˹§Ñ Ê×ÍàÃÂÕ ¹ ÇªÔ Ò¾·Ø ¸»ÃÐÇµÑ Ô ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒµÃÕ
หน้า ๕๒ พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี วชิ าพุทธประวตั ิ เป็นการศึกษาภมู ิหลงั ประวตั ขิ องพระพุทธเจา้ เพ่ือทีจ่ ะไดเ้ กิดศรทั ธา ความเช่ือ ปสาทะ ความเลอ่ื ม ใสใน พระองค์ ในคาํ สอนของพระองค์ ประโยชน์ของการเรียนพุทธประวัติ ๑. ไดศ้ รัทธา และปสาทะ ๒. ไดท้ ราบพระประวตั ขิ องพระองค์ ๓. ไดท้ ราบพระจริยาวตั ร การประพฤติปฏบิ ตั ิของพระองค์ ๔. ไดท้ ฏิ ฐานุคติ แบบแผนทดี่ ีงาม ๕. นาํ ไปประพฤติปฏิบตั ิ เพ่ือปรบั ปรุงชีวติ ของตนเอง ปรุ มิ กาล วา่ ดว้ ยชมพทู วปี และประชาชน ชมพทู วีป คอื ประเทศอนิ เดียในสมยั ก่อน ในสมยั ปัจจบุ นั แบง่ ออกเป็น ๔ ประเทศ คอื อนิ เดยี , เนปาล, ปากีสถานและบงั คลาเทศ ซ่ึงอยทู่ างทศิ พายพั ของประเทศไทย (ทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ) ชนชาติท่อี าศยั อยมู่ ี ๒ เผา่ คือ ๑. ชนชาติมิลกั ขะ เจา้ ถน่ิ เดิม อาศยั อยกู่ ่อน ๒. ชนชาตอิ ริยกะ พวกทรี่ ุกไลเ่ จา้ ของถ่นิ เดิมออกไป ชมพทู วีป แบ่งออกเป็นจงั หวดั ใหญ่ ๒ จงั หวดั คือ ๑. มชั ฌิมชนบท หรือ มธั ยมประเทศ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ส่วนกลาง ๒. ปัจจนั ตชนบท ไดแ้ ก่ จงั หวดั ปลายแดน อาณาจกั รตา่ ง ๆ ในคร้ังพุทธกาล ชมพทู วีปแบง่ การปกครองออกเป็น ๒๑ อาณาจกั ร หรือแควน้ คอื ๑. ในบาลีอุโบสถสูตร ๑๖ แควน้ คอื องั คะ มคธะ กาสี โกสละ วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ กรุ ุ ปัญจาละ มจั ฉะ สุรเสนะ อสั สกะ อวนั ตี คนั ธาระ กมั โพชะ. ๒. ในพระสูตรอ่ืน ๆ อกี ๕ แควน้ คอื สกั กะ โกลิยะ ภคั คะ วเิ ทหะ และองั คตุ ตราปะ อาณาจกั เหลา่ น้ี ผูป้ กครองดาํ รงยศเป็นมหาราชาบา้ ง เป็นราชาบา้ ง เป็นอธิบดีบา้ ง
พทุ ธประวัติ ธรรมศึกษาช้นั ตรี หนา้ ๕๓ วรรณะ ๔ ๑. กษัตริย์ มหี นา้ ทปี่ กครองบา้ นเมอื ง ศกึ ษาเกี่ยวกบั ยทุ ธวิธี ๒. พราหมณ์ มหี นา้ ที่สัง่ สอนและทาํ พธิ ีกรรม ศึกษาเกี่ยวกบั ศาสนา พิธีกรรม ๓. แพศย์ มีหนา้ ท่ใี นการทาํ นาคา้ ขาย ศกึ ษาเก่ียวกบั การเพาะปลกู ๔. ศูทร มีหนา้ ท่ีรบั จา้ งทาํ การงาน ศกึ ษาเก่ียวกบั การใช้แรงงาน กษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ ถือตนเองว่าเป็นคนมีวรรณะสูง จึงรงั เกียจพวกท่ีมวี รรณะต่าํ ไม่ยอมร่วมกินร่วม นอน จะสมสู่เป็นสามีภรรยาเฉพาะในวรรณะของตนเทา่ น้นั ถา้ หากหญิงท่ีเป็นนางกษตั ริยห์ รือพราหมณี ไป แตง่ งานกบั ชายท่ีเป็นแพศยห์ รือศูทรท่บี ุตรเกิดมาจะถูกเรียกว่า เป็นคน “จณั ฑาล” เป็นท่ีรังเกียจของคนทวั่ ไป โดย ถอื วา่ เป็นคนกาลกิณี หรือทค่ี นไทยถือว่าเป็น “เสนยี ดจญั ไร” ความเชื่อเก่ยี วกับชีวติ หรือความคิดเห็น เก่ียวกบั ชีวิตความตาย พอสรุปได้ ๒ ประการ คอื ๑. ถือว่าตายแลว้ เกิด - ตนเป็นอะไรก็เป็นอยา่ งน้นั - มกี ารเปลี่ยนแปลงได้ ๒. ถือว่าตายแลว้ สูญ - ตายแลว้ สูญโดยประการท้งั ปวง - สูญเพยี งบางสิ่งบางอยา่ ง เก่ยี วกบั ความสุข ความทุกข์ พอสรุปได้ ๒ ประการ คือ ๑. สตั วจ์ ะไดร้ ับความสุข ความทุกข์ กไ็ ดเ้ องไมม่ เี หตปุ ัจจยั ๒. สัตวจ์ ะไดร้ ับความสุข ความทุกข์ เพราะมีเหตปุ ัจจยั - เหตุภายนอก มีเทวดา เป็นตน้ - เพราะเหตุภายใน คือ กรรม สกั กชนบท และ ศากยวงศ์ สักกชนบท ต้งั อยใู่ นชมพูทวปี ตอนเหนือ ณ ป่ าหิมพานต์ ในดงไมส้ ักกะ หรือสากะ (ไม่ใช่ดงไมส้ กั ) จึงได้ ช่ือวา่ “สักกชนบท” กบิลพสั ด์ุ พระนครทีส่ ร้างข้นึ ใหม่ ทีช่ ่ือวา่ “กบลิ พสั ด”ุ์ เพราะเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. พระนครน้ีสร้างในสถานท◌◌ี ่ อนั เป็นทอ่ี ยขู่ องกบลิ ดาบส ๒. เพราะพระนครน้ีสร้างข้นึ ตามคาํ แนะนาํ ของกบิลดาบส ศากยวงศ์ คือวงศข์ องศากยะทสี่ ืบต่อกนั มา เพราะเหตุ ๓ ประการ คอื ๑. เพราะกษตั ริยว์ งศน์ ้ีต้งั อย่ใู นสักกชนบท
หนา้ ๕๔ พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี ๒. เพราะกษตั ริย์ วงศน์ ้ีสมสู่กนั เองระหวา่ งพ่นี อ้ ง ทเ่ี รียกว่า “สกสังวาส” ๓. เพราะกษตั ริยว์ งศน์ ้ีทรงถือเอาพระราชดาํ รัสของพระเจา้ โอกกากราช ทอ่ี อกพระโอฐชมว่า สกั กา เป็นผู้ อาจหาญ มีความสามารถ การปกครอง เป็นแบบสามคั คีธรรม. ลาํ ดบั วงศ์ ศากยวงศ์ และโกลิยวงศ์ สืบเชือ้ สายต่อกนั มาโดยลาํ ดบั คือ ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์ ๑. ชยเสน ๑. - สีหหนุ, ยโสธรา อญั ชนะ, กญั จนา ๒. สีหหนุ + กญั จนา ๒. อญั ชนะ + ยโสธรา สุทโธทนะ, สุกโกทนะ, อมิโตทนะ สุปปพุทธะ, ทณั ฑปาณี, มายา, โธโตทนะ, ฆนิโตทนะ, ปมิตา, อมติ า ปชาบดี หรือโคตมี ๓. สุทโธนะ + มายา และปชาบดี ๓. สุปปพทุ ธะ + อมติ า สิทธตั ถะ. นนั นทะ, รูปนนั ทา เทวทตั , ยโสธราหรือพมิ พา ๔. สิทธตั ถะ + ยโสธรา ราหุล ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ หมายเหตุ หมายถึง พระราชบุตร - ธิดา + หมายถงึ อภิเษกสมรส หรือสมสู่ - หมายถงึ ไมป่ รากฏช่ือ ประสตู ิ เมื่อพระเจา้ สุทโธทนะไดอ้ ภิเษกสมรสกบั พระนางเจา้ สิริมหามายา พระราชธิดาของพระเจา้ อญั ชนะกบั พระนางยโสธราฝ่ ายโกลิยะ เมอ่ื พระเจา้ สีหหนุทิวงคตแลว้ ไดส้ ืบราชสมบตั แิ ห่งนครกบลิ พสั ดุ์ จาํ เนียรกาลต่อมา พระโพธิสัตวไ์ ดจ้ ตุ จิ ากดุสิตเทวโลกมาปฏสิ นธิในพระครรภเ์ ม่ือเวลาใกลร้ ุ่งคืนวนั เพญ็ แห่งอาสาฬหมาส (วนั พฤหัสบดี ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือน ๘ ปี ระกา) กอ่ นพุทธศก ๘๐ ปี บงั เกิดแผ่นดินไหวซ่ึงในคืนน้นั
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชัน้ ตรี หน้า ๕๕ พระนางเจา้ มายาทรงพระสุบนิ วา่ มีพญาชา้ งเผอื กชูดอกบวั ขาว เขา้ สู่ครรภข์ องตน เวลาสายใกลเ้ ทีย่ ง ณ วนั เพญ็ แห่งวิสาขมาส (วนั ศุกร์ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดือน ๖ ปี จอ) กอ่ นพุทธศก ๘๐ปี เวลาเชา้ พระนางสิริมหามายาเสดจ็ ประพาส พระราชอทุ ยานลมุ พินีวนั อนั ต้งั อยรู่ ะหว่างกรุงกบิลพสั ดุ์ กบั กรุงเทวทหะต่อกนั ขณะประพาสเล่นอยเู่ กิดประชวร พระครรภจ์ ะประสูติ อาํ มาตยผ์ ตู้ ามเสด็จจึงจดั ทป่ี ระสูติถวายใตร้ ่มสาละ(รงั )เท่าท่จี ะจดั ไดพ้ ระนางเจา้ ไดป้ ระสูติ พระราชโอรส ณ ท่ีนนั่ เองไดบ้ งั เกิดแผ่นดินไหว แต่อาจารยผ์ แู้ ต่งคมั ภรี ์กลา่ ววา่ น่าจะเป็นความประสงคข์ องพระนางเจา้ ทจี่ ะกลบั ไปประสูติ ณ ท่ีสกุลเดิม ของพระนาง ตามธรรมเนียมของพราหมณม์ ากกวา่ ทจ่ี ะไปประพาสทพ่ี ระอทุ ยานแต่เกิดประชวรครรภเ์ สียก่อนจึง ไดป้ ระสูติทีน่ นั่ ขณะประสูติพระนางมายาประทบั ยนื พระหัตถท์ รงจบั ก่ิงสาละพระโพธิสตั วพ์ อประสูติจากพระ ครรภแ์ ลว้ ดาํ เนินไปได้ ๗ กา้ ว แลว้ เปล่งอาสภิวาจาอนั เป็นบรุ พนิมติ แห่งโพธิญาณวา่ “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺ โฐ เสฏฺ โฐหมสฺมิ อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปนุ พฺพโว. แปลว่า เราเป็นยอด เป็นผู้เจริญทสี่ ุด เป็ นผู้ประเสริฐท่ีสุด แห่งโลก การเกิดของเราครั้งนี้ เป็นคร้ังสุดท้าย ภพใหม่ไม่มีอกี แล้ว” ฝ่ ายอสิตดาบส หรือกาฬเทวลิ ดาบส ผูค้ นุ้ เคย แห่งราชสกลุ ทราบขา่ วจึงไดเ้ ขา้ ไปเยี่ยม เมอื่ เห็นพระโพธิสตั วม์ ีลกั ษณะตอ้ งตามตาํ รามหาปรุ ิสลกั ษณะจึงทาํ นายว่า มคี ตเิ ป็น ๒ คอื ๑. ถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๒. ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เกิดความเคารพจึงกม้ ลงกราบที่พระบาทท้งั คู่แลว้ ถวายพระพรลากลบั เมื่อประสูตไิ ด้ ๕ วนั พระเจา้ สุท โธทนะโปรดให้ประชุมพระญาติวงศแ์ ละเสนาอาํ มาตยพ์ ร้อมกนั เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารแลว้ ทาํ นายพระลกั ษณะและทาํ มงคลรับพระลกั ษณะ ขนานพระนามว่า” สิทธัตถกมุ าร” แตม่ หาชนทวั่ ไปมกั จะเรียกตาม พระโคตรวา่ “โคตมะ“ พอประสูตไิ ด้ ๗ วนั พระมารดากท็ วิ งคต พระเจา้ สุทโธทนะจึงมอบพระโพธิสัตวใ์ หอ้ ยใู่ นความดแู ลของ พระนางปชาบดีโคตมพี ระนา้ นางตอ่ มา เมอ่ื พระชนมายไุ ด้ ๗ พรรษาพระราชบิดาตรัสใหข้ ดุ สระข้นึ ภายในพระ ราชนิเวศน์ ๓ สระ ปลูกอบุ ล บวั ขาวสระ ๑ ปลกู ปทุม บวั หลวงสระ ๑ ปลูกปณุ ฑริกบวั ขาวสระ ๑ และเห็นว่าควร จะศกึ ษาศลิ ปวิทยาไดแ้ ลว้ จึงทรงพาไปมอบไวใ้ นสาํ นกั ครูวศิ วามติ ร เม่อื พระชนมายไุ ด้ ๑๖ พรรษาเห็นควรจะมพี ระชายาไดแ้ ลว้ พระราชบิดาตรสั สัง่ ใหส้ ร้างปราสาทข้นึ ๓ หลงั เพ่อื เหมาะแกก่ ารอยตู่ ามฤดทู ้งั ๓ ฤดู แลว้ ตรสั ขอพระนางยโสธราหรือพมิ พา พระราชบุตรีของพระเจา้ สุป ปพุทธะกบั พระนางอมติ าแห่งโกลยิ วงศม์ าอภิเษกเป็นพระเทวีจนกระทงั่ พระชนมายไุ ด้ ๒๙ พรรษาพระนางพมิ พา จึงมีพระราชโอรสพระองคห์ น่ึง ทรงพระนามว่า “ราหุลกมุ าร” บรรพชา ในปี ท่พี ระชนมายุ ๒๙ พรรษานนั่ เอง พระโพธิสตั วเ์ สดจ็ ออกบรรพชา อะไรเป็นมลู เหตใุ หเ้ สด็จออก บรรพชาและอาการท่เี สดจ็ ออกบรรพชาน้นั เป็นอยา่ งไร พระอาจารยผ์ ูแ้ ตง่ คมั ภีร์มคี วามเห็นเป็น ๒ นยั คือ ๑. อาจารยผ์ ูแ้ ต่งอรรถกถา กลา่ วตามนยั มหาปธานสูตรว่า พระองคไ์ ดท้ อดพระเนตรเห็นเทวทูตท้งั
หน้า ๕๖ พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี ๔ คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ อนั เทวดาสร้างเนรมติ ไวใ้ นระหว่างทางเม่ือเสดจ็ ประพาสพระราชอทุ ยาน ท้งั ๔ วาระโดยลาํ ดบั ทรงสงั เวชสลดพระทยั เมอ่ื ไดท้ อดพระเนตรเห็นเทวทูตท้งั ๓ ขา้ งตน้ แตท่ รงพอพระทยั ใน การบรรพชาเพราะไดเ้ ห็นสมณะ ในวนั ทีพ่ ระราหุลกุมารประสูตนิ นั่ เอง เวลากลางคืนยามดึกพระองคท์ รงมา้ กณั ฐกะมนี ายฉนั นะตามเสด็จหนีออกจากพระราชวงั ถงึ ฝั่งแม่น้าํ อโนมานที แขวงมลั ลชนบท ทรงตดั พระเมาลดี ว้ ย พระขรรค์ แลว้ อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ณ วนั เพญ็ อาสาฬหมาส (ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๘) เวลาใกลร้ ุ่ง. ๒. ส่วนในมชั ฌิมนิกายกลา่ ววา่ ทรงปรารภ ความแก่ ความเจ็บ และความตายทม่ี ีอยทู่ วั่ ทุกคนไมม่ ีใครที่ จะสามารถรอดพน้ ไปได้ ดว้ ยเหตนุ ้ีพระองคจ์ ึงทรงเกิดความเบ่ือหน่าย คิดหาอบุ ายเครื่องทจี่ ะทาํ ให้รอดพน้ จาก ความแก่ ความเจบ็ ความตาย ซ่ึงถอื วา่ เป็นทุกขอ์ ยา่ งย่งิ ของมนุษยท์ กุ คนท่เี กิดมา. ตรสั รู เมือ่ บรรพชาแลว้ เสด็จพกั แรมอยทู่ ี่อนุปิ ยอมั พวนั แขวงมลั ลชนบท ๗ วนั แลว้ เสดจ็ จาริกไปสู่มคธชนบท ผา่ นกรุงราชคฤห์ พบพระเจา้ พิมพสิ ารไดส้ นทนาปราศรัยกนั แลว้ พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงชวนให้อยู่ โดยจะมอบราช สมบตั ใิ ห้ก่ึงหน่ึงพระองคไ์ ม่ทรงรับ แสดงพระประสงคใ์ นการแสวงหาพระสัมมาสมั โพธิญาณ พระเจา้ พิมพสิ าร ทรงอนุโมทนา และตรัสขอปฏญิ ญาวา่ ถา้ ตรัสรู้แลว้ ขอให้เสดจ็ มาโปรดบา้ งพระองคท์ รงรบั โดยดษุ ฎียภาพ (คอื น่ิง) จากน้นั จึงเสด็จไปสู่สาํ นกั อาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ศึกษาลทั ธิสมยั ของท่านจนจบสมาบตั ิ ๘ ประการ คอื รูปฌาน๔ อรูปฌาน ๔ เมือ่ เห็นว่าไมใ่ ช่ทางทจี่ ะตรสั รู้จึงลาออกจากสาํ นกั จาริกไปจนถงึ ตาํ บลอุรุ เวลาเสนานิคมทรงเห็นวา่ เป็นสถานท่เี หมาะสาํ หรบั การบาํ เพญ็ เพียรจึงทรง ประทบั อยู่ ณ ทน่ี ้นั บําเพญ็ ทกุ กรกริ ิยา พระมหาบรุ ุษทรงทดลองบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยา คอื การทรมานพระวรกายใหล้ าํ บาก ที่นกั บาํ เพญ็ ตบะท้งั หลาย ยกยอ่ งวา่ เป็นการบาํ เพญ็ เพียรอยา่ งยอดเย่ยี ม โดยการบาํ เพญ็ เพียร ๓ วาระ คือ ๑. วาระแรก ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ (กดั ฟัน) กดพระตาลดุ ว้ ยพระชิวหา ( ใชล้ ้นิ กดเพดาน ) ไวจ้ น แน่น จนน้าํ พระเสโท ( เหง่ือ ) ไหลออกมาจากพระกจั ฉะ ( รักแร้ ) เกิดทกุ ขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ ๒. วาระต่อมา ทรงผอ่ นและกล้นั ลมอสั สาสะปัสสาสะ ( ลมหายใจเขา้ ออก ) เมอื่ ลมเดินไมส่ ะดวกทาง ช่องพระนาสิก ( จมกู ) และพระโอษฐ์ ( ปาก ) กเ็ กิดเสียงดงั อูท้ ชี่ ่องพระกรรณ ( หู ) ท้งั สองทาํ ใหป้ วดพระเศียร ( ศีรษะ) เสียดพระอทุ ร ( ทอ้ ง ) ร้อนทวั่ พระวรกาย. ๓. วาระสุดท้าย ทรงอดอาหารผอ่ นเสวยแต่วนั ละนอ้ ย ๆ บา้ ง เสวยแต่อาหารท่ีละเอียดบา้ ง จนพระกาย เห่ียวแห้ง พระฉวีวรรณเศร้าหมอง พระอฐั ิ ( กระดกู ) ปรากฏทว่ั พระวรกาย เสวยทุกขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ ถงึ กระน้นั พระองคก์ ม็ ไิ ดท้ รงทอ้ ถอยเลย. เกดิ อปุ มา ๓ ขอ้ คร้งั น้นั อุปมา ๓ ขอ้ มาปรากฏแกพ่ ระองค์
พทุ ธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๕๗ ๑. สมณะ หรือพราหมณเ์ หล่าใดกต็ าม มกี ายยงั ไม่หลีกออกจากกาม ยงั มคี วามรกั ใคร่ในกามจะเสวย ทุกขเวทนาอนั แรงกลา้ ซ่ึงเกิดเพราะความเพยี รหรือไมก่ ต็ าม กไ็ มค่ วรจะตรัสรู้เหมอื นไมส้ ดที่แช่น้าํ ยากทจี่ ะสีให้ เกิดไฟได.้ ๒.สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดก็ตาม แมม้ กี ารหลกี ออกจากกาม แตย่ งั มีความพอใจรกั ใคร่ในกามอยกู่ ็ไม่ ควรจะตรัสรู้ เหมอื นไมส้ ดถงึ จะไมแ่ ช่น้าํ ก็ยากท่ีจะสีให้เกิดไฟได.้ ๓. สมณะหรือพราหมณเ์ หลา่ ใดก็ตาม ทมี่ ีกายหลีกออกจากกาม และละความมีใจรักใคร่ในกามเสียได้ ก็ ควรจะตรัสรู้ เหมือนไมแ้ หง้ อาจสีใหเ้ กิดไฟได.้ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงพยายามป้องกนั พระหฤทยั มใิ ห้นอ้ มไปใน กามารมณ์ คร้ันเห็นวา่ มิใช่หนทางตรสั รู้จึงไดล้ ะทุกกรกิริยาน้นั เสีย กลบั มาเสวยพระกระยาหารใหม่ เพือ่ ท่ีจะ บาํ เพญ็ เพียรทางใจต่อไป ในขณะทพี่ ระองคท์ รงบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยาอยนู่ ้นั ฤษี ๕ ตน คอื โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ รวมเรียกวา่ “ปัญจวคั คยี ์” เคยไดเ้ ห็นบา้ งไดย้ ินมาบา้ งวา่ พระมหาบุรุษถา้ ออกบวชจะไดเ้ ป็นศาสดาเอก ในโลก เมือ่ ไดท้ ราบข่าวพระองคอ์ อกบรรพชาจึงพากนั ออกบวชตามหามาพบขณะบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยาอยจู่ ึงคอยเฝา้ ปฏบิ ตั ิ แต่เม่ือเห็นพระองคท์ รงละทุกกรกิริยาเสียจึงคดิ ว่า ทรงคลายความเพียรไมม่ ีทางทีจ่ ะตรัสรู้ได้ จึงพากนั ละทิ้ง พระองค์ ไปอยทู่ ี่ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี พระมหาบุรุษกลบั มาเสวยพระกระยาหาร จนพระวรกายกลบั มีกาํ ลงั ข้ึนเหมอื นอยา่ งเดิมแลว้ ทรงเริ่ม บาํ เพญ็ เพยี รทางใจต่อไป นบั ต้งั แตบ่ รรพชามาประมาณ ๖ ปี จนถึงวนั เพญ็ แห่งวิสาขมาส (วนั พธุ ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดือน ๖) ตอนเชา้ วนั น้นั นางสุชาดาธิดาของกฎุ มุ พผี เู้ ป็นนายบา้ นของชาวบา้ นอรุ ุเวลาเสนานิคม ปรารถนาจะทาํ การ บวงสรวง (แกบ้ น)เทวดา จึงนาํ ขา้ วมธุปายาสไปยงั ตน้ ไทร(อชปาลนิโครธ)ตน้ หน่ึงใกลบ้ า้ นไดเ้ ห็นพระมหาบุรุษ ประทบั นง่ั อยสู่ าํ คญั วา่ เป็นเทวดาจึงนอ้ มขา้ วมธุปายาสเขา้ ไปถวาย พระองคท์ รงรบั พร้อมท้งั ถาดทองคาํ แลว้ ทรง ถือไปยงั ริมแมน่ ้าํ เนรัญชรา ทรงเสวยหมดแลว้ ทรงอธิษฐานลอยถาดเสียในกระแสน้าํ เวลาเยน็ พระองคเ์ สด็จมาสู่ ตน้ โพธ์ิ ทรงรับหญา้ คา ๘ กาํ มอื ที่โสตถิยพราหมณ์ถวายระหว่างทาง ทรงปูลาดหญา้ คาทีโ่ คนตน้ โพธิแลว้ ประทบั นง่ั ผินพระพกั ตร์ ไปทางทศิ บรู พาหันพระปฤษฎางค์ (หลงั )ไปทางลาํ ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิทรงอธิฐานพระทยั ว่า ตราบใดยงั มไิ ดบ้ รรลุพระสมั มาสัมโพธิญาณ แมพ้ ระมสั สะ(เน้ือ) และพระโลหิต(เลอื ด) จะเหือดแห้งไปเหลือแต่ พระตจะ(หนงั ) พระนหารู(เอน็ ) พระอฐั ิ(กระดกู )กต็ ามทีจะไม่ลุกข้นึ ตราบน้นั . ชนะมาร สมยั น้นั พญามารไดย้ กพลเสนามารมาผจญพระองคท์ รงต่อสู้ดว้ ยพระบารมี ๑๐ ทศั คือ ๑. ทาน การเสียสละ ๒. ศีล การรกั ษากายวาจาให้ปกติ ๓. เนกขมั มะ การออกจากกามไดแ้ กบ่ รรพชา ๔. ปัญญา รู้ส่ิงทคี่ วรรู้ ๕. วิริยะ ความเพียรพยายาม
หน้า ๕๘ พุทธประวัติ ธรรมศึกษาชัน้ ตรี ๖. ขนั ติ ความอดทน ๗. สัจจะ ความซ่ือสัตย์ ๘. อธิษฐาน ความต้งั ใจอยา่ งมนั่ คง ๙. เมตตา ความรัก ๑๐. อเุ บกขา ความวางเฉย จนพญามาร ไดพ้ ่ายแพไ้ ปตอนพระอาทิตยจ์ ะตกแลว้ พระองคท์ รงเร่ิมเจริญสมถภาวนาทาํ จิตให้เป็นสมาธิ จนได้ บรรลปุ ฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตติยฌาน และจตตุ ถฌาน แลว้ ยงั ฌานอนั เป็นองคแ์ ห่งปัญญา ๓ ประการ ให้เกิดในยาม ท้งั ๓ คือ ๑. ในปฐมยาม ทรงบรรลุปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลกึ ชาตไิ ด้ ๒. ในมชั ฌิมยาม ทรงบรรลุจตุ ปู ปาตญาณ คือ การรู้การตาย การเกิดของเหล่าสตั ว์ หรืออีกนยั หน่ึงเรียกว่า ทิพยจกั ษุญาณ คือ ตาทิพย์ ๓. ในปัจฉิมยาม พระองคท์ รงพจิ ารณาปฏิจจสมปุ บาท คือ ธรรมที่อาศยั กนั และกนั เกิดข้นึ เป็นเหตแุ ละ เป็นผลเน่ืองกนั เหมือนกบั ลกู โซ่ จนไดร้ ู้แจง้ อริยสัจ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ คอื ๑. ทกุ ข์ ความไมส่ บายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทยั เหตุทท่ี าํ ให้เกิดทกุ ข์ ๓. นิโรธ ความดบั เหตุท่ีทาํ ให้เกิดทกุ ข์ ๔. มรรค หนทางทจี่ ะดบั ทุกข์ แลว้ จึงไดบ้ รรลอุ าสวกั ขยญาณ คอื ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวกิเลส จิตของพระองคก์ พ็ น้ จากกิเลสและอาสวะ ท้งั ปวง ไมย่ ึดมน่ั ถือมน่ั ดว้ ยอุปาทาน อนั เป็นการตรัสรู้อนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ เป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ใน ยามที่ ๓ แห่งราตรีวิสาขมาส ก่อนพุทธศก ๕๔ ปี จึงไดพ้ ระนามบญั ญตั โิ ดยคณุ นิมิตว่า “อรหงั ” เป็นพระอรหันต์ ห่างไกลกิเลสท้งั ปวง และ สัมมาสัมพทุ โธ เป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ตรัสรู้ชอบดว้ ยพระองคเ์ อง หาไดม้ ีผูใ้ ดผู้ หน่ึงเป็นครูอาจารยไ์ ม่ . ปฐมโพธกิ าล ปฐมเทศนา และ ปฐมสาวก สัตตมหาสถาน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คร้นั ตรัสรู้ธรรมพิเศษแลว้ เสดจ็ ประทบั เสวยวมิ ุตติสุข คือ สุขเกิดแต่ ความหลุดพน้ จากกิเลสาสวะสิ้นกาลนาน ๗ สปั ดาห์ (๔๙ วนั ) ณ สถานที่ ๗ แห่ง คือ สัปดาห์ที่ ๑ หลงั จากที่พระพุทธองคท์ รงตรัสรู้แลว้ เสด็จประทบั เสวยวมิ ุตตสิ ุขอยู่ ณ ภายใตร้ ่มไมพ้ ระ ศรีมหาโพธิตลอด ๗ วนั ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมุปบาทตามลาํ ดบั และทวนลาํ ดบั กลบั ไปกลบั มา ท้งั ฝ่ ายเกิดและฝ่าย ดบั ตลอด ๓ ยามแห่งราตรี แลว้ เปลง่ อทุ าน คอื ตรสั ออกมาดว้ ยความเบิกบานพระหฤทยั ยามละคร้งั
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชัน้ ตรี หนา้ ๕๙ สัปดาห์ท่ี ๒ เสด็จไปทางทศิ อสิ าน ประทบั ยืนทอดพระเนตรตน้ ศรีมหาโพธ์ิ โดยมไิ ดก้ ระพริบพระ อนมิ ิสสเจดยี ์ เนตรตลอด ๗ วนั สถานทีน่ ้นั เรียกวา่ สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จกลบั จากท่นี ้นั มาหยดุ อยรู่ ะหวา่ งกลางตน้ ศรีมหาโพธ์ิ และอนิมสิ สเจดียเ์ สด็จจง กรมกลบั ไปกลบั มา ณ ทน่ี ้นั ตลอด ๗ วนั สถานท่ีน้นั เรียกว่า รัตนจงกรมเจดยี ์ สัปดาห์ที่ ๔ เสดจ็ ไปทางทิศพายพั หรือปัจจิมทิศแห่งตน้ ศรีมหาโพธิ ประทบั นงั่ ขดั บลั ลงั ก์ทรง พจิ ารณาอภธิ รรมปิ ฎกตลอด ๗ วนั สถานท่ีน้นั เรียกวา่ รัตนฆรเจดีย์ สัปดาห์ที่ ๕ เสดจ็ ไปทางทศิ บูรพาแห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ไปยงั ตน้ ไทรตน้ หน่ึง อนั เป็นท่พี กั อาศยั ร่ม เงาของคนเล้ยี งแพะ จึงไดช้ ่ือวา่ “อชปาลนิโครธ” ถูกพราหมณ์คนหน่ึงผูม้ ปี กตชิ อบกลา่ วคาํ วา่ หึ หึ หรือ หุง หุง อนั เป็นคาํ หยาบจนตดิ ปาก ทลู ถามถงึ พราหมณแ์ ละธรรมท่ที าํ ให้เป็นพราหมณ์ สัปดาห์ที่ ๖ เสดจ็ ไปยงั ตน้ จิก ซ่ึงอยทู่ างทิศอาคเนยแ์ ห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิใกลส้ ระ อนั เป็นทอี่ ยขู่ อง พญานาคชื่อมจุ ลนิ ท์ สถานทน่ี ้ีจึงไดน้ ามว่า มุจลนิ ท์ ประทบั นงั่ เสวยวิมตุ ติสุขตลอด ๗ วนั เปล่งอทุ านว่า ความสงดั เป็นความสุขของบุคคลผูม้ ีธรรมอนั ไดส้ ดบั แลว้ เป็นตน้ สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จไปยงั ตน้ เกต ซ่ึงไดน้ ามวา่ ราชายตนะ อยทู่ างทิศทกั ษิณแห่งตน้ พระศรีมหาโพธิ มี พอ่ คา้ สองคนพ่ีนอ้ ง ชื่อ ตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ เดินทางมาจากอกุ กลชนบท ไดน้ าํ ขา้ วสัตตุกอ้ นสตั ตผุ งมาถวายแลว้ แสดงตนเป็นอุบาสกโดยขอถงึ พระพทุ ธ พระธรรม เป็นสรณะทพ่ี ่งึ ทางใจนบั ว่าเป็นอุบาสกคนแรกใน พระพุทธศาสนาท่ีถงึ รตั นะ ๒ ประการก่อนใคร ( เทววาจิกอบุ าสก ) ปฐมเทศนา คร้นั ล่วง ๗ วนั แลว้ พระองคเ์ สด็จออกจากร่มไมร้ าชายนตะ กลบั มาประทบั ณ ร่มไมอ้ ชปาลนิโครธอกี ทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองคไ์ ดต้ รสั รู้แลว้ ว่าเป็นบุคคลท่ียินดีในกามคณุ จะรู้ตามได้ ทอ้ พระทยั ท่ีจะสั่งสอน แต่ อาศยั พระมหากรุณา ส่วนพระคนั ถรจนาจารยแ์ สดงความวา่ ในกาลทพี ระองคท์ อ้ พระทยั น้ี ทา้ วสหมั บดีพรหม ทราบพทุ ธอธั ยาศยั จึงมากราบทลู อาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรม พระองคพ์ จิ ารณากท็ ราบดว้ ยปัญญาว่า หมู่สตั ว์ เปรียบไดก้ บั ดอกบวั ๔ เหลา่ คือ ๑. อุคฆฏิตญั �ู เหล่าสัตวม์ กี ิเลสเบาบาง มีอินทรียแ์ กก่ ลา้ มอี าการอนั ดี พงึ สอนให้รู้ไดโ้ ดยง่าย เปรียบ เหมอื นดอกบวั ทขี่ ้ึนพน้ น้าํ พอตอ้ งแสดงอาทิตยก์ บ็ านทนั ที ๒. วิปจิตัญ�ู เหลา่ สตั วผ์ ูม้ ีคุณสมบตั ิเช่นน้นั พอปานกลางไดร้ บั การอบรมจนมีอปุ นิสยั แก่กลา้ กส็ ามารถ จะบรรลธุ รรมพิเศษได้ เปรียบเหมอื นดอกบวั ทีอ่ ยเู่ สมอน้าํ จกั บานในวนั พรุ่งน้ี ๓. เนยยะ เหล่าสตั วผ์ ูม้ ีคุณสมบตั ิเช่นน้นั ยงั อ่อน หาอุปนิสยั ไมไ่ ดเ้ ลย ก็ยงั ควรไดร้ ับการแนะนาํ ในธรรม เบ้อื งต่าํ ไปก่อน เพื่อบาํ รุงอปุ นิสยั เปรียบเหมอื นดอกบวั ท่อี ยใู่ ตน้ ้าํ จกั บานในวนั ต่อไป ๔. ปทปรมะ เหลา่ สตั วท์ ีเ่ ป็นอภพั พบุคคล ไมย่ อมรบั คาํ แนะนาํ เปรียบเหมือนดอกบวั ท่ีเริ่มแตกดอกใหม่ ๆ ที่อยใู่ ตน้ ้าํ ลึก เหมาะที่จะเป็นอาหารของเตา่ และปลา ฉะน้ี
หน้า ๖๐ พทุ ธประวัติ ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี ดงั น้นั พระองคจ์ ึงตกลงพระทยั ท่ีจะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ พระองคท์ รงพจิ ารณาบุคคลผูส้ มควรรบั เทศนาคร้ังแรก ทรงปรารภถงึ ปัญจวคั คยี ท์ ้งั ๕ จึง ทรงแสดงพระธรรมเทศนากณั ฑแ์ รก ชื่อ \"ธัมมจกั กัปปวตั ตน สูตร\" เน้ือความแห่งพระธรรมเทศนาแห่งพระสูตรน้ี ทรงตรัสเตือนพวกปัญจวคั คยี ์ ใหต้ ้งั ใจสดบั พระธรรม เทศนาแลว้ ก่อนแต่พระองคจ์ ะทรงแสดงธรรมน้นั พระองคไ์ ดย้ กธรรมอนั ควรละ ๒ อยา่ ง คือ ๑. กามสุขลั ลิกานุโยค คือการประกอบตนใหพ้ วั พนั ดว้ ยความสุขในกาม โดยหมกมนุ่ อยใู่ นกาม ๒. อัตตกิลมถานโุ ยค คอื การบาํ เพญ็ เพียรโดยการทรมานตวั ให้ลาํ บาก ท้งั ๒ สาย มิใช่ทางตรสั รู้ ทรงแสดงให้ดาํ เนินทางสายกลาง คือ มชั ฌิมาปฏิปทา ไมห่ ยอ่ นเกินไป และไมต่ งึ เกินไป ไดแ้ กม่ รรค ๘ ประการ อนั เป็นทางทีจ่ ะให้ตรสั รู้ได้ และทรงแสดง อริยสัจ คือ ความจริงอยา่ งประเสริฐ ๔ ประการ คอื ๑. ทุกข์ คือความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ ๒. สมทุ ยั คือเหตุใหท้ ุกขเ์ กิด ๓. นโิ รธ คือความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ปฐมสาวก พระอัญญาโกณฑญั ญะ หลงั จากไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาแลว้ ธรรมะไดเ้ กิดข้ึนแก่ท่านวา่ \"ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมี ความเกิด ขึน้ เป็นธรรมดา สิ่งนัน้ ทั้งหมดมีความดบั เป็นธรรมดา\" ท่านอปุ สมบทจากพระพุทธองคด์ ว้ ยการประทานพระดาํ รัสว่า \"เธอจงเป็นภิกษมุ าเถิด ธรรมอันเรากล่าวดี แล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพ่ือทาํ ที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด\" การอปุ สมบทแบบน้ีเรียกวา่ “เอหิภกิ ขอุ ุปสัมปทา” เป็นอนั วา่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดเ้ ป็นปฐมสาวกองคแ์ รกในพทุ ธศาสนา และในวนั เพญ็ ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือนอาสาฬหะเป็นวนั สงั ฆรัตนะเกิดข้ึนในโลก ส่วนปริพาชกอกี ๔ ท่าน ไดด้ วงตาเห็นธรรมดว้ ยธรรมเทศนาเบด็ เตล็ดแลว้ ประทานอปุ สมบทให้ คร้นั วนั แรม ๕ คา่ํ เดือน ๘ พระพุทธเจา้ กท็ รงประทานพระธรรมเทศนาชื่อ \"อนตั ตลกั ขณสูตร\" โดย ใจความแห่งพระธรรมเทศนาน้นั วา่ ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็นอนตั ตา คอื มใิ ช่ตวั มใิ ช่ตน เป็นของไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ มิใหย้ ึดมน่ั ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เมื่อจบพระธรรมเทศนา จิตของภกิ ษทุ ้งั ๕ ก็หลดุ พน้ จากกิเลสอาสวะ ไมถ่ อื มน่ั ดว้ ยอุปาทาน ไดส้ าํ เร็จมรรคผลเบ้ืองสูง คอื พระอรหันต์ สรุปวา่ บดั น้ีมีพระอรหันตเ์ กิดข้ึนในโลก ๖ องค์ คอื พระบรมศาสดา, กบั พระสาวกท้งั ๕ สง่ สาวกไปประกาศพระศาสนา เม่อื ยสะ บุตรของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี เกิดความเบ่ือหน่ายจากการครองเรือน ไดเ้ ดินตามทางไปยงั ป่ า อิสิปตนมฤคทายวนั พลางบน่ ไปวา่ \"ท่นี ่ีว่นุ วายหนอ ทีน่ ขี่ ัดข้องหนอ\" ในเวลาใกลร้ ุ้ง ขณะน้นั พระบรมศาสดาทรง
พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาชั้นตรี หน้า ๖๑ เสด็จจงกรมอยู่ ทรงไดย้ ินเขา้ จึงตรัสไปว่า \"ท่ีนไ่ี ม่วุ่นวาย ท่ีนี่ไม่ขัดข้อง เชิญทางนเี้ ถิด และนั่งลง เราจักแสดงธรรม แก่ท่าน” ยสะไดย้ ินดงั น้นั จึงถอดรองเทา้ เขา้ ไปเฝ้าถวายนมสั การ แลว้ นงั่ ลงท่สี มควรแห่งหน่ึง พระองค์ทรงแสดงอนุปพุ ีกถา ๕ ประการ คือ ๑. ทาน การเสียสละ ๒. ศีล การรักษากายวาจาใหเ้ รียบร้อย ๓. สวรรค์ ๔. กามาทีนพ โทษของกาม ๕. เนกขมั มานิสงส์ อานิสงส์แห่งการออกจากกาม แลว้ จบลงดว้ ยการอริยสัจ ๔ พอจบพระธรรมเทศนา ยสกุลบตุ รกไ็ ดด้ วงตาเห็นธรรม เศรษฐีผเู้ ป็นบิดา ทา่ นยสะ ไดเ้ ขา้ เฝ้าพระศาสดาและพระองคไ์ ดท้ รงประทานพระธรรมเทศนาอนุปุพพกี ถาและอริยสจั ๔ ท่าน เศรษฐีไดแ้ สดงตนเป็นอุบาสก ขอถงึ พระรัตนตรยั เป็นสรณะตลอดชีวติ นบั ว่าเป็ นอบุ าสกคนแรกในโลกท่ีถงึ พระ รัตนตรัยเป็นสรณะ(เตวาจิกอบุ าสก) ฝ่ ายมารดาและภรรยาของท่านก็เหมือกนั ไดข้ อถงึ พระรตั นะตรยั เป็นสรณะเป็ นอบุ าสิกาคนแรกในโลก พระพทุ ธเจา้ ทรงอปุ สมบทแก่ทา่ นยสะ ดว้ ยการประทานพระดาํ รัสวา่ \"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอนั เรา กล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด\" ในที่ น้ีไมม่ คี าํ ว่า \"เพ่ือทาํ ทสี่ ุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด\" เพราะยสะเป็น พระอรหันต์ ถงึ ทีส่ ุดแห่งทุกขแ์ ลว้ สหายยสบรรพชา สหายพระยสะที่มชี ่ือ ๔ คน คอื วิมละ สุพาหุ ปณุ ณชิ และควัมปติ และทไ่ี มป่ รากฏชอื่ อีก ๕๐ คน ทราบ ขา่ วยสกลุ บตุ บวชจึงพากนั ออกบวชตาม พระพทุ ธองคท์ รงอปุ สมบทและทรงสัง่ สอนจนให้สาํ เร็จพระอรหนั ต์ คร้นั มีพระอรหันตเ์ กิดข้ึนในโลกแลว้ ๖๑ องค์ พร้อมดว้ ยพระศาสดา พระองคจ์ ึงตรัสเรียกพระสงฆส์ าวก เหล่าน้นั มาเพ่ือท่จี ะส่งไปประกาศพระศาสนา ตรสั วา่ “ภิกษุทงั้ หลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทง้ั ปวง ทงั้ ทเ่ี ป็นของ ทิพย์ ทัง้ ที่เป็นของมนษุ ย์ แม้เธอท้ังหลายกเ็ หมือนกนั เธอทงั้ หลายจงเท่ยี วไปตามชนบท เพื่อประโยชน์และ ความสุขแก่ชนเป็นอนั มาก แต่อย่าไปทางเดยี วกัน ๒ องค์ จงแสดงธรรมท่ีมีคณุ ในเบือ้ งต้น ท่ามกลาง และทส่ี ุด จง ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้งั อรรถทั้งพยัญชนะอนั บริสุทธิ์บริบรู ณ์โดยสิ้นเชิง สัตว์ท้งั หลายมกี ิเลสบงั ปัญญาดุจ ธุลใี ยจักษุมีอยู่น้อย เพราะโทษทมี่ ิได้ฟังธรรม จึงเส่ือมจากคณุ ทีจ่ ะพึงได้พึงถึง ผู้รู้ทวั่ ถึงธรรมจักมอี ยู่ แม้เราเองจะ ไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” เมอื่ พระสงฆส์ าวกท้งั ๖๐ องคอ์ อกประกาศพระศาสนาไดม้ กี ลุ บตุ รศรทั ธาเลื่อมใสเป็นอยา่ งมาก พระองค์ ทรงเห็นความลาํ บาก ทพ่ี ระสงฆไ์ ดน้ าํ กลุ บตุ รเหล่าน้นั มาบวชกบั พระองค์ ภายหลงั จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ เหลา่ น้นั ให้บวชกลุ บุตรผูม้ ีความเลอ่ื มในไดเ้ อง โดยการให้กลา่ วแสดงตนถงึ พระรัตนตรัย กเ็ ป็นอนั เสร็จพธิ ีการ บวช การบวชแบบน้ีเรียกวา่ ตสิ รณคมนูปสัมปทา คอื ไตรสรณคมน์
หน้า ๖๒ พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี โปรดชฏลิ ๓ พนี่ อ้ ง ส่วนพระองคท์ รงเสด็จไปยงั อุรุเวลาเสนานิคม ในระหว่างทางเสดจ็ แวะพกั ท่ีไร่ฝ่ ายแห่งหน่ึง ไดพ้ บ กลุ บุตรผเู้ ป็นสหายกนั ๓๐ คน มีช่ือเรียกว่า “ภทั ทวคั คยี ์” พระพุทธเจา้ กท็ รงเทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔โปรด จนไดส้ าํ เร็จเป็นพระอรหันต์ แลว้ ไดท้ รงส่งไปประกาศพระศาสนาต่อไป ตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคม ฝั่งแม่น้าํ เนรญั ชราเป็นท่ีอาศยั ของพวกชฏิล ๓ พ่ีนอ้ ง ผูพ้ ่มี ีช่ือวา่ อรุ ุเวลกสั สปะมี ศิษยอ์ ยู่ ๕๐๐ คน คนกลางมชี ื่อว่านทีกัสสปะมศี ษิ ยอ์ ยู่ ๓๐๐ คน คนเลก็ มชี ื่อวา่ คยากสั สปะมีศษิ ยอ์ ยู่ ๒๐๐ คน พระพทุ ธเจา้ ทรงทรมานชฏิลเหลา่ น้นั จนละท้งิ ลทั ธิเดิม มีความศรัทธาในพระองค์ ขออปุ สมบท แลว้ พระองคท์ รง เทศนาโปรดดว้ ยกณั ฑท์ ีม่ ีช่ือว่า “อาทิตตปริยาสูตร” ใจความในอาทิตตปริยาสูตรนั้นว่า ๑. อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ เป็นตน้ ๒. อายตนะภายนอก ๖ คอื รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ และธมั มารมณ์ เป็นของร้อน ๓. วญิ ญาณ ผสั สะ และเวทนา ท◌◌ี ่เกิดข้นึ เพราะอายตนะภายใน กบั อายตนะภายนอกกระทบกนั เป็นของ ร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟ ๓ กอง คอื ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคอื โมหะและร้อนเพราะ การเกิด แก่ ตาย ความเศร้าโศกคราํ ครวญ ความทุกข์ ความเสียใจ และความขดั เคืองใจ เมือ่ จบพระธรรมเทศนาแลว้ ภกิ ษทุ ้งั หมด ๑,๐๐๓ รูป ไดส้ าํ เร็จพระอรหนั ต์ เสดจ็ โปรดพระเจา้ พมิ พสิ าร พระพุทธองค์ คร้นั ประทบั อยทู่ ี่คยาสีสะตามควรแก่พระอธั ยาศยั แลว้ จึงพร้อมดว้ ยภกิ ษุสาวกเหลา่ น้นั ได้ เสด็จถงึ กรุงราชคฤหป์ ระทบั อยู่ ณ ลฏั ฐิวนั (สวนตาลหนุ่ม)พระเจา้ พิมพสิ ารทราบขา่ วกไ็ ดเ้ สด็จออกมานมสั การ พร้อมดว้ ยบริวารมากมาย บริวารเหลา่ น้นั ไดแ้ สดงทิฐิของตนไปต่าง ๆ เช่น บางพวกกน็ มสั การ บางพวกก็เฉย เป็น ตน้ พระองคจ์ ึงใหพ้ ระอุรุเวลกสั สปะ ประกาศลทั ธิเก่าของตนแกช่ นผูเ้ ลื่อมใส ว่าไมม่ ีแก่นสาร หาประโยชนม์ ไิ ด้ จากน้นั พระองคก์ ็แสดงอนุปปพุ พกี ถา และอริยสจั ๔ ในทสี่ ุดพระเจา้ พิมพิสาร กบั บริวาร ๑๒ ส่วนไดด้ วงตาเห็น ธรรม อีกส่วนหน่ึงไดต้ ้งั อยใู่ นสรณคมน์ ฝ่ ายพระเจา้ พิมพสิ ารกไ็ ดส้ าํ เร็จความปรารถนา ทท่ี รงต้งั ไว้ ๕ ประการในคร้งั ยงั เป็นพระกุมาร คอื ๑. ขอให้ไดร้ ับอภเิ ษกเป็นพระเจา้ แผ่นดินในมคธรัฐน้ี ๒. ขอท่านผเู้ ป็นพระอรหันต์ ผรู้ ู้เองเห็นเองโดยชอบ พงึ มายงั แควน้ ของตน ๓. ขอใหพ้ ระองคไ์ ดเ้ ขา้ ไปนงั่ ใกลพ้ ระอรหันตน์ ้นั ๔. ขอพระอรหันตน์ ้นั พึงแสดงธรรมใหฟ้ ัง ๕. ขอให้พระองคพ์ งึ รู้ทวั่ ถึงธรรมของพระอรหนั ตน์ ้นั คร้นั สาํ เร็จความปรารถนาท้งั ๕ ประการแลว้ พระองคก์ ท็ รงถวายพระราชอทุ ยานเวฬุวนั (สวนไมไ้ ผ)่ สร้างเป็นวดั แห่งแรกในทางพระพุทธศาสนา เพ่ือเป็นทอ่ี ยอู่ าศยั แห่งภิกษุสงฆม์ ีพระพุทธเจา้ เป็นประธาน
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชั้นตรี หนา้ ๖๓ อคั รสาวกบรรพชา ในกรุงราชคฤห์ ไดม้ ีกุลบุตร ๒ คน ซ่ึงเป็นสหายกนั คอื อุปตสิ สะ และโกลติ ะ ไดพ้ ากนั ออกบวชแสวงหา โมกขธรรมในสาํ นกั ของสญั ชยั ปริพาชก เมื่อเรียนจบความรู้ของอาจารยแ์ ลว้ กเ็ ห็นวา่ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงไดส้ ัญญา กนั วา่ ใครไดพ้ บอมตธรรมกอ่ นจงบอกแก่อกี ฝ่ ายหน่ึง วนั หน่ึงทา่ นอปุ ติสสะ ไดพ้ บพระอสั สชิ และไดฟ้ ังธรรมจาก ท่านจนไดด้ วงตาเห็นธรรม จึงไดก้ ลบั ไปบอกโกลติ ะ และไดพ้ าบริวารมาบวชเป็นสาวกของพระพทุ ธองค์ เมือ่ ท่าน ท้งั ๒ บวชแลว้ ภกิ ษุสหธรรมิกส่วนมาก เรียกท่านอุปตสิ สะวา่ สารีบตุ ร ดว้ ยเหตทุ ่ีทา่ นเป็นบุตรของนางสารี เรียก ท่านโกลิตะวา่ โมคคลั ลานะ ดว้ ยเหตุเป็นบตุ รนางโมคคลั ลี ภกิ ษุผเู้ ป็นบริวารบวชแลว้ ไม่นานไดฟ้ ังพระธรรม เทศนาแลว้ บาํ เพญ็ เพยี ร ก็ไดส้ าํ เร็จพระอรหนั ตก์ อ่ น ฝ่ายท่านโมคคลั ลานะ บวชได้ ๗ วนั ไปทาํ ความเพียรอยทู่ บ่ี า้ นกลั ลวาลมตุ ตคาม แควน้ มคธ ออ่ นใจนงั่ โงก งว่ งอยู่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปทน่ี ้นั ทรงแสดงอุบายระงบั ความงว่ ง ๘ ประการ ทา่ นพระโมคคลั ลานะไดส้ ดบั อุบาย แกง้ ่วง และปฏิบตั ติ ามพระโอวาทท่ีทรงสัง่ สอนกไ็ ดส้ าํ เร็จพระอรหนั ตใ์ นวนั น้นั เอง ภายหลงั ไดร้ ับยกยอ่ งเป็นอคั ร สาวกฝ่ายซ้าย เลศิ ทางมีฤทธ์ิ ส่วนทา่ นพระสารีบตุ ร อปุ สมบทแลว้ ไดก้ ่ึงเดือนนง่ั ถวายงานพดั พระบรมศาสดาท่ีถ้าํ สุกรขาตา เชิง เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาอนั เป็นอุบายแห่งการละทิฏฐิ ๓ ประการแลว้ เวทนาปริคคหสูตร (การกาํ หนดเวทนา ๓ ประการ) ท่พี ระองคท์ รงแสดงแกป่ ริพาชก ช่ือ ทฆี นขะ (มีเล็บยาว) อคั คเิ วสสนโคตร กใ็ ช้ ปัญญาพจิ ารณาไปตามกระแสพระธรรมเทศา จิตกห็ ลดุ พน้ จากอาสวะ ไม่ยดึ มนั่ ดว้ ยอุปาทานไดส้ าํ เร็จเป็นพระ อรหนั ต์ ส่วนทฆี ขนขปริพาชกน้นั ไดเ้ พียงดวงตาเห็นธรรมหมดความสงสัยในพระพทุ ธศาสนาทลู สรรเสริญพระ ธรรมเทศนาแลว้ แสดงตนเป็นอบุ สกแลว้ หลกี ไป ส่วนพระสารีบุตรภายหลงั ไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นอคั รสาวกฝ่ายขวา เลิศ ทางปัญญา มัชฌมิ โพธกิ าล ทรงบำเพญ็ พทุ ธกจิ ในมคธรฐั ประทานอปุ สมบทแกพ่ ระมหากสั สปะ คราวหน่ึงพระพุทธองคเ์ สด็จจาริกโปรดประชาชนในมคธชนบท ประทบั ที่ใตร้ ่มไทร เรียกวา่ หุปตุ ตกนโิ ครธ ในระหวา่ งกรุงราชคฤหแ์ ละนาลนั ทาตอ่ กนั ว่า ในเวลาน้นั ปิ ปผลิ มาณพ กสั สปโคตร เบอ่ื หน่ายการครองเรือนถอื เพศบรรพชิตบวชอุทิศพระอรหันตใ์ นโลก เทีย่ วจาริกมาถงึ ท่นี ้นั พบพระพทุ ธองคเ์ กิดความเล่ือมใส นบั ถือพระองคเ์ ป็นศาสดาของตนแลว้ ทลู ขอบวช พระองคท์ รงประทาน อปุ สมบทให้ โดยการประทานโอวาท ๓ ขอ้ ว่า ๑. “กสั สปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปต้งั ความละอายและความยาํ เกรงไว้ในภิกษทุ ง้ั ทเี่ ป็นผู้เฒ่า ผ้ปู าน กลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า” ๒. “ธรรมใดกต็ าม ท่ีประกอบไปด้วยกุศล เราจักเงีย่ หูลงฟังธรรมน้ัน และพิจารณาเนือ้ ความแห่งธรรมนน้ั ”
หน้า ๖๔ พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้นั ตรี ๓. “เราจักได้สติท่เี ป็นไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ (กายคตาสติ)” คร้นั ทรงสัง่ สอนอยา่ งน้ี ก็ เสด็จหลีกไป การบวชแบบน้ีเรียกวา่ “อุปสมบทด้วยรับโอวาท ๓ ข้อ” ทา่ นพระปิ ปผลิ ไดฟ้ ังพุทธโอวาททีท่ รงสัง่ สอนแลว้ บาํ เพญ็ เพยี รไม่ชา้ นกั ในวนั ท่ีแปดแต่อุปสมบท ก็ได้ สาํ เร็จพระอรหนั ต์ เม่อื ทา่ นเขา้ มาสู่พระธรรมวินยั สหธรรมกิ ท้งั หลายมกั เรียกชื่อทา่ นว่า “พระมหากัสสปะ” แมท้ ่าน มหากจั จายนะ ก็ไดม้ าอุปสมบทโดยเอหิภกิ ขอุ ุปสัมปทาจากพระบรมศาสดา ณ กรุงราชคฤห์ มหาสนั นิบาต แห่งสาวกคร้ังหน่ึง เมือ่ พระบรมศาสดาเสด็จประทบั อยู่ ณ เวฬุวนั มหาวิหาร กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งมคธรัฐ ไดม้ กี ารประชุมพระสาวกคร้ังใหญค่ ราวหน่ึง เรียกวา่ “จาตุรงคสันนิบาต” แปลวา่ การ ประชุมมีองค์ ๔ คือ ๑. พระสาวก ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมพร้อมกนั โดยมิไดน้ ดั หมาย ๒. พระสาวกเหลา่ น้นั ท้งั หมด ลว้ นเป็นพระอรหนั ตขณี าสพท้งั สิ้น ๓. พระสาวกเหล่าน้นั ลว้ นบวชดว้ ยเอหิภิกขุอปุ สัมปทาท้งั สิ้น (คือมพี ระพุทธองคเ์ ป็นอุปัชฌาย)์ ๔. วนั น้นั เป็นวนั พระจนั ทร์เพญ็ เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ (เพญ็ เดือน ๓ ข้ึน ๑๕ คา่ํ ) เมอ่ื องค์ ๔ มาประชุม พร้อมกนั เช่นน้ี พระพุทธองคจ์ ึงทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” แด่พระสาวกเหลา่ น้นั ใจความใน โอวาทปาตโิ มกข์ ซ่ึงนบั วา่ เป็นหัวใจหรือหลกั พระพทุ ธศาสนา คอื ๑. ขันติ คอื ความอดทน เป็นตบะอยา่ งยอด ท่านผูร้ ู้กลา่ วนิพพานว่าเป็นยอด บรรพชิตผฆู้ ่า ผูเ้ บยี ดเบียน ผูอ้ ่ืน ไมช่ ื่อว่า เป็นสมณะ ๒. การไม่ทาํ บาป (ความชวั่ ) ท้งั ปวง การยงั กศุ ล (ความดี) ให้บริบูรณ์ และการทาํ จิตของตนใหผ้ ่องใส เป็นศาสนธรรมคาํ สอนของท่านผูร้ ู้ ๓. การไม่พดู ค่อนขอดกัน การไมป่ ระหัตประหารกนั ความสาํ รวมในปาตโิ มกข์ การรู้จกั ประมาณในการ บริโภคอาหาร การพอใจท่นี อนที่นงั่ อนั สงดั การประกอบจิตไวโ้ ดยยิง่ เป็นคาํ สอนของท่านผรู้ ู้ ทรงอนญุ าตเสนาสนะ ตอนตน้ พทุ ธกาล ภกิ ษุสงฆส์ าวก ไม่มีทอี่ ยเู่ ป็นหลกั แหลง่ เมือ่ พระเจา้ พมิ พสิ ารถวายเวฬวุ นั ใหเ้ ป็นท่ี ประทบั พร้อมดว้ ยภิกษสุ งฆ์ ตอ่ มาเศรษฐีเมืองราชคฤห์เล่ือมใสจึงถวายวหิ ารแดพ่ ระภิกษุสงฆ์ พระองคท์ รงอาศยั เหตนุ ้ีจึงทรงอนุญาตเสนาสนะ คือทนี่ อนทน่ี งั่ ๕ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑. วหิ าร คือกุฏมิ ีหลงั คาและปี กท้งั สองขา้ งอยา่ งปกติ ๒. อฑั ฒโยคะ ไดแ้ ก่ โรงหรือร้านท่มี งุ ดา้ นเดียว เช่นโรงโขน โรงลิเก เป็นตน้ ๓. ปราสาท บา้ นหรือตกึ ปลูกซอ้ นกนั เป็นช้นั ๆ ต้งั แต่ ๒ ช้นั ข้นึ ไป ๔. หัมมิยะ ไดแ้ ก่ตึกหลงั คาตดั ใชห้ ลงั คาเป็นที่ตากอากาศได้ ๕. คูหาไดแ้ กถ่ ้าํ ทรงแสดงวธิ ที ำปพุ พเปตพลี
พุทธประวัติ ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี หนา้ ๖๕ พวกพราหมณม์ ีธรรมเนียมเซ่นและทาํ ทกั ษณิ าอทุ ิศบรุ พบิดรของเขาเรียกวา่ “ศราท” การเซ่นดว้ ยกอ้ นขา้ ว เรียกวา่ “สปิ ณฑะ” แปลว่า ผูร้ ่วมกอ้ นขา้ ว สมาโนทก แปลว่า ผรู้ ่วมน้าํ ส่วนพระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตให้ทาํ บญุ อทุ ศิ แกเ่ ปรตชนคอื ผตู้ ายทวั่ ไป โดยไม่จาํ กดั เพยี งบุรพบิดรเทา่ น้นั จะเป็นเพอ่ื นมิตรสหายหรือใครก็ได้ โดยการกระทาํ ท้งั ๒ อยา่ ง คือท้งั สปิ ณฑะและสมาโนทก โดยนาํ ไปบริจาคใน สงฆ์ แทนท่จี ะวางให้สัตวม์ ีกา เป็นตน้ กิน แลว้ กรวดน้าํ อทุ ศิ ส่วนกุศลไปให้แก่เปรตชนเหล่าน้นั ทกั ษิณาทอี่ ุทศิ มตกทาน แปลว่า การถวายทานอทุ ศิ ใหผ้ ตู้ ายบา้ ง ส่วนทกั ษณิ าที่อทุ ิศเฉพาะบรุ พบิดร เรียกวา่ เปรตชนมีความหมาย เป็น ๒ นยั คือ ๑. หมายถึงผทู้ ่ตี ายไปแลว้ ๒. หมายถงึ สัตวท์ ไี่ ปเกิดในปิ ตตวิ สิ ยั เปรตจะไดร้ ับผลทานเพราะลกั ษณะ ๓ ประการ คอื ๑. ทายกบริจาคทานแลว้ ตอ้ งอทุ ิศส่วนบุญไปให้ ๒. ปฏิคาหกผูร้ บั ทานเป็นทกั ขเิ ณยยะ คือ ผคู้ วรที่จะรบั ทาน ๓. เปรตชนน้นั ไดร้ บั ส่วนบุญแลว้ ตอ้ งอนุโมทนา ทายกผทู้ าํ ทกั ษณิ า แสดงออก ๓ ประการ คือ ๑. ไดแ้ สดงญาติธรรมใหป้ รากฏ ๒. ไดท้ าํ การบชู า คือยกยอ่ งเปรตชน ๓. ไดเ้ พิม่ กาํ ลงั ให้แกภ่ ิกษทุ ้งั หลาย เป็นอนั ไดบ้ ญุ มิใช่นอ้ ย ทรงมอบใหส้ งฆเ์ ปน็ ใหญ่ ทรงให้บวชราธพราหมณ์ โดยการให้พระสารีบุตรเป็นอปุ ัชฌาย์ และตรัสให้เลิกการอุปสมบทดว้ ยไตร สรณคมนูปสมั ปทา ทรงอนุญาตให้อุปสมบทดว้ ยวิธีประชุมสงฆ์ ต้งั ญตั ติ ๑ คร้ัง และสวดอนุสาวนา (สวด ประกาศ) ๓ คร้งั วิธีน้ี เรียกว่า “ญตั ติจตุตถกรรมวาจา” แมใ้ นสังฆกรรมอื่น ๆ กท็ รงมอบอาํ นาจให้แก่สงฆ์ ทรงสอนผอ่ นคดธี รรมคดโี ลก พระพุทธองคท์ รงเปล่ยี นแปลงการไหวท้ ิศท้งั ๖ ของสิงคาลมาณพมาใชใ้ นหลกั พระพุทธศาสนาว่า ๑. ทิศบูรพา อนั เป็นทศิ เบ้อื งหนา้ ไดแ้ ก่ มารดาบิดา ๒. ทิศทกั ษิณ อนั เป็นทศิ เบ้อื งขวา ไดแ้ ก่ ครูอาจารย์ ๓. ทิศปัจจิม อนั เป็นทิศเบ้อื งหลงั ไดแ้ ก่ บุตรภรรยา ๔. ทิศอดุ ร อนั เป็นทิศเบ้อื งซา้ ย ไดแ้ ก่ มติ รสหาย ๕. เหฏฐิมทิศ อนั เป็นทศิ เบ้อื งล่าง ไดแ้ ก่ ลูกจา้ ง คนใช้ ๖. อปุ ริมทิศ อนั เป็นทศิ เบ้อื งบน ไดแ้ ก่ สมณพราหมณ์ ผูท้ จ่ี ะไหวท้ ิศท้งั ๖ ควรเวน้ สิ่งต่อไปน้ี คอื
หนา้ ๖๖ พุทธประวัติ ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี ๑. กรรมกิเลส คือการงานอนั เศร้าหมอง ๔ อยา่ ง ๒. อคติ คอื ความลาํ เอยี ง ๔ อยา่ ง ๓. อบายมขุ คือทางหายนะ ๖ อยา่ ง เสด็จสกั กชนบท พระเจา้ สุทโธทนะ พทุ ธบดิ า ทรงทราบวา่ พระบรมศาสดา ทรงบรรลุพระสมั มาสมั โพธิญาณ แลว้ เสด็จ จาริกแสดงธรรมสั่งสอนบรรพชิตคฤหสั ถม์ าโดยลาํ ดบั เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ กรุงราชคฤห์ มีพระราชประสงคจ์ ะทรง ไดเ้ ห็น จึงตรัสสง่ั กาฬทุ ายีอมาตยใ์ ห้ไปเชิญอาราธนาพระพทุ ธองค์ พระพทุ ธองคท์ รงใชเ้ วลาเสด็จอยู่ ๒ เดือน จึงเสดจ็ ถงึ กรุงกบิลพสั ดุแ์ ควน้ สกั กชนบท ประทบั อยทู่ ี่นิโครธาราม พร้อมดว้ ยภกิ ษบุ ริวาร ๒ หมืน่ องค์ ทรงทาํ ลายทิฏฐิมานะของพวกศากยะกษตั ริย์ จนเป็นเหตุมหศั จรรย์ ฝนโบกขร พรรษตกลงมาในสมาคมน้นั พวกภกิ ษสุ งสยั ทูลถาม จึงไดต้ รสั เวสสันดรชาดก และไดท้ รงตรัสกิจวตั รของสมณะ กบั ท้งั ทรงตรสั พระธรรมเทสนาโปรดพระเจา้ สุทโธทนะจนไดบ้ รรลุโสดาปัตติผล ในคร้งั หน่ึง เศรษฐีคฤหบดี ชาวเมอื งสาวตั ถี แควน้ โกศล ชื่อสุทตั ต์ ไดไ้ ปกรุงราชคฤหด์ ว้ ยภารกิจ บางอยา่ งไดท้ ราบขา่ ววา่ พระพุทธเจา้ ทรงเสด็จอยู่ ในเมืองน้ี จึงไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงธรรมอนุปุ พพีกถาและอริยสจั ๔ ใหฟ้ ัง ทา่ นเศรษฐีก็ไดบ้ รรลโุ สดาปัตตผิ ล แลว้ กราบทลู แสดงตนเป็นอุบาสก เป็นผมู้ ใี จบญุ มีศรัทธาถวายทานในพระพทุ ธศาสนาเป็นอยา่ งมาก และไดใ้ ห้ทานแก่คนยากไร้อนาถา ภายหลงั ไดเ้ นมติ ตกนามว่า “อนาถปิ ณฑิกะ” แปลวา่ กอ้ นขา้ วสาํ หรบั คนอนาถา. ปจั ฉมิ โพธกิ าล ทรงปลงอายสุ งั ขาร เมอ่ื พระองค์เสดจ็ พระพุทธดาํ เนินสั่งสอนเวไนยสัตว์ ในคามนิคมชนบทราชธานีต่างๆ มเี มืองราชคฤหเ์ ป็น ตน้ ประดิษฐานพุทธสาวกมณฑลให้เป็ นไปนับการกาํ หนดแต่ไดต้ รัสรู้ล่วงมาได้ ๔๔ พรรษา คร้ันพรรษาที่ ๔๕ เสด็จจาํ พรรษา ณ บา้ นเวฬุคาม เขตเมืองเวสาลี ภายในพรรษา กาลน้ันพระองคท์ รงพระประชวรชราพาธกลา้ เกิด ทุกขเวทนาใกลม้ รณชนม์พินาศ แต่พระองคท์ รงดาํ รงค์พระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกล้นั ทุกขเวทนาดว้ ยอธิวาสน ขนั ติ เห็นว่ายงั มิควรทีจ่ ะปรินิพพานจึงทรงขบั ไล่บาํ บดั อาพาธน้นั ใหส้ งบระงบั ไป ทรงสง่ั สอนภกิ ษุสงฆใ์ นเอกาย นมรรค คือ สตปิ ัฏฐานท้งั ๔ และปกิณณกเทศนาตามสมควร จนกาลลว่ งไปถึงมาฆปุณณมี แห่งฤดูเหมนั ต์ (ข้นึ ๑๕ คา่ํ เดือน ๓) เวลาเชา้ วนั น้นั พระองคท์ รงถือบาตร และจีวร เสด็จโคจรบิณฑบาต ณ เมืองเวสาลี คร้ันหลงั เวลาภตั ตาหารดาํ รสั สั่งให้พระอานนทถ์ ือเอาผา้ นิสีทนะ สาํ หรับรองนง่ั เสดจ็ ไปยงั ปาวาลเจดีย์ เพื่อสาํ ราญพระอิริยาบถในเวลากลางวนั พระพทุ ธองคท์ รงพระประสงคจ์ ะ ใหพ้ ระอานนทก์ ราบทลู อาราธนาใหด้ าํ รงคอ์ ยชู่ ว่ั อายกุ ปั หน่ึง หรือเกินกวา่ อายกุ ปั จึงไดต้ รัสโอภาสปริยายนิมติ อนั ชดั ถงึ ๓ คร้ัง แสดงอานุภาพแห่งอิทธิบาทภาวนา สามารถจะใหท้ ่านผเู้ จริญดาํ รงคอ์ ยไู่ ดอ้ ายกุ ปั หน่ึง หรือเกินกวา่
พทุ ธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี หนา้ ๖๗ อายกุ ปั แต่มารเขา้ ดลใจทา่ นพระอานนทจ์ ึงไมส่ ามารถรู้ทนั มิไดอ้ าราธนา พระองคจ์ ึงทรงขบั พระอานนทไ์ ปเสีย จากทีน่ น่ั คร้ันทา่ นพระอานนทห์ ลกี ไปไมช่ า้ มารไดเ้ ขา้ ไปเฝ้ายกเน้ือความแตป่ างหลงั เมือ่ เร่ิมแรกตรัสรู้และกราบ ทูลวา่ “บดั นี้ ปริสสมบตั ิและพรหมจรรย์กส็ มบรู ณ์ดังพุทธประสงค์ทกุ ประการแล้ว ขอพระผู้มพี ระภาคจงทรง ปรินิพพานเถิด บัดนเี้ ป็นกาลท่ีจะปรินิพพานแห่งพระผ้มู ีพระภาคแล้ว” พระองคจ์ ึงตรัสว่า “ดกู ่อนมารผ้มู บี าป เธอ จงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า แต่นีไ้ ปอีก ๓ เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน” ลาํ ดบั น้นั พระพุทธองคท์ รงมพี ระสตสิ ัมปชญั ญะ ปลงอายสุ งั ขาร ณ ปาวาลเจดียน์ ้นั ก็เกิดมหศั จรรย์ แผน่ ดินไหวใหญ่ และขนลุกชูชนั สยองเกลา้ น่าสะพึงกลวั ท้งั กลองทิพยก์ บ็ นั ลอื ลนั่ ในอากาศ เหตุเกิดแผน่ ดินไหว ๘ ประการท่านพระอานนทเ์ กิดพศิ วงความมหศั จรรยน์ ้นั จึงเขา้ ไปถวายบงั คมแลว้ ทูล ถาม พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงตรสั ว่า เหตทุ ่จี ะใหแ้ ผ่นดินไหวมี ๘ ประการ คอื ๑. ลมกาํ เริบ ๒. ท่านผมู้ ฤี ทธ์ิบนั ดาล ๓. พระโพธิสตั วจ์ ุตจิ ากดุสิตลงสู่พระครรภ์ ๔. พระโพธิสตั วป์ ระสูติ ๕. พระโพธิสัตวต์ รัสรู้อนุตรสัมมาสมั โพธิญาณ ๖. ตถาคตแสดงธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ๗. ตถาคตปลงอายสุ งั ขาร ๘. ตถาคตปรินิพพาน สถานท่ีทรงกระทาํ นิมิตโอภาส ๑๖ ตาํ บล ท่านพระอานนทไ์ ดท้ ราบว่า พระพุทธองคท์ รงปลงอายสุ งั ขาร จึงกราบขอทูลอาราธนาวา่ “ขอพระผ้มู ีพระภาคจงดาํ รงอย่กู ปั หนึ่งเถิด เพ่ืออนเุ คราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เกือ้ กูลและความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย” พระองคท์ รงตรัสหา้ มว่า “อย่าเลย อานนท์ ท่านอย่าได้อ้อนวอน ตถาคตเลยบัดนมี้ ิใช่กาลเพื่อจะวิงวอนเสียแล้ว” เมือ่ ตถาคตทาํ นิมิตโอภาส หากอานนทพ์ ึงวิงวอนไซร้ ตถาคตพงึ หา้ มเสีย ๒ คร้ัง คร้นั วาระท่ี ๓ ตถาคตจะรบั อาราธนา แตอ่ านนทม์ ไิ ดว้ ิงวอน เพราะเหตุน้นั จึงเป็นความผิดของ อานนทผ์ ูเ้ ดียว สถานท่ตี ถาคตทาํ นิมติ โอภาส ๑๖ ตาํ บล คอื เมอื งราชคฤห์ ๑๐ ตาํ บล ไดแ้ ก่ ๑. ภูเขาคิชฌกูฏ ๒. โคตมนิโครธ ๓.เหวทีท่ งิ้ โจร ๔ .ถ้าํ สัตตบรรณคหู า ๕.กาฬศลิ า เชิงภูเขาอิสิคิริบรรพต ๖.เงอ่ื มสปั ปิ โสณฑกิ า ณ สีตวนั ๗.ตโปทาราม ๘.เวฬุวนั ๙.ชีวกมั พวนั ๑๐.มทั ทกจุ ฉิมคิ ทายวนั และเมืองเวสาลี ๖ ตาํ บลไดแ้ ก่ ๑.อเุ ทนเจดีย์ ๒.โคตมกเจดีย์ ๓.สตั ตมั พเจดีย์ ๔.พหุปตุ ตเจดีย์
หนา้ ๖๘ พทุ ธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี ๕.สารันททเจดีย์ ๖. ปาวาลเจดีย์ ปจั ฉมิ บณิ ฑบาต เมอ่ื พระองคต์ รัสแก่พระอานนทแ์ ลว้ จึงเสดจ็ พุทธดาํ เนินไปยงั กฏู าคารศาลาป่ ามหาวนั ใหพ้ ระอานนท์ เรียกประชุมภกิ ษสุ งฆด์ ว้ ยอภิญญาเทสิตธรรม ธรรมทท่ี รงแสดงดว้ ยปัญญาอนั ยง่ิ ไดแ้ ก่ สตปิ ัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมอี งค์ ๘ เพื่อประโยชน์สุขเก้ือกูลแกเ่ ทพยดาและมนุษย์ ท้งั หลาย เพือ่ อนุเคราะห์สัตวโ์ ลกและทรงสัง่ สอนสงั เวคกถาและอปั ปมาทธรรม คร้นั รุ่งเชา้ ทรงนุ่งห่มแลว้ ถอื บาตรจีวร เสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาทยงั เมืองเวสาลี คร้ันปัจฉาภตั กลบั จาก บิณฑบาตแลว้ ทอดพระเนตรเมืองเวสาลเี ป็น “นาคาวโลก” คอื ทรงกลบั พระองค์ (กลบั หนั หลงั ) เหมอื นกบั ชา้ ง ทอดพระเนตร อนั เป็นกาการแห่งมหาบรุ ุษ ตรสั กะพระอานนทว์ า่ “ดกู ่อนอานนท์ตถาคตเห็นเมืองเวสาลคี ร้ังนีเ้ ป็น ครั้งสุดท้าย เรามาพร้อมกันไปบ้านภัณฑคุ ามกันเถิด” พร้อมดว้ ยภกิ ษุสงฆ์ ประทบั อยู่ ณ บา้ นภณั ฑุคามน้นั ตรัส เทศนาอริยธรรม ๔ ประการ คอื ศลี สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ ตอ่ แตน่ ้นั ก็เสดจ็ ไปยงั บา้ นหัตถีคาม อมั พคาม ชมั พุ คาม และโภคนคร ประทบั อยทู่ ่ีอานนั ทเจดีย์ ตรัสมหาปเทศ ๔ ฝ่ ายพระสูตรว่า “ถ้าจะมีผ้ใู ดมาอ้างว่า นเี้ ป็นธรรม เป็นวินยั เป็นสัตถศุ าสน์ เธออย่าพึงรีบเช่ือและอย่างถึงปฏิเสธก่อน พึงเรียนบทพยัญชนะให้แน่นอนแล้วพึงสืบสวน ในสูตร พึงเทียบในวินยั ถ้าสอบไม่ตรงกนั ในสูตร เทียบกนั ไม่ได้ในวินัย พึงเข้าใจว่าน้ันไม่ใช่คาํ ของพระผู้มีพระ ภาค เธอผู้นัน้ รับมาผิด จาํ มาเคลื่อนคลาด ถ้าสอบกนั ได้เทียบกันได้ น่ันเป็นคาํ ของพระผู้มีพระภาค” เป็นต้น เมอ่ื วนั คืนล่วงไปใกลก้ าํ หนดจะปรินิพพาน พระองคพ์ ร้อมดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ บริวารไดเ้ สดจ็ ไปยงั เมอื งปาวา นคร ประทบอยทู่ ่สี วนมะมว่ งของนายจนุ ทกมั มารบตุ ร นายจนุ ทกมั มารบุตร ทราบขา่ วจึงไปเฝ้า ไดฟ้ ังธรรมีกถา แลว้ เลือ่ มใส จึงไดก้ ราบทลู นิมนตเ์ พอื่ ฉันภตั ตาหารในวนั รุ่งข้ึน พร้อมท้งั ภิกษุสงฆบ์ ริวารแลว้ ลากลบั รุ่งข้ึนเวลาเชา้ อนั เป็นวนั วิสาขปุรณมี (ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๖) พระองคพ์ ร้อมดว้ ยภกิ ษุสงฆบ์ ริษทั เสดจ็ ไปถงึ บา้ นของนายจุนทะ ประทบั ณ พทุ ธอาสนแ์ ลว้ ตรัสเรียกหานายจุนทะแลว้ ว่า “ดูกร จนุ ทะ สูกรมทั ทวะ (เห็ดชนิด หน่ึง) ทเ่ี ธอได้จัดแจงไว้น้นั จงอังคาส(ถวาย) แต่ตถาคตเท่านนั้ ส่วนของเคีย้ วของฉันอันประณีต เธอจงอังคาสภิกษุ สงฆ์เถิด” นายจนุ ทะทาํ ตามพระพทุ ธประสงค์ เมื่อเสร็จภตั กิจแลว้ ตรัสให้นายจนุ ทะนาํ สูกรมทั ทวะไปฝังเสีย มใิ ห้ ผูใ้ ดบริโภค ทรงแสดงธรรมีกถาแลว้ เสดจ็ กลบั ทรงพระประชวร เม่ือพระพุทธองคท์ รงเสวยภตั ตาหารของนายจุนทะแลว้ ก็เกิดอาพาธอยา่ งแรงกลา้ ทรงพระประชวรลง พระโลหิต (อาเจียนเป็นเลอื ด) ใกลแ้ ต่มรณทุกข์ ทรงมพี ระสตสิ ัมปชญั ญะทรงอดกล้นั ดว้ ยอธิวาสนขนั ติ จึงตรัสแก่ พระอานนทว์ า่ “อานนท์ เรามาพร้อมกนั เถิด เราจักไปเมืองกสุ ินารา” เม่ือเสด็จมากลางทางทรงเหน็ดเหนื่อย ทรง แวะเขา้ ประทบั ร่มไมแ้ ห่งหน่ึงตรัสให้พระอานนทป์ ผู า้ สังฆาฏพิ บั เป็น ๔ ช้นั แลว้ ประทบั นง่ั ตรสั ใหน้ าํ น้าํ มาใหด้ ่ืม ท่านอานนทน์ าํ บาตรไป น้าํ ทข่ี นุ่ เพราะเกวียน ๕๐๐ เลม่ ก็กลบั ใส พระอานนทต์ กั น้าํ นาํ มาถวายแลว้ กราบทลู ถงึ ความมหัศจรรย์
พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี หนา้ ๖๙ ขณะน้นั บตุ รแห่งมลั ลกษตั ริยช์ ่ือปกุ กสุ ะ เคยเป็นศษิ ยแ์ ห่งสาํ นกั อาฬารดาบส กาลามโคตรร่วมกนั เดินผ่าน มาเห็นเขา้ จาํ ได้ จึงเขา้ ไปเฝา้ ไดฟ้ ังสันติวิหารธรรม เกิดเล่อื มใส ไดถ้ วายผา้ สิงคิวรรณ ๑ คู่ แลว้ หลีกไป เมือ่ พระองคท์ รงนุ่งห่ม ปรากฏวา่ ผวิ พรรณงามยิ่งนกั เป็นท่ี29น่29ามหศั จรรย์ พระอานนทก์ ราบทูลสรรเสริญ พระองคต์ รสั วา่ “ผิวกายของตถาคตจะผุดผ่องสวยงามย◌ิ◌่ งใน ๒ กาล คือ ในราตรีท่จี ะได้ตรัสรู้ และในราตรีท่จี ะปรินิพพาน ดูก่อนอานนท์ ในยามสุดท้ายแห่งราตรีวันนี้ ตถาคตจักปรินิพพาน ณ ระหว่างไม้รังทัง้ คู่ท่สี าลวโนทยานเมืองกสุ ิ นารา อานนท์ เรามาไปยังแม่นา้ํ กกุธานทีกนั เถิด” บณิ ฑบาต มีผลมาก ๒ คราว คือ ๑. บิณฑบาตท่พี ระตถาคตเสวยแลว้ ตรัสรู้ ๒. บิณฑบาตทีพ่ ระตถาคตเสวยแลว้ ปรินิพพานมผี ลเสมอกนั มีวิบากเสมอกนั มผี ลมาก มอี านิสงส์มากวา่ บิณฑบาตท้งั ลายอน่ื ๆ กรรมท่ีใหอ้ ายุ วรรณะ สุข ยศ สวรรค์ และความเป็นอธิบดี ต่อแต่น้นั เสดจ็ ขา้ มแมน่ ้าํ หิรัญญวดีถงึ สาลวโนทยานเม่ืองกสุ ินารา ตรสั ใหพ้ ระอานนทต์ ้งั เตียงหันศรี ษะไป ทางทศิ อดุ ร ระว่างตน้ ไมร้ ังท้งั คู่ ทรงสาํ เร็จสีหไสยา มีพระสตสิ ัมปชญั ญะ แต่มไิ ดม้ มี นสิการทจ่ี ะลกุ ข้นึ เพราะเป็น การบรรทมคร้ังสุดทา้ ย เรียกว่าอนุฏฐานไสยา สงั เวชนยี สถาน ๔ ตำบล สงั เวชนียสถาน คอื สถานท่พี ทุ ธบริษทั ควรจะเห็น ควรจะดู และควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบตุ รผูม้ ี ศรทั ธา ๑. สถานที่พระตถาคตเจา้ ประสูติ (ลุมพินีวนั ) ๒. สถานท่พี ระตถาคตเจา้ ตรัสรู้อนุตตรสมั มาสัมโพธิญาณ (อุรุเวลาเสนานิคม) ๓. สถานที่พระตถาคตเจา้ แสดงพระธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร (อสิ ิปตนมฤคทายวนั ) ๔. สถานทีพ่ ระตถาคตเจา้ ปรินิพพานแลว้ ดว้ ยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (สาลวโนทยาน) ถูปารหบคุ คล คือบคุ คลทคี่ วรแกก่ ารประดิษฐานไวใ้ นสถูป ๔ จาํ พวก คอื ๑. พระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา้ ๒. พระปัจเจกพุทธเจา้ ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจา้ จกั รพรรด์ิ โปรดสุภทั ทปรพิ าชก มีปริพาชกคนหน่ึงช่ือว่าสุภทั ทะไดข้ อเขา้ เฝ้า พระอานนทท์ ดั ทานไวถ้ ึง ๓ คร้งั พระองคท์ รงไดส้ ดบั จึง ตรสั ให้เขา้ เฝา้ สุภทั ทปริพาชกทลู ถามถึงเรื่องครูท้งั ๖ คือ ปรู ณกสั สป มกั ขลิโคศาล อชิตเกสกมั พล ปุกุทธกจั จาย นะ สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร นิครนถนาฏบตุ ร วา่ ตรสั รู้ดว้ ยปัญญาจริงหรือไม่ พระองคต์ รสั ตอบว่า มรรคมีองค์ ๘ มอี ยู่ ใน ธรรมวินยั ใด พระอริยบุคคลยอ่ มมใี นธรรมวนิ ยั น้นั แต่มรรคมอี งค์ ๘ มีอยใู่ นธรรมวนิ ยั น้ีเท่าน้นั หากวา่ ชน ท้งั หลายยงั ปฏิบตั ดิ ีปฏิบตั ิชอบอยไู่ ซร้ (ปฏิบตั ิตามอริยมรรค ๘ ) โลกจะไม่พึงวา่ งจากพระอรหนั ต์ สุภทั ทะเกิด
หน้า ๗๐ พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชนั้ ตรี เลือ่ มใสทลู ขอบวช เม่ือบวชแลว้ ปลกี ตนออกจากหมคู่ ณะบาํ เพญ็ เพยี รไม่ชา้ ก็สาํ เร็จพระอรหันต์ กอ่ นท่ี พระพทุ ธเจา้ จะปรินิพพาน นบั เป็นพระอรหนั ตสาวกองคส์ ุดทา้ ย ประทานพระโอวาท พระพทุ ธองคต์ รสั ประทานโอวาทแกภ่ กิ ษบุ ริษทั วา่ เธอท้งั หลายอยา่ มีความดาํ ริว่าปาพจน์ คือ ศาสนธรรม มพี ระศาสดาลว่ งแลว้ พระศาสดาแห่งเราท้งั หลายไม่มี เธอท้งั หลายไมถ่ งึ เห็นเช่นน้นั ธรรมกด็ ี วินยั ก็ดี อนั ใดอนั เรา ไดแ้ สดงแลว้ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ แกเ่ ธอท้งั หลาย ธรรมและวินยั น้นั จกั เป็นศาสดาแห่งเธอท้งั หลาย โดยกาลลว่ งไป แลว้ แห่งเราต่อแต่น◌ั◌้นทรงสัง่ สอนใหภ้ ิกษรุ ้องเรียกกนั และกนั โดยอาหารอนั สมควรว่า ภิกษเุ ถระผแู้ ก่พรรษา พงึ เรียกภิกษุทอี่ อ่ นกว่าตนโดยชื่อ หรือ โคตร หรือโดยคาํ วา่ “อาวโุ ส” ส่วนภิกษุใหมท่ อี่ ่อนพรรษา พงึ เรียกภกิ ษผุ เู้ ถระ มพี รรษาแก่กว่าตนว่า “ภนั เต” หรือ “อายสั มา” ปจั ฉมิ โอวาท ทรงตรสั เตอื นภิกษเุ ป็นคร้งั สุดทา้ ยว่า “บัดนี้ ตถาคตขอเตือนเธอท้งั หลายให้รู้ว่าสังขารท้ังหลายมคี วามฉิบ หายไปเป็นธรรมดา เธอทงั้ หลายจงยังกิจทั้งปวง อนั เป็นประโยชน์ตนและผ้อู ่ืนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท เถิด” พระดาํ รสั น้ีเป็นปัจฉิมโอวาท คอื คาํ สั่งสอนคร้ังสุดทา้ ย ปรนิ ิพพาน ต่อแต่น้นั พระองคม์ ไิ ดต้ รัสอะไรเลย ทรงทาํ ปรินิพพานปริกรรมดว้ ยอนุปุพพวิหารสมาบตั ทิ ้งั ๙ คือ ทรง เขา้ รูปสมาบตั ิท้งั ๔ (รูปฌาน) ตามลาํ ดบั ออกจากรูปฌานท่ี ๔ แลว้ เขา้ อรูปสมาบตั ิท้งั ๔ (อรูปฌาน) ออกจาอรูป ฌานท่ี ๔ แลว้ เขา้ สัญญาเวทยิตนิโรธ ดบั จิตสงั ขาร คอื สัญญาและเวทนา คร้นั แลว้ ทรงออกจากสัญญาเวทยติ นิโรธ เขา้ สู่อรูปฌานที่ ๔ ถอยหลงั ตามลาํ ดบั กลบั มาจนกระทงั่ ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแลว้ เขา้ สู่ ทตุ ิยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานโดยลาํ ดบั พิจารณาองคแ์ ห่งจตตุ ถฌานน้นั แลว้ เสดจ็ ออกจากฌานน้นั ยงั มทิ นั เขา้ สู่อรูปสมาบตั ิ ก็ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน ณ ยามสุดทา้ ยแห่งราตรีวนั องั คารข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศก ๑ ปี ในขณะน้นั ก็ บงั เกิดแผน่ ดินไหวใหญ่สั่นสะเทือน โลมชาตชิ ูชันสยดสยอง กลองทิพยก์ ็บนั ลอื สนนั่ สาํ เนียงในอากาศ
พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี หน้า ๗๑ อปรกาล ถวายพระเพลงิ เมือ่ พระพทุ ธองคป์ รินิพพานได้ ๗ วนั เจา้ มลั ลกษตั ริย์ จึงไดเ้ ชิญพระพทุ ธสรีระไปประดิษฐานไว้ ณ มกฏุ พนั ธนเจดีย์ เพอ่ื ถวายพระเพลิง แตไ่ ดถ้ วายพระเพลิงในวนั ท่ี ๘ เพราะรอคอยพระมหากสั สปะอยู่ ฝ่ายกษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ ๗ พระนคร คอื พระเจา้ อชาตศตั รูเมอื งราชคฤห◌์, เจา้ ลิจฉวีเมอื งเวสาล,ี เจา้ ศากยะกรุงกบิลพสั ด,ุ์ ถูลีกษตั ริยใ์ นอลั ลกปั ปนคร, โกลยิ กษตั ริยใ์ นรามคาม, มหาพราหมณ์เจา้ เมืองเวฏฐทปี กะ และมลั ลกษตั ริยใ์ นเมืองปาวา ท้งั ๗ พระนครน้ีเม่ือไดท้ ราบข่าวการปรินิพพานของพระพทุ ธจา้ ตา่ งก็ส่งทตู มาถึงมลั ลกษตั ริยเ์ พ่ือขอส่วนแบง่ พระสารีริกธาตเุ อาไปทาํ การสักการะบูชา คร้งั แรกมลั ลกษตั ริยไ์ มย่ อมแบง่ ให้ จน จวนจะเกิดสงครามแยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุข้ึน โทณพราหมณ์ จึงพูดกบั ทูตเหลา่ น◌ั◌้นวา่ พระพุทธองคเ์ ป็นผูม้ ี ขนั ตธิ รรมแนะนาํ ในทางสงบ พวกเราจะมาทาํ สงครามกนั แยง่ ชิงพระสารีริกธาตุคงจะไมส่ มควร แลว้ จึงพูดใหท้ กุ คนสามคั คีกนั จากน้นั กไ็ ดแ้ บ่งพระสารีริกธาตอุ อกเป็น ๘ ส่วนเท่า ๆ กนั ใหท้ ูตเหล่าน้นั นาํ ไปสักการะบชู าในเมอื ง ของตน ฝ่ายโมริยกษตั ริยใ์ นเมอื งปิ ปผลิวนั ไดท้ ราบขา่ ว กส็ ่งทตู มาขอส่วนแบง่ บา้ ง แต่พระบรมสารีริกธาตุ หมดแลว้ จึงไดพ้ ระองั คารไป เจดยี ์ ๔ ประเภท สมั พุทธเจดีย์ คอื เจดียอ์ นั เนื่องดว้ ยองคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท่านกล่าวไว้ ๔ ประเภท คอื ๑. ธาตุเจดีย์ เป็นพระสถปู ท่บี รรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๒. บริโภคเจดีย์ เป็นพระสถูปที่บรรจเุ คร่ืองบริขารของพทุ ธองค์ ๓. อทุ เทสิกเจดีย์ เป็นพระสถปู ประดิษฐ์พระพุทธรูป หรือพระพทุ ธปฏิมา ๔. ธรรมเจดีย์ เป็นพระสถูปทบี่ รรจคุ มั ภีร์ใบลาน หรือหนงั สือคมั ภรี ์ทจ่ี ารึกพุทธวจนะ สงั คายนา สังคายนา หรือสงั คีติ หรือการร้อยกรอง หรือจดั แจงพระธรรมวนิ ยั ให้เป็นหมวดหมวู่ า่ น่ีเป็นธรรม นี่เป็น วินยั จดั เป็น ๓ หมวด เรียกวา่ พระไตรปิ ฎก คือ ๑. ทเี่ ป็นกฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั จดั เป็น วินยั ปิ ฎก ๒. ทเ่ี ป็นพระธรรมคาํ สอน อนั เป็นบุคลาธิษฐาน ยกบคุ คลเป็นอทุ าหรณ์ จดั เป็นสุตตนั ตปิ ฎก ๓. ทเ่ี ป็นธรรมลว้ น ๆ ไมเ่ กี่ยวกบั บุคคลเป็นธรรมทีส่ ุขุมลกึ ซ่ึง จดั เป็น อภิธรรมปิ ฎก การทาํ สงั คายนาน้นั ที่พอจะนบั ไดม้ ี ๕ คร้ัง ทาํ ในชมพูทวปี ๓ คร้งั ในลงั กาทวปี ๒ คร้ัง คอื
หนา้ ๗๒ พุทธประวัติ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี ๑. ปฐมสังคายนา คร้งั ที่ ๑ กระทาํ ที่หนา้ ถ้าํ สตั ตบรรณคูหา เชิงภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ พระเจา้ อชาตศตั รูเป็นองคอ์ ุปถมั ภก ภายหลงั พทุ ธปรินิพพาน ๓ เดือน พระมหากสั สปะ เป็นประธาน พระอุบาลเี ถระ วิสัชนาพระวนิ ยั พระอานนท์ วสิ ชั นาพระสูตร และพระอภธิ รรม รวมกบั พระอรหันตขีณาสพจาํ นวน ๕๐๐ องค์ ปรารภเร่ืองพระสุภทั ทะกลา่ วจว้ งจาบศาสนา กระทาํ อยู่ ๗ เดือนจึงสาํ เร็จ ๒. ทุตยิ สังคายนา คร้ังท่ี ๒ กระทาํ ทวี่ าลกิ าราม เมอ่ื งเวสาลี พระเจา้ กาฬาโศกราชเป็นองคอ์ ปุ ถมั ภก เมอ่ื พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระอรหันตจ์ าํ นวน ๗๐๐ องค์ มีพระยสกากณั ฑกบตุ รเถระเป็นประธานและมพี ระสพั พกามเี ถระ และพระเรวตั ตเถระ เป็นตน้ ชาํ ระเรื่องวตั ถุ ๑๐ ประการ ทพี่ วกภิกษชุ าววชั ชีบตุ ร ชาวเมอื งเวสาลีนาํ มาแสดงวา่ ไม่ ผิดธรรมวนิ ัย กระทาํ อยู่ ๘ เดือน จึงสาํ เร็จ ๓. ตติยสังคายนา คร้งั ที่ ๓ กระทาํ ท่อี โศการาม เม่อื งปาฏลบี ตุ ร พระเจา้ อโศกมหาราชเป็นองคอ์ ปุ ถมั ภก เม่อื พ.ศ. ๒๑๘ โดยพระอรหนั ต์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ องค์ มพี ระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ ส เถระเป็นประธาน เน่ืองดว้ ยเดียรถยี ์ ปลอมบวชในพุทธศาสนา กระทาํ อยู่ ๙ เดือน จึงสาํ เร็จ ๔. จตตุ ถสังคายนา คร้งั ที่ ๔ กระทาํ ทถ่ี ปู าราม เมอื งอนุราชบรุ ี ลงั กาทวีป พระเจา้ เทวานมั ปิ ยติสสะ เป็น องคอ์ ปุ ถมั ภก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระมหินทเถระ และพระอริฏฐเถระ เป็นประธานชกั ชวนภิกษชุ าวสีหล ๖๘,๐๐๐ องค์ เพ่อื ประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาให้มนั่ คงในสงั กาทวีป กระทาํ อยู่ ๑๐ เดือน จึงสาํ เร็จ ๕. ปัญจมสังคายนา คร้งั ท่ี ๕ กระทาํ ท่ีอาโลกเลณสถาน ในมลยั ชนบท ลงั กาทวีป พระเจา้ วฏั ฏคามนิ ีอภยั เป็นองคอ์ ุปถมั ภก เมอื่ พ.ศ. ๔๕๐ โดยภิกษชุ าวสีหลผพู้ ระอรหนั ต์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ องค์ พระติสสมหาเถระ และ พระพทุ ธทตั ตเถระเป็นตน้ เห็นความเสื่อมถอยปัญญาแห่งกุลบุตรจึงไดป้ ระชุมกนั มาจารึกพระธรรมวินยั เป็น อกั ษรลงไวใ้ นใบลาน ทาํ อยู่ ๑ ปี จึงสาํ เร็จ ฯ เบด็ เตลด็ สหชาติ ๗ สหชาติ คอื ผูเ้ กิดร่วมวนั เวลาเดียวกนั กบั พระพุทธเจา้ มี ๗ ประการ คือ ๑. พระนางพิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. อาํ มาตยช์ ่ือฉนั นะ ๔. กาฬุทายอี าํ มาตย์ ๕. กณั ฐกอศั วราช มา้ พระท่นี งั่ ๖. ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ๗. ขมุ ทรัพยท์ ้งั ๔ (สังขนิธิ. เอลนิธิ, อุบลนิธิ, บณุ ฑริกนิธิ)
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๗๓ แผนผงั แสดงทศิ ตา่ ง ๆ ในสมัยพทุ ธกาล อุดร (เหนือ) พายพั อิสาน (ตะวนั ตกเฉียงเหนือ) (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ปัศจิม บูรพา (ตะวนั ตก) (ตะวนั ออก) หรดี อาคเนย์ (ตะวนั ตกเฉียงใต)้ ทกั ษณิ (ตะวนั ออกเฉียงใต)้ (ใต)้ ๑. ขนานพระนาม เหตกุ ารณ์ในระหว่างพระชนมายุ เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๕ วนั ๒. พระมารดาสวรรคต เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๗ วนั ๓. ทรงศึกษาศิลปวิทยา เมอ่ื พระชนมายไุ ด้ ๗ ปี ๔. ทรงอภิเษกสมรส เมือ่ พระชนมายไุ ด้ ๑๖ ปี ๕. เสดจ็ ทรงผนวชและมพี ระโอรส เม่ือพระชนมายไุ ด้ ๒๙ ปี ๖. ตรัสรู้ เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๓๕ ปี ๗. เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน เมือ่ พระชนมายไุ ด้ ๘๐ ปี ๑. สวนลมุ พนิ ีวนั สถานทสี่ ําคญั ๒. ตน้ โพธ์ิริมฝั่งแม่น้าํ เนรญั ชรา ๓. ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เป็นสถานทปี่ ระสูติ ๔. ปาวาลเจดีย์ เป็นสถานทต่ี รสั รู้ ๕. สาลวโนทยาน เป็นสถานทแี่ สดงปฐมเทศนา ๖. มกฏุ พนั ธนเจดีย์ เป็นสถานทท่ี รงปลงอายสุ ังขาร เป็นสถานทปี่ รินิพพาน เป็นสถานท่ถี วายพระเพลิง
หนา้ ๗๔ พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี ใครมศี กั ดเิ์ ปน็ อะไรกบั พระพทุ ธเจา้ พระนาม ทรงเป็ น ราชาศัพท์ พระไปยกา พระเจา้ ชยั เสน ทวด พระอยั กา พระอยั ยิกา พระเจา้ สีหนุ ป่ ู พระอยั กา พระอยั ยกิ า พระนางกญั จนา ยา่ พระชนก พระชนนี พระเจา้ อญั ชนะ ตา พระมาตจุ ฉา พระปิ ตลุ า พระนางยโสธรา ยาย พระปิ ตจุ ฉา พระเจา้ สุทโธทนะ พ่อ พระเชษฐา พระนางสิริมหามายา แม่ พระเชฏฐภคนิ ี พระนางปชาบดี นา้ พระอนุชา พระกนิฏฐภคินี สุกโกทนะ, อมโิ ตทนะ, ฆนิโตทนะ, โธโตทนะ อาชาย พระชายา ปมิตา, อมิตา อาหญงิ พระโอรส - พชี่ าย - พ่ีสาว นนั ทะ นอ้ งชาย รูปนนั ทา นอ้ งสาว พระนางยโสธรา(พิมพา) เมีย ราหุล ลูก
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: