อยา่ งนี้ ยอ่ ม มผี ลมาก มีอานสิ งสม์ าก มคี วามรุง่ เรืองมาก มคี วามแผไ่ พศาลมาก ในคาํ ส่งั สอนของพระผ้มู พี ระภาคเจา้ นัน้ อริยอโุ บสถซ่งึ เป็นอย่างอกุ ฤษฏ์ ผทู้ ี่ปฏบิ ตั ิมกั รกั ษาไมใ่ ครไ่ ด้ รกั ษาไดแ้ ต่เพยี งโคปาลกอโุ บสถโดยมาก ถา้ ผปู้ ฏิบตั ิ สามารถรกั ษาใหเ้ ป็นอรยิ อโุ บสถ หรืออย่างนอ้ ยทสี่ ดุ ใหไ้ ดส้ กั วนั หน่ึง จะรูส้ กึ ว่าเป็น บญุ กศุ ลอนั พเิ ศษทงั้ จะไดร้ บั รสคอื ปีติปราโมทยอ์ ย่างมาก ไม่เสียทีที่ไดเ้ กดิ มาเป็น มนษุ ยพ์ บพระพทุ ธศาสนา ----------------------------------------

๒๑๐ อานิสงสข์ องอโุ บสถศลี ศลี ทกุ ประเภททบ่ี คุ คลรกั ษาดว้ ยจิตศรทั ธา จะดว้ ยการสมาทาน หรือการ งดเวน้ เฉพาะหนา้ กต็ าม ย่อมมีผลมาก มีอานสิ งสม์ าก มคี วามรุ่งเรืองมาก มี ความเจรญิ แผไ่ พศาลมาก เพราะศลี นนั้ สามารถสรา้ งสวรรค์ สรา้ งความเสมอ ภาค และสรา้ งความปลอดภยั ใหแ้ กม่ นษุ ยไ์ ด้ ๑. ศลี สรา้ งสวรรคแ์ กม่ นุษย์ ศลี นนั้ สามารถสรา้ งสวรรคแ์ ก่มนษุ ยไ์ ด้ ดงั ทอี่ งคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธ เจา้ ตรสั แกน่ างวิสาขา ในวสิ าขาสตู ร อฏั ฐกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย ว่า ดกู อ่ นวสิ าขา อโุ บสถประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ อนั บคุ คลเขา้ จาํ แลว้ ย่อมมอี านสิ งสม์ าก มีผลมาก มคี วามรุง่ เรืองมาก มคี วามเจรญิ แผไ่ พศาลมาก ดกู อ่ นวิสาขา การที่สตรี หรือบรุ ุษบางคนในโลกนี้ เขา้ จาํ อโุ บสถอนั ประกอบดว้ ย องค์ ๘ ประการ หลงั จากเขาแตกกายทาํ ลายขนั ธแ์ ลว้ พงึ ไดอ้ ยรู่ ว่ มกบั ชาว สวรรคช์ นั้ จาตมุ มหาราชิกา ชนั้ ดาวดงึ ส์ ชนั้ ยามา ชนั้ ดสุ ิต ชนั้ นมิ มานรดี และชนั้ ปรนมิ มิตวสวสั ดี ขอ้ นนั้ ยอ่ มเป็นไปไดแ้ นน่ อน ๒. ศีลนั้นสร้างความเสมอภาคแก่มนุษยไ์ ด้ ศีลนนั้ สรา้ งความเสมอภาคแก่มนษุ ยไ์ ด้ ดงั ที่องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั กบั อบุ าสกชือ่ ว่า วาเสฏฐะ ในอฏั ฐกนิบาต องั คตุ ตรนกิ าย ว่า ดกู อ่ นวาเสฏฐะ แมถ้ า้ กษัตริยท์ งั้ หลาย พราหมณท์ งั้ หลาย แพศยท์ งั้ หลาย และศทู รทงั้ หลาย พึงเขา้ จาํ อโุ บสถศลี อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ

๒๑๑ การเขา้ จาํ นนั้ พงึ เป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ เพื่อความสขุ แกก่ ษตั รยิ ์ แกพ่ ราหมณ์ แกแ่ พศย์ และแกศ่ ทู รทงั้ หลาย เหลา่ นนั้ ช่วั กาลนานเหมือนกนั (คือไดไ้ ปเกดิ ในสคุ ตไิ ดเ้ ทา่ เทียมกนั ) ๓. ศีลสรา้ งความปลอดภัยแก่มนุษย์ ศลี นนั้ สรา้ งความปลอดภยั แกม่ นษุ ยไ์ ด้ ดงั ทอ่ี งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ไวใ้ นอภสิ นั ทสตู ร ในอฏั ฐกนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย มใี จความวา่ ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย อริยสาวกในศาสนานี้ ละปาณาตบิ าต เป็นผูเ้ วน้ จากปาณาตบิ าต ละอทนิ นาทาน เป็นผเู้ วน้ ขาดจากอทนิ นาทาน ละกาเมสมุ จิ ฉาจาร เป็นผเู้ วน้ ขาดจากกาเมสมุ จิ ฉาจาร ละมุสาวาท เป็นผูเ้ วน้ ขาดจากมสุ า วาท ละสรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐาน เป็นผเู้ วน้ จากสรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐาน ช่ือว่า เขาไดใ้ หค้ วามไมม่ ีภยั ความไม่มเี วร และความไม่เบียดเบียน แก่สตั วท์ งั้ หลาย หาประมาณมไิ ด้ ตวั เขาเองกย็ ่อมมีส่วน ( ไดร้ บั ) ความไมม่ ีภยั ความไมม่ เี วร และความ ไม่ถกู เบยี ดเบียนดว้ ย ดกู ่อนภกิ ษุทงั้ หลาย ทานทงั้ หา้ นี้ เป็นมหาทาน รูก้ นั ว่าเป็นเลศิ (กว่าทาน ทงั้ หลาย) รูก้ นั มานาน รูก้ นั ว่าเป็นวงศ์ (ของอรยิ ะ) เป็นของเก่า อนั สมณพราหมณ์ ผเู้ ป็นวญิ �ชู นไมค่ ดั คา้ นไมล่ บลา้ ง อนึง่ แมบ้ คุ คลผอู้ าํ นวยความสะดวก และใหก้ ารสนบั สนนุ ผรู้ กั ษาศลี ดว้ ย การใหอ้ าหารเป็นตน้ กย็ อ่ มไดผ้ ล ไดอ้ านิสงส์ ไดค้ วามรุง่ เรอื ง และความเจริญ แผไ่ พศาลมากเชน่ เดียวกนั ดงั เรื่องของปโุ รหิตคนหน่งึ

๒๑๒ เล่ากนั มาวา่ ในอดตี กาล พระโพธิสตั ว์ ไดเ้ ป็นพระเจา้ กรุงพาราณสี เป็นผไู้ มป่ ระมาทในการบริจาคทาน รกั ษาศลี และอโุ บสถกรรม ทรงชกั ชวนอาํ มาตยเ์ ป็น ตน้ ใหบ้ าํ เพญ็ กศุ ลเชน่ นนั้ คนทงั้ หมดไดท้ าํ ตาม แต่มีปโุ รหิตอย่คู นหนึ่งทท่ี รง ตง้ั ไวใ้ นตาํ แหนง่ ผพู้ ิพากษา เป็นผหู้ ากินบนหลงั คน ดว้ ยการกินสินบน จงึ ไม่ สมาทานศลี ในวนั อโุ บสถวนั หนึ่ง ตอนกลางวนั เขารบั สนิ บนทาํ คดีโกงแลว้ ไปเฝา้ พระ ราชา ถกู ตรสั ถามว่า อาจารย์ ท่านรกั ษาอโุ บสถดว้ ยหรือ จึงทลู เทจ็ ว่า พระ พทุ ธเจา้ ขา้ แลว้ ถวายบงั คมลากลบั ไป อาํ มาตยค์ นหนึง่ ทว้ งเขาวา่ ทา่ นไมไ่ ดร้ กั ษา อโุ บสถมใิ ช่หรือ เขาพดู วา่ เราบรโิ ภคอาหารในเวลาเทา่ นนั้ ไปบา้ นแลว้ บว้ นปาก อธิฐานอโุ บสถตอนเย็น จกั รกั ษาศีลตอนกลางคนื เมื่อเป็นเชน่ นี้ อโุ บสถกรรมก่ึง หนึง่ จกั มีแก่เรา ครนั้ ไปถึงเรอื นแลว้ ไดท้ าํ อย่างนนั้ ในวนั อโุ บสถอีกวนั หน่งึ สตรผี หู้ น่งึ คิดว่า จะตอ้ งรกั ษาอโุ บสถกรรมใหไ้ ด้ เมื่อเวลาใกลเ้ ขา้ มา จงึ เรมิ่ จะบว้ นปาก เขารูว้ า่ สตรนี นั้ เป็นผรู้ กั ษาอโุ บสถ จึง ใหผ้ ลมะมว่ งแกเ่ ธอ ความดีของเขามีเพียงเท่านี้ ครนั้ เขาสิน้ ชวี ติ ไดเ้ กิดเป็น เวมานิกเปรต หอ้ มลอ้ มดว้ ยนางเทพกญั ญามากมาย เขาเสวยสมบตั ิเฉพาะในเวลา กลางคนื สว่ นกลางวนั ตอ้ งเขา้ ไปอย่ใู นป่ามะมว่ ง อตั ภาพอนั เป็นทิพยห์ ายไป มีรา่ งกายทีน่ ่าเกลียด ถกู ไฟไหมล้ กุ โชนทงั้ ตวั มือของเขามีนิว้ ขา้ งละนิว้ เล็บนวิ้ มอื ขนาดเทา่ จอบเลม่ ใหญ่ ๆ เขาเอาเลบ็ มอื ทงั้ สองนนั้ กรีดเนือ้ หลงั ของตนควกั ออกมา กิน ไดร้ บั ความเจบ็ ปวด รอ้ งล่นั ป่า ไดร้ บั ทกุ ขเวทนาแสนสาหสั เมื่อพระ อาทิตยต์ กดนิ รา่ งกายนนั้ ก็หายไป กายอนั เป็นทิพยเ์ กิดขึน้ แทน กลบั สวู่ ิมานดงั เดิม เขาไดท้ พิ ยว์ ิมานอนั น่ารนื่ รมย์ เพราะผลแหง่ การใหผ้ ลมะม่วงแก่หญิงผรู้ กั ษา อโุ บสถ

๒๑๓ เขาควกั เนือ้ หลงั ของตนเองออกมากิน เพราะผลแหง่ การรบั สนิ บนและตดั สนิ คดีโกง เขามยี ศใหญ่ ไปทไ่ี หนมนี างเทพกญั ญาหอ้ มลอ้ ม เพราะผลแหง่ การรกั ษา อโุ บสถกรรมก่ึงหน่ึง ศลี สรา้ งสวรรคใ์ หแ้ กม่ นษุ ย์ สรา้ งความเสมอภาคใหแ้ ก่มนษุ ย์ สรา้ ง ความปลอดภยั ใหแ้ ก่มนษุ ย์ และใหส้ มบตั ทิ ่นี าปรารถนาแก่มนษุ ย์ ตามทกี่ ล่าวมา จงึ ควรรกั ษาศลี ใหด้ ี มใิ หข้ าด มิใหด้ ่างพรอ้ ย ดงั พรรณนามา ฉะนี้ ----------------------------------------


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook