๕๐ แนวข้อสอบธรรมศึกษาชั้นโท วิชาศาสนพิธี ๑๒. วนั เทโวโรหณะ เรยี กอกี อยา่ งวา่ วนั อะไร ? เลือกคำตอบท่ีถกู ต้องเพียงข้อเดียว ก. วันพระเจ้าเปดิ โลก ข. วนั พระเจ้าปดิ โลก ๑. ระเบียบแบบแผนทผ่ี นู้ ับถือศาสนาพงึ ปฏบิ ตั ิเรียกว่า ค. วนั เปดิ สวรรค์ ง. วนั พระเจา้ เปิดฟ้า อะไร ? ๑๓. ในวนั ตกั บาตรเทโว ฯ นยิ มทากจิ กรรมตามข้อใด ? ก. ศาสนพิธี ข. บญุ พธิ ี ก. สวดมนต์ข้ามคนื ข. ถอื ศีล ๘ ค. ทานพิธี ง. กุศลพธิ ี ค. ตักบาตรอาหารสด ง. ตักบาตรอาหารแหง้ ๒. ข้อใดไมใ่ ช่องค์ประกอบของศาสนา ? ๑๔. วันธรรมสวนะ มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด ? ก. ศาสดา ข. ศาสนธรรมเนยี ม ก. วนั ฟังธรรม ข. วนั พระ ค. ศาสนสถาน ง. ศาสนพิธี ค. วนั ตกั บาตร ง. ข้อ ก และ ข ถูก ๓. ปอี ธิกมาสวันเข้าพรรษาตรงกับแรม ๑ คา่ เดือนอะไร ? ๑๕. กจิ กรรมใดท่ไี มจ่ ดั ในวนั ธรรมสวนะ ? ก. เดอื น ๘ แรก ข. เดอื น ๘ หลัง ก. แสดงธรรม ข. ฟังธรรม ค. เดอื น ๙ แรก ง. เดอื น ๙ หลงั ค. รกั ษาศลี ง. ฆ่าสตั ว์ ๔. วันเข้าพรรษาจะจดั พธิ ที าบญุ ตอ่ เน่ืองกับวันใด ? ๑๖. หน่ึงเดอื นพระพุทธเจ้ากาหนดวนั พระไว้ก่ีวนั ? ก. วนั วสิ าขบูชา ข. วันอาสาฬหบชู า ก. ๔ วนั ข. ๕ วัน ค. วนั มาฆบชู า ง. วันออกพรรษา ค. ๖ วนั ง. ๘ วนั ๕. การจาพรรษาหลัง จะเร่ิมจากวนั ใด ? ๑๗. การเจรญิ พระพุทธมนตม์ ีมาตง้ั แต่สมัยใด ? ก. แรม ๑ คา่ เดือน ๘ ข. ขนึ้ ๑๕ ค่า เดือน ๘ ก. สมยั ก่อนพุทธกาล ข. สมยั พุทธกาล ค. แรม ๑ ค่า เดอื น ๙ ง. ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๙ ค. สมัยลงั กา ง. สมัยสโุ ขทยั ๖. สตั ตาหกรณยี ะ เปน็ กิจท่ีพระสงฆ์ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นวันใด ? ๑๘. ขอ้ ใดไม่ใช่จดุ มุ่งหมายของการเจริญพระพุทธมนต์ ? ก. วันเขา้ พรรษา ข. วันออกพรรษา ก. คุ้มครองปอ้ งกนั ภัย ข. ให้เกดิ สิรมิ งคล ค. วันตกั บาตรเทโว ฯ ง. วันธรรมสวนะ ค. ขับไล่ส่งิ อัปมงคล ง. ใหเ้ กิดฤทธป์ิ าฏหิ าริย์ ๗. พิธตี กั บาตรดอกไมจ้ ะจดั ขึ้นในชว่ งเทศกาลใด ? ๑๙. ภัยพบิ ตั ิในเมอื งเวสาลสี งบลงเพราะพทุ ธมนตบ์ ทใด ? ก. วันเข้าพรรษา ข. วันออกพรรษา ก. เมตตาสูตร ข. รัตนสตู ร ค. วนั ตักบาตรเทโว ฯ ง. วนั ธรรมสวนะ ค. มงคลสตู ร ง. โพชฌงั สูตร ๘. วันออกพรรษา เรยี กอีกอย่างวา่ อะไร ? ๒๐. การสวดมนตจ์ ะเกิดอานุภาพไม่เก่ียวกบั สิ่งใด ? ก. วันปลดปล่อย ข. วันปวารณา ก. ผู้ฟงั มีจิตศรัทธา ข. ผสู้ วดมสี มาธิแนว่ แน่ ค. วันกล่าวโทษ ง. วนั ขอขมากรรม ค. ผู้สวดสวดดว้ ยจติ เมตตา ง. จดั พธิ ใี หญโ่ ต ๙. ถา้ เข้าพรรษาแรก วนั ออกพรรษาจะตรงกบั ข้อใด ? ๒๑. มงคลแฝด ควรใช้ในงานบญุ ใด ? ก. ขน้ึ ๑๕ ค่าเดอื น ๑๐ ข. ขึ้น ๑๕ คา่ เดอื น ๑๑ ก. ขนึ้ บ้านใหม่ ข. ทาบุญตอ่ อายุ ค. ขนึ้ ๑๕ ค่าเดือน ๑๒ ง. ข้ึน ๑๕ ค่าเดอื น ๑ ค. แตง่ งาน ง. ทาบุญ ๑๐๐ วนั ๑๐. ในพรรษาที่ ๗ พระพทุ ธเจ้าเสด็จจาพรรษาท่ีใด ? ๒๒. อังคลุ ิมาลปรติ ร นยิ มสวดในงานทาบญุ ใด ? ก. วัดพระเชตวัน ข. วดั พระเวฬุวนั ก. งานมงคลสมรส ข. ทาบุญตอ่ นาม ค. สวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์ ง. สวรรคช์ นั้ ดสุ ติ ค. ทาบญุ อายุ ง. ทาบญุ ขนึ้ บ้านใหม่ ๑๑. ตกั บาตรเทโวโรหนะ นยิ มจัดข้นึ ในวันใด ? ๒๓. การทาบญุ อายนุ ิยมทาเม่ืออายเุ ท่าไรขน้ึ ไป ? ก. แรม ๑ คา่ เดอื น ๑๑ ข. ขน้ึ ๑๕ คา่ เดอื น ๑๑ ก. ๑๕ ปีขนึ้ ไป ข. ๒๕ ปขี น้ึ ไป ค. ขึน้ ๑๕ คา่ เดอื น ๑๒ ง. แรม ๑ ค่าเดือน ๑๒ ค. ๖๐ ปขี น้ึ ไป ง. ๘๐ ปขี ึน้ ไป
๕๑ ๒๔. พิธีสวดนพเคราะหน์ ิยมจัดข้นึ ในงานใด ? ๓๕. สามจี ิกรรม หมายถงึ พธิ เี ชน่ ไร ? ก. งานทาบญุ อายุปกติ ข. งานทาบญุ อายใุ หญ่ ก. แสดงมทุ ิตาจติ ข. ทาวัตรสวดมนต์ ค. งานทาบญุ ต่อนาม ง. งานทาบุญวนั เกิด ค. ขอขมาโทษต่อกัน ง. อธษิ ฐานจิต ๒๕. พิธีสวดนพเคราะหส์ าหรับพระมหากษัตรยิ ์เรียกว่า ๓๖. วันพระเรียกอีกอยา่ งหนึ่งว่าวนั อะไร ? อะไร ? ก. วันอุโบสถ ข. วันวสั สูปนายกิ า ก. พธิ ีนวคั คหายุธมั ม์ ข. พิธนี วัคคหายสุ มธมั ม์ ค. วนั ธรรมสวนะ ง. วันปาฏิบท ค. พิธเี จริญอายุวฒั นะ ง. ทาบญอายุวฒั นมงคล ๓๗. ผ้าโยงจากศพเพื่อทาพิธีทอดผ้าบงั สุกุลเรียกวา่ อะไร ? ๒๖. ทาบุญต่อนามนยิ มทาแก่ผใู้ ด ? ก. ผา้ ภูษามาลา ข. ผา้ ภษู าโยง ก. คนแก่ ข. คนเจ็บ ค. ผา้ มาลาโยง ง. สายสิญจน์ ค. คนตาย ง. คนเกดิ ๓๘. วันขึน้ ๑๕ คา่ เดือน ๘ ตรงกับวันอะไร ? ๒๗. บทโพชฌังคปริตร นยิ มสวดให้ใครฟัง ? ก. วนั มาฆบูชา ข. วันวสิ าขบูชา ก. คนปว่ ย ข. คนมีเคราะห์ ค. วนั อฏั ฐมีบชู า ง. วันอาสาฬหบูชา ค. คนถูกคุณไสย ง. คนมีเจา้ กรรมนายเวร ๓๙. วันมหาปวารณาคือวันอะไร ? ๒๘. ปลูกสร้างสิ่งใดไมต่ ้องวางศิลาฤกษ์ ? ก. วันเข้าพรรษา ข. วนั ออกพรรษา ก. บ้าน ข. โบสถ์ ค. วันตักบาตรเทโว ง. วนั ลอยกระทง ค. สานกั งาน ง. อนสุ าวรีย์ ๔๐. คาว่า ปจฺจตฺต เวทิตพฺโพ วิญญฺ หู ิ เปน็ บทสรรเสริญ ๒๙. พิธสี วดพระพทุ ธมนตจ์ ะจดั ขึน้ ในงานใด ? อะไร ? ก. งานแต่งงาน ข. งานเกี่ยวกบั คนตาย ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระธรรม ค. งานขึน้ บ้านใหม่ ง. งานทาบญุ วนั เกิด ค. พระสงฆ์ ง. ถกู ทกุ ข้อ ๓๐ ในพิธีรดน้าศพจะทาสง่ิ ใดเป็นขั้นตอนสุดท้าย ? ๔๑. การถวายผ้าวสั สิกสาฎกนยิ มถวายในโอกาสใด ? ก. แตง่ หนา้ ศพ ก. วันขน้ึ ปีใหม่ ข. วันเถลิงศก ข. รดนา้ ศพ ค. วันสงกรานต์ ง. วนั เขา้ พรรษา ค. บรรจศุ พลงหบี ๔๒. การสวดพระอภธิ รรม จดั เขา้ ในศาสนพธิ ใี ด ? ง. อาบน้าหลวงพระราชทาน ก. กศุ ลพิธี ข. บุญพิธี ๓๑. สิ่งใดไม่จาเป็นตอ้ งใช้ในงานสวดพระอภธิ รรมศพ ? ค. ทานพิธี ง. ปกณิ ณกะ ก. ภูษาโยง ข. ตูพ้ ระอภิธรรม ๔๓. ผา้ ปา่ เรยี กวา่ อกี อย่างหนึ่งวา่ อะไร ? ค. ผ้าบงั สกุ ลุ ง. ขันนา้ มนต์ ก. ผา้ บังสุกลุ ข. ผ้าภูษาโยง ๓๒. สดับปกรณ์ หมายถงึ การฟงั สวดอะไร ? ค. ผา้ มาลาโยง ง. ผา้ กฐนิ ก. สวดพระอภธิ รรม ข. สวดมาติกา ๔๔. การทาวัตรสวดมนต์ มคี วามมงุ่ หมายอย่างไร ? ค. สวดบังสุกลุ ง. สวดเจด็ ตานาน ก. เป็นการละกเิ ลส ข. เป็นอุบายสงบจิต ๓๓. สวดแจง หมายถึงการสวดแจกแจงเกยี่ วกบั เรื่องใด ? ค. ขอพรส่งิ ศักด์ิสิทธ์ิ ง. เห็นแจ้งในกองทุกข์ ก. พระอภธิ รรม ข. บุญ-บาป ๔๕. คานมสั การพระรัตนตรัย เรม่ิ ต้นด้วยคาว่าอะไร ? ค. พระธรรมวินัย ง. โลกนี้ โลกหนา้ ก. นโม ตสฺส ภควโต ๓๔. พธิ สี ามหาบ จะทากนั ในวันใด ? ข. อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา ก. วันรดน้าศพ ข. วันเผาศพ ค. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม ค. วนั เก็บอัฐิ ง. วนั ทาบุญฉลองอัฐิ ง. สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ
๕๒ ๔๖. การยนิ ยอมใหว้ ่ากล่าวตักเตือนกันได้ เรียกวา่ อะไร ? ๕๗. ขอ้ ใดคือลักษณะของผา้ บงั สุกลุ จีวร ? ก. การขอขมา ข. การทาวัตร ก. ผา้ ที่เขาตากไว้ ข. ผา้ ทีเ่ ขาลืมเกบ็ ค. สามจี กิ รรม ง. ปวารณากรรม ค. ผา้ ทีเ่ ขาถวาย ง. ผ้าท่ีเขาท้งิ ๔๗. อุโบสถกรรมทพ่ี ระภิกษรุ ่วมกนั ทา ๔ รูปขึ้นไปเรยี กว่า ๕๘. ผา้ ป่าทีช่ าวบ้านแถบรมิ คลองนยิ มทาคือผ้าป่าชนดิ ใด ? อะไร ? ก. ผา้ ป่าโยง ข. ผา้ ป่าหาง ก. ศลี อุโบสถ ข. อธษิ ฐานอุโบสถ ค. ผา้ ปา่ สามคั คี ง. ผ้าป่าชลมารค ค. ปาริสุทธิอโุ บสถ ง. สังฆอโุ บสถ ๕๙. กฐิน มีความหมายตรงกับข้อใด ? ๔๘. ข้อใด เป็นอานภุ าพของพระปริตร ? ก. ไมก้ ระถนิ ข. ไม้สะดึง ก. รา่ รวยเงนิ ทอง ข. อายยุ ืน ค. ไมส้ ะดือ ง. ไม้สะเดา ค. ขจดั ทกุ ข์ภยั โรค ง. เจริญด้วยยศศกั ด์ิ ๖๐. แรม ๑ คา่ เดอื น ๑๑ ถงึ ขึน้ ๑๕ ค่าเดือน ๑๒เรยี กวา่ ? ๔๙. ทกั ษณิ านปุ ระทาน มีความหมายตรงกับข้อใด ? ก. กฐินกาล ข. กฐินกรรม ก. ทาบญุ วนั เกดิ ข. ทาบุญอายุ ค. กฐนิ เขต ง. กฐินกาหนด ค. ทาบญุ ข้นึ บ้านใหม่ ง. ทาบญุ ให้ผ้ตู าย ๖๑. วัดทจ่ี ะรบั กฐินไดต้ ้องมีพระจาพรรษาอย่างนอ้ ยก่รี ปู ? ๕๐. การทาบญุ สตมวาร หมายถงึ การทาบุญครบวนั ตาย ก. ๓ รปู ข. ๔ รปู ก่ีวัน ? ค. ๕ รูป ง. ๑๐ รูป ก. ๗ วัน ข. ๕๐ วัน ๖๒. กฐินท่ีชาวบ้านถวายตามวดั ทว่ั ไป เรยี กวา่ อะไร ? ค. ๑๐๐ วนั ง. ๓๖๕ วนั ก. กฐนิ หลวง ข. กฐนิ พระราชทาน ๕๑. สวดมาตกิ าบังสุกุลในงานพระราชพิธเี รียกว่าอย่างไร ? ค. กฐนิ ต้น ง. กฐินราษฎร์ ก. สวดแจง ข. สดับปกรณ์ ๖๓. กฐนิ ท่ีนาไปถวายวัดโดยมิได้บอกกล่าวเรียกว่าอะไร ? ค. สวดมาติกา ง. สวดพระอภิธรรม ก. กฐนิ หลวง ข. กฐนิ ตน้ ๕๒. เทศน์มหาชาติ เปน็ การเทศน์ชาดกใด ? ค. กฐนิ โจร ง. กฐินราษฎร์ ก. มโหสถ ข. สุวรรณสาม ๖๔. ผู้ท่ีสามารถถวายกฐินหลวงได้คือใคร ? ค. มหาเวสสันดร ง. มหาชนก ก. พระเจา้ แผน่ ดิน ข. พระบรมวงศานวุ งศ์ ๕๓. การฟงั เทศน์ จดั เป็นการบาเพ็ญกศุ ลอยา่ งหนงึ่ เรียกว่า ค. ผทู้ ีไ่ ดร้ ับพระราชทาน ง. ถกู ทกุ ข้อ อะไร ? ๖๕. สามเณรองคแ์ รกในพระพทุ ธศาสนาคือใคร ? ก. ทานมยั ข. สลี มัย ก. สามเณรราหุล ข. สามเณรบณั ฑิต ค. ธมั มสั สวนมยั ง. ธมั มเทสนามยั ค. สามเณรสานุ ง. สามเณรสังกจิ จะ ๕๔. ลอยกระทงตามประทีป ทาเพ่ือบูชาสิ่งใด ? ๖๖. ผ้ทู ีบ่ วชเป็นสามเณรแลว้ จะตอ้ งรักษาศีลก่ีข้อ ? ก. รอยพระพทุ ธบาท ข. แมพ่ ระคงคา ก. ๕ ข้อ ข. ๘ ขอ้ ค. บรรพบรุ ุษ ง. ข้อ ก และ ข ถกู ค. ๑๐ ขอ้ ง. ๒๒๗ ข้อ ๕๕. ลอยกระทงตามประทีป จดั ข้ึนตรงกบั วันใด ? ๖๗. ผู้ที่อุปสมบทเปน็ พระภกิ ษุได้ต้องมีอายุเท่าไร ? ก. วันเพ็ญ เดอื น ๓ ข. วนั เพ็ญ เดือน ๖ ก. ๗ ปขี ้ึนไป ข. ๑๕ ปขี น้ึ ไป ค. วนั เพญ็ เดือน ๘ ง. วนั เพญ็ เดอื น ๑๒ ค. ๒๐ ปีข้นึ ไป ง. ๒๕ ปีขึ้นไป ๕๖. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ดุ มุ่งหมายของการลอยกระทง ? ๖๘. ข้อใด ไมจ่ ดั เขา้ ในบริขาร ๘ ของพระ ? ก. บูชารอยพระพทุ ธบาท ข. ใหร้ จู้ ักคณุ คา่ ของนา้ ก. สบง ข. จวี ร ค. ให้กตัญญูต่อธรรมชาติ ง. ส่งเสรมิ การทอ่ งเท่ียว ค. บาตร ง. รองเทา้
๕๓ ๖๙. คาว่า ภกิ ษุ มีความหมายตรงกบั ข้อใด ? ก. ผูบ้ วชแล้ว ข. ผ้ขู อ ค. ผเู้ ว้นบาป ง. ผูป้ ระเสรฐิ ๗๐. ผา้ ป่าในสมยั พุทธกาล คือผ้าชนิดใด ? ก. ผ้าวัสสกิ สาฎก ข. ผา้ อาบน้าฝน ค. ผา้ บงั สุกลุ จวี ร ง. ผ้าอจั เจกจีวร ๗๑. การทอดกฐิน หมดเขตกลางเดอื นใด ? ก. เดือน ๑๑ ข. เดอื น ๑๒ ค. เดอื นอ้าย ง. เดอื นย่ี ๗๒. เวจกฎุ ี หมายถงึ สถานทีใ่ ด ? ก. ห้องนอน ข. หอ้ งรบั แขก ค. ห้องพยาบาล ง. ห้องสุขา ๗๓. การทาบุญต่อนาม หมายถงึ อะไร ? ก. งานทาบญุ ในบัน้ ปลายชวี ิต ข. งานทาบญุ ทญ่ี าตจิ ัดให้ผ้ปู ่วย ค. งานทาบุญครบรอบอายุ ง. งานทาบุญอุทศิ สว่ นกุศลแก่ผลู้ ่วงลบั ๗๔. ธัมมจกั กปั ปวัตตนสตู ร นยิ มสวดในงานอะไร ? ก. มงคลสมรส ข. ทาบญุ อายุครบรอบ ค. ข้ึนบา้ นใหม่ ง. ฉลองพระบวชใหม่ ๗๕. ทักษณิ านปุ ระทาน หมายถึง การทาบุญอะไร ? ก. สะเดาะเคราะห์ ข. ขึ้นบา้ นใหม่ ค. อุทิศสว่ นกศุ ล ง. คล้ายวนั เกดิ ๗๖. กฐนิ ที่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวฯ เสด็จพระราช ดาเนินไปพระราชทานยังวดั ราษฎร์เปน็ การส่วนพระองค์ เรยี กวา่ อะไร ? ก. กฐินหลวง ข. กฐนิ ราษฎร์ ค. กฐนิ พระราชทาน ง. พระกฐินตน้ ๗๗. ผา้ ปา่ ในสมยั พุทธกาล เรียกวา่ อะไร ? ก. ผ้าบังสุกุลจีวร ข. ผ้าอาบนา้ ฝน ค. ผ้าอัจเจกจวี ร ง. ผา้ วัสสกิ สาฎก ๗๘. ผ้าวสั สิกสาฎก คอื ผ้าเชน่ ไร ? ก. ผ้าเชด็ หน้า ข. ผา้ เช็ดเทา้ ค. ผา้ อาบน้าฝน ง. ผ้าปูน่ัง
๕๔ แนวขอ้ สอบธรรมศกึ ษาชั้นโท วชิ าอุโบสถศีล ๑๑. อุโบสถ แปลวา่ อะไร ? เลือกคำตอบที่ถกู ต้องเพียงข้อเดียว ก. การจาพรรษา ข. การเข้าจา ๑. ศีลทาให้เกิดความเรยี บร้อยทางวาจา ตรงกบั ขอ้ ใด ? ค. การจาศลี ง. การจาวัด ก. คิดดี ข. พูดดี ๑๒. อุโบสถศีล หมายถงึ ศีลอะไร ? ค. ทาดี ง. ใจดี ก. ศีล ๕ ข. ศลี ๘ ๒. ทพ่ี งึ่ สูงสดุ ของชาวพทุ ธ คือข้อใด ? ค. ศลี ๑๐ ง. ศลี ๒๒๗ ก. พระคัมภีร์ ข. พระสงฆ์ ๑๓. ผรู้ ักษาอุโบสถศลี พึงปฏิบตั ติ นอย่างไร ? ค. พระไตรปิฎก ง. พระรตั นตรยั ก. ดูหนงั ข. ฟงั เพลง ๓. ข้อใด เป็นสาเหตุแห่งการขาดสรณคมน์ ? ค. ฟังเทศน์ ง. เล่นดนตรี ก. ทาลายเจดยี ์ ข. ตัดเศยี รพระ ๑๔. ข้อใด ไมต่ รงกบั วนั ในปฏิชาครอุโบสถ ? ค. เผาตารา ง. ตาย ก. วันรบั ข. วันสง่ ๔. ยยุ งใหส้ งฆ์แตกแยกกนั เป็นความเศรา้ หมองในดา้ นใด ? ค. วนั รักษา ง. วนั ลา ก. ความไม่รู้ ข. ความรู้ผดิ ๑๕. สงฺฆ ในประโยควา่ สงฺฆ สรณ คจฺฉามิ หมายถึงใคร ? ค. ความสงสยั ง. ความไม่เออ้ื เฟื้อ ก. อริยสงฆ์ ข. สาวกสงฆ์ ๕. ปุญญฺ กฺเขตตฺ โลกสสฺ กลา่ วสรรเสริญคุณของใคร ? ค. สมมตสิ งฆ์ ง. ประธานสงฆ์ ก. พระพุทธ ข. พระธรรม ๑๖. องคท์ ีท่ าให้อโุ บสถศีลข้อปาณาติบาตขาด คือ ขอ้ ใด ? ค. พระสงฆ์ ง. พระไตรปฎิ ก ก. สัตว์มีชีวิต ข. รู้วา่ สัตวม์ ีชวี ติ ๖. โลกวทิ ู กล่าวสรรเสริญคณุ ของใคร ? ค. จติ คิดจะฆ่า ง. สัตวต์ าย ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระธรรม ๑๗. ปาณะในอโุ บสถศีลข้อที่ ๑ หมายถึงอะไร ? ค. พระสงฆ์ ง. พระอรหันต์ ก. สัตวม์ ชี ีวติ ข. สิ่งของ ๗. สรณะ มีความหมายวา่ กาจัดสงิ่ ใด ? ค. เครอื่ งประดับ ง. เตียงต่ัง ก. ภัย ข. โรค ๑๘. อโุ บสถศีลข้อ ๑ ห้ามทาเรอื่ งใด ? ค. ศตั รู ง. คูแ่ ข่ง ก. ฆา่ สัตว์ ข. ลกั ทรพั ย์ ๘. สรณคมน์ หมายถึง การยอมรับส่งิ ใดเป็นท่ีพึ่ง ? ค. พดู เทจ็ ง. รอ้ งเพลง ก. ไตรรตั น์ ข. ไตรสิกขา ๑๙. อุโบสถศีลขอ้ ใด สอนใหเ้ หน็ ความสาคญั ในทรพั ย์สนิ ? ค. ไตรปฎิ ก ง. ไตรลักษณ์ ก. ข้อท่ี ๒ ข. ข้อที่ ๓ ๙. ความเช่ือเช่นไร เป็นเหตุให้สรณคมน์เศร้าหมอง ? ค. ข้อท่ี ๗ ง. ข้อท่ี ๘ ก. กรรม ข. บาป ๒๐. ขอ้ ใด เปน็ องคข์ องอโุ บสถศลี ข้ออทินนาทาน ? ค. บุญ ง. โชคลาง ก. พยายามฆ่า ข. พยายามลกั ๑๐. พรหมายุพราหมณ์ ถงึ พระรตั นตรัยวา่ เป็นสรณะ ด้วย ค. พยายามกลนื ง. พยายามดืม่ วิธใี ด ? ๒๑. อโุ บสถศลี ขอ้ ใด ขาดเพราะใชผ้ ้อู ่นื ทา ? ก. สมาทาน ก. ข้อที่ ๒ ข. ข้อท่ี ๓ ข. มอบตนเป็นสาวก ค. ขอ้ ท่ี ๔ ง. ข้อที่ ๕ ค. ทมุ่ เทความเล่ือมใส ๒๒. ขอ้ ใด ไม่ใช่องค์ของอุโบสถศีลข้ออทินนาทาน ? ง. ปฏิบตั ิหนา้ ทพ่ี ทุ ธบริษัท ก. ของมเี จ้าของ ข. จิตคิดจะลัก ค. พยายามลกั ง. จิตคิดจะเสพ
๕๕ ๒๓. อโุ บสถศลี ข้อใด ห้ามลว่ งละเมดิ ทรัพยส์ นิ ของคนอ่นื ? ๓๕. หลงั เทีย่ งวันในอโุ บสถศีลข้อที่ ๖ เรียกว่าอะไร ? ก. ขอ้ ท่ี ๒ ข. ข้อท่ี ๔ ก. กาล ข. วิกาล ค. ขอ้ ท่ี ๖ ง. ขอ้ ที่ ๘ ค. ยคุ ง. สมัย ๒๔. ผูร้ ักษาอุโบสถศลี ข้อ ๓ หา้ มเร่ืองใด ? ๓๖. ผ้รู กั ษาอุโบสถศลี ข้อที่ ๖ ควรรบั ประทานอาหารใน ก. เสพกาม ข. พูดโกหก เวลาใด ? ค. ดมื่ สรุ า ง. ฟ้อนรา ก. เช้าถึงเทย่ี ง ข. หลังเทีย่ ง ๒๕. ข้อใด เปน็ องค์ของอุโบสถศีลข้อท่ี ๓ ? ค. บา่ ยถึงเยน็ ง. กลางคนื ก. จติ คิดจะฆ่า ข. จิตคดิ จะลัก ๓๗. อุโบสถศีลขอ้ ๖ บญั ญตั ิไวเ้ พื่อตดั ความกังวลเรื่องใด ? ค. จติ คดิ จะเสพ ง. จติ คิดจะด่ืม ก. พูด ข. กิน ๒๖. อโุ บสถศลี ข้อที่ ๓ ขาดลงเพราะประพฤตผิ ดิ ทางใด ? ค. น่ัง ง. นอน ก. กาย ข. วาจา ๓๘. ข้อใด เป็นองค์แห่งอุโบสถศลี ข้อ ๖ ? ค. ใจ ง. วาจา ใจ ก. สตั วต์ าย ข. เรอ่ื งไมจ่ ริง ๒๗. การไมป่ ระพฤตลิ ว่ งอสทั ธรรมตรงกับอุโบสถศลี ขอ้ ใด ? ค. กลืนกิน ง. ดูการละเลน่ ก. ขอ้ ท่ี ๓ ข. ขอ้ ท่ี ๔ ๓๙. อโุ บสถศลี ข้อ ๗ บัญญตั ิไวเ้ พือ่ ตัดความกังวลเร่ืองใด ? ค. ขอ้ ที่ ๕ ง. ข้อท่ี ๖ ก. สนทนา ข. อาหาร ๒๘. ผูร้ ักษาอุโบสถศีลข้อที่ ๔ ไมพ่ งึ สนทนากนั เร่ืองใด ? ค. แต่งตัว ง. ทน่ี อน ก. ศีลธรรม ข. บญุ บาป ๔๐. ขอ้ ใด เป็นองค์ของอโุ บสถศลี ข้อที่ ๗ ? ค. ผลกรรม ง. ดวงชะตา ก. ของมึนเมา ข. กลนื กนิ ๒๙. อโุ บสถศีลขอ้ ๔ บัญญัติข้ึนเพื่อให้ระมัดระวังเรื่องใด ? ค. ดหู รอื ฟงั ง. ท่ีนอนสงู ก. การพดู ข. การกนิ ๔๑. ข้อใด เปน็ ข้าศึกต่อการรักษาอโุ บสถศลี ข้อท่ี ๗ ? ค. การแต่งตัว ง. การนอน ก. สวดมนต์ ข. ใหพ้ ร ๓๐. อุโบสถศีลขอ้ ใด ขาดเพราะประพฤติผดิ ทางวาจา ? ค. สอนธรรม ง. ฟ้อนรา ก. ข้อท่ี ๔ ข. ข้อที่ ๕ ๔๒. คาว่า คีตะ ในอโุ บสถศีลขอ้ ท่ี ๗ หมายถงึ อะไร ? ค. ขอ้ ที่ ๖ ง. ขอ้ ที่ ๗ ก. ฟ้อนรา ข. ขบั รอ้ ง ๓๑. ขอ้ ใด เปน็ องค์แหง่ มุสาวาท ? ค. ประโคม ง. ประดับ ก. สตั วม์ ีชีวิต ข. เร่ืองไมจ่ ริง ๔๓. การทัดทรงดอกไม้ เปน็ ข้อหา้ มในอโุ บสถศีลข้อใด ? ค. พยายามดม่ื ง. ดหู รอื ฟัง ก. ข้อที่ ๕ ข. ขอ้ ท่ี ๖ ๓๒. เหตแุ ห่งความประมาทในอุโบสถศีลข้อ ๕ คือข้อใด ? ค. ข้อท่ี ๗ ง. ขอ้ ที่ ๘ ก. ฆา่ สตั ว์ ข. ลกั ทรพั ย์ ๔๔. อุโบสถศลี ขอ้ ที่ ๘ เก่ยี วข้องกบั อิริยาบถใด ? ค. พูดปด ง. ด่มื น้าเมา ก. ยนื ข. เดิน ๓๓. องคท์ ีท่ าให้อโุ บสถศีลข้อท่ี ๕ ขาด คือขอ้ ใด ? ค. นง่ั ง. วิ่ง ก. น้าเมา ข. จติ คิดจะด่ืม ๔๕. ผู้รักษาอุโบสถศลี ข้อที่ ๘ ขาดเพราะทาเร่ืองใด ? ค. พยายามด่มื ง. ดื่มล่วงลาคอ ก. ยืนบนโต๊ะ ข. เดนิ บนเตยี ง ๓๔. ที่นอนประเภทใด อนญุ าตสาหรับผ้รู กั ษาศลี อุโบสถ ? ค. น่งั บนตงั่ สูง ง. นอนบนผ้าขาว ก. ท่นี อนยัดสาลี ข. ที่นอนยดั นุน่ ๔๖. ผู้นับถอื พระพุทธศาสนา ควรยดึ สิ่งใดเป็นสรณะ ? ค. ทน่ี อนยดั ใบไม้ ง. ที่นอนยดั ขนแกะ ก. พระคัมภีร์ ข. พระสงฆ์ ค. พระไตรปฎิ ก ง. พระรตั นตรยั
๕๖ ๔๗. ท่พี ึ่งสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา ตรงกบั ข้อใด ? ๕๙. คาวา่ สุคโต หมายถงึ คณุ ของใคร ? ก. พระรัตนตรยั ข. พระคัมภีร์ ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระธรรม ค. พระพทุ ธรปู ง. พระเจดยี ์ ค. พระสงฆ์ ง. พระอรหนั ต์ ๔๘. ก่อนสมาทานศีล พงึ เปล่งวาจาถึงส่ิงใดวา่ เป็นสรณะ ? ๖๐. คาวา่ เอหปิ สสฺ โิ ก กลา่ วเพอื่ สรรเสริญรตั นะใด ? ก. พระรตั นตรยั ข. สิ่งศักด์สิ ิทธ์ิ ก. พุทธรตั นะ ข. ธรรมรัตนะ ค. พระพรหม ง. พระภมู ิเจา้ ที่ ค. สังฆรตั นะ ง. ไตรรัตน์ ๔๙. พระรัตนตรยั มีความสาคัญต่อชาวพุทธ เพราะเหตุใด ? ๖๑. ธรรมย่อมรกั ษาผู้ประพฤตอิ ยา่ งไร ? ก. เปน็ ท่ีอ้อนวอน ข. เป็นสง่ิ ศักด์ิสิทธิ์ ก. ใหม้ ีชอื่ เสยี ง ข. ให้คนยกย่อง ค. เปน็ ที่พ่ึงท่รี ะลึกทางใจ ง. เป็นท่พี ่ึงทางกาย ค. ให้คนนับถือ ง. ไม่ให้ตกไปท่ชี วั่ ๕๐. ขน้ั ตอนใด ทาต่อจากการประกาศอโุ บสถ ? ๖๒. ผูป้ ฏบิ ัติตามพระธรรมย่อมได้รบั ผลเชน่ ใด ? ก. บชู าพระรัตนตรัย ข. อาราธนาศีล ก. ไมต่ กอบาย ข. ไมต่ ามคนชวั่ ค. รบั สรณคมน์ ง. สมาทานศลี ค. ไมช่ ดใชก้ รรม ง. ไม่กลวั บาป ๕๑. อชฺชโภนโฺ ต ปกฺขสสฺ ....เปน็ คาอะไร ? ๖๓. คณุ ของพระสงฆ์ ตรงกบั ข้อใด ? ก. บูชาพระ ข. อาราธนา ก. เปน็ ผู้จาแนกธรรม ข. เปน็ ผู้รู้แจง้ โลก ค. ประกาศ ง. สมาทาน ค. เปน็ ผู้ตน่ื ง. เปน็ ผปู้ ฏิบตั ชิ อบ ๕๒. ผสู้ มาทานรกั ษาศลี อโุ บสถ พึงงดเว้นเร่ืองใด ? ๖๔. สรณะ มคี วามหมายวา่ กาจดั สง่ิ ใด ? ก. เลา่ ชาดก ข. ฟงั เทศน์ ก. กาจดั ภัย ข. กาจัดโรค ค. ฟังเพลง ง. สวดมนต์ ค. กาจดั ศตั รู ง. กาจดั ค่แู ข่ง ๕๓. สถานที่ใด ไมเ่ หมาะสมเพ่อื เข้าจาอโุ บสถ ? ๖๕. วธิ ถี ึงสรณคมน์ท่ีมนั่ คงที่สดุ ตรงกับข้อใด ? ก. วัด ข. ปา่ ช้า ก. สมาทาน ค. ถ้า ง. บอ่ น ข. มอบตนเป็นสาวก ๕๔. อุโบสถใด กาหนดให้รกั ษาตลอดวนั หนงึ่ กบั คนื หน่งึ ? ค. ทมุ่ เทความเลื่อมใส ก. ปฏชิ าครอโุ บสถ ข. ปกติอุโบสถ ง. ปฏิบัติหนา้ ท่ีพทุ ธบรษิ ัท ค. ปาฏหิ าริยอโุ บสถ ง. อริยอโุ บสถ ๖๖. ขอ้ ใด เป็นสาเหตุแห่งการขาดสรณคมน์ ? ๕๕. การรักษาศีลอุโบสถ ถือเรอื่ งใดเปน็ สาคญั ? ก. ดหู ม่นิ พระ ข. ตัดเศยี รพระ ก. อาหาร ข. เสอื้ ผ้า ค. เขา้ รตี ศาสนาอืน่ ง. เผาตารา ค. ค่ารถ ง. จติ ใจ ๖๗. ขอ้ ใด จัดเป็นความเศรา้ หมองของสรณคมน์ ? ๕๖. วนั อัฏฐมี ในคาประกาศอุโบสถ หมายถงึ วนั กี่คา่ ? ก. ตาย ข. หา้ มทาบญุ ก. ๗ ค่า ข. ๘ คา่ ค. ทาร้ายพระศาสดา ง. นบั ถือศาสนาอ่ืน ค. ๑๔ ค่า ง. ๑๕ ค่า ๖๘. การไม่เชอ่ื ผลบญุ บาป เป็นความเศรา้ หมองของ ๕๗. คาว่า พุทธะ มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด ? สรณคมน์ดา้ นใด ? ก. ผรู้ ู้ ผตู้ ืน่ ผู้เบกิ บาน ข. ผ้เู สด็จไปดีแลว้ ก. ความไมร่ ู้ ข. ความรู้ผดิ ค. ผู้รแู้ จง้ โลก ง. ผจู้ าแนกธรรม ค. ความสงสัย ง. ความไมเ่ อือ้ เฟ้ือ ๕๘. พระพทุ ธเจา้ ทรงปลุกมนุษยใ์ หต้ ่นื จากอะไร ? ๖๙. การขาดสรณคมน์ในข้อใด ไมม่ โี ทษ ? ก. กิเลส ข. กรรม ก. ตาย ข. ทารา้ ยพระศาสดา ค. วิบาก ง. เวร ค. ไปนับถอื ศาสดาอืน่ ง. ไม่มขี ้อถูก
๕๗ ๗๐. เพราะเหตใุ ด การขโมยพระพุทธรูป จึงทาใหส้ รณคมน์ ๘๐. สิกขาบทท่ี ๒ แหง่ อุโบสถศลี มีคากลา่ วอย่างไร ? เศร้าหมอง ? ก. ปาณาติปาตา เวรมณี ก. เพราะความไมร่ ู้ ข. เพราะเข้าใจผดิ ข. อทินนาทานา เวรมณี ค. เพราะสงสยั ง. เพราะไมเ่ อื้อเฟอื้ ค. อพรฺ หฺมจรยิ า เวรมณี ๗๑. สรณคมนเ์ ศร้าหมอง เพราะไมเ่ อื้อเฟ้ือพระสงฆ์ ตรง ง. มสุ าวาทา เวรมณี กับข้อใด ? ๘๑. อุโบสถประเภทใด ถือเวลาเปน็ เกณฑ์ ? ก. ทาลายพระเจดีย์ ก. โคปาลกอโุ บสถ ข. ปกตอิ โุ บสถ ข. ไมส่ นใจฟงั ธรรม ค. นิคคัณฐอุโบสถ ง. อรยิ อุโบสถ ค. ยุยงใหแ้ ตกแยก ๘๒. อุโบสถประเภทใด มวี นั รับ วนั รักษา และวันสง่ ? ง. ทาลายหนังสือธรรมะ ก. โคปาลกอโุ บสถ ข. ปกติอุโบสถ ๗๒. มนุษยอ์ ยู่สงบสุขไม่เบยี ดเบยี นกันทางกายวาจา เพราะ ค. ปฏชิ าครอโุ บสถ ง. ปาฏิหาริยอุโบสถ มขี ้อใด ? ๘๓. การรักษาอโุ บสถศีลประเภทใด ถือเวลาเปน็ เกณฑ์ ? ก. ทาน ข. ศีล ก. ปกตอิ ุโบสถ ข. โคปาลกอุโบสถ ค. สมาธิ ง. ปญั ญา ค. นิคคณั ฐอโุ บสถ ง. อรยิ อโุ บสถ ๗๓. อุโบสถ แปลว่าอะไร ? ๘๔. อโุ บสถก่ึงหนง่ึ หมายถงึ อะไร ? ก. การเข้าจา ข. การหยดุ งาน ก. รักษาศีลครึ่งวนั ค. การเขา้ วดั ง. การฟงั ธรรม ข. รกั ษาศีลวันหน่งึ กับคืนหนง่ึ ๗๔. ข้อใด เปน็ จดุ ม่งุ หมายของการรักษาอโุ บสถศลี ? ค. รกั ษาศีลวันรับและวันสง่ ก. เพื่อหยุดทาการงาน ง. รกั ษาศลี ครบ ๓ วัน ข. เพื่อหาโอกาสพักผ่อน ๘๕. อุโบสถศลี ใด รกั ษาแล้วไดร้ ับผลบุญนอ้ ย ? ค. เพ่ือขัดเกลากิเลส ก. โคปาลกอุโบสถ ข. ปฏิชาครอุโบสถ ง. เพ่อื หาโอกาสฟงั ธรรม ค. อริยอุโบสถ ง. ปกตอิ ุโบสถ ๗๕. อโุ บสถศลี ตรงกบั ข้อใด ? ๘๖. อุโบสถชนดิ ใด ไมน่ ับเขา้ ในคาสอนของพระพุทธเจ้า ? ก. ศลี ๕ ข. ศลี ๘ ก. โคปาลกอโุ บสถ ข. ปกติอโุ บสถ ค. ศีล ๑๐ ง. ศลี ๒๒๗ ค. นิคคัณฐอโุ บสถ ง. อรยิ อุโบสถ ๗๖. อโุ บสถศลี มกี สี่ กิ ขาบท ? ๘๗. อโุ บสถชนดิ ใด มีอานสิ งสส์ งู สุด ? ก. ๕ สกิ ขาบท ข. ๘ สิกขาบท ก. นคิ คัณฐอโุ บสถ ข. โคปาลกอโุ บสถ ค. ๑๐ สิกขาบท ง. ๓๑๑ สิกขาบท ค. อริยอโุ บสถ ง. สามคั คอี ุโบสถ ๗๗. การรักษาอุโบสถประเภทใด ใชเ้ วลานานทส่ี ุด ? ๘๘. มานะนข้ี องเรา เม่อื เจริญขึ้นมแี ตจ่ ะนาไปส่นู รก เป็น ก. ปกติอุโบสถ ข. ปฏชิ าครอุโบสถ ความคิดของใคร ในปญั จอโุ บสถชาดก ? ค. ปาฏหิ าริยอโุ บสถ ง. อรยิ อุโบสถ ก. งู ข. สุนขั จ้ิงจอก ๗๘. อุโบสถประเภทใด รกั ษาเฉพาะวนั หนึ่งคนื หนึ่ง ? ค. หมี ง. ฤาษี ก. ปาฏิหารยิ อุโบสถ ข. ปฏชิ าครอโุ บสถ ๘๙. สงิ่ สาคัญสูงสดุ ในการรักษาอโุ บสถศีล ไดแ้ ก่ขอ้ ใด ? ค. ปกตอิ โุ บสถ ง. สามัคคอี ุโบสถ ก. อาหาร ข. สถานท่ี ๗๙. อโุ บสถประเภทใด นยิ มรักษากนั มากที่สุด ? ค. เวลา ง. ความตัง้ ใจ ก. ปกตอิ โุ บสถ ข. ปฏิชาครอุโบสถ ค. ปาฏิหาริยอุโบสถ ง. นิคคัณฐอุโบสถ
๕๘ ๙๐. คาว่า อิม อฏฺฐงฺคสมนนฺ าคต... เป็นคาอะไร ? ๑๐๑. อุโบสถศลี ขอ้ ใด ป้องกันการล่วงละเมดิ ในทรพั ยส์ นิ ก. คาอาราธนา ข. รับศลี ของคนอน่ื ? ค. สมาทานอโุ บสถ ง. บอกอานิสงส์ ก. ขอ้ ๒ ข. ข้อ ๔ ๙๑. การรักษาอุโบสถศีล เริ่มต้นดว้ ยพธิ ใี ด ? ค. ข้อ ๖ ง. ขอ้ ๘ ก. บชู าพระ ข. ประกาศอโุ บสถ ๑๐๒. ผู้รกั ษาอุโบสถศีลขอ้ ๓ ต้องงดเว้นเรอื่ งใด ? ค. อาราธนาศลี ง. สมาทานศลี ก. ฆ่าสตั ว์ ข. ลักทรัพย์ ๙๒. ขณะรกั ษาอโุ บสถศลี ควรปฏบิ ตั ติ นตามข้อใด ? ค. เสพกาม ง. ด่ืมสุรา ก. ดูละคร ข. คุยโทรศพั ท์ ๑๐๓. อโุ บสถศีลขอ้ ๔ หา้ มทาเร่อื งใด ? ค. ฟังเพลง ง. ฟังเทศน์ ก. ฆ่าสตั ว์ ข. ลักทรพั ย์ ๙๓. ขอ้ ใด ไม่เกี่ยวข้องกบั การรกั ษาอโุ บสถศลี ? ค. พูดเท็จ ง. ขบั ร้อง ก. บูชาพระ ข. ประกาศอโุ บสถ ๑๐๔. องคท์ ท่ี าให้อุโบสถศลี ข้อ ๔ ขาด คือข้อใด ? ค. อาราธนาศีล ง. อาราธนาพระปริตร ก. เรอ่ื งไมจ่ รงิ ข. คดิ จะพูดให้ผดิ ๙๔. ปญั จอุโปสถชาดก งสู มาทานอุโบสถเพ่ือข่มกิเลสใด ? ค. พยายามพดู ง. คนอ่นื เขา้ ใจ ก. ความรัก ข. ความโลภ ๑๐๕. ถอ้ ยคาทไี่ ม่ควรนามาพูดในขณะรักษาอุโบสถศีล ค. ความโกรธ ง. ความหลง ไดแ้ ก่ขอ้ ใด ? ๙๕. ผูร้ ักษาอุโบสถศลี พึงปฏิบตั ิตนอย่างไร ? ก .อนุโมทนากถา ข. ติรัจฉานกถา ก. น่ังสมาธิ ข. ฟังเทศน์ ค. อนปุ ุพพกี ถา ง. สลี กถา ค. สวดมนต์ ง. ถกู ทกุ ขอ้ ๑๐๖. เครื่องดมื่ ที่ใดจัดเป็นสิ่งมึนเมาในอโุ บสถศีลข้อ ๕ ? ๙๖. โบราณกบณั ฑติ รักษาอุโบสถ เพื่อจดุ ประสงค์ใด ? ก. นา้ ชา ข. กาแฟ ก. ปลีกวิเวก ข. ข่มกิเลส ค. นา้ มะตูม ง. เมรยั ค. ทรมานกาย ง. หนคี วามวุ่นวาย ๑๐๗. องค์ทท่ี าให้อุโบสถศีลข้อ ๕ ขาด คือข้อใด ? ๙๗. คาวา่ วางท่อนไม้ในอโุ บสถสตู รหมายความว่าอยา่ งไร ? ก. นา้ เมา ข. จิตคิดจะดื่ม ก. งดฆ่าสัตว์ ข. งดลักทรพั ย์ ค. พยายามด่ืม ง. ดมื่ ให้ลว่ งลาคอ ค. งดจปี้ ลน้ ง. งดคบคนพาล ๑๐๘. สิ่งเปน็ ปฏิปกั ขต์ ่ออุโบสถศีลขอ้ ๕ คืออะไร ? ๙๘. อโุ บสถศลี ข้อใด สอนให้เห็นความสาคัญในชีวิตตน ก. นา้ หอม ข. สรุ าเมรัย และคนอืน่ ? ค. ดอกไม้ ง. ทนี่ อนสงู ก. ข้อ ๑ ข. ข้อ ๒ ๑๐๙. อุโบสถศีลขอ้ ใด ขาดเพราะรับประทานอาหารใน ค. ข้อ ๔ ง. ขอ้ ๖ เวลาวิกาล ? ๙๙. ขอ้ ใด ไม่ใช่องค์ของอุโบสถศีลขอ้ อทินนาทาน ? ก. ขอ้ ๓ ข. ข้อ ๔ ก. จติ คิดจะฆ่า ข. จติ คิดจะลัก ค. ขอ้ ๕ ง. ข้อ ๖ ค. วัตถมุ ีเจา้ ของ ง. พยายามลกั ๑๑๐. ผู้รักษาอุโบสถศีล ตอ้ งรับประทานอาหารให้เสร็จ ๑๐๐. อโุ บสถศีลข้อ ๒ บัญญัตขิ ้นึ เพ่ือให้ผรู้ กั ษาเปน็ คน ก่อนเวลาใด ? เชน่ ไร ? ก. เที่ยงคนื ข. เท่ยี งวนั ก. ไมโ่ หดรา้ ย ข. ไมพ่ ูดเทจ็ ค. บ่ายโมง ง. ย่าค่า ค. ไม่เลยี้ งชพี ทางผิด ง. ไมด่ หู มิน่ คู่ครอง ๑๑๑. อุโบสถศลี ข้อ๖บญั ญตั ิ เพือ่ ตัดความกังวลเร่อื งใด ? ก. การกิน ข. การแตง่ ตวั ค. การฟ้อนรา ง. การขับร้อง
๕๙ ๑๑๒. ข้อใด เปน็ องค์แหง่ อุโบสถศลี ข้อ ๖ ? ๑๒๓. อโุ บสถศีลข้อที่ ๓ ม่งุ ใหค้ นละกิเลสข้อใด ? ก. พยายามฆ่า ข. พยายามลัก ก. มานะ ข. ราคะ ค. พยายามกลืนกิน ง. พยายามเสพ ค. โทสะ ง. ทฏิ ฐิ ๑๑๓. ผู้รักษาอุโบสถศีลข้อ ๗ ต้องงดเวน้ อะไร ? ๑๒๔. การล่วงละเมดิ อโุ บสถศลี ขอ้ ที่ ๔ เกิดข้นึ ได้ทางใด ? ก. อาหารคา่ ข. พดู คาหยาบ ก. กายกับวาจา ข. กายกับใจ ค. ร้องเพลง ง. ดื่มนา้ เมา ค. วาจากบั ใจ ง. กายวาจาและใจ ๑๑๔. การละเล่น มฟี อ้ นรา เปน็ องค์แหง่ อุโบสถศีลข้อใด ? ๑๒๕. การล่วงละเมดิ อุโบสถศลี ขอ้ ท่ี ๔ มโี ทษอยา่ งไร ? ก. ข้อ ๕ ข. ขอ้ ๖ ก. เสียสติ ข. ขาดคนเช่อื ถือ ค. ข้อ ๗ ง. ขอ้ ๘ ค. ถกู ทาร้าย ง. คนคดิ ปองร้าย ๑๑๕. ขณะรักษาอโุ บสถศีลต้องละเว้นเคร่ืองไลท้ าชนดิ ใด ? ๑๒๖. เครอื่ งด่มื ต้องห้ามในอโุ บสถศีลขอ้ ๕ ตรงกับข้อใด ? ก. ครมี ทากนั ยุง ข. ครมี บารงุ ผิว ก. กาแฟ ข. เมรยั ค. ครีมแก้คัน ง. ครีมดบั กล่นิ ตวั ค. นา้ ชา ง. นา้ อัดลม ๑๑๖. อโุ บสถศลี ขอ้ ๘บัญญัติขน้ึ เพื่อตดั ความกังวลเร่อื งใด ? ๑๒๗. การรักษาอุโบสถศีลข้อท่ี ๕ มุง่ ถึงประโยชนเ์ รื่องใด ? ก. การบรโิ ภค ข. การน่งั นอน ก. ความสามัคคี ข. ความสัตย์ ค. การแต่งตวั ง. การสนทนา ค. ความไม่ประมาท ง. ความมนี ้าใจ ๑๑๗. ทน่ี อนประเภทใดอนุญาตสาหรบั ผรู้ ักษาอุโบสถศลี ? ๑๒๘. อโุ บสถศีลขอ้ ที่ ๖ ไม่ใหท้ าเร่อื งใดในเวลาวกิ าล ? ก. ท่นี อนยดั นุ่น ข. ทน่ี อนยัดสาลี ก. ประพฤติผดิ พรหมจรรย์ ข. กินของขบเค้ยี ว ค. ทน่ี อนวิจติ ร ง. ที่นอนยดั ใบไม้ ค. ประดบั ตกแต่งกาย ง. นอนทนี่ อนสงู ใหญ่ ๑๑๘. คาว่า ปาณะ ในปาณาตบิ าตนั้น ตรงกับขอ้ ใด ? ๑๒๙. การรักษาอุโบสถศลี ขอ้ ที่ ๖ เพ่อื บรรเทากิเลสข้อใด ? ก. สัตว์ ข. เทวดา ก. วจิ ิกจิ ฉา ข. กามราคะ ค. เปรต ง. อสรู กาย ค. พยาบาท ง. มานะ ทฏิ ฐิ ๑๑๙. อโุ บสถศลี ข้อท่ี ๑ ขาดลง เพราะองค์แหง่ ศลี ข้อใด ? ๑๓๐. ผรู้ กั ษาอุโบสถศีล ตอ้ งเวน้ การดูการละเล่น เพราะ ก. สัตวม์ ชี วี ิต ข. จติ คดิ จะฆา่ เหตใุ ด ? ค. มคี วามพยายาม ง. สัตว์ตายดว้ ยพยายาม ก. เปน็ ข้าศกึ แกฌ่ าน ข. เปน็ ข้าศึกแกส่ มาบัติ ๑๒๐. โทษของการล่วงละเมิดศลี ขอ้ ท่ี ๑ ตรงกับข้อใด ? ค. เปน็ ขา้ ศกึ แก่กุศล ง. เปน็ ข้าศกึ แก่อกศุ ล ก. เสยี สติ ข. อายุสั้น ๑๓๑. การไล้ทาของหอมเพ่ือจุดมงุ่ หมายใด ไดช้ ่ือว่าไม่ลว่ ง ค. ยากจน ง. คนนินทา ละเมิด อโุ บสถศีล ข้อท่ี ๗ ? ๑๒๑. เจตนาล่วงละเมิดอโุ บสถศลี ข้อท่ี ๒ ตรงกบั ขอ้ ใด ? ก. เพื่อรักษาโรค ข. เพ่ือให้มกี ล่ินหอม ก. ทาสตั ว์มีชีวิตใหต้ กลว่ งไป ค. เพอื่ ใหส้ วยงาม ง. เพ่ือใหส้ บายตัว ข. ถือเอาทรัพย์ทเี่ ขาไม่ไดใ้ ห้ ๑๓๒. การงดเวน้ การนอนบนทีน่ อนสงู ใหญ่ มุ่งบรรเทา ค. ละเมดิ คู่ครองคนอนื่ กเิ ลสใด ? ง. พดู ใหผ้ ู้อื่นเสียประโยชน์ ก. ความเห็นแก่ตัว ข. ความพยาบาท ๑๒๒. การล่วงละเมิดอุโบสถศีลข้อท่ี ๒ มีโทษอย่างไร ? ค. ความลมุ่ หลงงมงาย ง. ความกาหนดั ยินดี ก. เสียสติ ข. อายุส้ัน ๑๓๓. องคท์ ่ที าให้อุโบสถศลี ข้อปาณาติบาตขาด คอื ขอ้ ใด ? ค. ยากจน ง. คนนนิ ทา ก. สตั วม์ ชี วี ิต ข. ร้วู ่าสัตวม์ ชี ีวติ ค. จิตคดิ จะฆา่ ง. สตั วต์ าย
๖๐ ๑๓๔. องคท์ ี่ทาให้อโุ บสถศลี ข้อ ๓ ขาด คือข้อใด ? ก. วัตถทุ พี่ ึงเสพ ข. จติ คิดจะเสพ ค. พยายามเสพ ง. เกดิ ความยินดี ๑๓๕. การล่วงอุโบสถศลี เกดิ ข้ึนไดท้ างทวารใด ? ก. กาย ข. วาจา ค. กายกับวาจา ง. กายกับใจ ๑๓๖. ข้อใด เป็นกิจที่พงึ ปฏบิ ัตสิ าหรับผู้รักษาอโุ บสถศลี ? ก. ดดู วง ข. สะเดาะเคราะห์ ค. ตอ่ ชะตา ง. สวดมนต์ ๑๓๗. เรือ่ งภายนอกท่ีไม่ควรนามาพดู ในขณะถืออุโบสถศลี คอื อะไร ? ก. อนุปุพพีกถา ข. ติรจั ฉานกถา ค. สมั โมทนยี กถา ง. อริยวงศ์กถา ๑๓๘. การรักษาอโุ บสถศีลทไี่ ด้อานิสงสน์ อ้ ยเพราะเหตใุ ด ? ก. ไมต่ ้งั ใจรักษา ข. มีเวลาน้อย ค. ขอ้ ปฏบิ ัตินอ้ ย ง. ทีอ่ ยไู่ มส่ ะดวก ๑๓๙. ขอ้ ใด เปน็ คติภูมขิ องผู้รกั ษาอโุ บสถศลี ? ก. ทุคตภิ มู ิ ข. สคุ ติภูมิ ค. นรกภูมิ ง. อบายภูมิ ๑๔๐. การรักษาอุโบสถศีลมอี านิสงส์มาก ข้นึ อยกู่ ับอะไร ? ก. บุญบารมี ข. โชควาสนา ค. ชะตาชีวิต ง. ตง้ั ใจรักษา ๑๔๑. อุโบสถศลี เป็นพนื้ ฐานให้ไดส้ มบตั ิสูงสดุ คือข้อใด ? ก. มนษุ ย์สมบัติ ข. สวรรคส์ มบตั ิ ค. นพิ พานสมบัติ ง. ทรพั ย์สมบตั ิ ๑๔๒. อโุ บสถศีลที่รักษาดแี ล้ว ยอ่ มให้อานสิ งสแ์ กม่ นุษย์ อย่างไร ? ก. ให้บงั เกดิ ในสวรรค์ ข. ใหม้ คี วามเสมอภาคกนั ค. ใหม้ ีความปลอดภัย ง. ถกู ทุกขอ้ ๑๔๓. ขอ้ วา่ ศีลสามารถสรา้ งสวรรคแ์ ก่มนษุ ย์ได้ ในวสิ าขา สูตร พระสมั มาสัมพุทธเจ้าตรสั แกใ่ คร ? ก. นางสชุ าดา ข. นางสามาวดี ค. นางวิสาขา ง. นางสธุ มั มา
๖๑ แนวข้อสอบธรรมศึกษาชั้นเอก ๑๒. ปกิณณกทุกข์ ได้แก่ข้อใด ? วชิ าธรรมวจิ ารณ์ ก. เกิดแกต่ าย ข. เสยี ใจ เลือกคำตอบท่ีถกู ต้องเพยี งข้อเดยี ว ค. หนาวร้อน ง. เจบ็ ไข้ ๑. นพิ พิทา หมายถึง ความหนา่ ยในอะไร ? ๑๓. ข้อใด จัดเปน็ นพิ ัทธทกุ ข์ ? ก. กองสงั ขาร ข. ทกุ ข์ ก. กงั วลใจ ข. กลวั แพ้คดี ค. อตั ภาพ ง. อาหาร ค. คับแค้นใจ ง. ปวดปัสสาวะ ๒. สทู ง้ั หลายจงมาดโู ลกน้ี คาว่าสทู ัง้ หลาย หมายถงึ ใคร ? ๑๔. ขอ้ ใด จดั เป็นสันตาปทุกข์ ? ก. หม่สู ตั ว์ ข. หมูพ่ ทุ ธบรษิ ัท ก. ถูกแดดเผา ข. ถูกกิเลสเผา ค. หม่ฆู ราวาส ง. หมู่พระภกิ ษุ ค. ถูกไฟเผา ง. ถกู ความหิวเผา ๓. พวกผรู้ ูห้ าขอ้ งอยไู่ ม่ คาวา่ ผรู้ ู้ หมายถงึ ใคร ? ๑๕. ขอ้ ใด จัดเปน็ วิปากทุกข์ ? ก. ผู้มีการศกึ ษา ข. ผู้มีวสิ ัยทศั น์ ก. ค้าความ ข. แจง้ ความ ค. ผ้มู สี ติ ง. ผ้เู ห็นโลกตามจรงิ ค. กลัวแพค้ ดี ง. ถกู จองจา ๔. ผขู้ ้องอยใู่ นโลก มีอาการเชน่ ใด ? ๑๖. เสื่อมยศ จัดเขา้ ในทุกข์ประเภทใด ? ก. ติดส่งิ ลอ่ ใจ ข. ติดขา่ วสาร ก. สนั ตาปทุกข์ ข. นิพทั ธทุกข์ ค. ติดสิ่งเสพติด ง. ตดิ เพ่ือน ค. สหคตทุกข์ ง. วิวาทมูลกทุกข์ ๕. รูป เสียง กลน่ิ รส ที่นา่ ปรารถนา จดั เปน็ อะไร ? ๑๗. อนตั ตลกั ขณะ ตรงกบั ข้อใด ? ก. กเิ ลสกาม ข. วัตถุกาม ก. ไมอ่ ยู่ในอานาจ ข. หาเจา้ ของมิได้ ค. มาร ง. กิเลสตัณหา ค. แย้งต่ออตั ตา ง. ถูกทุกข้อ ๖. เสยี งประเภทใด จัดเป็นบ่วงแห่งมาร ? ๑๘. การไมเ่ ห็นสังขารเปน็ อนัตตา เพราะอะไรปิดบงั ไว้ ? ก. สรรเสรญิ ข. ผรสุ วาท ก. นจิ จสัญญา ข. ฆนสญั ญา ค. นินทา ง. มุสาวาท ค. สนั ตติ ง. อิรยิ าบถ ๗. การสารวมอนิ ทรยี ์ ต้องเร่ิมที่ใคร ? ๑๙. เห็นสงั ขารเปน็ อนัตตา มีประโยชน์อย่างไร ? ก. พระสงฆ์ ข. ครอู าจารย์ ก. ละความอยาก ข. ละความถือม่นั ค. ตนเอง ง. นกั เรยี น ค. ละความโกรธ ง. ละความโลภ ๘. เห็นสงั ขารอย่างไร จึงหนา่ ยในทุกข์ ? ๒๐. คาวา่ ผูข้ ้องอยู่ในโลก หมายถึงข้องอยู่ในส่ิงใด ? ก. เหน็ ดว้ ยตา ข. เหน็ ดว้ ยสมาธิ ก. วัตถุกาม ข. วมิ ตุ ติ ค. เหน็ ด้วยปัญญา ง. เห็นด้วยฌาน ค. วสิ ทุ ธิ ง. นิพพาน ๙. อนจิ จฺ ตา กาหนดร้ไู ดด้ ว้ ยอาการอยา่ งไร ? ๒๑. คาว่า คนเขลา ในอุทเทสแห่งนิพพทิ า หมายถึงใคร ? ก. เกดิ ขนึ้ แลว้ ดบั ไป ข. ไมอ่ ยู่ในอานาจ ก. คนไร้ทรัพย์ ข. คนไร้เมตตา ค. ทนได้ยาก ง. มสี ภาพคงที่ ค. คนไร้พวกพ้อง ง. คนไร้ปญั ญา ๑๐. ทุกฺขตา มลี กั ษณะเชน่ ไร ? ๒๒. รโู้ ลกอยา่ งไร จงึ จะไมข่ ้องอยู่ในโลก ? ก. หาเจา้ ของมไิ ด้ ข. ไมใ่ ชต่ วั ตน ก. รตู้ ามเป็นจรงิ ข. ร้ตู ามตารา ค. ไมเ่ ทยี่ ง ง. ทนไดย้ าก ค. รู้ตามประเพณี ง. รูต้ ามคาทานาย ๑๑. ข้อใดจดั เป็นทุกขป์ ระจาสงั ขาร ? ๒๓. โทษลา้ งผลาญความดี เรียกวา่ อะไร ? ก. เกิดแก่ตาย ข. โศกเศร้า ก. มาร ข. วิราคะ ค. หิวกระหาย ง. เจบ็ ไข้ ค. วสิ ทุ ธิ ง. วิมตุ ติ
๖๒ ๒๔. ประพฤตเิ ช่นใด จงึ จะพ้นจากบว่ งแหง่ มาร ? ๓๕. ความเป็นอนตั ตาแห่งสงั ขาร กาหนดร้ไู ดอ้ ย่างไร ? ก. รักษาศีล ข. สารวมจติ ก. เป็นของเทย่ี ง ข. ไมอ่ ยู่ในอานาจ ค. สารวมกาย ง. สารวมวาจา ค. อยคู่ งที่ ง. ไมเ่ ปล่ยี นแปลง ๒๕. ความหน่ายอะไรไม่จดั เป็นนพิ พิทา ? ๓๖. พิจารณาเห็นสงั ขารเปน็ อนัตตาด้วยอะไร จึงเปน็ ทาง ก. บญุ กศุ ล ข. เบญจขันธ์ แหง่ วิสทุ ธิ ? ค. สงั ขาร ง. ทกุ ข์ ก. ฌาน ข. ศลี ๒๖. คาวา่ สังขาร ในปฏิปทาแห่งนิพพทิ า ได้แก่อะไร ? ค. สมาธิ ง. ปัญญา ก. จิต ข. เบญจขนั ธ์ ๓๗. การเหน็ สังขารเป็นอนตั ตา มอี ะไรกากบั ไว้ จึงไมเ่ ป็น ค. อนิ ทรีย์ ง. อายตนะ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ? ๒๗. บุคคลไม่เห็นอนิจจลกั ษณะ เพราะอะไรปดิ บัง ? ก. ฌาน ข. สมาธิ ก. สนั ตติ ข. อริ ิยาบถ ค. โยนโิ สมนสิการ ง. นิพพทิ าญาณ ค. ฆนสญั ญา ง. เวทนา ๓๘. พระพุทธเจ้าทรงเปรยี บอะไรวา่ ตระการดจุ ราชรถ ? ๒๘. บคุ คลไม่เห็นทุกขลักษณะ เพราะอะไรปิดบัง ? ก. โลก ข. ชวี ิต ก. สนั ตติ ข. อริ ิยาบถ ค. อัตภาพ ง. สังขาร ค. ฆนสัญญา ง. โสมนสั ๓๙. นพิ พิทา คือความหน่ายในอะไร ? ๒๙. หนาว รอ้ น หวิ กระหาย จดั เป็นทกุ ข์อะไร ? ก. การศึกษา ข. ทกุ ข์ ก. สภาวทกุ ข์ ข. ปกิณณกทุกข์ ค. บรวิ าร ง. ชวี ิต ค. นพิ ัทธทกุ ข์ ง. พยาธทิ ุกข์ ๔๐. คาวา่ คนไรพ้ จิ ารณ์ หมายถงึ ใคร ? ๓๐. ขอ้ ใด จดั เปน็ ทกุ ข์ประจาสังขาร ? ก. คนไรก้ ารศกึ ษา ข. คนไรศ้ ลี ธรรม ก. ชรา ข. พยาธิ ค. คนขาดสติ ง. คนเขลา ค. โสกะ ง. ปรเิ ทวะ ๔๑. ผเู้ ห็นโลกตามเป็นจริง ไดร้ บั ผลอย่างไร ? ๓๑. ขอ้ ใด จัดเป็นทุกข์จร ? ก. ไดส้ ขุ บ้างทุกข์บ้าง ข. ได้สามิสสุข ก. ความแก่ ข. ความหิว ค. ไดส้ ่งิ ทีป่ รารถนา ง. ได้นิรามิสสขุ ค. ความรอ้ นรุม ง. ความเศร้าโศก ๔๒. อะไร จัดเปน็ บว่ งแหง่ มาร ? ๓๒. ความไม่มโี รคเปน็ ลาภอันประเสริฐ เพราะปราศจาก ก. รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทุกข์ใด ? ข. โลภะ โทสะ โมหะ ก. สภาวทุกข์ ข. ปกิณณกทกุ ข์ ค. ตา หู จมกู ล้ิน กาย ค. พยาธทิ กุ ข์ ง. สันตาปทุกข์ ง. ตัณหา ราคะ อรติ ๓๓. ทุกขท์ ่ีเกิดจากการทะเลาะววิ าทกัน จดั เปน็ ทุกข์ ๔๓. ปฏิบตั อิ ยา่ งไร จึงจะพน้ จากบ่วงแหง่ มาร ? ประเภทใด ? ก. สารวมกาย ข. สารวมวาจา ก. สภาวทุกข์ ข. ปกิณณกทกุ ข์ ค. สารวมจติ ง. สารวมในศลี ค. ววิ าทมูลกทุกข์ ง. สันตาปทุกข์ ๔๔. สงั ขารในขนั ธ์ ๕ หมายถึงอะไร ? ๓๔. ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข เป็นเหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์อะไร ? ก. สภาพท่ปี รงุ แตง่ จิต ข. สภาพที่เป็นเอง ก. พยาธทิ กุ ข์ ข. วิปากทุกข์ ค. สภาพที่คงอยู่ ง. สภาพท่ีเส่ือมไป ค. ววิ าทมลู กทุกข์ ง. สหคตทุกข์ ๔๕. อะไรจาแนกสัตว์ใหแ้ ตกตา่ งกนั ? ก. กรรม ข. กเิ ลส ค. บญุ ง. กศุ ล
๖๓ ๔๖. การเพกิ สนั ตตไิ ด้ ทาให้เหน็ อะไร ? ค. ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั ก. สามัญญลักษณะ ข. อนจิ จลกั ษณะ ง. ปฐวี อาโป เตโช วาโย วิราคะ ค. ทุกขลกั ษณะ ง. อนตั ตลกั ษณะ ๕๗. วริ าคะตรงกบั ข้อใด ? ๔๗. อนิจจลกั ษณะกาหนดรูใ้ นทางงา่ ยดว้ ยอาการอย่างไร ? ก. สิ้นกเิ ลส ข. ส้นิ วฏั ฏะ ก. เกิดขนึ้ แล้วตัง้ อยู่ ข. เกดิ ขึ้นแลว้ ดบั ไป ค. สนิ้ อาลยั ง. สิ้นกาหนดั ค. แปรไประหว่างเกดิ ดับ ง. แปรไปช่วั ขณะหนง่ึ ๕๘. คาว่า ธรรมยงั ความเมาให้สรา่ ง หมายถึงเมาในอะไร ? ๔๘. ชาติ ชรา มรณะ จัดเป็นทุกข์อะไร ? ก. ลาภยศสรรเสริญ ข. สรุ าเมรัย ก. สภาวทกุ ข์ ข. ปกิณณกทุกข์ ค. ความรัก ง. สิ่งเสพตดิ ค. นิพทั ธทุกข์ ง. พยาธทิ ุกข์ ๕๙. ข้อใด ไมใ่ ช่ไวพจน์แห่งวิราคะ ? ๔๙. กังวลใจเพราะสตั วเ์ ลย้ี ง จัดเป็นทุกข์อะไร ? ก. นพิ พาน ข. นิโรธ ก. วปิ ากทกุ ข์ ข. ปกณิ ณกทกุ ข์ ค. อโลภะ ง. ตณั หกั ขยะ ค. สหคตทกุ ข์ ง. สนั ตาปทกุ ข์ ๖๐. เพราะสน้ิ กาหนดั จิตย่อมหลุดพ้นจากอะไร ? ๕๐. ขอ้ ใด เปน็ ลักษณะของนิพัทธทกุ ข์ ? ก. ตัณหา ข. อาสวะ ก. เกิด แก่ เจ็บ ตาย ข. ไม่สบายกาย ใจ ค. ราคะ ง. นวิ รณ์ ค. หนาว รอ้ น หวิ กระหาย ง. ร้องไหเ้ สียใจ ๖๑. ธรรมที่เปน็ ยอดแห่งธรรมทง้ั ปวง คืออะไร ? ๕๑. ขอ้ ใด จดั เปน็ พยาธทิ ุกข์ ? ก. วริ าคะ ข. วริ ตั ิ ก. ความเจ็บไข้ ข. ความเศร้าโศก ค. วมิ ุตติ ง. วิสุทธิ ค. ความคับแคน้ ใจ ง. ความหิวกระหาย ๖๒. ความเมาในคาวา่ มทนิมฺมทโน หมายถึงเมาอะไร ? ๕๒. ทุกขเ์ พราะถูกกเิ ลสเผา จดั เป็นทุกข์อะไร ? ก. ยาบา้ ข. ลาภยศ ก. สภาวทุกข์ ข. ปกณิ ณกทุกข์ ค. สุรา ง. กิเลส ค. สนั ตาปทกุ ข์ ง. วปิ ากทกุ ข์ ๖๓. นิโรธ ในไวพจนแ์ หง่ วิราคะ หมายถึงดับอะไร ? ๕๓. การสู้คดีความกนั จัดเป็นทุกข์อะไร ? ก. ทุกข์ ข. นิวรณ์ ก. อาหารปรเิ ยฏฐทิ กุ ข์ ข. วิปากทุกข์ ค. เวทนา ง. วิญญาณ ค. สนั ตาปทกุ ข์ ง. วิวาทมูลกทุกข์ ๖๔. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ไวพจนข์ องวิราคะ ? ๕๔. คาวา่ ธรรม ในบทว่า สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา หมายถึง ก. ความสิ้นตณั หา ข. ความดบั อะไร ? ค. ความเข้าไปตัดวฏั ฏะ ง. ความหน่าย ก. กุศลมลู อกุศลมูล ๖๕. ความตดิ พนั หว่ งใยในอารมณ์เปน็ ทรี่ ัก เรียกวา่ อะไร ? ข. กศุ ลวิตก อกศุ ลวิตก ก. อาสวะ ข. สงั โยชน์ ค. สงั ขาร วสิ งั ขาร ค. อาลัย ง. ตัณหาวมิ ตุ ติ ง. กุศลธรรม อกุศลธรรม ๖๖. วมิ ตุ ติขอ้ ใด จดั เป็นโลกิยะ ? ๕๕. ขอ้ ใด ไม่ใชล่ กั ษณะของอนตั ตาแห่งสงั ขาร ? ก. ตทงั ควิมุตติ ข. สมุจเฉทวมิ ตุ ติ ก. ไมอ่ ยู่ในอานาจ ข. แย้งตอ่ อตั ตา ค. ปฏิปัสสทั ธวิ ิมุตติ ง. นิสสรณวิมุตติ ค. หาเจ้าของมไิ ด้ ง. เป็นกลุ่มกอ้ น ๖๗. วมิ ุตตขิ ้อใด จดั เป็นโลกุตตระ ? ๕๖. กมั มฏั ฐานเบื้องตน้ ท่ีพระอปุ ัชฌาย์สอนนาคผู้ขอบวช ก. สมจุ เฉทวิมุตติ ข. ปฏิปสั สทั ธิวิมุตติ คือข้อใด ? ค. นสิ สรณวมิ ตุ ติ ง. ถกู ทุกขอ้ ก. ศลี สมาธิ ปญั ญา ข. ทาน ศลี ภาวนา
๖๔ ๖๘. วิมตุ ตคิ อื ความหลุดพ้นในข้อใดเป็นวสิ ยั ของโลกยิ ชน ? ๗๙. พิจารณาเห็นสงั ขารเปน็ ไตรลักษณ์ จัดเปน็ วสิ ทุ ธิใด ? ก. วิกขัมภนวมิ ุตติ ข. สมุจเฉทวิมุตติ ก. สีลวสิ ุทธิ ข. จติ ตวิสุทธิ ค. ปฏปิ สั สทั ธิวมิ ุตติ ง. นิสสรณวิมตุ ติ ค. ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ ง. กงั ขาวิตรณวิสทุ ธิ ๖๙. วมิ ุตติใด เปน็ ปฏิปทาของพระอรหันต์ผูบ้ าเพญ็ เฉพาะ ๘๐. ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครือ่ งขา้ มความสงสยั วิปสั สนา ? จัดเปน็ วิสทุ ธิใด ? ก. ตทงั ควมิ ุตติ ข. วิขัมภนวิมตุ ติ ก. สีลวสิ ุทธิ ข. จิตตวสิ ุทธิ ค. เจโตวมิ ตุ ติ ง. ปัญญาวิมตุ ติ ค. ทิฏฐิวสิ ุทธิ ง. กงั ขาวิตรณวิสุทธิ ๗๐. วิมุตติ แปลวา่ อะไร ? ๘๑. ในอุทเทสแห่งวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งจติ ย่อมมีได้ ก. ความหลดุ พ้น ข. ความสิน้ กาหนัด ดว้ ยอะไร ? ค. ความสิ้นตณั หา ง. ความหน่าย ก. ปญั ญา ข. ฌาน ๗๑. เพราะส้นิ กาหนดั จติ ยอ่ มหลดุ พ้นจากอะไร ? ค. สมาบัติ ง. สมาธิ ก. อาสวะ ข. ตัณหา ๘๒. พจิ ารณาเห็นความเกิดดับแหง่ สงั ขารวา่ ไมเ่ ทีย่ ง เป็น ค. ราคะ ง. นวิ รณ์ ญาณอะไร ? ๗๒. บวงสรวงอ้อนวอนส่ิงศกั ดส์ิ ิทธ์ิ จัดเขา้ ในอาสวะใด ? ก. อทุ ยพั พยญาณ ข. ภงั คญาณ ก. กามาสวะ ข. ภวาสวะ ค. อาทนี วญาณ ง. นพิ พิทาญาณ ค. อวชิ ชาสวะ ง. ผลาสวะ ๘๓. การเพ่งสงั ขารวา่ แปรไปชัว่ ขณะ เปน็ ญาณอะไร ? ๗๓. การระงบั กิเลสกามและอกศุ ลธรรมดว้ ยกาลงั ฌาน ก. อทุ ยัพพยญาณ ข. ภังคญาณ จัดเปน็ อะไร ? ค. อาทีนวญาณ ง. นพิ พิทาญาณ ก. ตทงั ควิมุตติ ข. วิกขัมภนวิมุตติ ๘๔. ความวางเฉยในอะไร จัดเป็นปฏิสงั ขารเุ ปกขาญาณ ? ค. สมุจเฉทวมิ ตุ ติ ง. ปฏปิ ัสสทั ธวิ ิมุตติ ก. สังขาร ข. อารมณ์ ๗๔. หลดุ พ้นดว้ ยอริยมรรค จดั เปน็ วิมุตตใิ ด ? ค. บุญบาป ง. ทุกข์ ก. ตทังควมิ ตุ ติ ข. สมจุ เฉทวิมตุ ติ ๘๕. วสิ ุทธทิ ีท่ าให้ขา้ มพน้ ความสงสัย เรยี กว่าอะไร ? ค. ปฏิปสั สัทธิวิมตุ ติ ง. นิสสรณวมิ ตุ ติ ก. สลี วสิ ทุ ธิ ข. จิตตวสิ ทุ ธิ ๗๕. พจิ ารณาเห็นสงั ขารเปน็ ทุกข์ จดั เป็นญาณใด ? ค. ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ ง. กงั ขาวติ รณวิสุทธิ ก. อาทีนวญาณ ข. อทุ ยพั พยญาณ ๘๖. อรยิ มรรคใด จัดเขา้ ในสีลวิสทุ ธิ ? ค. ภยตปู ฏั ฐานญาณ ง. นพิ พทิ าญาณ ก. สมั มาวาจา ข. สมั มาวายามะ ๗๖. พิจารณาเหน็ สงั ขารอย่างไรจดั เป็นภยตปู ัฏฐานญาณ ? ค. สมั มาสมาธิ ง. สัมมาสังกัปปะ ก. เป็นทกุ ข์ ข. เป็นของย่อยยับ ๘๗. อรยิ มรรคใด จัดเข้าในจิตตวิสุทธิ ? ค. เกดิ ดับ ง. เปน็ ของน่ากลัว ก. สัมมาวาจา ข. สัมมาทิฏฐิ ๗๗. อริยมรรคขอ้ ใด จดั เขา้ ในสีลวสิ ทุ ธิ ? ค. สัมมาสมาธิ ง. สัมมาสงั กัปปะ ก. สมั มาวาจา ข. สัมมาวายามะ ๘๘. อริยมรรคใด จัดเขา้ ในทิฏฐิวสิ ทุ ธิ ? ค. สมั มาสติ ง. สมั มาสมาธิ ก. สัมมาสังกัปปะ ข. สัมมาวายามะ ๗๘. อรยิ มรรคข้อใด จดั เข้าในจติ ตวสิ ุทธิ ? ค. สมั มาสติ ง. สมั มาสมาธิ ก. สมั มาวาจา ข. สัมมากัมมนั ตะ ๘๙. วสิ ทุ ธใิ ด จัดเปน็ ยอดของวิปสั สนาญาณ ? ค. สัมมาอาชีวะ ง. สัมมาวายามะ ก. สีลวสิ ุทธิ ข. ทิฏฐิวสิ ุทธิ ค. กงั ขาวติ รณวิสุทธิ ง. ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ
๖๕ ๙๐. ความหมดจดแห่งสัตว์ท้งั หลาย เกดิ ข้นึ ได้ดว้ ยวธิ ีใด ? ๑๐๑. ผู้มุ่งความสงบพงึ ละโลกามิส อะไรเปน็ โลกามสิ ? ก. ลอยบาป ข. ชาระบาป ก. กามคุณ ๕ ข. ขันธ์ ๕ ค. ไถ่บาป ง. ไมท่ าบาป ค. นวิ รณ์ ๕ ง. อนิ ทรยี ์ ๕ ๙๑. เล็งเหน็ สังขารว่าเป็นทุกข์ จัดเปน็ ญาณอะไร ? ๑๐๒. ขอ้ ใด ทาใหเ้ กิดสันตภิ ายนอก ? ก. อทุ ยัพพยญาณ ข. ภังคญาณ ก. การรักษาศีล ข. การเจริญภาวนา ค. อาทีนวญาณ ง. นพิ พทิ าญาณ ค. การปฏิบัติธรรม ง. การเจรญิ กัมมัฏฐาน ๙๒. สมั มาวายามะ ตรงกับข้อใด ? ๑๐๓. จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ของพระพทุ ธศาสนาคืออะไร ? ก. พยายามชอบ ข. ตัง้ ใจชอบ ก. เกิดในสวรรค์ ข. เกิดในพรหมโลก ค. ระลกึ ชอบ ง. ดารชิ อบ ค. เขา้ ถึงนิพพาน ง. เฝ้าพระพุทธเจ้า ๙๓. อริยมรรคขอ้ ใด จดั เข้าในสีลวสิ ทุ ธิ ? ๑๐๔. บาลีว่า สพเฺ พ ธมมฺ า อนตฺตาติ ยืนยนั นพิ พานวา่ คือ ? ก. สัมมาทิฏฐิ ข. สัมมาวายามะ ก. อนตั ตา ข. อตั ตา ค. สัมมากมั มนั ตะ ง. สัมมาสังกปั ปะ ค. สภาวะสูญ ง. สภาวะเทยี่ ง ๙๔. อรยิ มรรคข้อใด จัดเขา้ ในจิตตวิสุทธิ ? ๑๐๕. ปฏบิ ัตอิ ย่างไร ชือ่ ว่าเข้าใกลน้ ิพพาน? ก. สมั มาวาจา ข. สมั มาวายามะ ก. รักษาศลี ค. สมั มากมั มนั ตะ ง. สัมมาอาชวี ะ ข. ฟงั ธรรม ๙๕. พิจารณาเห็นสังขารอย่างไร จัดเปน็ ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ ? ค. ฝกึ จติ ก. เหน็ ไตรลักษณ์ ข. เหน็ ไตรรตั น์ ง. เห็นภัยในความประมาท ค. เห็นไตรภมู ิ ง. เห็นไตรเพท ๑๐๖. คาว่า นิพพานมิใช่โลกนีห้ รอื โลกอืน่ น้นั สอ่ งความว่า ๙๖. วสิ ทุ ธิใด จดั เป็นโลกุตตระ ? นิพพานเป็นอะไร ? ก. จติ ตวิสุทธิ ก. โลกทิพย์ ข. โลกพเิ ศษ ข. ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ ค. โลกสมมติ ง. ไมม่ ีข้อถูก ค. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ ๑๐๗. ข้อใด กลา่ วถงึ สอปุ าทิเสสนพิ พานไดถ้ ูกต้อง ? ง. ญาณทสั สนวิสุทธิ ก. ละกเิ ลส ข. สนิ้ กเิ ลสสนิ้ ชวี ติ ๙๗. สุขอ่นื ย่งิ กวา่ ความสงบย่อมไมม่ ี หมายถงึ สงบจาก ค. ส้ินกิเลสมชี ีวิตอยู่ ง. มกี เิ ลสมชี ีวติ อะไร ? ๑๐๘. การบรรลนุ ิพพานมีผลอยา่ งไร ? ก. เวรภยั ข. กเิ ลส ก. เพลิดเพลิน ข. เปน็ สขุ อยา่ งยิ่ง ค. ความว่นุ วาย ง. สงคราม ค. ยนิ ดอี ยา่ งยงิ่ ง. รืน่ รมยอ์ ย่างย่ิง ๙๘. ผเู้ พ่งความสงบพึงละโลกามสิ เสีย คาว่า โลกามิส ๑๐๙. บคุ คลผเู้ ห็นภัยในความประมาท ชอื่ ว่าปฏบิ ตั ิใกล้ หมายถึงอะไร ? อะไร ? ก. กามคุณ ข. กามกิเลส ก. มนุษยโลก ข. เทวโลก ค. กามฉนั ทะ ง. กามราคะ ค. พรหมโลก ง. นพิ พาน ๙๙. ข้อใด ทาใหเ้ กิดสันตภิ ายนอก ? ๑๑๐. คาว่า อปุ าทิ ในสอุปาทิเสสนพิ พาน หมายถึงอะไร ? ก. ให้ทาน ข. รกั ษาศีล ก. เบญจขนั ธ์ ข. ตณั หา ค. เจริญภาวนา ง. เจริญเมตตา ค. อปุ าทาน ง. กเิ ลส ๑๐๐. สุขอนื่ จากความสงบไม่มี เปน็ อทุ เทสของอะไร ? ๑๑๑. ขอ้ ใด กลา่ วถึงอนปุ าทิเสสนิพพานไดถ้ ูกตอ้ ง ? ก. นิพพิทา ข. วริ าคะ ก. สนิ้ กเิ ลส ข. ส้ินชีวติ ค. วิมตุ ติ ง. สนั ติ ค. ส้ินกเิ ลสมชี ีวติ ง. สิ้นกิเลสสิน้ ชีวิต
๖๖ ๑๑๒. พระพทุ ธศาสนากล่าววา่ อะไรเปน็ สขุ อย่างย่ิง ? ๑๒๓. คนรกั งา่ ยหนา่ ยเรว็ ควรเจริญกมั มัฏฐานข้อใด ? ก. นิพพิทา ข. ฌาน ก. สลี านุสสติ ข. อสุภกัมมัฏฐาน ค. สมาบัติ ง. นพิ พาน ค. เมตตาพรหมวหิ าร ง. กสณิ ๑๑๓. ข้อใด ไม่ใช่ความหมายของนิพพาน ? ๑๒๔. การเจริญมรณสั สติ มปี ระโยชนอ์ ย่างไร ? ก. ดบั ข. ร้อน ก. ไมป่ ระมาท ข. เกิดทุกข์ ค. เยน็ ง. หยุด ค. วางเฉย ง. สลดใจ ๑๑๔. ข้อปฏิบัตเิ ป็นทางไปสู่พระนิพพาน ตรงกับขอ้ ใด ? ๑๒๕. ในการเจรญิ กัมมฏั ฐาน สิง่ ท่ขี วางกนั้ จติ ไมใ่ หเ้ กิด ก. วมิ ตุ ติ ข. มรรค สมาธิ คืออะไร ? ค. นพิ พทิ า ง. วริ าคะ ก. นวิ รณ์ ข. อปุ กเิ ลส ๑๑๕. ผู้ไมป่ ระมาทและเหน็ ภยั ในความประมาท จัดเป็น ค. ปฏิฆะ ง. ตณั หา คนเช่นไร ? ๑๒๖. หวั ใจสมถกมั มัฏฐาน ตรงกับข้อใด ? ก. รู้จักพระนิพพาน ข. ใกลพ้ ระนิพพาน ก. เทวตานุสสติ ข. สีลานุสสติ ค. เข้าสู่พระนิพพาน ง. ถึงพระนิพพาน ค. จาคานสุ สติ ง. กายคตาสติ ๑๑๖. ข้อใด กล่าวถึงสอุปาทิเสสนพิ พานไดถ้ ูกตอ้ ง ? ๑๒๗. กายคตาสติแกน้ วิ รณข์ ้อใดได้ ? ก. สิ้นชีวิตมีกเิ ลสอยู่ ข. สนิ้ ชวี ิตสนิ้ กิเลส ก. กามฉนั ท์ ข. พยาบาท ค. ส้นิ กิเลสมีชีวิตอยู่ ง. สิ้นกเิ ลสสน้ิ ตณั หา ค. ถีนมทิ ธะ ง. วิจิกจิ ฉา ๑๑๗. เพราะละอะไรได้ ทา่ นจึงกล่าววา่ นิพพาน ? ๑๒๘. พรหมวิหารข้อใด เปน็ หัวใจของสมถกัมมัฏฐาน ? ก. ความโกรธ ข. ความหลง ก. เมตตา ข. กรณุ า ค. นวิ รณ์ ง. ตณั หา ค. มทุ ิตา ง. อเุ บกขา ๑๑๘. อุปมา ไฟสิน้ เชื้อแลว้ ย่อมดบั ไปเอง กลา่ วถงึ เรื่องใด ? ๑๒๙. การเจรญิ เมตตากัมมฏั ฐาน ควรเริม่ ต้นทีใ่ ครกอ่ น ? ก. ฌาน ก. บิดามารดา ข. ครอู าจารย์ ข. สมาบัติ ค. มติ รสหาย ง. ตนเอง ค. อภิญญา ๑๓๐. คนวติ กจริต จะแกด้ ว้ ยกัมมฏั ฐานใด ? ง. นพิ พานสมถกมั มฏั ฐาน ก. เมตตา ข. กายคตาสติ ๑๑๙. สมถกัมมฏั ฐาน มีความหมายตรงกบั ขอ้ ใด ? ค. กสิณ ง. พทุ ธานุสสติ ก.กาจัดกิเลส ข. ละสังโยชน์ ๑๓๑. จตุธาตุววตั ถานกมั มฏั ฐานพจิ ารณาอะไรเป็น ค. รู้แจง้ เห็นจริง ง. ทาใจให้สงบ อารมณ์ ? ๑๒๐. ข้อใด เป็นมลู กมั มฏั ฐาน ? ก. ธาตุ ๔ ข. ขันธ์ ๕ ก. ดนิ น้าลมไฟ ข. รูปเสยี งกลิน่ รส ค. อายตนะ ๖ ง. โพชฌงค์ ๗ ค. ผมขนเลบ็ ฟนั หนงั ง. ตาหจู มูกล้ิน ๑๓๒. คนสัทธาจริต ควรเจรญิ กมั มัฏฐานใด ? ๑๒๑. การเจริญมูลกมั มัฏฐาน กาจัดนิวรณใ์ ด ? ก. พรหมวิหาร ข. กสิณ ก. กามฉันทะ ข. พยาบาท ค. อสุภะ ง. พทุ ธานุสสติ ค. ถนี มทิ ธะ ง. วจิ กิ ิจฉา ๑๓๓. การเจรญิ วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอบุ ายให้เกิดอะไร ? ๑๒๒. คนโกรธง่าย ควรเจริญกัมมฏั ฐานข้อใด ? ก. ปีติ ข. สุข ก. กายคตาสติ ข. อสุภกมั มฏั ฐาน ค. เอกคั คตา ง. ปญั ญา ค. เมตตาพรหมวิหาร ง. อานาปานัสสติ
๖๗ ๑๓๔. สมถกมั มฏั ฐาน ตรงกบั ข้อใด ? ๑๔๖. คาวา่ วปิ สั สนา มีความหมายว่าอย่างไร ? ก. การรู้แจ้งเหน็ จรงิ ข. การกาจัดกิเลส ก. เห็นแจ้งรูปนาม ข. เหน็ แจ้งอวชิ ชา ค. การทาใจให้สงบ ง. การละสงั โยชน์ ค. เหน็ แจ้งสงั ขาร ง. เห็นแจง้ พระนิพพาน ๑๓๕. บคุ คลเชน่ ไร เจรญิ กัมมัฏฐานไดผ้ ลดี ? ๑๔๗. ขอ้ ใด เป็นอารมณ์ของวิปสั สนากัมมฏั ฐาน ? ก. มีความกงั วล ข. มคี วามฟุง้ ซ่าน ก. พรหมวิหาร ข. กสณิ ค. มคี วามเบ่ือหน่าย ง. มสี ติสมั ปชญั ญะ ค. อสุภะ ง. รูปนาม ๑๓๖. การเจริญสมถกมั มัฏฐาน เพอ่ื จุดประสงค์ใด ? ๑๔๘. ผเู้ จรญิ วิปัสสนากมั มฏั ฐาน ควรทากจิ ใดก่อน ? ก. สงบจากนวิ รณ์ ข. เห็นแจง้ กองสงั ขาร ก. ทาจติ ใหเ้ ปน็ สมาธิ ข. ชาระศีลให้บรสิ ุทธ์ิ ค. เห็นแจง้ ไตรลักษณ์ ง. หลดุ พ้นจากกิเลส ค. ชาระจติ ให้บรสิ ทุ ธิ์ ง. ทาความเหน็ ใหต้ รง ๑๓๗. ประโยชนข์ องการเจริญอสุภกัมมฏั ฐาน คือข้อใด ? ๑๔๙. พจิ ารณากายอย่างไร จึงจดั เปน็ วปิ สั สนา ? ก. เพ่อื รแู้ จง้ เห็นจริง ข. เพอ่ื คลายกาหนัด ก. ปฏิกลู น่าเกลยี ด ค. เพ่ือให้เกิดเมตตา ง. เพ่อื กาจัดความโกรธ ข. ไมง่ ามน่ารังเกยี จ ๑๓๘. คนโทสจรติ มลี กั ษณะเชน่ ไร ? ค. เตม็ ไปดว้ ยของไม่สะอาด ก. เช่ืองา่ ย ข. โมโหงา่ ย ง. ไมเ่ ท่ียงต้องแตกสลาย ค. รกั งา่ ย ง. หลงง่าย ๑๓๙. คนมักโกรธ ควรแกด้ ้วยการเจรญิ กมั มัฏฐานอะไร ? ก. กายคตาสติ ข. อสุภกมั มฏั ฐาน ค. เมตตาพรหมวหิ าร ง. กสิณวิปัสสนา ๑๔๐. เหน็ แจง้ อะไร จดั เป็นวิปสั สนา ? ก. รูป ข. นาม ค. เวทนา ง. นามรปู ๑๔๑. ข้อใด เป็นอารมณข์ องวิปัสสนา ? ก. พรหมวหิ าร ข. นามรูป ค. อสภุ ะ ง. กสิณ ๑๔๒. พจิ ารณากายอย่างไร จึงจัดเป็นวปิ สั สนา ? ก. ปฏกิ ลู ข. ไมส่ ะอาด ค. น่าเกลียด ง. ไมเ่ ทย่ี ง ๑๔๓. ธรรมเปน็ พื้นฐานของวปิ สั สนากัมมัฏฐานคืออะไร ? ก. สีลวสิ ุทธิ ข. ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ ค. กังขาวติ รณวสิ ุทธิ ง. ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ๑๔๔. ผลสูงสดุ ของการเจริญวิปสั สนากัมมัฏฐานคอื ขอ้ ใด ? ก. เห็นไตรลักษณ์ ข. เหน็ ไตรสกิ ขา ค. เห็นไตรภูมิ ง. เหน็ ไตรเพท ๑๔๕. การเจริญวปิ ัสสนากมั มัฏฐาน เพอ่ื จดุ ประสงค์ใด ? ก. สงบกาย ข. สงบวาจา ค. สงบใจ ง. รู้แจง้ เห็นจรงิ
๖๘ แนวขอ้ สอบธรรมศกึ ษาช้ันเอก ๑๒. ผู้ทานายเจา้ ชายสิทธัตถะว่า ต้องออกบวชแนน่ อน ? วชิ าพุทธานพุ ุทธประวตั ิ ก. รามะ ข. ยญั ญะ เลือกคำตอบที่ถกู ต้องเพยี งข้อเดียว ค. โกณฑัญญะ ง. สุทัตตะ ๑. ชมพทู วปี ไดช้ ่ือมาจากตน้ อะไร ? ๑๓. เจ้าชายสิทธตั ถะ มีน้องชายร่วมพระราชบิดาคือใคร ? ก. ต้นโพธิ์ ข. ต้นหวา้ ก. พระอนุรทุ ธะ ข. พระภทั ทยิ ะ ค. ต้นไทร ง. ตน้ จิก ค. พระอานนท์ ง. พระนนั ทะ ๒. คัมภีรท์ างศาสนาพราหมณ์ เรยี กวา่ อะไร ? ๑๔. ข้อใด ไมน่ บั เขา้ ในสหชาตของพระพทุ ธเจา้ ? ก. ไตรปิฎก ข. ไตรภูมิ ก. ม้ากณั ฐกะ ข. ตน้ โพธ์ิ ค. ไตรภพ ง. ไตรเพท ค. ขมุ ทรัพย์ท้ัง ๔ ง. นนั ทกุมาร ๓. พระมหาบุรษุ ประสตู ใิ นราชสกุลใด ? ๑๕. พระพุทธเจา้ เสด็จอบุ ตั ิขึ้นในโลก เพ่ืออะไร ? ก. โมรยิ ะ ข. โกลิยะ ก. เปน็ ศาสดาสรา้ งสนั ติภาพ ค. ศากยะ ง. มัลละ ข. เป็นศาสดาปกป้องโลก ๔. ใครทานายพระราชกุมารตามมหาปุรสิ ลกั ษณะคนแรก ? ค. เป็นศาสดาสร้างโลก ก. พราหมณ์ ข. กษัตรยิ ์ ง. เปน็ ศาสดาสอนเวไนยสัตว์ ค. ชฎลิ ง. อสติ ดาบส ๑๖. ปญั จมหาวิโลกนะทพี่ ระบรมโพธิสตั ว์ทรงพจิ ารณาคอื ? ๕. พระเจา้ ตาของสทิ ธตั ถราชกมุ าร มีพระนามวา่ อะไร ? ก. แควน้ เมอื ง ชนบท สกลุ มารดา ก. สทุ โธทนะ ข. อญั ชนะ ข. ประเทศ บิดา มารดา อายุ สกุล ค. สกุ โกทนะ ง. สหี หนุ ค. กาล ทวีป ประเทศ สกลุ มารดา ๖. ใครมิใชส่ หชาตกิ ับเจ้าชายสิทธตั ถะ ? ง. ประเทศ สกุล มารดา วรรณะ ศาสนา ก. อานนท์ ข. อบุ าลี ๑๗. ชาวชมพูทวีปมที ฏิ ฐิมานะ มกั รังเกียจกันด้วยเหตุใด ? ค. กาฬทุ ายี ง. พิมพา ก. เกียรตยิ ศ ข. วชิ าความรู้ ๗. ประวัตขิ องพระพทุ ธเจา้ และสาวก คือข้อใด ? ค. ชาติและโคตร ง. ฐานะความเป็นอยู่ ก. พทุ ธประวัติ ข. อนุพุทธประวัติ ๑๘. พราหมณ์เชื่อว่าผู้ไม่มีบุตรชายตายแล้วมีคติอยา่ งไร ? ค. เถรประวตั ิ ง. พุทธานพุ ุทธประวตั ิ ก. ขาดสูญ ข. ตกนรก ๘. ความเชอ่ื ทแ่ี สดงความเป็นผ้มู ีมานะของชาวชมพทู วีป ? ค. เกิดในสคุ ติ ง. คติไม่แนน่ อน ก. โลกเทีย่ ง ข. โลกมีท่สี ดุ ๑๙. ขอ้ ใด กล่าวถกู ต้องเก่ยี วกับกรงุ กบิลพัสด์ุ ? ค. แบง่ ช้ันวรรณะ ง. ตายแล้วเกิด ก. เคยเปน็ สถานท่ีอยูข่ องกบิลดาบส ๙. ชมพูทวีปแบง่ ออกเป็นกแ่ี คว้นใหญ่ ? ข. พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้สรา้ งขึ้น ก. ๑๔ แควน้ ข. ๑๕ แควน้ ค. พระเจ้าโอกกากราชทรงครอบครอง ค. ๑๖ แคว้น ง. ๑๗ แคว้น ง. พระเจา้ โอกกากราชโปรดใหส้ รา้ งขนึ้ ๑๐. ใครประกอบดว้ ยลักษณะแหง่ เบญจกัลยาณี ? ๒๐. พระมารดาของพระนางพมิ พา มพี ระนามวา่ อะไร ? ก. พระนางมายา ข. พระนางพมิ พา ก. พระนางปชาบดี ข. พระนางปมติ า ค. พระนางกญั จนา ง. พระนางอมติ า ค. พระนางกีสาโคตมี ง. พระนางอมติ า ๑๑. อสิตดาบสไหว้พระสทิ ธัตถกมุ าร ราชสกุลทาอย่างไร ? ๒๑. ขอ้ ใด ไมใ่ ชท่ ุกรกริ ยิ าท่ีพระมหาบรุ ษุ ทรงบาเพ็ญ ? ก. หมดศรัทธา ข. เกดิ ศรัทธา ก. กดพระทนต์ ข. กลน้ั ลมหายใจ ค. มอบโอรสเปน็ บรวิ าร ง. ยอมเป็นทาส ค. อดอาหาร ง. อดนอน
๖๙ ๒๒. ขอ้ ใด ไม่ใช่อุปมา ๓ ข้อ ท่เี กดิ แก่พระมหาบุรุษ ? ๓๔. พระมหาบรุ ษุ ทรงบาเพ็ญอปาณกฌานอยา่ งไร ? ก. ไมส้ ดแช่นา้ ข. ไมส้ ดบนบก ก. กล้นั ลมหายใจ ข. นอนบนหนาม ค. ไม้แห้งแช่นา้ ง. ไมแ้ ห้งบนบก ค. เอาล้ินกดเพดาน ง. อดอาหาร ๒๓. เมือ่ พจิ ารณาชรา พยาธิ มรณะ บรรเทาอะไรได้ ? ๓๕. ข้อใดไม่ใช่บารมี๑๐ที่พระมหาบรุ ุษใชส้ ูก้ บั กเิ ลสมาร ? ก. ความเมา ๓ ข. อคติ ๔ ก. ทาน ข. ศีล ค. ความงาม ๕ ง. อบายมุข ๖ ค. สมาธิ ง. ปัญญา ๒๔. วนั ตรัสร้พู ระพทุ ธเจา้ ประทับใต้ตน้ ไม้อะไร ? ๓๖. พระมหาบรุ ุษบรรลุอาสวักขยญาณทาให้ได้พระนามวา่ ? ก. มจุ จลินท์ ข. ราชายตนะ ก. ภควา ข. อรห ค. อชปาลนิโครธ ง. อสั สัตถพฤกษ์ ค. สุคโต ง. โลกวทิ ู ๒๕. ญาณที่ทาใหส้ าเรจ็ เป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ช่ืออะไร ? ๓๗. พระพุทธเจ้าประทับเสวยวมิ ตุ ตสิ ุขหลังตรสั รกู้ ่วี นั ? ก. ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ ข. จตุ ปู ปาตญาณ ก. ๕ วัน ข. ๗ วัน ค. อาสวักขยญาณ ง. ถูกทุกขอ้ ค. ๒๙ วัน ง. ๔๙ วนั ๒๖. เจ้าชายสทิ ธตั ถะทรงเหน็ คนแกจ่ ึงบรรเทาความเมาใน? ๓๘. ข้อใด ไมใ่ ชต่ น้ ไม้ทป่ี ระทับเสวยวมิ ุติสขุ ? ก. วัย ข. ความไม่มีโรค ก. ต้นไทร ข. ตน้ สาละ ค. ชวี ติ ง. ลาภยศ ค. ตน้ จิก ง. ตน้ เกตุ ๒๗. ในวันท่พี ระมหาบรุ ษุ เสด็จออกผนวช มีใครห้ามปราม ? ๓๙. ปทปรมะบุคคล มีอุปมาเหมอื นบวั ประเภทใด ? ก. พระราชบดิ า ข. พระนางพิมพา ก. บวั พน้ น้า ข. บวั ปร่ิมน้า ค. นายฉนั นะ ง. พญาวสวัตดีมาร ค. บัวในน้า ง. บัวในตม ๒๘. การบาเพญ็ ทุกรกริ ยิ าวาระที่ ๓ พระมหาบุรษุ ทรงทา ? ๔๐. มชั ฌมิ าปฏิปทา หมายถึงข้อใด ? ก. กดพระทนต์ ข. กดพระตาลุ ก. การทรมานตน ข. พวั พันในกาม ค. กลั้นลมหายใจ ง. อดพระกระยาหาร ค. ทางสายกลาง ง. ทุกรกิรยิ า ๒๙. ข้อใด ไม่ใช่ทศบารมีท่ีพระมหาบุรุษทรงใชผ้ จญมาร ? ๔๑. ใครเปน็ พระอนุพุทธะรปู แรก ? ก. ทาน ข. ศลี ก. พระโกณฑัญญะ ข. พระวปั ปะ ค. สมาธิ ง. ปัญญา ค. พระมหานามะ ง. พระอสั สชิ ๓๐. ญาณใดเปน็ เหตุให้รกู้ ารตายเกิดของสัตว์ทงั้ หลายได้ ? ๔๒. ขณะเสวยวิมตุ ตสิ ขุ ที่รตั นฆรเจดยี ์ ทรงพจิ ารณาอะไร ? ก. จุตปู ปาตญาณ ข. ทิพพจักขุ ก. พระสตู ร ข. พระวนิ ัย ค. ปุพเพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ง. อาสวกั ขยญาณ ค. พระอภิธรรม ง. เวไนยสัตว์ ๓๑. ราหุล ชาต มีความหมายว่าอย่างไร ? ๔๓. พระพุทธเจา้ ประทับใต้ต้นราชายตนะทรงพบใคร ? ก. หมดบ่วงแลว้ ข. หมดหว่ งแลว้ ก. พราหมณ์หหุ ุกชาติ ข. ตปุสสะภัลลิกะ ค. บว่ งเกิดแลว้ ง. ละบ่วงแลว้ ค. พระยามจุ ลนิ ท์ ง. ยสกุลบุตร ๓๒. การนึกถึงชรา พยาธิ มรณะเป็นเหตุใหบ้ รรเทาอะไร ? ๔๔. ผ้ทู เี่ ขา้ ใจธรรมได้ เมือ่ ผู้อ่ืนอธิบายความ เปรียบกับบัว ? ก. อกุศลวติ ก ๓ ข. ความเมา ๓ ก. บวั พ้นน้า ข. บัวเสมอนา้ ค. ตัณหา ๓ ง. อกุศลมูล ๓ ค. บวั ไมพ่ น้ นา้ ง. บัวในตม ๓๓. พระมหาบรุ ุษทรงหาอบุ ายแก้ความเมา ๓ ประการด้วย ๔๕. หลังตรัสรู้ พระองค์ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมปุ บาททใ่ี ด ? วธิ ใี ด ? ก. พระศรีมหาโพธิ์ ข. ราชายตนะ ก. ทรงศึกษาไตรเพท ข. ประทบั ในปราสาท ค. อชปาลนิโครธ ง. มุจลินท์ ค. เสดจ็ ออกบรรพชา ง. เสด็จประพาสป่า
๗๐ ๔๖. ผ้ทู ส่ี ามารถเข้าใจได้ เมอื่ คนอืน่ อธิบายความ ตรงกบั ? ๕๗. อาทติ ตปริยายสตู ร กล่าวถงึ เรอื่ งอะไร ? ก. อคุ ฆฏติ ัญญู ข. วิปจติ ัญญู ก. ทุจรติ ๓ ข. สกิ ขา ๓ ค. เนยยะ ง. ปทปรมะ ค. กุศลมูล ๓ ง. อคั คิ ๓ ๔๗. เตวาจกิ อบุ าสก คนแรกคอื ใคร ? ๕๘. กษัตริยใ์ ดปรารถนาให้พระอรหนั ต์มายงั แคว้นของตน ? ก. ตปสุ สะ ข. ภัลลิกะ ก. พระเจ้าพมิ พิสาร ข. พระเจา้ ปายาสิ ค. อนาถบิณฑิกะ ง. บดิ าพระยสะ ค. พระเจา้ พรหมทัต ง. พระเจ้าอุเทน ๔๘. ขอ้ ใด ไม่ใช่อนปุ ุพพิกถา ? ๕๙. พระราชอทุ ยานเวฬุวัน ได้ชอื่ มาจากต้นไม้ใด ? ก. ทาน ข. ศีล ก. ต้นไผ่ ข. ต้นตาล ค. ภาวนา ง. สวรรค์ ค. ตน้ มะม่วง ง. ต้นสาละ ๔๙. มชั ฌิมาปฏปิ ทา มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด ? ๖๐. เหตใุ ด ทรงประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธก่อน ? ก. ทรมานตน ข. ทางสายกลาง ก. ได้รบั นมิ นต์ ข. เป็นทางผา่ น ค. ทีส่ ุดโต่ง ง. ทสี่ ดุ แหง่ ทุกข์ ค. เปน็ เมืองเจรญิ ง. มเี จ้าลทั ธิอยู่มาก ๕๐. อนปุ ุพพกี ถาพระพทุ ธเจ้าตรสั พรรณนาเร่ืองอะไรก่อน? ๖๑. พระเจา้ พมิ พิสารไดด้ วงตาเหน็ ธรรม ไดฟ้ ังธรรมอะไร ? ก. การรกั ษาศีล ข. การออกบวช ก. รตนสตู ร ข. มหาสมยสูตร ค. การให้ทาน ง. สวรรค์ ค. ธชัคคสตู ร ง. อนปุ ุพพีกถา,อรยิ สจั ๕๑. พระยสะบรรลุอรหตั ผล เพราะฟงั ธรรมเทศนาอะไร ? ๖๒. ขอ้ ใด เรียกวา่ ปฏปิ ุจฉาพยากรณ์ ? ก. ธัมมจกั กัปปวตั ตนสูตร ก. ถามทลี ะข้อ ข. ตอบทีละขอ้ ข. อนตั ตลกั ขณสตู ร ค. ย้อนถามแล้วตอบ ง. ตอบทนั ที ค. อาทิตตปริยายสตู ร ๖๓. ขอ้ ใดไม่ใชบ่ รุ พบดิ รในการปุพพเปตพลขี องพราหมณ์ ? ง. อนปุ พุ พีกถาและอริยสัจ ก. บุตร ข. บิดา ๕๒. เรอ่ื งการรักษากายวาจาให้เรยี บรอ้ ยชอื่ ว่าอะไร ? ค. ปู่ ง. ทวด ก. ทานกถา ข. สีลกถา ๖๔. กษัตรยิ ผ์ เู้ ริ่มปุพพเปตพลีในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ค. สัคคกถา ง. กามาทนี วกถา ก. ปเสนทโิ กศล ข. พมิ พสิ าร ๕๓. คาว่า อุบาสกอบุ าสกิ า มีความหมายวา่ อย่างไร ? ค. อชาตศัตรู ง. สุทโธทนะ ก. ผู้น่ังใกล้พระพุทธ ข. ผูน้ งั่ ใกล้พระธรรม ๖๕. ใครประกาศว่า การบชู าเพลงิ ทปี่ ระพฤติไม่มแี ก่นสาร ? ค. ผู้น่ังใกลพ้ ระสงฆ์ ง. ผู้นั่งใกลพ้ ระรัตนตรยั ก. พระมหากสั สปะ ข. พระยส ๕๔. ขอ้ ใด เปน็ ใจความย่อของอาทิตตปริยายสูตร ? ค.พระอรุ เุ วลกัสสปะ ง.พระนทีกสั สปะ ก. สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ ๖๖. อุปสรรคของพระสาวกท่ีประกาศศาสนาในยุคแรกคอื ? ข. สิ่งท้ังปวงเป็นของไมเ่ ทยี่ ง ก. มีคนคัดคา้ น ข. มีคนดหู ม่ิน ค. สิง่ ทัง้ ปวงเปน็ อนัตตา ค. เดนิ ทางลาบาก ง. ใหบ้ วชเองไมไ่ ด้ ง. สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ๖๗. อนาถปณิ ฑิกเศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม ณ สถานท่ีใด ? ๕๕. พระพุทธเจ้าประดษิ ฐานพระศาสนาคร้ังแรกเมืองใด ? ก. เชตวัน ข. สีตวนั ก. กบิลพสั ดุ์ ข. เทวทหะ ค. เวฬวุ ัน ง. มคิ ทายวนั ค. สาวัตถี ง. ราชคฤห์ ๖๘. พระองค์เป็นศาสดาของขา้ พระองค์ ขา้ พระองคเ์ ป็น ๕๖. อาทิตตปริยายสตู ร ทรงแสดงแก่ใคร ? สาวก ใครกล่าว ? ก. ชฎลิ ๓ พ่นี อ้ ง ข. ยสกุลบุตร ก. พระมหากัสสปะ ข. พระคยากัสสปะ ค. ภัททวคั คีย์ ๓๐ ง. พระญาติ ค. พระอุรเุ วลกัสสปะ ง. พระนทีกัสสปะ
๗๑ ๖๙. ความปรารถนาข้อท๕่ี ของพระเจ้าพมิ พสิ ารว่าอย่างไร ? ๗๘. พระสาวกรปู ใด ได้ศิษย์ดีและเปน็ กาลังพระศาสนา ? ก. ขอพระอรหนั ตม์ าสู่แว่นแควน้ ของเรา ก. พระอสั สชิ ข. พระยส ข. ขอพระอรหันตแ์ สดงธรรมแก่เรา ค. พระอานนท์ ง. พระสารีบตุ ร ค. ขอใหเ้ ราได้ร้ทู ่ัวถึงธรรมของพระอรหันต์ ๗๙. พระสารบี ตุ รบรรลุพระอรหตั ผลท่ีไหน ? ง. ขอให้เราไดเ้ ขา้ ไปนั่งใกลพ้ ระอรหนั ต์ ก. ถ้าสกุ รขาตา ข. ถ้าสตั ตบรรณ ๗๐. ทรงประกาศพระศาสนาในกลมุ่ ชนใด ? ค. ภูเขาอสิ ิคิลิ ง. กัลลวาลมุตตคาม ก. เศรษฐี ๘๐. เหตใุ ด พระศาสดารับสั่งภกิ ษุผ้จู ะจาริกใหไ้ ปลาพระ ข. สามญั ชน สารบี ตุ รก่อน ? ค. นักบวชด้วยกัน ก. เรียนกัมมัฏฐาน ข. ใหส้ ง่ั สอน ง. เจา้ ลทั ธิและชนชั้นปกครอง ค. ส่งพระไปดว้ ย ง. ใหค้ าถากนั ภัย ๗๑. พุทธประสงค์หลักทสี่ ่งสาวกประกาศพระศาสนาคอื ? ๘๑. อปุ ตสิ สะ, โกลิตะไปดูมหรสพ คดิ อยา่ งไรจึงออกบวช ? ก. เพื่อเผยแผ่พระศาสนา ก. สง่ิ เหลา่ น้ีเปน็ มายา ข. เพ่ือทาใหโ้ ลกร่มเย็น ข. คนพวกนห้ี ลงละเลงิ ในกิเลส ค. เพื่อให้มหาชนหมดกิเลส ค. คนพวกนีไ้ มถ่ ึงร้อยปีก็ตาย ง. เพอ่ื ประโยชน์สขุ แกม่ หาชน ง. คนพวกนี้หลอกลวงพวกเรา ๗๒. ข้อใด เรยี กวา่ ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ? ๘๒. ใครไดร้ ับยกย่องวา่ เป็นแบบอยา่ งทดี่ ีของผมู้ ีความ ก. ย้อนถามแล้วจึงแกป้ ญั หา กตญั ญูกตเวที ? ข. แยกปญั หาแกท้ ลี ะขอ้ ก. พระราหุล ข. พระสารีบุตร ค. แก้ปัญหาน้นั โดยส่วนเดยี ว ค. พระอานนท์ ง. พระอบุ าลี ง. ระงับไม่แก้ปัญหานัน้ ๘๓. ตณั หักขยธรรม พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงที่ไหน ? ๗๓. อุปตสิ สะได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะฟงั ธรรมจากใคร ? ก. ถ้าสุกรขาตา ข. อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ก. พระโกณฑญั ญะ ข. พระวปั ปะ ค. วัดเวฬุวนั ง. กัลลวาลมตุ ตคาม ค. พระภัททิยะ ง. พระอัสสชิ ๘๔. พระสาวกผู้มีธรรมเปน็ เครอื่ งอย่เู สมอดว้ ยพระพุทธเจา้ ? ๗๔. ใครไดฟ้ ังเวทนาปริคคหสูตรแล้วสาเร็จพระอรหันต์ ? ก. พระอนุรุทธะ ข. พระอานนท์ ก. พระสารบี ตุ ร ข. พระโมคคลั ลานะ ค. พระมหากสั สปะ ง. พระอบุ าลี ค. พระภทั ทิยะ ง. พระอานนท์ ๘๕. พระเจา้ จัณฑปัชโชตทรงสดบั ธรรมครัง้ แรกจากใคร ? ๗๕. ข้อใดไม่ใช่อบุ ายแกง้ ว่ งท่ีตรสั สอนพระโมคคัลลานะ ? ก. พระพทุ ธเจา้ ข. พระมหากจั จายนะ ก. ฉนั อาหาร ข. เดินจงกรม ค. พระมหาโมคคลั ลานะ ง. พระมหากัสสปะ ค. สาธยายธรรม ง. ลบู นยั นต์ า ๘๖. ความแตกฉานในภาษา เรยี กว่าอะไร ? ๗๖. ทฆี นขปรพิ าชกยกยอ่ งพระเทศนาของพระพุทธเจ้า ก. ธมั มปฏิสัมภิทา ข. อตั ถปฏิสมั ภิทา เปรยี บเหมือนอะไร ? ค. นริ ุตติปฏิสมั ภิทา ง. ปฏิภาณปฏสิ ัมภทิ า ก. เทนา้ คว่าขัน ข. หงายของท่คี วา่ ๘๗. ใครต้งั สานกั อย่ทู ี่ฝงั่ แม่น้าโคธาวารี ? ค.หว้ งนา้ ลกึ ง. รอยเท้าชา้ ง ก. ชฎิลพน่ี ้อง ข. สัญชยั ปรพิ าชก ๗๗. โกลติ ะทากติกากับใครว่า ผใู้ ดบรรลธุ รรมวเิ ศษก่อนจง ค. อาฬารดาบส ง. พราหมณ์พาวรี บอกแกก่ นั ? ๘๘. ใครถามว่าโลกคือหมสู่ ตั ว์ถูกอะไรปดิ บังหลงอยู่ในทมี่ ืด? ก. ยสกุลบุตร ค. คยากสั สปะ ข. อัสสชิ ก. อชิตมาณพ ข. ปิงคิยมาณพ ง. อปุ ตสิ สะ ค. นันทมาณพ ง. โมฆราชมาณพ
๗๒ ๘๙. มาณพ ๑๖ คนเม่ือบวชแลว้ ใครไดร้ บั เอตทัคคะจาก ๙๙. พระอานนทบ์ รรลุโสดาปัตติผล ฟงั ธรรมจากใคร ? พระพทุ ธเจ้า ? ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระวปั ปะ ก. พระปงิ คิยะ ข. พระโมฆราช ค. พระปุณณมันตานีบุตร ง. พระอัสสชิ ค. พระอุทยะ ง. พระโปสาละ ๑๐๐. เจา้ ศากยะให้อุบาลีชา่ งกลั บกบวชกอ่ นเพราะเหตุใด ? ๙๐. พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า อะไรเปน็ ภยั ใหญ่ของ ก. อายมุ ากกวา่ ข. ทากติกากนั ไว้ สตั วโ์ ลก ? ค. เพอื่ ละมานะ ง. บรรลธุ รรมกอ่ น ก. ลาภ ข. ยศ ๑๐๑. เจ้าชายศากยะท้งั ๖ ให้อุบาลีบวชกอ่ นเพราะเหตุใด ? ค. สุข ง. ทกุ ข์ ก. พระประสงค์ของพระพทุ ธเจา้ ๙๑. บรรดามาณพ ๑๖ คน ใครบรรลุธรรมช้ากว่าเพ่ือน ? ข. ต้องการลดทิฐิมานะ ก. อชติ มาณพ ข. ปิงคิยมาณพ ค. ความประสงค์ของอุบาลี ค. อุทยมาณพ ง. โปสาลมาณพ ง. ให้ผมู้ ีอายมุ ากบวชก่อน ๙๒. อะไรเปน็ ภยั ใหญข่ องสตั ว์โลก พระพุทธเจา้ ตรสั ตอบ ๑๐๒. พระอานนท์ไดด้ วงตาเห็นธรรมเพราะได้ฟังธรรมจาก? อชิตมาณพว่าอย่างไร ? ก. พระพทุ ธเจ้า ข. พระสารีบตุ ร ก. ลาภเป็นภยั ใหญ่ ข. ทุกขเ์ ปน็ ภยั ใหญ่ ค. พระปุณณมันตานีบตุ ร ง. พระอัสสชิ ค. ยศเปน็ ภยั ใหญ่ ง. โกรธเปน็ ภยั ใหญ่ ๑๐๓. ธรรมนเี้ ปน็ ของผู้มสี ติต้งั มนั่ ไม่ใช่ของผู้มีสตหิ ลงลืม ๙๓. ใครอปุ สมบทด้วยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจาเป็นรปู แรก ? เปน็ ความตรึกของพระสาวกรูปใด ? ก. พระรัฐบาล ข. พระอานนท์ ก. พระอบุ าลี ข. พระอนุรุทธะ ค. พระอนุรทุ ธะ ง. พระราธะ ค. พระอานนท์ ง. พระภทั ทิยะ ๙๔. ใครทูลขอว่ากุลบตุ รจะบวชใหบ้ ดิ ามารดาอนุญาตก่อน? ๑๐๔. พระเถระรปู ใด ตัดสนิ อธิกรณข์ องภกิ ษุณีมารดาพระ ก. พระเจา้ สุทโธทนะ ข. พระอานนท์ กุมารกสั สปะ ? ค. นางวสิ าขา ง. อนาถปณิ ฑกิ ะ ก. พระสารีบุตร ข. พระมหาโมคคัลลานะ ๙๕. พระศาสดาเสดจ็ กรงุ กบิลพัสด์ุตามคาทลู เชิญของใคร ? ค. พระสีวลี ง. พระอุบาลี ก.พระกาฬุทายี ข. พระอบุ าลี ๑๐๕. พระสาวกผู้สนบั สนนุ การบวชภกิ ษณุ เี ปน็ คร้งั แรก ? ค.พระอนรุ ทุ ธะ ง. พระอานนท์ ก. พระสารีบตุ ร ข. พระมหากัสสปะ ๙๖. ใครทลู เชญิ พระศาสดาเสดจ็ ไปกรุงกบลิ พสั ด์ุไดส้ าเร็จ ? ค. พระอบุ าลี ง. พระอานนท์ ก. พระกาฬุทายี ข. พระอานนท์ ๑๐๖. ธรรมเุ ทศ ๔ ใครแสดงแก่ใคร ? ค. พระอบุ าลี ง. พระราหลุ ก. พระสารีบุตรแสดงแก่พระเจา้ พิมพสิ าร ๙๗. ข้อใดเป็นเหตอุ ัศจรรยท์ ีเ่ กิด ขณะเสดจ็ กรุงกบิลพสั ดุ์ ? ข. พระอานนทแ์ สดงแก่พระเจา้ ปเสนทิโกศล ก. ฝนโปกขรพรรษตก ค. พระรฐั บาลแสดงแกพ่ ระเจ้าโกรพั ยะ ข. แสดงธรรมโปรดพระมารดา ง. พระมหากัจจายนะแสดงแก่พระเจ้าจัณฑปัชโชต ค. ดอกไม้ทิพยต์ กจากสวรรค์ ๑๐๗. พระสาวกรปู ใด อยใู่ นครรภ์มารดานานถึง ๗ ปี ๗ ง. แผน่ ดนิ ไหว เดอื น ๗ วัน ? ๙๘. พระเชษฐาของพระอนุรุทธเถระมนี ามวา่ อะไร ? ก. พระอบุ าลี ข. พระสวี ลี ก. มหานามะ ข. ภทั ทยิ ะ ค. พระวักกลิ ง. พระโสภิตะ ค. สปุ ปพทุ ธะ ง. สกุ โกทนะ ๑๐๘. ปาวาลเจดยี ์ เกดิ เหตกุ ารณอ์ ะไร ? ก. ทาทกุ รกริ ยิ า ข. แสดงปฐมเทศนา ค. ปลงอายสุ ังขาร ง. ปรินพิ พาน
๗๓ ๑๐๙. พระพุทธเจ้าตรัสเหตเุ กิดแผน่ ดินไหวกี่อย่าง ? ๑๒๐. ภิกษุณีรูปแรกชือ่ วา่ อะไร ? ก. ๗ ข. ๘ ก. ปชาบดโี คตมี ข. เขมา ค. ๙ ง. ๑๐ ค. ปฏาจารา ง. อุบลวัณณา ๑๑๐. อภิญญาเทสติ ธรรมที่ทรงแสดง ณ เมืองเวสาลี เรียก ๑๒๑. พระสาวกรปู ใดทูลขอใหม้ กี ารบวชภกิ ษณุ ีครั้งแรก ? อกี อย่างว่าอะไร ? ก. พระสารีบุตร ข. พระมหากสั สปะ ก. โพธปิ กั ขิยธรรม ข. วุฑฒธิ รรม ค. พระโกณฑญั ญะ ง. พระอานนท์ ค. อธษิ ฐานธรรม ง. พรหมวหิ าร ๑๒๒. ภิกษุณีผเู้ ป็นอคั รสาวิกาเบ้อื งขวา ชือ่ วา่ อะไร ? ๑๑๑. พระพุทธเจ้าทรงอยู่จาพรรษาสุดทา้ ย ณ สถานทใ่ี ด ? ก. ปชาบดโี คตมี ข. เขมา ก. ภัณฑุคาม ข. อัมพคาม ค. ธัมมทนิ นา ง. กสี าโคตมี ค. ชมั พคุ าม ง. เวฬวุ คาม ๑๒๓. พระสาวกผู้วสิ ัชชนาพระวินัยในสังคายนาคร้งั ท่ี ๑ ? ๑๑๒. พระกระยาหารม้อื สุดท้ายทพ่ี ระพุทธเจา้ เสวยก่อน ก. พระมหากสั สปะ ข. พระอานนท์ ปรินิพพาน คืออะไร ? ค. พระอนรุ ุทธะ ง. พระอุบาลี ก. ข้าวมธปุ ายาส ข. สัตตุกอ้ นสัตตุผง ๑๒๔. พระราชาผู้อปุ ถมั ภ์การสังคายนาครั้งท่ี ๑ คือใคร ? ค. ขา้ วยาคู ง. สกุ รมทั ทวะ ก. พระเจา้ มธุรราช ข. พระเจา้ ปายาสิ ๑๑๓. สถานทีใ่ ด ไมจ่ ัดอยู่ในสังเวชนียสถาน ? ค. พระเจา้ อชาตศตั รู ง. พระเจ้าอุเทน ก. ประสตู ิ ข. ตรสั รู้ ๑๒๕. พระโสณะและพระอุตตระ นาพระพุทธศาสนามาเผย ค. ปลงอายสุ ังขาร ง. ปรนิ พิ พาน แผ่ในดินแดนใด ? ๑๑๔. ปกุ กสุ บตุ รแหง่ มลั ละ ถวายผา้ ใดแก่พระพทุ ธเจา้ ? ก. สวุ รรณภมู ิ ข. โยนกประเทศ ก. ผ้าสิงควิ รรณ ข. ผ้ากาสี ค. แคว้นคันธาระ ง. ลงั กาทวีป ค. ผ้าสาฎก ง. ผ้ากมั พล ๑๒๖. คาวา่ อรหันต์ เกิดขึน้ มาตงั้ แต่คร้ังไหน ? ๑๑๕. ปจั ฉิมโอวาท กลา่ วถึงหมวดธรรมใด ? ก. ก่อนพุทธกาล ข. สมัยพทุ ธกาล ก. อปั ปมาทธรรม ข. สาราณียธรรม ค. หลังพุทธกาล ง. ปฐมสังคายนา ค. ฆราวาสธรรม ง. สงั คหวตั ถุ ๑๒๗. พระนางมหาปชาดโี คตมี แสดงความต้ังใจจะบวช ๑๑๖. พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงปจั ฉมิ โอวาทท่ีไหน ? อย่างไร ? ก. อมั พวัน ข. สาลวโนทยาน ก. อดอาหาร ข. กลัน้ ลมหายใจ ค. ป่าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ง. ลัฏฐวิ นั ค. ตัดพระเกศา ง. ออกไปอยู่ปา่ ๑๑๗. มลั ลกษัตริย์ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรรี ะ ณ ทใ่ี ด ? ๑๒๘. ใครรบั ครุธรรม ๘ ประการ เป็นคนแรก ? ก. สารนั ทเจดยี ์ ข. อเุ ทนเจดยี ์ ก. พระนางปชาบดีโคตมี ข. นางเขมา ค. ปาวาลเจดยี ์ ง.มกฏุ พันธนเจดยี ์ ค. นางโรหิณี ง. นางปฏาจารา ๑๑๘. ข้อใด ไมจ่ ัดเข้าในถูปารหบคุ คล ? ๑๒๙. ภิกษุณรี ปู ใด ได้รับยกย่องวา่ เปน็ ผูเ้ ลศิ ดา้ นพระวินัย ? ก. พระพุทธเจ้า ข. พระอรหันต์ ก. เขมาเถรี ข. อุบลวรรณาเถรี ค. พระเจา้ จักรพรรดิ ง. พระมหากษัตริย์ ค. ปฏาจาราเถรี ง. รปู นนั ทาเถรี ๑๑๙. ข้อใด จดั เป็นอทุ เทสิกเจดยี ์ ? ๑๓๐. พระนางเขมาเถรีไดร้ ับเอตทคั คะด้านใด ? ก. พระพุทธรูป ข. พระไตรปฎิ ก ก. มปี ญั ญามาก ข. มีฤทธม์ิ าก ค. พระสารรี กิ ธาตุ ง. บาตร ค. ชานาญสมาบัติ ง. มีความเพยี รมาก
๗๔ ๑๓๑. ดอกไม้ชนดิ ใด ตกจากสวรรคใ์ นวันพระศาสดา ๑๔๒. สงั เวชนยี สถานท้ัง ๔ แห่ง จัดเป็นเจดยี ป์ ระเภทใด ? ปรนิ ิพพาน ? ก. ธาตเุ จดยี ์ ข. บรโิ ภคเจดยี ์ ก. ดอกปาริฉัตร ข. ดอกสาละ ค. ธรรมเจดีย์ ง. อทุ เทสิกเจดยี ์ ค. ดอกบัวสวรรค์ ง. ดอกมณฑารพ ๑๔๓. พระสาวกรูปใด บรรลพุ ระอรหตั ในคืนก่อนทาปฐม ๑๓๒. พระกายของพระตถาคตผอ่ งใสยง่ิ นกั ในกาลใด ? สงั คายนา ? ก. ประสูติ ข. ตรสั รู้ ก. พระอบุ าลี ข. พระอานนท์ ค. ปรินิพพาน ง. ตรสั รแู้ ละปรนิ พิ พาน ค. พระสภุ ทั ทะ ง. พระฉนั นะ ๑๓๓. ใครเป็นผูถ้ วายผา้ สิงคิวรรณ ? ๑๔๔. ใครเปน็ อัครศาสนปู ถัมภกในการทาทุติยสังคายนา ? ก. ตปุสสะ ข. ปุกกสุ ะ ก. พระเจ้าอโศกมหาราช ข. พระเจ้าปเสนทิโกศล ค. ภลั ลิกะ ง. จุนทกัมมารบตุ ร ค. พระเจา้ กาฬาโศกราช ง. พระเจ้าอชาตศตั รู ๑๓๔. ข้อใด ไม่จดั เป็นถปู ารหบคุ คล ? ๑๔๕. การสังคายนาครั้งท่ี ๓ ปรารภเรื่องใด ? ก. พระพุทธเจ้า ข. พระอรหนั ต์ ก. เรอื่ งวตั ถุ ๑๐ ค. พระเจ้าจกั รพรรดิ ง. พระอนาคามี ข. เดยี รถยี ์ปลอมบวช ๑๓๕. ทูตท่ีมาขอแบ่งพระสารีริกธาตุคร้งั แรก มกี ี่พระนคร ? ค. ความเสื่อมถอย ก. ๖ พระนคร ข. ๗ พระนคร ง. จว้ งจาบพระธรรมวนิ ยั ค. ๘ พระนคร ง. ๙ พระนคร ๑๓๖. การทาสงั คายนาครัง้ ท่ี ๒ ปรารภเรื่องอะไร ? ก. วัตถุ ๑๐ ข. เดยี รถียป์ ลอมบวช ค. จารกึ ธรรม ง. จว้ งจาบธรรมวินยั ๑๓๗. อนั ตรธานใด เปน็ ลาดับสดุ ท้ายแห่งความเสือ่ มใน พระพุทธศาสนา ? ก. ปริยัติ ข. ปฏบิ ัติ ค. ปฏิเวธ ง. ธาตุ ๑๓๘. พระนางปชาบดี แสดงความตัง้ ใจจะบวชดว้ ยวิธใี ด ? ก. อดพระกระยาหาร ข. กล้นั ลมหายใจ ค. นั่งประทว้ ง ง. ตัดพระเมาลี ๑๓๙. พระเขมาเถรีได้รับเอตทคั คะด้านใด ? ก. มีปญั ญามาก ข. มฤี ทธิม์ าก ค. ชานาญสมาบตั ิ ง. มคี วามเพียรมาก ๑๔๐. อคั รสาวกิ าซ้ายขวาของพระพทุ ธเจ้า คือใคร ? ก. อบุ ลวรรณาเถรี รปู นนั ทาเถรี ข. อุบลวรรณาเถรี เขมาเถรี ค. เขมาเถรี ปฏาจาราเถรี ง. ธัมมทนิ นาเถรี รูปนันทาเถรี ๑๔๑. ผูป้ รารถนามีชีวิตอยูต่ ลอดอายุกปั ต้องเจริญธรรมใด ? ก. อิทธบิ าท ๔ ข. สงั คหวตั ถุ ๔ ค. พรหมวหิ าร ๔ ง. อธิษฐาน ๔
๗๕ แนวข้อสอบธรรมศึกษาช้ันเอก ๑๒. ขอ้ ใด เปน็ ปาณาติบาตเกิดทางวจีทวาร ? วชิ ากรรมบถ ก. ฆา่ เอง ข. ส่ังใหฆ้ ่า เลอื กคำตอบที่ถกู ตอ้ งเพียงข้อเดยี ว ค. คดิ จะฆา่ ง. พยายามฆา่ ๑. สตั วโ์ ลกมีทงั้ สขุ และทุกข์ ดว้ ยอานาจอะไร ? ๑๓. ข้อใด เปน็ อารมณแ์ ห่งปาณาติบาต ? ก. บุญ ข. บาป ก. ดนิ สอ ข. หนงั สอื ค. กรรม ง. เวร ค. ที่ดิน ง. สนุ ขั ๒. สิ่งใด พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าตรสั ว่าเปน็ กรรม ? ๑๔. กศุ ลกรรมบถข้อใด มุ่งสอนให้มีไมตรจี ติ ต่อกนั ? ก. เจตนา ข. อารมณ์ ก. ไม่ฆา่ สตั ว์ ข. ไม่ลักทรัพย์ ค. สงั ขาร ง. มลู ค. ไมพ่ ูดเท็จ ง. ไม่ส่อเสียด ๓. การกระทาทางใจ เรยี กว่าอะไร ? ๑๕. การกระทาทางกาย เรียกว่าอะไร ? ก. กายกรรม ข. วจกี รรม ก. กายกรรม ข. วจกี รรม ค. มโนกรรม ง. ผลกรรม ค. มโนกรรม ง. ถกู ทุกข้อ ๔. ทางแหง่ การทาความดี เรียกวา่ อะไร ? ๑๖. สิ่งทีใ่ จเข้าไปยึดเหนย่ี วเป็นเหตใุ หท้ ากรรม เรียกวา่ ก. กศุ ลกรรมบถ ข. อกุศลกรรมบถ อะไร ? ค. กศุ ลมลู ง. อกุศลมูล ก. เจตนา ข. เวทนา ๕. พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรอื่ งใด ? ค. อารมณ์ ง. สังขาร ก. เทพเจ้า ข. ปาฏหิ าริย์ ๑๗. กรรมเปน็ เหตนุ าสตั วไ์ ปสสู่ ุคตแิ ละทุคติ เรียกวา่ อะไร ? ค. กรรม ง. ไสยศาสตร์ ก. กรรมบถ ข. กรรมลิขิต ๖. สตั ว์ทั้งหลายล้วนเป็นไปตามกรรมเป็นของศาสนาใด ? ค. กรรมวิบาก ง. กรรมกเิ ลส ก. ครสิ ต์ ข. ซกิ ข์ ๑๘. วชิ ากรรมบถ พุทธศาสนิกชนต้องศึกษาเร่ืองใด ? ค. พทุ ธ ง. ฮนิ ดู ก. กรรมฐาน ข. ไตรสิกขา ๗. อกุศลกรรมบถข้อใด เกิดทางกายทวารอย่างเดยี ว ? ค. กรรม ง. ไตรลักษณ์ ก. ปาณาติบาต ข. อทินนาทาน ๑๙. ขอ้ ใด เปน็ ภพภูมิท่ีเกดิ ของสัตวท์ ั้งหลายขา้ งฝา่ ยดี ? ค. กาเมสุมจิ ฉาจาร ง. มสุ าวาท ก. สัตวเ์ ดรัจฉาน ข. อสูรกาย ๘. สุคตเิ ป็นภูมเิ กดิ ของสตั ว์จาพวกใด ? ค. มนษุ ย์ ง. เปรต ก. มนษุ ย์ ข. เดยี รัจฉาน ๒๐. ธรรมเป็นเหตใุ หเ้ กดิ ในทุคติ คืออะไร ? ค. เปรต ง. อสรุ กาย ก. กุศลกรรมบถ ข. อกุศลกรรมบถ ๙. สง่ิ ทใี่ จเขา้ ไปยึดแล้วเป็นเหตใุ หท้ ากรรม เรียกว่าอะไร ? ค. อนุสสติ ง. กสณิ ก. อารมณ์ ข. เวทนา ๒๑. ผู้ปรารถนาเกดิ ในสคุ ติจะตอ้ งทากรรมใด ? ค. สัญญา ง. เจตนา ก. อกศุ ลกรรม ข. กศุ ลกรรม ๑๐. อะไรเป็นมูลเหตุให้กระทากรรมชั่ว ? ค. บาปกรรม ง. เจตนากรรม ก. กศุ ลมูล ข. อกศุ ลมลู ๒๒. การกระทาที่จัดเป็นบุญเป็นบาป ข้นึ อยู่กับอะไร ? ค. กุศลกรรม ง. อกุศลกรรม ก. เวทนา ข. เจตนา ๑๑. ความรู้สึกในอารมณว์ า่ เป็นสุขทุกข์ เรียกวา่ อะไร ? ค. อารมณ์ ง. กุศลมูล ก. เจตนา ข. เวทนา ๒๓. คาว่า ปาณะ ในปาณาติบาต โดยปรมัตถ์ ได้แก่อะไร ? ค. อารมณ์ ง. สังขาร ก. จกั ขุนทรยี ์ ข. โสตินทรยี ์ ค. ฆานนิ ทรยี ์ ง. ชีวิตินทรีย์
๗๖ ๒๔ ขอ้ ใด เป็นผลกรรมของผู้กระทาปาณาตบิ าต ? ๓๖. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่อกุศลกรรมบถ ? ก. โรคมาก ข. ยากจน ก. อพยาบาท ข. อทนิ นาทาน ค. คนนินทา ง. ถูกใสร่ ้าย ค. มุสาวาท ง. มิจฉาทิฏฐิ ๒๕. จติ คดิ จะฆ่า เปน็ องคแ์ ห่งอกุศลกรรมบถข้อใด ? ๓๗. ขอ้ ใดเป็นอกุศลกรรมบถและรากเหง้าของอกุศลอ่นื ? ก. ปาณาตบิ าต ข. อทนิ นาทาน ก. ปาณาตบิ าต ข. พยาบาท ค. ผรุสวาจา ง. พยาบาท ค. อทนิ นาทาน ง. มสุ าวาท ๒๖. ข้อใด จดั เปน็ การทาความดีทางกายทวาร ? ๓๘. ทรัพย์สมบตั ิ จัดเปน็ อารมณ์ของอกุศลกรรมบถใด ? ก. ไม่โลภ ข. ไมป่ องรา้ ย ก. ปาณาติบาต ข. อทนิ นาทาน ค. ไมล่ ัก ง. ไมเ่ หน็ ผดิ ค. มุสาวาท ง. มิจฉาทิฏฐิ ๒๗. สง่ั คนอ่นื ไปลักทรัพย์ ละเมดิ อกศุ ลกรรมบถข้อใด ? ๓๙. ข้อใด เปน็ องค์แห่งปาณาติบาต ? ก. ปาณาตบิ าต ข. อทนิ นาทาน ก. ของมเี จ้าของ ข. สตั ว์มีชวี ิต ค. กาเมสุมิจฉาจาร ง. มสุ าวาท ค. พยายามพดู ง. เรอื่ งไมจ่ รงิ ๒๘. ผลกรรมของผู้กระทาอทินนาทาน ตรงกบั ข้อใด ? ๔๐. องคแ์ ห่งปาณาตบิ าตเป็นกรรมบถ เมื่อใด ? ก. พิการ ข. ขัดสน ก. สตั วม์ ีชวี ิต ข. รู้วา่ สัตวม์ ชี ีวติ ค. มที รัพย์ ง. คนนบั ถอื ค. จติ คดิ จะฆา่ ง. สัตวต์ าย ๒๙. จติ คิดจะลกั เปน็ องคแ์ ห่งอกุศลกรรมบถข้อใด ? ๔๑. ขอ้ ใด เปน็ วตั ถแุ หง่ ปาณาตบิ าต ? ก. ปาณาตบิ าต ข. อทินนาทาน ก. สตั วม์ ชี วี ิต ข. สัตวต์ าย ค. ผรุสวาจา ง. พยาบาท ค. ทรพั ย์สิน ง. เมรยั ๓๐. อทินนาทานมโี ทษมาก เพราะขโมยของบคุ คลใด ? ๔๒. ข้อใด เป็นโทษของการทาปาณาตบิ าต ? ก. มคี ณุ ธรรม ข. มยี ศ ก. ยากจน ข. ถูกโรคเบยี ดเบยี น ค. มที รัพย์ ง. มบี ริวาร ค. ถกู ใสร่ า้ ย ง. ขาดคนนับถือ ๓๑. ขอ้ ใด ไม่เปน็ วตั ถุแห่งอทินนาทาน ? ๔๓. ปาณะ ในคาวา่ ปาณาติบาต โดยปรมัตถ์ได้แก่อะไร ? ก. ของหวง ข. ของทิ้ง ก. วตั ถสุ ิง่ ของ ข. รา่ งกาย ค. ของฝาก ง. ของยมื ค. ชวี ติ ินทรีย์ ง. อารมณ์ ๓๒. กาเมสมุ ิจฉาจาร เกิดขึ้นทางทวารใด ? ๔๔. ขอ้ ใด เป็นผลของการทากาเมสมุ ิจฉาจาร ? ก. กายทวาร ข. วจที วาร ก. ถกู กลา่ วหา ข. อายสุ น้ั ค. มโนทวาร ง. ถูกทุกขอ้ ค. ทรัพย์สูญหาย ง. หยา่ รา้ ง ๓๓. องค์แหง่ กาเมสุมิจฉาจาร เป็นกรรมบถเมื่อใด ? ๔๕. สง่ั ใหเ้ ขาลกั ทรพั ย์ เปน็ กายกรรมเกดิ ข้นึ ทางทวารใด ? ก. ลกั มาได้ ข. จติ ยนิ ดี ก. กายทวาร ข. วจที วาร ค. คนเข้าใจ ง. เรื่องไมจ่ รงิ ค. มโนทวาร ง. ถูกทุกข้อ ๓๔. สทารสันโดษ หมายถงึ ความพึงพอใจในเรื่องใด ? ๔๖. งดเว้นจากการผิดในกาม เป็นกศุ ลกรรมบถทางใด ? ก. คูค่ ดิ ข. คคู่ รอง ก. กายทวาร ข. วจที วาร ค. คูเ่ ทีย่ ว ง. คูห่ ู ค. มโนทวาร ง. ถูกทุกข้อ ๓๕. ปัญหาสังคมทเ่ี กดิ จากกาเมสมุ จิ ฉาจารคือข้อใด ? ก. ยาเสพติด ข. การพนนั ค. แตกสามคั คี ง. ทางเพศ
๗๗ ๔๗. ข้อใด เปน็ ความหมายของอกุศลกรรมบถ ? ๕๗. ผลจากการปาณาตบิ าตมีโทษเบาทีส่ ดุ ตรงกับข้อใด ? ก. กรรมนาสัตวไ์ ปสู่สคุ ตภิ มู ิ ก. เป็นสัตวเ์ ดรจั ฉาน ข. เปน็ ผู้มีอายุส้นั ข. กรรมนาสตั วไ์ ปส่ทู คุ ตภิ มู ิ ค. เกดิ เปน็ สตั ว์นรก ง. เกิดในอบายภูมิ ค. กรรมนาสัตวไ์ ปสเู่ ทวภูมิ ๕๘. นายนันทะ ฆ่าโคเอาเนื้อไปขาย ได้รับผลกรรมใด ? ง. กรรมนาสัตวไ์ ปส่มู นุษยภูมิ ก. เกดิ เปน็ สตั ว์เดรัจฉาน ข. เกดิ ในนรกอเวจี ๔๘. ขอ้ ใดไม่ใชอ่ กุศลกรรมบถทางกาย ? ค. เกิดเปน็ อสรู กาย ง. เกดิ เป็นเปรต ก. ปาณาติบาต ข. อทนิ นาทาน ๕๙. ขอ้ ใด จัดเป็นวัตถแุ ห่งอทนิ นาทาน ? ค. กาเมสุ มิจฉาจาร ง. มสุ าวาท ก. ของทเี่ จ้าของลืมไว้ ข. ของทเ่ี จ้าของโยนท้งิ ๔๙. เหตทุ ่ีใหส้ ตั วป์ ระพฤติอกุศลกรรมบถ เรยี กวา่ อะไร ? ค. ของที่เจา้ ของยกให้ ง. ของทเี่ จา้ ของเสียสละ ก. กศุ ลมลู ข. อกศุ ลมูล ๖๐. ฉ้อราษฎร์บงั หลวง ล่วงอกศุ ลกรรมบถใด ? ค. กุศลจิต ง. อกศุ ลจติ ก. อทนิ นาทาน ข. กาเมสุมจิ ฉาจาร ๕๐. ข้อใด จัดเป็นการทาความดที างกาย ? ค. พยาบาท ง. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ก. ไม่โลภอยากได้ ๖๑. ข้อใด จดั เป็นองค์แห่งอทินนาทาน ? ข. ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ย ก. จติ คิดจะฆ่า ข. จติ คดิ จะลกั ค. ไมล่ กั ของของคนอน่ื ค. จติ คดิ จะเสพ ง. จิตคดิ จะพดู ส่อเสียด ง. ไม่เหน็ ผิดจากคลองธรรม ๖๒. ส่ังใหค้ นอ่ืนลกั ทรัพย์ เปน็ อทนิ นาทานเกิดทางใด ? ๕๑. อกุศลกรรมบถข้อใด ไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ ทางกายทวาร ? ก. กายทวาร ข. วจีทวาร ก. ปาณาติบาต ข. อทินนาทาน ค. มโนทวาร ง. ถกู ทกุ ขอ้ ค. สมั ผปั ปลาปะ ง. กาเมสุ มจิ ฉาจาร ๖๓. ขอ้ ใด เป็นผลกรรมจากการลว่ งละเมิดอทนิ นาทาน ? ๕๒. องคแ์ ห่งปาณาติบาตข้อใด ทาใหส้ าเรจ็ เปน็ กรรมบถ ? ก. ทรพั ย์สินสูญหาย ข. รายไดเ้ พิ่มพูน ก. สัตว์มีชวี ติ ค. ตระกูลมงั่ คงั่ ง. อายุยงั่ ยนื ข. ร้วู ่าสัตว์มีชีวติ ๖๔. การประพฤติผดิ ในกาม ตรงกบั สุภาษิตใด ? ค. จิตคดิ จะฆ่า ก. ข่ชี า้ งจบั ตกั๊ แตน ข. พดู ไปสองไพเบ้ยี ง. สัตว์ตายด้วยความพยายาม ค. เกบ็ เบี้ยใตถ้ นุ ร้าน ง. เจ้าชู้ไกแ่ จ้ ๕๓. ปาณะ โดยสมมติสัจจะ ไดแ้ กอ่ ะไร ? ๖๕. กาเมสุมิจฉาจาร เกิดข้นึ ทางทวารใด ? ก. ชวี ติ นิ ทรีย์ ข. สตั ว์ ก. ไตรทวาร ข. กายทวาร ค. สงั ขาร ง. วิญญาณ ค. วจีทวาร ง. มโนทวาร ๕๔. ปาณาตบิ าต มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด ? ๖๖. ปรทารคมนะ หมายถึง การลว่ งละเมิดในบคุ คลใด ? ก. โลภอยากได้ ข. ทาใหเ้ สียชวี ิต ก. คู่ครองตนเอง ข. คคู่ รองคนอ่ืน ค. ลกั ของคนอืน่ ง. ปองร้ายคนอืน่ ค. หญงิ ทีญ่ าติรักษา ง. หญิงท่ีมารดารกั ษา ๕๕. ฆา่ ชา้ งเอางา มโี ทษมาก เพราะเหตุใด ? ๖๗. สทารสนั โดษ มคี วามหมายตรงกับข้อใด ? ก. เปน็ สตั ว์ใหญ่ ข. เป็นสตั วน์ ่ารกั ก. มากรักหลายใจ ข. รกั ง่ายหน่ายเร็ว ค. เปน็ สตั ว์แสนรู้ ง. เปน็ สัตวม์ กี าลัง ค. รกั เดียวใจเดียว ง. รักสามเส้า ๕๖. คนทาปาณาติบาต โดยมากมีจติ ใจเชน่ ไร ? ๖๘. ละเมิดกาเมสมุ จิ ฉาจาร สง่ ผลในชาตหิ น้าอยา่ งไร ? ก. เจา้ เลห่ ์ ข. มารยา ก. เกิดในสุคติ ข. เกดิ ในทคุ ติ ค. มักโออ้ วด ง. โหดเห้ยี ม ค. เกดิ ในพรหมโลก ง. เกิดในเทวโลก
๗๘ ๖๙. กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ จัดเข้าในหลกั ธรรมใด ? ๘๑. ข้อใด เปน็ ปาณาติบาตเกิดขึน้ ทางวจีทวาร ? ก. ศีล ข. สมาธิ ก. ฆา่ ตัวตาย ข. ส่งั ให้ฆา่ ค. ปญั ญา ง. วมิ ตุ ติ ค. ถกู ยิงตาย ง. ลงมือฆ่า ๗๐. วจกี รรมข้อใด เรียกวา่ มุสาวาท ? ๘๒. ขอ้ ใด ไม่ใช่องค์แหง่ อทนิ นาทาน ? ก. พูดเท็จ ข. พดู คาหยาบ ก. วตั ถมุ ีเจ้าของ ข. ของสว่ นตัว ค. พูดส่อเสยี ด ง. พดู เพ้อเจอ้ ค. รวู้ ่ามเี จ้าของ ง. จติ คิดจะลกั ๗๑. การพูดเพ่ือหกั ประโยชนผ์ อู้ ่ืน ตรงกับข้อใด ? ๘๓. ข้อใด ไมจ่ ัดเป็นวัตถแุ ห่งอทินนาทาน ? ก. มุสาวาท ข. ปสิ ณุ วาจา ก. วตั ถทุ ่ีเขาทิ้ง ข. วตั ถทุ เ่ี ขาหวง ค. ผรสุ วาจา ง. สัมผัปปลาปะ ค. วตั ถุมีเจ้าของ ง. วตั ถุทเี่ ขาไม่ให้ ๗๒. องคแ์ หง่ มุสาวาทใดทาให้สาเร็จเปน็ อกุศลกรรมบถ ? ๘๔. ขอ้ ใด เป็นผลของการทาอทนิ นาทาน ? ก. สตั วต์ าย ข. ลกั มาได้ ก. ขดั สน ข. ถูกใสค่ วาม ค. ใจยนิ ดี ง. คนอื่นเข้าใจ ค. อายสุ นั้ ง. มีศัตรูคเู่ วร ๗๓. คาพูดสอ่ เสยี ด ก่อให้เกิดผลอยา่ งไร ? ๘๕. กาเมสุมจิ ฉาจาร เกดิ ขึ้นทางทวารใด ? ก. เสยี ประโยชน์ ข. หลงเช่ือ ก. กายทวาร ข. วจีทวาร ค. แตกแยก ง. เจบ็ ใจ ค. มโนทวาร ง. ถูกทกุ ขอ้ ๗๔. การพูดเอาดีใสต่ วั เอาชั่วใสผ่ ู้อ่นื ตรงกับข้อใด ? ๘๖. องคแ์ ห่งมสุ าวาททีใ่ ห้สาเรจ็ เปน็ กรรมบถ คือข้อใด ? ก. พดู เท็จ ข. พูดสอ่ เสยี ด ก. เร่ืองไมจ่ ริง ข. คิดจะพูดใหผ้ ดิ ค. พดู คาหยาบ ง. พดู เพ้อเจ้อ ค. พยายามพดู ง. คนอน่ื เขา้ ใจ ๗๕. เจตนาพดู คาเชน่ ใด ชอ่ื ว่าผรุสวาจา ? ๘๗. คาพดู เชน่ ไร เรยี กวา่ ปิสุณวาจา ? ก. คาเท็จ ข. คาหยาบ ก. พูดเท็จ ข. พดู สอ่ เสียด ค. คาส่อเสยี ด ง. คาเพอ้ เจ้อ ค. พดู คาหยาบ ง. พูดเพ้อเจอ้ ๗๖. ผรสุ วาจามีโทษมาก เพราะดา่ คนเชน่ ใด ? ๘๘. คาพูดเจตนาทาให้คนอืน่ แตกแยก เรียกวา่ อะไร ? ก. มคี วามรู้ ข. มีทรัพย์ ก. มสุ าวาท ข. ปิสุณวาจา ค. มอี านาจ ง. มคี ุณธรรม ค. ผรสุ วาจา ง. สมั ผปั ปลาปะ ๗๗. เจตนาของผพู้ ูดผรสุ วาจา ตรงกบั ข้อใด ? ๘๙. คาพูดเจตนาทาลายเผาใจคนฟงั เรยี กวา่ อะไร ? ก. ใหเ้ ขา้ ใจผิด ข. ให้แตกแยก ก. มสุ าวาท ข. ปสิ ุณวาจา ค. ให้เจบ็ ใจ ง. ให้หลงเช่อื ค. ผรสุ วาจา ง. สัมผัปปลาปะ ๗๘. สัมผัปปลาปะ คอื การพดู เชน่ ไร ? ๙๐. ข้อใด เป็นกุศลกรรมบถเกดิ ขึ้นทางวจีทวาร ? ก. โกหก ข. ยุยง ก. กราบพระ ข. สวดมนต์ ค. หยาบ ง. ไร้สาระ ค. ฟังเทศน์ ง. นงั่ สมาธิ ๗๙. เจตนาเปน็ เหตลุ ะโมบ ตรงกับข้อใด ? ๙๑. เจตนากล่าวถ้อยคาหาประโยชนม์ ไิ ด้เรียกวา่ อะไร ? ก. อนภชิ ฌา ข.อภชิ ฌา ก. มุสาวาท ข. ปิสณุ วาจา ค. พยาบาท ง. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ค. ผรสุ วาจา ง. สมั ผปั ปลาปะ ๘๐. บคุ คลเชน่ ไร เรียกว่าลุแก่อานาจอภิชฌา ? ๙๒. พูดอย่างไร จัดเปน็ สัมผปั ปลาปะ ? ก. โลภมาก ข. พูดมาก ก. พดู โกหก ข. พดู เพ้อเจอ้ ค. รา้ ยมาก ง. คดิ มาก ค. พดู สอ่ เสยี ด ง. พูดคาหยาบ
๗๙ ๙๓. เจตนาเปน็ เหตใุ ห้คนพูดเทจ็ เรยี กว่าอะไร ? ๑๐๕. ข้อใด เพียงแค่คิดกส็ าเร็จเปน็ กรรมบถได้ ? ก. มุสาวาท ข. ปสิ ณุ วาจา ก. อทนิ นาทาน ข. มสุ าวาท ค. สัมผปั ปลาปะ ง. ผรุสวาจา ค. ผรุสวาจา ง. พยาบาท ๙๔. ข้อใด จัดเป็นวจกี รรม ? ๑๐๖. อกศุ ลกรรมบถขอ้ ใด จัดเปน็ มโนกรรม ? ก. อภิชฌา ข. พยาบาท ก. ลักทรัพย์ ข. พูดเท็จ ค. มจิ ฉาทิฏฐิ ง. มุสาวาท ค. พดู เพ้อเจอ้ ง. ปองรา้ ย ๙๕. ข้อใด จดั เป็นวจีกรรมในอกศุ ลกรรมบถ ? ๑๐๗. อกุศลกรรมบถข้อใด มีโทษมากท่ีสุด ? ก. ปาณาตบิ าต ข. อทนิ นาทาน ก. อภชิ ฌา ข. พยาบาท ค. มุสาวาท ง. พยาบาท ค. มิจฉาทิฏฐิ ง. มุสาวาท ๙๖. เจตนาเชน่ ไร เรยี กวา่ มสุ าวาท ? ๑๐๘. อกุศลกรรมบถทางกาย ตรงกบั ข้อใด ? ก. เจตนาพดู เท็จ ข. เจตนาพูดหยาบ ก. เห็นผิด ข. ทาผดิ ค. เจตนาพดู ส่อเสียด ง. เจตนาพูดเพ้อเจ้อ ค. พูดผิด ง. คดิ ผิด ๙๗. เจตนาเชน่ ไร เรียกว่า ผรสุ วาจา ? ๑๐๙. มิจฉาทฏิ ฐิ โดยสภาวะ ไดแ้ ก่กิเลสใด ? ก. เจตนาพดู เทจ็ ข. เจตนาพดู หยาบ ก. โลภะ ข. โทสะ ค. เจตนาพดู ส่อเสยี ด ง. เจตนาพดู เพ้อเจ้อ ค. โมหะ ง. มานะ ๙๘. ปสิ ุณวาจา เปน็ สาเหตขุ องปัญหาสังคมดา้ นใด ? ๑๑๐. ข้อใด เปน็ อกุศลกรรมบถเกิดขน้ึ ทางมโนทวาร ? ก. หยา่ ร้าง ข. เหน็ แก่ตวั ก. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ข. มสุ าวาท ค. โหดร้าย ง. แตกแยก ค. ผรุสวาจา ง. พยาบาท ๙๙. คนทีพ่ ดู มสุ าเป็นอาจิณ ย่อมได้รบั ผลกรรมอยา่ งไร ? ๑๑๑. โลภะ เป็นสมุฏฐานใหเ้ กิดอะไร ? ก. เกิดในนรก ข. ถกู ใสค่ วาม ก. ความรนุ แรง ข. ความอยากได้ ค. คนไม่เชื่อถือ ง. ถูกทุกขอ้ ค. ความอาฆาต ง. ความงมงาย ๑๐๐. คาพูดทเี่ ป็นผรุสวาจา ผ้พู ดู มเี จตนาเชน่ ไร ? ๑๑๒. คิดอยา่ งไร จัดเปน็ พยาบาท ? ก. เจตนาหลอกลวง ข. เจตนารา้ ย ก. คิดอยากได้ ข. คิดจะฆา่ ค. เจตนาอยากได้ ง. เจตนาดี ค. คิดจองเวร ง. คิดจะลกั ๑๐๑. เจตนาพดู เผาผลาญจติ ของผู้ฟงั เรียกว่าอะไร ? ๑๑๓. ข้อใด เป็นมโนกรรมอย่างเดียว ? ก. มสุ าวาท ข. ปสิ ณุ วาจา ก. ปาณาติบาต ข. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ค. ผรุสวาจา ง. สัมผัปปลาปะ ค. อทนิ นาทาน ง. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ๑๐๒. พดู ผรุสวาทเปน็ นิตย์ ยอ่ มได้รบั ผลกรรมในขอ้ ใด ? ๑๑๔. เพ่งเล็งทรพั ยข์ องผอู้ ่นื มาเพื่อตน เรยี กว่าอะไร ? ก. ได้ยนิ คาระคายหู ข. ไดย้ ินคาไร้สาระ ก. อภชิ ฌา ข. พยาบาท ค. ไดย้ นิ คาหลอกลวง ง. ไดย้ นิ คาเพ้อเจ้อ ค. มิจฉาทิฏฐิ ง. อนภิชฌา ๑๐๓. คาพูดเชน่ ไร เรียกว่า สัมผัปปลาปะ ? ๑๑๕. อกศุ ลกรรมบถใด เกิดขึ้นด้วยอานาจความโลภ ? ก. คาพูดโกหก ข. คาพูดสอ่ เสยี ด ก. มุสาวาท ข. อภิชฌา ค. คาพูดเพอ้ เจ้อ ง. คาพูดหยาบคาย ค. พยาบาท ง. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ๑๐๔. คิดใหผ้ ูอ้ ่ืนประสบความพินาศ ตรงกับข้อใด ? ๑๑๖. ขอ้ ใด เป็นอกุศลกรรมบถเกดิ ขน้ึ ทางใจ ? ก. อภิชฌา ข. อนภิชฌา ก. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ข. อทนิ นาทาน ค. พยาบาท ง. มิจฉาทฏิ ฐิ ค. ผรสุ วาจา ง. ปสิ ณุ วาจา
๘๐ ๑๑๗. ความเชอื่ เรือ่ งใด จัดเป็นมิจฉาทฏิ ฐิ ? ๑๒๙. ข้อใด เป็นการทาความดีทางกาย ? ก. ทาดไี ดด้ ี ข. ทานไม่มีผล ก. ไมข่ โมย ข. ไมล่ ะโมบ ค. ทาช่ัวได้ชวั่ ง. บญุ มผี ลดี ค. ไมพ่ ยาบาท ง. ไม่เห็นผิด ๑๑๘. ความเหน็ ว่าพ่อแม่เปน็ ผู้มีพระคณุ จดั เป็นทฏิ ฐิใด ? ๑๓๐. กุศลกรรมบถข้อใด สร้างความไวว้ างใจในคูค่ รอง ? ก. สมั มาทิฏฐิ ข. นัตถกิ ทิฏฐิ ก. ไม่โลภ ข. ไมผ่ ิดในกาม ค. อเหตุกทิฏฐิ ง. อกริ ิยทิฏฐิ ค. ไมป่ องรา้ ย ง. ไม่เหน็ ผดิ ๑๑๙. ความคดิ ทาใหผ้ ู้อ่นื ถงึ ความพินาศ เรียกว่าอะไร ? ๑๓๑. พูดเพ่อื สมานฉนั ท์ปฏบิ ัตติ ามกุศลกรรมบถข้อใด ? ก. อภิชฌา ข. พยาบาท ก. เว้นพดู เทจ็ ข. เวน้ พดู ส่อเสียด ค. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ง. อนภิชฌา ค. เว้นพูดคาหยาบ ง. เวน้ พดู เพ้อเจ้อ ๑๒๐. ขอ้ ใด จัดเป็นองค์ของอภิชฌา ? ๑๓๒. การพดู อย่างมเี หตุผล ควรงดเว้นคาพูดเชน่ ใด ? ก. คิดนอ้ มมาเป็นของตน ข. ของที่เพง่ เลง็ มีค่ามาก ก. มสุ าวาท ข. ผรุสวาจา ค. เจา้ ของมีคุณมาก ง. ผเู้ พ่งเลง็ มกี เิ ลสกล้า ค. ปสิ ณุ วาจา ง. สมั ผัปปลาปะ ๑๒๑. โทษทเี่ กดิ จากพยาบาทปองรา้ ยคนอืน่ ตรงกับข้อใด ? ๑๓๓. ไมค่ ิดอยากได้ของเขา จดั เป็นมโนกรรมข้อใด ? ก. เสียของรกั ข. เสยี อวัยวะ ก. อภิชฌา ข. อนภชิ ฌา ค. เสยี ทรพั ยส์ ิน ง. ถูกทุกข้อ ค. อพยาบาท ง. สมั มาทฏิ ฐิ ๑๒๒. ความเห็นในข้อใด จัดเปน็ มจิ ฉาทิฏฐิ ? ๑๓๔. การเห็นวา่ ทานที่ใหแ้ ล้วมผี ล จดั เป็นความเห็นใด ? ก. ทาชวั่ ไดช้ วั่ ข. ทาบุญไดบ้ ญุ ก. อกริ ยิ ทิฏฐิ ข. อเหตุกทิฏฐิ ค. ทาชวั่ ไดด้ ี ง. ทาดไี ดด้ ี ค. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ง. สมั มาทฏิ ฐิ ๑๒๓. อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทฏิ ฐิ เกดิ ข้ึนทางทวารใด ? ๑๓๕. เม่อื ผ้ปู ระพฤตกิ ศุ ลกรรมบถตายลง คติเป็นอย่างไร ? ก. กายทวาร ข. วจีทวาร ก. เขา้ ถงึ ทุคติ ข. เข้าถงึ อบาย ค. มโนทวาร ง. ไตรทวาร ค. เข้าถึงสุคติ ง. เข้าถงึ นรก ๑๒๔. วิถที างของผปู้ ระพฤติอกุศลกรรมบถ ตรงกบั ข้อใด ? ๑๓๖. กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ จดั เขา้ ในหลกั ธรรมใด ? ก. สวรรค์ ข. พรหม ก. ศีล ข. สมาธิ ค. มนษุ ย์ ง. อสรุ กาย ค. ปัญญา ง. วิมตุ ติ ๑๒๕. การไม่เบียดเบยี นกันในโลก จัดเปน็ อุปนิสยั ใด ? ๑๓๗. การไม่คิดอยากไดใ้ นทางผิดศีลธรรม เรียกวา่ อะไร ? ก. สลี ูปนิสัย ข. ทานปู นิสัย ก. อภชิ ฌา ข. อนภชิ ฌา ค. ภาวนูปนสิ ยั ง. ถกู ทกุ ขอ้ ค. มิจฉาทิฏฐิ ง. สมั มาทฏิ ฐิ ๑๒๖. ข้อใด เป็นความหมายของคาวา่ อารมณ์ ? ๑๓๘. อพยาบาท เปน็ เหตุงดเว้นอกศุ ลกรรมบถใด ? ก. สว่ นแห่งธรรม ข. สิง่ ทใี่ จเข้าไปยดึ ถือ ก. ปาณาตบิ าต ข. อทินนาทาน ค. การเสวยอารมณ์ ง. สงิ่ ทเี่ ป็นรากเง้ากศุ ล ค. มสุ าวาท ง. ปิสุณวาจา ๑๒๗. กรรมบถใด จัดเป็นวจกี รรมฝา่ ยกุศล ? ๑๓๙. อโมหะ เป็นรากเหงา้ ของกุศลกรรมบถใด ? ก. ไม่โกหก ข. ไม่ละโมบ ก. อนภิชฌา ข. อพยาบาท ค. ไมป่ องรา้ ย ง. ไมเ่ หน็ ผดิ ค. สมั มาทฏิ ฐิ ง. ถูกทุกขอ้ ๑๒๘. ผู้งดเวน้ จากการฆา่ สตั วจ์ ะได้รับผลเชน่ ไร ? ๑๔๐. การพดู ให้เกดิ ความสมานฉันท์ ตรงขา้ มกบั ขอ้ ใด ? ก. สุขภาพดี ข. มีทรพั ย์ ก. มุสาวาท ข. ผรสุ วาจา ค. คนเชอ่ื ถือ ง. มปี ญั ญา ค. ปสิ ณุ วาจา ง. สัมผัปปลาปะ
๘๑ ๑๔๑. คาจรงิ คามีหลกั ฐาน แกอ้ กศุ ลกรรมบถข้อใด ? ก. ปาณาตบิ าต ข. อทนิ นาทาน ค. มุสาวาท ง. มจิ ฉาทฏิ ฐิ ๑๔๒. เว้นการพดู ให้แตกแยกกันเป็นกุศลกรรมบถข้อใด ? ก. เว้นมุสาวาท ข. เว้นผรุสวาจา ค. เวน้ ปิสุณวาจา ง. เวน้ สมั ผัปปลาปะ ๑๔๓. สมั มาทิฏฐิ โดยสภาวธรรม ไดแ้ ก่อะไร ? ก. อโลภะ ข. อโทสะ ค. อโมหะ ง. อนภชิ ฌา ๑๔๔. ขอ้ ใด เปน็ การทาความดีทางกาย ? ก. ไม่ลกั ขโมย ข. ไมเ่ ห็นผดิ ค. ไมล่ ะโมบ ง. ไมพ่ ยาบาท ๑๔๕. ขอ้ ใดเปน็ เคร่ืองรับรองผ้รู กั ษาศีลวา่ จะได้ไปสคุ ติ ? ก. สเี ลน สคุ ตึ ยนฺติ ข. สีเลน โภคสมฺปทา ค. สเี ลน นพิ พฺ ุตึ ยนตฺ ิ ง. ตสฺมา สลี วโิ สธเย ๑๔๖. ข้อใด จดั เปน็ ธรรมจรยิ าและสมจริยาทางวาจา ? ก. ละปาณาตบิ าต ข. ละอทนิ นาทาน ค. ละพยาบาท ง. ละสัมผปั ปลาปะ ๑๔๗. อปุ นสิ ยั ใดทาใหบ้ รรลเุ จโตวมิ ุตตแิ ละปัญญาวิมุตติ ? ก. กศุ ลกรรมบถ ข. อกศุ ลกรรมบถ ค. กศุ ลมลู ง. อกุศลมูล ๑๔๘. อปุ นิสัยใด เปน็ คุณลักษณะของผู้มีจิตใจเสียสละ ? ก. ทานปู นิสยั ข. สีลูปนสิ ยั ค. ภาวนูปนิสยั ง. ถูกทกุ ข้อ ๑๔๙. กุศลกรรมบถจะสาเร็จผลได้ ตอ้ งมเี จตนาเชน่ ไร ? ก. เจตนาก้าวล่วง ข. เจตนาละเมิด ค. เจตนาเพง่ เลง็ ง. เจตนางดเวน้ ๑๕๐. กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ จดั เข้าในหลกั ธรรมใด ? ก. ศีล ข. สมาธิ ค. ปัญญา ง. วมิ ตุ ติ
เฉลยวชิ าธรรมวิภาค ๘๒ ธรรมศึกษาชั้นตรี ๑.ก ๒.ข ๓.ค ๔.ข ๕.ค ๖.ก ๗.ค ๘.ก ๙.ก ๑๐.ค ๑๑.ค ๕๗.ก ๕๘.ก ๕๙.ง ๖๐.ง ๖๑.ก ๖๒.ก ๖๓.ค ๖๔.ค ๖๕.ก ๑๒.ข ๑๓.ค ๑๔.ค ๑๕.ก ๑๖.ก ๑๗.ก ๑๘.ง ๑๙.ค ๒๐.ข ๖๖.ข ๖๗.ก ๖๘.ก ๖๙.ง ๗๐.ค ๗๑.ข ๗๒.ค ๗๓.ค ๗๔.ข ๒๑.ก ๒๒.ก ๒๓.ก ๒๔.ก ๒๕.ง ๒๖.ก ๒๗.ค ๒๘.ข ๒๙.ค ๗๕.ง ๗๖.ข ๗๗.ง ๗๘.ก ๗๙.ง ๘๐.ง ๘๑.ข ๘๒.ก ๘๓.ก ๓๐.ก ๓๑.ข ๓๒.ก ๓๓.ข ๓๔.ก ๓๕.ก ๓๖.ค ๓๗.ค ๓๘.ง ๘๔.ง ๘๕.ก ๘๖.ง ๘๗.ก ๘๘.ค ๘๙.ง ๙๐.ข ๙๑.ข ๙๒.ข ๓๙.ก ๔๐.ก ๔๑.ง ๔๒.ค ๔๓.ก ๔๔.ข ๔๕.ก ๔๖.ง ๔๗.ข ๙๓.ข ๙๔.ค ๙๕.ง ๙๖.ข ๙๗.ค ๙๘.ค ๙๙.ก ๑๐๐.ก ๑๐๑.ง ๔๘.ค ๔๙.ก ๕๐.ก ๕๑.ก ๕๒.ง ๕๓.ก ๕๔.ค ๕๕.ข ๕๖.ข ๑๐๒.ค ๑๐๓.ง ๑๐๔.ค ๑๐๕.ข ๑๐๖.ค ๑๐๗.ข ๑๐๘.ข ๕๗.ก ๕๘.ค ๕๙.ค ๖๐.ข ๖๑.ง ๖๒.ก ๖๓.ค ๖๔.ง ๖๕.ก ๑๐๙.ค ๑๑๐.ก ๑๑๑.ค ๖๖.ก ๖๗.ก ๖๘.ง ๖๙.ข ๗๐.ค ๗๑.ง ๗๒.ค ๗๓.ข ๗๔.ข ๗๕.ค ๗๖.ค ๗๗.ก ๗๘.ค ๗๙.ก ๘๐.ค ๘๑.ค ๘๒.ข ๘๓.ง เฉลยวชิ าศาสนพธิ ี ๘๔.ก ๘๕.ค ๘๖.ก ๘๗.ข ๘๘.ก ๘๙.ค ๙๐.ข ๙๑.ค ๙๒.ข ธรรมศึกษาชน้ั ตรี ๙๓.ค ๙๔.ก ๙๕.ข ๙๖.ก ๙๗.ก ๙๘.ค ๙๙.ก ๑๐๐.ก ๑.ก ๒.ง ๓.ข ๔.ง ๕.ข ๖.ง ๗.ง ๘.ข ๙.ก ๑๐.ง ๑๑.ก ๑๐๑.ข ๑๐๒.ข ๑๐๓.ง ๑๐๔.ค ๑๐๕.ก ๑๐๖.ง ๑๐๗.ค ๑๒.ก ๑๓.ข ๑๔.ก ๑๕.ค ๑๖.ก ๑๗.ก ๑๘.ค ๑๙.ก ๒๐.ค ๑๐๘.ก ๑๐๙.ข ๑๑๐.ก ๑๑๑.ค ๑๑๒.ก ๑๑๓.ก ๑๑๔.ข ๒๑.ง ๒๒.ง ๒๓.ง ๒๔.ข ๒๕.ก ๒๖.ง ๒๗.ก ๒๘.ง ๒๙.ง ๑๑๕.ค ๑๑๖.ค ๑๑๗.ก ๑๑๘.ค ๑๑๙.ก ๑๒๐.ก ๑๒๑.ก ๓๐.ง ๓๑.ก ๓๒.ค ๓๓.ก ๓๔.ค ๓๕.ค ๓๖.ค ๓๗.ง ๓๘.ก ๑๒๒.ก ๑๒๓.ข ๑๒๔.ค ๑๒๕.ง ๑๒๖.ง ๑๒๗.ข ๑๒๘.ก ๓๙.ก ๔๐.ก ๔๑.ก ๔๒.ง ๔๓.ข ๔๔.ค ๔๕.ข ๔๖.ข ๔๗.ง ๑๒๙.ค ๑๓๐.ง ๑๓๑.ก ๑๓๒.ง ๑๓๓.ก ๑๓๔.ค ๑๓๕.ก ๔๘.ข ๔๙.ค ๕๐.ง ๕๑.ค ๕๒.ง ๕๓.ข ๕๔.ก ๑๓๖.ง ๑๓๗.ค ๑๓๘.ค ๑๓๙.ข ๑๔๐.ก ๑๔๑.ข ๑๔๒.ก ๑๔๓.ข ๑๔๔.ข ๑๔๕.ก ๑๔๖.ก ๑๔๗.ค ๑๔๘.ก ๑๔๙.ค เฉลยวิชาเบญจศีลเบญจธรรม ๑๕๐.ง ๑๕๑.ง ๑๕๒.ข ๑๕๓.ง ๑๕๔.ง ๑๕๕.ข ๑๕๖.ค ธรรมศึกษาชนั้ ตรี ๑๕๗.ง ๑๕๘.ข ๑๕๙.ค ๑๖๐.ค ๑๖๑.ก ๑๖๒.ง ๑๖๓.ก ๑๖๔.ค ๑๖๕.ง ๑๖๖.ง ๑๖๗.ข ๑๖๘.ค ๑๖๙.ข ๑๗๐.ง ๑.ก ๒.ค ๓.ข ๔.ก ๕.ข ๖.ก ๗.ก ๘.ก ๙.ข ๑๐.ข ๑๑.ข ๑๗๑.ข ๑๗๒.ข ๑๗๓.ก ๑๗๔.ง ๑๗๕.ง ๑๗๖.ง ๑๗๗.ก ๑๒.ค ๑๓.ข ๑๔.ก ๑๕.ก ๑๖.ก ๑๗.ก ๑๘.ง ๑๙.ก ๒๐.ข ๑๗๘.ง ๑๗๙.ข ๑๘๐.ค ๑๘๑.ข ๑๘๒.ค ๑๘๓.ก ๑๘๔.ง ๒๑.ง ๒๒.ก ๒๓.ก ๒๔.ง ๒๕.ง ๒๖.ก ๒๗.ก ๒๘.ก ๒๙.ก ๑๘๕.ข ๑๘๖.ข ๑๘๗.ง ๑๘๘.ก ๑๘๙.ค ๑๙๐.ง ๑๙๑.ข ๓๐.ก ๓๑.ง ๓๒.ก ๓๓.ก ๓๔.ก ๓๕.ข ๓๖.ก ๓๗.ง ๓๘.ข ๑๙๒.ค ๑๙๓.ง ๑๙๔.ข ๑๙๕.ก ๑๙๖.ง ๑๙๗.ค ๑๙๘.ก ๓๙.ค ๔๐.ง ๔๑.ข ๔๒.ก ๔๓.ง ๔๔.ง ๔๕.ง ๔๖.ง ๔๗.ค ๑๙๙.ง ๒๐๐.ก ๒๐๑.ก ๒๐๒.ก ๔๘.ก ๔๙.ง ๕๐.ค ๕๑.ค ๕๒.ข ๕๓.ง ๕๔.ก ๕๕.ค ๕๖.ก ๕๗.ค ๕๘.ค ๕๙.ก ๖๐.ข ๖๑.ข ๖๒.ค ๖๓.ค ๖๔.ข ๖๕.ก เฉลยวชิ าพุทธประวัติ ๖๖.ก ๖๗.ค ๖๘.ค ๖๙.ก ๗๐.ค ๗๑.ง ๗๒.ค ๗๓.ก ๗๔.ก ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี ๗๕.ข ๗๖.ก ๗๗.ก ๗๘.ก ๗๙.ค ๘๐.ก ๘๑.ก ๘๒.ข ๘๓.ก ๘๔.ก ๘๕.ข ๘๖.ค ๘๗.ง ๘๘.ง ๘๙.ง ๙๐.ค ๙๑.ง ๙๒.ง ๑.ก ๒.ค ๓.ง ๔.ก ๕.ข ๖.ข ๗.ค ๘.ก ๙.ค ๑๐.ก ๑๑.ข ๙๓.ก ๙๔.ค ๙๕.ค ๙๖.ง ๙๗.ข ๙๘.ง ๙๙.ข ๑๐๐.ก ๑๐๑.ค ๑๒.ก ๑๓.ค ๑๔.ค ๑๕.ข ๑๖.ง ๑๗.ก ๑๘.ก ๑๙.ก ๒๐.ก ๑๐๒.ง ๑๐๓.ข ๑๐๔.ค ๑๐๕.ก ๑๐๖.ง ๑๐๗.ข ๑๐๘.ก ๒๑.ข ๒๒.ก ๒๓.ค ๒๔.ก ๒๕.ค ๒๖.ค ๒๗.ง ๒๘.ก ๒๙.ค ๑๐๙.ข ๑๑๐.ก ๑๑๑.ก ๑๑๒.ข ๑๑๓.ก ๑๑๔.ข ๑๑๕.ค ๓๐.ก ๓๑.ข ๓๒.ง ๓๓.ข ๓๔.ง ๓๕.ก ๓๖.ข ๓๗.ค ๓๘.ข ๑๑๖.ค ๑๑๗.ข ๑๑๘.ง ๑๑๙.ก ๑๒๐.ก ๑๒๑.ค ๑๒๒.ก ๓๙.ค ๔๐.ก ๔๑.ข ๔๒.ก ๔๓.ข ๔๔.ง ๔๕.ข ๔๖.ค ๔๗.ค ๑๒๓.ค ๑๒๔.ค ๑๒๕.ข ๑๒๖.ค ๑๒๗.ก ๑๒๘.ง ๑๒๙.ค ๔๘.ก ๔๙.ก ๕๐.ก ๕๑.ง ๕๒.ก ๕๓.ง ๕๔.ก ๕๕.ก ๕๖.ข ๑๓๐.ข ๑๓๑.ค ๑๓๒.ก ๑๓๓.ค ๑๓๔.ง ๑๓๕.ก ๑๓๖.ง ๑๓๗.ก ๑๓๘.ค ๑๓๙.ข ๑๔๐.ง ๑๔๑.ค ๑๔๒.ข ๑๔๓.ก ๑๔๔.ง ๑๔๕.ข
เฉลยวิชาธรรมวภิ าค ๘๓ ธรรมศกึ ษาช้นั โท ๑.ก ๒.ข ๓.ง ๔.ข ๕.ก ๖.ค ๗.ก ๘.ง ๙.ก ๑๐.ก ๑๑.ง ๑๒.ก เฉลยวิชาศาสนพธิ ี ๑๓.ก ๑๔.ข ๑๕.ก ๑๖.ข ๑๗.ข ๑๘.ข ๑๙.ง ๒๐.ค ๒๑.ค ธรรมศกึ ษาชัน้ โท ๒๒.ก ๒๓.ก ๒๔.ค ๒๕.ง ๒๖.ง ๒๗.ก ๒๘.ข ๒๙.ก ๓๐.ก ๑.ก ๒.ข ๓.ข ๔.ข ๕.ค ๖.ก ๗.ก ๘.ข ๙.ข ๑๐.ค ๑๑.ก ๓๑.ง ๓๒.ก ๓๓.ค ๓๔.ค ๓๕.ก ๓๖.ข ๓๗.ง ๓ ๘ . ก ๓ ๙ . ก ๑๒.ก ๑๓.ง ๑๔.ง ๑๕.ง ๑๖.ก ๑๗.ข ๑๘.ง ๑๙.ข ๒๐.ง ๔๐.ข ๔๑.ง ๔๒.ข ๔๓.ง ๔๔.ค ๔๕.ค ๔๖.ก ๔๗.ค ๔๘.ง ๒๑.ค ๒๒.ก ๒๓.ข ๒๔.ข ๒๕.ข ๒๖.ข ๒๗.ก ๒๘.ก ๒๙.ข ๔๙.ข ๕๐.ง ๕๑.ค ๕๒.ง ๕๓.ง ๕๔.ก ๕๕.ง ๕๖.ข ๕๗.ค ๓๐.ค ๓๑.ง ๓๒.ข ๓๓.ค ๓๔.ค ๓๕.ค ๓๖.ค ๓๗.ข ๓๘.ง ๕๘.ง ๕๙.ก ๖๐.ข ๖๑.ก ๖๒.ก ๖๓.ก ๖๔.ข ๖๕.ก ๖๖.ก ๓๙.ข ๔๐.ข ๔๑.ง ๔๒.ข ๔๓.ก ๔๔.ข ๔๕.ข ๔๖.ง ๔๗.ง ๖๗.ข ๖๘.ก ๖๙.ก ๗๐.ง ๗๑.ข ๗๒.ค ๗๓.ง ๗๔.ข ๗๕.ก ๔๘.ค ๔๙.ง ๕๐.ค ๕๑.ข ๕๒.ก ๕๓.ค ๕๔.ง ๕๕.ง ๕๖.ค ๗๖.ง ๗๗.ข ๗๘.ค ๗๙.ค ๘๐.ก ๘๑.ก ๘๒.ง ๘๓.ค ๘๔.ง ๕๗.ข ๕๘.ก ๕๙.ข ๖๐.ก ๖๑.ค ๖๒.ง ๖๓.ค ๖๔.ง ๖๕.ก ๘๕.ง ๘๖.ค ๘๗.ข ๘๘.ง ๘๙.ก ๙๐.ง ๙๑.ง ๙๒.ง ๙๓.ก ๖๖.ค ๖๗.ค ๖๘.ง ๖๙.ง ๗๐.ค ๗๑.ข ๗๒.ง ๗๓.ข ๗๔.ข ๙๔.ค ๙๕.ข ๙๖.ค ๙๗.ข ๙๘.ข ๙๙.ง ๑๐๐.ข ๑๐๑.ค ๗๕.ค ๗๖.ง ๗๗.ก ๗๘.ค ๑๐๒.ค ๑๐๓.ก ๑๐๔.ก ๑๐๕.ก ๑๐๖.ง ๑๐๗.ก ๑๐๘.ก ๑๐๙.ก ๑๑๐.ก ๑๑๑.ข ๑๑๒.ก ๑๑๓.ข ๑๑๔.ค ๑๑๕.ก เฉลยวิชาอุโบสถศีล ๑๑๖.ก ๑๑๗.ค ๑๑๘.ข ๑๑๙.ก ๑๒๐.ค ๑๒๑.ค ๑๒๒.ง ธรรมศกึ ษาช้นั โท ๑๒๓.ง ๑๒๔.ง ๑๒๕.ก ๑๒๖.ข ๑๒๗.ข ๑๒๘.ค ๑๒๙.ง ๑.ข ๒.ง ๓.ง ๔.ง ๕.ค ๖.ก ๗.ก ๘.ก ๙.ง ๑๐.ค ๑๑.ข ๑๒.ข ๑๓๐.ค ๑๓๑.ง ๑๓๒.ค ๑๓๓.ข ๑๓๔.ง ๑๓๕.ง ๑๓๖.ค ๑๓.ค ๑๔.ง ๑๕.ก ๑๖.ง ๑๗.ก ๑๘.ก ๑๙.ก ๒๐.ข ๒๑.ก ๑๓๗.ง ๑๓๘.ง ๑๓๙.ก ๑๔๐.ก ๑๔๑.ข ๑๔๒.ก ๑๔๓.ก ๒๒.ง ๒๓.ก ๒๔.ก ๒๕.ค ๒๖.ก ๒๗.ก ๒๘.ง ๒๙.ก ๓๐.ก ๑๔๔.ก ๑๔๕.ข ๓๑.ข ๓๒.ง ๓๓.ง ๓๔.ค ๓๕.ข ๓๖.ก ๓๗.ก ๓๘.ค ๓๙.ค ๔๐.ค ๔๑.ง ๔๒.ข ๔๓.ค ๔๔.ค ๔๕.ค ๔๖.ง ๔๗.ก ๔๘.ก เฉลยวิชาอนพุ ุทธประวตั ิ ๔๙.ค ๕๐.ข ๕๑.ค ๕๒.ค ๕๓.ง ๕๔.ข ๕๕.ง ๕๖.ข ๕๗.ก ธรรมศึกษาช้ันโท ๕๘.ก ๕๙.ก ๖๐.ข ๖๑.ง ๖๒.ก ๖๓.ง ๖๔.ก ๖๕.ง ๖๖.ค ๖๗.ข ๖๘.ค ๖๙.ก ๗๐.ง ๗๑.ค ๗๒.ข ๗๓.ก ๗๔.ค ๗๕.ข ๑.ค ๒.ก ๓.ค ๔.ค ๕.ง ๖.ก ๗.ค ๘.ข ๙.ก ๑๐.ข ๑๑.ก ๗๖.ข ๗๗.ค ๗๘.ค ๗๙.ก ๘๐.ข ๘๑.ข ๘๒.ค ๘๓.ก ๘๔.ก ๑๒.ข ๑๓.ก ๑๔.ค ๑๕.ค ๑๖.ก ๑๗.ข ๑๘.ง ๑๙.ง ๒๐.ก ๘๕.ก ๘๖.ค ๘๗.ค ๘๘.ง ๘๙.ง ๙๐.ค ๙๑.ก ๙๒.ง ๙๓.ง ๒๑.ข ๒๒.ค ๒๓.ค ๒๔.ข ๒๕.ค ๒๖.ข ๒๗.ค ๒๘.ค ๒๙.ก ๙๔.ค ๙๕.ง ๙๖.ข ๙๗.ก ๙๘.ง ๙๙.ก ๑๐๐.ค ๑๐๑.ก ๓๐.ค ๓๑.ค ๓๒.ข ๓๓.ข ๓๔.ก ๓๕.ง ๓๖.ข ๓๗.ก ๓๘.ค ๑๐๒.ค ๑๐๓.ค ๑๐๔.ง ๑๐๕.ข ๑๐๖.ง ๑๐๗.ง ๑๐๘.ข ๓๙.ง ๔๐.ข ๔๑.ค ๔๒.ข ๔๓.ข ๔๔.ง ๔๕.ค ๔๖.ก ๔๗.ข ๑๐๙.ง ๑๑๐.ข ๑๑๑.ก ๑๑๒.ค ๑๑๓.ค ๑๑๔.ค ๑๑๕.ข ๔๘.ง ๔๙.ข ๕๐.ก ๕๑.ก ๕๒.ข ๕๓.ข ๕๔.ค ๕๕.ง ๕๖.ก ๑๑๖.ข ๑๑๗.ง ๑๑๘.ก ๑๑๙.ง ๑๒๐.ข ๑๒๑.ข ๑๒๒.ค ๕๗.ก ๕๘.ข ๕๙.ข ๖๐.ข ๖๑.ข ๖๒.ก ๖๓.ง ๖๔.ค ๖๕.ก ๑๒๓.ข ๑๒๔.ก ๑๒๕.ข ๑๒๖.ข ๑๒๗.ค ๑๒๘.ข ๑๒๙.ข ๖๖.ข ๖๗.ค ๖๘.ค ๖๙.ก ๗๐.ก ๗๑.ค ๗๒.ง ๗๓.ข ๗๔.ก ๑๓๐.ค ๑๓๑.ก ๑๓๒.ง ๑๓๓.ง ๑๓๔.ง ๑๓๕.ค ๑๓๖.ง ๗๕.ก ๗๖.ก ๗๗.ข ๗๘.ค ๗๙.ง ๘๐.ง ๘๑.ค ๘๒.ก ๘๓.ค ๑๓๗.ข ๑๓๘.ก ๑๓๙.ข ๑๔๐.ง ๑๔๑.ค ๑๔๒.ง ๑๔๓.ค ๘๔.ก ๘๕.ค ๘๖.ก ๘๗.ข ๘๘.ง ๘๙.ข ๙๐.ข ๙๑.ข ๙๒.ก ๙๓.ง ๙๔.ก ๙๕.ง ๙๖.ง ๙๗.ข ๙๘.ข ๙๙.ค ๑๐๐.ง ๑๐๑.ข ๑๐๒.ก ๑๐๓.ก ๑๐๔.ง ๑๐๕.ง ๑๐๖.ค ๑๐๗.ก ๑๐๘.ข
เฉลยวิชาธรรมวิจารณ์ ๘๔ ธรรมศกึ ษาชั้นเอก ๑๓๗.ง ๑๓๘.ง ๑๓๙.ก ๑๔๐.ข ๑๔๑.ก ๑๔๒.ข ๑๔๓.ข ๑.ข ๒.ก ๓.ง ๔.ก ๕.ข ๖.ก ๗.ค ๘.ค ๙.ก ๑๐.ง ๑๑.ก ๑๒.ข ๑๔๔.ค ๑๔๕.ข ๑๓.ง ๑๔.ข ๑๕.ง ๑๖.ค ๑๗.ง ๑๘.ข ๑๙.ข ๒๐.ก ๒๑.ง ๒๒.ก ๒๓.ก ๒๔.ข ๒๕.ก ๒๖.ข ๒๗.ก ๒๘.ข ๒๙.ค ๓๐.ก เฉลยวิชากรรมบถ ๓๑.ง ๓๒.ค ๓๓.ค ๓๔.ง ๓๕.ข ๓๖.ง ๓๗.ค ๓๘.ก ๓๙.ข ธรรมศึกษาชนั้ เอก ๔๐.ง ๔๑.ง ๔๒.ก ๔๓.ค ๔๔.ก ๔๕.ก ๔๖.ข ๔๗.ข ๔๘.ก ๑.ค ๒.ก ๓.ค ๔.ก ๕.ค ๖.ค ๗.ค ๘.ก ๙.ก ๑๐.ข ๑๑.ข ๔๙.ข ๕๐.ค ๕๑.ก ๕๒.ค ๕๓.ง ๕๔.ค ๕๕.ง ๕๖.ค ๕๗.ก ๑๒.ข ๑๓.ง ๑๔.ง ๑๕.ก ๑๖.ค ๑๗.ก ๑๘.ค ๑๙.ค ๒๐.ข ๕๘.ก ๕๙.ค ๖๐.ค ๖๑.ก ๖๒.ข ๖๓.ก ๖๔.ง ๖๕.ค ๖๖.ก ๒๑.ข ๒๒.ข ๒๓.ง ๒๔.ก ๒๕.ก ๒๖.ค ๒๗.ข ๒๘.ข ๒๙.ข ๖๗.ง ๖๘.ก ๖๙.ง ๗๐.ก ๗๑.ก ๗๒.ค ๗๓.ข ๗๔.ค ๗๕.ก ๓๐.ก ๓๑.ข ๓๒.ก ๓๓.ข ๓๔.ข ๓๕.ง ๓๖.ก ๓๗.ข ๓๘.ข ๗๖.ง ๗๗.ก ๗๘.ก ๗๙.ค ๘๐.ง ๘๑.ก ๘๒.ก ๘๓.ข ๘๔.ก ๓๙.ข ๔๐.ง ๔๑.ก ๔๒.ข ๔๓.ค ๔๔.ง ๔๕.ข ๔๖.ก ๔๗.ข ๘๕.ง ๘๖.ก ๘๗.ค ๘๘.ก ๘๙.ง ๙๐.ง ๙๑.ค ๙๒.ก ๙๓.ค ๔๘.ง ๔๙.ข ๕๐.ค ๕๑.ค ๕๒.ง ๕๓.ข ๕๔.ข ๕๕.ก ๕๖.ง ๙๔.ข ๙๕.ก ๙๖.ง ๙๗.ข ๙๘.ก ๙๙.ข ๑๐๐.ง ๑๐๑.ก ๕๗.ข ๕๘.ข ๕๙.ก ๖๐.ก ๖๑.ข ๖๒.ข ๖๓.ก ๖๔.ง ๖๕.ข ๑๐๒.ก ๑๐๓.ค ๑๐๔.ก ๑๐๕.ค ๑๐๖.ง ๑๐๗.ค ๑๐๘.ข ๖๖.ข ๖๗.ค ๖๘.ข ๖๙.ข ๗๐.ก ๗๑.ก ๗๒.ง ๗๓.ค ๗๔.ข ๑๐๙.ง ๑๑๐.ก ๑๑๑.ง ๑๑๒.ง ๑๑๓.ข ๑๑๔.ข ๑๑๕.ข ๗๕.ข ๗๖.ง ๗๗.ค ๗๘.ง ๗๙.ข ๘๐.ก ๘๑.ข ๘๒.ข ๘๓.ก ๑๑๖.ค ๑๑๗.ง ๑๑๘.ง ๑๑๙.ง ๑๒๐.ค ๑๒๑.ก ๑๒๒.ค ๘๔.ก ๘๕.ก ๘๖.ง ๘๗.ข ๘๘.ข ๘๙.ค ๙๐.ข ๙๑.ง ๙๒.ข ๑๒๓.ข ๑๒๔.ก ๑๒๕.ก ๑๒๖.ง ๑๒๗.ก ๑๒๘.ก ๑๒๙.ง ๙๓.ก ๙๔.ง ๙๕.ค ๙๖.ก ๙๗.ข ๙๘.ง ๙๙.ง ๑๐๐.ข ๑๐๑.ค ๑๓๐.ค ๑๓๑.ก ๑๓๒.ง ๑๓๓.ง ๑๓๔.ค ๑๓๕.ง ๑๓๖.ก ๑๐๒.ก ๑๐๓.ค ๑๐๔.ค ๑๐๕.ง ๑๐๖.ง ๑๐๗.ค ๑๐๘.ข ๑๓๗.ข ๑๓๘.ข ๑๓๙.ค ๑๔๐.ง ๑๔๑.ข ๑๔๒.ง ๑๔๓.ก ๑๐๙.ค ๑๑๐.ง ๑๑๑.ข ๑๑๒.ค ๑๑๓.ข ๑๑๔.ก ๑๑๕.ข ๑๔๔.ก ๑๔๕.ง ๑๔๖.ก ๑๔๗.ง ๑๔๘.ข ๑๔๙.ง ๑๑๖.ก ๑๑๗.ข ๑๑๘.ก ๑๑๙.ข ๑๒๐.ก ๑๒๑.ข ๑๒๒.ค ๑๒๓.ค ๑๒๔.ง ๑๒๕.ก ๑๒๖.ข ๑๒๗.ก ๑๒๘.ก ๑๒๙.ก เฉลยวชิ าพุทธานุพุทธประวัติ ๑๓๐.ข ๑๓๑.ข ๑๓๒.ง ๑๓๓.ข ๑๓๔.ง ๑๓๕.ค ๑๓๖.ก ธรรมศึกษาช้ันเอก ๑๓๗.ข ๑๓๘.ก ๑๓๙.ง ๑๔๐.ค ๑๔๑.ค ๑๔๒.ค ๑๔๓.ค ๑๔๔.ก ๑๔๕.ก ๑๔๖.ง ๑๔๗.ก ๑๔๘.ก ๑๔๙.ง ๑๕๐.ก ๑.ข ๒.ง ๓.ค ๔.ง ๕.ข ๖.ข ๗.ง ๘.ค ๙.ค ๑๐.ข ๑๑.ค ๑๒.ค ๑๓.ง ๑๔.ง ๑๕.ง ๑๖.ค ๑๗.ค ๑๘.ข ๑๙.ก ๒๐.ง ๒๑.ง ๒๒.ค ๒๓.ก ๒๔.ง ๒๕.ง ๒๖.ก ๒๗.ง ๒๘.ง ๒๙.ค ๓๐.ก ๓๑.ค ๓๒.ข ๓๓.ค ๓๔.ก ๓๕.ค ๓๖.ข ๓๗.ง ๓๘.ข ๓๙.ง ๔๐.ค ๔๑.ก ๔๒.ค ๔๓.ข ๔๔.ข ๔๕.ก ๔๖.ข ๔๗.ง ๔๘.ค ๔๙.ข ๕๐.ค ๕๑.ง ๕๒.ข ๕๓.ง ๕๔.ง ๕๕.ง ๕๖.ก ๕๗.ง ๕๘.ก ๕๙.ข ๖๐.ง ๖๑.ง ๖๒.ค ๖๓.ก ๖๔.ข ๖๕.ค ๖๖.ง ๖๗.ข ๖๘.ค ๖๙.ค ๗๐.ง ๗๑.ง ๗๒.ก ๗๓.ง ๗๔.ก ๗๕.ก ๗๖.ข ๗๗.ง ๗๘.ก ๗๙.ก ๘๐.ข ๘๑.ค ๘๒.ข ๘๓.ง ๘๔.ค ๘๕.ข ๘๖.ค ๘๗.ง ๘๘.ก ๘๙.ข ๙๐.ง ๙๑.ข ๙๒.ข ๙๓.ง ๙๔.ก ๙๕.ก ๙๖.ก ๙๗.ก ๙๘.ก ๙๙.ค ๑๐๐.ค ๑๐๑.ข ๑๐๒.ค ๑๐๓.ข ๑๐๔.ง ๑๐๕.ง ๑๐๖.ค ๑๐๗.ข ๑๐๘.ค ๑๐๙.ข ๑๑๐.ก ๑๑๑.ง ๑๑๒.ง ๑๑๓.ค ๑๑๔.ก ๑๑๕.ก ๑๑๖.ข ๑๑๗.ง ๑๑๘.ง ๑๑๙.ก ๑๒๐.ก ๑๒๑.ง ๑๒๒.ข ๑๒๓.ง ๑๒๔.ค ๑๒๕.ก ๑๒๖.ก ๑๒๗.ค ๑๒๘.ก ๑๒๙.ค ๑๓๐.ก ๑๓๑.ง ๑๓๒.ง ๑๓๓.ข ๑๓๔.ง ๑๓๕.ข ๑๓๖.ก
Search