แนวทางการจดั การเรยี นรู ธรรมศกึ ษา ชนั้ โท วิชาวินัย (อโุ บสถศลี ) สาํ นกั สงเสริมกจิ การการศึกษา สาํ นกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ธรรมศึกษา ช้ันโท วชิ าวนิ ยั (อโุ บสถศีล) สำนกั ส่งเสรมิ กจิ การการศกึ ษา สำนักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าวนิ ัย (อุโบสถศีล) พ.ศ. ๒๕๕๘ ปที พ่ี มิ พ ์ ๑๐๐ เล่ม จ ำนวนพมิ พ ์ ลขิ สทิ ธ ิ์ สำนกั สง่ เสริมกิจการการศกึ ษา สำนักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร พิมพท์ ่ ี โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั ๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรงุ เทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑ นายโชคดี ออสวุ รรณ ผพู้ มิ พผ์ ูโ้ ฆษณา
คำนำ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษา ระหว่างสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการ อุดมศึกษาและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจหลักพุทธธรรม ที่ถูกต้อง มีความรู้คู่คุณธรรม เสริมสร้างศีลธรรม เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้เรียน หา่ งไกลอบายมุข ส่งิ เสพตดิ ส่ิงผดิ กฎหมาย และนำไปสคู่ วามสงบเรียบรอ้ ยของสังคม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัด การเรียนการสอนธรรมศึกษาในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในสถานศึกษา อย่างยั่งยืน กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดทำแนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี โท เอก เพ่อื ให้นักเรยี น นสิ ิต นกั ศกึ ษา มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกับวิชาธรรม วิชาพทุ ธ และวิชาวนิ ยั กระทรวงศึกษาธิการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตร ี โท เอก จะเป็นแนวทางการเรียนการสอนให้กับคณะครู อาจารย์ นำไปสอนได้ตามหลักสูตร เพ่ือให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และ ขอขอบคุณคณะผู้จัด ซ่ึงประกอบด้วย สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต ๒ สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษานครราชสีมา เขต ๓ และโรงเรียนวัดราชบพิธ ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ พฒั นาเอกสารชดุ นอี้ ย่างเต็มความสามารถจนบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค ์ (รองศาสตราจารย์กำจร ตติยกว)ี ปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
สารบัญ หน้า ๑ ๓ เรอ่ื ง ๑๐ คำนำ ๑๓ บทที่ ๑ ประวตั ินักธรรม ธรรมศกึ ษา ๑๔ บทท่ี ๒ เทคนคิ วธิ สี อนของพระพุทธเจา้ ๔๔ บทที่ ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ และสาระการเรียนร ู้ ๖๓ บทที่ ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๑ ๑๑๕ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๒ ๑๑๖ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ ๓ ๑๒๑ บทท่ี ๕ แบบทดสอบ ๑๒๒ แบบทดสอบก่อนเรียน ๑๒๗ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน ๑๒๘ แบบทดสอบหลังเรียน ๑๒๙ เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน ๑๓๐ ภาคผนวก บรรณานุกรม คณะผู้จัดทำ
แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วชิ าวินยั (อโุ บสถศลี )
บทที่ ๑ ประวตั ินกั ธรรม ธรรมศึกษา การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่เรียกกันว่า นักธรรม เกิดข้ึนตามพระดำริ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นการศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทย เพ่ือให้ภิกษุสามเณรผู้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา สามารถศึกษาพระธรรมวินัยได้สะดวก และทัว่ ถงึ อนั จะเป็นพื้นฐานนำไปสู่สัมมาปฏบิ ัติ ตลอดจนเผยแผ่พระพุทธศาสนาใหก้ วา้ งไกลออกไป การศึกษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณมา นิยมศึกษาเป็นภาษาบาล ี ท่ีเรียกว่าการศึกษาพระปริยัติธรรม ซ่ึงเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ยากสำหรับภิกษุสามเณรท่ัวไป จึงปรากฏว่า ภิกษุสามเณรที่มีความรู้ในพระธรรมวินัยอย่างท่ัวถึงมีจำนวนน้อย เป็นเหตุให้สังฆมณฑลขาดแคลน พระภิกษุผู้มีความรู้ความสามารถท่ีจะช่วยกิจการพระศาสนาทั้งในด้านการศึกษา การปกครอง และ การแนะนำส่ังสอนประชาชน ดังน้ัน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส จงึ ไดท้ รง พระดำริวิธีการเล่าเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทยข้ึน สำหรับสอนภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นคร้ังแรก นับแต่ทรงรับหน้าท่ีปกครองวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา โดยทรง กำหนดหลักสูตรการสอนให้ภิกษุสามเณรได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาท้ังด้านหลักธรรม พุทธประวัติ และพระวินัย ตลอดถงึ หดั แต่งเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม เม่ือทรงเห็นว่า การเรียนการสอนพระธรรมวินัยเป็นภาษาไทยดังนี้ได้ผล ทำให้ภิกษุ สามเณรมีความรู้กว้างขวางข้ึน เพราะเรียนรู้ได้ไม่ยาก จึงทรงดำริที่จะขยายแนวทางนี้ไปยังภิกษุ สามเณรท่ัวไปด้วย ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ประเทศไทยเร่ิมมีพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ซ่ึงภิกษุท้ังหมดจะได้รับการยกเว้น ส่วนสามเณรจะยกเว้นให้เฉพาะสามเณรผู้รู้ธรรม ทางราชการได้ ขอใหค้ ณะสงฆช์ ว่ ยกำหนดเกณฑข์ องสามเณรผรู้ ธู้ รรม สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ วโรรส จึงทรงกำหนดหลักสูตรองค์สามเณรรู้ธรรมข้ึน ต่อมาได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์สามเณร รธู้ รรมนน้ั เป็น “องค์นักธรรม” สำหรับภิกษสุ ามเณรช้ันนวกะ (คอื ผบู้ วชใหม่) ทั่วไป ไดร้ บั พระบรม ราชานุมัติ เมื่อวนั ท่ี ๒๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และโปรดให้จัดการสอบในสว่ นกลางข้นึ เปน็ คร้ังแรก ในเดอื นตลุ าคมปเี ดยี วกนั โดยใชว้ ดั บวรนเิ วศวหิ าร วดั มหาธาตุ และวดั เบญจมบพติ ร เปน็ สถานทส่ี อบ การสอบครั้งแรกนี้ ๓ วิชา คือ ธรรมวิภาคในนวโกวาท แต่งเรียงความความแก้กระทู้ธรรม และ แปลภาษามคธเฉพาะท้องนทิ านในอรรถกถาธรรมบท พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมให้เหมาะสมสำหรับภิกษุสามเณรทั่วไป จะเรียนรู้ได้กว้างขวางย่ิงข้ึน โดยแบ่งหลักสูตรเป็น ๒ อย่าง คือ อย่างสามัญ เรียนวิชาธรรมวิภาค พุทธประวัติ และเรียงความแก้กระทู้ธรรม และอย่างวิสามัญ เพิ่มแปลอรรถกถาธรรมบท มีแก้ อรรถบาลไี วยากรณแ์ ละสัมพันธ์ และวนิ ยั บญั ญัตทิ ี่ต้องสอบทง้ั ผ้ทู เ่ี รยี นอยา่ งสามญั และวิสามญั แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วชิ าวินยั (อุโบสถศีล)
พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงปรับปรุงหลักสูตรองค์นักธรรมอีกคร้ังหน่ึง โดยเพิ่มหลักธรรมหมวด คิหิปฏิบัติเข้าในส่วนของธรรมวิภาคด้วย เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการครองชีวิตฆราวาส หากภิกษุ สามเณรรูปนั้น ๆ มีความจำเป็นต้องลาสิกขาออกไปด้วยเหตุใดเหตุหน่ึง เรียกว่า นักธรรมช้ันตรี การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั แบบใหมน่ ไ้ี ดร้ บั ความนยิ มจากหมภู่ กิ ษสุ ามเณรอยา่ งกวา้ งขวางและแพรห่ ลาย ไปอยา่ งรวดเรว็ เพยี ง ๒ ปแี รก กม็ ภี กิ ษสุ ามเณรสมคั รเขา้ สอบสนามหลวงเกอื บพนั รปู เมอ่ื ทรงเหน็ วา่ การศึกษานักธรรมอำนวยคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและภิกษุสามเณรทั่วไป ในเวลาต่อมาจึงทรง พระดำริขยายการศึกษานักธรรมให้ท่ัวถึงแก่ภิกษุทุกระดับ คือ ทรงต้ังหลักสูตรนักธรรมช้ันโท สำหรบั ภกิ ษุช้นั มชั ฌิมะ คือ มพี รรษาเกนิ ๕ แต่ไมถ่ ึง ๑๐ และนักธรรมช้ันเอก สำหรับภกิ ษชุ นั้ เถระ คอื มีพรรษา ๑๐ ขน้ึ ไป ดังทเี่ ป็นหลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานของคณะสงฆส์ ืบมาตราบถึงทุกวันน ้ี ตอ่ มาพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ วดั ราชบพธิ - สถิตมหาสีมาราม ทรงพจิ ารณาเห็นว่า การศกึ ษานกั ธรรมมไิ ดเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ภกิ ษุสามเณรเท่าน้ัน แม้ผู้ท่ียังครองฆราวาสวิสัยก็จะได้รับประโยชน์จากการศึกษานักธรรมด้วย โดยเฉพาะสำหรับเหล่า ขา้ ราชการครู จึงทรงต้ังหลกั สูตรนักธรรมสำหรบั ฆราวาสข้ึน เรยี กวา่ “ธรรมศึกษา” มีครบท้งั ๓ ช้ัน คือ ช้ันตรี ช้ันโท ช้ันเอก ซึ่งมีเน้ือหาเช่นเดียวกันกับหลักสูตรนักธรรมภิกษุสามเณร เว้นแต่ วินัยบัญญัติท่ีทรงกำหนดใช้เบญจศีล เบญจธรรม และอุโบสถศีลแทน ได้เปิดสอบธรรมศึกษาชั้นตรี ครง้ั แรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ และเปดิ สอบครบทกุ ช้ันในเวลาต่อมา มฆี ราวาสท้งั หญงิ และชายเขา้ สอบ เป็นจำนวนมาก นับเปน็ การสง่ เสรมิ การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาให้กวา้ งขวางยิ่งข้ึน ปจั จุบนั การศึกษาพระปริยตั ิธรรมแผนกธรรมนี้ มีสมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท์ พรฺ หฺมคตุ โฺ ต) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นแม่กองธรรมสนามหลวง เน้นการพัฒนาศาสนทายาทให้มีคุณภาพสามารถ ดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วยดี ทั้งถือว่าเป็นกิจการของคณะสงฆ์ส่วนหน่ึงท่ีสำคัญยิ่งในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยมาต้ังแตค่ ร้งั อดีตจนถึงปัจจุบนั แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาวินยั (อโุ บสถศลี )
บทที่ ๒ เทคนคิ วิธสี อนของพระพทุ ธเจ้า ๑. การทำนามธรรมใหเ้ ปน็ รปู ธรรม ทำของยากใหง้ ่าย ธรรมะเปน็ เรอ่ื งนามธรรมทีม่ ีเนือ้ หาลกึ ซง้ึ ยากทจี่ ะเขา้ ใจ ย่งิ เป็น ธรรมะระดบั สงู สดุ กย็ ง่ิ ลกึ ลำ้ คมั ภรี ภาพยง่ิ ขน้ึ ... ความสำเรจ็ แหง่ ภารกจิ การสง่ั สอนประชาชนสว่ นหนงึ่ เพราะพระองคท์ รงใชเ้ ทคนคิ วธิ ีการทำของยากใหง้ ่าย เชน่ ๑.๑ การใช้อุปมาอุปไมย วิธีน้ีเป็นวิธีทรงใช้บ่อยท่ีสุดวิธีหนึ่ง เพราะทำให้ผู้ฟัง มองเหน็ ภาพและเขา้ ใจง่ายโดยไม่ตอ้ งเสยี เวลาอธิบายความให้ยดื ยาว ๑.๒ ยกนทิ านประกอบ เปน็ เทคนิคหรือกลวิธีหน่งึ ทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรงใช้บ่อย ๑.๓ ใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน เทคนิควิธีสอนด้วยการกระทำของยากให้ง่าย หรือทำนามธรรมให้เป็นรปู ธรรม นอกจากใช้อุปมาอุปไมยและเลา่ นิทานประกอบแลว้ ยงั มอี กี วิธีหนึง่ อันเป็นวิธีท่ีพระพทุ ธองคท์ รงใช้มากพอ ๆ กับสองวิธขี า้ งตน้ คือ การใช้สื่ออปุ กรณ์หรือใชส้ ่ือการสอน ๒. ทำตนเป็นตวั อย่าง ในแง่ของการสอนอาจแบง่ ออกเป็น ๒ อยา่ ง คอื ๒.๑ ทำใหด้ ูหรือสาธิตใหด้ ู ๒.๒ ปฏบิ ัตใิ ห้ดเู ปน็ ตัวอย่าง ๓. ใช้ถอ้ ยคำเหมาะสม การสอนท่ีจะประสบผลสำเร็จ ผู้สอนจะต้องรู้จักใช้คำ ต้องให้ผู้ฟังรู้สึกว่าผู้พูด พดู ดว้ ยเมตตาจิต มใิ ชพ่ ดู ด้วยความมุง่ รา้ ย ๔. เลอื กสอนเปน็ รายบคุ คล ผู้สอนต้องรู้ว่าคนฟังน้ันต่างภูมิหลัง ต่างความสนใจ ต่างระดับสติปัญญาการเรียนรู้ เพราะฉะนั้นการเลือกสอนเป็นรายบุคคลจะช่วยให้การสอนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถ้าทำได้ กค็ วรใช้วิธีน้ี แม้จะสอนเปน็ กลมุ่ กต็ ้องเอาใจใส่นักเรยี นทมี่ ปี ญั หาเป็นรายบคุ คลใหไ้ ด้ ๕. รจู้ กั จังหวะและโอกาส ดคู วามพรอ้ มของผเู้ รยี น รจู้ กั คอยจงั หวะอนั เหมาะสม ถา้ ผเู้ รยี นไมพ่ รอ้ มกเ็ หนอ่ื ยเปลา่ ๖. ยืดหยุ่นในการใชเ้ ทคนิควธิ ี เทคนคิ วธิ บี างอยา่ งใชไ้ ดผ้ ลในวนั นี้ ตอ่ ไปวนั ขา้ งหนา้ อาจใชไ้ มไ่ ดก้ ไ็ ด้ จงึ ควรยดื หยนุ่ วธิ กี าร ๗. การเสรมิ แรง มีคำพูดสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า “ทรงชมคนที่ควรชม ตำหนิคนที่ควรตำหนิ” การชมเป็นการยอมรับความสามารถหรือให้กำลังใจให้ทำอย่างนั้นยิ่ง ๆ ข้ึนไป การตำหนิเป็นการ ตกั เตอื นมใิ หป้ ระพฤตเิ ชน่ นน้ั อีกต่อไป แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วชิ าวินัย (อุโบสถศีล)
หลักสำคัญทคี่ รผู ูส้ อนควรทราบ หลกั สำคญั คือหลักการใหญ่ ๆ ของการสอนไม่ว่าจะสอนเร่ืองอะไรกม็ ีอยู่ ๓ หลัก คอื ๑. หลักเกยี่ วกับเน้อื หาทสี่ อน ๒. หลกั เกย่ี วกับตัวผเู้ รียน ๓. หลกั เกย่ี วกบั ตวั การสอน ก. หลักเกยี่ วกบั เน้อื หา คนจะสอนคนอ่ืนต้องรู้ว่าจะเอาเร่ืองอะไรมาสอนเขาเสยี ก่อน ไม่ใช่คิดแต่วิธีการสอน วา่ จะสอนอยา่ งไร ตอ้ งคดิ กอ่ นวา่ จะเอาอะไรไปสอนเขา พระพทุ ธเจา้ แนะนำวา่ ผสู้ อนตอ้ งคำนงึ เสมอวา่ ตอ้ งสอนสิง่ ทร่ี ูเ้ ห็นหรือเข้าใจง่ายไปหาส่ิงท่ีเข้าใจยาก ๑. สอนเน้อื หาท่ลี มุ่ ลกึ ลงไปตามลำดับ ๒. สอนด้วยของจรงิ ๓. สอนตรงตามเน้ือหา ๔. สอนมีเหตุผล ๕. สอนเท่าท่จี ำเปน็ ต้องร้ ู ๖. สอนสง่ิ ท่ีมคี วามหมายและเปน็ ประโยชนแ์ ก่ผูเ้ รยี น ข. หลักเกยี่ วกับตวั ผู้เรียน ๑. พระพุทธองค์จะทรงสอนใคร ทรงดูบุคคลผู้รับการสอนหรือผู้เรียนก่อนว่า บุคคลนน้ั ๆ เปน็ คนประเภทใด มพี น้ื ความรคู้ วามเขา้ ใจหรอื ความพรอ้ มแคไ่ หน และควรจะสอนอะไร แคไ่ หน ๒. นอกจากดคู วามแตกตา่ งของผู้เรยี นแลว้ ยงั ต้องดูความพร้อมของผู้เรยี นดว้ ย ๓. สอนให้ผู้เรียนทำด้วยตนเอง ๔. ผ้เู รียนจะตอ้ งมีบทบาทรว่ มดว้ ย ๕. ครตู ้องเอาใจใสผ่ ูเ้ รยี นทีม่ ีปญั หาเปน็ พเิ ศษ ค. หลักเก่ยี วกบั ตัวการสอน ๑. สร้างความสนใจในการสอนคนนน้ั (การนำเข้าสูบ่ ทเรียน) ๒. สร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนใหป้ ลอดโปร่ง ๓. ม่งุ สอนเนื้อหา มงุ่ ใหผ้ ฟู้ งั เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจและเปลี่ยนพฤติกรรมในทางท่ีด ี ๔. ตั้งใจสอน สอนโดยเคารพ ถอื วา่ งานสอนเปน็ งานสำคญั ๕. ใชภ้ าษาเหมาะสม ผสู้ อนคนอน่ื ควรมคี วามสามารถในการสอ่ื สาร ใชค้ ำพดู ทถ่ี กู ตอ้ ง และเหมาะสมกบั บุคคลและสถานการณ์ หลักการสอนแนวพุทธวิธี พระพทุ ธเจา้ นน้ั ทรงเปน็ พระบรมครู ยอดครขู องผสู้ อน พระองคท์ รงมหี ลกั การในการสอน มากมายหลายหลักการ เรียกว่า “หลกั ๔ ส” คอื แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชนั้ โท วิชาวินยั (อุโบสถศลี )
๑. สันทัสสนา อธิบายให้เหน็ ชดั แจ้ง เหมือนจงู มือใหม้ าดูดว้ ยตา ๒. สมาทปนา ชกั จงู ใหเ้ หน็ จรงิ เหน็ จงั ตาม ชวนใหค้ ลอ้ ยตาม จนยอมรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ ๓. สมุตเตชนา เร้าใจ เกิดความกล้าหาญ มีกำลังใจ มั่นใจว่าทำได้ไม่หว่ันไหว ตอ่ อุปสรรคทมี่ ีมา ๔. สมั ปหังสนา มวี ธิ สี อนทชี่ ว่ ยใหผ้ ฟู้ งั รา่ เรงิ เบกิ บาน ฟงั ไมเ่ บอ่ื เปย่ี มลน้ ไปดว้ ยความหวงั สรุปหลกั การทวั่ ไปของการสอน คือ แจ่มแจง้ -จงู ใจ-หาญกล้า-ร่าเริง หลักการสอนพุทธวิธแี บบสนทนา (สากจั ฉาหรอื ธรรมสากัจฉา) เป็นวิธีท่ีทรงใช้บ่อยท่ีสุด พระองค์ชอบใช้วิธีนี้อาจเป็นด้วยว่าผู้ฟังได้มีโอกาสแสดง ความคิดเห็น ทำให้การเรียนการสอนสนุกไม่รู้สึกว่าตนกำลัง “เรียน” หรือกำลัง “ถูกสอน” แต่จะรู้สึกว่าตนกำลงั สนทนาปราศรัยกบั พระพทุ ธองคอ์ ย่างสนุกสนาน หลกั การสอนพทุ ธวิธแี บบตอบปัญหา (ปุจฉา-วิสชั นา) ผ้ถู ามปัญหาอาจถามดว้ ยจุดประสงค์หลายอยา่ ง เชน่ ๑. บางคนถามเพ่ือต้องการคำตอบในเรอื่ งทสี่ งสยั มานาน ๒. บางคนถามเพื่อลองภูมิว่าคนตอบรูห้ รอื ไม่ ๓. บางคนถามเพอื่ ข่มหรือปราบใหผ้ ูต้ อบอับอาย ๔. บางคนถามเพ่ือเทยี บเคียงกับความเช่ือหรือคำสอนในลทั ธศิ าสนาของตน พระพุทธองค์ตรัสรู้ว่า การตอบปัญหาใด ๆ ต้องดูลักษณะของปัญหาและเลือกวิธีตอบ ใหถ้ กู ต้องเหมาะสม พระองค์จำแนกประเภทของปญั หาไว้ ๔ ประการ คอื ๑. ปญั หาบางอยา่ งต้องตอบตรงไปตรงมา ๒. ปญั หาบางอยา่ งต้องย้อนถามกอ่ นจึงตอบ ๓. ปญั หาบางอยา่ งต้องแยกความตอบ ๔. ปัญหาบางอยา่ งต้องตดั บทไปเลยไม่ตอบ วิธคี ดิ แบบอรยิ สัจ ๔/คิดแบบแก้ปญั หา เป็นการคิดแบบแก้ปัญหา เรียกว่า “วิธีแห่งความดับทุกข์” จัดเป็นวิธีคิดแบบหลัก อย่างหน่ึงเป็นวิธีคิดตามเหตุและผลหรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไข และทำการท่ตี น้ เหตุ จดั เปน็ ๒ คู่ คอื คทู่ ี่ ๑ ทุกขเ์ ป็นผล เป็นตัวปญั หา เปน็ สถานการณ์ทปี่ ระสบซงึ่ ไม่ต้องการ สมุทยั เปน็ เหตุ เป็นท่มี าของปัญหา เป็นจดุ ทีจ่ ะตอ้ งกำจดั หรือแก้ไขจงึ จะพน้ จาก ปัญหาได ้ คูท่ ่ี ๒ นโิ รธเปน็ ผล เป็นภาวะส้นิ ปญั หา เป็นจุดหมายซึ่งตอ้ งการจะเข้าถึง มรรคเปน็ เหต ุ เป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติท่ีต้องกระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพ่ือ บรรลุจุดหมาย คอื ภาวะส้ินปัญหาอันไดแ้ กค่ วามดับทกุ ข์ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วิชาวินัย (อุโบสถศีล)
กระบวนการจดั การเรยี นรูแ้ บบพทุ ธวิธี ๙ อยา่ ง ๑. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้พทุ ธวธิ ีแบบอปุ มาอุปไมย (การเปรยี บเทียบ) ขั้นสบื ค้นและข้นั เชอื่ มโยง - เปรยี บเทยี บนามธรรมกบั รปู ธรรมใหผ้ เู้ รยี นเหน็ ชดั เจน ครผู สู้ อนและผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ ม - ความแตกตา่ งระหวา่ งสิง่ ท่ีเปน็ นามธรรมกับรปู ธรรม ขน้ั ฝึก - ยกตัวอย่างสิง่ ที่เปน็ นามธรรมกบั รูปธรรม - ผเู้ รยี นแตล่ ะรปู หรอื แตล่ ะกลมุ่ รว่ มอภปิ รายหรอื นำเสนอสง่ิ ทเี่ ปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรม - หาข้อสรปุ เก่ียวกบั เนื้อหาทเ่ี ปน็ นามธรรม-รปู ธรรม ขนั้ ประยกุ ต์ - คน้ ควา้ สง่ิ ทเี่ ปน็ นามธรรมกบั รปู ธรรมในเนอ้ื หาอน่ื ๆ นอกเหนอื จากเนอ้ื หาทกี่ ำหนดให ้ ๒. การจดั กิจกรรมการเรียนร้พู ุทธวธิ ีแบบปุจฉา-วสิ ชั นา (การถาม-ตอบ) ข้ันสบื คน้ -ข้ันเชือ่ มโยง - การทำหนา้ ทีเ่ ป็นผ้ถู าม-ตอบทีถ่ ูกตอ้ งเหมาะสมแก่กาลเทศะ - วิธีถาม-ตอบ (ตอบทันทีเม่ือมีผู้ถาม ตอบแบบมีเงื่อนไข ย้อนถามผู้ถามก่อน แลว้ จึงตอบ นงิ่ เสยี ไม่ตอบ เปน็ ต้น) ขน้ั ฝึก - ตวั อย่างการถาม-ตอบ - ถาม-ตอบแบบคนต่อคน ถาม-ตอบแบบกลุ่มต่อกลุ่ม ถาม-ตอบแบบกลุ่มต่อคน เปน็ ต้น - หาข้อสรุปเน้อื หาทีเ่ กี่ยวกับการถาม-ตอบ ข้นั ประยุกต ์ - ค้นควา้ เพิม่ เตมิ นอกเหนือจากเนอ้ื หาที่กำหนดไวใ้ นแผนจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๓. การจัดกิจกรรมการเรียนร้พู ุทธวธิ ีแบบธรรมสากัจฉา (การสนทนา) ข้ันสบื ค้นและขนั้ เชอ่ื มโยง - ครูผสู้ อนเสนอสถานการณท์ ่ีเปน็ ปญั หาหรือจำลองสถานการณ ์ ข้ันฝกึ - ผู้เรียน/ครูผู้สอน-อภิปรายในประเด็นที่เป็นปัญหา หัวข้อ หรือสถานการณ ์ ตามเนอ้ื หาทกี่ ำหนด - หาขอ้ สรปุ ในประเดน็ ทเี่ ปน็ ปญั หา หวั ขอ้ หรอื สถานการณจ์ ากการสนทนาอภปิ ราย ข้นั ประยุกต ์ - ศึกษาเพิ่มเติมการสนทนา-อภิปรายของบคุ คล กลมุ่ คน ละคร องค์กร เป็นตน้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาวนิ ยั (อุโบสถศลี )
๔. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอริยสัจ ๔ (กำหนดปัญหา ตั้งสมมุติฐาน ทดลอง วิเคราะห์ สรุป) ขน้ั สืบคน้ (ทุกข)์ - กำหนดปัญหา ทีม่ าของปญั หา การเกดิ ปัญหา (ตามเนื้อหาทกี่ ำหนด) ขน้ั เชอ่ื มโยง (สมุทัย) - ต้ังสมมุติฐาน การอนมุ าน การคาดคะเน ความน่าจะเป็น ปจั จัยเสย่ี ง ขั้นฝึก (นิโรธ) - ทดลอง เกบ็ ขอ้ มลู - วิเคราะห์ สรุปผล ขน้ั ประยุกต์ (มรรค) - การนำไปประยกุ ต์ใช้กบั สงิ่ อ่นื ๆ นอกเหนอื จากเนื้อหาท่เี รยี นร้ ู ๕. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบไตรสิกขา (ระเบียบวินัย จิตใจแน่วแน่ แก้ปญั หาถกู ต้อง) ขน้ั สืบคน้ (ศีล) - สรา้ งความมรี ะเบยี บวนิ ยั ความมศี รทั ธา ความตระหนกั ความเรา้ ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี น พรอ้ มทจี่ ะเรียน ข้ันเชื่อมโยง (สมาธิ) - ให้ผู้เรียนรวมพลังจิต ความคิดอันแน่วแน่ในการตั้งใจฟัง ต้ังใจดู ตั้งใจจดจำ และเหน็ ความสำคัญต่อเน้ือหาทจ่ี ะนำเสนอ ข้นั ฝึก (ปัญญา) - ใช้สมาธิ จิตใจอนั แน่วแน่ทำความเขา้ ใจกับปญั หา - คน้ หาสาเหตทุ มี่ าท่ีไปของปญั หา - แก้ไขปญั หาอย่างถกู ตอ้ งและถกู วธิ ี ขน้ั ประยุกต์ (ปัญญา) - ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ เกิดปญั ญา และมีมโนทัศนใ์ นเร่อื งนน้ั ๆ ถกู ตอ้ ง ๖. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรพู้ ทุ ธวธิ แี บบพหสู ตู (ฟงั มาก ๆ เขยี นมาก ๆ ถามมาก ๆ คิดวิเคราะหม์ าก ๆ) ข้นั สบื คน้ และข้ันเช่ือมโยง (การสร้างศรทั ธา) - การจัดบรรยายในการนำเข้าส่บู ทเรยี น - การสรา้ งแรงจงู ใจในการนำเข้าสู่บทเรียน - บุคลกิ ภาพ ตลอดถงึ การวางตวั ทเ่ี หมาะสมของผู้สอน - การสรา้ งความสัมพันธร์ ะหว่างผูเ้ รยี นกับผสู้ อน แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาวินัย (อโุ บสถศลี )
ขน้ั ฝึก (การฝึกทกั ษะ) - กิจกรรมกลมุ่ /รายบุคคล - การปฏิบตั ิ/การนำเสนอ/การแสดงออก - ฝึกการเขียน การฟงั การถาม และการคดิ วิเคราะห ์ ขัน้ ประยกุ ต ์ - การประเมินตนเอง - การประเมินของกลั ยาณมติ ร - การศึกษาคน้ คว้าเพิม่ เติมและการนำไปประยกุ ตใ์ ช ้ ๗. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรพู้ ทุ ธวธิ แี บบโยนโิ สมนสกิ าร (การทำไวใ้ นใจโดยแยบคาย การใชค้ วามคิดอยา่ งถูกวธิ )ี แบบที่ ๑ ขั้นสืบคน้ และขัน้ เชอ่ื มโยง - ผ้เู รียนรู้จักคิด คิดเปน็ คดิ อยา่ งมีระบบ - ผู้เรียนรู้จักมอง รจู้ กั พจิ ารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ สงั เคราะห ์ ขัน้ ฝกึ - ฝึกการคดิ หาเหตผุ ล - ฝกึ การสบื ค้นถึงต้นเค้า - ฝกึ การสบื สาวให้ตลอดสาย - ฝกึ การแยกแยะสงิ่ น้ัน ๆ ปัญหาน้ัน ๆ ตามสภาวะแหง่ เหตุและปัจจยั ข้นั ประยุกต ์ - ผู้เรยี นนำการใช้ความคิดอย่างถูกวธิ ไี ปประยกุ ต์ใชก้ บั เหตุการณป์ ัจจบุ ัน ๘. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบโยนิโสมนสิการ (สร้างศรัทธาและวิธีคิด ใหก้ ับผเู้ รียน) แบบท่ี ๒ ขั้นสืบค้นและขนั้ เชอ่ื มโยง - ครูผู้สอนสรา้ งเจตคติที่ดีตอ่ ผูเ้ รยี น - ครผู ู้สอนเสนอปญั หาท่ีเปน็ สาระสำคัญ หัวเรื่อง - ครผู สู้ อนแนะแหล่งวิทยาการ แหลง่ ขอ้ มูล ขั้นฝกึ - ผู้เรยี นฝกึ การรวบรวมขอ้ มูล - ครูผู้สอนจัดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการคิดแก่ผู้เรียน เช่น คิดสืบค้นต้นเค้า คิดสืบสาวตลอดสาย คิดสบื ค้นตน้ ปลาย และคิดโยงสายสัมพันธ ์ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ช้นั โท วิชาวินัย (อุโบสถศลี )
- ฝึกการสรปุ ประเด็น เปรียบเทยี บ ประเมนิ ค่า โดยวิธีอภิปราย ทดลอง ทดสอบ - ดำเนินการเลือกและตัดสนิ ใจ - กิจกรรมฝกึ ปฏิบัตเิ พ่อื พสิ ูจน์ผลการเลือกและตัดสินใจ ข้นั ประยกุ ต์ - สังเกตวธิ ีการปฏบิ ตั ิ ตรวจสอบ ปรับปรงุ - อภิปรายและสอบถาม - สรุปบทเรียนการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ ู - วดั และประเมินผลตามสภาพจรงิ ๙. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พุทธวิธีแบบอิทธิบาท ๔ (พอใจในสิ่งท่ีเรียนรู้ พากเพยี รตอ่ สงิ่ ทเ่ี รยี นรเู้ สมอ มงุ่ มนั่ และเอาใจใสต่ อ่ สงิ่ ทเ่ี รยี นรู้ คดิ วเิ คราะห์ ไตรต่ รอง กอ่ นนำไปใช)้ ขัน้ สืบคน้ (ฉนั ทะ) - สรา้ งความพอใจและความสำคญั ต่อส่งิ ทเ่ี รยี นรู้ และส่ิงที่ไดร้ ับ ขั้นเชือ่ มโยง (วริ ยิ ะ) - ฟังใหห้ มด จดใหม้ าก ปากต้องไว ใจตอ้ งคิด (หัวใจบณั ฑิต สุ จิ ปุ ล)ิ ขน้ั ฝึก (จติ ตะ) - มุง่ มนั่ โดยฝึกฟังมาก ๆ ฝกึ คิดมาก ๆ ฝกึ ถามมาก ๆ และฝกึ เขยี นมาก ๆ ขัน้ ประยุกต์ (วิมังสา) - พิจารณา ไตร่ตรอง แยกแยะ อธิบาย นำเสนอ และประยุกต์ใช้ การนยิ ามศัพท์ข้นั ตอน/กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรพู้ ุทธวธิ ี สบื ค้น หมายถึง สืบสาวเร่ืองราว คน้ ควา้ ใหไ้ ด้เรื่อง เช่ือมโยง หมายถึง ทำใหต้ ดิ เป็นเนอ้ื เดียวกนั ทำให้ประสานกนั ฝึก หมายถึง ทำ เช่น บอก แสดง หรือปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จนเป็นนสิ ยั หรอื มคี วามชำนาญ ประยุกต ์ หมายถึง นำความรู้ในวิทยาการต่าง ๆ มาปรับใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าวนิ ยั (อโุ บสถศีล)
10 บทท่ี ๓ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นร ู้ มาตรฐาน ธศ ๑ รู้ และเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่นและปฏิบัต ิ ตามหลกั ธรรม เพ่ืออยูร่ ่วมกนั อย่างสันตสิ ุข มาตรฐาน ธศ ๒ รแู้ ละเขา้ ใจพทุ ธประวตั ิ ความสำคญั ของพระพทุ ธศาสนา ปฏบิ ตั ติ นเปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนา มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบัตติ นตามหลักพระวนิ ัยบญั ญตั ิของพระพุทธศาสนา แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าวินยั (อโุ บสถศลี )
11 มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ และสาระการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เขา้ ใจ และปฏิบัติตนตามหลกั พระวนิ ยั บญั ญัติของพระพทุ ธศาสนา ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ ธศ โท รแู้ ละเขา้ ใจความหมาย ประเภท ๑. ความหมายของคำว่าอโุ บสถศลี และวธิ สี มาทานอโุ บสถศีล . ๒. วัตถปุ ระสงคข์ องการรักษาอุโบสถศีล ๓. ประวัติความเป็นมาของอุโบสถศลี ๔. อานสิ งส์ของอุโบสถศีล ๕. โทษของการไมม่ ีศีล ๖. การรกั ษาอโุ บสถศีลเพือ่ ขม่ กิเลส ๗. วริ ัติ เจตนางดเว้นจากการล่วงละเมดิ ศลี ๘. ประเภทของอุโบสถศีล ๙. อุโบสถศลี มผี ลน้อยและมผี ลมาก ๑๐. ความแตกตา่ งระหวา่ งอโุ บสถศลี และศลี ๘ ๑๑. ระเบยี บพธิ สี มาทานอโุ บสถศลี ร้แู ละเขา้ ใจเกย่ี วกับพระรัตนตรัย ๑. อโุ บสถศีลกับพระรัตนตรัย ๑.๑ การกลา่ วถงึ พระรตั นตรยั เปน็ ครงั้ แรก ๑.๒ ความหมายของพระรตั นตรัย ๑.๓ ความเปน็ หนงึ่ แหง่ พระรัตนตรัย ๑.๔ พระรตั นตรยั เป็นสรณะที่ปลอดภัย ๑.๕ การเขา้ ไปหาพระรัตนตรัย ๒. สรณะ ๓. ไตรสรณคมน์ ๔. ไตรสรณคมน์ขาด ๕. ไตรสรณคมนเ์ ศรา้ หมอง แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชน้ั โท วชิ าวินยั (อุโบสถศีล)
12 ชั้น ผลการเรียนร ู้ สาระการเรียนรู้ ยศ โท รู้และเขา้ ใจอานสิ งส์ของอุโบสถศลี ๑. ประโยคของการล่วงละเมดิ สกิ ขาบท ๒. โทษของการลว่ งละเมิดสิกขาบท ๓. เวรของการล่วงละเมดิ สิกขาบท ๔. อุโบสถสูตร ๕. อานสิ งส์ของอโุ บสถศลี ๕.๑ อโุ บสถศลี สิกขาบทท่ี ๑ ๕.๒ อุโบสถศีลสิกขาบทที่ ๒ ๕.๓ อโุ บสถศีลสกิ ขาบทท่ี ๓ ๕.๔ อโุ บสถศลี สกิ ขาบทที่ ๔ ๕.๕ อุโบสถศลี สิกขาบทที่ ๕ ๕.๖ อุโบสถศลี สิกขาบทท่ี ๖ ๕.๗ อโุ บสถศลี สิกขาบทที่ ๗ ๕.๘ อโุ บสถศลี สกิ ขาบทท่ี ๘ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าวินัย (อุโบสถศีล)
13 บทที่ ๔ แผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ธรรมศึกษาช้ันโท ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๓ แผน ดังน ี้ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๑ อุโบสถศีล แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๒ พระรตั นตรัย แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๓ อานิสงส์ของอโุ บสถศีล แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าวนิ ยั (อุโบสถศีล)
14 แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๑ ธรรมศึกษาชัน้ โท สาระการเรยี นรู้วชิ าวนิ ยั เร่อื ง อโุ บสถศีล เวลา.........................ชว่ั โมง .............................................................................................................................................................. ๑. มาตรฐานการเรยี นร้ ู มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏบิ ตั ิตนตามหลกั พระวนิ ยั บัญญตั ขิ องพระพุทธศาสนา ๒. ผลการเรียนร้ ู รู้และเขา้ ใจความหมาย ประเภท และวิธีสมาทานอุโบสถศีล ๓. สาระสำคัญ อโุ บสถศลี หมายถงึ ศลี ทรี่ กั ษาในวนั อโุ บสถ เปน็ การเขา้ อยจู่ ำรกั ษาศลี ประพฤตพิ รหมจรรย์ ตง้ั ใจทจ่ี ะงดเวน้ จากความช่วั ความทจุ รติ ส่งิ ทไ่ี มด่ ีไมง่ ามทงั้ หลาย ควบคุมทางกาย วาจา ใจ ใหส้ งบ และขัดเกลากเิ ลส การรกั ษาอโุ บสถศลี เปน็ การเตรียมสภาพท่วั ไปของชีวิตใหพ้ รอ้ มสำหรบั ความเจริญ งอกงามของคณุ ธรรมท่ีสงู ข้ึนไป คอื สมาธแิ ละปญั ญา ๔. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร้ ู ๑. นักเรียนอธบิ ายความหมาย วัตถุประสงค์ และประวัตคิ วามเปน็ มาของอโุ บสถศลี ได้ ๒. นักเรียนอธิบายและปฏิบัติตนตามระเบียบพิธีสมาทานอุโบสถศีลได้ คุณลักษณะ ท่พี ึงประสงค์/คณุ ธรรม ๕. สาระการเรยี นร/ู้ เน้ือหา ๑. ความหมายของคำวา่ อโุ บสถศีล ๒. วตั ถุประสงค์ของการรกั ษาอุโบสถศลี ๓. ประวตั คิ วามเปน็ มาของอโุ บสถศลี ๔. อานสิ งส์ของอโุ บสถศีล ๕. โทษของการไม่มศี ีล ๖. การรักษาอุโบสถศีลเพื่อข่มกเิ ลส ๗. วริ ตั ิ เจตนางดเวน้ จากการล่วงละเมิดศีล ๘. ประเภทของอโุ บสถศลี ๙. อโุ บสถศีลมผี ลน้อยและมผี ลมาก ๑๐. ความแตกตา่ งระหว่างอุโบสถศีลและศลี ๘ ๑๑. ระเบียบพธิ ีสมาทานอโุ บสถศลี แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้ันโท วชิ าวินยั (อโุ บสถศีล)
15 ๖. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ใหน้ กั เรยี นสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธกิ อ่ นเรียน ๕ นาท ี ข้นั สืบค้นและเช่อื มโยง ๑. ครตู ัง้ คำถามเพ่ือสนทนากบั นกั เรียน วเิ คราะห์หาคำตอบในประเด็นต่อไปน ้ี - ข้อตกลงระหวา่ งผู้ปกครองกบั นักเรียนมอี ะไรบา้ ง - ขอ้ หา้ มหรอื ขอ้ ปฏบิ ัติเพื่อให้สังคมสงบสุขมอี ะไรบ้าง - นกั เรยี นถือศีลกข่ี อ้ - ในวันพระหรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะมีพุทธศาสนิกชนใส่ชุดสีขาว ปฏิบัติธรรมท่วี ัด คอื ใครและถอื ศลี ก่ีข้อ - พระสงฆ์ถอื ศลี ก่ขี อ้ ๒. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปข้อตกลงทางโลก คือ กฎหมาย แต่ในทางธรรม คือ ศีล เพิม่ เติมสาระสำคญั ท่คี วรรู้ ขน้ั ฝึก (ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน ๕๐ ข้อ) ๓. ให้นกั เรยี นแต่ละคนเลอื กหัวข้อต่อไปนีเ้ พียง ๑ หวั ขอ้ - ความหมายของอโุ บสถศีล - วัตถปุ ระสงคข์ องการรกั ษาอโุ บสถศลี - ประวัตคิ วามเปน็ มาของอโุ บสถศลี ศกึ ษาจากใบความรู้ท่ี ๑ แลว้ สรุปลงในใบกจิ กรรมท่ี ๑ ๔. ครสู ุม่ นกั เรียนออกมานำเสนอ ร่วมกนั สรุปสาระสำคัญให้สมบูรณ ์ ๕. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๕ กลุ่ม คละความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) แต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาใบความร้ทู ี่ ๑ ข้ันประยุกต ์ ๖. ให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทำใบกิจกรรมที่ ๒ ๗. เม่ือแต่ละกลุ่มทำใบกิจกรรมเสร็จ ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจคำตอบ พร้อมครู อธิบายเพ่มิ เติม และชน่ื ชมกลุ่มทสี่ ามารถตอบคำถามไดม้ ากที่สดุ ๘. ครใู หน้ กั เรยี นไปฝกึ สวด ประกาศอโุ บสถศลี คำอาราธนาอโุ บสถศลี คำอาราธนาศลี ๘ และการรับอุโบสถศลี นอกเวลาเรียนแล้วมาสวดให้ครฟู งั ๗. ภาระงาน/ชน้ิ งาน ท่ี ภาระงาน ชิน้ งาน ๑ ตอบคำถามเกยี่ วกับอุโบสถศีล ใบกจิ กรรมท่ี ๑ และ ๒ แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าวนิ ัย (อุโบสถศลี )
16 ๘. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้ ๑. หนงั สอื เรยี นธรรมศกึ ษาชัน้ โท ๒. ใบความรู้ที่ ๑ ๓. ใบกจิ กรรมท่ี ๑ ๔. ใบกิจกรรมที่ ๒ ๕. ใบเฉลยกจิ กรรที่ ๑ ๖. ใบเฉลยกจิ กรรที่ ๒ ๙. การวัดผลและประเมินผล สง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั วิธีวดั เครอ่ื งมือวัด เกณฑ์การประเมนิ ๑. นักเรยี นอธบิ าย - สงั เกต - แบบสงั เกต ผ่าน = ไดค้ ะแนนตงั้ แต่ร้อยละ ความหมาย พฤติกรรม ๖๐ ข้นึ ไป วัตถุประสงค์ และ การปฏบิ ัติ ไมผ่ า่ น = ได้คะแนนตำ่ กว่า ประวัตคิ วามเป็นมา กจิ กรรมกลุ่ม ร้อยละ ๖๐ ของอโุ บสถศีลได้ ผ่าน = ไดค้ ะแนนตงั้ แตร่ ้อยละ ๖๐ ขน้ึ ไป ๒. นกั เรยี นอธบิ ายและ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ไมผ่ า่ น = ไดค้ ะแนนตำ่ กว่า ปฏบิ ตั ติ นตามระเบียบ ผลงาน ร้อยละ ๖๐ พิธสี มาทานอโุ บสถศีล ได้ ขอ้ ที่ ๓ คะแนน แบบประเมนิ ผลงาน ๑ คะแนน ๑-๑๕ ตอบคำถามถูกต้อง ใบกจิ กรรมท่ี ๑ ตอบคำถามได้ถกู ต้อง ตรงประเดน็ น้อย ตรงประเดน็ ระดบั คะแนน ๒ คะแนน ตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ ง ตรงประเดน็ เปน็ ส่วนใหญ่ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ โท วชิ าวินยั (อุโบสถศลี )
17 เกณฑก์ ารตดั สิน เกณฑ์ รอ้ ยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ข้ึนไป ๒๗-๔๕ ไม่ผา่ น ต่ำกว่า ๖๐ ๐-๒๖ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตัดสินสามารถปรบั ใช้ตามความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย แบบประเมินผลงาน ใบกิจกรรมที่ ๒ ขอ้ ที ่ ระดบั คะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ตอบคำถามได้ถูกตอ้ ง ตอบคำถามได้ถกู ตอ้ ง ตรงประเดน็ น้อย ๑-๒๐ ตอบคำถามถกู ต้อง ตรงประเดน็ เป็นส่วนใหญ ่ ตรงประเด็น เกณฑ์การตดั สิน เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขึ้นไป ๑๒-๒๐ ไมผ่ า่ น ต่ำกว่า ๖๐ ๐-๑๑ หมายเหต ุ เกณฑก์ ารตดั สนิ สามารถปรับใชต้ ามความเหมาะสมกับกลมุ่ เป้าหมาย แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าวินัย (อุโบสถศีล)
18 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติกิจกรรมกลมุ่ ท่ี รายการ ๓ คะแนน ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความรว่ มมอื ในการ ให้ความร่วมมือ ใหค้ วามรว่ มมือ ใหค้ วามร่วมมอื ทำกจิ กรรม ในการทำกจิ กรรม ในการทำกจิ กรรม ในการทำกจิ กรรมบา้ ง ทกุ กิจกรรม บางกิจกรรม ๒ การแสดง/การรบั ฟัง แสดงความคดิ เหน็ แสดงความคิดเหน็ แสดงความคิดเห็น ความคิดเหน็ และรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และรบั ฟงั ความคดิ เหน็ และรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของคนสว่ นมาก ของคนอนื่ บา้ ง ของคนอ่นื นอ้ ย เปน็ สำคัญ ๓ การตั้งใจ/การแก้ไข มคี วามต้ังใจ มคี วามต้งั ใจ มีความตงั้ ใจ ปัญหาในการทำงาน และรว่ มแก้ไข และร่วมแก้ไข และร่วมแก้ไข ปญั หาในการ ปญั หาในการ ปัญหาในการ ทำงานกลุม่ ดีมาก ทำงานกลุ่มดี ทำงานกลมุ่ บา้ ง ๔ ความถูกตอ้ งของเนอ้ื หา สรปุ เนอ้ื หาไดถ้ กู ตอ้ ง สรปุ เนอ้ื หาไดถ้ กู ตอ้ ง สรปุ เนอื้ หาไดถ้ กู ตอ้ ง ตรงประเดน็ และ ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บ้าง ครบถ้วน ๕ วธิ ีการนำเสนอผลงาน นำเสนอผลงาน นำเสนอผลงาน นำเสนอผลงาน ได้อยา่ งถกู ต้อง ได้อยา่ งถูกตอ้ ง ตามข้นั ตอนไดบ้ า้ ง ตามขนั้ ตอน ตามขนั้ ตอน นา่ สนใจ และเนอ้ื หา นา่ สนใจ แตข่ าด ครบถ้วน เน้อื หาบางส่วน เกณฑ์การตดั สิน เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผา่ น ๖๐ ขนึ้ ไป ๙-๑๕ ไมผ่ า่ น ตำ่ กวา่ ๖๐ ๐-๘ หมายเหตุ เกณฑก์ ารตดั สินสามารถปรบั ใชต้ ามความเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ชนั้ โท วชิ าวินัย (อุโบสถศลี )
19 ใบกจิ กรรมท่ี ๑ เรือ่ ง อุโบสถศลี ช่ือ.......................................................................................ชนั้ ...................เลขท.่ี ................................. จงตอบคำถามต่อไปน ี้ ๑. อโุ บสถ หมายถึงอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ศลี หมายถึงอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. อุโบสถศลี หมายถงึ อะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๔. วตั ถปุ ระสงคข์ องการรกั ษาอุโบสถศีล หมายถงึ อะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๕. ประวตั ิความเป็นมาของอโุ บสถศีล หมายถงึ อะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้ันโท วิชาวินยั (อุโบสถศีล)
20 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๑ เรอ่ื ง อุโบสถศีล ๑. อโุ บสถ หมายถงึ อะไร ตอบ อุโบสถ หมายถึง การเข้าจำหรืออยู่จำ เพื่อหยุดการงานทางโลก พักการงาน ทางบ้าน เป็นอุบายควบคุมกาย วาจา ใจ ให้สงบและขัดเกลากิเลส เป็นการเข้าอยู่จำรักษาศีล ประพฤติพรหมจรรยใ์ ช้ชีวติ ตามวิธพี ทุ ธด้วยอัตรปู ปฏบิ ตั ิท่พี ิเศษยิ่งขนึ้ ๒. ศีล หมายถงึ อะไร ตอบ ศีล หมายถึง เจตนาหรือความต้ังใจท่ีละงดเว้นจากความช่ัว ความทุจริตสิ่ง ท่ไี มด่ ไี ม่งามทั้งหลาย ๓. อุโบสถศลี หมายถงึ อะไร ตอบ อุโบสถศีล หมายถึง ศีลท่ีรักษาในวันอุโบสถ ซึ่งเป็นวันพระหรือวันสำคัญ ทางศาสนา ๔. วัตถุประสงคข์ องการรักษาอโุ บสถศีล หมายถงึ อะไร ตอบ ๑. เพอื่ ป้องกันการเบียดเบียนกันในชวี ิตและทรัพย์สิน ๒. เพอื่ ให้เกดิ ความสขุ และความดงี าม ในการดำเนนิ ชวี ติ ๓. เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ขดั เกลากเิ ลสใหเ้ บาบาง ๔. เพ่อื ตัดความกังวลในเร่ืองอาหาร ๕. เพอ่ื ใชช้ ีวติ แบบสมถะเรียบง่าย ไม่ฟุง้ เฟ้อฟุ่มเฟอื ย ๕. เพ่ือเปน็ พนื้ ฐานในการพฒั นาคณุ ธรรมใหส้ ูงข้นึ ๕. ประวัติความเป็นมาของอโุ บสถศีล หมายถึงอะไร ตอบ อุโบสถศีล เป็นเร่ืองของกุศลกรรมที่สำคัญประการหน่ึงของคฤหัสถ์ เป็นการ หยดุ พกั การงานไวช้ ่วั คราว เชน่ การทำนา ทำไร่ และคา้ ขาย เปน็ ต้น เพอ่ื บำเพ็ญบญุ กศุ ลหรือกระทำ กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นอุบายสงบระงับความอยากแบบโลกิยวิสัยที่ตกเป็นทาสหลงใหล ในวัตถุนิยม และเป็นการขัดเกลากิเลสอย่างหยาบให้เบาบาง เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธ ศาสนา คือ พระนพิ พาน ความพน้ จากทุกขท์ ้งั ปวง อโุ บสถนนั้ ถอื ปฏบิ ตั กิ นั มากอ่ นพทุ ธกาล ปรากฏหลกั ฐานในอรรถกถาคงั คมาลชาดก อัฏฐกนิบาต และในอโุ บสถขนั ธกะ ดังน ้ี ในอรรถกถาคงั คมาลชาดก มใี จความวา่ สมยั หนง่ึ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ พ่ี ระวหิ าร เชตวัน ตรัสเรียกคนรักษาอุโบสถมาแล้ว ตรัสว่า พวกเธอท้ังหลายผู้รักษาอุโบสถชื่อว่าได้ทำ ความดีแล้ว นอกจากการรักษาอุโบสถแล้ว พวกเธอควรให้ทาน รักษาศีล ไม่ควรโกรธ ควรเจริญ เมตตาภาวนา ควรอยู่จำอุโบสถให้ครบเวลา เพราะว่าบัณฑิตในปางก่อนอาศัยอุโบสถเพียงก่ึงเดียว แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาวินยั (อโุ บสถศลี )
21 ยังได้ยศใหญ่มาแล้ว เมื่ออุบาสกและอุบาสิกาเหล่าน้ันทูลขอให้ทรงเล่าเรื่องน้ัน จึงได้ทรงนำเรื่อง ในอดตี มาตรสั เลา่ ดังน ้ี ในอดตี กาล มเี ศรษฐีคนหน่ึง ชื่อว่า สุจบิ รวิ าร มีทรพั ยม์ าก มีบรวิ าร มจี ติ ใจสะอาด ชอบทำบญุ บรจิ าคทาน แมภ้ รรยา บุตร ธดิ า บริวารชน กระท่งั คนเลี้ยงววั ของเศรษฐีน้นั ก็ล้วนเป็น ผู้เข้าจำอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในครอบครัวคนยากจน มีอาชีพรับจ้าง เป็นอยู่อย่างอัตคัดขัดสน ได้เข้าไปยังบ้านของเศรษฐีเพ่ือขอทำงาน เศรษฐีบอกว่า ทุกคนในบ้านน้ี ล้วนแต่เป็นผู้รักษาศีล ถ้าเธอรักษาศีลได้ ก็ทำงานได้ แต่เศรษฐีลืมบอกวิธีการรักษาศีลแก่เขาว่า จะต้องทำอยา่ งไรบา้ ง พระโพธิสัตว์ เป็นคนว่าง่ายสอนง่าย เมื่อได้เข้าไปทำงานที่บ้านเศรษฐีแล้วก็ทำงาน แบบถวายชีวิต ไม่คำนึงถึงความยากลำบาก ตื่นก่อน นอนทีหลังเสมอ ต่อมาวันหน่ึง มีการละเล่น มหรสพในเมือง เศรษฐีเรียกสาวใช้มาสั่งว่า วันน้ีเป็นวันอุโบสถ เธอจงหุงอาหารให้คนงานแต่เช้าตรู่ พวกเขารับประทานอาหารแล้วจะได้รักษาอุโบสถ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ตื่นนอนแล้ว ได้ออกไปทำงาน แต่เช้ามดื ไมม่ ใี ครบอกว่าวนั นเี้ ปน็ วนั อุโบสถ คนทัง้ หมดรบั ประทานอาหารเช้าแล้ว ต่างรกั ษาอุโบสถ แม้เศรษฐีพร้อมภรรยาและบุตรธิดาก็ได้อธิษฐานรักษาอุโบสถ น่ัง ณ ท่ีอยู่ของตน รำลึกนึกถึงศีล ที่ตนรักษา ส่วนพระโพธิสัตว์ทำงานตลอดวัน เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตก จึงได้กลับมายังท่ีพักอาศัย แมค่ รวั ไดน้ ำอาหารไปให้ พระโพธสิ ตั วร์ สู้ กึ แปลกใจ จงึ ถามวา่ วนั อนื่ ๆ ในเวลาเชน่ นจ้ี ะมเี สยี งดงั ออ้ื องึ วันน้ีคนเหล่านั้นไปไหนกันหมด คร้ันทราบว่าทุกคนสมาทานอุโบสถ ไม่รับประทานอาหาร ทุกคน ต่างพักในท่ีอยู่ของตนๆ จึงคิดว่า เราคนเดียวท่ีไม่มีศีลในท่ามกลางของผู้มีศีล เราจะอยู่ได้อย่างไร เราควรจะอธิษฐานอุโบสถ ในตอนน้ีจะได้หรือไม่หนอ จึงเข้าไปถามเศรษฐี เศรษฐีบอกว่า เมื่อรักษา อุโบสถตอนนี้ จะได้อุโบสถกรรมคร่ึงเดียว เพราะไม่ได้อธิษฐานต้ังแต่เช้า พระโพธิสัตว์บอกว่า ครึ่งเดียวก็ได้ขอรับ จึงสมาทานศีลกับเศรษฐี อธิษฐานอุโบสถ เข้าไปยังที่อยู่ของตนนอนนึกถึงศีล ท่ีตนรักษา ในเวลาปัจฉิมยามเขาเกิดหิวอาหารจนเป็นลม เพราะตลอดท้ังวันยังไม่ได้รับประทาน อาหารเลย เศรษฐีนำเอาเภสัชต่าง ๆ มาให้เขาก็ไม่ยอมรับประทาน ยอมเสียชีวิต แต่ไม่ยอมเสียศีล ในขณะใกลจ้ ะเสียชวี ิต พระเจ้ากรงุ พาราณสี เสดจ็ ประพาสน์พระนครมาถงึ ที่น้นั พระโพธิสัตว์ไดเ้ หน็ สริ ิมงคลของพระราชา จึงปรารถนาราชสมบตั ิ ครั้นสิ้นชวี ติ แลว้ ได้ถอื ปฏสิ นธใิ นพระครรภ์อคั รมเหสี ของพระราชา เพราะผลแห่งอุโบสถกรรมกึ่งหน่ึงน้ัน คร้ันประสูติแล้ว ทรงได้รับขนานพระนามว่า “อุทัยกุมาร” เม่ือเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาศิลปะทุกอย่าง ระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้ด้วย ญาณเครื่องระลกึ ชาติ จงึ เปล่งอุทานตรง ๆ วา่ นีเ้ ปน็ ผลแห่งกรรมเลก็ น้อยของเรา ครัน้ พระราชบิดา สวรรคตแล้ว ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์ทอดพระเนตรดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทรงเห็นดว้ ยอานุภาพแห่งการรักษาอโุ บสถกรรมแมเ้ พยี งก่งึ หน่ึง ยงั ได้มหาสมบัตถิ งึ เพียงน้ ี แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชั้นโท วชิ าวินัย (อโุ บสถศีล)
22 ใบกจิ กรรมท่ี ๒ เร่อื ง อุโบสถศลี ชื่อกลุ่ม.................................. ๑. ช่อื .......................................................................................ช้ัน................เลขท.่ี ............................... ๒. ชอื่ .......................................................................................ชน้ั ................เลขท่.ี ............................... ๓. ชอ่ื .......................................................................................ช้นั ................เลขที่................................ ๔. ชอ่ื .......................................................................................ชั้น................เลขท.่ี ............................... จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี (๔๕ คะแนน) ๑. คำวา่ “อุโบสถ” หมายความวา่ อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….… ๒. อุโบสถศีล บญั ญตั ขิ ้ึนสำหรบั ใคร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…… ๓. อโุ บสถศีล ตา่ งจากศีล ๕ อยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ๔. การรกั ษาอโุ บสถศลี ประเภทใดเทยี บไดก้ บั การอยจู่ ำพรรษาของพระภกิ ษใุ นชว่ งฤดฝู น …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๕. อุโบสถศลี ประเภทใดกำหนดให้รักษาคราวละ ๓ วนั …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๖. ปกตอิ ุโบสถ กำหนดให้รักษาเดือนหนึ่งกี่วนั …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๗. อโุ บสถศลี ประเภทใด ทค่ี นนยิ มรกั ษากันมากท่สี ุด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๘. อุโบสถศีลนอกพุทธกาลกบั สมัยพุทธกาล คนส่วนใหญ่นยิ มรกั ษาดว้ ยวธิ ีใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๙. เมอ่ื พระสงฆก์ ลา่ ววา่ “ตสิ รณคมนํ นฏิ ฐติ ”ํ ผสู้ มาทานอโุ บสถศลี พงึ รบั พรอ้ มกนั วา่ อยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั โท วิชาวนิ ยั (อโุ บสถศลี )
23 ๑๐. การรกั ษาอุโบสถศีล เริ่มต้นด้วยพธิ ีใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๑. การสมาทานอุโบสถศลี กำหนดใหส้ มาทานท่ีใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๒. ปจั จุบนั นิยมให้สมาทานศีลอุโบสถกบั ใคร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๓. อัฏฐมีดถิ ี ในคำประกาศอุโบสถศีล หมายถงึ วันก่ีคำ่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….... ๑๔. วันปัณณรสี ในคำประกาศอุโบสถศีล หมายถงึ วันกค่ี ่ำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๕. เพราะเหตใุ ดอุโบสถศีลท่สี มาทานแล้วได้ช่อื วา่ มีศลี บรบิ รู ณ ์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๖. คำวา่ “อมิ ินา สกกฺ าเรน ตํ ภควนฺตํ อภปิ ชู ยามิ” เป็นคำกล่าวบูชาสิ่งใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๗. คำกล่าวข้ึนต้นวา่ “อชฺช โภนโฺ ต ปกฺขสฺส อฏฐมที ิวโส...” เปน็ คำกลา่ วของอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๘. “สเี ลน สุคตึ ยนฺติ...” ใครเปน็ ผกู้ ล่าวสรุปอานสิ งส ์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๑๙. เว้นวกิ าลโภชนา กลา่ วเปน็ ภาษาบาลวี ่าอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ๒๐. การกล่าวคำบาลวี ่า มิ หรือ มะ ต่างกันอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ โท วชิ าวินยั (อุโบสถศีล)
24 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๒ เร่อื ง อโุ บสถศีล ๑. คำวา่ “อโุ บสถ” หมายความวา่ อย่างไร ตอบ การเข้าจำ ๒. อโุ บสถศีล บัญญตั ิข้นึ สำหรบั ใคร ตอบ อุบาสก อุบาสกิ า ๓. อโุ บสถศีล ต่างจากศีล ๕ อย่างไร ตอบ อโุ บสถศีลมกี ารกำหนดเวลารกั ษา ๔. การรกั ษาอโุ บสถศลี ประเภทใดเทยี บไดก้ บั การอยจู่ ำพรรษาของพระภกิ ษใุ นชว่ งฤดฝู น ตอบ ปาฏหิ าริยอุโบสถ ๕. อุโบสถศลี ประเภทใดกำหนดให้รกั ษาคราวละ ๓ วัน ตอบ ปฏิชาครอโุ บสถ ๖. ปกตอิ ุโบสถ กำหนดให้รักษาเดอื นหนึง่ ก่วี ัน ตอบ ๔ วัน ๗. อุโบสถศีลประเภทใด ทค่ี นนยิ มรักษากันมากทสี่ ุด ตอบ ปกตอิ ุโบสถ ๘. อุโบสถศีลนอกพทุ ธกาลกบั สมัยพุทธกาล คนสว่ นใหญน่ ิยมรกั ษาดว้ ยวิธีใด ตอบ งดอาหาร ๙. เมอื่ พระสงฆก์ ลา่ ววา่ “ตสิ รณคมนํ นฏิ ฐติ ”ํ ผสู้ มาทานอโุ บสถศลี พงึ รบั พรอ้ มกนั วา่ อยา่ งไร ตอบ อาม ภนฺเต ๑๐. การรักษาอโุ บสถศีล เรมิ่ ตน้ ดว้ ยพิธใี ด ตอบ บชู าพระรัตนตรยั ๑๑. การสมาทานอุโบสถศีลกำหนดใหส้ มาทานทีใ่ ด ตอบ ทีไ่ หนก็ได้ ๑๒. ปัจจบุ ันนยิ มใหส้ มาทานศีลอุโบสถกับใคร ตอบ พระสงฆ ์ ๑๓. อัฏฐมดี ิถี ในคำประกาศอุโบสถศีล หมายถงึ วนั กคี่ ่ำ ตอบ วนั ๘ ค่ำ ๑๔. วนั ปณั ณรสี ในคำประกาศอุโบสถศลี หมายถงึ วันกี่คำ่ ตอบ วัน ๑๕ คำ่ แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาวินยั (อโุ บสถศีล)
25 ๑๕. เพราะเหตุใดอโุ บสถศลี ที่สมาทานแลว้ ได้ชอื่ ว่ามีศลี บรบิ ูรณ ์ ตอบ ไมล่ ะเมดิ ๑๖. คำวา่ “อิมินา สกกฺ าเรน ตํ ภควนฺตํ อภปิ ชู ยามิ” เป็นคำกลา่ วบชู าสิง่ ใด ตอบ พระรตั นตรัย ๑๗. คำกลา่ วขึ้นตน้ วา่ “อชฺช โภนฺโต ปกฺขสฺส อฏฐมที ิวโส...” เปน็ คำกลา่ วของอะไร ตอบ คำประกาศอโุ บสถ ๑๘. “สเี ลน สุคตึ ยนตฺ .ิ ..” ใครเป็นผู้กล่าวสรปุ อานิสงส์ ตอบ พระสงฆ ์ ๑๙. เวน้ วิกาลโภชนา กลา่ วเป็นภาษาบาลีวา่ อยา่ งไร ตอบ วิกาลโภชนา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ ๒๐. การกล่าวคำบาลวี ่า มิ หรือ มะ ตา่ งกันอย่างไร ตอบ คำวา่ มิ ใชเ้ ปน็ การกระทำเฉพาะตน/คนเดยี ว มะ ใชเ้ ป็นการกระทำร่วมกนั /หลายคน แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นโท วิชาวนิ ัย (อโุ บสถศลี )
26 ใบความรู้ท่ี ๑ อุโบสถศลี ความหมายของคำวา่ อโุ บสถศลี อุโบสถศลี หมายถึง ศีลที่รักษาในวนั อโุ บสถ มาจากคำว่า อุโบสถ และ ศลี มคี วามหมาย ดังนี้ อุโบสถ หมายถึง การเข้าจำ หรืออยู่จำ เพ่ือหยุดการงานทางโลก พักการงานทางบ้าน เปน็ อบุ ายควบคมุ กาย วาจา ใจ ใหส้ งบและขดั เกลากเิ ลส เปน็ การเขา้ อยจู่ ำรกั ษาศลี ประพฤตพิ รหมจรรย์ ใช้ชีวติ ตามวถิ ีพทุ ธดว้ ยวตั รปฏบิ ัตทิ พ่ี ิเศษยง่ิ ข้นึ ศีล หมายถึง เจตนาหรือความตัง้ ใจทจี่ ะงดเวน้ จากความชว่ั ความทจุ ริต ส่ิงทไ่ี ม่ดีไม่งาม ทัง้ หลาย มคี ำแปลหลายอย่างตามรูปศพั ท์ภาษาบาลี ดังนี้ ๑. ศลี มาจากคำวา่ “สริ ะ” แปลวา่ ยอด หมายถงึ สว่ นสงู สดุ เพราะฉะนนั้ ผมู้ ศี ลี จงึ ชอ่ื วา่ เป็นยอดคน คือ เป็นผู้ที่มีความสูงสุดด้วยการประพฤติปฏิบัติ เพราะผู้ท่ีได้ช่ือว่าเป็นยอดคนน้ัน แทจ้ รงิ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ก่ี ารมที รพั ยส์ นิ อำนาจ ความรู้ หรอื ความสามารถเหนอื กวา่ ผอู้ นื่ แตอ่ ยทู่ ค่ี วามบรสิ ทุ ธิ์ ของศีล ผู้มีศีลจึงเป็นผู้ประเสริฐที่สุด อีกนัยหน่ึง “สิระ” ยังแปลว่า ศีรษะ ซ่ึงเป็นส่วนสำคัญ ของรา่ งกาย บคุ คลจะมชี วี ติ อยูไ่ ด้ตอ้ งมีศีรษะ ถ้าไมม่ ีศรี ษะกไ็ ม่สามารถมชี ีวติ อย่ไู ด้ เหมอื นคนไมม่ ศี ลี จะมชี ีวติ อยูอ่ ย่างปกติไม่ได ้ ๒. ศีล มาจากคำว่า “สีละ” แปลว่า ปกติ โดยปกติของคนจะไม่ฆ่ากัน ไม่ลักทรัพย ์ ไม่ล่วงละเมิดในคู่ครองคนอ่ืน ไม่พูดเท็จ และไม่เสพส่ิงเสพติดให้โทษ ถ้ากระทำในสิ่งท่ีตรงกันข้าม ก็ชื่อวา่ ผิดปกติ ๓. ศีล มาจากคำว่า “สีตละ” แปลว่า เย็น บุคคลผู้มีศีลจะมีความเย็นกาย เย็นใจ แม้ผ้ทู ่ีอยู่ใกล้ ก็จะรู้สกึ ปลอดภัย เย็นกาย เยน็ ใจไปด้วย ดุจรม่ ไมใ้ หญใ่ ห้ความร่มเยน็ แก่บคุ คลผเู้ ข้าไป พักอาศัย ๔. ศีล มาจากคำว่า “สวิ ะ” แปลว่า ปลอดโปรง่ บคุ คลผมู้ ศี ลี มคี วามปลอดโปร่งโล่งใจ อยเู่ ป็นนจิ เพราะไม่มีเร่อื งใดท่ีจะทำให้เดือดร้อนกังวลใจอันเกดิ จากการกระทำของตน ดังน้ัน ศีล จึงเป็นคุณธรรมท่ีทำให้เข้าถึงความเป็นยอดคน เป็นบุคคลผู้สมบูรณ์แบบ มคี วามเปน็ ปกติ เป็นผูท้ ่ีเยน็ กาย เยน็ ใจ และมีชีวิตท่ปี ลอดโปร่ง ปลอดภยั อยู่เสมอ วัตถุประสงคข์ องการรกั ษาอโุ บสถศีล การรกั ษาอโุ บสถศลี เปน็ การเตรยี มสภาพทว่ั ไปของชวี ติ ใหพ้ รอ้ มสำหรบั ความเจรญิ งอกงาม ของคณุ ธรรมท่ีสูงขึ้นไป คอื สมาธิและปญั ญา โดยมีวตั ถุประสงคส์ ำคญั อยู่ ๕ ประการ คือ ๑. เพื่อป้องกันการเบยี ดเบียนกนั ในชีวติ และทรพั ยส์ ิน ๒. เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสขุ และความดีงามในการดำเนนิ ชีวติ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วชิ าวินัย (อุโบสถศีล)
27 ๓. เพ่ือประพฤตพิ รหมจรรย์ ขัดเกลากเิ ลสให้เบาบาง ๔. เพ่อื ตัดความกังวลในเรอื่ งอาหาร ๕. เพอื่ ใชช้ ีวิตแบบสมถะเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟอ้ ฟมุ่ เฟือย ๕. เพ่ือเปน็ พื้นฐานในการพฒั นาคุณธรรมให้สูงขน้ึ ประวัติความเป็นมาของอโุ บสถศีล อุโบสถศีล เป็นเรื่องของกุศลกรรมที่สำคัญประการหน่ึงของคฤหัสถ์ เป็นการหยุดพัก การงานไว้ชัว่ คราว เชน่ การทำนา การทำไร่ และการคา้ ขาย เปน็ ตน้ เพื่อบำเพ็ญบุญกศุ ลหรอื กระทำ กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นอุบายสงบระงับความอยากแบบโลกิยวิสัยท่ีตกเป็นทาสหลงใหล ในวตั ถนุ ยิ ม และเปน็ การขดั เกลากเิ ลสอยา่ งหยาบใหเ้ บาบาง เพอื่ บรรลเุ ปา้ หมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา คือ พระนพิ พาน ความพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อุโบสถน้ัน ถือปฏิบัติกันมาก่อนพุทธกาล ปรากฏหลักฐานในอรรถกถาคังคมาลชาดก อฏั ฐกนิบาต และในอโุ บสถขนั ธกะ ดงั น้ี ในอรรถกถาคังคมาลชาดก มีใจความว่า สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ท่ีพระวิหาร เชตวัน ตรัสเรียกคนรักษาอุโบสถมาแล้ว ตรัสว่า พวกเธอท้ังหลายผู้รักษาอุโบสถชื่อว่าได้ทำ ความดีแล้ว นอกจากการรักษาอุโบสถแล้ว พวกเธอควรให้ทาน รักษาศีล ไม่ควรโกรธ ควรเจริญ เมตตาภาวนา ควรอยู่จำอุโบสถให้ครบเวลา เพราะว่าบัณฑิตในปางก่อนอาศัยอุโบสถเพียงก่ึงเดียว ยังได้ยศใหญ่มาแล้ว เมื่ออุบาสกและอุบาสิกาเหล่าน้ันทูลขอให้ทรงเล่าเรื่องน้ัน จึงได้ทรงนำเรื่อง ในอดตี มาตรัสเลา่ ดงั น้ี ในอดีตกาล มีเศรษฐีคนหนึ่ง ช่ือว่า สุจิบริวาร มีทรัพย์มาก มีบริวาร มีจิตใจสะอาด ชอบทำบุญบริจาคทาน แมภ้ รรยา บุตร ธิดา บรวิ ารชน กระท่งั คนเลีย้ งวัวของเศรษฐนี น้ั กล็ ้วนเป็น ผู้เข้าจำอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน ในสมัยน้ัน พระโพธิสัตว์เกิดในครอบครัวคนยากจน มีอาชีพรับจ้าง เป็นอยู่อย่างอัตคัดขัดสน ได้เข้าไปยังบ้านของเศรษฐีเพ่ือขอทำงาน เศรษฐีบอกว่า ทุกคนในบ้านนี้ ล้วนแต่เป็นผู้รักษาศีล ถ้าเธอรักษาศีลได้ก็ทำงานได้ แต่เศรษฐีลืมบอกวิธีการรักษาศีลแก่เขาว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง พระโพธิสัตว์ เป็นคนว่าง่ายสอนง่าย เมื่อได้เข้าไปทำงานท่ีบ้านเศรษฐีแล้วก็ทำงาน แบบถวายชีวิต ไม่คำนึงถึงความยากลำบาก ต่ืนก่อน นอนทีหลังเสมอ ต่อมาวันหนึ่ง มีการละเล่น มหรสพในเมือง เศรษฐีเรียกสาวใช้มาสั่งว่า วันน้ีเป็นวันอุโบสถ เธอจงหุงอาหารให้คนงานแต่เช้าตรู่ พวกเขารับประทานอาหารแล้ว จะได้รักษาอุโบสถ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตื่นนอนแล้ว ได้ออกไปทำงาน แต่เชา้ มืด ไม่มีใครบอกวา่ วนั นเี้ ป็นวันอโุ บสถ คนทงั้ หมดรับประทานอาหารเชา้ แล้ว ต่างรักษาอุโบสถ แม้เศรษฐีพร้อมภรรยาและบุตรธิดาก็ได้อธิษฐานรักษาอุโบสถ นั่ง ณ ท่ีอยู่ของตน รำลึกนึกถึงศีล ทต่ี นรกั ษามา สว่ นพระโพธสิ ตั วท์ ำงานตลอดวนั เมอื่ ถงึ เวลาพระอาทติ ยต์ ก จงึ ไดก้ ลบั มายงั ทพ่ี กั อาศยั แม่ครัวได้นำอาหารไปให้ พระโพธิสัตว์รู้สึกแปลกใจ จึงถามว่า วันอื่น ๆ ในเวลาเช่นนี้จะมีเสียงดัง อ้ืออึง วันนี้คนเหล่าน้ันไปไหนกันหมด ครั้นทราบว่าทุกคนสมาทานอุโบสถ ไม่รับประทานอาหาร ทุกคนต่างพักในที่อยู่ของตน ๆ จึงคิดว่า เราคนเดียวที่ไม่มีศีลในท่ามกลางของผู้มีศีล เราจะอยู่ได้ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ โท วิชาวนิ ัย (อุโบสถศลี )
28 อย่างไร เราควรจะอธิษฐานอุโบสถ ในตอนนี้จะได้หรือไม่หนอ จึงเข้าไปถามเศรษฐี เศรษฐีบอกว่า เมอ่ื รกั ษาอโุ บสถตอนน้ี จะไดอ้ โุ บสถกรรมครงึ่ เดยี ว เพราะไมไ่ ดอ้ ธษิ ฐานตงั้ แตเ่ ชา้ พระโพธสิ ตั วบ์ อกวา่ ครึ่งเดียวก็ได้ขอรับ จึงสมาทานศีลกับเศรษฐี อธิษฐานอุโบสถ เข้าไปยังที่อยู่ของตนนอนนึกถึงศีล ในเวลาปัจฉิมยามเขาเกิดหิวอาหารจนเป็นลม เพราะตลอดท้ังวันยังไม่ได้รับประทานอาหารเลย เศรษฐนี ำเอาเภสชั ตา่ ง ๆ มาใหเ้ ขากไ็ ม่ยอมรับประทาน ยอมเสยี ชวี ิต แต่ไม่ยอมเสียศลี ในขณะใกล้ จะเสียชีวิต พระเจ้าพาราณสีเสด็จประพาสน์พระนครมาถึงท่ีนั้น พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริมงคล ของพระราชา จึงปรารถนาราชสมบัติ ครั้นส้ินชีวิตแล้ว ได้ถือปฏิสนธิในพระครรภ์อัครมเหสีของ พระราชา เพราะผลแหง่ อโุ บสถกรรมกงึ่ หนงึ่ นั้น ครน้ั ประสตู ิแล้ว ทรงได้รับขนานพระนามว่า “อุทัย กุมาร” เม่ือเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาศิลปะทุกอย่าง ระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้ด้วยญาณ เคร่ืองระลึกชาติ จึงเปล่งอุทานตรง ๆ ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมเล็กน้อยของเรา ครั้นพระราชบิดา สวรรคตแล้ว ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์ทอดพระเนตรดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ด้วยอานุภาพแหง่ การรักษาอโุ บสถกรรมแมเ้ พยี งก่งึ หนง่ึ ่ยังไม่ไดม้ หาสมบตั ิเพยี งน ้ี ในอโุ บสถขนั ธกะ ไดพ้ ดู ถงึ เหตใุ หม้ วี นั ธมั มสั สวนะ มใี จความวา่ สมยั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทับอยู่ท่ีภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ พวกปริพาชกผู้นับถือลัทธิอ่ืน ประชุมกล่าวธรรม ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ มีคนจำนวนมากไปฟังธรรมของพวกปริพาชกแล้วเกิดความรัก ความเลื่อมใส และเปน็ พวกกับปริพาชกเหลา่ น้ัน พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงทราบเรื่องน้ันแล้ว ทรงเกิดความคิดว่า แม้พระสงฆ์ก็สมควร จะประชุมกันในวันเช่นนั้นบ้าง จึงเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลเรื่องนั้นแล้วเสด็จกลับ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เธอ ท้ังหลายประชุมพร้อมกัน ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ ภิกษุทั้งหลายได้ประชุมกันตามพุทธ ดำรัส แต่นง่ั อยู่เฉย ๆ ท้งั ๆ ที่ชาวบา้ นมาทีว่ ัดเพือ่ จะฟังธรรม ภกิ ษทุ ้ังหลายก็ไม่พูดด้วย จึงถูกตเิ ตยี น คอ่ นขอดว่า เหมือนพวกสุกรใบ้ พระผมู้ พี ระภาคเจ้าทรงทราบเร่อื งนั้นแล้ว จงึ ตรัสเรยี กภกิ ษุทง้ั หลาย มาแล้ว ตรัสว่า ดูกรภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตให้เธอทั้งหลายประชุมกันแล้วแสดงธรรม ในวัน ๑๔ คำ่ ๑๕ คำ่ และ ๘ คำ่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายจงึ ไดท้ ำตามพระบรมพทุ ธานญุ าตนน้ั เรอื่ งน้ี จงึ เปน็ ปฐมเหตุ ทำใหม้ ีวนั พระหรอื วันธรรมสวนะมาจวบถึงปัจจุบัน เรื่องท่ีนำมากล่าวนี้ ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า อุโบสถน้ัน มีปฏิบัติกันมาก่อนแล้ว และเป็นชื่อของวันท่ีเจ้าลัทธินั้นๆ กำหนดไว้ เพ่ือความสะดวกในการทำกิจกรรมตามลัทธิของตน ด้วยการงดอาหาร ต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงทรงบัญญัติอุโบสถศีล อัน ประกอบด้วย สิกขาบท ๘ ประการ พรอ้ มทัง้ ไตรสรณคมน์ เพราะฉะน้ัน อโุ บสถจึงมี ๒ แบบ คอื ๑. อโุ บสถกอ่ นพทุ ธกาล ไดแ้ ก่ การเขา้ จำศลี อโุ บสถดว้ ยการงดอาหาร ตงั้ แตเ่ วลาเทย่ี งวนั ไปแล้ว ตลอดวันเวลาท่ีได้กำหนดไว้ ดังเร่ืองในอรรถกถาคังคมาลชาดก และในอุโบสถขันธกะ ดงั กล่าว ๒. อโุ บสถในสมยั พทุ ธกาล ไดแ้ ก่ อโุ บสถทเี่ ปน็ พทุ ธบญั ญตั ิ อนั ประกอบดว้ ย ไตรสรณคมน์ และสิกขาบท ๘ ประการ มี ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นต้น แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาวนิ ัย (อุโบสถศลี )
29 อานสิ งสข์ องอโุ บสถศีล บคุ คลผรู้ กั ษาอโุ บสถศลี ดว้ ยจติ ศรทั ธา โดยวธิ กี ารสมาทานหรอื โดยการงดเวน้ เฉพาะหนา้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะศีลน้ันสามารถสร้างสวรรค์ สร้างความ เสมอภาค และสร้างความปลอดภยั ให้แกม่ นษุ ย์ ดังน ้ี ๑. อุโบสถศีลสร้างสวรรค์แก่มนุษย์ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่นางวิสาขา ในวสิ าขาสตู ร อฏั ฐกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย วา่ ดูกรวิสาขา อุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อนั บุคคลเข้าอยู่จำแล้ว ย่อมมีอานิสงส์มาก มีผลมาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความเจริญแผ่ไพศาลมาก ดูก่อนวิสาขา การท่ีสตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เข้าอยู่จำอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ หลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว พึงได้ไปอยู่ร่วมกับชาวสวรรค์ ช้ันจาตุมมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ช้ันยามา ชน้ั ดุสติ ช้นั นิมมานรดี และช้นั ปรนิมมติ วสวตั ตี ข้อน้นั ยอ่ มเปน็ ไปไดอ้ ย่างแน่นอน ๒. อุโบสถศีลเป็นไปเพ่ือประโยชน์และความสุข ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับ วาเสฏฐะอุบาสก ในอฏั ฐกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย ว่า “ดกู รวาเสฏฐะ แมถ้ ้ากษัตรยิ ท์ งั้ หลาย พราหมณ์ ท้ังหลาย แพศย์ท้ังหลาย และศูทรทั้งหลาย พึงเข้าอยู่จำอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ การเข้าอยู่จำนั้น พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพ่ือความสุขแก่กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ท้งั หลายเหลา่ นน้ั ชั่วกาลนาน” ๓. อุโบสถศีลสร้างความปลอดภัยแก่มนุษย์ บุคคลผู้รักษาอุโบสถศีล ย่อมไม่ เบียดเบียน ไมม่ เี วร ไมม่ ภี ัยแกส่ ตั วท์ ้ังหลาย ย่อมประสบความสุขทง้ั ในโลกน้แี ละโลกหน้า อนึ่ง แม้บุคคลผู้อำนวยความสะดวก และให้การสนับสนุนผู้รักษาอุโบสถศีล ด้วยการ ให้อาหารเป็นต้น ก็ย่อมได้ผล ได้อานิสงส์ ได้ความรุ่งเรือง และความเจริญไพศาลมากเช่นเดียวกัน ดงั เรอ่ื งของปุโรหิตคนหน่งึ ดังนี ้ ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระเจ้ากรุงพาราณสี เป็นผู้ไม่ประมาทในการบริจาค ทาน รักษาศีล และอุโบสถกรรม ทรงชักชวนอำมาตย์ เป็นต้น ให้บำเพ็ญกุศลเช่นนั้น คนท้ังหมด ได้ทำตาม แตม่ ีปุโรหติ อยู่คนหนง่ึ ท่ีทรงต้ังไวใ้ นตำแหนง่ ผู้พิพากษา เป็นผูห้ ากนิ บนหลงั คนดว้ ยการกนิ สินบน จึงไม่สมาทานศีลในวันอุโบสถ วันหน่ึงตอนกลางวัน เขารับสินบนทำคดีโกงแล้วไปเฝ้า พระราชา ถูกตรัสถามว่า อาจารย์ ท่านก็รักษาอุโบสถด้วยหรือ จึงทูลเท็จว่า พระพุทธเจ้าข้า แล้ว ถวายบังคมลากลับไป อำมาตย์คนหนึ่งท้วงเขาว่า ท่านไม่ได้รักษาอุโบสถมิใช่หรือ เขาพูดว่า เราบริโภคอาหารในเวลาเทา่ น้นั เมื่อกลับไปบา้ นแลว้ บ้วนปาก อธิษฐานอโุ บสถตอนเยน็ จักรักษาศลี ตอนกลางคืนเมื่อเป็นเช่นนี้ อุโบสถกรรมก่ึงหนึ่งจักมีแก่เรา คร้ันไปถึงเรือนแล้วได้ทำอย่างน้ัน ในวัน อุโบสถอีกวันหนึ่ง มีสตรีคนหน่ึงคิดว่าจะต้องรักษาอุโบสถกรรมให้ได้ เมื่อเวลาใกล้เข้ามา จึงเริ่ม จะบ้วนปาก ปุโรหิตคนน้ันรู้ว่าสตรีนี้เป็นผู้รักษาอุโบสถ จึงได้ให้ผลมะม่วงแก่เธอ ความดีของเขา มีเพียงเท่านี้ คร้ันเขาส้ินชีวิต ได้เกิดเป็นเวมานิกเปรต มีนางเทพกัญญาห้อมล้อมมากมาย เขาเสวย สมบัติเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันต้องเข้าไปอยู่ในป่ามะม่วง อัตภาพอันเป็นทิพย์ของเขา แนวทางการจัดการเรยี นรูธ้ รรมศึกษา ชัน้ โท วชิ าวินัย (อุโบสถศลี )
30 หายไป เขามีร่างกายที่น่าเกลียด ถูกไฟไหม้ลุกโชนท้ังตัว มือของเขามีน้ิวข้างละนิ้ว มีเล็บน้ิวมือ ขนาดเทา่ จอบเลม่ ใหญ่ ๆ เขาเอาเลบ็ มอื ทง้ั สองนนั้ กรดี เนอื้ หลงั ของตนควกั ออกมากนิ ไดร้ บั ความเจบ็ ปวด ร้องล่ันป่า ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส เม่ือพระอาทิตย์ตกดิน ร่างกายน้ันก็หายไป กายอันเป็นทิพย์ เกดิ ขึน้ แทน เขาได้กลบั เขา้ สวู่ ิมานดงั เดมิ คอื ทพิ ยวมิ านอันน่ารนื่ รมย์ เพราะผลแหง่ การใหผ้ ลมะมว่ ง แก่สตรีผู้รักษาอุโบสถ แต่เขาควักเน้ือหลังของตนเองออกมากิน เพราะผลแห่งการรับสินบนและ ตัดสินคดีโกง เขามียศใหญ่ ไปท่ีไหนมีนางเทพกัญญาห้อมล้อม เพราะผลแห่งการรักษาอุโบสถกรรม กงึ่ หน่ึง อนึ่ง ในมหาปรินิพพานสตู รได้กล่าวถงึ อานสิ งสข์ องศีลไว้ ๕ ประการ ดังนี ้ ๑. ย่อมไดโ้ ภคสมบัตมิ าก เพราะความไมป่ ระมาทเป็นเหต ุ ๒. กิตติศัพท์อนั ดงี ามย่อมขจรขจายไป ๓. มีความองอาจกลา้ หาญในท่ามกลางชุมชน ๔. มสี ตใิ นเวลาตาย ๕. ยอ่ มเขา้ ถงึ สุคตโิ ลกสวรรค์ อุโบสถศีลน้ันมีความไม่เดือดร้อน เป็นผล เป็นอานิสงส์ โดยสรุปมีอานิสงส์ ๓ ประการ คือ ๑. ศลี เป็นเหตใุ ห้ไปสู่สุคติ ตามบาลีวา่ สเี ลน สุคตึ ยนตฺ ิ ๒. ศลี เป็นเหตุให้ได้โภคทรพั ย์ ตามบาลวี า่ สีเลน โภคสมฺปทา ๓. ศีลเป็นเหตุให้ถงึ พระนพิ พาน ตามบาลี วา่ สีเลน นพิ พฺ ตุ ึ ยนฺติ โทษของการไมม่ ีศลี บคุ คลผไู้ มม่ ศี ลี ไมร่ กั ษาศลี หรอื เปน็ คนทศุ ลี นนั้ ชวี ติ ยอ่ มมแี ตค่ วามเดอื ดรอ้ น ยง่ิ ไปกวา่ นนั้ ยังนำความเดือดร้อนไปสูบ่ คุ คลอ่ืน สงั คม และประเทศชาติ ประมวลโทษของการทุศลี ได้ ดงั นี้ ๑. ไมเ่ ปน็ ที่ชอบใจของเทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลาย ๒. เปน็ ผทู้ ่บี ัณฑิตไม่ควรพร่ำสอน เพราะคนทุศลี เป็นผูว้ า่ ยากสอนยาก ๓. มีทุกขเ์ พราะถูกครหา ๔. เมอื่ ผมู้ ศี ลี สรรเสรญิ กเ็ กดิ ความร้อนใจ ๕. มผี ิวพรรณเศร้าหมอง ๖. เปน็ ผมู้ สี มั ผสั หยาบ เพราะทำใหผ้ ปู้ ระพฤตติ ามพลอยไดร้ บั ความทุกขไ์ ปดว้ ย ๗. เปน็ ผมู้ ีค่านอ้ ย เพราะไม่ไดร้ บั การยอมรับจากสงั คม ๘. เป็นผ้ทู ี่ล้างให้สะอาดไดย้ าก เหมอื นหลุมคถู ทห่ี มกั หมมไว้นานปี ๙. เป็นผเู้ ส่ือมจากประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ๑๐. เปน็ ผู้หวาดสะดงุ้ อยู่เปน็ นจิ ๑๑. เป็นผ้ไู มค่ วรแก่การอยรู่ ว่ ม ไม่ควรคบหาสมาคม แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วิชาวนิ ัย (อุโบสถศลี )
31 ๑๒. ถงึ แม้จะเปน็ ผูม้ กี ารศกึ ษา ก็ไมค่ วรยกย่องบูชา ๑๓. เป็นผ้หู มดหวังในพระสัทธรรม เหมือนเดก็ จัณฑาลหมดหวงั ในราชสมบัต ิ ๑๔. แม้จะสำคญั ตนวา่ มคี วามสขุ ก็ชือ่ วา่ มีความทกุ ข์อยูร่ ่ำไป การรกั ษาอุโบสถศีลเพ่อื ขม่ กเิ ลส การรักษาอุโบสถศีลน้ี เป็นวงศ์แห่งโบราณกบัณฑิต เป็นวัตรปฏิบัติที่โบราณบัณฑิต ไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั มิ า เพอื่ ขจดั ขดั เกลากเิ ลสใหเ้ บาบาง เปน็ การบำเพญ็ เนกขมั มบารมี เพอ่ื ออกจากทกุ ข์ เป็นศีลบารมีท่ีจะส่งเสริมให้ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมได้บรรลุผลเร็วยิ่งข้ึน ดังข้อความในอรรถกถา ปัญจอุโปสถชาดก วา่ คร้ังหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ท่ามกลางบริษัท ๔ ในธรรมสภา ทรงทอดพระเนตรดูบริษัทด้วยพระทัยอ่อนโยน ทรงทราบว่า วันนี้จะมีการแสดงธรรม เพราะอาศัยถ้อยคำของอุบาสกท้ังหลาย จึงตรัสเรียกพวกอุบาสกมาถามว่า เธอทั้งหลายกำลังรักษา อโุ บสถกนั หรอื เมอ่ื พวกอบุ าสกทลู ตอบวา่ พระพทุ ธเจา้ ขา้ จงึ ตรสั วา่ พวกเธอทำดแี ลว้ ชอ่ื วา่ อโุ บสถนี้ เป็นวงศ์แห่งโบราณกบัณฑิต ด้วยว่าโบราณกบัณฑิตท้ังหลาย ได้อยู่จำอุโบสถ เพ่ือข่มกิเลสมีราคะ เป็นต้น อุบาสกเหล่านนั้ ทูลวงิ วอนให้ทรงเลา่ เรอ่ื งดังกลา่ วแลว้ จึงได้ทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดงั น ้ี ในอดีตกาล มีสถานท่ีที่เป็นป่าอันน่ารื่นรมย์ย่ิงแห่งหน่ึง ตั้งอยู่ระหว่างแคว้นท้ัง ๓ มี แคว้นมคธ เป็นต้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลในแคว้นมคธน้ัน คร้ันเจริญวัยแล้ว ละฆราวาสวิสัยท่ียังหมกหมุ่นอยู่ในกามออกไปอยู่ในป่า สร้างอาศรม บวชเป็นฤๅษี ในสถานท่ีซ่ึงไม่ ห่างจากอาศรมของฤๅษีนั้น มีนกพิราบสองตัวผัวเมีย อาศัยอยู่ที่ป่าไพรแห่งหนึ่ง งูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ จอมปลวก สนุ ขั จง้ิ จอกอาสยั อยทู่ พ่ี มุ่ ไม้ หมอี าศยั อยทู่ พ่ี มุ่ ไมอ้ กี แหง่ หนง่ึ สตั วท์ งั้ ๔ นน้ั เขา้ ไปหาพระฤๅษี แล้วฟงั ธรรมตามกาลเวลาอันสมควร ต่อมาวนั หน่งึ นกพิราบสองตัวผวั เมีย ออกจากรงั ไปหาอาหาร เหยย่ี วไดเ้ ฉี่ยวเอาลูกน้อย ซ่ึงบินตามหลังไป แล้วจิกกิน ทั้งท่ีลูกน้อยน้ันยังส่งเสียงร้อง นกพิราบผัวเมียเสียใจมาก คิดว่าความ รกั ครั้งน้ที ำใหท้ ุกขใ์ จเหลอื เกิน จึงไปยงั อาศรมของฤา ษี สมาทานอุโบสถแล้วนอนอยู่ ณ ทเ่ี หมาะสม แหง่ หนงึ่ ฝ่ายงู ออกจากทีอ่ ย่ไู ปหากนิ ได้ไปยังทางสญั จรไปมาของฝูงโค เพราะกลวั เสียงเทา้ โค จึง หลบเขา้ ไปยงั จอมปลวกแหง่ หนง่ึ ครงั้ นน้ั โคอสุ ภะซง่ึ เปน็ โคมงคลของผใู้ หญบ่ า้ นเขา้ ไปทจ่ี อมปลวกนนั้ เอาสีข้างถูจอมปลวก ได้เหยียบงูน้ัน งูโกรธจัด จึงกัดโคอุสภะนั้นถึงแก่ความตาย พวกชาวบ้าน ทราบขา่ วว่า โคตาย จงึ พากนั บูชาโคดว้ ยดอกไม้ เปน็ ต้น ขดุ หลุมฝังโคแล้วกก็ ลับไป งคู ดิ วา่ เราฆา่ โค นี้ เพราะความโกรธ ถ้ายังข่มความโกรธไม่ได้เราจะไม่ออกไปหากิน จึงไปยังอาศรมของฤๅษี แล้ว สมาทานอโุ บสถเพือ่ ข่มความโกรธ ฝ่ายสุนัขจ้ิงจอก ออกจากท่ีอยู่ไปหากิน พบซากช้าง จึงแทรกตัวเข้าไปภายในท้องช้าง ซากชา้ งนน้ั ได้ยุบลง สุนัขจง้ิ จอกออกมาข้างนอกไมไ่ ด้ ติดอยใู่ นทอ้ งชา้ งน้นั หลายวนั ไดร้ บั ความทกุ ข์ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นโท วิชาวนิ ยั (อุโบสถศลี )
32 ทรมานมาก ตอ่ มาวนั หนึง่ ฝนตกลงมาอย่างหนกั ทำใหห้ นังของช้างเนา่ พองข้ึนจึงออกมาได้ จงึ คดิ วา่ เพราะความโลภแท้ ๆ เราจึงประสบความทุกข์เช่นนี้ ถ้ายังข่มความโลภไม่ได้ จะไม่ออกไปหากินอีก แล้วไดไ้ ปยงั อาศรมของพระฤๅษี สมาทานอโุ บสถเพ่ือข่มความโลภ ฝ่ายหมี เกิดความโลภจัด ออกจากป่าไปยังหมู่บ้านชายแดน แคว้นมัลละ พวกชาวบ้าน บอกตอ่ ๆ กันว่า หมเี ขา้ มายังหม่บู า้ น ตา่ งถือธนแู ละท่อนไม้ เปน็ ตน้ ออกไปลอ้ มพ่มุ ไมท้ ีห่ มีนน้ั หนี เข้าไป ช่วยกันทุบตีหัวหมีแตกจนเลือดไหล หมีน้ันคิดว่าความทุกข์น้ีเกิดแก่เราเพราะความโลภจัด แท้ ๆ ถ้าเรายังข่มความโลภนี้ไม่ได้ จะไม่ออกไปหากิน แล้วได้ไปยังอาศรมของพระฤๅษี สมาทาน อุโบสถเพื่อข่มความโลภนน้ั แม้ฤๅษีเอง ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมานะถือตัว เพราะอาศัยชาติตระกูล จึงไม่สามารถจะ ทำฌานใหเ้ กิดขนึ้ ได้ ครงั้ นนั้ พระปัจเจกพุทธเจา้ องค์หน่ึง ทราบวา่ เขาเปน็ ผู้ถือตัว คิดว่าฤๅษผี นู้ ี้ไมใ่ ช่ คนธรรมดา เป็นพุทธางกูร จะได้บรรลุสัพพัญญุตญาณในกัลป์นี้ เราจักทำการข่มมานะของฤๅษีน้ี แล้วทำให้เขาได้ฌานสมาบัติ ในขณะท่ีฤๅษีกำลังนอนในบรรณศาลา พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงมาจากป่า หิมพานต์ นั่งบนแท่นหินของฤๅษีทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านั่งบนอาสนะของตน มีความโกรธ จึงเข้าไปหา ชี้หน้าด่าว่า เจ้าสมณะโล้นถ่อย กาฬกิณี จงฉิบหาย เจ้ามานั่งบนแผ่นหินที่น่ังของข้า ทำไม พระปัจเจกพระพุทธเจ้าได้พูดกับฤๅษีนั้นว่า ท่านสัตบุรุษ ทำไมจึงถือตัวนักเล่า อาตมาบรรลุ ปัจเจกพุทธญาณแล้ว ท่านก็จะเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าในกัลป์นี้ ท่านเป็นหน่อเน้ือแห่งพุทธะ บำเพญ็ ความดมี ามากแลว้ เมอื่ เวลาผา่ นไปเทา่ น้ี ทา่ นกจ็ กั ไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ทรงพระนามวา่ สทิ ธตั ถะ ไดใ้ ห้โอวาทต่อไปวา่ ท่านเป็นผูถ้ อื ตัว หยาบคาย ร้ายกาจ เพือ่ อะไร ทำอย่างนไ้ี ม่สมควรแกท่ า่ นเลย ฤๅษีน้ัน ก็ยังไม่ไหว้ท่าน และไม่ถามว่าตนเองจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเม่ือไหร่ พระปัจเจกพุทธเจ้า พูดกับฤๅษีว่า ท่านไม่รู้หรือว่า เราก็มีชาติสูงและมีคุณใหญ่เหมือนกัน ถ้าแน่จริงก็เหาะให้ได้เหมือน เราสิ และแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้เหาะขึ้นไปในอากาศ โปรยฝุ่นท่ีเท้าของท่านลงบนมวยผมของ ฤๅษี แล้วกลบั ไปยังปา่ หิมพานต์ ฤๅษเี กดิ ความสลดใจ หลังจากพระปจั เจกพุทธเจา้ กลบั ไปแลว้ จึงคดิ ว่า พระสมณะองคน์ ้ี มีร่างกายหนักแต่เหาะไปเหมือนปุยนุ่นที่ถูกลมพัด เราไม่ไหว้ท่าน ไม่ถามท่าน ด้วยความเย่อหยิ่ง เพราะชาติ ขนึ้ ชอ่ื ว่าชาติ ชนช้นั วรรณะ จะทำประโยชนอ์ ะไรได้ การประพฤติศลี เทา่ นน้ั เปน็ คณุ ทีย่ ่งิ ใหญ่ในโลก แตม่ านะถือตวั ของเราเมื่อเกิดข้นึ แลว้ มแี ตจ่ ะนำไปสู่นรก ถ้าเรายงั ขม่ มานะนไ้ี มไ่ ด้ จะไม่ ไปหาผลาผลมาบรโิ ภค จึงเขา้ สบู่ รรณศาลา สมาทานอโุ บสถเพอื่ ข่มมานะ ชาดกทั้งหลายเร่ืองน้ี ได้แสดงให้เห็นว่า ความทุกข์และภัยอันตรายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ และสัตว์เป็นการส่วนตัวหรือเกิดข้ึนกับสังคมก็ตาม มักเกิดขึ้นเพราะความขาดศีลธรรม การจะ แก้ไขความทุกข์และภัยอันตรายน้ัน ควรแก้ไขด้วยศีลธรรม ไม่ควรแก้ไขด้วยกิเลสหรือด้วยอบายมุข เพราะจะยิ่งเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากและกว้างขวางออกไปอีก การเข้าอยู่จำอุโบสถสงบจิตใจ จะ ทำให้เกิดปญั ญา มองเห็นวธิ แี กไ้ ขปญั หาและป้องกนั ภยั อนั ตรายได้อย่างถกู ต้อง แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ โท วชิ าวนิ ัย (อโุ บสถศีล)
33 วริ ัติ เจตนางดเวน้ จากการล่วงละเมดิ ศีล ศีลจะมีได้ก็ด้วยการตั้งเจตนางดเว้นจากการล่วงละเมิดศีล ถ้าไม่มีเจตนาจะงดเว้น แม้มิได้ทำการละเมิดศีล ก็ยังไม่ได้ช่ือว่ามีศีล เช่น ผู้ร้ายท่ีถูกจับขังไว้ ขณะท่ีอยู่ในห้องขังนั้น แม้เขา ไม่ได้ฆ่าใคร ไม่ลักของใคร ก็ยังไม่ได้ช่ือว่ามีศีล เพราะไม่ได้มีเจตนางดเว้น ต่อเม่ือใดเขาได้ตั้งเจตนา งดเว้น เมอื่ นั้นเขาจึงจะไดช้ ื่อวา่ มีศลี เจตนางดเว้นจากการลว่ งละเมดิ ศีล เรียกวา่ วริ ตั ิ มี ๓ ประการ คือ ๑. สมั ปัตตวริ ตั ิ หมายถึง เจตนางดเว้นเมอื่ ประจวบกบั เหตุท่ีจะทำให้ผดิ ศีล คอื เว้นสิ่ง ประสบเฉพาะหน้าหรือเว้นได้ทั้งที่ประจวบกับโอกาส ที่เอ้ืออำนวยให้กระทำผิดศีล เป็นการงดเว้น ท่ีไม่ได้ต้ังเจตนาไว้ก่อน ไม่ได้สมาทานสิกขาบทไว้เลย แต่เมื่อประสบเหตุท่ีจะทำชั่ว นึกคิดพิจารณา ข้ึนได้ในขณะนั้นว่า ตนมีชาติ ตระกูล วัย หรือคุณวุฒิอย่างน้ี ไม่สมควรกระทำกรรมชั่วเช่นน้ัน แลว้ งดเว้นเสียได้ ไม่ทำผิดศีล สมดังความในอรรถกถาสมั มาทฏิ ฐิสตู รว่า ในสมัยท่ีนายจักกนะอุบาสกยังเป็นเด็ก มารดาของเขาป่วย และหมอบอกว่า ถ้าได้ เนื้อกระต่ายสดมาปรุงยาจึงจะรักษาโรคน้ีได้ พี่ชายของเขาสั่งให้นายจักกนะไปหากระต่ายในท้องนา นายจักกนะไปพบกระต่ายกำลังกินข้าวกล้าอ่อนอยู่ กระต่ายเห็นเขาแล้ววิ่งหนีไป แต่ถูกเถาวัลย์ พนั รอบตวั นายจกั กนะจงึ จบั กระตา่ ยตวั นนั้ ไดโ้ ดยงา่ ย ตง้ั ใจวา่ จะเอาไปทำยาใหก้ บั มารดา แตก่ ห็ วนคดิ ได้ว่า “การที่เราฆ่าทำลายชีวิตสัตว์อื่น เพ่ือแลกกับชีวิตของมารดา เป็นการกระทำท่ีไม่สมควร” แล้วจึงปล่อยกระต่ายเข้าป่าไป เม่ือกลับไปถึงบ้าน เขาถูกพี่ชายถาม จึงบอกเร่ืองท่ีเป็นไปทั้งหมด เม่ือถูกพี่ชายต่อว่า เขาจึงเข้าไปหามารดาแล้วกล่าวคำสัตย์ว่า “ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่คิดท ่ ี จะฆ่าสัตว์เลย เพราะการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอให้มารดาของเราจงหายจากโรคเถิด” ทันใดน้ัน มารดา ของเขาก็ได้หายจากอาการเจบ็ ป่วย ๒. สมาทานวิรัติ หมายถึง เจตนางดเว้นด้วยการสมาทานศีล คือ ได้ต้ังใจสมาทานศีล และงดเวน้ ตามที่ไดส้ มาทานนน้ั สมดังความในอรรถกถาสมั มาทิฏฐิสตู รวา่ อุบาสกคนหนึ่ง รับสิกขาบทในสำนักของพระปิงคลพุทธรักขิตเถระ ผู้อยู่ใน อัมพริยวิหารแล้วได้ออกไปไถนา แต่โคท่ีจะใช้ไถนาได้หายไป เขาจึงเที่ยวตามหาโค ไปถึงภูเขาช่ือ ทันตรวฑั ฒมานะ งใู หญ่ท่อี ยู่บนภูเขานัน้ รดั ตัวเขาไว้ จงึ คดิ ว่า “เราจะเอามดี ตัดหวั งตู ัวน้ีเสยี ” เขาคดิ อยา่ งนถี้ ึง ๓ คร้งั แลว้ ฉุกคิดไดว้ า่ “การท่ีเรารับสกิ ขาบทในสำนกั ครูผู้น่าเคารพสรรเสรญิ แลว้ ทำลาย สิกขาบทนั้นเสีย เป็นการกระทำท่ีไม่สมควร” จึงตัดสินใจว่า “เรายอมสละชีพ แต่จะไม่ยอมสละ สกิ ขาบท” แล้วทงิ้ มีดไป ทันใดนน้ั งูใหญ่ไดค้ ลายจากการรดั ตัวเขาแลว้ ๓. สมุจเฉทวิรัติ หมายถึง เจตนางดเว้นเด็ดขาดของพระอริยะทั้งหลาย คือ เว้นด้วย ตัดขาด อันประกอบด้วย อริยมรรคซึ่งขจัดกิเลสท่ีเป็นเหตุแห่งความชั่วน้ันๆ เสร็จส้ินแล้ว ไม่เกิดมี แม้แต่ความคิดที่จะประกอบกรรมชั่วนั้นเลย สมดังความในอรรถกถาสัมมาทิฏฐิสูตรว่า ก็แม ้ ความคิดว่า “เราจักฆ่าสัตว์” ดังนี้ ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยบุคคลทั้งหลาย ตั้งแต่การเกิดขึ้นแห่ง วิรัติท่ีสมั ปยุตดว้ ยอริยมรรค เรียกวา่ “สมจุ เฉทวริ ัต”ิ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วิชาวินยั (อุโบสถศีล)
34 ประเภทของอุโบสถศลี อุโบสถศีลนนั้ แบง่ ประเภทตามระยะเวลาของการรักษา มี ๓ ประเภท คือ ๑. ปกตอิ ุโบสถ ไดแ้ ก่ อโุ บสถทีร่ กั ษากนั ตามปกติ เฉพาะวนั หน่งึ คนื หนึง่ อยา่ งทอี่ ุบาสก อบุ าสกิ ารกั ษากนั อยทู่ กุ วนั นี้ มีเดอื นละ ๔ วนั คือ วนั ข้นึ ๘ คำ่ วันขนึ้ ๑๕ ค่ำ วันแรม ๘ คำ่ วนั แรม ๑๔ ค่ำ หรือวันแรม ๑๕ ค่ำ คำว่า “วันหน่ึงกับคืนหนึ่ง” น้ัน ท่านกำหนดนับตั้งแต่อรุณข้ึนของ วันท่ีรักษาไปจนถึงอรุณข้ึนของวันใหม่ ซึ่งผู้รักษาพึงคำนึงถึงข้อกำหนดเวลาเช่นน้ีด้วย เพื่อจะได้ รกั ษาใหเ้ ต็มวันหนงึ่ กบั คืนหน่ึง ๒. ปฏชิ าครอุโบสถ ได้แก่ อโุ บสถทร่ี ักษาเป็นพิเศษกวา่ ปกติ คอื รกั ษาคราวละ ๓ วนั คอื วันรบั วันรักษา และวันส่ง เช่น จะรักษาปรารภอโุ บสถวนั ๘ คำ่ แบบคราวละ ๓ วัน นน้ั ตอ้ งรบั มาแต่ร่งุ อรุณของวัน ๗ ค่ำ รักษาในวนั ๘ ค่ำ และสง่ ไปจนถงึ วนั ๙ คำ่ จวบจนถึงอรณุ ข้นึ ของวันใหม ่ ในวัน ๑๐ ค่ำ นั้นเอง จงึ ครบตามเวลาทก่ี ำหนด ๓. ปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ไดแ้ ก่ อโุ บสถทตี่ อ้ งเขา้ อยรู่ กั ษาตดิ ตอ่ กนั อยา่ งตำ่ ๑ ปกั ษ์ อยา่ งสงู รักษาตลอด ๔ เดอื นตลอดฤดฝู น ปาฏิหาริยอโุ บสถ เรียกอกี อยา่ งว่า นพิ ทั ธอโุ บสถ หมายถึง อโุ บสถ ทต่ี ้องรักษาติดต่อกันเป็นระยะเวลายาว โดยมีกำหนดระยะเวลาการเข้าอย่รู กั ษาอยู่ ๔ ระดับ คอื ๓.๑ อย่างต่ำ ต้องอยู่รักษาอุโบสถ ๑ ปักษ์ นับต้ังแต่วันออกพรรษาแรกเป็นต้นไป จนครบ ๑ ปกั ษ์ คือ ตงั้ แตว่ ันแรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๑ ถงึ วนั แรม ๑๔ ค่ำ เดอื น ๑๑ ๓.๒ อย่างกลาง ตอ้ งอยู่รกั ษาอโุ บสถ ๑ เดอื น ติดตอ่ กัน นบั แตว่ ันออกพรรษาแรก เป็นต้นไปจนครบ ๑ เดือน คือตั้งแต่วนั แรม ๑ คำ่ เดอื น ๑๑ ถึงวนั ข้นึ ๑๕ คำ่ เดือน ๑๒ ๓.๓ อย่างสามัญ ต้องอยู่รักษาอุโบสถ ๓ เดือน ติดต่อกันตลอดพรรษา นับแต ่ วันเขา้ พรรษาจนถงึ วนั ออกพรรษา คอื ตง้ั แต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถงึ วนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดอื น ๑๑ ๓.๔ อย่างสูง ต้องอยู่รักษาอุโบสถ ๔ เดือน ติดต่อกันตลอดฤดูฝน นับแต่วัน เข้าพรรษาเปน็ ต้นไปจนครบ ๔ เดอื น คือ ต้งั แตว่ นั แรม ๑ คำ่ เดอื น ๘ ถึงวันข้นึ ๑๕ คำ่ เดือน ๑๒ การรักษาอุโบสถศีลน้ี ยึดถือปฏิบัติตามคตินิยมของคนอินเดียในสมัยนั้น ดังเรื่องท่ี พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา โดยปรารภการปฏิบัติของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ โดยในครง้ั น้นั พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ พระเวฬุวนั พระนครราชคฤห์ พระองค์ยังมิไดท้ รงบัญญัติ ใหภ้ กิ ษทุ งั้ หลายอยจู่ ำพรรษา ภกิ ษทุ ง้ั หลายเทย่ี วจารกิ ไปตลอดฤดหู นาว ฤดรู อ้ น และฤดฝู น คนทงั้ หลาย จึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเช้ือสายศากยบุตร จึงได้เท่ียวจาริกไปอย่างน ้ี เหยียบย่ำข้าวกล้าที่เขียวสด เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ทำสัตว์เล็ก ๆ จำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า กพ็ วกปรพิ าชกอญั ญเดยี รถยี ์ ผกู้ ลา่ วธรรมอนั ตำ่ ทราม ยงั พกั อาศยั อยปู่ ระจำตลอดฤดฝู น ภกิ ษทุ งั้ หลาย จึงกราบทูลเรื่องน้ันแก่พระพุทธองค์ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ปรารภเหตนุ นั้ แลว้ ตรสั วา่ ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตใหอ้ ยจู่ ำพรรษา ครง้ั นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายคดิ วา่ พวกเราพึงจำพรรษาเม่ือไรหนอ จึงทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์รับสั่งว่า ดูกรภิกษุท้ังหลาย แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั โท วิชาวนิ ยั (อุโบสถศีล)
35 เราอนุญาตให้จำพรรษาในฤดูฝน นี้เป็นคตินิยมของคนอินเดียในสมัยนั้น การรักษาปาฏิหาริยอุโบสถ อาจเกีย่ วเนอ่ื งกบั คตินยิ มน้ีก็ได้ กลา่ วคือ เมือ่ ภิกษุพากนั จำพรรษาในช่วงเขา้ พรรษา ๓ เดอื น ในส่วน ของฆราวาส ผู้เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ควรจะอยู่จำเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เป็นการอยู่จำพรรษา แต่เป็นการอยู่จำอุโบสถโดยให้สมาทานสิกขาบท ๘ ข้อ อย่างเคร่งครัด จึงเป็นท่ีมาของการรักษา ปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ซง่ึ ตอ้ งใชเ้ วลาอยจู่ ำถงึ ๓-๔ เดอื น ดว้ ยระยะเวลาทยี่ าวนานดงั กลา่ วเกรงวา่ จะรกั ษาให้ บริสทุ ธิ์ได้ยาก จงึ กำหนดใหอ้ ยู่จำอโุ บสถจำนวน ๓ วัน ที่เรียกว่า ปฏชิ าครอโุ บสถ และใหเ้ หลอื เพยี ง ๑ วนั กบั ๑ คนื ทเี่ รยี กวา่ ปกตอิ โุ บสถ และปจั จบุ นั นท้ี ร่ี กั ษากนั ทวั่ ไป กค็ อื ปกตอิ โุ บสถ เพราะทำให้ รักษาไดง้ ่ายขึน้ เนื่องจากเป็นชว่ งระยะเวลาส้นั อุโบสถศลี มีผลนอ้ ยและมีผลมาก การรักษาอุโบสถศลี จะมผี ลนอ้ ยหรือผลมาก ข้นึ อยกู่ ับเหตุปัจจัย คอื คุณธรรม กาลเวลา ประเภท เป้าหมาย เจตนา และองค์ของศลี ดังต่อไปน ี้ ๑. คณุ ธรรม หมายถงึ คณุ ธรรมทม่ี ใี นจติ ใจของผทู้ จ่ี ะรกั ษาอโุ บสถศลี นน้ั มมี ากหรอื นอ้ ย โดยเฉพาะคุณธรรม คือ อิทธบิ าท ท้ัง ๔ ประการ หากผู้รกั ษามีศรทั ธา มีฉนั ทะ ความรักความพอใจ ความชอบใจในการรักษาอุโบสถศีล มีวิริยะ ความพากเพียรพยายามรักษาอย่างต่อเน่ือง มีจิตตะ ความมุ่งม่ันตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามสิกขาบท และมีวิมังสา ความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องในการ รักษาอุโบสถศีล เม่ือมีคุณธรรมท้ัง ๔ ประการอยู่ในระดับต่ำ อุโบสถศีลย่อมมีผลอย่างต่ำ เมื่อมี คุณธรรมอยู่ในระดับกลาง อุโบสถศีลก็ย่อมมีผลระดับกลาง ๆ และถ้ามีคุณธรรมอยู่ในระดับสูง อโุ บสถศลี ย่อมมีผลสูงตามไปด้วย ๒. กาลเวลา คือ ระยะเวลาท่ีรักษา หากผู้รักษาอุโบสถศีลมีระยะเวลาการรักษาน้อย ยอ่ มมีอานิสงส์นอ้ ยกวา่ ผู้ทม่ี ีระยะเวลารกั ษานานกวา่ แตท่ ั้งน้ี ก็ขึ้นอยูก่ บั เหตปุ จั จยั แห่งคณุ ธรรมของ ผู้รักษาเป็นเคร่ืองประกอบการวินิจฉัยควบคู่กันไปด้วย เพราะบางคนอาจจะรักษาหลายวันแต่มี ศรัทธา ความเพียร ความมุ่งม่ัน และความเข้าใจในอุโบสถศีลน้อยหรือไม่ถูกต้อง ปัจจัยแห่งวันเวลา กไ็ มไ่ ดเ้ ปน็ หลกั วนิ จิ ฉยั เดด็ ขาดเลยทเี ดยี ว แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม โดยทว่ั ๆ ไป หากผรู้ กั ษามคี ณุ ธรรมเทา่ กนั การรักษาแบบปกติอุโบสถ ที่รักษาวันหน่ึงกับคืนหนึ่ง ย่อมมีอานิสงส์น้อยกว่าการรักษาแบบ ปฏิชาครอโุ บสถ ทร่ี กั ษา ๓ วัน และการรกั ษาแบบปฏชิ าครอโุ บสถก็ยอ่ มมผี ลนอ้ ยกว่าการรกั ษาแบบ ปาฏหิ ารยิ อโุ บสถ ที่มรี ะยะเวลารักษา ๑ ปกั ษ์ ๑ เดือน หรอื ๓-๔ เดือน ตามลำดับ ดงั เร่อื งคนใช ้ ของเศรษฐใี นอรรถกถาคงั คมาลชาดกทีก่ ลา่ วมาแลว้ ๓. ประเภทของอโุ บสถ การสมาทานรกั ษาอโุ บสถศลี นน้ั มี ๓ ประเภท คอื โคปาลอโุ บสถ นคิ คณั ฐอุโบสถ และอรยิ อโุ บสถ ซงึ่ แบ่งประเภทตามอธั ยาศยั ของผ้สู มาทาน อโุ บสถทัง้ ๓ ประเภทน้ี มีผลไมเ่ หมือนกนั บางคนมีอัธยาศยั หนักไปในความโลภ ใชว้ ัน ๆ หนึ่งใหห้ มดไปกบั ความโลภ บางคน รกั ษาไมถ่ ูกวิธี ไมไ่ ดศ้ กึ ษาให้ถูกตอ้ ง บางคนรักษาไปตามแบบอย่างของพระอริยเจ้า ซ่ึงเป็นการรักษา อยา่ งประเสรฐิ ยอ่ มมผี ลมาก ดงั ทพี่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดต้ รสั แกน่ างวสิ าขาในอโุ บสถสตู ร สรปุ ความวา่ มีแบบแห่งการรกั ษาอโุ บสถอยู่ ๓ แบบ คอื โคปาลกอโุ บสถ นคิ คัณฐอุโบสถ และ อรยิ อุโบสถ ดงั น้ี แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้ันโท วิชาวนิ ยั (อโุ บสถศีล)
36 ๓.๑ โคปาลกอุโบสถ หมายถึง อุโบสถที่อุบาสก อุบาสิการักษามีอาการเหมือน คนเลี้ยงโค ซ่ึงไม่คำนึงถึงการรักษาอุโบสถศีล แต่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะพึงได้รับเป็นประมาณ ดังความในอโุ บสถสูตรวา่ คนเล้ียงโค มอบโคทง้ั หลายให้เจา้ ของในเวลาเย็นแลว้ คำนึงอย่างนีว้ ่า วนั น้ี โคเท่ียวหากินในที่โน้น ๆ ด่ืมน้ำในที่โน้น ๆ พรุ่งน้ีโคจักเท่ียวหากินในท่ีโน้น ๆ จักดื่มน้ำในท่ีโน้น ๆ ฉันใด คนรักษาอุโบสถบางคน ก็ฉันน้ันเหมือนกัน คำนึงอย่างน้ีว่า วันนี้เราบริโภคของกินของเคี้ยว ส่ิงนี้ ๆ พรุ่งน้เี ราจกั บรโิ ภคของกนิ ของเค้ยี วส่งิ น้ี ๆ คนรักษาอุโบสถเชน่ น้ี มีใจประกอบกบั ความโลภ ความอยาก ใช้วันหนึ่ง ๆ ให้หมดไปกับความโลภความอยากนั้น ๆ การรักษาอุโบสถเช่นน้ีย่อมไม่ม ี ผลมาก ไม่มีอานิสงสม์ าก ไมร่ ุง่ เรอื งมาก ไมแ่ ผ่ไพศาลมาก ในเรื่องน้ีมีเร่ืองเล่าประกอบถึงคนถือศีลไปเกิดเป็นเปรต แต่คนตกเบ็ดไปเกิด เป็นเทวดาว่า ในวันอุโบสถ มีคน คนหนึ่ง ไปถือศีลอยู่ท่ีศาลาวัด และมีอีกคนหนึ่งไปนั่งตกปลาอยู่ท ี่ ฝงั่ คลองตรงขา้ มกบั ศาลาวดั วนั นน้ั ปลากนิ เบด็ เยอะมาก คนตกเบด็ กไ็ ดป้ ลามาก คนถอื ศลี อยบู่ นศาลา มองไปที่คนตกปลา ก็เกิดความโลภ อยากได้ปลา นึกว่าทำไมวันน้ีต้องเป็นวันอุโบสถ ถ้าไม่เช่นนั้น เราคงไดไ้ ปตกเบด็ และไดป้ ลากบั เขาบ้าง จติ ใจคิดถึงแตเ่ รอ่ื งปลา ไม่คดิ ถึงศีล ไมค่ ิดถึงกรรมฐาน และ ไม่ฟังธรรมเลย ฝ่ายคนตกปลามองไปบนศาลาวัดเห็นคนนุ่งขาวห่มขาวถือศีลกัน แต่ตัวเองต้องมาน่ัง ตกปลาไม่รู้จักวันโกนวันพระ เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นในใจ กลับไปถึงบ้านตั้งใจหยุดการทำบาป เกิด สัมปัตตวิรัติ คือ ต้ังเจตนางดเว้นด้วยตนเอง แม้เมื่อเหตุการณ์เอื้ออำนวยประจวบเหมาะก็ไม่ละเมิด จติ ใจสขุ สบาย สว่ นคนถอื ศลี บนศาลานนั้ กลบั รอ้ นรนไปดว้ ยความโลภ เรง่ วนั เรง่ เวลา ใจจงึ มแี ตค่ วามทกุ ข์ เพราะความโลภจงึ เปรยี บเสมอื นกบั เปน็ เปรต สว่ นคนทใี่ จมคี วามสขุ เพราะตงั้ ใจงดทำบาปเปรยี บเสมอื น ไดข้ น้ึ สวรรค์ ดงั คำพดู วา่ สวรรคอ์ ยใู่ นอก นรกอยใู่ นใจ การไปอยวู่ ดั อยา่ งคนทอ่ี ยศู่ าลาวดั นนั้ ยอ่ มไมเ่ กดิ ประโยชน์อะไร เพราะจิตใจไม่ได้เขา้ ถึงธรรมเลย ๓.๒ นิคคัณฐอุโบสถ หมายถึง อุโบสถของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ดังความ ในอโุ บสถสตู รวา่ ครนั้ ถงึ วนั อโุ บสถ นคิ รนถจ์ ะเรยี กพวกสาวกมาสอนวา่ สเู จา้ จงเปลอื้ งผา้ ออกใหห้ มดแลว้ ประกาศตนอย่างน้ีว่า ข้าพเจ้าไม่เก่ียวข้องกับใคร ๆ ในที่ไหน ๆ และไม่มีความกังวลในสิ่งอะไร ๆ และในที่ไหน ๆ แต่ในความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกนิครนถ์ยังกังวลอยู่กับบิดามารดา สามีภรรยา บุตรธิดาและญาติพี่น้องของตน เพราะต้องอาศัยคนเหล่านั้นดำรงชีพอยู่ เขาชักชวนในการพูดเท็จ ไม่ชักชวนในการพูดคำสัตย์ ดังน้ัน สิ่งที่นิครนถ์สอนน้ันจึงไม่เป็นความจริง ฉะน้ัน ผู้รักษาอุโบสถ แบบพวกนคิ รนถ์นย้ี ่อมมผี ลน้อย ๓.๓ อริยอุโบสถ หมายถึง อุโบสถท่ีอุบาสก อุบาสิการักษาอย่างประเสริฐ รักษา ตามแบบอย่างของพระอริยเจ้าท้ังหลาย อธิบายว่า จิตของมนุษย์ที่เศร้าหมองด้วยอำนาจกิเลสนี้ สามารถชำระลา้ งใหส้ ะอาดไดด้ ว้ ยความเพยี ร เหมอื นศรี ษะทเี่ ปอ้ื น ทำใหส้ ะอาดไดด้ ว้ ยเครอ่ื งสนานศรี ษะ ร่างกายที่เปื้อน ทำให้สะอาดได้ด้วยเครื่องชำระล้างร่างกาย ผ้าที่สกปรก ทำให้สะอาดได้ด้วย การพอกหรือด้วยเครื่องซกั ผา้ แว่นท่มี วั หมอง ทำใหส้ ดใสได้ดว้ ยน้ำยาเช็ดกระจก ทองคำที่หมองคลำ้ ทำให้สุกปล่ังได้ด้วยเคร่ืองมือช่างทอง และสิ่งท่ีจะทำจิตที่เศร้าหมอง ให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วได้นั้น คอื การระลกึ ถงึ อารมณก์ รรมฐาน คือ อนุสสติ ดังต่อไปนี้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้นั โท วชิ าวนิ ยั (อุโบสถศลี )
37 พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า โดยระลึกถึงคุณของ พระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ดังความในอุโบสถสูตรว่า ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยน้ ี ย่อมระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์น้ัน เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถงึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เสด็จไปดแี ลว้ ทรงรู้แจง้ โลก เปน็ สารถีฝกึ บรุ ุษท่ีสมควรฝกึ ได้ อยา่ งไม่มีผู้ใดย่ิงกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย ทรงเบิกบานแลว้ เปน็ ผจู้ ำแนกธรรม เมอ่ื เธอหมน่ั นกึ ถงึ พระตถาคตอยู่ จติ ยอ่ มผอ่ งใส เกดิ ความปราโมทย์ ละเครอ่ื งเศรา้ หมองแหง่ จติ เสยี ได ้ บุคคลที่รักษาอริยอุโบสถ ด้วยการเจริญพุทธานุสสติ เรียกว่า เข้าจำ “พรหม อุโบสถ” คือ ได้อยู่ร่วมกับพรหม มีจิตผ่องใสเพราะปรารภพรหม เกิดความปราโมทย์ ละเคร่ือง เศรา้ หมองของจติ เสยี ได้ ในที่นี้ คำว่า พรหม แปลวา่ ผ้ปู ระเสรฐิ หมายถงึ พระพุทธเจา้ นั่นเอง ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระธรรม ดังความในอุโบสถสูตรว่า ดูกรนางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสไวด้ แี ล้ว อนั บคุ คลผู้บรรลุจะพงึ เห็นได้ด้วยตนเอง ไมป่ ระกอบด้วยกาล ควรเรียกใหม้ าดู ควรน้อม เข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน เม่ือเธอหม่ันนึกถึงพระธรรมอยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดความ ปราโมทย์ ละเคร่ืองเศร้าหมองแห่งจติ เสยี ได้ บคุ คลทร่ี กั ษาอรยิ อโุ บสถ ดว้ ยการเจรญิ ธมั มานสุ สติ เรยี กวา่ เขา้ จำ “ธรรมอโุ บสถ” คือ ได้อยู่ร่วมกับธรรม มีจิตผ่องใสเพราะปรารภพระธรรม เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมอง แห่งจติ เสยี ได้ สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของพระสงฆ์ ดังความในอุโบสถสูตรว่า ดูกร นางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี หมั่นระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติสมควร นี้คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับได้เป็นบุคคล ๘ บุคคล น้ีคือ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ควรแก่ของคำนับ เป็นผูค้ วรแกข่ องต้อนรับ เปน็ ผู้ควรแก่ของทำบญุ เปน็ ผ้คู วรแก่การทำอัญชลี เปน็ เนอ้ื นาบญุ ของโลก ไม่มเี นื้อนาบญุ อน่ื ย่ิงกว่า เม่ือเธอหม่ันนึกถึงพระสงฆอ์ ยู่ จิตยอ่ มผ่องใส เกดิ ความปราโมทย์ ละเคร่อื ง เศรา้ หมองแห่งจิตเสียได ้ บุคคลท่ีรักษาอริยอุโบสถ ด้วยการเจริญสังฆานุสสติ เรียกว่า เข้าจำ “สังฆอุโบสถ” คือ ได้อยู่ร่วมกับพระสงฆ์ มีจิตผ่องใสเพราะปรารภคุณของพระสงฆ์ เกิดความ ปราโมทย์ ละเครอ่ื งเศร้าหมองแห่งจติ เสียได ้ สีลานุสสติ ระลึกถึงคุณของศีลที่ตนรักษา ดังความในอุโบสถสูตรว่า ดูกร นางวิสาขา อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงศีลของตนซ่ึงไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เปน็ ไทแกต่ วั ทา่ นผรู้ สู้ รรเสรญิ ไมถ่ กู ตณั หาทฐิ เิ ขา้ มาแตะตอ้ ง เปน็ ไปเพอื่ สมาธิ เมอื่ เธอระลกึ ถงึ ศลี อยู่ จติ ยอ่ มผอ่ งใส เกิดความปราโมทย์ ละเครอื่ งเศร้าหมองแหง่ จติ เสียได้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าวินัย (อุโบสถศลี )
38 บคุ คลทร่ี กั ษาอรยิ อโุ บสถ ดว้ ยการเจรญิ สลี านสุ สติ เรยี กวา่ เขา้ จำ “ศลี อโุ บสถ” คือ ได้อยู่ร่วมกับศีล มีจิตผ่องใสเพราะปรารภศีลของตน เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมอง แหง่ จติ เสยี ได้ เทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีท่ีเป็นสาเหตุทำให้เกิดเป็นเทวดา ดังความ ในอโุ บสถสตู รวา่ ดกู รนางวสิ าขา อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มระลกึ ถงึ เทวดาวา่ เทวดาชนั้ จาตมุ หาราชกิ า ดาวดงึ ส์ ยามา ดสุ ติ นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวตั ตมี ีอยู่ เทวดาพวกที่นบั เนอื่ งเข้าในหมพู่ รหมมีอยู่ เทวดาพวกที่สูงกวา่ นัน้ ขน้ึ ไปก็มีอยู่ เทวดาเหลา่ นนั้ ประกอบดว้ ย ศรทั ธา ศลี สุตะ จาคะ และปญั ญา เช่นใด แม้ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาเช่นนั้นของเราก็มีอยู่ เม่ือเธอระลึกคุณธรรมเหล่านั้น ของตนกบั ของเทวดาอยู่ จิตย่อมผอ่ งใส เกดิ ความปราโมทย์ ละเครือ่ งเศร้าหมองแหง่ จิตเสียได้ บุคคลท่ีรักษาอริยอุโบสถ ด้วยการเจริญเทวตานุสสติ เรียกว่า เข้าจำ “เทวตา อโุ บสถ” คอื ไดอ้ ยรู่ ว่ มกบั เทวดา มจี ติ ผอ่ งใสเพราะปรารภเทวดา เกดิ ความปราโมทย์ ละเครอ่ื งเศรา้ หมอง แห่งจิตเสียได้ เมื่อผู้รักษาอริยอุโบสถระลึกถึงอนุสสติทั้ง ๕ นี้ ชื่อว่าประพฤติพรหมอุโบสถ ธรรมอุโบสถ สังฆอุโบสถ ศีลอุโบสถ และเทวตาอุโบสถ จิตของเธอย่อมผ่องใสด้วยการปรารภ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ศีล และเทวดา ความปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น เธอย่อมละอุปกิเลส เคร่ืองเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ การทำจิตที่เศร้าหมองให้ผ่องแผ้ว ย่อมมีได้ด้วยความเพียรระลึกถึง อารมณก์ รรมฐาน คือ อนุสสติ อย่างน้ีแล ๔. เป้าหมายของการรักษา บุคคลผู้รักษาอุโบสถศีล มีเป้าหมายของการรักษาต่างกัน ซ่ึงจะเปน็ เหตใุ หไ้ ด้รับผลของการรกั ษามากนอ้ ยตา่ งกนั ดังนี้ ๔.๑ การรักษาอุโบสถศีลเพราะต้องการชื่อเสียง จัดเป็นบุญอย่างต่ำ มีผลน้อย เพราะชื่อเสยี งน้ันเปน็ สงิ่ ที่คนอ่นื เขามอบให้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ผรู้ ักษาทต่ี ้องการเช่นนีช้ ื่อว่ายังไม่เปน็ ไท ต่อตนเอง เพราะกระทำความดโี ดยหวงั การยกย่องสรรเสรญิ จากคนอื่น หากไม่มีใครยกย่องสรรเสรญิ กอ็ าจยกเลกิ การรกั ษาได ้ ๔.๒ การรักษาอุโบสถศีลเพราะต้องการผลบุญ จัดเป็นบุญอย่างกลาง มีผลมากกว่า การรักษาอุโบสถศีลเพราะต้องการช่ือเสียง เพราะการรักษาอุโบสถเช่นน้ีสามารถพัฒนานำไปสู่เป้า หมายท่สี ูงขนึ้ ไปได ้ ๔.๓ การรกั ษาอโุ บสถศลี เพราะตอ้ งการขจดั กเิ ลส จดั เปน็ บญุ อยา่ งสงู มผี ลมากทสี่ ดุ เน่ืองจากเป็นความต้องการท่ีไม่อิงบุคคล ไม่อิงอามิสสิ่งของ ไม่อิงสวรรค์ แต่มุ่งหวังเพ่ือขจัดขัดเกลา กิเลสใหห้ มดไป กล่าวคอื เพ่อื บรรลุเปา้ หมายสงู สุด คอื พระนพิ พาน ๕. เจตนา หมายถงึ ความตั้งใจ ความจงใจทจ่ี ะรักษาอุโบสถศลี ซ่งึ การรกั ษาอุโบสถศีล นน้ั จะมีผลมากหรือนอ้ ยขนึ้ อยูก่ บั เจตนาในการรักษาทง้ั ๓ กาล คือ ๕.๑ บุพพเจตนา หมายถึง เจตนาก่อนการรักษาอุโบสถศีล คือ ผู้รักษาคิดมาต้ังแต่ กอ่ นการรกั ษาว่า เราจะรกั ษาอุโบสถศีล กม็ ีความดีใจ พอใจ แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั โท วชิ าวินัย (อุโบสถศีล)
39 ๕.๒ มุญจนเจตนา หมายถึง เจตนาขณะรักษาอุโบสถศีล คือ ขณะที่กำลังรักษา อโุ บสถศีลนนั้ ย่อมมีจติ ใหเ้ ลือ่ มใส ๕.๓ อปราปรเจตนา หมายถึง เจตนาหลังจากการรักษาอุโบสถศีลแล้ว ย่อมมีใจ ชน่ื บาน หากบุคคลผู้รักษาอุโบสถศีลมีเจตนาครบท้ัง ๓ กาล ย่อมมีผลมาก หากมีเจตนา จำนวนสองกาลหรอื เพยี งกาลเดียว กจ็ ะมผี ลนอ้ ยลงไปตามลำดบั ๖. องค์ของศีล หมายถึง องค์ที่จะทำให้ศีลแต่ละข้อขาด หากผู้รักษาอุโบสถศีล คอยระมัดระวังมิให้องค์ของศีลขาด รักษาให้บริสุทธ์ิครบถ้วน ย่อมได้รับผลมาก แต่หากทำให้ องค์ของศลี ขอ้ ใดข้อหนึง่ หรือหลาย ๆ ขอ้ ขาด ก็จะได้รับผลนอ้ ยลงไปตามลำดับ ความแตกตา่ งระหว่างอุโบสถศลี และศีล ๘ ศีลอุโบสถและศีล ๘ ต่างก็มี ๘ สิกขาบท เท่ากัน ห้ามกระทำเป็นเร่ืองเดียวกัน แต่มี ความแตกต่างกัน ๓ ประการ คือ การสมาทาน วันเวลา การรกั ษา และการขาดของศีล ดงั น ี้ ๑. การสมาทาน อุโบสถศีล มีการสมาทาน ซึ่งประกอบดว้ ย วิธีการสมาทาน คำประกาศอโุ บสถ และ คำอาราธนา ดงั น้ี วิธีการสมาทาน เมื่อต้ังใจจะรักษาอุโบสถศีล พึงตื่นนอนแต่เช้า ชำระร่างกาย ให้สะอาด ไปวัดท่ีตนต้งั ใจจะไปอยจู่ ำ เมอื่ ผู้รกั ษาอุโบสถศีลพร้อมแล้ว พึงประกาศอุโบสถ ดังน้ ี อชชฺ โภนฺโต ปกขฺ สสฺ อฏฺมที วิ โส (๑๔ คำ่ ให้วา่ “จาตุททฺ สที ิวโส” ๑๕ คำ่ ใหว้ า่ “ปณณฺ รสีทิวโส”) เอวรูโป โข โภนฺโต ทวิ โส พทุ ฺเธน ภควตา ปญฺตฺตสสฺ ธมฺมสสฺ วนสสฺ เจว ตทตฺถาย อปุ าสกอปุ าสิกานํ อุโปสถกมมฺ สฺส จ กาโล โหติฯ หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสสฺ ภควโต ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา ปูชนตฺถาย อิมญฺจ รตฺตึ อิมญฺจ ทิวสํ อุโปสถํ อุปวสิสฺสามาติ กาลปริจฺเฉท ํ กตวฺ า ตํ ตํ เวรมณึ อารมมฺ ณํ กรติ วฺ า อวกิ ขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า หตุ วฺ า สกกฺ จจฺ ํ อโุ ปสถงคฺ านิ สมาทเิ ยยยฺ าม อที สิ ํ หิ อโุ ปสถกาลํ สมฺปตตฺ านํ อมฺหากํ ชวี ิตํ มา นริ ตถฺ กํ โหตฯุ อน่ึง ผู้ประสงค์จะรักษาอุโบสถศีลให้เต็มเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง พึงต่ืนนอนก่อน อรุณขึ้นของวันนั้น พึงชำระร่างกายให้สะอาด คร้ันได้เวลารุ่งอรุณ ให้กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย เปลง่ วาจาสมาทานอโุ บสถดว้ ยตนเองกอ่ นวา่ “อมิ ํ อฏฺ งคฺ สมนนฺ าคตํ พทุ ธฺ ปญฺ ตตฺ ํ อโุ ปสถํ อมิ ญจฺ รตตฺ ึ อมิ ญฺจ ทิวสํ สมมฺ เทว อภิรกฺขิตุํ (ตงุ ) สมาทิยามิ” หลงั จากนน้ั ก็ไปสมาทานทีว่ ดั อีกคร้งั หนึ่ง คำอาราธนาอโุ บสถศลี ว่าดังน ้ี มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏฺงฺคสมนนฺ าคตํ อุโปสถํ ยาจาม ทุตยิ มปฺ ิ มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏฺ งคฺ สมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม ตตยิ มปฺ ิ มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฏฺ งฺคสมนนฺ าคตํ อุโปสถํ ยาจาม แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นโท วิชาวนิ ยั (อโุ บสถศีล)
40 ศีล ๘ ไมม่ ีคำประกาศ แตม่ วี ิธกี ารสมาทานและคำอาราธนาศีล ดงั นี้ วธิ ีการสมาทาน ไมก่ ำหนดวนั เวลาในการสมาทาน คำอาราธนาศีล ๘ วา่ ดังน้ ี มยํ ภนเฺ ต ตสิ รเณน สห อฏฺ สีลานิ ยาจาม ทุตยิ มปฺ ิ มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฏฺ สลี านิ ยาจาม ตติยมปฺ ิ มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏฺ สลี านิ ยาจาม ๒. วันเวลาการรักษา อุโบสถศีล มีวันพระเป็นแดนเกิดหรือเป็นวันรักษา คือ รักษาได้เฉพาะวันพระ หรือเน่ืองด้วยวันพระเท่าน้นั ตามวนั เวลาท่ีกำหนด เชน่ ปกติอโุ บสถจะกำหนดรักษาในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ แล้วต้องรักษาไปจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ คือ มีเวลารักษาวันหน่ึงกับคืนหนึ่ง คำว่า “วันหน่ึงกับคืนหน่ึง” น้ัน ท่านกำหนดนับต้ังแต่อรุณข้ึนของวันที่รักษา ไปจนถึงอรุณข้ึนของ วันใหม่ เป็นตน้ ศลี ๘ ไม่ได้กำหนดวนั เวลาในการรกั ษา จะรกั ษาในวันและเวลาใดกไ็ ด้ ๓. การรกั ษาและการขาดของศลี อุโบสถศีล เม่ือสมาทานแล้วต้องรักษารวมท้ัง ๘ ข้อให้ครบถ้วน เนื่องจากเป็น ศีลรวมหรือศีลพวง ต้องรักษารวม ไม่แยกข้อในการรักษา ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่จัดเป็นอุโบสถศีล ตามพทุ ธบญั ญตั ิ ศีล ๘ เมื่อสมาทานแล้วจะรักษารวมหรือแยกรักษาเฉพาะข้อก็ได้ เพราะไม่ได้ กำหนดเจาะจงไว้ ถ้ารักษาแบบรวม เม่ือศีลข้อใดข้อหนึ่งขาด ก็ไม่ได้ช่ือว่ารักษาศีล ๘ ตามท่ีตั้งใจ สมาทานไว้ แต่ถา้ รักษาแบบแยก เมือ่ ศลี ขอ้ ใดข้อหนง่ึ ขาดกข็ าดเฉพาะข้อน้ัน ๆ ระเบียบพธิ ีสมาทานอุโบสถศีล พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ในอรรถกถาอุโบสถสูตรว่า บุคคลผู้จะเข้าอยู่จำอุโบสถศีลน้ัน พึงตั้งใจว่า พรุ่งน้ีเราจักรักษาอุโบสถ ตรวจตราการทำอาหาร เป็นต้น ต้ังแต่ในวันนี้ สั่งการงาน ให้เรียบร้อยวา่ ทา่ นทั้งหลายจงทำสง่ิ นแี้ ละส่ิงน้ ี เวลาเช้าตรู่ในวันอุโบสถ พึงเปล่งวาจาสมาทานองค์อุโบสถ ในสำนักของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกากไ็ ด้ ซงึ่ เปน็ ผรู้ ู้จกั ลักษณะของศีล ๑๐ ถา้ ไม่รู้ภาษาบาลี พึงอธิษฐานว่า ข้าพเจ้า อธิษฐานอุโบสถท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญตั ไิ ว้ เม่ือไมม่ ผี อู้ นื่ พึงอธิษฐานดว้ ยตนเองกไ็ ด้ ในการอธิษฐาน ดว้ ยตนเองนน้ั ใหอ้ อกเสยี งเปลง่ วาจาดว้ ย เมอื่ เขา้ อยจู่ ำอโุ บสถแลว้ ไมค่ วรจดั แจงการงานใด ๆ ทเี่ กย่ี วกบั การเบียดเบียนผู้อ่นื ควรใหเ้ วลาผา่ นไปด้วยการไหว้พระสวดมนตแ์ ละบำเพญ็ จิตภาวนา ส่วนพระฎีกาจารย์อธิบายว่า ต้ังแต่สมาทานศีลแล้ว ผู้รักษาอุโบสถไม่ควรทำกิจการงาน ของชาวโลกอะไรอยา่ งอน่ื ควรใหเ้ วลาผา่ นไปดว้ ยการฟงั ธรรม หรอื มนสกิ ารกรรมฐานบำเพญ็ จติ ภาวนา แนวทางการจดั การเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั โท วิชาวนิ ยั (อโุ บสถศลี )
41 เมื่อถึงวนั อโุ บสถ ๘ คำ่ ๑๔ คำ่ หรือ ๑๕ ค่ำ ผรู้ ักษาอุโบสถนำภตั ตาหารคาวหวานไป ทำบุญท่ีวัด ซึ่งอยู่ใกล้บ้านหรือที่ตนศรัทธาเล่ือมใส หลังจากที่พระสงฆ์ทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว พึงเร่ิม กล่าวคำบูชาพระรตั นตรยั วา่ อมิ นิ า สกกฺ าเรน พทุ ฺธํ อภปิ ชู ยาม ิ อิมนิ า สกฺกาเรน ธมฺมํ อภปิ ูชยามิ อมิ ินา สกฺกาเรน สงฆฺ ํ อภิปชู ยามิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ ภควา พุทธฺ ํ ภควนฺตํ อภวิ าเทมิ (กราบ) สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมมฺ ํ นมสสฺ ามิ (กราบ) สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ (กราบ) ต่อจากนน้ั ผู้เป็นหวั หน้าพงึ คุกเขา่ ประนมมือกล่าวคำประกาศอุโบสถ ดังนี้ อชฺช โภนฺโต ปกฺขสฺส อฏฺมีทิวโส (๑๔ ค่ำ ให้ว่า “จาตุทฺทสีทิวโส” ๑๕ ค่ำ ให้ว่า “ปณฺณรสที วิ โส”) เอวรูโป โข โภนโฺ ต ทิวโส พุทฺเธน ภควตา ปญญฺ ตตฺ สสฺ ธมฺมสฺสวนสฺส เจว ตทตฺถาย อุปาสกอุปาสิกานํ อโุ ปสถกมมฺ สสฺ จ กาโล โหตฯิ หนทฺ มยํ โภนโฺ ต สพเฺ พ อธิ สมาคตา ตสสฺ ภควโต ธมมฺ านธุ มมฺ ปฏปิ ตตฺ ยิ า ปูชนตฺถาย อิมญฺจ รตฺตึ อิมญฺจ ทิวสํ อุโปสถํ อุปวสิสฺสามาติ กาลปริจฺเฉท ํ กตวฺ า ตํ ตํ เวรมณึ อารมมฺ ณํ กรติ วฺ า อวกิ ขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า หตุ วฺ า สกกฺ จจฺ ํ อโุ ปสถงคฺ านิ สมาทเิ ยยยฺ าม อที สิ ํ หิ อโุ ปสถกาลํ สมปฺ ตตฺ านํ อมหฺ ากํ ชีวติ ํ มา นิรตฺถกํ โหตุฯ ขา้ พเจา้ ขอประกาศเริ่มเรอ่ื งความทีจ่ ะไดส้ มาทานรักษาอโุ บสถตามกาลสมัย พร้อมด้วย องค์ ๘ ประการ ให้สาธุชนท่จี ะตัง้ จติ สมาทานทราบท่ัวกนั ก่อนแตจ่ ะสมาทาน ณ บดั นี้ ด้วยวนั นี้ เป็นวนั อฏั ฐมี ดิถที ่ี ๘ (วนั จาตุททสี ดิถที ี่ ๑๔ วนั ปัณณรสี ดิถีท่ี ๑๕) แหง่ ปกั ษ์ มาถึงแล้ว ก็แลวันเช่นนี้ เป็นกาลที่จะฟังธรรมและทำการรักษาอุโบสถ เพ่ือประโยชน์แห่งการ ฟงั ธรรม บดั นี้ ขอกศุ ลอนั ยงิ่ ใหญ่ คอื ตงั้ จติ สมาทานอโุ บสถ จงเกดิ มแี กเ่ ราทง้ั หลาย บรรดามาประชมุ ณ ทน่ี ี้ เราทงั้ หลายพงึ มจี ติ ยนิ ดวี า่ จะรกั ษาอโุ บสถ อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ วนั หนงึ่ กบั คนื หนง่ึ ณ เวลาวันนี้แล้ว จงต้ังจิตคิดงดเว้นไกลจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป คือฆ่าสัตว์เองและใช้ให ้ คนอ่ืนฆ่า ๑ เว้นจากถือเอาส่ิงของที่เจ้าของไม่ให้ คือ ลักและฉ้อ และใช้ให้ลักและฉ้อ ๑ เว้นจาก อพรหมจรรย์ ๑ เวน้ จากพดู คำเทจ็ คำไมจ่ รงิ และลอ่ ลวงอำพรางทา่ นผอู้ น่ื ๑ เวน้ จากดมื่ กนิ ซง่ึ สรุ าเมรยั สารพัดน้ำกล่ัน น้ำดอง อันเป็นของให้ผู้ด่ืมแล้วเมา ซ่ึงเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ เว้นจาก บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ต้ังแต่พระอาทิตย์เที่ยงแล้วไปจนถึงเวลาอรุณขึ้นใหม่ ๑ เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้องและประโคมดนตรีและดูการเล่นบรรดาเป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงระเบียบดอกไม้ ลูบไล้ ทาตวั ดว้ ยของหอม เครอื่ งยอ้ มเครอื่ งแตง่ และประดบั รา่ งกายดว้ ยเครอื่ งอาภรณว์ จิ ติ รงดงามตา่ ง ๆ ๑ เว้นจากนั่งนอนเหนือท่ีนั่งท่ีนอนอันสูงมีเตียงต่ังเท้าสูงกว่าประมาณ และที่น่ังท่ีนอนอันใหญ่ภายใน มีนุ่นและสำลี และเคร่ืองลาดอันวิจิตรงดงาม ๑ จงทำความเว้นองค์ท่ีจะพึงเว้น ๘ ประการน ี ้ เปน็ อารมณ์ อย่ามีจิตฟุ้งซา่ นส่งไปในทอี่ นื่ จงสมาทานองค์อโุ บสถ ๘ ประการนี้ โดยเคารพเถดิ เพ่ือ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ โท วชิ าวินยั (อุโบสถศีล)
42 บูชาพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้านั้น ด้วยข้อปฏิบัติอย่างย่ิงตามกำลังของเราท้ังหลาย ซึ่งเป็นคฤหัสถ ์ ชีวิตแหง่ เราท้ังหลายเปน็ มาถงึ วันอุโบสถนี้ จงอยา่ ลว่ งไปปราศจากประโยชนเ์ ลย ตอ่ จากน้นั พึงกลา่ วคำอาราธนาอุโบสถศลี พร้อมกนั ดงั น้ ี มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฏฺ งคฺ สมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม ทตุ ิยมปฺ ิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺ งคฺ สมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม ตตยิ มฺปิ มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห อฏฺงคฺ สมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม เสรจ็ แล้ว พึงตงั้ ใจรับสรณคมนแ์ ละอโุ บสถศลี โดยเคารพ โดยวา่ ตามพระสงฆ์ ดังน้ี นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สสฺ พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม ิ ทตุ ิยมฺปิ พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉาม ิ ทุติยมฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ทุตยิ มฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ตติยมปฺ ิ พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ตติยมฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ตตยิ มปฺ ิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ เม่ือพระสงฆ์ว่า ติสรณคมนํ นิฏฺิตํ พึงรับพร้อมกันว่า อาม ภนฺเต ต่อจากนั้น พึงรับ อโุ บสถศีลทง้ั ๘ ขอ้ ดังน ี้ ปาณาตปิ าตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ อทินนฺ าทานา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ าม ิ อพรฺ หมฺ จริยา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ มุสาวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม ิ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺ านา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ าม ิ วิกาลโภชนา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อจุ ฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ เมื่อรับศีลจบแลว้ พึงกลา่ วตามพระสงฆว์ ่า อิมํ อฏฺ งคฺ สมนนฺ าคตํ พทุ ธฺ ปญญฺ ตตฺ ํ อุโปสถํ อมิ ญจฺ รตตฺ ึ อมิ ญฺจ ทวิ สํ สมฺมเทว อภิรกขฺ ิตํุ สมาทยิ ามิ ต่อจากนั้น พระสงฆ์จะกล่าวต่อไปว่า อิมานิ อฏฺ สิกฺขาปทานิ อุโปสถสีลวเสน สาธุกํ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ช้ันโท วชิ าวนิ ัย (อโุ บสถศลี )
43 กตฺวา อปฺปมาเทน รกฺขติ พฺพานิ ใหร้ บั พรอ้ มกันวา่ อาม ภนเฺ ต ต่อจากน้ัน พระสงฆ์จะกลา่ วสรปุ อานิสงส์ของศลี ต่อไปว่า สีเลน สุคตึ ยนตฺ ิ สีเลน โภคสมปฺ ทา สเี ลน นพิ พฺ ุตึ ยนตฺ ิ ตสมฺ า สลี ํ วิโสธเยฯ จบพิธีสมาทานอุโบสถศีลเพียงเท่านี้ ต่อจากนั้น พึงต้ังใจฟังพระธรรมเทศนา หรือมนสิการกรรมฐานบำเพ็ญจิตภาวนาต่อไป เมื่อรักษาครบเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่งหรือตามท่ี กำหนดแลว้ การรกั ษาอโุ บสถศลี ก็สนิ้ สุดลง หลกั การใชค้ ำว่า มิ หรือ มะ ในการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย คำนมัสการพระรัตนตรัย คำอาราธนาศีล และคำ สมาทานศีล เป็นต้น ให้คำนึงถึงคำกิริยาซ่ึงจะบ่งบอกถึงการกระทำของผู้กล่าวว่า เป็นการกระทำ เฉพาะตน หรือเป็นการกระทำร่วมกนั โดยมหี ลักการใช้ ดงั น ้ี ๑. คำวา่ “ม”ิ ใหใ้ ชใ้ นกรณที เ่ี ปน็ การกระทำเฉพาะตน ไมส่ ามารถใหค้ นอนื่ กระทำแทนได้ เชน่ อภปิ ูชยามิ อภิวาเทมิ นมสสฺ ามิ นมามิ สมาทิยามิ เปน็ ตน้ ๒. คำว่า “มะ” ใหใ้ ช้ในกรณีที่เป็นการกระทำรว่ มกัน เช่น ยาจาม กโรม เส เป็นตน้ แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ชั้นโท วิชาวินยั (อุโบสถศีล)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138