Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.ตรีวิชาวินัย

แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.ตรีวิชาวินัย

Published by suttasilo, 2021-06-23 00:55:28

Description: แนวทางจัดการเรียนรู้ธศ.ตรีวิชาวินัย

Keywords: วินัย,เบญจศีลเบญจธรรม

Search

Read the Text Version

44 การท�ำ ให้พกิ าร คือ การท�ำ ให้เสยี อวยั วะ เช่น ทำ�ใหเ้ สยี นยั น์ตา เสยี แขน เสียขา เป็นต้น การทำ�ให้เสียโฉม คือ การทำ�รา้ ยร่างกายใหเ้ สยี ความสวยงาม แตไ่ ม่ถึงพิการ เชน่ ใช้มดี กรดี หรือไมท้ ุบตใี ห้เปน็ แผลเป็น เป็นต้น การทำ�ให้เจ็บล�ำ บาก คอื การท�ำ รา้ ยร่างกายใหเ้ จบ็ ปวด เปน็ ทกุ ขท์ รมาน การท�ำ รา้ ยร่างกายทัง้ หมดนี้ เปน็ อนุโลมปาณาตบิ าต ถูกห้ามดว้ ยสิกขาบทนี้ การทรกรรม การทรกรรมน้ี มุ่งเฉพาะการทำ�แก่สัตว์เดียรัจฉาน เพราะมนุษย์ไม่เป็นวัตถุอันใคร ๆ จะ พึงทรกรรมได้ การทรกรรม คือการทำ�ให้สัตว์ได้รับความลำ�บาก ประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์ โดยขาดความ เมตตากรณุ า มีลักษณะดงั น้ี ใชก้ าร หมายถงึ การใชส้ ตั วไ์ มม่ คี วามเมตตาปรานี ปลอ่ ยใหอ้ ดอยากซบู ผอม ไมใ่ หก้ นิ ไมใ่ หน้ อน ไมใ่ หห้ ยดุ พกั ผอ่ นตามกาล ขณะใชง้ านกเ็ ฆย่ี นตที �ำ รา้ ยรา่ งกายโดยไมม่ เี มตตาจติ หรอื ใชก้ ารเกนิ ก�ำ ลงั ของสตั ว์ เชน่ ใหเ้ ขน็ ภาระหนักเกินกำ�ลัง เป็นตน้ กกั ขงั หมายถงึ การกกั ขังสตั วใ์ หอ้ ดอยาก อิดโรย หรอื ผกู รัดไวจ้ นไม่สามารถจะผลัดเปลย่ี น อริ ยิ าบถได้ น�ำ ไป หมายถงึ การผกู มดั สตั วแ์ ลว้ น�ำ ไปโดยวธิ ที รมาน เชน่ ลาก หรอื หวิ้ เปด็ ไก่ สกุ ร เอาหวั ลง และเอาเทา้ ขนึ้ ทำ�ใหส้ ัตวไ์ ดร้ ับความทุกข์ทรมานอย่างยงิ่ เล่นสนุก หมายถงึ การทรมานสตั ว์ด้วยความสนุกสนาน เช่น ใชป้ ระทัดผูกหางสนุ ขั แลว้ จุดไฟ เพ่ือให้สุนขั ตกใจและวงิ่ สุดชวี ติ หรอื การใช้ก้อนหินก้อนดินขวา้ งปาสตั ว์ เพอ่ื ความสนกุ ของตน ผจญสตั ว์ หมายถงึ การนำ�สตั ว์มาตอ่ สู้กนั ทำ�ใหส้ ตั วเ์ หนด็ เหน่ือยและได้รบั ทุกขท์ รมาน เชน่ ชนโค ชนกระบอื ชนแพะ ชนแกะ ตีไก่ กัดปลา กัดจิ้งหรดี เป็นตน้ ๔. หลักวินจิ ฉยั การลว่ งละเมิดสิกขาบทท่ี ๑ ท่ีท�ำ ให้ศีลขาด ประกอบดว้ ยองค์ ๕ คอื ๔.๑ สัตวน์ น้ั มีชีวิต ๔.๒ รวู้ า่ สตั วน์ ้ันมชี วี ิต ๔.๓ จิตคดิ จะฆา่ ๔.๔ พยายามฆ่า ๔.๕ สตั วต์ ายด้วยความพยายามนนั้ แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

45 ๕. โทษของการลว่ งละเมดิ อรรถกถาได้วางหลักวินจิ ฉยั โทษของการฆา่ สตั ว์ วา่ จะมีโทษมากหรอื นอ้ ยไว้ ๔ ประการ คอื ๕.๑ คุณ ฆ่าสัตว์มีคุณมากก็มีโทษมาก ฆ่าสัตว์มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณก็มีโทษน้อย เช่น ฆา่ พระอรหันต์ มีโทษมากกว่าฆ่าปถุ ุชน ฆ่าสตั วช์ ่วยงาน มีโทษมากกวา่ ฆ่าสัตว์ดุรา้ ย เปน็ ต้น การฆ่าบิดามารดา การฆ่าพระอรหันต์ มีบาปหนัก เป็นอนันตริยกรรม ห้ามสวรรค์ หา้ มนพิ พาน การฆ่าคนท่มี ีคุณ เชน่ พระอรยิ บุคคลที่ตํ่ากวา่ พระอรหันต์ หรอื กลั ยาณชนผูร้ กั ษาศีล ปฏิบตั ธิ รรม หรอื คนทีป่ ระกอบคณุ งามความดีต่อสงั คม มีบาปมาก แต่น้อยกวา่ การท�ำ อนันตรยิ กรรม การฆา่ คนทวั่ ไป ก็มบี าปเช่นเดียวกนั แตน่ ้อยกว่าการฆา่ คนทมี่ คี ุณ การฆ่าคนที่ไร้ศีลธรรมและเป็นภัยแก่คนอื่น ก็จัดว่าเป็นบาป แต่น้อยกว่าการฆ่าคน ทั่วไป กล่าวโดยสรุปแล้วการฆ่าคนล้วนเป็นบาปทงั้ ส้ิน ๕.๒ ขนาดกาย สำ�หรับสัตว์จำ�พวกเดียรัจฉานท่ีไม่มีคุณเหมือนกัน ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมาก ฆา่ สตั ว์เลก็ ก็มโี ทษนอ้ ย เพราะการฆ่าสตั วท์ ม่ี ีขนาดร่างกายใหญ่กว่าต้องใช้ความพยายามในการฆา่ มากกวา่ ๕.๓ ความพยายาม มีความพยายามมากในการฆ่า ก็มีโทษมาก มีความพยายามน้อย กม็ ีโทษน้อย ความพยายามในการฆ่า ความพยายามมากย่อมมีบาปมาก ความพยายามน้อย ย่อมมีบาปน้อย ความพยามในการฆ่านั้น ๆ เกิดความสูญเสียต่อชีวิตมากย่อมมีบาปมาก เช่น การฆ่า ด้วยวิธกี ารทีท่ รมาน คอื ทำ�ใหต้ ายอย่างล�ำ บาก หวาดเสียว ใหเ้ กดิ ความชํา้ ใจ ฆ่าดว้ ยวธิ ีพสิ ดาร หรือการฆ่า ด้วยการใช้เทคโนโลยี ตัวอย่างการใช้ระเบิด อาวุธชีวะเคมี ซ่ึงอาจจะใช้ความพยายามน้อยแต่เกิดความสูญ เสียมากยอ่ มมีบาปมาก ๕.๔ กเิ ลสหรอื เจตนา มกี เิ ลสหรอื เจตนาแรงกม็ โี ทษมาก มกี เิ ลสหรอื เจตนาออ่ นกม็ โี ทษนอ้ ย เช่น ฆ่าดว้ ยโทสะหรือจงใจเกลียดชังมีโทษมากกวา่ ฆา่ ด้วยปอ้ งกนั ตวั เป็นตน้ เจตนาในการฆ่าด้วยอำ�นาจโลภะ โทสะ โมหะ หากมีเจตนาแรงกล้าย่อมมีบาปมาก หากเจตนาอ่อนย่อมมีบาปน้อย เช่น การฆ่าด้วยการเห็นแก่อามิสสินจ้างรางวัล การฆ่าด้วยความอำ�มหิต โหดเหี้ยมเคียดแค้นพยาบาท การฆ่าด้วยความเป็นมิจฉาทิฐิ การฆ่าโดยไม่มีเหตุผล หรือการฆ่าเพื่อความ สนกุ สนาน ยอ่ มมบี าปมากนอ้ ยลดหลนั่ กนั ไป ในกรณที ไ่ี มม่ เี จตนากไ็ มบ่ าป ดงั เรอื่ งพระจกั ขบุ าลเถระ ซง่ึ มจี กั ษุ บอดทั้งสองข้าง เดินจงกรมเหยียบแมลงเม่าตายเป็นจำ�นวนมาก แต่ไม่มีเจตนาที่จะฆ่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็นเหตุให้ตายของพระขีณาสพทั้งหลายคือบุคคลผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มิได้มี” การหา้ มฆา่ สตั วน์ ้ี ทางพระพทุ ธศาสนายงั รวมถงึ การหา้ มฆา่ ตวั เองดว้ ย เพราะการฆา่ ตวั เองนน้ั เปน็ ปาณาตบิ าต เพราะครบองคป์ ระกอบของปาณาติบาตทั้ง ๕ ขอ้ เช่นเดียวกนั แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

46 ผู้ท่ีล่วงละเมิดสิกขาบทท่ี ๑ คือประพฤติปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) ย่อมได้รับกรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่ ๑. ยอ่ มเกิดในนรก ๒. ยอ่ มเกิดในก�ำ เนดิ สตั วเ์ ดยี รัจฉาน ๓. ย่อมเกดิ ในกำ�เนดิ เปรตวสิ ัย ๔. ยอ่ มเป็นผมู้ อี วยั วะพิการ ๕. โทษเบาท่สี ุด หากเกิดเป็นมนษุ ย์ ย่อมเป็นผมู้ อี ายสุ ั้น ตวั อย่างโทษของการลว่ งละเมดิ เบญจศลี สกิ ขาบทท่ี ๑ เรื่อง นายจนุ ทสกู ริก นายจุนทสูกริก อาศัยอยู่ในเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประกอบอาชีพฆ่าหมูเล้ียงชีพ เขาเลี้ยง หมูไว้เป็นจำ�นวนมาก เมื่อหมูท่ีเล้ียงไว้เติบโตแล้ว เขาต้องการฆ่าหมูตัวใดก็มัดหมูตัวนั้นให้แน่นนำ�ไปสู่ที่ฆ่าแล้ว ทุบหมูทั้งท่ียังเป็น ๆ ด้วยค้อน ๔ เหล่ียม เพื่อให้เน้ือพองหนาข้ึน แล้วง้างปากสอดไม้เข้าไปในระหว่างฟัน กรอกนํ้าร้อนที่เดือดพล่านเข้าไปในปากด้วยทะนานโลหะ น้ําร้อนน้ันเข้าไปเดือดพล่านในท้องหมู ขับข้ีหมู ออกมาทางทวารหนัก เมื่อท้องสะอาดดีแล้ว จึงราดนํ้าร้อนบนหลังหมู น้ําร้อนน้ันลอกเอาหนังดำ�ออกไป แล้วลนขนหมูด้วยคบหญ้า แล้วจึงตัดหัวหมูด้วยดาบอันคม รองเลือดที่ไหลออกมาด้วยภาชนะ เคล้าเน้ือ เข้ากับเลือดแล้วปิ้งนั่งรบั ประทานพร้อมกบั บุตรและภรรยา สว่ นทีเ่ หลอื กข็ ายเล้ียงชีพ เขาด�ำ รงชีพอยอู่ ย่างน้ี เป็นเวลาถึง ๕๕ ปี และไมเ่ คยท�ำ บุญใด ๆ เลย ต่อมานายจุนทสูกริกได้ล้มป่วยลง ความเร่าร้อนในอเวจีมหานรก ปรากฏแก่เขาท้ังที่ยังมีชีวิตอยู่ ความเร่าร้อนของไฟในอเวจีนรกร้อนยิ่งกว่าไฟธรรมดา สามารถที่จะทำ�ลายนัยน์ตาของผู้ท่ียืนดูอยู่ในท่ี ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ได้ พระนาคเสนเถระได้กล่าวอุปมาเปรียบเทียบความเร่าร้อนของไฟในอเวจีไว้ว่า “มหาบพิตร แมห้ นิ ประมาณเทา่ เรอื นยอด อนั บคุ คลทมุ่ ไปในไฟนรก ยอ่ มถงึ ความยอ่ ยยบั ไดโ้ ดยขณะเดยี ว ฉนั ใด สว่ นสตั ว์ ทเ่ี กิดในนรกน้ันเปน็ ประหนึ่งอยูใ่ นครรภ์มารดา จะย่อยยบั ไปเพราะกำ�ลังแห่งกรรม ฉนั นั้น หามไิ ด”้ ความเรา่ รอ้ นของอเวจนี น้ั ปรากฏแกน่ ายจนุ ทสกู รกิ เพราะกรรมทเ่ี ขาไดท้ �ำ แลว้ เขารอ้ งเสยี งเหมอื น หมู คลานไปรอบ ๆ ภายในเรือนน่ันเอง พวกคนในเรือนจึงจับเขาปิดปากไว้ แต่เพราะผลแห่งกรรมใคร ๆ ก็ห้ามไม่ได้ เขาร้องและคลาน ไปรอบ ๆ บา้ น คนบา้ นใกลเ้ คยี งกนั ๗ หลงั คาเรอื นโดยรอบ ไมไ่ ดห้ ลบั นอนเพราะเสยี งรอ้ งนนั้ พวกคนในบา้ น เมอ่ื ไมส่ ามารถจะหา้ มเขาไมใ่ หอ้ อกไปข้างนอกได้ จึงปดิ ประตูบ้านเพื่อกันไมใ่ ห้เขาออกไปนอกบ้าน แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

47 นายจุนทสูกรกิ เทย่ี วคลานและรอ้ งไปรอบ ๆ ภายในบา้ นน่นั เอง เปน็ เวลา ๗ วนั ด้วยความเรา่ ร้อน ในนรก ในวันที่ ๘ ตายแล้วไปเกิดในอเวจีนรก ๖. อานสิ งส์ของการรกั ษา ผู้รักษาสกิ ขาบทท่ี ๑ ยอ่ มไดร้ บั อานสิ งส์ ดงั นี้ ๖.๑ มรี า่ งกายสมส่วน ไมพ่ ิการ ๖.๒ เป็นคนแกลว้ กลา้ วอ่ งไว มีกำ�ลงั มาก ๖.๓ ผิวพรรณเปลง่ ปลั่งสดใส ไมเ่ ศร้าหมอง ๖.๔ เป็นคนออ่ นโยน มวี าจาไพเราะ เป็นเสน่หแ์ กค่ นทัง้ หลาย ๖.๕ ศัตรูทำ�รา้ ยไมไ่ ด้ ไม่ถกู ฆา่ ตาย ๖.๖ มโี รคภัยเบียดเบยี นน้อย ๖.๗ ยอ่ มเป็นผมู้ อี ายยุ ืน ตวั อย่างอานสิ งส์ของการรกั ษาเบญจศลี สกิ ขาบทท่ี ๑ เรอ่ื ง นางสุชาดา ในอดีตกาล มาณพช่ือว่ามฆะ อาศัยอยู่ในอจลคามในแคว้นมคธ ได้บำ�เพ็ญประโยชน์และ บำ�เพ็ญบุญเป็นอันมากถึงแก่กรรมแล้ว ได้ไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มฆมาณพนั้น มภี รรยา ๔ คน คอื นางสุนันทา นางสุจิตรา นางสุธรรมา และนางสชุ าดา ภรรยา ๓ คนแรก ไดบ้ ำ�เพญ็ บญุ ตา่ ง ๆ แล้วไดไ้ ปเกดิ ในสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ สน์ น้ั เหมือนกนั สว่ นนางสชุ าดา ประพฤตติ นเปน็ ผปู้ ระมาท รกั สวยรกั งาม ไมไ่ ดบ้ �ำ เพญ็ บญุ ทเี่ หมาะสมกบั สคุ ตภิ พ ถึงแกก่ รรมแลว้ ได้ไปเกดิ เปน็ นางนกยางในซอกเขาแหง่ หนงึ่ ทา้ วสกั กเทวราช ทรงตรวจดบู รจิ ารกิ าของพระองค์ ทรงทราบวา่ นางสชุ าดาไปเกดิ เปน็ นางนกยาง จึงทรงจำ�แลงอตั ภาพเสด็จไปยงั สำ�นักของนาง ทรงให้นางสมาทานเบญจศีล จ�ำ เดมิ แตน่ น้ั มา นางนกยาง เทย่ี วหากนิ แตป่ ลาทต่ี ายเองเทา่ นน้ั นางไดป้ ลาทต่ี ายเองบา้ ง ไมไ่ ดบ้ า้ ง เมื่อไม่ได้ผ่านไป ๒ - ๓ วันเท่าน้ันก็ซูบผอม ตายแล้วไปเกิดเป็นธิดาของช่างหม้อในเมืองพาราณสี ด้วยผลแห่งศีลน้ัน และได้สมาทานรักษาเบญจศีลอย่างสม่ําเสมอมิได้ขาด เม่ือจุติจากอัตภาพน้ันแล้ว ไดไ้ ปเกิดเป็นธิดาของอสูรผู้เปน็ หัวหนา้ ในภพอสูร ทา้ วสกั กะทรงทราบแล้ว ได้น�ำ นางสุชาดาจากภพอสรู ไปเทพนครแล้ว ทรงสถาปนาไว้ในต�ำ แหนง่ หัวหนา้ นางอัปสร ๒ โกฏิกึง่ นางทลู ขอพรกะท้าวสกั กะว่า “ขอเดชะพระมหาราชเจ้า มารดาบิดาหรือพี่ชาย พหี่ ญิงของหมอ่ มฉนั ในเทวโลกนไ้ี ม่มี พระองค์จะเสดจ็ ไปในทใี่ ด ๆ ขอใหท้ รงพาหม่อมฉนั ไปในทีน่ น้ั ๆ ดว้ ย” ท้าวสกั กเทวราชไดป้ ระทานพรแกน่ างตามประสงค์ แนวทางการจัดการเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั ตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

48 สิกขาบทท่ี ๑ นี้ เปน็ หลักประกนั ชีวิต ต้องการใหเ้ ว้นจากการฆ่า การท�ำ รา้ ยผอู้ ืน่ หรอื ท�ำ ให้ผอู้ ืน่ ได้รับทุกข์ทรมาน โดยเปรียบเทียบชีวิตของผู้อื่นกับชีวิตตนเองว่าเรารักชีวิตของเราอย่างไร ผู้อ่ืนก็รักชีวิต ของตนอย่างนั้น เรารู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างไร ผู้อื่นก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างน้ัน เป็นการปลูกจิตให้มี เมตตากรณุ าตอ่ กัน ทำ�ให้สงั คมประเทศชาติมีความสงบสุข เบญจศีล สกิ ขาบทท่ี ๒ อทินนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการถอื เอาส่ิงของท่เี จ้าของไมไ่ ดใ้ ห้ ๑. ความมงุ่ หมาย สกิ ขาบทน้ี มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ ใหท้ กุ คนประกอบอาชพี ในทางสจุ รติ เวน้ จากการประกอบอาชพี ในทางทุจรติ อันจะเป็นเหตุเบียดเบียนและทำ�ลายกรรมสิทธ์ใิ นทรพั ยส์ ินของผอู้ นื่ ๒. เหตุผลของการรักษา มนุษย์ทุกคนยอ่ มมศี กั ยภาพ มศี ักด์ิศรีของความเปน็ มนษุ ย์ และมภี าระในการประกอบอาชีพ การงานเพอื่ เลยี้ งชีพของตนเองและครอบครวั ให้มคี วามสุขตามอตั ภาพ ย่อมมคี วามภาคภูมิใจ ความรกั และ หวงแหนทรัพย์สมบัติที่ตนเองพยายามหามาได้โดยชอบธรรม ไม่ต้องการให้ใครมาล่วงละเมิดในกรรมสิทธิ์ ของตนเอง ในทางตรงกันข้าม ทรัพย์สมบัติท่ีได้มาโดยทุจริต ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนในภายหลัง เป็นการทำ�ลายศักยภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง การลักขโมยฉ้อโกง แม้จะได้ทรัพย์สิน ของผอู้ ืน่ มา แต่ก็เปน็ การสญู เสียอรยิ ทรพั ย์ภายใน คอื ศีลธรรม ซึง่ เทียบคา่ กันไม่ได้ นบั ได้วา่ เปน็ การกระทำ� ทีน่ า่ ละอายและบณั ฑติ ตเิ ตียน ๓. ข้อห้าม ในสิกขาบทนี้ ห้ามการกระทำ�โจรกรรมโดยตรง คือ การถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ ท้ังท่ีเป็นสวิญญาณกทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ท่ีมีวิญญาณ และอวิญญาณกทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ท่ีไม่มี วญิ ญาณ ส่งิ ของทมี่ ใิ ช่ของใครแตม่ ีผูร้ ักษาหวงแหน ได้แก่ สง่ิ ของทีอ่ ทุ ิศบชู าปูชนยี วัตถุ สง่ิ ของทีเ่ ป็นสมบัติ ของส่วนรวม ด้วยอาการเป็นโจร นอกจากนี้ ยังห้ามการเล้ียงชีพด้วยอนุโลมโจรกรรมและกิริยาท่ีเป็นฉายา โจรกรรมด้วย ลักษณะแห่งอทนิ นาทาน ๑. โจรกรรม ๒. อนุโลมโจรกรรม ๓. ฉายาโจรกรรม เฉพาะอนุโลมโจรกรรมกับฉายาโจรกรรมน้ัน ต้องพิจารณาถึงเจตนาของผู้กระทำ�ด้วย ถ้าเจตนากระทำ�ให้เขาเสียกรรมสทิ ธ์ิศลี กข็ าด ถ้าเจตนาไมแ่ นช่ ัดศีลกเ็ พียงด่างพร้อย แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

49 โจรกรรม หมายถึง การลัก การขโมย การปล้น หรือกิริยาที่ถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ ดว้ ยอาการเป็นโจร มหี ลายประเภท จะพรรณนาพอเปน็ ตัวอย่าง ดงั นี้ ๑. ลัก ได้แก่ ถือเอาส่ิงของท่ีเขาไม่ให้ไปด้วยอาการซ่อนเร้น คือ กิริยาท่ีถือเอาสิ่งของผู้อ่ืน ด้วยอาการเป็นโจร ๒. ฉก ได้แก่ ฉวยหรือชิงเอาโดยเร็ว คือ กิริยาที่ถือเอาส่ิงของในเวลาที่เจ้าของเผลอ หรอื ชงิ เอาทรัพยต์ อ่ หนา้ เจ้าของ ๓. กรรโชก ได้แก่ ขู่เอาด้วยกิริยาหรือวาจาให้กลัว คือ กิริยาที่แสดงอำ�นาจให้เจ้าของ ตกใจกลวั แลว้ ยอมให้สง่ิ ของของตน หรอื ใช้อาชญาเร่งรดั เอา ๔. ปล้น ได้แก่ ใช้กำ�ลังลอบมาหักโหมแย่งชิงเอาโดยไม่รู้ตัว คือ กิริยาที่ยกพวกไปถือเอา สง่ิ ของของคนอื่นด้วยการใชอ้ าวธุ ๕. ตู่ ได้แก่ กล่าวอ้างหรือทึกทักเอาของผู้อ่ืนว่าเป็นของตัว คือ กิริยาที่ร้องเอาของผู้อ่ืน ซง่ึ มิไดต้ กอยใู่ นมือตน คอื มไิ ดค้ รอบครองดูแลอยู่ หรอื อ้างหลกั ฐานพยานเทจ็ หกั ลา้ งกรรมสิทธ์ิของผูอ้ น่ื ๖. ฉ้อ ได้แก่ โกง คือ กิริยาท่ีถือเอาสิ่งของของผู้อื่นอันตกอยู่ในมือตน คือ ตนครอบครอง ดูแลอยู่ หรือโกงเอาทรพั ย์ของผอู้ นื่ ๗. หลอก ได้แก่ ทำ�ใหเ้ ข้าใจผิดสำ�คัญผดิ คอื กิรยิ าพดู ปดเพื่อถือเอาของผูอ้ นื่ หรอื ปนั้ เรื่อง ให้เขาเชอ่ื เพ่อื จะใหเ้ ขามอบทรัพย์ให้แกต่ น ๘. ลวง ไดแ้ ก่ ท�ำ ใหห้ ลงผดิ คอื กริ ยิ าทถี่ อื เอาสงิ่ ของของผอู้ น่ื ดว้ ยแสดงของอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจผดิ หรือใชเ้ ล่ห์เอาทรพั ยด์ ว้ ยเครื่องมอื ลวงให้เขาเชอ่ื เช่น การใชต้ ราชงั่ ท่ีไมไ่ ด้มาตรฐาน เป็นตน้ ๙. ปลอม ได้แก่ ทำ�ให้เหมือนคนอ่ืนหรือส่ิงอ่ืน เพื่อให้หลงผิดว่าเป็นคนนั้นหรือสิ่งน้ัน คือ กริ ิยาที่ทำ�ของไม่แทใ้ หเ้ หน็ ว่าเปน็ ของแท้ ๑๐. ตระบัด ไดแ้ ก่ ฉอ้ โกง คอื กิริยาทยี่ ืมของเขาไปแลว้ ถือเอาเสีย ๑๑. เบียดบัง ไดแ้ ก่ ยักเอาไว้เป็นประโยชน์ของตัว คอื กิรยิ ากินเศษกินเลย ๑๒. สับเปลี่ยน ได้แก่ เปลี่ยนแทนที่กัน คือ กิริยาท่ีถือเอาสิ่งของของตนที่เลวเข้าไว้แทน และเอาสงิ่ ของของผูอ้ ื่นท่ดี กี วา่ หรือแอบสลับเอาของผ้อู นื่ ซึ่งมคี า่ มากกวา่ ๑๓. ลักลอบ ไดแ้ ก่ ลอบกระทำ�การบางอย่าง คือ กริ ิยาที่เอาของซ่ึงจะตอ้ งเสยี ภาษีซอ่ นเขา้ มา โดยไม่เสยี ภาษี หรือหลบหนภี าษีของหลวง ๑๔. ยกั ยอก ไดแ้ ก่ เอาทรพั ยข์ องผอู้ น่ื หรอื ทรพั ยข์ องตนซงึ่ ผอู้ น่ื เปน็ เจ้าของรวมอยดู่ ว้ ยทอ่ี ยใู่ น ความดูแลรักษาของตนไปโดยทุจริต คือ ใชอ้ �ำ นาจหนา้ ท่ที มี่ ีอยู่ถอื เอาทรพั ย์โดยไมส่ ุจริต หรอื กิรยิ าทย่ี ักยอก ทรัพย์ของตนที่จะต้องถกู ยึดเอาไปไวเ้ สียท่อี ื่น แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

50 อนุโลมโจรกรรม หมายถึง กิรยิ าทีแ่ สวงหาทรัพย์ในทางไมบ่ ริสทุ ธ์ิ ยังไมถ่ งึ ขนั้ เปน็ โจรกรรม มีประเภทจะพรรณนาพอเปน็ ตวั อย่าง ดังนี้ ๑. สมโจร ได้แก่ กริ ิยาที่อุดหนุนโจรกรรม เช่น การรับซอื้ ของโจร ๒. ปอกลอก ไดแ้ ก่ ท�ำ ใหเ้ ขาหลงเชอ่ื แลว้ ลอ่ ลวงเอาทรพั ยเ์ ขาไป หรอื กริ ยิ าทค่ี บคนดว้ ยอาการ ไม่ซ่ือสตั ย์ มงุ่ หมายจะเอาแตท่ รัพยส์ มบตั ิของเขาถ่ายเดยี ว เม่อื เขาสิ้นเนื้อประดาตวั ก็ละท้งิ เขาเสยี ๓. รับสินบน ได้แก่ รับสินจ้างเพ่ือกระทำ�ผิดหน้าท่ี คือ การถือเอาทรัพย์ที่เขาให้เพ่ือช่วย ทำ�ธรุ ะใหใ้ นทางทผ่ี ิด การรับสินบนนี้ หากผรู้ บั มีเจตนาร่วมกับผ้ใู ห้ ในการท�ำ ลายกรรมสิทธขิ์ องผ้อู น่ื กถ็ ือวา่ เปน็ การท�ำ โจรกรรมรว่ มกนั โดยตรง ท�ำ ใหศ้ ีลข้อนีข้ าด ฉายาโจรกรรม หมายถึง กิริยาที่ทำ�คล้ายคลึงกับโจรกรรม หรือกิริยาท่ีทำ�ทรัพย์ของผู้อื่น ใหส้ ูญเสียและเป็นสินใช้ตกอยแู่ ก่ตน ประกอบด้วยลกั ษณะ ๒ อย่าง คอื ๑. ผลาญ ได้แก่ ทำ�ลายให้หมดสน้ิ ไป คือ กริ ยิ าท่ีทำ�ความเสียหายแกท่ รัพยข์ องผู้อ่ืน ๒. หยบิ ฉวย ไดแ้ ก่ กิรยิ าท่ีถือเอาทรพั ยข์ องผูอ้ ื่นดว้ ยความมักงา่ ย โดยมิได้บอกใหเ้ จ้าของรู้ คือ การถอื เอาดว้ ยวสิ าสะเกนิ ขอบเขต ท้ังน้ี ฉายาโจรกรรมน้ัน ถ้ามีเจตนาในทางทำ�ลายกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นรวมอยู่ด้วย ก็ถือว่าเป็น การท�ำ โจรกรรมโดยตรง ทำ�ให้ศีลขอ้ นี้ขาด ๔. หลักวินิจฉยั การล่วงละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๒ ทท่ี ำ�ให้ศีลขาด ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ๔.๑ ของนั้นมีเจา้ ของ ๔.๒ ตนรู้วา่ ของนนั้ มเี จา้ ของ ๔.๓ จติ คิดจะลกั ๔.๔ พยายามลกั ๔.๕ ไดข้ องนนั้ มาด้วยความพยายามนนั้ ๕. โทษของการลว่ งละเมิด ผู้ท่ีล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๒ คือ ประพฤติอทินนาทาน ถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมยหรือลักทรัพย์ จะมีโทษมากหรือน้อย ตามคุณค่าของส่ิงของ คุณความดีของเจ้าของ และความพยายามในการลักขโมย นอกจากนัน้ ผทู้ ่ลี ่วงละเมดิ ยอ่ มได้รับกรรมวบิ าก ดงั น้ี ๕.๑ ย่อมเกิดในนรก ๕.๒ ย่อมเกดิ ในก�ำ เนดิ สตั ว์เดยี รจั ฉาน แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

51 ๕.๓ ย่อมเกดิ ในก�ำ เนดิ เปรตวสิ ยั ๕.๔ ยอ่ มเปน็ ผยู้ ากจนเขญ็ ใจไร้ทพ่ี งึ ๕.๕ โทษเบาท่ีสดุ หากเกิดเปน็ มนุษย์ ทรัพยย์ ่อมฉิบหาย ตัวอย่างโทษของการล่วงละเมดิ เบญจศีล สกิ ขาบทท่ี ๒ เร่ือง สีลวีมังสนะ คร้ังพทุ ธกาล ในพระนครสาวตั ถี มพี ราหมณ์คนหน่งึ ชอื่ สีลวมี ังสนะ ถึงสรณะ ๓ และรกั ษาศลี ๕ รบั ราชการอยูก่ ับพระเจ้าโกศล พระราชาพรอ้ มด้วยข้าราชการใหญ่นอ้ ยต่างใหค้ วามนบั ถอื พราหมณ์น้ัน เขาคิดว่า ท่ีคนเขานับถือเรานี้ เขานับถืออะไรชาติ โคตร สกุล ความรู้ หรือศีลกันแน่ ต้องการ จะทดลอง วันหน่ึง เม่ือกลับจากท่ีทำ�งาน ได้แอบหยิบเอาเงินของหลวงไปจำ�นวนหนึ่ง เจ้าหน้าท่ีการเงิน ไมว่ า่ อะไร วันที่ ๒ ไดท้ �ำ อยา่ งนั้นอกี กไ็ มม่ ีใครว่าอะไร วันท่ี ๓ จงึ หยิบเอาเงนิ ไปก�ำ มือหนึ่ง เจ้าหนา้ ทก่ี ารเงนิ โกรธ ร้องตะโกนให้คนช่วยกันจับตัว เม่ือจับตัวได้แล้ว ก็ทุบตีคนละสองสามที แล้วพันธนาการไปกราบทูล ให้พระราชารับสง่ั ลงอาญาหลวงแก่เขา พราหมณท์ ราบชดั ว่า ทค่ี นเขานบั ถอื ตนนน้ั เพราะการรกั ษาศลี จงึ ไดก้ ล่าวว่า เรอื่ งชาตแิ ละชนชน้ั เป็นเรื่องไรส้ าระ ศีลนีแ่ หละสงู ทส่ี ดุ บคุ คลขาดศีลเสยี แล้ว วชิ าความรกู้ ไ็ ม่มปี ระโยชนอ์ ะไรเลย เร่อื ง ดาบสโกหก ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี มีดาบสโกหกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตำ�บลหน่ึง พักอยู่ใน บรรณศาลาท่กี ฎุ ุมพีคนหน่งึ สรา้ งถวายในป่า มาฉนั อาหารในเรอื นของกุฎมุ พีน้ันเปน็ ประจ�ำ กุฎุมพีเชื่อวา่ “ดาบสนม้ี ีศลี ” เพราะกลัวโจรจะมาลกั ทรพั ยไ์ ป จงึ นำ�ทองค�ำ ๑๐๐ นกิ ขะ ไปยงั บรรณศาลาของดาบสน้ัน แลว้ ฝงั ไว้ ขอใหด้ าบสชว่ ยดูแลทรพั ยน์ นั้ ดาบสแสดงอาการให้กฎุ ุมพที ราบวา่ ไม่มี ความโลภในทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ตอบรับแล้วคิดว่าสามารถจะเลี้ยงชีวิตด้วยทองคำ�น้ันได้ เม่ือเวลาผ่าน ไป ๒ - ๓ วัน จึงลักเอาทองคำ�นั้นไปเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่งในระหว่างทาง ในวันรุ่งขึ้นฉันอาหารในเรือนของ กุฎมุ พแี ลว้ บอกลากุฎุมพี แลว้ ออกเดินทาง ไปได้หน่อยหนงึ่ แลว้ วางหญา้ ไว้ในระหว่างชะฎากลับไปหากุฎุมพี บอกว่านำ�หญ้ามาคนื เพราะกลัวโทษของอทินนาทาน กุฎมุ พมี คี วามเลอ่ื มใสในดาบสยิง่ ข้นึ คราวนนั้ พระโพธสิ ตั วไ์ ปปจั จนั ตบทเพอื่ ตอ้ งการสนิ คา้ ซอื้ ของกนิ ในเรอื นนน้ั ฟงั ค�ำ ของดาบสแลว้ คิดว่าดาบสนี้คงจะลักเอาทรัพย์บางอย่างของกุฎุมพีน้ีไปแน่ จึงถามกุฎุมพีทราบเรื่องทองท่ีฝากดาบสไว้แล้ว จึงบอกให้กุฎุมพีไปตรวจดูทองคำ�ท่ีฝังไว้ กุฎุมพีไปท่ีบรรณศาลาไม่เห็นทองคำ�ที่ฝังไว้ จึงติดตามดาบสน้ันไป ทง้ั เตะท้ังตอ่ ยดาบสแลว้ ให้นำ�ทองคำ�มาคืน พร้อมกบั กลา่ วสำ�ทับวา่ “ทา่ นขอ้ งใจวา่ จะเป็นอทินนาทานดว้ ย หญา้ เพียงเสน้ เดยี ว แต่ทองค�ำ ๑๐๐ นกิ ขะ ท่านลกั เอาไปได้ ไมข่ อ้ งใจเลย” แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

52 ๖. อานสิ งส์ของการรักษา ผรู้ กั ษาสกิ ขาบทที่ ๒ ย่อมไดร้ ับอานิสงส์ ดังน้ี ๖.๑ ยอ่ มมีทรัพย์สมบตั มิ าก ๖.๒ แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรมได้โดยง่าย ๖.๓ โภคทรัพย์ทีห่ ามาไดแ้ ล้วย่อมมัน่ คงถาวร ๖.๔ สมบัติไมฉ่ ิบหายเพราะโจรภยั อัคคภี ยั และอทุ กภยั เป็นตน้ ๖.๕ ย่อมได้รับอรยิ ทรัพย์ ๖.๖ ยอ่ มไมไ่ ดย้ ินและรูจ้ กั คำ�วา่ “ไม่ม”ี ๖.๗ อยทู่ ี่ไหนก็ยอ่ มเป็นสขุ เพราะไมม่ ีใครเบียดเบียน สกิ ขาบทท่ี ๒ น้ี เปน็ หลกั ประกนั ทรัพย์สนิ ตอ้ งการให้เว้นจากการประกอบมิจฉาชพี ทุกชนิด ใหป้ ระกอบสมั มาชพี เลยี้ งชวี ติ ในทางทช่ี อบ ขยนั ท�ำ มาหากนิ หนกั เอาเบาสู้ พอใจภมู ใิ จทจ่ี ะสรา้ งตวั สรา้ งฐานะ ดว้ ยความพากเพยี รพยายามของตนเอง ใหร้ ักศักดศิ์ รีตนเองย่งิ กวา่ ส่งิ ใด เบญจศีล สกิ ขาบทท่ี ๓ กาเมสมุ จิ ฉาจารา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑. ความมุ่งหมาย สิกขาบทน้ี คำ�ว่า กาม ได้แก่ กิริยาท่ีรักใคร่กันในทางประเวณี ความไม่ประพฤติผิดในกาม คือการไม่ล่วงละเมิดทางเพศ เคารพกรรมสิทธ์ิในบุคคลที่หวงแหนหรือคู่ครองของคนอ่ืน ไม่ตกอยู่ใน อำ�นาจความกำ�หนัดยินดีในทางเพศ ซึ่งเป็นการทำ�ร้ายจิตใจของคนอื่น ส่งผลกระทบถึงความเสียหาย เช่น การประหัตประหารกัน เป็นต้น ในเชิงสร้างสรรค์มุ่งความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัว ปลูกความรัก ความสามคั คี ป้องกนั ความแตกร้าวในหมูค่ ณะ และทำ�ใหไ้ ว้วางใจซ่ึงกนั และกัน ๒. เหตุผลของการรักษา ธรรมดามนุษย์ปุถุชน คือผู้ที่ยังข้องเก่ียวกับเร่ืองกามารมณ์ ย่อมมีความปฏิพัทธ์รักใคร่ ฉันสามีภรรยาตามธรรมเนียมประเพณี เพ่ือสืบสายเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งนับว่าเป็นการประพฤติถูกต้อง ในเรอื่ งกาม จดั เปน็ กายสจุ รติ แตก่ ารลว่ งละเมดิ ทางเพศกบั บคุ คลทต่ี อ้ งหา้ ม ถอื วา่ เปน็ การประพฤตผิ ดิ ในกาม จัดเป็นกายทุจริต ในความเป็นจริงคนเราอาจให้หรือให้หยิบยืมข้าวของเงินทองแก่กันและกันได้ หรือจะถือ เอาโดยวิสาสะในฐานะคนคุ้นเคยกันก็ยังได้ แต่เรื่องการล่วงละเมิดในสามีภรรยาและบุคคลอันเป็นที่รัก ท่ีหวงแหนของกันและกัน จะกระทำ�ไม่ได้ เพราะจะทำ�ให้ขาดความเป็นเพื่อน ขาดความเคารพนับถือ ถงึ ข้นั เป็นศัตรูประหตั ประหารซงึ่ กนั และกันได้ แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

53 ๓. ขอ้ หา้ ม ในสิกขาบทนี้ ห้ามการประพฤติผิดในกาม คือการล่วงละเมิดทางเพศในบุคคลต้องห้าม ทัง้ เพศชายและเพศหญิง บคุ คลต้องห้าม บุคคลต้องห้าม หมายถึง บุคคลที่ผู้ใดจะประพฤติผิดหรือล่วงละเมิดทางเพศไม่ได้ มีอยู่ ๒ ประเภท คือ หญิงต้องหา้ ม และชายตอ้ งห้าม หากผ้ใู ดประพฤติผิดกับหญิงหรือชายตอ้ งห้าม ผู้นั้นผดิ ศลี ถ้าทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ต้องห้ามด้วยกัน ประพฤติผิดร่วมกัน ก็ผิดศีลท้ังสองฝ่าย บุคคลที่เป็นหญิงแต่มีจิตใจ เปน็ ชาย และบคุ คลท่ีเป็นชายแต่มีจติ ใจเป็นหญิง กอ็ นุโลมในบุคคลต้องห้ามตามสกิ ขาบทน้ีดว้ ย หญิงต้องห้าม หญิงต้องห้าม หมายถงึ บคุ คลต้องห้ามสำ�หรบั ชาย มี ๓ ประเภทใหญ่ ๆ คอื ๑. สสฺสามกิ า หญงิ มสี ามี หมายถงึ หญิงที่อยู่กนิ กบั ฝา่ ยชายฉนั ภรรยาสามี ทัง้ ทแี่ ต่งงานหรือ ไม่ได้แต่งงาน รวมถึงหญิงท่ีรับสิ่งของมีทรัพย์เป็นต้นของฝ่ายชายแล้วยอมอยู่กับฝ่ายชายนั้น ตลอดถึงหญิง ทีฝ่ ่ายชายรบั เล้ียงดูเป็นภรรยา จะไดจ้ ดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายหรือไมก่ ็ตาม หญิงประเภทน้ี จะหมดภาวะที่เป็นหญิงต้องห้ามก็ต่อเมื่อหย่าขาดจากสามีหรือสามี ตายแลว้ แมห้ ญงิ ทสี่ ามถี กู กกั ขงั เชน่ ถกู จ�ำ คกุ หากยงั ไมไ่ ดห้ ยา่ ขาดจากกนั กถ็ อื วา่ เปน็ หญงิ ตอ้ งหา้ ม หรอื สามี ต้องโทษจ�ำ คุกตลอดชีวติ หญิงนน้ั กย็ งั อย่ใู นฐานะตอ้ งหา้ มตราบเท่าท่ีสามยี งั มีชีวิตอยู่ ชายใดประพฤตผิ ิดต่อ หญงิ มีสามี ถอื ว่าผิดศีล ๒. ญาตริ กขฺ ิตา หญิงท่ีญาติรกั ษา หมายถงึ หญงิ ทม่ี ญี าตเิ ป็นผู้ปกครอง ไม่เปน็ อสิ ระแกต่ น เพราะอยใู่ นการปกครองดูแลพิทักษ์รกั ษาของบดิ ามารดา ญาตพิ ่ีน้อง หรือวงศ์ตระกูล ชายใดประพฤติผิดตอ่ หญงิ ทีญ่ าติรกั ษา ถอื ว่าผิดศีล หญิงที่ญาติรักษานั้น เม่ือรับของหมั้นจากฝ่ายชายและตกลงจะแต่งงานกัน นับแต่รับ ของหม้ันแล้ว หญิงน้ันช่ือว่าอยู่ในการรักษาท้ังของญาติและของคู่หมั้น จะพ้นจากการรักษาของคู่หม้ัน ก็ตอ่ เมือ่ ไดค้ นื ของหมนั้ หรือบอกเลกิ การหมั้นนั้นแล้ว ๓. ธมฺมรกฺขิตา หญงิ ท่ีธรรมรักษา หมายถึง หญิงที่มีศีลธรรม กฏหมาย หรอื จารตี คุ้มครอง รกั ษา มี ๒ ประเภท คอื หญิงผูเ้ ป็นเทอื กเถาเหลา่ กอของตน และหญิงมขี อ้ ห้าม หญงิ ตอ้ งหา้ มโดยพสิ ดาร มี ๒๐ ประเภท คือ ๑. มาตุรกขฺ ติ า หญงิ ทม่ี ารดารักษา ๒. ปิตรุ กฺขติ า หญิงท่บี ิดารักษา ๓. มาตาปติ ุรกฺขติ า หญงิ ท่ีมารดาบิดารกั ษา ๔. ภาตรุ กฺขิตา หญงิ ทพ่ี ช่ี ายนอ้ งชายรกั ษา แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

54 ๕. ภคนิ รี กขฺ ิตา หญิงที่พสี่ าวนอ้ งสาวรักษา ๖. ญาตริ กขฺ ิตา หญงิ ที่ญาตริ ักษา ๗. โคตฺตรกขฺ ิตา หญงิ ทชี่ นท่มี สี กลุ หรอื แซ่รักษา ๘. ธมมฺ รกขฺ ิตา หญิงทีธ่ รรมรกั ษา ๙. สามริ กฺขิตา หญิงทีส่ ามีรักษา ๑๐. สปริทณฺฑา หญงิ ท่ีกฎหมายคุ้มครอง ๑๑. ธนกีตา หญงิ ท่ชี ายซอ้ื มาเป็นภรรยา ๑๒. ฉนฺทวาสินี หญิงที่อยกู่ ับชายดว้ ยความรกั ใครก่ ันเอง ๑๓. โภควาสนิ ี หญงิ ทีอ่ ยเู่ ปน็ ภรรยาชายด้วยโภคสมบตั ิ ๑๔. ปฏวาสนิ ี หญิงเข็ญใจไดผ้ ้านุง่ ผ้าห่มแลว้ อยเู่ ปน็ ภรรยา ๑๕. โอทปตฺตกินี หญงิ ทชี่ ายขอเป็นภรรยาด้วยพิธีแต่งงาน ๑๖. โอภตจมุ พฺ ตา หญิงท่ีชายชว่ ยปลงภาระอันหนักลงจากศรี ษะแล้วอย่เู ป็นภรรยา ๑๗. ทาสีภรยิ า หญงิ คนใชท้ เ่ี ปน็ ภริยา ๑๘. กมฺมการนิ ภี ริยา หญงิ รับจา้ งทำ�การงานที่เป็นภรยิ า ๑๙. ธชาหฏา หญงิ เชลยท่ีเป็นภริยา ๒๐. มหุ ตุ ตฺ กิ า หญิงทช่ี ายอยู่ด้วยชั่วคราว ถ้าชายล่วงในหญิง ๒๐ จำ�พวกนี้ แม้จำ�พวกใดจำ�พวกหนึ่งพร้อมด้วยองค์ตามท่ีกล่าวแล้ว ก็ขาดจากสกิ ขาบทท่ี ๓ คอื กาเมสมุ ิจฉาจาร หญิงผู้เป็นเทือกเถาเหล่ากอของตน เทือกเถา หมายถึง หญิงซ่ึงเป็นญาติผู้ใหญ่ นับย้อน ขึ้นไปทางบรรพบุรุษ ๓ ช้ัน คือ ย่าทวด ยายทวด ย่า ยาย และมารดาของตนเอง เหล่ากอ หมายถึง หญิงผู้สืบสันดานจากตน นับลงไปสามชั้น คือ ลูก หลาน และเหลน ชายใดประพฤติผิดต่อหญิงผู้เป็น เทอื กเถาเหลา่ กอของตน ถือว่าผิดศีล หญงิ มีขอ้ ห้าม มี ๒ ประเภท คอื ๑. หญงิ ประพฤติพรหมจรรย์ ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ี สามเณรี สิกขมานา แมช่ ี และอุบาสกิ าผู้รกั ษา ศลี ๘ หรืออโุ บสถศลี ๒. หญิงท่ีกฎหมายจารีตประเพณีรักษา ได้แก่ หญิงท่ีกฎหมายจารีตประเพณีห้ามมิให้ ล่วงละเมดิ เช่น หญิงท่ยี งั ไม่บรรลุนิตภิ าวะ หญงิ พิการทพุ พลภาพ เปน็ ตน้ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

55 ชายต้องหา้ ม ชายต้องห้าม หมายถึง บุคคลต้องห้ามสำ�หรับหญิง มี ๒ ประเภท คือ ชายอื่นนอกจาก สามขี องตนส�ำ หรบั หญงิ ทมี่ ีสามี และชายท่ีจารีตหา้ มส�ำ หรับหญงิ ทว่ั ไป ๑. ชายอนื่ นอกจากสามีตน เป็นบุคคลต้องห้ามส�ำ หรับหญงิ ทีม่ ีสามี ๒. ชายท่ีจารีตห้าม ได้แก่ นักบวชในศาสนาท่ีห้ามเสพเมถุน เช่น ภิกษุ สามเณร เป็นต้น เป็นบุคคลต้องห้ามสำ�หรับหญิงทั่วไป ท้ังที่มีสามีและไม่มีสามี หญิงใดประพฤติผิดต่อชายต้องห้าม ถือว่า ผดิ ศลี หากมีความยนิ ดีพรอ้ มใจกนั ในการลว่ งประเวณี กผ็ ดิ ศีลท้ังสองฝ่าย ศีลสิกขาบทท่ี ๓ น้ี ผู้ใดประพฤติผิดต่อบุคคลต้องห้ามดังกล่าวมาท้ังหมด ถือว่าผิดศีล หากทั้งสองฝ่ายมีความยินดีพร้อมใจในการล่วงประเวณี ก็ผิดศีลทั้งสองฝ่าย นอกจากการห้ามประพฤติผิด ประเวณีแล้ว ยังห้ามการกระท�ำ ในสถานทอ่ี ันไม่สมควร เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ เป็นตน้ ผู้รักษาศลี ตามสิกขาบทน้ีพึงเว้นแม้การผูกสมัครรักใคร่ฉันชู้สาว การเกี้ยวพาราสี การพูดแคะ การเล่นหูเล่นตา หรือแมแ้ ต่การใชส้ ่ืออเิ ลก็ ทรนิกส์กบั บุคคลต้องหา้ มในเชงิ ชู้สาว เพราะเปน็ เหตุให้ล่วงละเมดิ ศีลข้อน้ไี ดง้ ่าย ๔. หลักวินิจฉยั การลว่ งละเมดิ สิกขาบทที่ ๓ ทท่ี ำ�ให้ศลี ขาด ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๔.๑ หญิงหรือชายน้ัน เปน็ บุคคลต้องห้าม ๔.๒ จิตคดิ จะเสพ ๔.๓ พยายามเสพ ๔.๔ อวัยวะเครอื่ งเสพจดถงึ กนั ๕. โทษของการล่วงละเมิด ผ้ทู ี่ล่วงละเมดิ สิกขาบทท่ี ๓ คอื ประพฤติผิดในกาม จะมโี ทษมากหรอื นอ้ ย ตามคุณความดี ของคนที่ถูกล่วงละเมิด ความแรงของกิเลสและความพยายาม นอกจากนั้น ผู้ท่ีล่วงละเมิดย่อมได้รับ กรรมวิบาก ดังน้ี ๕.๑ ย่อมเกิดในนรก ๕.๒ ยอ่ มเกิดในก�ำ เนิดสตั วเ์ ดยี รจั ฉาน ๕.๓ ยอ่ มเกดิ ในกำ�เนดิ เปรตวิสยั ๕.๔ ย่อมเปน็ ผ้มู ีรา่ งกายทุพพลภาพ ข้เี หร่ มากไปดว้ ยโรค ๕.๕ โทษเบาทีส่ ุด หากเกิดเปน็ มนษุ ย์ ยอ่ มเปน็ ผู้มีศัตรรู อบด้าน แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

56 ตวั อยา่ งโทษของการลว่ งละเมิดเบญจศลี สิกขาบทท่ี ๓ เรอื่ ง จูฬธนคุ คหบัณฑิต คร้ังโบราณกาล ได้มีชายหนุ่มชาวพาราณสีคนหน่ึง นามว่าจูฬธนุคคหบัณฑิต เรียนวิชา กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่ีเมืองตักกศิลา เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีความประพฤติเรียบร้อย เรียนเก่ง เป็นท่ีรักใคร่ของอาจารย์ เม่ือเรียนศิลปวิทยาจบแล้ว จึงลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์ได้ยกลูกสาวคนหน่ึง ใหเ้ ป็นภรรยา ในระหวา่ งทางไดเ้ กิดการต่อสกู้ บั พวกโจรท่มี าคอยดกั ปลน้ ไดฆ้ ่าโจรตายไปหลายคน จนลูกศร ในมอื หมด จงึ ตอ่ สกู้ บั หวั หนา้ โจรดว้ ยมอื เปลา่ บอกใหภ้ รรยาน�ำ ดาบมาให้ แตภ่ รรยากลบั เกดิ ความรกั ในตวั โจร ทต่ี นเพ่งิ จะพบเห็นเดยี๋ วนั้นเอง จึงส่งดาบให้โจรฆ่าชายหนุม่ ตาย โจรพานางไปถึงแม่นํ้าสายหนึ่ง คิดว่า หญิงคนนี้พบชายอ่ืนเข้า คงจะให้ฆ่าเราเหมือนกับให้เรา ฆ่าสามีเธอ เราไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้ จึงออกอุบายหลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทองของเธอจนหมดสิ้น แล้วก็จากไป โดยท้ิงคำ�พูดไว้กับเธอว่า แม่คนงามเธอเอาสามีที่เคยเชยชิดกันมานานแลกกับฉันซึ่งมิใช่สามี ทไ่ี มเ่ คยเชยชดิ วนั หลงั เธอคงจะเอาฉนั แลกกบั ชายอน่ื อกี ฉนั จะหนเี ธอไปใหไ้ กลทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะไกลได้ หญงิ สาว คนน้นั ไม่มีใครคบหาสมาคมดว้ ย เพราะประพฤติผิดศีลข้อที่ ๓ น้ีนนั่ เอง ๖. อานสิ งส์ของการรักษา ผู้รกั ษาสกิ ขาบทท่ี ๓ ย่อมไดร้ บั อานิสงส์ ดงั น้ี ๖.๑ ไม่มีศัตรเู บียดเบยี น ๖.๒ เปน็ ท่รี กั ของคนทงั้ หลาย ๖.๓ มที รัพยส์ มบตั บิ รบิ รู ณ์ ๖.๔ ไม่เกดิ เปน็ หญงิ หรอื เป็นกระเทย ๖.๕ เปน็ ผู้สง่า มีอำ�นาจมาก ๖.๖ มีอินทรีย์ ๕ บริบูรณ์ ๖.๗ มคี วามสุข ไมต่ ้องทำ�งานหนกั สกิ ขาบทที่ ๓ นี้ เปน็ หลกั ประกนั ครอบครวั ตอ้ งการใหเ้ วน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม ควบคมุ ตนเองได้ มีความส�ำ รวมระวงั ในกาม ยินดีพอใจเฉพาะคู่ครองของตน รกั ษาเกยี รตขิ องตนและผู้อ่นื ท�ำ ใหอ้ ยู่ รว่ มกนั อย่างไว้วางใจกนั แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

57 เบญจศลี สิกขาบทที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเทจ็ ๑. ความมงุ่ หมาย สกิ ขาบทน้ี มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ หา้ มการตดั ประโยชนท์ างวาจา ปอ้ งกนั การท�ำ ลายทง้ั ประโยชนต์ น คือ คุณธรรมที่มีในตน และประโยชน์ผู้อื่นท่ีจะพึงได้รับด้วยการพูดเท็จ หรือด้วยการให้ข้อมูลข่าวสาร ที่ไม่เป็นจริง คนท้ังหลายย่อมชอบและเช่ือถือความจริงด้วยกันทุกคน จะถามหรือฟังข้อความอะไรกับใคร ก็ต้องการความจริง แม้จะให้ใครเชื่อถ้อยคำ�ของตน ก็ต้องอ้างความจริงขึ้นมาพูด เม่ือความจริงเป็นเช่นน้ี ผใู้ ดพดู มสุ ากช็ อื่ วา่ เปน็ การตดั ประโยชนท์ ง้ั ของตนและคนอนื่ สกิ ขาบทนม้ี งุ่ สง่ เสรมิ ใหร้ กั ษาความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ความซ่อื ตรงตอ่ กัน อนั เป็นเหตนุ �ำ มาซึง่ ความรกั ความสามคั คขี องหมู่คณะ ๒. เหตุผลของการรกั ษา ในพุทธศาสนสุภาษิต ได้กล่าวถึงลักษณะของคนชอบพูดเท็จไว้ว่า “นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน แปลว่า ไม่มีความชั่วอะไรที่คนชอบพูดเท็จจะทำ�ไม่ได้” เพราะคนชอบพูดเท็จ พดู โกหกหลอกลวงหรอื พดู มเี ลศนยั ในแงม่ มุ ตา่ ง ๆ นน้ั ไดช้ อ่ื วา่ ท�ำ ลายคณุ ธรรมในจติ ใจของตนเอง และท�ำ ลาย ประโยชนข์ องผูอ้ นื่ ในการพดู เทจ็ นั้น คนโกหกจะไดร้ ับผลเสียหายรา้ ยแรง คือ จะกลายเปน็ คนเหลาะแหละ ขาดความน่าเชอ่ื ถือ ดังน้ัน ท่านจงึ ห้ามไมใ่ ห้ล่วงละเมดิ ศีลข้อน้ี ๓. ขอ้ หา้ ม สิกขาบทน้ี ห้ามการพูดเท็จ เมื่อมุ่งความจริงเป็นหลัก จึงกำ�หนดข้อห้ามไว้ ๓ อย่าง คือ มสุ า อนุโลมมุสา และปฏิสสวะ การพูดมุสาท�ำ ให้ศีลขาด สว่ นอนุโลมมสุ าและปฏสิ สวะ ท�ำ ให้ศีลดา่ งพรอ้ ย มสุ า มุสา แปลว่า เท็จ ได้แก่ โกหก หมายถึง การทำ�เท็จทุกอย่าง การแสดงความเท็จเพื่อให้ผู้อื่น เขา้ ใจผิดนั้น ท�ำ ไดท้ งั้ ทางวาจาและทางกาย ดงั นี้ ทางวาจา คือ พูดออกมาเปน็ ค�ำ เทจ็ ตรงกับค�ำ ว่าโกหก ซงึ่ เปน็ ที่เขา้ ใจกนั อยู่แลว้ ทางกาย คือ การแสดงกิริยาอาการที่เปน็ เทจ็ เช่น การเขียนจดหมายโกหก การเขียนรายงานเท็จ การทำ�หลักฐานปลอม การตีพิมพ์ข่าวสารอันเปน็ เท็จ การเผยแพร่ขา่ วสารอนั เป็นเทจ็ ทางส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ การทำ�เคร่ืองหมายให้คนอื่นหลงเช่ือและเขา้ ใจผิด รวมถึงการใช้ใบ้ให้คนอ่ืนเขา้ ใจผิด เช่น ส่ันศีรษะในเร่ือง ควรรับ หรือพยกั หน้าในเรือ่ งทีค่ วรปฏเิ สธ แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

58 มสุ ามปี ระเภทที่จะพึงพรรณนาเปน็ ตวั อยา่ ง ดงั น้ี ปด ได้แก่ มุสาตรง ๆ โดยไมอ่ าศยั มลู เลย เชน่ ไมเ่ หน็ ว่าเหน็ ไมร่ วู้ ่ารู้ ไม่มวี ่ามี เปน็ ตน้ ส่อเสียด คอื พดู ยุแยงเพือ่ ให้เขาแตกกันและพดู ใหต้ นเองเป็นทรี่ ัก หลอก คอื พูดเพือ่ จะโกงเขา พูดใหเ้ ขาเช่อื พดู ใหเ้ ขาเสยี ของให้ตน ยอ คอื พูดเพื่อจะยกย่องเขา พูดให้เขาลืมตัวและหลงตวั ผิด กลบั ค�ำ คือพูดไวแ้ ล้วแต่ตอนหลงั ไม่ยอมรับ ปฏิเสธว่าไมไ่ ด้พดู ทนสาบาน ได้แก่ กิริยาท่ีเส่ียงสัตย์ว่าจะพูดความจริง หรือจะทำ�ตามคำ�สาบาน แต่ไม่ได้พูด หรือท�ำ ตามน้นั เชน่ พยานทนสาบานแลว้ เบิกคำ�เท็จ เป็นต้น ทำ�เล่ห์กระเท่ห์ ได้แก่ กิริยาท่ีอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์อันไม่เป็นจริง เพ่ือให้คนหลงเช่ือนิยม ยกย่อง และเป็นอุบายหาลาภแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน เช่น อวดรู้วิชาคงกระพันว่าฟันไม่เข้ายิงไม่ออก เปน็ ตน้ มารยา ไดแ้ ก่ กริ ยิ าทแ่ี สดงอาการใหเ้ ขาเหน็ ผดิ จากทเ่ี ปน็ จรงิ เชน่ เปน็ คนทศุ ลี ท�ำ ทา่ ทางเครง่ ครดั ให้เขาเห็นวา่ เปน็ คนมีศลี ทำ�เลศ ได้แก่ พูดมุสาเล่นสำ�นวน พูดคลุมเครือให้ผู้ฟังเข้าใจผิด เช่น เห็นคนวิ่งหนีเขามา เมอ่ื ผู้ไลต่ ิดตามมาถาม จึงยา้ ยไปยนื ที่อนื่ แล้วพดู วา่ ตัง้ แตม่ ายืนท่นี ไี่ ม่เห็นใครเลย เสริมความ ได้แก่ พูดมุสาอาศัยมูลเดิม แตเ่ สริมความให้มากกวา่ ท่ีเปน็ จรงิ เชน่ โฆษณาสรรพคุณ สนิ ค้าเกนิ ความเป็นจรงิ เปน็ ตน้ อ�ำ ความ ไดแ้ ก่ พดู มสุ าอาศยั มลู เดมิ โดยตดั ขอ้ ความทไี่ มป่ ระสงคจ์ ะใหร้ อู้ อกเสยี เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจ เป็นอย่างอนื่ เชน่ เรื่องมากพูดใหเ้ หลอื น้อยเพอื่ ปิดความบกพรอ่ ง บคุ คลพูดดว้ ยวาจาหรอื ท�ำ กริ ยิ าแสดงทา่ ทางอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ผู้อืน่ ร้แู ลว้ เขาจะเชือ่ หรอื ไม่เชือ่ ไม่ เป็นประมาณ บคุ คลผพู้ ูดหรือแสดงอาการน้ันไดช้ อ่ื วา่ พูดมุสาในสกิ ขาบทน้ี อนโุ ลมมสุ า อนุโลมมุสา คือ การพูดเรื่องไม่เป็นจริง แต่มิได้มีเจตนาจะทำ�ให้ผู้ฟังเข้าใจผิดหรือหลงเชื่อ เพียงแตพ่ ดู เพอ่ื ใหเ้ จ็บใจ มีประเภททจ่ี ะพึงพรรณนาเป็นตัวอยา่ ง ดังนี้ เสียดแทง ได้แก่ กิริยาท่ีพูดให้ผู้อื่นเจ็บใจ ด้วยอ้างเรื่องท่ีไม่เป็นจริง เช่น ประชด คือ การ กล่าวแดกดันยกให้สูงกว่าพื้นเพเดิมของเขา หรือ ด่า คือ การกล่าวถ้อยคำ�หยาบช้าเลวทรามกดให้ต่ํากว่า พน้ื เพเดมิ ของเขา สับปลับ ได้แก่ พูดกลับกรอกเชื่อไม่ได้ พูดด้วยความคะนองปาก แต่ผู้พูดไม่ได้จงใจจะให้คนอ่ืน เขา้ ใจผดิ เช่น รบั ปากแล้วไมท่ ำ�ตามทร่ี ับนั้น แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

59 อนุโลมมสุ านีแ้ มจ้ ะมิไดเ้ ปน็ มุสา คือ คำ�เทจ็ โดยตรง แตก่ ็นบั เขา้ ในมสุ า ไม่ควรพูด พดู แลว้ มีโทษ ผู้นิยมความสุภาพแม้จะว่ากล่าวลูกหลานก็ไม่ควรใช้คำ�ด่าหรือคำ�เสียดแทง ควรใช้คำ�สุภาพ แสดงโทษผิด ใหร้ สู้ กึ ตัวแลว้ ห้ามปรามมใิ หก้ ระท�ำ ตอ่ ไป ปฏิสสวะ ปฏิสสวะ ได้แก่ การรับคำ�ของคนอ่ืนด้วยความตั้งใจจะทำ�ตามที่รับคำ�นั้นไว้จริง แต่ภายหลัง เกิดกลับใจไม่ทำ�ตามท่ีรับคำ�นั้น ทั้งท่ีตนพอจะทำ�ตามท่ีรับคำ�นั้นได้ มีประเภทที่จะพึงพรรณนาเป็นตัวอยา่ ง ดังนี้ ผิดสัญญา หมายถึง การไม่ทำ�ตามท่ีตกลงกันไว้ เช่น ตกลงกันว่าจะเลิกค้าสิ่งเสพติด แต่พอ ได้โอกาสก็กลับมาค้าอกี คืนคำ� หมายถึง การไม่ทำ�ตามท่ีรับปากไว้ เช่น รับปากจะให้สิ่งของแล้วไม่ได้ให้ ตามท่ีได้ รบั ปากไวน้ ัน้ ถ้อยคำ�ทีไ่ มจ่ ดั เปน็ มสุ าวาท ผู้พูดพูดตามความสำ�คัญของตน เรียกว่า ยถาสัญญา หรือตามวรรณกรรม ซ่ึงเป็นคำ�พูดไม่จริง แต่ไม่มีความประสงค์จะให้ผู้ฟังเชื่อ ไม่เข้าข่ายผิดศีลตามสิกขาบทท่ี ๔ น้ี มีประเภทท่ีจะพึงพรรณนา เปน็ ตัวอย่าง ดงั นี้ โวหาร ได้แก่ ถ้อยคำ�ท่ีใช้เป็นธรรมเนียม เพ่ือความไพเราะของภาษา เช่น การเขียนจดหมาย ที่ลงทา้ ยวา่ ด้วยความนับถืออย่างสงู เปน็ โวหารการเขยี นตามแบบธรรมเนยี มสารบรรณ ซึง่ ในความเป็นจริง ผเู้ ขียนอาจไมไ่ ด้นบั ถอื อย่างสงู หรืออาจไม่ได้นับถอื เช่นนนั้ ดว้ ยซ้าํ ไป นิยาย ได้แก่ เร่ืองที่แต่งข้ึน เร่ืองที่เล่ากันมา เร่ืองที่นำ�มาอ้างเพื่อเปรียบเทียบให้ได้ใจความ เป็นหลัก เช่น นิทาน ละคร ลิเก ซ่ึงในท้องเร่ืองน้ันอาจมีเน้ือหาที่ไม่เป็นความจริง แต่ผู้แต่งไม่ได้ตั้งใจให้ คนหลงเช่อื เพียงแตแ่ ตง่ แสดงเน้อื หาไปตามท้องเรื่อง สำ�คัญผิด ได้แก่ คำ�พูดที่ผู้พูดสำ�คัญผิดว่าเป็นอย่างน้ัน ทั้งท่ีความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น คือ ผู้พูด พดู ไปตามความเข้าใจของตน เชน่ ผพู้ ูดจำ�วนั ผดิ จึงบอกผถู้ ามไปตามวันท่ีจ�ำ ผิดนัน้ เป็นตน้ พลง้ั ไดแ้ ก่ คำ�พูดทีพ่ ลาดไปโดยท่ีไม่ได้ตั้งใจหรอื ไมท่ ันคิด เชน่ ผู้พดู ตงั้ ใจจะพูดอย่างหนึ่ง แตก่ ลับ พลาดไปพูดเสยี อกี อย่างหน่งึ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

60 ๔. หลักวนิ ิจฉัย การลว่ งละเมิดสกิ ขาบทท่ี ๔ ทท่ี �ำ ใหศ้ ีลขาด ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๔.๑ เรอื่ งไมจ่ รงิ ๔.๒ จิตคิดจะพดู ให้ผดิ ๔.๓ พยายามพูดออกไป ๔.๔ ผู้ฟังเข้าใจเน้อื ความน้ัน ค�ำ อธิบายองค์ ๔ ของศีลขอ้ นี้ มีดงั น้ี องค์ท่ี ๑ เรอ่ื งไม่จรงิ คือ เรอื่ งท่พี ดู นน้ั ไมม่ คี วามจริง ไมเ่ ป็นจริง เช่น ฝนไมต่ ก แตก่ ลบั พดู ว่า ฝนตก องคท์ ี่ ๒ จติ คิดจะพดู ให้ผิด คือ ผู้พดู จงใจจะพูดใหผ้ ิดจากความเป็นจริง องค์ที่ ๓ พยายามพูดออกไป คือ ผู้พูดได้พูดคำ�ไม่จริงนั้น ๆ ออกไป หรือได้กระทำ�เท็จ ด้วยความจงใจ ซ่งึ มใิ ช่เป็นเพียงความคิดทอ่ี ย่ใู นใจ องค์ท่ี ๔ ผู้ฟังเข้าใจเน้ือความน้ัน คือ ผู้ฟังเข้าใจความหมายเหมือนอย่างที่ผู้พูดพูดออกไป ส่วนผู้ฟงั จะเชื่อหรอื ไม่นนั้ ไม่เปน็ ส�ำ คัญ ๕. โทษของการลว่ งละเมิด ผทู้ ่ลี ว่ งละเมิดสกิ ขาบทท่ี ๔ คอื ประพฤตมิ สุ าวาท จะมีโทษมากหรอื นอ้ ยขน้ึ อยู่กบั ประโยชน์ ทจ่ี ะถกู ตดั รอน หมายความวา่ ถา้ การพดู เทจ็ นน้ั ท�ำ ใหเ้ สยี ประโยชนม์ ากกม็ โี ทษมาก เชน่ ชาวบา้ นทไ่ี มต่ อ้ งการ ใหข้ อง ๆ ตน พูดออกไปวา่ ไมม่ ี ก็ยังมีโทษน้อย แตถ่ า้ เปน็ พยานเทจ็ กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายมากกม็ ีโทษมาก เปน็ ตน้ นอกจากน้ัน ผู้ท่ลี ว่ งละเมิดยอ่ มได้รับกรรมวิบาก ดังนี้ ๕.๑ ย่อมเกิดในนรก ๕.๒ ย่อมเกดิ ในก�ำ เนิดสตั วเ์ ดยี รจั ฉาน ๕.๓ ยอ่ มเกดิ ในกำ�เนิดเปรตวสิ ยั ๕.๔ ยอ่ มเปน็ ผู้มีวาจาไม่เป็นทเี่ ชอื่ ถือ มกี ล่ินปากเหมน็ จดั ๕.๕ โทษเบาทส่ี ดุ หากเกดิ เปน็ มนษุ ย์ จะถูกกล่าวตอู่ ยู่เสมอ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชัน้ ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

61 ตัวอยา่ งโทษของการล่วงละเมิดเบญจศีลสกิ ขาบทที่ ๔ เรอ่ื ง หมอตา ในอดตี กาล ในพระนครพาราณสี ไดม้ ีจกั ษุแพทยค์ นหนึ่ง เทย่ี วรักษาคนตามหมบู่ า้ น ตำ�บลต่าง ๆ ต่อมาไดพ้ บกับหญงิ คนหนงึ่ กำ�ลงั ทุกข์ทรมานด้วยโรคตา จนเกือบจะมองไมเ่ หน็ หมอตรวจดูอาการแล้วบอก ว่าพอจะรกั ษาให้หายเปน็ ปกตไิ ด้ นางจึงตอบว่า ถ้าคุณหมอรักษาตาดฉิ นั ใหห้ ายเปน็ ปกติได้ ดิฉันกับลกู ชาย ลกู สาว จะยอมเป็นทาสรบั ใชไ้ ปตลอดชวี ติ หมอจงึ ตกลงรักษาให้ ตอ่ มาไมน่ านดวงตาของเธอก็หายเป็นปกติ เธอกลัวว่าจะต้องเป็นทาสของหมอตามท่ีให้สัญญาไว้ เมื่อหมอมาถามอาการจึงแกล้งพูดโกหกว่า ก่อนนี้ ดวงตาของดิฉันเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย แต่พอหยอดยาของท่านแล้ว กลับเจ็บปวดมากกว่าเดิม หมอรู้ทันว่า ผูห้ ญงิ คนนห้ี ลอกลวงเรา เพราะตอ้ งการจะไม่ใหค้ ่ารกั ษา โกรธมาก จงึ ปรุงยาขนานใหมใ่ ห้ เมือ่ นางใชย้ านนั้ หยอดตาแล้ว ตาทั้ง ๒ ขา้ งได้บอดสนทิ สตรีน้นั ตาบอดเพราะการกล่าวเท็จ ๖. อานสิ งส์ของการรักษา ผรู้ ักษาสกิ ขาบทที่ ๔ ยอ่ มได้รบั อานสิ งส์ ดงั น้ี ๖.๑ มีอนิ ทรยี ์ ๕ ผอ่ งใส ๖.๒ มีวาจาไพเราะ มไี รฟนั สม่ําเสมอเปน็ ระเบยี บดี ๖.๓ มรี ่างกายสมส่วนบรบิ ูรณ์ ผวิ พรรณเปล่งปลงั่ ๖.๔ มีกลิ่นปากหอมเหมือนกลิ่นดอกบัว ๖.๕ มีวาจาศกั ดิ์สิทธิ์ เป็นที่เช่อื ถือของคนท่ัวไป ๖.๖ ไม่พูดตดิ อา่ ง ไมเ่ ป็นใบ้ ๖.๗ มรี มิ ฝีปากแดงระเรื่อและบาง สกิ ขาบทที่ ๔ นี้ เปน็ หลกั ประกนั ความเชอ่ื ถอื ตอ้ งการใหเ้ วน้ จากการพดู เทจ็ ซงึ่ เปน็ การท�ำ ลาย ประโยชน์ของผู้อ่ืน ให้มีความซื่อตรงซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน ทำ�ให้เช่ือถือไว้วางใจกัน ก่อให้เกิดมิตรภาพ ทถ่ี าวรและอยู่รว่ มกันด้วยความรกั ความสามัคคี แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ช้ันตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

62 เบญจศีล สิกขาบทที่ ๕ สุราเมรยมัชฺชปมาทัฏฐฺ านา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการดื่มนํา้ เมา ๑. ความมงุ่ หมาย สกิ ขาบทน้ี มีความมงุ่ หมายเพอื่ ให้บคุ คลในสงั คมรจู้ กั รกั ษาสติสัมปชัญญะของตนให้สมบรู ณ์ ไม่กระทำ�การอันเป็นโทษแก่ตน ครอบครัว และสังคม ส่งเสริมการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่มี โรคภัยไข้เจบ็ เบยี ดเบยี น และป้องกนั ปัญหาส่งิ เสพติดของสังคมประเทศชาติ ๒. เหตผุ ลของการรักษา สุราและสิ่งเสพติดทุกชนิด เป็นสาเหตุสำ�คัญในการทำ�ลายสติสัมปชัญญะของคนเรายิ่งกว่า ส่ิงใด คนท่ีขาดสติสัมปชัญญะย่อมต้ังอยู่ในความประมาทเลินเล่อ สร้างความเสียหายทั้งแก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติ สามารถกระท�ำ ผดิ ศีลขอ้ อน่ื ๆ ไดโ้ ดยงา่ ย ปดิ โอกาสในการกระทำ�คุณงามความดที ัง้ หลาย เป็นบ่อเกิดแห่งโรคภัยไข้เจ็บ การทะเลาะวิวาท และอาชญากรรมต่าง ๆ ย่ิงไปกว่าน้ัน ผู้ที่ตกเป็นทาส สง่ิ เสพติด แม้มชี วี ิตอย่กู เ็ สมือนตายท้งั เป็น ดงั นัน้ ท่านจงึ ห้ามไมใ่ หล้ ่วงละเมิดสกิ ขาบทน้ี ๓. ขอ้ ห้าม สิกขาบทน้ี ห้ามดื่มน้ําเมา ห้ามเสพสิ่งเสพติดให้โทษ อันเป็นสาเหตุแห่งความประมาท คือ ทำ�ให้สติฟนั่ เฟือน นํ้าเมามี ๒ ชนิด คือ สุราและเมรยั สรุ า หมายถงึ นํ้าเมาที่ไดจ้ ากการกลั่น เรียกอกี อยา่ งหนงึ่ ว่า เหล้า ซึ่งกลั่นสกัดให้มีรสเมาแรง ยิ่งขนึ้ ในคัมภรี ว์ ินัยปิฎก จ�ำ แนกสุราเปน็ ๕ ชนดิ คอื สุราท�ำ ดว้ ยแปง้ สุราทำ�ด้วยขนม สุราท�ำ ดว้ ยข้าวสุก สุราทใ่ี ส่เชือ้ สุราทใ่ี ส่เครื่องปรงุ ตา่ ง ๆ เมรัย หมายถึง นํ้าเมาที่ยังไม่ได้กลั่น เป็นแต่เพียงของดอง เช่น สาโท เหล้าดิบ กระแช่ นํ้าตาลเมา เครือ่ งดืม่ ที่มีสารแอลกอฮอล์ผสมทกุ ชนดิ ในคมั ภีร์วนิ ยั ปิฎก จำ�แนกเมรัยเปน็ ๕ ชนิด คือ เมรัย ทำ�ดว้ ยดอกไม้ เมรยั ทำ�ด้วยผลไม้ เมรัยทำ�ด้วยนํ้าผึง้ เมรัยทำ�ดว้ ยนาํ้ ออ้ ย เมรัยที่ใส่เครอื่ งปรงุ ตา่ ง ๆ สิ่งเสพติดอ่นื ๆ เช่น ฝนิ่ กญั ชา มอร์ฟนี เฮโรอนี ยาบ้า ยาอี ยาไอซ์ เป็นต้น กห็ า้ มตามสกิ ขาบทน้ี ๔. หลักวนิ ิจฉยั การล่วงละเมิดสิกขาบทท่ี ๕ ทท่ี �ำ ให้ศลี ขาด ประกอบดว้ ยองค์ ๔ คอื ๔.๑ นํา้ นัน้ เปน็ นํ้าเมา ๔.๒ จิตคดิ จะดม่ื ๔.๓ พยายามดืม่ ๔.๔ ดมื่ ให้ลว่ งล�ำ คอลงไป แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

63 หลักวินิจฉัยการล่วงละเมิดสิกขาบทท่ี ๕ น้ี นอกเหนือจากวิธีการด่ืมแล้ว สิ่งเสพติดอ่ืน ๆ ที่เสพดว้ ยวธิ ีการฉีด สูบ รมควนั หรอื วธิ ีอน่ื ใดทท่ี �ำ ให้สงิ่ เสพตดิ นั้นเข้าสรู่ ่างกาย กอ็ นโุ ลมตามหลกั วนิ ิจฉยั น้ี ๕. โทษของการลว่ งละเมิด ผทู้ ล่ี ว่ งละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๕ คอื ดม่ื สรุ า เมรยั เสพสงิ่ เสพตดิ จะมโี ทษมากหรอื นอ้ ย ตามอกศุ ล จิตหรือกเิ ลสในการด่มื ตามปริมาณทด่ี มื่ และตามผลทีจ่ ะกอ่ ให้เกิดการกระทำ�ผดิ พลาดชว่ั รา้ ย นอกจากน้ัน ผทู้ ่ลี ่วงละเมดิ ยอ่ มได้รบั กรรมวบิ าก ดังน้ี ๕.๑ ยอ่ มเกิดในนรก ๕.๒ ยอ่ มเกดิ ในกำ�เนดิ สตั ว์เดยี รจั ฉาน ๕.๓ ย่อมเกดิ ในเปรตวิสัย ๕.๔ ยอ่ มเป็นผู้มสี ติไม่สมประกอบ ๕.๕ โทษเบาท่สี ดุ หากเกดิ เป็นมนุษย์ ยอ่ มเป็นบา้ โทษของการดืม่ นาํ้ เมาและสิง่ เสพติด มี ๖ ประการ คือ ๑. เปน็ เหตทุ �ำ ใหเ้ สยี ทรพั ย์ เมอ่ื บคุ คลดม่ื สรุ าและเสพสง่ิ เสพตดิ เนอื ง ๆ ยอ่ มจะเลกิ ยาก เปน็ เหตุ ใหต้ ดิ สรุ าและเปน็ ทาสสง่ิ เสพตดิ ทง้ั เปน็ เหตทุ �ำ ใหม้ วั เมาในอบายมขุ อน่ื ๆ ตามมา เชน่ เทย่ี วผหู้ ญงิ เทย่ี วกลางคนื เล่นการพนัน คบคนชั่วเปน็ มิตร จงึ เปน็ เหตทุ ำ�ให้เสียทรัพย์ พอเปน็ ตัวอย่าง ดังน้ี ๑.๑ เสียทรพั ยเ์ พราะซือ้ มาดมื่ หรือเสพเองและเล้ียงคนอ่ืน ๑.๒ เสยี ทรพั ย์เพราะส่ิงเสพตดิ มรี าคาแพง ๑.๓ เสียทรัพย์เพราะเพม่ิ ปรมิ าณการดื่มการเสพ ๑.๔ เสียทรัพยเ์ พราะรักษาโรคท่ีเกิดจากสิ่งเสพติด ๒. เป็นเหตุก่อการทะเลาะวิวาท คนที่ขาดสติเพราะด่ืมสุราหรือเป็นทาสสิ่งเสพติด ไม่สามารถ ควบคมุ อารมณต์ นเองได้ มีจิตใจแปรปรวนผิดปกติ มีความกลา้ บ้าบ่ิน บนั ดาลโทสะ หงุดหงดิ ฉนุ เฉียว มุทะลุ วูว่ าม ไม่เกรงกลวั ใคร ชอบพดู พลา่ มยว่ั โทสะ ลวนลามคนอ่ืน ทะลาะววิ าทหรอื ทำ�รา้ ยคนใกลช้ ดิ และคนอนื่ ได้โดยง่าย โดยที่สุดถึงกบั ฆ่ากันตายก็มี ๓. เป็นเหตุเกิดโรค ส่ิงเสพติดเม่ือเสพเข้าไปแล้วมีผลทำ�ให้บ่ันทอนสุขภาพ เกิดโรคในร่างกาย หลายชนิดได้ง่าย ในวงการแพทย์ยืนยันตรงกันว่า สุราเป็นวัตถุที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะทางเดินอาหาร ระบบประสาท ทางเดนิ ของโลหติ ตอ่ มไร้ทอ่ และระบบการหายใจ จงึ เป็นเหตทุ ำ�ให้เกดิ โรคตา่ ง ๆ ดังน้ี ๓.๑ โรคทางระบบประสาท เช่น นอนไมห่ ลับ จติ หลอน ประสาทหลอน พร่าํ เพอ้ กลา้ มเนื้อ สว่ นปลายแขนขาอ่อนแรง ซึมเศรา้ ลมชกั ระแวง แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

64 ๓.๒ โรคมะเรง็ เชน่ มะเร็งในปากและชอ่ งปาก มะเรง็ หลอดอาหาร มะเรง็ ลำ�ไสใ้ หญ่ มะเรง็ กระเพาะอาหาร มะเรง็ ตบั มะเรง็ เตา้ นมในผูห้ ญิง มะเรง็ รงั ไข่ ๓.๓ โรคเรอ้ื รงั เช่น ตับออ่ นอกั เสบเฉยี บพลัน เบาหวาน ตบั อักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบ โรคต่อมหมวกไต กระดกู พรนุ โรคเกา๊ ต์ พิษสรุ าเรือ้ รัง ๓.๔ โรคทางระบบหลอดเลอื ดและหวั ใจ เชน่ เสน้ เลอื ดทเ่ี ลยี้ งหวั ใจตบี กล้ามเนอ้ื หวั ใจเสอื่ ม ความดันโลหติ สงู เส่อื มสมรรถภาพทางเพศ สมองส่วนนอกลบี ฝ่อ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หวั ใจล้มเหลว ๔. เปน็ เหตเุ สยี ช่อื เสียง คนท่ีตดิ สุราหรือเปน็ ทาสส่ิงเสพตดิ มสี ติฟน่ั เฟอื น ย่อมกระท�ำ ความผิด ท�ำ ลายช่อื เสียงทกุ อย่างทีต่ นได้ส่งั สมมา จึงเป็นเหตุเสยี ชอ่ื เสยี งพอจะพรรณนาเป็นตวั อย่าง ดงั นี้ ๔.๑ เสยี ความนิยมเคารพนับถอื ๔.๒ เสียความเปน็ แบบอย่างท่ดี ขี องครอบครวั ลูกหลาน และคนท่วั ไป ๔.๓ เสยี สถานภาพทด่ี ีทางสงั คม เช่น ผู้ใหญ่บา้ น ก�ำ นัน เปน็ ต้น ๔.๔ ถูกตเิ ตียน ๕. เป็นเหตุให้ไม่รู้จักละอาย วิญญูชนย่อมสงวนศักด์ิรักเกียรติของตนเอง จึงไม่ทำ�ส่ิงที่น่าอดสู ใหค้ นทง้ั หลายดหู มนิ่ แตส่ รุ าและสง่ิ เสพตดิ ท�ำ ใหค้ นทเี่ สพแลว้ ลมื เกยี รตยิ ศศกั ดศ์ิ รขี องตนเอง แสดงกริ ยิ าวาจา อนั นา่ อดสไู ดท้ กุ อยา่ ง มนี อนกลางถนน ถา่ ยอจุ จาระปสั สาวะตอ่ หนา้ สาธารณชน เปดิ เผยอวยั วะอนั พงึ ปกปดิ พดู จาหยาบคาย พดู เพ้อเจอ้ พดู เร่อื งท่ไี ม่ควรเปิดเผย เปน็ ต้น ๖. บน่ั ทอนก�ำ ลงั ปญั ญา สรุ าและสงิ่ เสพตดิ ท�ำ ลายระบบประสาท ท�ำ ลายสติ และท�ำ ลายสขุ ภาพ ดังกลา่ วแล้ว ท�ำ ให้คนติดสรุ าและส่งิ เสพติดมีสมองมึนชา มีปญั ญาทบึ ขาดไหวพรบิ ปฏิภาณ ขาดเชาว์ปญั ญา คดิ เชอ่ื งชา้ ความจำ�เสอื่ ม หลงลมื งา่ ย ตวั อยา่ งโทษของการลว่ งละเมดิ เบญจศลี สกิ ขาบทท่ี ๕ เร่ือง พระราชาผดู้ มื่ น้ําเมา ในอดตี กาล ในกรุงพาราณสี พระราชาพระองค์หนงึ่ ทรงดมื่ สรุ าเป็นประจำ� เวน้ จากการดมื่ นาํ้ เมา แล้วไมส่ ามารถจะทรงปฏบิ ัตริ าชกจิ ได้ เว้นจากเน้อื แลว้ จะไมเ่ สวยพระกระยาหาร ตามปกติ ในวันอุโบสถจะไม่มีการฆ่าสัตว์ คนทำ�ครัวจะต้องซื้อเน้ือในวัน ๑๓ คํ่าแล้วเก็บไว้ วนั หนงึ่ คนท�ำ ครวั เกบ็ เนอ้ื ไวไ้ มด่ ี สนุ ขั ทงั้ หลายคาบไปกนิ เสยี คนท�ำ ครวั หาเนอ้ื ใหมม่ าท�ำ อาหารไมไ่ ด้ จงึ ไมก่ ลา้ น�ำ พระกระยาหารเข้าไปถวายพระราชา จงึ กราบทลู เรือ่ งน้นั แดพ่ ระเทวี พระนางดำ�รัสว่า “พ่อ บุตรของเราเป็นที่รัก เป็นท่ีพอพระทัยของพระราชา เมื่อพระองค์ ทอดพระเนตรเธอแล้ว ทรงจุมพิตคลอเคลียเธออยู่ จะไม่ทรงทราบว่าพระกระยาหารของพระองค์มีเนื้อ หรือไม่มี เราจะให้บุตรนั้นน่ังท่ีพระอูรุของพระองค์ เจ้าควรนำ�พระกระยาหารเข้าไปในเวลาท่ีทรงเย้าหยอก กบั พระโอรส” แลว้ ไดท้ รงท�ำ อย่างน้ัน แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

65 คนทำ�ครัวน้อมพระกระยาหารเข้าไปในเวลาน้ัน พระราชาทรงเมานํ้าจัณฑ์ ไม่เห็นเน้ือในถาด จึงตรัสถามว่า “เนือ้ อยูไ่ หน” คนท�ำ ครวั กราบทูลว่า “ขา้ แต่สมมติเทพ วนั น้ีเป็นวนั อุโบสถ ข้าพระพทุ ธเจา้ หาเนื้อมาทำ�พระกระยาหารไม่ได้” พระราชาตรัสว่า “เนื้อสำ�หรับเราหาได้ยากนักหรือ” ดังนี้แล้ว ทรงรัด พระศอพระโอรสจนถงึ ชพี ิตกั ษัยแล้วโยนไปขา้ งหน้าคนทำ�ครวั ใหน้ �ำ ไปท�ำ อาหารแลว้ นำ�มาโดยเร็ว คนทำ�ครัวได้ทำ�อย่างน้ัน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะร้องไห้ หรือจะกราบทูล เพราะกลัวพระราชา. พระราชาเสวยพระกระยาหารด้วยเน้ือพระโอรส บรรเทาแล้ว ในเวลาจวนรุ่งทรงต่ืนสร่างเมาแล้ว รับส่ังให้ นำ�พระโอรสมา ขณะน้ันพระเทวีทรงคร่ําครวญพลางทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ วานน้ี ฝ่าพระบาททรงฆ่า พระโอรสแลว้ เสวยพระกระยาหารด้วยเนอื้ ของพระโอรส” พระราชาทรงกันแสงเพราะความโศกในพระโอรส เห็นโทษในการด่ืมน้ําเมาว่า “ทุกข์นี้เกิดขึ้น แกเ่ รา เพราะการดมื่ สรุ า” ทรงหยบิ ฝนุ่ เชด็ พระพกั ตร์ อธษิ ฐานวา่ “ตง้ั แตน่ ไ้ี ป เรายงั ไมบ่ รรลพุ ระอรหตั เพยี งใด จักไม่ดื่มสรุ าอันเป็นเหตุแห่งความพนิ าศเหน็ ปานน้เี พยี งน้ัน” ตัง้ แต่น้ันมา ทา้ วเธอก็ไม่ทรงดืม่ สุราอกี เรอ่ื ง นักเลงสุรา ในอดตี กาล ในกรงุ พาราณสี พระโพธสิ ัตวเ์ ป็นเศรษฐมี ที รัพย์ประมาณ ๔๐ โกฏิ ทำ�บุญทง้ั หลาย มีทาน เป็นต้น สิ้นชีพแล้วได้ไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช พระโพธิสัตว์น้ันมีบุตรคนเดียวเท่าน้ัน เมื่อบิดา สน้ิ ชพี แลว้ เขาให้ปลูกปะร�ำ ห้อมล้อมดว้ ยมหาชน ดื่มสุรา เขาให้ทรพั ยค์ รงั้ ละพนั ๆ แกน่ กั เต้นระบ�ำ ฟ้อนรำ� และขับร้อง เป็นต้น ได้เป็นนักเลงเหญิง นักเลงสุรา และนักเลงกินเนื้อ เป็นต้น หมกมุ่นอยู่ในการมหรสพ มีการฟ้อนรำ� การขับร้องและการประโคม เป็นต้น เป็นผู้ดำ�รงชีวิตด้วยความประมาท ทำ�ทรัพย์ประมาณ ๔๐ โกฏิ พร้อมท้ังวัสดุอันเป็นอุปกรณ์แก่เคร่ืองอุปโภคและบริโภคให้ฉิบหายแล้ว ช่ัวระยะเวลาไม่นาน ได้กลายเป็นคนยากจน กำ�พรา้ เหลือแต่ผ้านุ่งเกา่ ๆ คลุมกาย ท้าวสักกะทรงทราบว่าเขาเป็นคนยากจน จึงเสด็จมา เพราะความรักในบุตร พระราชทาน หม้อดินที่ให้สมบัติท่ีต้องการได้ทุกอย่างแล้วตรัสว่า “จงรักษาหม้อนี้ไว้ให้ดีอย่าให้แตก เพราะเม่ือหม้อ ยังอยู่ทรัพย์สมบัติท่ีกำ�หนดนับไม่ได้ก็ยังคงมีอยู่ เจ้าจงอย่าประมาท” ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่สถานท่ีของ พระองคต์ ามเดมิ ต้ังแต่นน้ั มา เขาก็หนั กลับไปดื่มสรุ าเหมอื นเดมิ ต่อมาวันหนง่ึ เขาเมาแล้ว โยนหม้อขึ้นไป ในอากาศแลว้ รับครง้ั แล้วครัง้ เล่า แต่เกดิ รับพลาดไปครั้งหนึ่ง หม้อไดต้ กลงมาบนพืน้ แตกระจาย ตง้ั แต่นัน้ มา เขาก็กลับเป็นคนเข็ญใจอีก ตอ้ งนุ่งผา้ เกา่ ถอื กระเบ้อื งขอทาน อาศยั ฝาเรือนคนอนื่ อย่ไู ปตลอดชวี ิต ๖. อานิสงส์ของการรักษา ผรู้ กั ษาสิกขาบทที่ ๕ ยอ่ มไดร้ บั อานสิ งส์ ดงั นี้ ๖.๑ รจู้ ักอดีต อนาคต ปัจจุบันไดร้ วดเร็ว ๖.๒ มสี ติตั้งม่นั ทกุ เม่อื ๖.๓ มีความร้มู าก มปี ญั ญามาก แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้ันตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

66 ๖.๔ ไม่บา้ ไมใ่ บ้ ไมม่ ัวเมาหลงใหล ๖.๕ มวี าจาไพเราะ มีนา้ํ ค�ำ เป็นทน่ี ่าเชือ่ ถอื ๖.๖ มีความซอื่ สตั ย์ สุจริตทงั้ กาย วาจา ใจ สิกขาบทท่ี ๕ น้ี เป็นหลักประกันสุขภาพ ต้องการให้เว้นจากการดื่มน้ําเมาและเสพสิ่งเสพติด ทุกชนิด ซึ่งเป็นการบ่ันทอนสุขภาพ หรือทำ�ลายชีวิตของตน ตลอดท้ังป้องกันความเสื่อมเสียในชีวิตและ ทรพั ยส์ นิ ของตนเองและผู้อนื่ เปน็ การรักษาสติสมั ปชัญญะของตนใหส้ มบูรณ์ แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ช้ันตรี วชิ าวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓ 67 ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี สาระการเรยี นรวู้ ชิ าวินยั เวลา..............ชั่วโมง เร่อื ง เบญจธรรม ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ธศ ๓ รู้ เข้าใจ และปฏิบตั ิตนตามหลกั พระวินัยบญั ญัติของพระพุทธศาสนา ๒. ผลการเรยี นรู้ รู้ เขา้ ใจความหมายของค�ำ ว่า เบญจธรรมและอานสิ งสข์ องการรักษาศลี และเบญจธรรม ๓. สาระสำ�คญั เบญจธรรม เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ กอ้ื กลู การรกั ษาเบญจศลี เปน็ หลกั ปฏบิ ตั เิ บอื้ งตน้ ของมนษุ ยท์ ที่ �ำ ใหเ้ ปน็ มนษุ ยโ์ ดยสมบรู ณ์ ทำ�ใหผ้ ้ปู ฏิบัตมิ จี ติ ใจสงบ ไม่มีเวรภัย ปราศจากศัตรูคอู่ าฆาต ๔. จุดประสงค์ ๑. นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของคำ�ว่า เบญจธรรมได ้ ๒. นักเรยี นบอกอานิสงส์ของการรกั ษาศลี และเบญจธรรมได ้ ๕. สาระการเรยี นร้/ู เนือ้ หา ๑. ความหมายค�ำ ว่า “เบญจธรรม” ๒. เบญจธรรม ๒.๑ เบญจธรรมข้อท่ี ๑ เมตตากรุณา ๒.๒ เบญจธรรมขอ้ ที่ ๒ สมั มาอาชีวะ ๒.๓ เบญจธรรมขอ้ ท่ี ๓ กามสงั วร ๒.๔ เบญจธรรมขอ้ ที่ ๔ สจั จะ ๒.๕ เบญจธรรมขอ้ ท่ี ๕ สตสิ มั ปชญั ญะ ๓. อานิสงส์ของการรักษาศลี และเบญจธรรม ๖. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขน้ั สืบคน้ และเช่ือมโยง ๑. สนทนาถามนักเรียนเก่ียวกับหลักธรรมท่ีเราควรปฏิบัติควบคู่ไปกับเบญจศีลคือหลักธรรมใด โดยสุ่มนกั เรยี นตอบประมาณ ๕ คน เพอ่ื ทบทวนและเชอ่ื มโยงไปสกู่ ารเรยี นรู้ ๒. ครนู �ำ ภาพจากหนงั สอื พมิ พเ์ กย่ี วกบั แมบ่ า้ นของโรงแรมเกบ็ ของทผี่ เู้ ขา้ พกั สง่ คนื เจา้ ของ สนทนา ถามนกั เรยี นเกี่ยวกับความคิดเหน็ ตอ่ ขา่ วน้ี เชน่ แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

68 - นักเรียนรสู้ กึ อยา่ งไรกับข่าวดังกลา่ ว - ถา้ นกั เรียนเป็นแม่บา้ นจะเก็บของคนื ให้ผ้เู ข้าพกั หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น ๓. นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายค�ำ วา่ เบญจธรรม โดยใหอ้ ธบิ ายความหมายลงในกระดาษทค่ี รแู จกให้ และสุ่มเลขท่ขี องนักเรียนตอบประมาณ ๕ คน ๔. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ความหมายของเบญจธรรมบนกระดานไวทบ์ อรด์ หรอื กระดานด�ำ ขั้นฝกึ ๕. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ ๔-๕ คน แต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาใบความรู้ท่ี ๓ โดยครคู อยดูแลและให้คำ�แนะน�ำ ชว่ ยเหลือและอำ�นวยความสะดวกต่าง ๆ ข้นั ประยุกต์ ๖. เมื่อนักเรียนศึกษาใบความรู้ท่ี ๓ แล้ว นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทำ�ใบกิจกรรมที่ ๓ และ ใบกจิ กรรมที่ ๔ ๗. เมื่อแต่ละกลุ่มทำ�ใบกิจกรรมเสร็จ ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจคำ�ตอบ พร้อมผู้สอนอธิบาย เพิ่มเตมิ และชื่นชมกลุม่ ทีส่ ามารถตอบค�ำ ถามไดม้ ากที่สุด ๘. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปแนวปฏิบัติตนตามหลักเบญจศีล - เบญจธรรม เพือ่ เปน็ แนวทางในการน�ำ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ�วนั ๗. ภาระงาน/ช้ินงาน ท่ ี ภาระงาน ชิ้นงาน ใบกจิ กรรมที่ ๓ ๑ ทำ�ผังมโนทัศน์เก่ียวกบั เบญจศลี - เบญจธรรม ใบกจิ กรรมที่ ๔ ๒ ตอบคำ�ถามเก่ียวกบั เบญจธรรม ๘. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้ ๑. หนงั สอื เรียนธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี ๒. หนงั สอื พิมพร์ ายวัน ๓. ใบความร้ทู ่ี ๓ ๔. ใบกิจกรรมท่ี ๓ ๕. ใบกิจกรรมท่ี ๔ แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชนั้ ตรี วชิ าวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

69 ๙. การวัดผลและประเมินผล ส่ิงทตี่ อ้ งการวดั วิธีวดั เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน ๑. นักเรยี นอธบิ าย - สังเกต - แบบสงั เกต ผ่าน = ไดค้ ะแนนตงั้ แต่รอ้ ยละ ๖๐ ขนึ้ ไป ไม่ผา่ น = ไดค้ ะแนนตาํ่ กว่าร้อยละ ๖๐ ความหมายของคำ�ว่า พฤติกรรม พฤตกิ รรม เบญจธรรมได้ - ตรวจผลงาน การปฏบิ ัติ กิจกรรมกลมุ่ - แบบประเมิน ผลงาน ๒. นกั เรยี นบอกอานิสงส์ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ น = ไดค้ ะแนนต้ังแต่รอ้ ยละ ๖๐ ข้นึ ไป ของการรักษาศลี และ ผลงาน ไม่ผา่ น = ไดค้ ะแนนตา่ํ กวา่ รอ้ ยละ ๖๐ เบญจธรรมได้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

70 แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั ิกิจกรรมกลุ่ม ข้อ ท ี่ รายก าร ระดับคะแนน ๑ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ ความร่วมมือในการ ให้ความรว่ มมือในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ให้ความร่วมมอื ในการ ท�ำ กิจกรรม ท�ำ กจิ กรรมทกุ กิจกรรม ท�ำ กจิ กรรมบางกิจกรรม ท�ำ กิจกรรมบ้าง ๒ การแสดง/การรับฟงั แสดงความคดิ เห็นและ แสดงความคดิ เหน็ และ แสดงความคดิ เห็นและ ความคดิ เหน็ รบั ฟังความคิดเห็นของ รบั ฟังความคิดเห็นของ รบั ฟังความคดิ เหน็ ของ คนส่วนมากเป็นส�ำ คญั คนอื่นบา้ ง คนอื่นน้อย ๓ การต้ังใจ/การแก้ไข มีความตั้งใจและ มีความตัง้ ใจและ มคี วามตงั้ ใจและ ปัญหาในการทำ�งาน รว่ มแกไ้ ขปญั หาในการ รว่ มแกไ้ ขปัญหาในการ ร่วมแกไ้ ขปัญหาในการ ท�ำ งานกลุ่มดีมาก ท�ำ งานกลมุ่ ดี ท�ำ งานกล่มุ บา้ ง ๔ ความถกู ตอ้ งของ สรปุ เนื้อหาได้ถูกต้อง สรปุ เนือ้ หาได้ถกู ตอ้ ง สรุปเน้อื หาได้ถูกต้อง เนอ้ื หา ตรงประเด็นและ ตรงประเด็น ตรงประเด็นบ้าง ครบถว้ น ๕ วธิ กี ารนำ�เสนอ น�ำ เสนอผลงานได้อย่าง นำ�เสนอผลงานไดอ้ ยา่ ง นำ�เสนอผลงาน ผลงาน ถูกต้องตามขั้นตอน ถูกต้องตามขน้ั ตอน ตามขั้นตอนไดบ้ ้าง น่าสนใจ และเนอื้ หา นา่ สนใจ แตข่ าดเนือ้ หา ครบถว้ น บางสว่ น เกณฑก์ ารตัดสิน เกณฑ์ ร้อยละ คะแนน ผ่าน ๖๐ ขึน้ ไป ๙ - ๑๕ ไม่ผ่าน ตํา่ กว่า ๖๐ ๐-๘ หมายเหต ุ เกณฑ์การตดั สินสามารถปรับใช้ตามความเหมาะสมกับกล่มุ เป้าหมาย แนวทางการจดั การเรยี นรูธ้ รรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

71 ใบกิจกรรมที่ ๓ เรื่อง เบญจศีล - เบญจธรรม ช่ือ..........................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... คำ�สง่ั ให้นักเรียนนำ�ความรู้ท่ีได้รับจากการเรียนเร่ือง ความหมายและข้อพึงปฏิบัติ ๕ ข้อ ของ เบญจศีล - เบญจธรรม มาสร้างกรอบมโนทัศน์รูปแบบแผนที่ความคิด (Mind Mapping) (๑๐ คะแนน) (คำ�ตอบอยใู่ นดลุ ยพนิ จิ ของผ้สู อน) แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ช้นั ตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

72 ใบกจิ กรรมที่ ๔ เรื่อง เบญจธรรม กล่มุ ท.ี่ ................... ๑. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ๒. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.ี่ .......................... ๓. ชอ่ื ......................................................................................ชน้ั .....................เลขท.่ี .......................... ๔. ชอ่ื ......................................................................................ชนั้ .....................เลขท.่ี .......................... ใหน้ กั เรยี นน�ำ ตวั อกั ษรในหมวด ข มาใสห่ น้าข้อความในหมวด ก ทม่ี คี วามสมั พันธ์กัน (๑๐ คะแนน) หมวด ก. หมวด ข. ................. ๑. กลั ยาณธรรม ก ความมสี ติ ................. ๒. การดำ�เนินชีวติ ตามแนวเศรษฐกจิ พอเพียง ข ความมีเมตตา ................. ๓. การรกั นวลสงวนตัว ค ความมีกรุณา ................. ๔. โครงการเมาไมข่ ับ ง ความซอื่ สัตย์สจุ ริต ................. ๕. โครงการฝนหลวงในพระราชดำ�ร ิ จ ขอ้ ปฏบิ ัตยิ ่ิงข้นึ ไปกว่าศลี ................. ๖. การตัง้ น้ําดมื่ ไวห้ นา้ บา้ นเพ่อื คนสญั จรไปมา ฉ ปัญหาอาชญากรรม ................. ๗. การเคารพเช่อื ฟังพ่อแม่ ช สัมมาอาชีวะ ................. ๘. ปัญหาสังคมท่ตี อ้ งแก้ไขดว้ ยกัลยาณธรรม ซ มุสาวาท ................. ๙. บุคคลเป็นมนษุ ย์ที่สมบรู ณไ์ ด ้ ฌ ความกตญั ญู ................. ๑๐. การแกไ้ ขปัญหาการทจุ รติ คอรัปชัน่ ญ การสำ�รวมในกาม ฎ การปลอมสนิ ค้าแบรนด์เนม ฏ การขายเทปผี ซดี เี ถอ่ื น ฐ ศลี ๕ ธรรม ๕ แนวทางการจัดการเรียนรธู้ รรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

73 เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๔ เร่อื ง เบญจธรรม หมวด ก. หมวด ข. ........จ........ ๑. กัลยาณธรรม ก ความมสี ติ ........ช........ ๒. การดำ�เนนิ ชีวติ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี ง ข ความมีเมตตา ........ญ........ ๓. การรักนวลสงวนตัว ค ความมกี รณุ า ........ก........ ๔. โครงการเมาไมข่ ับ ง ความซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ........ค........ ๕. โครงการฝนหลวงในพระราชด�ำ ร ิ จ ข้อปฏิบตั ิย่ิงขน้ึ ไปกวา่ ศีล ........ข........ ๖. การต้งั นาํ้ ดม่ื ไว้หน้าบา้ นเพอ่ื คนสัญจรไปมา ฉ ปญั หาอาชญากรรม ........ฌ........ ๗. การเคารพเช่ือฟังพอ่ แม่ ช สมั มาอาชวี ะ ........ฉ........ ๘. ปญั หาสงั คมทีต่ อ้ งแกไ้ ขดว้ ยกัลยาณธรรม ซ มุสาวาท ........ฐ........ ๙. บุคคลเปน็ มนุษยท์ ี่สมบูรณ์ได ้ ฌ ความกตัญญู .........ง....... ๑๐. การแกไ้ ขปญั หาการทจุ ริตคอรปั ชั่น ญ การสำ�รวมในกาม ฎ การปลอมสินค้าแบรนด์เนม ฏ การขายเทปผี ซีดีเถ่อื น ฐ ศลี ๕ ธรรม ๕ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

74 ใบความรูท้ ่ี ๓ เบญจธรรม เบญจธรรม เบญจธรรม แปลว่า คณุ ธรรม ๕ ประการ หรอื เรยี กอีกอย่างหนงึ่ วา่ เบญจกลั ยาณธรรม แปลวา่ ธรรมอนั ดงี าม ๕ ประการ เกอื้ กลู แกก่ ารรกั ษาเบญจศลี เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ย่ี งิ่ ขน้ึ ไปกวา่ ศลี เปน็ หลกั ปฏบิ ตั เิ บอื้ งตน้ ของมนุษย์ท่ีทำ�ให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ทำ�ให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจสงบสุข ไม่มีเวรภัย ปราศจากศัตรูคู่อาฆาต ผูร้ ักษาเบญจศลี จงึ ควรมเี บญจธรรมไวป้ ระจ�ำ ใจ ในพระบาลีได้แสดงคุณของกัลยาณชนไว้ว่า บุคคลผู้มีศีล ควรมีกัลยาณธรรมควบคู่กันไป ข้อน้ี พึงเห็นว่า ผู้เว้นจากข้อห้ามท้ัง ๕ ประการ ได้ช่ือว่าเป็นผู้มีศีล และผู้มีศีลน้ันจะได้ชื่อว่ามีกัลยาณธรรม ดว้ ยกนั ทกุ คนกห็ าไม่ เชน่ คนมศี ลี ผหู้ นง่ึ เดนิ ทางไปทางเรอื พบคนก�ำ ลงั จะจมนาํ้ ถา้ คนนนั้ ไมไ่ ดร้ บั การชว่ ยเหลอื กจ็ ะจมนาํ้ ตาย คนมศี ลี ควรจะหยดุ เรอื ชว่ ยเหลอื ใหเ้ ขาพน้ จากอนั ตราย แตก่ ห็ าไดม้ จี ติ กรณุ าทจี่ ะท�ำ อยา่ งนนั้ ไม่ กรณเี ชน่ นี้ ศลี ของเขาไม่ขาด แต่เขาขาดกัลยาณธรรมขอ้ กรุณา ย่อมเปน็ ทต่ี ิเตยี นของบณั ฑติ ทง้ั หลาย กรณี เดียวกันนี้หากเขามีความกรุณาช่วยคนนั้นให้พ้นอันตรายจากการจมน้ํา เขาจึงจะได้ชื่อว่า มีทั้งศีล มีทง้ั กลั ยาณธรรม อาจกล่าวได้วา่ “การเว้นจากการฆ่า เปน็ การรักษาศลี การชว่ ยชวี ิต เปน็ การปฏิบตั ธิ รรม” กลั ยาณธรรมนัน้ มี ๕ ประการ คือ เมตตากรณุ า สมั มาอาชีวะ กามสังวร สจั จะ และสติสัมปชญั ญะ โดยผรู้ ักษาศีลพึงประพฤติปฏบิ ัตติ ามกลั ยาณธรรมควบค่กู นั ไป ดังนี้ เบญจศลี คกู่ บั เบญจธรรม เวน้ จากการฆา่ สัตว์ คู่กับ เมตตากรณุ า เว้นจากการลกั ทรัพย ์ คกู่ ับ สมั มาอาชีวะ เวน้ จากการผิดในกาม ค่กู ับ กามสงั วร เว้นจากการกล่าวคำ�เท็จ คกู่ ับ สัจจะ เวน้ จากการดื่มสรุ า คู่กับ สติสมั ปชญั ญะ เบญจธรรมข้อท่ี ๑ เมตตากรุณา ความรกั ใคร่ปรารถนาใหเ้ ปน็ สุข และความสงสารคดิ ชว่ ยใหพ้ ้นทุกข์ เมตตากรุณา เป็นกัลยาณธรรม ธรรมท่ีดีงามหรือธรรมที่ทำ�ให้เป็นกัลยาณชน เมตตากรุณาน้ี เป็นคุณธรรมที่เกื้อกูลต่อการรักษาศีลข้อท่ี ๑ ทำ�ให้มีจิตใจงดงาม เช่น คนที่มีความรัก ความสงสารสัตว์ ย่อมมีจิตใจอ่อนโยนคิดเก้ือกูล ไม่คิดทำ�ร้ายหรือทำ�ลายชีวิตสัตว์ ฉะน้ัน จึงควรปลูกเมตตากรุณาให้เกิดข้ึน แนวทางการจดั การเรยี นร้ธู รรมศกึ ษา ชน้ั ตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

75 ควบค่ไู ปกับศลี เพราะเมตตากรุณา เปน็ คุณธรรมพนื้ ฐานของมนุษย์ คือ มนุษยร์ ู้สึกรกั รจู้ กั สงสาร ความรัก ทั้งปวงเกิดจากความเมตตากรุณานี้ หากคนเราทำ�ลายคณุ ธรรมพืน้ ฐานนี้แล้ว ความรกั ท้ังปวงกเ็ กิดมไี มไ่ ด้ ชีวิตของทุกคนดำ�รงอยู่ได้ก็ด้วยอาศัยความเมตตากรุณาของผู้อื่นมาต้ังแต่เบ้ืองต้น เช่น บุตรธิดา ได้รับการเล้ียงดู การเอาใจใส่จากบิดามารดา ได้รับการอนุเคราะห์เกื้อกูลจากญาติพ่ีน้อง ได้รับวิชาความรู้ วิธีการเล้ียงชีพจากครูอาจารย์ เป็นต้นมาตามลำ�ดับ หากไม่ได้รับความเมตตากรุณาจากผู้อ่ืน ไหนเลย จะสามารถดำ�รงตนอยู่ได้ และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ถึงเวลาอันสมควรที่จะแสดงเมตตาต่อผู้อื่นบ้าง โลกจึงจะตั้งอยู่ได้ หากบุคคลปราศจากเมตตากรุณาแล้ว ย่อมได้ช่ือว่า เป็นคนใจจืด เห็นแก่ประโยชน์ตน ฝา่ ยเดยี ว ฉะนน้ั เมอื่ ทกุ คนมชี วี ติ เจรญิ มาดว้ ยความเมตตากรณุ าของผอู้ นื่ กส็ มควรปลกู เมตตากรณุ าสบื ตอ่ ไป เมตตา คือ ความรักใครป่ รารถนาให้ผอู้ ่นื เป็นสุข ตรงกบั ค�ำ ว่า ไมตรีจิต คอื จติ ใจท่ีประกอบดว้ ย เมตตา เมื่อมีเมตตาต่อกันแล้วย่อมคิดเกื้อกูลกันให้มีความสุข ถึงแม้จะประพฤติผิดพล้ังพลาดต่อกันบ้าง กใ็ หอ้ ภยั กนั และไมถ่ อื โทษโกรธกนั เหมอื นอย่างมารดาบดิ าผเู้ ปยี่ มดว้ ยเมตตายอ่ มไมถ่ อื โทษตอ่ บตุ รธดิ า หรอื ครอู าจารยไ์ มถ่ อื โทษตอ่ ศษิ ย์ ในทางตรงกนั ข้าม ถา้ ขาดเมตตาตอ่ กนั แลว้ แมป้ ระพฤตผิ ดิ ตอ่ กนั เพยี งเลก็ นอ้ ย กใ็ หอ้ ภยั กนั ไมไ่ ด้ ปัญหาเล็กน้อยก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ กรุณา คือ ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ ผู้ท่ีมีจิตใจประกอบด้วยกรุณาเห็นความทุกข์ยาก ของคนอ่ืนก็พลอยหวนั่ ใจสงสารคดิ จะชว่ ยเหลอื ให้พ้นทุกข์ ทนไมไ่ ดเ้ มือ่ เห็นผอู้ ืน่ ไดร้ ับความทุกขย์ ากล�ำ บาก อันเป็นแรงผลักดันใหย้ ่ืนมือเข้าชว่ ยเหลือทางใดทางหน่ึง เพอื่ ใหเ้ ขาพ้นจากความทุกข์น้ัน กรณุ า เปน็ เหตุให้ มนุษย์และสัตว์คิดช่วยเหลือกัน เปลื้องทุกข์ภัยของกันและกัน การแสดงความกรุณานี้เป็นคุณธรรมที่ มนษุ ยท์ กุ คนควรปฏบิ ตั ิ เมอ่ื เปน็ เดก็ เราเคยไดร้ บั ความกรณุ าจากผอู้ น่ื มาแลว้ และยงั หวงั ความกรณุ าตอ่ ไปอกี เมือ่ ถงึ เวลาท่จี ะต้องแสดงความกรณุ าแกผ่ ูอ้ ่นื เช่นนั้นบ้างก็ควรท�ำ ลกั ษณะของผูม้ ีความกรณุ า คอื เป็นคนเสียสละไม่เหน็ แก่ตวั ไมเ่ หน็ แกไ่ ด้ จติ ใจกวา้ งขวางเออ้ื เฟ้ือ เผ่ือแผ บ�ำ เพญ็ ประโยชนแ์ ละสรา้ งสรรค์สง่ิ ดีงามแกค่ นอนื่ และสังคม บุคคลใดเม่อื สามารถจะชว่ ยเหลอื ผู้อื่น ให้พน้ จากความทุกข์ยาก แตไ่ มแ่ สดงความกรุณา ผู้นัน้ ไดช้ ือ่ ว่า คนใจดำ� มีแต่เอาเปรียบโลก หวังแตเ่ พียงว่า ผอู้ ่นื จะใหอ้ ะไรเราบา้ ง ไม่เคยคิดว่าเราจะให้ผูอ้ ื่นไดอ้ ย่างไร การช่วยชีวติ คนและสตั วเ์ ดียรจั ฉาน เป็นพ้นื ฐาน สำ�คัญแหง่ การแสดงความกรณุ า เปน็ กิจอนั ผ้ปู กครองหรอื ผู้น�ำ ไม่ควรละเลย การช่วยชีวิตคน เป็นเบื้องต้นแห่งการแสดงความกรุณา ธรรมเนียมของนานาอารยประเทศ เช่น เร่ืองการเดินเรือทะเล หากพบเรือท่ีเกิดอันตรายต้องหยุดช่วยคนให้รอดปลอดภัยก่อนจึงจะเดินเรือ ต่อไปได้ แม้ในเร่ืองการสงคราม เม่ือจับเชลยท่ียอมแพ้วางอาวุธแล้วก็ไม่ทำ�ร้าย ให้การดูความเป็นอยู่ตาม อัตภาพเมอื่ สน้ิ ศกึ สงครามกส็ ง่ ตวั กลับประเทศ ไมย่ ดึ ไวเ้ ปน็ เชลยต่อไป ธรรมเนียมน้ียังแผ่ไปถึงสัตว์เดียรัจฉาน ผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน เมื่อเห็นสัตว์เดียรัจฉานท่ีจะถูกฆ่า มักมีใจกรุณา และซื้อไถ่ชีวิต แม้ในการทำ�บุญเพ่ือความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต ก็นิยมแจกทานแก่คนยากจน และปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ เช่น ปล่อยนก ปล่อยปลา เป็นต้น แม้ในคร้ังโบราณกาล พระเจ้าแผ่นดิน บางพระองค์ ก็ประกาศห้ามมิให้ฆ่าสัตว์บางชนิด เรียกว่า พระราชทานอภัยแก่สัตว์เหล่านั้น ธรรมเนียมน้ี มปี รากฏมาถึงปัจจุบนั เช่น หา้ มฆา่ สัตว์ป่าสงวน หา้ มจับปลาในฤดูวางไข่ เปน็ ต้น แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ชนั้ ตรี วิชาวินัย (เบญจศีล - เบญจธรรม)

76 วิธีปลกู เมตตากรณุ า เมตตา คอื ความรักใครป่ รารถนาใหเ้ ปน็ สขุ กรณุ า คอื ความสงสารคิดช่วยให้พ้นทกุ ขน์ ้นั ล�ำ ดบั แรกใหป้ ลกู เมตตาในตนเองกอ่ นแลว้ จงึ แผเ่ จาะจงไปในคนทรี่ กั ใครน่ บั ถอื ซงึ่ เปน็ บคุ คลใกลช้ ดิ วิธีเช่นนี้ ทำ�ให้เกิดเมตตาได้งา่ ย ตอ่ จากน้นั ใหแ้ ผ่ไปในบุคคลทห่ี า่ งไกลออกไป แผ่ไปถึงบคุ คลทไี่ ม่ชอบพอกนั ตามล�ำ ดบั เมอื่ แผเ่ มตตาโดยเจาะจงไดส้ ะดวกแลว้ กแ็ ผโ่ ดยไมเ่ จาะจงไปในสรรพสตั วไ์ มม่ ปี ระมาณทกุ ถว้ นหนา้ การฝกึ หดั แผเ่ มตตาเชน่ นบ้ี อ่ ย ๆ เมตตากรณุ ากจ็ ะเกดิ ขนึ้ ในจติ ใจ บคุ คลทมี่ เี มตตากรณุ างอกงามในจติ ใจแลว้ ย่อมคิดสร้างสรรค์สิ่งทเ่ี ปน็ สาธารณประโยชน์ เชน่ สรา้ งวดั สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ คนชรา เป็นต้น เหมอื นการหว่านพชื แล้วหมนั่ รดน้ําพรวนดนิ เนอื ง ๆ พืชกจ็ ะงอกงามข้ึนฉนั นน้ั นอกจากน้ัน ในการแสดงออกซึ่งเมตตากรุณานี้ ควรคิดช่วยเหลือด้วยวิธีการที่ยั่งยืน เช่น การสงเคราะห์คนยากจนด้วยการให้ทาน อาจเป็นเพียงการช่วยเหลือเฉพาะหน้าช่ัวคร้ังช่ัวคราว แต่ถ้า ชว่ ยเหลอื ดว้ ยการใหว้ ชิ าความรใู้ นการหาเลย้ี งชพี กจ็ ะเปน็ การชว่ ยเหลอื ทย่ี งั่ ยนื เชน่ นนี้ บั วา่ เปน็ การแสดงออก ซง่ึ เมตตากรณุ าทฉ่ี ลาดยิ่งข้นึ ความมีเมตตากรุณาแก่กันและกันเป็นคุณธรรมที่งดงามก็จริง ถึงอย่างนั้นผู้ต้ังอยู่ในเมตตากรุณา พึงเป็นคนฉลาดในการแสดงออก จึงจะสำ�เร็จประโยชน์ได้ ถ้าไม่ฉลาดมุ่งแต่จะเมตตากรุณาอย่างเดียว บางครัง้ กอ็ าจจะเกิดโทษแกต่ นได้ เชน่ พบคนตกนาํ้ ถ้าตนเองวา่ ยน้ําไมเ่ ปน็ กพ็ ึงหาวัสดุชว่ ยเหลือชีวิตแทน หรอื เหน็ บตุ รของตนกระทำ�ผิดกฎหมาย เช่น เสพส่ิงเสพตดิ ถูกเจา้ หนา้ ทจ่ี ับกมุ คิดแตจ่ ะชว่ ยเหลือ จึงวง่ิ เตน้ ใชเ้ งนิ ทองปดิ คดลี บลา้ งความผดิ เชน่ น้ี ถอื วา่ เปน็ การแสดงออกซง่ึ เมตตากรณุ าทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง ทง้ั เปน็ การกระท�ำ ผิดกฎหมายบ้านเมืองอีกด้วย ในเร่ืองน้ี บิดามารดาพึงต้ังอยู่ในอุเบกขา โดยถือว่าเม่ือกระทำ�ความผิดแล้ว ก็สมควรได้รับโทษ และการถกู ลงโทษตามกฎหมายนน้ั อาจส่งผลใหเ้ กดิ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมให้เป็นไป ในแนวทางทด่ี ขี นึ้ ได้ อานิสงสข์ องการเจริญเมตตากรุณา พระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์หรือประโยชน์ท่ีจะพึงได้รับจากการเจริญเมตตากรุณาไว้ใน เมตตาสูตร อฏั ฐกนิบาต อังคตุ ตรนิกาย ๑๑ ประการ ดังน้ี ๑. หลับเปน็ สุข ๒. ตื่นเป็นสขุ ๓. ไม่ฝันร้าย ๔. เป็นท่ีรกั ของมนุษย์ทัง้ หลาย ๕. เป็นที่รักของอมนษุ ยท์ ง้ั หลาย ๖. เทวดารกั ษา ๗. ไฟ ยาพิษ หรอื ศัตรา ย่อมไม่กล�ำ้ กรายท�ำร้ายได้ ๘. สหี น้าผอ่ งใส ๙. จิตตัง้ มัน่ เปน็ สมาธิได้เร็ว แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

77 ๑๐. ขณะจะส้นิ ชวี ติ มีสตสิ มั ปชัญญะสมบรู ณ์ ๑๑. เม่อื ยังไม่บรรลคุ ุณธรรมสงู สดุ คือ อรหัตตผล ย่อมเกิดในพรหมโลก ตวั อยา่ งอานิสงสข์ องการประพฤตเิ บญจธรรม ข้อเมตตากรณุ า เร่ือง สวุ รรณสาม ในอดตี กาล ครอบครวั ๒ ครอบครวั เปน็ สหายกัน ครอบครวั หนึง่ มีบุตรชาย นามว่า ทกุ ลู กุมาร อีกครอบครัวหนึง่ มบี ุตรสาว นามว่า ปารกิ ากมุ ารี ทกุ ลู กุมารและปาริกากุมารี มีความปรารถนาตรงกัน คือ ประสงค์จะออกบวช ไม่อยากดำ�เนินชีวิตแบบชาวบ้าน แต่บิดามารดาจับให้ทั้งสองแต่งงานกัน แม้จะ แตง่ งานกนั แลว้ ทงั้ สองกย็ งั คงประพฤตติ อ่ กนั เหมอื นเพอ่ื น ไมเ่ คยประพฤตติ อ่ กนั ฉนั สามภี รรยา และไดเ้ พยี ร ออ้ นวอนบดิ ามารดาขอออกบวช จนกระทง่ั ไดร้ บั อนญุ าต จงึ เดนิ ทางเขา้ ปา่ ใหญ่ อธษิ ฐานออกบวชอยา่ งดาบส บำ�เพ็ญธรรมอยู่ ณ ศาลาในป่าน้ัน เป็นผู้เจริญเมตตาอย่างมั่นคงต่อสัตว์ทั้งหลาย จนบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ในบริเวณน้นั ต่างกม็ เี มตตาต่อกนั ไม่ทำ�ร้ายซึ่งกันและกัน วันหน่ึง พระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่ ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินี จึงตรัส บอกแก่ดาบส และขอใหม้ ีบุตร เพ่อื เป็นผ้ชู ว่ ยเหลอื ปรนนบิ ัตใิ นยามยากล�ำ บาก แตด่ าบสไมป่ ระสงคจ์ ะมบี ตุ ร เพราะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พระอินทร์จึงบอกวิธีมีบุตรท่ีไม่ต้องใช้การร่วมประเวณี แต่ปฏิบัติโดย เอามือลูบทอ้ งนางปารกิ าดาบสนิ ี ทกุ ูลดาบสจึงไดท้ ำ�ตาม ต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำ�หนด ก็คลอดบุตร มีผิวพรรณงดงามราวทองคำ�บริสุทธิ์ จึงได้ชือ่ ว่า “สวุ รรณสาม” ปาริกาดาบสินี เลยี้ งดสู วุ รรณสามจนเติบใหญอ่ ยู่ในป่านัน้ มีบรรดาสัตว์นอ้ ยใหญ่ นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพ่อื นเลน่ ต้งั แต่ยงั เปน็ เดก็ อยู่ สวุ รรณสามหม่ันสังเกตจดจำ�สง่ิ ทีพ่ อ่ และแมไ่ ดป้ ฏิบัติ เช่น การไปตักนํ้า ไปหาผลไม้เป็นอาหาร เส้นทางที่ไปหาน้ําและอาหาร สุวรรณสามพยายามช่วยเหลือ พ่อและแม่ กระท�ำ กิจกรรมต่าง ๆ เทา่ ทจ่ี ะท�ำ ได้ เพอ่ื ใหพ้ อ่ แม่ไดม้ ีเวลาบ�ำ เพ็ญธรรมตามที่ประสงค์ วันหนง่ึ เมอ่ื ทุกลู ดาบสและนางปาริกา ดาบสินี ออกไปหาผลไมใ้ นป่า เผอิญฝนตกหนักทัง้ สองจึง หลบฝนอยทู่ ตี่ น้ ไมใ้ หญใ่ กลจ้ อมปลวก โดยไมร่ วู้ า่ ทจี่ อมปลวกนนั้ มงี พู ษิ อาศยั อยู่ นาํ้ ฝนทช่ี มุ่ เสอ้ื ฝา้ และมนุ่ ผม ของทง้ั สองไหลหยดลงไปในรงู ู งตู กใจจงึ พน่ พษิ ออกมาปอ้ งกนั ตวั พษิ รา้ ยของงเู ขา้ ตาทงั้ สองคน ความรา้ ยกาจ ของพิษทำ�ให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันที ทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินี จึงไม่สามารถจะกลับไปถึงศาลา ทพ่ี ักได้ เพราะมองไม่เห็นทาง ตอ้ งวนเวยี นคล�ำ ทางอยทู่ ่นี น้ั เอง ฝ่ายสุวรรณสาม คอยพ่อแม่อยู่ท่ีศาลาไม่เห็นกลับมาตามเวลาจึงออกเดินตามหา ในท่ีสุดก็พบ พอ่ แมว่ นเวยี นอยขู่ ้างจอมปลวก ไดท้ ราบวา่ พอ่ แมต่ าบอดกร็ อ้ งไห้ แลว้ กห็ วั เราะ พอ่ แมถ่ ามวา่ เหตใุ ดจงึ รอ้ งไห้ แลว้ ก็หัวเราะ สวุ รรณสามตอบวา่ ที่ร้องรอ้ งไห้เพราะเสยี ใจที่พ่อแมน่ ยั นต์ าบอด แตท่ ห่ี วั เราะเพราะดใี จที่ลกู จะไดป้ รนนบิ ตั ิดูแล ตอบแทนพระคณุ พ่อแม่ จากนัน้ กพ็ าพ่อแมก่ ลับไปยงั ศาลาท่ีพัก จดั หาเชอื กมาผกู โยงไว้ โดยรอบ ส�ำ หรับพ่อแม่จะได้ใช้จบั เปน็ ราวเดนิ ไปท�ำ กิจได้สะดวกในบริเวณศาลานัน้ ทกุ วันสวุ รรณสามจะไป ตกั น้าํ เพอื่ ใหพ้ อ่ แมไ่ ด้ด่ืมได้ใช้ และไปหาผลไมใ้ นปา่ มาเป็นอาหารแกพ่ อ่ แมแ่ ละตนเอง แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

78 เวลาท่ีสุวรรณสามออกป่าหาผลไม้ บรรดาสัตว์ท้ังหลาย จะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจ เพราะสุวรรณสามเป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่เคยทำ�อันตรายแก่ฝูงสัตว์ สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดา สัตว์นานาชนิด พ่อแม่ลูกท้ังสามจึงมีแต่ความสุขสงบ ปราศจากความทุกข์ร้อนวุ่นวายท้ังปวง อยู่มาวันหน่ึง พระราชาแห่งเมืองพาราณสี พระนามว่า “กบิลยักขราช” ทรงโปรดการออกป่าล่าสัตว์ พระองค์เสด็จออก ล่าสตั ว์ มาถงึ ท่าน้าํ ท่สี วุ รรณสามมาตกั นาํ้ ไปใหพ้ ่อแม่ พระราชาสงั เกตเหน็ รอยเท้าสัตวช์ ุกชมุ ในบริเวณนน้ั จึงซมุ่ คอยจะยงิ สัตว์ที่ผา่ นมากินนาํ้ ขณะนน้ั สุวรรณสามน�ำ หมอ้ นํ้ามาตักนํา้ ไปใชท้ ่ศี าลาดังเชน่ เคย มีฝูงสตั ว์ เดนิ ตามมาดว้ ยมากมาย พระราชาทอดพระเนตรเหน็ กท็ รงแปลกพระทยั วา่ สวุ รรณสามเปน็ มนษุ ยห์ รอื เทวดา เหตุใดจึงเดินมากับฝูงสัตว์ ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสามจะตกใจหนีไป ก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิง ด้วยธนูให้หมดกำ�ลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม เม่ือสุวรรณสามลงไปตักน้ําแล้วกำ�ลังจะเดินกลับไปศาลา พระราชากบลิ ยกั ขราชก็เลง็ ยงิ ดว้ ยธนูอาบยาพิษถกู สุวรรณสามท่ลี �ำ ตัวทะลจุ ากขวาไปซ้าย สุวรรณสามล้มลงกับพ้ืน แต่ยังไม่ถึงตาย จึงเอ่ยข้ึนว่า “เน้ือของเรากินไม่ได้ หนังของเราเอาไป ทำ�อะไรก็ไม่ได้ จะยงิ เราท�ำ ไม คนท่ียิงเราเปน็ ใคร ยงิ แล้วจะซ่อนตวั อยู่ทำ�ไม” กบิลยกั ขราชไดย้ ินวาจาออ่ น หวานเช่นน้ันก็ย่ิงแปลกพระทัย ทรงคิดว่า “หนุ่มน้อยนี้เป็นใครหนอ ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ยังไม่โกรธเคือง กลบั ใชถ้ อ้ ยค�ำ อนั ออ่ นหวาน แทนทจี่ ะดา่ วา่ ดว้ ยความโกรธแคน้ เราจะตอ้ งแสดงตวั ใหเ้ ขาเหน็ ” คดิ ดงั นนั้ แลว้ พระราชาจึงออกจากท่ซี ุ่มไปประทับอยู่ขา้ ง ๆ สุวรรณสาม พลางตรัสว่า “เราชอื่ กบิลยกั ขราช เป็นพระราชา แหง่ แมอื งพาราณสี เจา้ เปน็ ใคร มาท�ำ อะไรอยใู่ นปา่ น”ี้ สวุ รรณสามตอบไปตามความจรงิ วา่ “ขา้ พเจา้ เปน็ บตุ ร ดาบส ช่ือว่าสุวรรณสาม พระองค์ยิงข้าพเจ้าด้วยธนูพิษ ได้รับความเจ็บปวดสาหัส พระองค์ประสงค์อะไร จงึ ยงิ ขา้ พเจา้ ” พระราชาไมก่ ลา้ ตอบความจรงิ จงึ แสรง้ ตรสั เทจ็ วา่ “เราตง้ั ใจจะยงิ เนอื้ เปน็ อาหาร แตพ่ อเจา้ มา เนอ้ื กเ็ ตลดิ หนไี ปหมดเราโกรธจงึ ยงิ เจา้ ”สวุ รรณสามแยง้ วา่ “เหตใุ ดพระองคจ์ งึ ตรสั อยา่ งนนั้ บรรดาสตั วท์ งั้ หลาย ในปา่ น้ไี มเ่ คยกลัวข้าพเจา้ ไมเ่ คยเตลิดหนีขา้ พเจ้าเลย สตั วท์ งั้ หลายเปน็ เพ่ือนของขา้ พเจา้ ” พระราชาทรงละอายพระทยั ทต่ี รสั ความเทจ็ แกส่ วุ รรณสาม ผถู้ กู ยงิ โดยปราศจากความผดิ จงึ ตรสั ตามความจริงวา่ “เป็นความจรงิ ตามทเ่ี จา้ ว่า สตั ว์ทั้งหลายมิไดก้ ลัวภยั จากเจา้ เลย เรายิงเจา้ กเ็ พราะความโง่ เขลาของเราเอง เจา้ อยูก่ บั ใครในป่านี้ ตักน้ําไปให้ใคร” สวุ รรณสามบว้ นโลหติ ออกจากปาก ตอบพระราชาวา่ “ขา้ พเจ้าอย่กู บั พ่อแม่ ซ่งึ ตาบอดทง้ั สองคน อยูใ่ นศาลา ในป่าน้ี ข้าพเจา้ ทำ�หน้าทป่ี รนนบิ ัติพ่อแม่ ดแู ลหาน้ํา และอาหาร ส�ำ หรบั ท่านทงั้ สอง เมอ่ื ข้าพเจา้ มาถกู ยิงเช่นน้ี พอ่ แมก่ จ็ ะไมม่ ีใครดูแลปรนนิบัตอิ กี ต่อไป อาหาร ทศ่ี าลายงั พอสำ�หรบั ๖ วนั แตไ่ ม่มนี า้ํ พ่อแมข่ องข้าพเจา้ จะต้องอดน้าํ และอาหาร เมอ่ื ปราศจากข้าพเจา้ โอ พระราชา ความทุกข์ ความเจ็บปวดทีเ่ กดิ จากถกู ยิงด้วยธนูของทา่ นน้นั ยังไม่เท่าความทุกข์ ความเจบ็ ปวดท่ี เปน็ ห่วงพอ่ แม่ของข้าพเจา้ จะต้องได้รับความเดอื ดร้อนเพราะขาดข้าพเจา้ ผปู้ รนนบิ ตั ิ ต่อไปนีพ้ อ่ แม่คงไม่ได้ เหน็ หน้าขา้ พเจา้ อีกแล้ว” สุวรรณสามรำ�พันแล้วรอ้ งไห้ด้วยความทกุ ข์ใจอยา่ งยง่ิ พระราชาทรงไดย้ นิ ดงั นน้ั กเ็ สยี พระทยั ยงิ่ นกั ทไ่ี ดท้ �ำ รา้ ยสวุ รรณสามผมู้ คี วามกตญั ญสู งู สดุ ผไู้ มเ่ คย ทำ�อนั ตรายตอ่ สงิ่ ใดเลย จึงตรัสกับสวุ รรณสามว่า “ทา่ นอยา่ กังวลไปเลย สุวรรณสาม เราจะรับดูแลปรนนบิ ัติ พ่อแมข่ องท่านใหเ้ หมือนกบั ที่ทา่ นได้เคยท�ำ มา จงบอกเราเถดิ ว่าพ่อแม่ของทา่ นอยู่ทไี่ หน” สวุ รรณสามได้ยิน พระราชาตรสั ใหส้ ัญญาก็ดีใจ กราบทูลว่า “พอ่ แมข่ องข้าพเจา้ อยูไ่ มไ่ กลจากทน่ี ีม่ ากนกั ขอเชิญเสด็จไปเถิด” แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี วิชาวนิ ยั (เบญจศลี - เบญจธรรม)

79 พระราชาตรัสถามว่า “สุวรรณสามจะสั่งความไปถึงพ่อแม่บ้างหรือไม่ สุวรรณสามจึงขอให้พระราชา” บอกพอ่ แมว่ า่ “ตนฝากกราบไหวล้ าพอ่ แมม่ ากบั พระราชา” เมอื่ สวุ รรณสาม ประนมมอื กราบลงแลว้ กส็ ลบไป ด้วยธนพู ิษ ลมหายใจหยดุ มอื เทา้ และรา่ งกายแข็งเกร็งด้วยพิษยา พระราชาทรงเศรา้ เสยี พระทยั ยง่ิ นกั ร�ำ ลกึ ถงึ กรรมอนั หนกั ทไ่ี ดก้ อ่ ขน้ึ ในครง้ั น้ี แลว้ กท็ รงระลกึ ไดว้ า่ ทางเดียวท่ีจะช่วยผ่อนบาปอันหนักของพระองค์ได้ก็คือ ปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสาม คือ ไปปรนนบิ ตั ดิ แู ลพอ่ แมส่ วุ รรณสาม เหมอื นทสี่ วุ รรณสามไดเ้ คยกระท�ำ มา พระราชากบลิ ยกั ขราชจงึ น�ำ หมอ้ นา้ํ ท่ีสุวรรณสามตักไว้น้ัน ออกเดินทางไปศาลาท่ีสุวรรณสามบอกไว้ ครั้นไปถึง ทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้า พระราชา กร็ อ้ งถามขน้ึ วา่ “นน่ั ใครขน้ึ มา ไมใ่ ชส่ วุ รรณสามลกู เราแน่ ลกู เรา เดนิ ฝเี ทา้ เบา ไมก่ า้ วหนกั อยา่ งน”้ี พระราชาไมก่ ลา้ บอกไปในทนั ทวี า่ พระองคย์ งิ สวุ รรณสามตายแลว้ จงึ บอกแตเ่ พยี งวา่ “ขา้ พเจา้ เปน็ พระราชา แหง่ เมอื งพาราณสี มาเทย่ี วยงิ เนอื้ ในปา่ น”้ี ดาบสจงึ เชญิ ใหพ้ ระราชาเสวยผลไม้ และเลา่ วา่ บตุ รชายชอ่ื สวุ รรณ สาม เป็นผู้ดแู ลจดั หาอาหารไวใ้ ห้ ขณะนีส้ วุ รรณสามออกไปตักนาํ้ อกี สักคร่กู ็คงจะกลบั มา พระราชาจึงตรัสด้วยความเศร้าเสียพระทัยว่า “สุวรรณสาม ไม่กลับมาแล้ว บัดน้ี สุวรรณสาม ถูกธนขู องขา้ พเจ้าถงึ แกค่ วามตายแล้ว” ดาบสทั้งสองไดย้ นิ ดงั นั้นกเ็ สียใจยิ่งนัก นางปาริกาดาบสนิ ีนั้นแต่แรก โกรธแค้นทพี่ ระราชายิงสวุ รรณสามตาย แตท่ กุ ลู ดาบสได้ปลอบประโลมวา่ “จงนกึ วา่ เปน็ เวรกรรมของสุวรรณสาม และของเราทงั้ สองเถิด จงสำ�รวมจิตอยา่ โกรธเคืองเลย พระราชาก็ได้ยอมรับผดิ แลว้ ” พระราชาตรัสปลอบว่า “ท่านทั้งสองอย่ากังวลไปเลย ข้าพเจ้าได้สัญญากับสุวรรณสามแล้วว่าจะปรนนิบัติท่านทั้งสองให้เหมือนกับ ท่สี ุวรรณสามเคยท�ำ มาทกุ ประการ” ดาบสท้ังสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสามนอนตายอยู่ เพ่ือจะได้สัมผัสลูบคลำ�ลูก เป็นครัง้ สุดทา้ ย พระราชาก็ทรงพาไป ครั้นถึงทส่ี วุ รรณสามนอนอยู่ ปารกิ าดาบสินกี ็ชอ้ นเท้าลกู ข้นึ วางบนตัก ทกุ ลู ดาบสกช็ อ้ นศรี ษะสวุ รรณสามประคองไวบ้ นตกั ตา่ งพากนั ร�ำ พนั ถงึ สวุ รรณสามดว้ ยความโศกเศรา้ บงั เอญิ ปารกิ าดาบสนิ ลี บู คล�ำ บรเิ วณหนา้ อกสวุ รรณสาม รสู้ กึ วา่ ยงั อบอนุ่ อยู่จงึ คดิ วา่ ลกู อาจจะเพยี งแตส่ ลบไปไมถ่ งึ ตาย นางจงึ ตงั้ สตั ยาธษิ ฐานวา่ “สวุ รรณสามลกู เราเปน็ ผปู้ ระพฤตดิ ตี ลอดมา มคี วามกตญั ญกู ตเวทตี อ่ พอ่ แมอ่ ยา่ งยง่ิ เรารกั สวุ รรณสามยง่ิ กว่าชีวิตของเราเอง ด้วยสจั จวาจาของเรานี้ ขอใหพ้ ิษธนูจงคลายไปเถิด ด้วยบญุ กุศลที่ สุวรรณสามได้เลีย้ งดพู ่อแมต่ ลอดมา ขออานุภาพแห่งบญุ จงดลบันดาลให้สุวรรณสามฟ้ืนขึน้ มาเถดิ ” เมือ่ นาง ตง้ั สตั ยาธษิ ฐานจบ สวุ รรณสามกพ็ ลกิ กายไปขา้ งหนงึ่ แตย่ งั นอนอยู่ ทกุ ลู ดาบสจงึ ตง้ั สตั ยาธษิ ฐาน เชน่ เดยี วกนั สุวรรณสามกพ็ ลกิ กายกลับไปอีกขา้ งหน่ึง ฝา่ ยนางเทพธิดาวสนุ ธรี ผดู้ แู ลรักษาอยู่ ณ บรเิ วณ เขาคันธมาทน์ ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราทำ�หน้าท่ีรักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน เรารักสุวรรณสาม ผู้มีเมตตาจิต และมีความกตญั ญยู ิง่ กวา่ ใคร ดว้ ยสจั จวาจาน้ี ขอให้พิษจงจางหายไปเถดิ ” ทนั ใดนั้น สวุ รรณสามกพ็ ลิกกาย ฟนื้ ตนื่ ขนึ้ หายจากพษิ ธนโู ดยสนิ้ เชงิ ยงิ่ กวา่ นน้ั ดวงตาของพอ่ และแมข่ องสวุ รรณสามกก็ ลบั แลเหน็ เหมอื นเดมิ พระราชาทรงพศิ วงยง่ิ นกั จงึ ตรสั ถามวา่ สวุ รรณสามฟน้ื ขนึ้ มาไดอ้ ยา่ งไร สวุ รรณสามตอบพระราชา ว่า “บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครอง บุคคลนั้น นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญ แม้เม่ือตายไปแล้ว บุคคลน้ันก็จะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เสวยผลบุญ แนวทางการจัดการเรียนร้ธู รรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

80 แห่งความกตัญญูกตเวทีของตน” พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังน้ันก็ช่ืนชมโสมนัส ตรัสกับสุวรรณสามว่า “ทา่ นท�ำ ใหจ้ ติ ใจและดวงตาของขา้ พเจา้ สวา่ งไสว มองเหน็ ธรรม ตอ่ นไี้ ป ขา้ พเจา้ จะรกั ษาศลี จะบ�ำ เพญ็ กศุ ลกจิ จะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว” ตรัสปฏิญญาณแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษที่ได้กระทำ�ให้สุวรรณสาม เดือดรอ้ น แลว้ พระองค์ก็เสดจ็ กลบั พาราณสี ทรงปฏิบตั ิตามที่ไดต้ รัสไวท้ ุกประการจนตลอดพระชนมช์ ีพ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติบิดารมารดา บำ�เพ็ญเพียรในทางธรรม เม่ือส้ินชีพก็ได้ไปเกิด ในพรหมโลก รว่ มกบั บดิ ามารดา ดว้ ยกศุ ลกรรมทก่ี ระท�ำ มา คอื ความเมตตากรณุ าตอ่ มนษุ ยแ์ ละสตั วท์ งั้ หลาย และความกตญั ญูกตเวทตี อ่ บดิ ามารดา อนั เปน็ กุศลกรรมสงู สดุ ท่ีบุตรพึงกระท�ำ ตอ่ บิดามารดา เรอ่ื ง ลงิ ใหญ่ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี ในหมู่บ้านกาสิกคาม พราหมณ์ชาวนาผู้หนึ่งไถนาเสร็จแล้วปล่อยโคไป เริ่มทำ�การงานขุดหญ้าพรวนดินด้วยจอบ ฝูงโคเค้ียวกิน ใบไมท้ ีพ่ ุ่มไมแ้ หง่ หนึ่งพลางพากนั หนีเขา้ ไปสู่ดงโดยล�ำ ดับ พราหมณ์น้นั คะเนว่าถงึ เวลาแลว้ ก็วางจอบเหลยี ว หาฝงู โคไมพ่ บ เกดิ ความโทมนัส จงึ เทยี่ วคน้ หาหลงทางเข้าไปในปา่ ทบึ เขา้ ไปจนถงึ ป่าหิมพานต์ อันแสนจะ กันดาร เงยี บสงัด อันหมกู่ ุญชรชาติทอ่ งเทย่ี วไปมา ตอ้ งทนหิวระหาย เที่ยวไปในป่านน้ั ตลอด ๗ วันในปา่ นัน้ เขาได้เห็นต้นมะพลับต้นหนึ่ง ตั้งอยู่หมิ่นเหม่ เอนไปทางปากเหว มีผลดกดื่น ทีแรกเก็บผลท่ีลมพัดหล่น มากินก่อน รู้สึกพอใจ ยังไม่อิ่ม จึงปีนข้ึนไปบนต้น ด้วยหวังใจว่าจะกินให้สบายบนต้นนั้น เขาเหยียดมือ คว้าเอาผลท่ีต้องการไปเร่ือย ๆ ทันใดนั้น กิ่งไม้ที่ข้ึนเหยียบอยู่นั้นก็หักขาดลง ดุจถูกตัดด้วยขวาน ฉะน้ัน เขาพรอ้ มดว้ ยกงิ่ ไมน้ น้ั รว่ งตกลงไปในหว้ งเหวภเู ขาอนั ขรขุ ระ ซง่ึ ไมม่ ที ยี่ ดึ ทเี่ หนยี่ วเลยแตต่ กลงไปบนน้ําในเหว ทห่ี ย่งั ไม่ถงึ เพราะนํ้าลึก ตอ้ งไปนอนไรค้ วามเพลดิ เพลนิ ไรท้ ีพ่ งึ่ อย่ใู นเหวนน้ั ๑๐ ราตรีเตม็ ๆ ภายหลังมีลิงตัวหนึ่งมีหางดังหางโค เที่ยวไปตามซอกเขา เที่ยวไต่ไปตามก่ิงไม้หาผลไม้กิน ได้มา ถึงท่ีนัน้ และได้กระทำ�ความเอน็ ดูกรณุ าในพราหมณ์นัน้ เท่ียวไปหากอ้ นหินก้อนใหญ่ในภูเขามา แล้วผูกเชือก ไว้ท่กี อ้ นหิน ให้พราหมณเ์ กาะหลัง เอามือทงั้ สองกอดคอไว้ แล้วกระโดดข้นึ จากเหวโดยความยากล�ำ บาก ครนั้ ขน้ึ มาไดแ้ ลว้ พญาวานรเหนอ่ื ยออ่ นขอพกั หลบั สกั ครหู่ นงึ่ ขอใหพ้ ราหมณช์ ว่ ยระวงั ปอ้ งกนั ภยั ให้ พราหมณเ์ กดิ ความเหน็ อนั ลามกวา่ ลงิ นกี้ เ็ ปน็ อาหารของมนษุ ยท์ งั้ หลาย เทา่ กบั มฤคอนื่ ๆ ในปา่ น้ี เหมือนกัน อย่ากระนั้นเลย เราควรฆา่ วานรน้ีกนิ แกห้ วิ เถดิ อนงึ่ อม่ิ แล้ว จักถอื เอาเนื้อไปเปน็ เสบียงเดินทาง เราจักต้องผา่ นทางกันดาร เนอื้ ก็จักได้เปน็ เสบยี งของเรา ทันใดน้ัน พราหมณ์จึงได้หยิบเอาหินมาทุ่มศีรษะลิง แต่เนื่องจากมีกำ�ลังน้อยเพราะอดอาหาร ลงิ จงึ ไมต่ าย ลงิ นน้ั ผลดุ ลกุ ขน้ึ ทง้ั ๆ ทต่ี วั อาบไปดว้ ยเลอื ด ราํ่ ไหม้ องดพู ราหมณด์ ว้ ยตาอนั เตม็ ไปดว้ ยนาํ้ ตา พลาง กล่าวว่า ท่านรอดตายมีอายยุ นื มาได้ สมควรจะหา้ มปรามคนอ่ืน แตก่ ลบั ท�ำ รา้ ยขา้ พเจา้ เสยี เอง ท่านกระท�ำ กรรมอันยากทบี่ ุคคลจะทำ�ลงได้ นา่ อดสูใจจริง ๆ ขา้ พเจา้ ช่วยใหท้ ่านข้ึนจากเหวลกึ ซึง่ ยากทีจ่ ะขึ้นไดเ้ ชน่ น้ี ทา่ นเปน็ ดจุ ขา้ พเจา้ น�ำ มาจากปรโลก ยงั ส�ำ คญั ตวั ขา้ พเจา้ วา่ ควรจะฆา่ เสยี ดว้ ยจติ อนั เปน็ บาปธรรมซง่ึ เปน็ เหตุ ใหท้ า่ นคดิ ชว่ั ถงึ ทา่ นจะไรธ้ รรม เวทนาอนั เผด็ รอ้ นกอ็ ยา่ ไดถ้ กู ตอ้ งทา่ นเลย และบาปกรรมกอ็ ยา่ ไดต้ ามฆา่ ทา่ น แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั ตรี วิชาวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

81 อย่างขุยไผ่ ฆ่าไม้ไผ่เลย แน่ะท่านผู้มีธรรมอันเลว หาความสำ�รวมมิได้ ความคุ้นเคยของข้าพเจ้าจะไม่มีอยู่ ในท่านเลย มาเถิดท่านจงเดินไปห่าง ๆ เรา พอมองเห็นหลังกันเท่านั้น ท่านพ้นจากเงื้อมมือแห่งสัตว์ร้าย ถงึ ทางเดนิ ของมนุษยแ์ ลว้ ท่านผ้ไู รธ้ รรม นหี่ นทาง ทา่ นจงไปตามสบายโดยทางนั้นเถดิ วานรนน้ั ครัน้ กลา่ วอยา่ งน้แี ลว้ กล็ ้างเลอื ดทศ่ี ีรษะ เชด็ นํ้าตาเสรจ็ แลว้ กก็ ระโดดข้นึ ภเู ขาไป ฝ่ายพราหมณเ์ กิดความเรา่ รอ้ นเพราะบาปกรรม ร้อนเน้อื ตัว ไดล้ งไปยังห้วงนา้ํ แห่งหน่ึงเพ่ือจะดื่ม กินนา้ํ ห้วงนํา้ กเ็ ดือดพล่าน เหมอื นถกู ต้มดว้ ยไฟ นองไปด้วยเลือด คลา้ ยกบั น้ําเลอื ดนา้ํ หนอง ฉะน้นั ทุกส่งิ ทุกอยา่ งปรากฏเหน็ ชดั หยาดน้ําตกต้องกายของพราหมณ์ที่ใด ฝีก็ผุดขึ้นเท่าน้ัน มีสัณฐานเหมือนมะตูมคร่ึงลูก ฝีก็แตก ในวนั นน้ั เอง นาํ้ เลอื ดนาํ้ หนองกไ็ หลออกมา มกี ลนิ่ เหมน็ ดจุ ซากศพ อนง่ึ พราหมณน์ นั้ จะเดนิ ไปทางไหน ในบา้ น และนิคมทัง้ หลาย พวกมนุษย์ท้งั หญงิ แลชาย พากันถอื ทอ่ นไมห้ า้ มกันพราหมณ์นั้นผฟู้ งุ้ ไปดว้ ยกลิ่นเหมน็ วา่ อยา่ เข้ามาข้างนนี้ ะ พราหมณน์ ั้นได้เสวยทุกขเวทนาอยู่ ๗ ปี ซ่งึ เป็นผลแหง่ กรรมช่วั ของตน ในเรอ่ื งน้ี วานรเปน็ สตั วท์ เี่ ปย่ี มดว้ ยเมตตากรณุ า ไดช้ ว่ ยพราหมณข์ น้ึ จากเหวดว้ ยความยากล�ำ บาก จนหมดก�ำ ลงั ตอ้ งขอนอนพกั ผอ่ น แต่พราหมณเ์ ปน็ คนอกตญั ญูคิดฆา่ วานรผมู้ ีพระคุณเพื่อเอาเนื้อเปน็ อาหาร ไดท้ �ำ รา้ ยวานรใหบ้ าดเจบ็ ไดร้ บั ทกุ ขท์ รมานแสนสาหสั ถงึ กระนนั้ วานรกย็ งั มเี มตตากรณุ าตอ่ พราหมณไ์ ดบ้ อก ทางใหไ้ ปถงึ ถน่ิ มนษุ ยโ์ ดยปลอดภยั และพราหมณก์ ไ็ ดร้ บั ผลแหง่ กรรมชว่ั ของตนไดร้ บั ทกุ ขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ อยูเ่ ปน็ เวลาถึง ๗ ปี เมตตากรุณา เป็น กัลยาณธรรม ธรรมที่ดีงามหรือธรรมที่ทำ�ให้เป็นกัลยาณชน เมตตากรุณา น้ีเป็นคุณธรรมท่ีเก้ือกูลต่อการรักษาศีลข้อที่ ๑ ทำ�ให้มีจิตใจงดงาม เช่น คนท่ีมีความรักความสงสารสัตว์ ยอ่ มมจี ติ ใจออ่ นโยนคดิ เกอื้ กลู ไมค่ ดิ ท�ำ รา้ ยหรอื ท�ำ ลายชวี ติ สตั ว์ ฉะนนั้ จงึ ควรปลกู เมตตากรณุ าใหเ้ กดิ ขน้ึ ควบคู่ ไปกบั ศลี เพราะเมตตากรุณา เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ คือ มนุษย์รู้สกึ รัก รู้จักสงสาร ความรักทัง้ ปวง เกดิ จากความเมตตากรณุ านี้ หากคนเราทำ�ลายคุณธรรมพืน้ ฐานนแ้ี ล้ว ความรกั ทง้ั ปวงก็เกดิ มีไมไ่ ด้ เบญจธรรมขอ้ ท่ี ๒ สัมมาอาชีวะ การเล้ยี งชีพในทางที่ชอบ สัมมาอาชีวะ ได้แก่ การเลี้ยงชีพในทางท่ีชอบ คุณธรรมข้อนี้เก้ือกูลให้ผู้มีศีลสามารถรักษาศีล ขอ้ ที่ ๒ ใหม้ น่ั คงขนึ้ เนอื่ งจากคนทกุ คนตอ้ งประกอบอาชพี หาปจั จยั มาบรโิ ภคเลย้ี งตนและบคุ คลในครอบครวั มบี ดิ ามารดา บุตรภรรยา เป็นต้น พระพุทธเจา้ จงึ ตรัสสอนใหท้ �ำ งานหาเลยี้ งชีพด้วยสมั มาอาชีวะ เพื่อใหไ้ ด้ ทรัพยม์ าในทางท่ีชอบใหพ้ อเพยี งแก่การด�ำ รงชีวติ เมอ่ื ตนเองยงั หาเลี้ยงชพี ไมไ่ ด้ ท้ังไมม่ คี วามเพยี รประกอบ หาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ก็จะไม่มีรายได้มาใช้จ่ายดำ�รงชีวิต ลำ�พังการอาศัยทรัพย์สมบัติท่ีมีอยู่เดิม โดย ไม่แสวงหามาเพิ่มเติม ทรัพย์สมบัตินั้นก็จะหมดไป เหมือนบึงที่มีนํ้าไหลออกไปอย่างเดียวก็มีแต่จะแห้งไป เพราะบุคคลที่ไม่มีทรัพย์ใช้จ่ายเล้ียงชีพ ถูกความยากจนขัดสนบีบค้ันเข้า ก็จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ยาก แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชัน้ ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

82 หรือไม่อาจต้ังมั่นอยู่ในศีลได้ แต่ถ้าเขาหม่ันประกอบการงานหาเล้ียงชีพในทางท่ีชอบก็จะมีทรัพย์มาใช้จ่าย เลยี้ งชวี ิตและเปน็ กำ�ลงั อดุ หนนุ ใหต้ ง้ั ม่นั อย่ใู นศลี ได้ กัลยาณธรรมข้อนี้มุ่งให้ผู้ปฏิบัติเว้นจากมิจฉาชีพ และประกอบสัมมาชีพ ด้วยการประพฤติเป็น ธรรมในกิจการ ในบุคคล และในวตั ถุ ดงั นี้ ๑. การประพฤติเป็นธรรมในกิจการ หมายถึง ความซ่ือตรงในหน้าที่การงานท่ีรับผิดชอบ หรือ การทำ�กิจการโดยสุจรติ ไมบ่ ดิ พลว้ิ หลกี เล่ียงงานทีท่ �ำ น้นั เพอ่ื ให้สำ�เรจ็ ลุล่วงไปดว้ ยดี เช่น ลกู จา้ งผู้ทำ�หน้าที่ ของตนด้วยความขยัน ตั้งใจทำ�งาน ทำ�งานได้เรียบร้อย ทำ�งานเต็มเวลา ไม่บิดพล้ิวหลีกเล่ียงการงาน ที่รบั ผดิ ชอบของตน ๒. การประพฤติเป็นธรรมในบุคคล หมายถึง ความซ่ือตรงในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประกอบ อาชีพอย่างยุติธรรมปราศจากอคติ เช่น นายจ้าง จ่ายค่าจ้างตามสัญญา ตามแรงงาน ตามความสามารถ ไมก่ ักขงั หน่วงเหนีย่ ว ไม่ใชแ้ รงงานเด็ก หรอื พอ่ ค้าไมป่ ระพฤติเปน็ คนเห็นแกไ่ ด้ ขายสินคา้ แกท่ กุ คนตามราคา ท่ีก�ำ หนดอยา่ งเสมอภาคกนั ๓. การประพฤตเิ ปน็ ธรรมในวตั ถุ หมายถงึ ความซอื่ ตรงในวตั ถสุ ง่ิ ของหรอื สนิ คา้ ส�ำ หรบั ประกอบ อาชีพ โดยการแสดงคุณสมบัติและคุณภาพของวัตถุตามความเป็นจริง ผู้มีอาชีพค้าขาย ไม่ขายของเทียม อย่างของแท้ เช่น ไม่ขายนํ้าผ้ึงปลอมปนแก่ผู้ต้องการนํ้าผึ้งแท้ ไม่นำ�อาหารค้างคืนท่ีบูดแล้วมาอุ่นขายใหม่ ไม่ใช้วัสดกุ ่อสร้างท่ีมีคณุ ภาพตํ่ากวา่ สญั ญาจา้ ง เปน็ ต้น อาชีพการงานอาจวิบตั โิ ดยเหตุ ๒ ประการ คอื โดยเนื้องาน และโดยการกระทำ� ดังน้ี ๑. โดยเน้ืองาน คืองานอาชีพบางชนิดน้ันเป็นงานวิบัติอยู่ในตัวแล้ว เช่น การขโมย การปล้น การรบั จ้างฆ่าคน การค้าของเถ่ือน เปน็ ต้น ใครทำ�กว็ บิ ตั ิ ๒. โดยการกระท�ำ คอื งานอาชพี บางชนดิ เปน็ งานดี แตผ่ ปู้ ระกอบอาชพี นนั้ ท�ำ งานใหเ้ สยี หาย เชน่ อาชีพรบั ราชการเป็นอาชพี ที่ดี แตผ่ ปู้ ฏบิ ตั ิทุจรติ ตอ่ หน้าท่ี ฉ้อราษฎร์บังหลวง การกระท�ำ อยา่ งน้ที �ำ ใหอ้ าชีพ รบั ราชการนน้ั เกดิ ความวิบัตเิ สียหาย ผู้จะเลือกอาชพี การงาน ควรเวน้ จากการงานท่มี โี ทษเสีย แม้จะเป็นอบุ ายท�ำ ให้ไดท้ รพั ย์มาก แต่ทรัพย์ที่เกิดจากการงานท่ีเสียหายนั้น ไม่สามารถนำ�ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างหน่ึง การงาน ที่ต้องเส่ียง เช่น การพนัน ก็ไม่ควรเลือกมาเป็นอาชีพ เพราะเหตุว่าเม่ือพลาดพล้ังแล้วทรัพย์นั้นก็เสียหาย หมดสน้ิ ไปโดยง่าย ถงึ ได้ทรัพยน์ ้ันมากร็ ักษาไว้ได้ไมน่ าน ด้วยเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. ท�ำ ใหใ้ ช้จ่ายฟ่มุ เฟอื ย โดยไม่เห็นคณุ คา่ ของทรพั ย์ เพราะเปน็ ของท่ีได้มาง่าย ๒. ทำ�ให้ตดิ การพนัน ซง่ึ เปน็ เหตุท�ำ ให้ทรพั ย์พนิ าศ ดังนั้น ควรเลือกทำ�การงานท่ีสุจริตด้วยการใช้กำ�ลังกาย กำ�ลังความคิด และสติปัญญา ของตนเอง การได้ทรัพย์มาในลักษณะเช่นน้ีจะได้เห็นคุณค่าของทรัพย์น้ัน ๆ ไม่ใช้สอยสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย จะท�ำ ให้รกั ษาทรัพยน์ ั้นอยูไ่ ด้อย่างถาวร แนวทางการจดั การเรียนรู้ธรรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

83 ตัวอย่างอานสิ งส์ของการประพฤตเิ บญจธรรม ขอ้ สัมมาอาชีวะ เรื่อง จฬู กเศรษฐี ในอดีตกาลพระราชาพระนามว่าพรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี สมัยนั้นบัณฑิตช่ือ จูฬกเศรษฐี เปน็ คนฉลาดรูน้ ิมิตทั้งปวง วันหนง่ึ กำ�ลงั เดนิ ไปเฝา้ พระราชา เหน็ หนูตายตัวหน่ึง ในระหว่างทาง จงึ ก�ำ หนดนกั ษตั รในขณะนน้ั แลว้ กล่าวค�ำ นว้ี ่า กลุ บตุ รผมู้ ดี วงตามปี ญั ญา สามารถน�ำ หนนู ไ้ี ปเลยี้ งภรรยาและ จดั การงานได้ กลุ บตุ รเขญ็ ใจคนหนงึ่ ฟงั ค�ำ เศรษฐนี น้ั แลว้ คดิ ว่า ผนู้ ไ้ี มร่ คู้ งไมพ่ ดู ดงั น้ี จงึ เอาหนไู ปใหท้ ร่ี า้ นตลาด แหง่ หนงึ่ เพอื่ เลยี้ งแมว ไดท้ รัพย์กากณกิ หนึ่ง แล้วซ้ือนา้ํ ออ้ ยด้วยทรพั ย์กากณกิ หน่งึ นนั้ เอาหมอ้ ใบหนึง่ ใส่น้าํ ดม่ื ไป เหน็ ชา่ งจดั ดอกไมเ้ ดนิ มาแตป่ า่ กใ็ หช้ มิ นา้ํ ออ้ ยหนอ่ ยหนง่ึ แลว้ เอากะบวยตกั นา้ํ ดมื่ ให้ ชา่ งดอกไมเ้ หลา่ นนั้ ให้ดอกไม้แก่บุรุษนั้นคนละกำ� แม้ในวันรุ่งข้ึนเขาเอาค่าดอกไม้นั้นไปซ้ือนา้ํ อ้อยและหม้อนํ้าด่ืมแล้วไปยังสวน ดอกไมน้ น่ั แหละ วันนน้ั ชา่ งดอกไมก้ ใ็ ห้กอดอกไม้ที่ตนเกบ็ ไปครึง่ หนึง่ แล้วแก่เขาแล้วก็ไป ล่วงไปไมน่ านนกั เขาได้ทรัพย์นับได้ถึง ๘ กหาปณะ โดยอุบายนี้ ในวันที่มีลมและฝนตกหนัก วันหน่ึงเขากระทำ�ไม้ท่ีล้มแล้ว ให้เป็นกอง จึงไดท้ รัพยอ์ กี ๑๖ กหาปณะจากนายชา่ งหมอ้ หลวง เขาเมอื่ ไดท้ รัพย์เกดิ ขึน้ ถึง ๒๔ กหาปณะ แล้วคิดว่า อบุ ายน้มี ีประโยชน์แกเ่ รา จงึ ตงั้ หม้อน้าํ ด่ืมไว้หมอ้ หนงึ่ ในท่ีไมไ่ กลแตป่ ระตเู มือง เอานา้ํ ดมื่ เลย้ี งคน ตัดหญา้ ๕๐๐ คน คนตัดหญา้ เหลา่ นนั้ พดู กนั ว่า สหาย ทา่ นมีอุปการะมากแกพ่ วกเรา พวกเราจะท�ำ อะไรแก่ ท่านได้บ้าง บุรุษน้ันตอบวา่ เม่ือมีกิจเกิดขึ้นจึงกระทำ�แก่ขา้ พเจา้ เถิด เท่ียวไปทางโน้นทางน้ี กระทำ�การผูก มติ รกบั คนท�ำ งานทางบกและคนท�ำ งานทางนา้ํ คนท�ำ งานทางบกบอกแกเ่ ขาวา่ พรงุ่ นพ้ี อ่ คา้ มา้ จะน�ำ มา้ ๕๐๐ ตวั มายังเมอื งน้ี เขาไดฟ้ ังคำ�น้ันแลว้ ใหส้ ัญญาแกค่ นตดั หญา้ ให้กระท�ำ ฟอ่ นหญา้ แตล่ ะฟอ่ น ๆ ให้เป็น ๒ เทา่ แลว้ น�ำ มา ครน้ั เวลามา้ ทง้ั หลายมาพกั ในเมอื งแลว้ เขากม็ านงั่ ท�ำ ฟอ่ นหญา้ ๑,๐๐๐ ฟอ่ นกองไวใ้ กลป้ ระตดู า้ นใน พอ่ คา้ มา้ หาหญา้ สดใหม้ า้ ทวั่ เมอื งไมไ่ ด้ ตอ้ งใหท้ รพั ยพ์ นั หนงึ่ แกบ่ รุ ษุ นนั้ ซอ้ื หญา้ นน้ั ไป จากนนั้ ลว่ งไป ๒ - ๓ วนั สหายท่ที ำ�งานทางทะเลมาบอกวา่ จะมีเรือใหญ่เขา้ จอดทา่ บุรษุ นัน้ คิดวา่ อบุ ายน้ีมี จึงเอาทรพั ย์ ๘ กหาปณะ เชา่ รถทพี่ รอ้ มดว้ ยเครอื่ งใชท้ กุ ชนดิ ไปยงั ท่าจอดเรอื ท�ำ สญั ญากบั นายทา่ ประทบั นว้ิ มอื ไวท้ เี่ รอื แลว้ ใหก้ นั้ ม่าน ไว้ในท่ีไม่ไกลนั่งอยู่ในภายในม่านน้ัน สั่งบุรุษคนใช้ ไว้ว่า เมื่อพ่อค้าจากภายนอกมาถึงจงมาบอกทางประตู ดา่ นท่ี ๓ ครัน้ คนใช้เหลา่ นั้นทราบว่า เรือมาถงึ แลว้ จึงบอกวา่ มีพ่อคา้ ประมาณ ๑๐๐ คน จากกรงุ พาราณสี มาซอ้ื สนิ คา้ นายประตทู ี่ ๓ กลา่ ววา่ พวกทา่ นจะไมไ่ ดส้ นิ คา้ (เพราะ) นายพานชิ ใหญใ่ นทโ่ี นน้ ทา่ นท�ำ สญั ญาไวแ้ ลว้ พ่อค้าเหล่าน้ันฟังคำ�ของบุรุษเหล่านั้นแล้วจึงพากันไปยังสำ�นักของพ่อค้าใหญ่นั้น ฝ่ายบุรุษคนสนิทแจ้งข่าว ว่า พ่อค้าเหล่านั้นมาทางประตูด่านท่ี ๓ ตามสัญญาฉบับก่อน พ่อค้าท้ังร้อยคนนั้น ต้องให้ทรัพย์คนละพัน แล้วจึงเดินทางไปเรือกับบุรุษน้ันแล้วจ่ายทรัพย์อีกคนละพัน ๆ แล้วให้สละมัดจำ� แล้วจึงจะทำ�สินค้าให้เป็น ของ ๆ ตนได้ บุรษุ น้นั ถอื เอาทรัพย์ ๒ แสน กลับมายงั กรุงพาราณสี คดิ ว่า เราควรจะเป็นคนกตญั ญู จึงถือเอา ทรพั ย์แสนหนง่ึ ไปยงั สำ�นักแหง่ จฬู กเศรษฐี ครงั้ นนั้ เศรษฐถี ามบรุ ษุ นน้ั วา่ พอ่ ท�ำ อยา่ งไรจงึ ไดท้ รพั ยน์ มี้ า บรุ ษุ นนั้ กลา่ ววา่ ขา้ พเจา้ ตงั้ อยใู่ นอบุ าย ทที่ า่ นกลา่ วแล้วจึงได้ทรพั ยม์ าภายใน ๔ เดือนเท่านัน้ เศรษฐีได้ฟงั คำ�ของบรุ ุษน้ันจงึ มาคิดว่า บัดน้ี เราไม่ควร แนวทางการจัดการเรยี นรู้ธรรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

84 ท�ำ เดก็ เหน็ ปานนใี้ หเ้ ปน็ สมบตั ขิ องคนอน่ื จงึ ยกธดิ าทเ่ี จรญิ วยั ท�ำ ใหเ้ ปน็ เจา้ ของทรพั ยส์ มบตั ทิ งั้ สนิ้ กลุ บตุ รแมน้ นั้ เมอ่ื เศรษฐลี ว่ งไปแลว้ จึงรับตำ�แหน่งเศรษฐีแทนในพระนครนัน้ ด�ำ รงอยจู่ นตลอดอายแุ ลว้ ไปตามยถากรรม ในเรอ่ื งนี้แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผมู้ ปี ญั ญาประกอบสมั มาชพี สามารถตงั้ ตนไดด้ ว้ ยทรพั ยต์ น้ ทนุ เพยี งเลก็ นอ้ ย ดว้ ยความวิรยิ ะอุตสาหะของตน ไดร้ ับความเจรญิ รงุ่ เรือง และดำ�รงชีวติ อย่างมีความสุขตลอดชีวติ เบญจธรรมข้อท่ี ๓ กามสังวร ความส�ำ รวมในกาม ความสำ�รวมในกาม ได้แก่ กิริยาที่ระมัดระวังไม่ประพฤติมักมากในกาม ความรู้จักยับย้ัง ควบคุมตนในทางกามารมณห์ รอื เรื่องรักใครไ่ มใ่ หผ้ ิดศลี ธรรม กามสังวรน้ี เป็นคุณธรรมทเ่ี ก้อื กูลต่อการรักษา ศลี ขอ้ ท่ี ๓ ท�ำ ใหม้ จี ติ ใจตง้ั มน่ั ซอ่ื สตั ยใ์ นคคู่ รองของตนเอง เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความบรสิ ทุ ธผิ์ อ่ งใสของชาย และหญิง สง่ ผลใหส้ ถาบนั ครอบครวั มคี วามอบอุน่ และมัน่ คง กลั ยาณธรรมข้อนี้จ�ำ แนกตามเพศของบคุ คลเป็น ๒ อยา่ ง คอื ๑. สทารสนั โดษ คอื ความยนิ ดใี นภรรยาของตน เปน็ คณุ ธรรมส�ำ หรบั ประดบั ชาย ชายทม่ี ภี รรยา แล้ว ก็พอใจในภรรยาของตน ช่วยกันทำ�มาหาเล้ยี งชีวิต ไม่ทอดท้ิงกัน ไม่ผูกพันรักใคร่กับหญิงอ่ืนอกี ต่อไป ดงั นไี้ ดช้ อื่ วา่ สนั โดษดว้ ยภรรยาของตน ชายผไู้ มส่ นั โดษดว้ ยภรรยาของตน เทยี่ วซกุ ซนคบหญงิ แพศยา เปน็ เหตุ แหง่ ความเสอื่ มเสยี หลายประการ คอื เสยี ทรพั ยเ์ ปน็ ค่าตวั คา่ เลยี้ งดู เปน็ สาเหตแุ หง่ การเกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็ และ ก่อใหเ้ กิดการทะเลาะวิวาทได้โดยง่าย ๒. ปติวัตร คือ การประพฤติภักดีในสามี หมายถึง ความจงรักในสามี ความซ่ือสัตย์ต่อสามี เปน็ คณุ ธรรมส�ำ หรบั ประดบั หญงิ หญงิ ใดเมอ่ื มสี ามแี ลว้ ตง้ั ใจปรนนบิ ตั สิ ามขี องตนตามหนา้ ทใ่ี หด้ ที สี่ ดุ ผกู สมคั ร รักใคร่เฉพาะสามีของตน แม้สามตี ายจากไปแล้ว แต่ก็ยงั ครองตวั เปน็ หม้ายอยคู่ นเดียว ท้งั ที่มีโอกาสและไม่มี ขอ้ หา้ มในการมีสามีใหม่ แต่ด้วยอำ�นาจความจงรักในสามี หญงิ ผนู้ ไ้ี ด้ชอื่ ว่ามีคณุ ธรรมข้อปตวิ ตั ร หญงิ หมา้ ย ผู้ต้ังอยู่ในปติวัตรน้ี บางคนมีฐานะพอกินพออยู่ มีอายุยังไม่มาก แต่ก็สามารถดำ�รงตนมั่นคงอยู่ในคุณธรรม ข้อน้ี อุตสาหะหาเลยี้ งตวั เองและลกู อยา่ งไม่ยอ่ ท้อ ตงั้ ใจรกั ษาชอื่ เสยี งไม่ใหม้ ีราคี สมควรเปน็ ที่ยกยอ่ งของลกู และคนท่ัวไป แม้หญิงหม้ายผู้ม่ังคั่งบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติหากประพฤติเช่นนี้ ก็สมควรได้รับการยกย่อง เชน่ เดยี วกนั ท้ังสามารถเปน็ แบบอย่างให้กับหญงิ ทั้งหลาย พระพุทธศาสนาส่งเสริมความซ่ือสัตย์ซ่ึงจะนำ�ไปสู่ความไว้วางใจกัน ดังชีวิตของคู่อริยสาวก นกุลบิดา และ นกลุ มารดา ซ่งึ เป็นอริยบคุ คลชน้ั โสดาบัน และเป็นเอตทัคคะในทางสนิทสนมกบั พระพทุ ธเจา้ ทง้ั สองคนมคี วามสอดคลอ้ งประสานกนั โดยความรกั ภกั ดี และความซอ่ื สตั ย์ ซงึ่ น�ำ ไปสคู่ วามไวว้ างใจ เชอื่ ใจกนั ถึงขั้นปรารถนาจะพบกันทง้ั ชาตินแ้ี ละชาตหิ นา้ ดงั ความทนี่ กลุ บิดาไดก้ ราบทลู พระพุทธเจ้าวา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาท่ีตระกูลนำ�นกุลมารดาซ่ึงยังเป็นสาวมา เพื่อข้าพระองค์ ผยู้ งั เปน็ หนมุ่ ขา้ พระองคม์ ไิ ดร้ สู้ กึ จะประพฤตนิ อกใจนกลุ มารดาเลยแมด้ ว้ ยใจ ทไี่ หนจะประพฤตนิ อกใจดว้ ยกาย ขา้ พระองคท์ ง้ั สองปรารถนาพบกนั ทงั้ ในปัจจบุ นั และในสมั ปรายภพ” แนวทางการจดั การเรียนร้ธู รรมศึกษา ชน้ั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

85 แม้นกลุ มารดาก็ได้กราบทลู ความอย่างเดยี วกนั ยง่ิ ไปกวา่ นั้น สทารสันโดษน้ี จดั เป็นพรหมจรรย์อยา่ งหนึ่ง เปน็ ความประพฤตแิ ละการดำ�เนินชวี ติ ที่ได้รับยกย่องอย่างสูงในพระพุทธศาสนา มีอานิสงส์ทำ�ให้มีอายุยืน ไม่เสียชีวิตในวัยหนุ่มสาว เพราะไม่มี การผกู เวรกันระหวา่ งชายหญิงทีห่ มายปองคนเดยี วกัน ดงั ขอ้ ความกล่าวไว้ในพระไตรปฎิ กวา่ “พวกเราไม่ประพฤตินอกใจภรรยา และภรรยาก็ไม่ประพฤตินอกใจพวกเรา พวกเราประพฤติ พรหมจรรย์ในหญงิ อนื่ นอกจากภรรยาของพวกเรา ฉะนัน้ พวกเราจึงไมม่ ีใครตายตงั้ แต่ยงั หนุม่ สาว” กามสังวรน้ี ไม่ได้หมายถึงเฉพาะความยินดีพอใจในคู่ครองของตนเองเท่าน้ัน แต่ยังหมายถึง การไม่หมกมุ่นหรือมักมากในกามคุณ ซ่ึงจะเป็นสาเหตุให้ล่วงละเมิดศีลข้อท่ี ๓ ได้โดยง่าย ผู้ปกครองหรือ ผนู้ ำ�ในสงั คม ควรระวงั และปอ้ งกนั สาเหตุท่ีจะทำ�ใหบ้ ุคคลหมกมุ่นในเร่อื งกามารมณ์ เชน่ สอื่ สิ่งยว่ั ยุทางเพศ เป็นต้น เพ่อื ลดปัญหาอาชญากรรมทางเพศ รักษาศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ ส่งเสริมความประพฤตเิ รยี บร้อย ดงี ามของคนในสงั คม และรกั ษาชื่อเสยี งของประเทศชาติ เบญจธรรมขอ้ ท่ี ๔ สจั จะ ความมีสตั ย์ สัจจะ คอื ความมีสตั ย์ ได้แก่ กิริยาทีป่ ระพฤตติ นเป็นคนตรง ไมบ่ ิดพลิว้ ไม่บ่ายเบี่ยง ไมเ่ หลวไหล การพดู ความจรงิ การรกั ษาค�ำ พดู ทจ่ี รงิ การยกยอ่ งเชดิ ชคู �ำ พดู ทจ่ี รงิ การสอื่ สารขอ้ มลู ขา่ วสารทเี่ ปน็ จรงิ สจั จะ นเี้ ปน็ คณุ ธรรมทเี่ กอื้ กลู ตอ่ การรกั ษาศลี ขอ้ ท่ี ๔ ท�ำ ใหม้ จี ติ ใจซอ่ื ตรง มคี วามเทย่ี งธรรม ไมค่ ดิ คดหลอกลวงใคร ความมีสัตย์น้ี จำ�เป็นแก่สังคมมนุษย์ทุกสังคม ทั้งในระหว่างเพ่ือน สามีภรรยาหรือครอบครัว และระหว่าง ประเทศ เม่ือทั้งสองฝ่ายมีสัจจะต่อกัน จึงจะอยู่ร่วมกันเป็นปกติสุข เชื่อถือและไว้วางใจกัน ผู้นำ�ประเทศท่ี มีสัจจะย่อมเป็นท่ีเชื่อถือท้ังในและต่างประเทศ คือ ภายในประเทศก็ไม่พูดหลอกลวงประชาชน รักษาสัตย์ และทำ�ตามคำ�มั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน สำ�หรับในต่างประเทศก็รักษาสัญญาท่ีทำ�ไว้ต่อกัน ในเร่ืองน้ี จะเห็นได้จากพระมหากษัตริย์ตั้งแต่โบราณกาล ก็ได้ทรงรักษาวาจาสัตย์อย่างมั่นคง แม้บางครั้งจะรับส่ัง พล้งั พระโอษฐอ์ อกไปก็ไม่ทรงคืนค�ำ โดยทรงถือเป็นพระราชธรรมวา่ เปน็ กษตั รยิ ต์ รสั แลว้ ไมค่ ืนคำ� ความมีสตั ย์ มีการกระทำ�ทีแ่ สดงออกใหเ้ หน็ ไดด้ ้วยความซื่อตรง ความเท่ยี งธรรม ความสวามภิ ักด์ิ และความกตญั ญู ดังน้ี ๑. ความซ่ือตรง คือ ความตรงไปตรงมา ความซ่ือสัตย์ไร้มารยา ปฏิบัติภารกิจหน้าท่ีโดยสุจริต มีความจริงใจไม่หลอกลวงผู้อ่ืน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ยึดหลักการ เหตุผล ความถูกต้อง โดยไม่เห็นแก่ได้ รักษาความสตั ยด์ ้วยชวี ติ ๒. ความเทีย่ งธรรม คอื ความยตุ ธิ รรม ความประพฤติเป็นธรรมในกจิ อนั เปน็ หนา้ ทีข่ องตน โดย ไมต่ กอยใู่ นอ�ำ นาจอคติ ๔ ประการ คอื ฉนั ทาคติ ความล�ำ เอยี งเพราะรกั ใครช่ อบพอกนั โทสาคติ ความล�ำ เอยี ง เพราะเกลยี ดชงั โมหาคติ ความล�ำ เอยี งเพราะความหลง ความเขลา ไมร่ ู้เทา่ ทนั ตามความเปน็ จรงิ ไมร่ ถู้ อ่ งแท้ ว่าอย่างไรถูก อย่างไรผิด อย่างไรควร อย่างไรไม่ควร ภยาคติ ความลำ�เอียงเพราะความกลัว ความเกรงใจ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศกึ ษา ชนั้ ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

86 ข้อน้ีพึงเห็นได้ชัดจากผู้พิพากษาวินิจฉัยอรรถคดี ถ้ามีความเท่ียงธรรม จะไม่เห็นแก่หน้าทั้งฝ่ายโจทก์หรือ ฝ่ายจำ�เลย ไม่มีอคติต่อทั้งสองฝ่าย พิจารณาไปตามเหตุผล ตรงไปตรงมา ไม่ตกอยู่ในอำ�นาจความรัก ความชัง ความหลง หรือความกลัว ซึ่งจะมาหักล้างยุติธรรม ผู้ท่ีมีความเท่ียงธรรมเช่นนี้ ย่อมมีเกียรติ มีชอ่ื เสียงเปน็ ท่ีสรรเสรญิ ของคนท้ังหลาย ยอ่ มเจรญิ ดว้ ยลาภ ยศ และความสุขที่ปราศจากโทษ ๓. ความสวามิภักดิ์ คือ ความจงรกั ภกั ดตี อ่ บุคคลหรอื สถาบันท่เี กยี่ วข้องกบั ตน มีความซ่ือสตั ย์ ไม่คิดคดทรยศ ต้ังใจทำ�งานสนองคุณท่านอย่างเต็มความสามารถ เช่น ข้าราชการผู้ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ต่อพระเจา้ แผน่ ดนิ แล้ว มคี วามซอ่ื สัตยต์ ามค�ำ ปฏิญาณนน้ั ดงั น้ัน ความสวามภิ กั ด์ิ จึงถอื วา่ เปน็ ความมีสัตย์ ประการหนง่ึ ๔. กตญั ญู คอื ผูร้ ู้บญุ คุณของผู้มพี ระคุณ คกู่ ับ กตเวที คอื ผู้ตอบแทนบุญคุณทา่ น รวมเรียกวา่ กตัญญูกตเวที แปลว่า ผู้รู้อุปการคุณท่ีผู้อื่นทำ�แล้วและตอบแทนคุณท่าน ซ่ึงคู่กับ บุพการี แปลว่า ผู้กระทำ�อุปการคุณไว้ก่อน ในทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นคู่ไว้ดังนี้ คือ บิดามารดาเป็นบุพการีของบุตรธิดา ครูอาจารยเ์ ปน็ บพุ การขี องศิษย์ พระมหากษัตริย์เป็นบพุ การีของพสกนิกร พระพุทธศาสนาเป็นบพุ การขี อง พทุ ธศาสนิกชน ผ้ใู ดอยใู่ นฐานะใดกท็ �ำ หนา้ ที่ในฐานะนนั้ ใหส้ มบรู ณ์ เช่น บตุ รธิดาได้รับอปุ การคุณจากบดิ ามารดา แล้ว พึงตอบแทนคุณทา่ นด้วยความจรงิ ใจ ซือ่ สัตยส์ จุ ริต หรือพระมหากษัตริยช์ ือ่ ว่าเปน็ บุพการที ท่ี �ำ อปุ การะ ดแู ลทกุ ขส์ ขุ ของพสกนกิ รใหไ้ ดร้ บั ความสขุ ความสบายปลอดภยั ในสว่ นของพสกนกิ รกต็ อ้ งแสดงความกตญั ญู กตเวทตี ่อพระองค์ ดว้ ยความจรงิ ใจ ความซอ่ื สัตย์ และความจงรกั ภักดี ดงั น้นั ความกตญั ญูกตเวทจี ึงถอื ว่า เปน็ ความมีสัตยป์ ระการหนง่ึ ตัวอย่างอานิสงสข์ องการประพฤติเบญจธรรม ขอ้ สัจจะ เรื่อง มหิสสาสกุมาร พระราชาพระองค์หน่ึงมีพระราชโอรสประสูติแต่พระอัครมเหสี ๒ พระองค์ มีพระนามว่า มหิสสาสกุมารองค์หน่ึง จันทกุมารองค์หน่ึง พระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ พระราชาทรงตั้งพระอัครมเหสี ข้นึ ใหม่ พระนางประสตู ิพระราชโอรสองค์หนง่ึ พระนามวา่ สรุ ิยกุมาร พระราชาทอดพระเนตรเหน็ สรุ ยิ กมุ าร ซง่ึ ประสูติใหม่ ทรงมพี ระราชหฤทัยโสมนัสยินดี ตรัสแกพ่ ระอัครมเหสีองคใ์ หม่ว่า พระองคพ์ ระราชทานพร แกพ่ ระราชโอรสทป่ี ระสตู แิ ตพ่ ระนาง คอื พระราชทานใหพ้ ระนางทลู ขออะไรใหแ้ กพ่ ระราชโอรสของพระนาง ไดต้ ามปรารถนา พระนางจึงทูลขอราชสมบัตใิ ห้แกพ่ ระราชโอรสของพระนาง ในเวลาเมอ่ื พระราชโอรส คือ สุรยิ กมุ ารนั้นทรงเจริญวัยข้ึนแล้ว พระราชาไม่อาจทรงปฏเิ สธเพราะได้ตรัสพระราชทานพรไว้แล้ว จงึ ทรงส่ง มหิสสาสกุมารและจนั ทกมุ าร ซึ่งประสตู ิแตพ่ ระอัครมเหสีองค์แรกใหอ้ อกไปประทบั อยใู่ นป่า ทรงรบั สัง่ ใหก้ ลบั มา ถอื เอาราชสมบตั ติ อ่ เมอ่ื พระองคท์ รงลว่ งลบั ไปแลว้ พระกมุ ารทง้ั สองกราบถวายบงั คมลาพระราชบดิ าลงจาก ปราสาท เสดจ็ ดำ�เนินออกไป สรุ ิยกมุ ารซ่งึ พระราชมารดาทลู ขอราชสมบัติได้ทรงเหน็ ทรงทราบเรื่องน้ันแลว้ เสดจ็ ออกไปกบั พระเชษฐาทง้ั สอง พระกมุ ารทงั้ สามไดเ้ สดจ็ เขา้ ปา่ หมิ พานต์ ไดห้ ยดุ พกั ในทไ่ี มไ่ กลจากสระบวั แห่งหนึง่ มหสิ สาสกมุ ารส่งั สุริยกมุ ารใหไ้ ปที่สระ อาบ ด่มื แล้วให้ใช้ใบบวั ทำ�กรวยใส่นํา้ มา แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ชั้นตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

87 สระนั้นมีผีเสื้อน้ําตนหนึ่งรักษาอยู่ ผีเส้ือนํ้าน้ันได้รับอนุญาตจากท้าวเวสสุวรรณให้จับคนที่ลง ไปในสระกินได้ เว้นแต่คนที่รู้เทวธรรม ฝ่ายสุริยกุมารไม่ทันพิจารณาลงไปในสระน้ัน ผีเส้ือนํ้าจับพระกุมาร แลว้ ถามถึงเทวธรรม พระกุมารตอบวา่ “พระจันทรแ์ ละพระอาทิตย์ ชอ่ื ว่าเทวธรรม” ผีเส้อื นํา้ กล่าววา่ ท่าน ไมร่ ู้เทวธรรมแลว้ จบั พระกมุ ารไปขังไวใ้ นภพของตน มหสิ สาสกมุ ารเห็นสุรยิ กมุ ารชักชา้ ก็สง่ จนั ทกมุ ารไปอกี จนั ทกมุ ารไดถ้ กู จบั ถามเชน่ เดยี วกนั ตอบว่าทศิ ทงั้ ๔ ชอื่ ว่าเทวธรรม จงึ ถกู จบั ขงั ไวอ้ กี ฝา่ ยมหสิ สาสกมุ ารเหน็ จันทกมุ ารยงั ชกั ชา้ อย่อู กี ก็คิดว่านา่ จะมอี ันตราย จึงไปยังสระน้นั เอง ทรงตรวจดเู ห็นแตร่ อยเท้าลงไป ไมเ่ ห็น รอยเท้าข้ึน ก็ทรงทราบว่ามีผีเสื้อนํ้ารักษา จึงทรงผูกสอดพระขรรค์ถือธนูยืนระวังอยู่ ผีเสื้อน้ําเห็นมหิสสาส กมุ ารไมล่ งสระ จงึ จำ�แลงเพศเปน็ คนทำ�งานปา่ มาชกั ชวนให้ลง มหสิ สาสกุมารเห็นแลว้ ก็รวู้ ่าเปน็ ยกั ษ์ จงึ ถาม ว่าท่านจับนอ้ งชายของเราไปหรือ จบั ไปเพราะเหตุใด จบั ทง้ั หมดหรอื เว้นใครบา้ ง ยักษก์ ็ทลู รับว่าไดจ้ ับกมุ าร ทัง้ สองไป เพราะได้รับอนญุ าตให้จบั คนทลี่ งสระนท้ี ุกคน เว้นไวแ้ ต่ผู้รูเ้ ทวธรรม และตนตอ้ งการเทวธรรม มหิ สสาสกุมารบอกว่าตนรู้เทวธรรมและจะกล่าวเทวธรรมให้ฟัง แต่จะต้องชำ�ระกายให้สะอาดก่อน ยักษ์จึงให้ พระกุมารอาบนาํ้ ให้ดม่ื นา้ํ ให้แตง่ กายเรียบรอ้ ยแล้วเชิญขนึ้ สบู่ ัลลังก์ ตวั เองหมอบอยู่แทบเท้าของพระกุมาร เพื่อจะรบั ฟังเทวธรรม มหิสสาสกุมารตรัสเตือนให้ฟังโดยเคารพแล้ว จึงกล่าวเทวธรรมว่า “คนดีท้ังหลายถึงพร้อมด้วย หริ ิ ความละอายใจตอ่ ความชว่ั และโอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชวั่ ตง้ั อย่ดู ีในธรรมอนั ขาว สงบแลว้ เรยี กวา่ “ผ้มู ีเทวธรรมในโลก” ยกั ษ์ได้สดบั แลว้ เลอ่ื มใสกก็ ล่าวว่าจะคนื อนชุ าใหอ้ งค์หนง่ึ จะให้นำ�องค์ไหนมา มหิสสาสกุมารตรัสให้นำ�องค์เล็กมา ยักษ์จึงกล่าวติเตียนว่า พระกุมารรู้แต่เทวธรรมเท่านั้น แต่ไม่ประพฤติ ในเทวธรรม เพราะควรทจี่ ะใหน้ �ำ อนชุ าองคใ์ หญม่ าจงึ จะชอื่ วา่ ท�ำ ความนบั ถอื คนทเ่ี จรญิ มหสิ สาสกมุ ารตรสั วา่ ทรงรเู้ ทวธรรมและประพฤตเิ ทวธรรมดว้ ย แลว้ กต็ รสั เล่าเรอ่ื งใหย้ กั ษฟ์ งั ว่า พระองค์ และจนั ทกมุ ารตอ้ งเขา้ ปา่ ก็เพราะสุริยกุมารซึ่งเป็นอนุชาองค์เล็ก พระราชบิดาประทานพรแก่อนุชาองค์เล็ก แต่มิได้ประทานพรแก่ พระองคแ์ ละจนั ทกมุ าร เมอื่ พระมารดาเลย้ี งทลู ขอราชสมบตั ใิ หแ้ กอ่ นชุ าองคเ์ ลก็ ซง่ึ เปน็ พระโอรสของพระนาง พระราชบดิ ากจ็ �ำ ตอ้ งทรงอนญุ าต เพราะไดท้ รงลนั่ พระวาจาไวแ้ ลว้ และทรงอนญุ าตใหพ้ ระองคแ์ ละจนั ทกมุ าร ไปอยปู่ ่า ฝา่ ยอนชุ าองคเ์ ลก็ ขอมาดว้ ย ฉะนน้ั เมอื่ พระองคก์ ล่าวว่า อนชุ าองคเ์ ลก็ ถกู ยกั ษต์ นหนง่ึ กนิ เสยี ในป่า แลว้ ใครเลา่ จกั เชอื่ ถอื ฉะนนั้ พระองคจ์ งึ ใหน้ �ำ อนชุ าองคเ์ ลก็ มาเพอื่ มใิ หใ้ ครต�ำ หนไิ ด้ ยกั ษไ์ ดฟ้ งั เหตผุ ลแลว้ เกดิ ความเล่ือมใส จึงคืนอนุชาให้ท้ังสองพระองค์ ต่อมาเม่ือพระราชบิดาสวรรคตแล้ว มหิสสาสกุมารจึงกลับมา ทรงครอบครองราชสมบตั ิในกรุงพาราณสี ประทานต�ำ แหน่งอุปราชแกจ่ ันทกมุ าร ประทานต�ำ แหน่งเสนาบดี แกส่ รุ ยิ กมุ าร และไดท้ รงน�ำ ยกั ษซ์ ง่ึ ไดก้ ลบั ตวั เปน็ ผมู้ ศี ลี ไมด่ รุ า้ ยเยยี่ งยกั ษท์ ง้ั หลายแลว้ มาบ�ำ รงุ ไวใ้ นบา้ นเมอื ง ใหเ้ ปน็ สขุ สบื ไป ในเรื่องนี้ พระราชาทรงรักษาสัจจะที่ให้ไว้แก่พระอัครมเหสี ทรงยกราชสมบัติให้แก่สุริยกุมาร มหิสสาสกุมารทรงรักษาสัจจะท่ีให้ไว้ต่อพระราชบิดา ทรงกลับไปครอบครองราชสมบัติเม่ือพระราชบิดา สวรรคตแล้ว และผีเส้ือนํ้าก็รักษาสัจจะจับเฉพาะคนท่ีลงไปในสระเป็นอาหาร และเว้นคนที่รู้เทวธรรม อานิสงส์ของการรักษาสัจจะทำ�ให้มหิสสาสกุมารได้ครอบครองราชสมบัติ และยักษ์ก็ได้รับการดูแลเป็น อยา่ งดที �ำ ใหอ้ ยูม่ คี วามสขุ ตลอดชีวิต แนวทางการจดั การเรียนรธู้ รรมศึกษา ช้นั ตรี วิชาวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

88 เบญจธรรมข้อท่ี ๕ สติสัมปชัญญะ ความระลกึ ไดแ้ ละความรู้ตวั สติสมั ปชญั ญะ แยกเป็น ๒ ศพั ท์ คือ สติ และ สมั ปชัญญะ สติ หมายถงึ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตวั ธรรม ๒ ประการน้ี เปน็ ธรรมที่มอี ปุ การะมาก จ�ำ เปน็ ตอ้ งใชใ้ นกิจทกุ อย่าง เพราะเป็น เหตใุ ห้บุคคลสามารถควบคมุ การกระทำ� การพูด การคดิ ใหอ้ ยใู่ นกรอบของศลี ธรรม ช่วยใหม้ ีการยับยง้ั ชง่ั ใจ ใหม้ กี ารพจิ ารณา ไตรต่ รองอยา่ งรอบคอบ กอ่ นจะท�ำ จะพดู จะคดิ และในขณะทก่ี �ำ ลงั ท�ำ ก�ำ ลงั พดู และก�ำ ลงั คดิ สติสัมปชัญญะน้ีเป็นธรรมเก้ือกูลต่อการรักษาศีลทุกข้อ โดยเฉพาะศีลข้อที่ ๕ เมื่อบุคคลมีสติสัมปชัญญะ ย่อมท�ำ ให้มีจติ ใจมน่ั คง ไมถ่ ลําลงไปในทางที่เสอ่ื ม และไม่พลาดโอกาสในการกระทําความดี สติสัมปชญั ญะ เป็นอัปปมาทธรรมท่กี ่อให้เกดิ ประโยชน์ต่อการด�ำ เนนิ ชีวติ ในด้านตา่ ง ๆ เช่น ๑. ทําใหเ้ กดิ ความระมัดระวงั ตวั ๒. เป็นเครอ่ื งยบั ยงั้ เตือนไม่ใหต้ กไปในทางเส่อื ม ไมใ่ หม้ วั เมาล่มุ หลง ไม่ให้เพลิดเพลนิ ไปในส่งิ ท่ี เป็นทุกขเ์ ป็นโทษต่อตนเอง ๓. เปน็ เครอ่ื งกระตนุ้ เตอื นใหข้ วนขวายในการสรา้ งความดยี ง่ิ ๆ ขนึ้ ไป ไมห่ ยดุ อยกู่ บั ท่ี ไมท่ อดธรุ ะ ไมเ่ กยี จครา้ น ทง้ั ยงั ช่วยป้องกนั ไ่ มใ่ ห้เกดิ โรคภัย ๔. เปน็ เครื่องเร่งเร้าให้มคี วามขะมกั เขม่น ๕. เป็นเครื่องทําใหเ้ กดิ ความสํานกึ ในหน้าทอ่ี ย่เู สมอ ๖. เปน็ เครื่องทําใหเ้ กิดความละเอยี ดรอบคอบในการทํางาน พฤติกรรมของคนท่มี สี ติสัมปชัญญะ พงึ เห็นไดด้ ้วยความไม่ประมาทในเรอ่ื งดังต่อไปน้ี ๑. ความไม่ประมาทในเวลา คือ ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือไม่ผลัดวัน ประกันพร่งุ กระตือรอื ร้นในการกระท�ำ กจิ ท่เี ปน็ ประโยชนแ์ กต่ นเองและสังคมสว่ นรวม ๒. ความไมป่ ระมาทในวยั คอื บรหิ ารชวี ติ ใหเ้ หมาะสม ไมค่ ดิ วา่ ตนเองอายยุ งั นอ้ ย ควรเรง่ ประกอบ คุณงามความดี ท�ำ หน้าทข่ี องตนให้เหมาะสมกับวัย ๓. ความไม่ประมาทในความไม่มีโรค คือ ไม่ควรคิดว่าตัวเองไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนยังมี สขุ ภาพแข็งแรงดีอยู่ ตามความเปน็ จรงิ ร่างกายของคนเรานั้นเป็นรังหรือเปน็ ท่อี ยู่ของโรค ๔. ความไม่ประมาทในชีวิต คือ ความไม่วางใจในชีวิต อย่าคิดว่าเรายังมีชีวิตอยู่สุขสบายดีและ ยงั อยอู่ กี ยาวนาน เพราะจริง ๆ แล้ว ชีวิตนน้ี ้อยนกั อาจตายเม่อื ไรก็ได้ เพราะความตายไมม่ เี ครื่องหมายใหร้ ู้ ล่วงหนา้ ว่าเราจะตายเมอื่ ไร จงึ ควรเรง่ ขวนขวายในการละความช่ัว สรา้ งความดี และทำ�จิตใจใหผ้ ่องใส ๕. ความไม่ประมาทในการงาน คือ ความไม่ปล่อยปละละเลยในการงาน ทำ�งานทุกอย่าง ตามหน้าที่ของตนให้ดีท่ีสุด มีความขยันขันแข็ง ทำ�อย่างทุ่มเทเต็มความสามารถ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ปล่อยการงานใหค้ ง่ั คา้ งเป็นดินพอกหางหมู แนวทางการจดั การเรยี นรธู้ รรมศึกษา ชั้นตรี วิชาวินัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

89 ๖. ความไม่ประมาทในการศึกษา คือ ความเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียน ขวนขวายหาความรู้ อย่างเต็มกำ�ลังความสามารถ ตระหนักถึงคุณค่าและความสำ�คัญของการศึกษาหาความรู้ ซึ่งเป็นเคร่ืองมือ ในการดำ�เนนิ ชวี ติ ๗. ความไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม คือ ความไม่ละเลยในการปฏิบัติธรรม มีความเพียร ใส่ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งสมํ่าเสมอ ตวั อยา่ งอานิสงส์ของการประพฤติเบญจธรรมข้อสตสิ มั ปชญั ญะ เรอ่ื ง ธมั มกิ อบุ าสก ได้ยินวา่ ในเมืองสาวัตถี มีอุบาสกผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ ๕๐๐ คน และอุบาสกคนหน่ึง ๆ ก็มี อบุ าสกเปน็ บริวารคนละ ๕๐๐ อบุ าสกทเ่ี ปน็ หัวหน้าอุบาสกเหลา่ นน้ั มบี ตุ ร ๗ คน และธิดา ๗ คน อบุ าสกน้ัน ได้ถวายสลากยาคู สลากภตั ร ปักขิกภัตร สังฆภตั ร อุโปสถกิ ภตั ร อาคนั ตุกภัตร วสั สาวาสกิ ภัตร อยา่ งละท่ี แก่ภกิ ษสุ งฆเ์ ป็นประจ�ำ ภรรยาและบตุ รท้ัง ๑๔ คน ก็ไดถ้ วายภัตรอย่างนน้ั คนละที่ บตุ รทุกคนของอบุ าสก นน้ั ไดช้ อ่ื ว่า อนชุ าตบตุ ร บตุ รทเ่ี กดิ มาเสมอกบั บดิ ามารดาดว้ ยคณุ ธรรม เปน็ ตน้ เขาพรอ้ มทง้ั บตุ รและภรรยา ไดเ้ ปน็ ผ้มู ีศีล มกี ัลยาณธรรม มคี วามยนิ ดีในอันจำ�แนกทาน ต่อมาเมื่ออุบาสกมีอายุสูงวัยมากแล้ว เกิดป่วยหนักเพราะชรา เขาต้องการจะฟังธรรมจึงส่งคน ไปกราบทลู พระพทุ ธเจา้ ขอใหท้ รงสง่ ภกิ ษสุ าธยายธรรม พระศาสดาทรงสง่ ภกิ ษทุ งั้ หลายไปตามความประสงค์ ภิกษเุ หล่าน้นั ไปนั่งบนอาสนะท่ีปูไวร้ อบเตียงของเขา เขาขอให้พระภิกษทุ ั้งหลายสาธยาย “สตปิ ัฏฐานสตู ร” ภิกษุท้ังหลายจึงเร่ิมสวดพระสูตรว่า “เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา” เป็นต้น แปลว่า ภิกษุทัง้ หลาย ทางน้ีเปน็ ทางสายเอก เพ่อื ความบริสทุ ธิ์แหง่ สัตวท์ ้งั หลาย ขณะนนั้ เทวดาทั้งหลายไดน้ �ำ รถ ๖ คัน ประดบั ตกแตง่ อยา่ งสวยงาม เทยี มดว้ ยมา้ สินธพพันตัว มาจากเทวโลกทงั้ ๖ ชน้ั ตา่ งเชอื้ เชญิ วา่ “ขา้ พเจา้ จกั น�ำ ไปยงั เทวโลกของขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ จกั น�ำ ไปยงั เทวโลก ของข้าพเจ้า ขอท่านจงเกดิ ในท่นี ้ี เพอ่ื ความยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า เหมอื นคนท�ำ ลายภาชนะดนิ แล้วถือ เอาภาชนะทองคำ�” อุบาสก ไม่ปรารถนาจะให้เป็นอันตรายแก่การฟังธรรม จึงกล่าวว่า “ท่านท้ังหลายจงรอก่อน ท่านทงั้ หลายจงรอก่อน” ภิกษุต่างหยดุ นิง่ ด้วยสำ�คัญวา่ “อุบาสกพูดกับพวกเรา” ฝ่ายบตุ รและธิดาของเขา คดิ ว่า “เมื่อกอ่ นบิดาของพวกเรา ไม่เคยอมิ่ ด้วยการฟงั ธรรม แต่บดั น้ี ให้นมิ นตภ์ กิ ษมุ าสาธยายพระสูตรแลว้ กลับห้ามเสียเอง ขน้ึ ชอื่ วา่ สตั วผ์ ู้ไม่กลัวต่อความตายไมม่ ี” แล้วพากนั ร้องไห้ ภิกษทุ ้ังหลายปรกึ ษากันเหน็ ว่า ไมใ่ ช่เวลาเหมาะสมทจ่ี ะสาธยายพระสตู รต่อไป จึงลุกจากอาสนะแลว้ กลับวัด เวลาลว่ งไปเลก็ นอ้ ย อบุ าสกกก็ ลับได้สติ ถามลูก ๆ ว่า “พวกเจา้ รอ้ งไหก้ นั ท�ำ ไม” ทราบความแลว้ จงึ ถามถึงพระภิกษวุ า่ ไปไหนเสีย ทราบว่าพระภิกษุกลบั วัดแล้ว จงึ พดู ว่า พ่อไม่ได้พดู กับพระภกิ ษุ แต่พดู กบั เทวดาทนี่ �ำ รถ ๖ คัน มาจากเทวโลกทง้ั ๖ ชัน้ บุตรทง้ั หลายจงึ ถามวา่ รถอยูท่ ีไ่ หน พวกผมมองไมเ่ ห็นรถ แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าวนิ ยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

90 อุบาสกจึงให้นำ�พวงดอกไม้มาแล้วบอกบุตรทั้งหลายว่า พวกเจ้าจงอธิษฐานว่า ขอให้พวงดอกไม้ จงคล้องที่แอกรถที่มาจากสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วโยนพวงดอกไม้ข้ึนไปเถิด บุตรทั้งหลายได้ทำ�อย่างน้ัน พวงดอกไม้น้ันได้ไปคล้องที่แอกรถที่มาจากสวรรค์ชั้นดุสิตห้อยอยู่ในอากาศ มหาชนเห็นแต่พวงดอกไม้ แต่ไม่เหน็ รถ อุบาสกพูดว่า “เราจะไปสวรรค์ชั้นดุสิต พวกเจ้าอย่าคิดไปเลย ถ้าพวกเจ้าปรารถนาจะเกิด ในส�ำ นกั เรา กจ็ งท�ำ บญุ ทงั้ หลายตามแบบทเ่ี ราท�ำ มาแลว้ นนั้ เถดิ ” สนิ้ ชวี ติ แลว้ กป็ รากฏอยบู่ นรถทม่ี าจากสวรรค์ ชั้นดุสิตในทนั ทนี น้ั เอง ในเร่ืองนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ท่ีเว้นขาดจากการดื่มสุราและเสพส่ิงเสพติด ปฏิบัติธรรมเป็นปกติ ย่อมเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ไม่หลงลืมแม้ในเวลาใกล้จะสิ้นชีพ ดำ�รงชีวิตอย่างมีความสุขท้ังในโลกน้ีและ โลกหน้า เบญจศีลเบญจธรรม เป็นคุณธรรมพ้ืนฐานของมนุษย์ หากบุคคลใดมีคุณธรรมที่เป็นพ้ืนฐานที่ดี และมนั่ คง จะกระท�ำ อะไรกม็ แี ตค่ วามเจรญิ กา้ วหนา้ ในทางตรงกนั ขา้ มหากบคุ คลใดไมม่ คี ณุ ธรรมทเี่ ปน็ พน้ื ฐาน จะกระทำ�อะไรก็ไม่เจริญกา้ วหนา้ การศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลักไตรสิกขาน้ัน ศีลเป็นฐานให้เกิดสมาธิ และสมาธกิ ่อให้เกดิ ปัญญา สมาธทิ ี่ศลี บม่ แลว้ ยอ่ มมผี ลมาก มีอานสิ งสม์ าก ดงั ความในทีฆนิกาย มหาวรรค ทแ่ี สดงความตอ่ เนอื่ งกันของไตรสกิ ขา ซ่ึงเปน็ กระบวนการฝกึ อบรมจติ ตามลำ�ดบั วา่ “ศีลเป็นอย่างน้ี สมาธิ เป็นอย่างนี้ ปัญญาเป็นอย่างน้ี สมาธิที่ศีลบ่มแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาที่สมาธิบ่มแล้ว ย่อมมผี ลมาก มอี านิสงสม์ าก จติ ทปี่ ญั ญาบม่ แลว้ ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยสนิ้ เชงิ คอื กามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ” ความสมั พนั ธแ์ บบตอ่ เนอื่ งกนั ของคณุ ธรรมในชวี ติ ประจ�ำ วนั จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื บคุ คลมคี วามประพฤติ บริสุทธ์ิ เชื่อม่ันในความบริสุทธิ์ของตน ไม่หวาดต่อการลงโทษ ไม่สะดุ้งระแวงต่อการประทุษร้ายของคู่เวร ไมห่ วน่ั ใจตอ่ เสยี งตำ�หนหิ รอื ความรู้สกึ ทไี่ มด่ ีของสังคม ไมม่ ีความฟ้งุ ซา่ นวุ่นวายใจ เพราะความรสู้ กึ เดือดรอ้ น รังเกียจในความผิดของตน จิตใจจึงปลอดโปร่ง สงบแน่วแน่ มุ่งม่ันอยู่กับส่ิงท่ีคิด คำ�ที่พูด และการกระทำ� การรับรูส้ งิ่ ตา่ ง ๆ ย่ิงชัดเจน คลอ่ งตวั เปน็ ผลดใี นทางปญั ญามากยิ่งข้นึ แนวทางการจดั การเรยี นรู้ธรรมศึกษา ช้ันตรี วชิ าวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

91 บทที่ ๕ แบบทดสอบ แบบทดสอบธรรมศึกษา ชั้นตรี ประกอบดว้ ย - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น - เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน - แบบทดสอบหลงั เรียน - เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน แนวทางการจัดการเรียนรู้ธรรมศกึ ษา ช้นั ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)

92 แบบทดสอบก่อนเรยี นวิชาวินยั (เบญจศลี - เบญจธรรม) ธรรมศกึ ษาช้ันตรี จำ�นวน ๕๐ ข้อ ๕๐ คะแนน ค�ำช้แี จง ใหน้ กั เรียนเลอื กค�ำตอบทถี่ ูกต้องทีส่ ดุ เพยี งค�ำตอบเดียว ๑. ศีลข้อที่ ๑ บญั ญตั ไิ วเ้ พื่อไมใ่ ห้เบียดเบียนกนั ในเรอ่ื งใด ก. ชีวิต ข. ทรัพย์ ค. คคู่ รอง ง. ค�ำ พูด ๒. การทำ�ร้ายกันเป็นเหตุให้น้ิวขาด จัดเขา้ ในข้อใด ก. บาดเจบ็ ข. เสยี โฉม ค. พิการ ง. ทรมาน ๓. การกระทำ�ใดผิดศลี ข้อที่ ๑ ข. ฆ่าปดิ ปาก ก. เกบ็ ส่วย ง. เล่ยี งภาษี ค. เลน่ หวย ๔. คนทม่ี ีอายุส้นั เพราะผดิ ศลี ขอ้ ใด ข. อทนิ นาทาน ก. ปาณาตบิ าต ง. มสุ าวาท ค. กาเมสมุ จิ ฉาจาร ๕. ขอ้ ใดเปน็ วตั ถุแหง่ ปาณาตบิ าต ข. สตั วป์ ่า ก. ทรัพยส์ ิน ง. ตน้ ไม้ ค. เมรยั ๖. คนมจี ติ ใจโหดร้าย ควรรักษาศลี ข้อใด ข. ศีลข้อท่ี ๒ ก. ศีลขอ้ ท่ี ๑ ง. ศลี ขอ้ ที่ ๔ ค. ศลี ข้อที่ ๓ ๗. ศีลข้อท่ี ๑ ขาดเพราะการกระทำ�ในขอ้ ใด ก. ทำ�ให้ตาย ข. ทำ�ใหล้ �ำ บาก ค. ทำ�ให้เจ็บ ง. ท�ำ ใหพ้ กิ าร ๘. ใช้งานสัตว์เกินก�ำ ลงั จัดเป็นทรกรรมใด ข. กกั ขงั ก. ใชก้ าร ง. น�ำ ไป ค. เลน่ สนุก แนวทางการจัดการเรียนรูธ้ รรมศึกษา ชัน้ ตรี วชิ าวินยั (เบญจศีล - เบญจธรรม)

93 ๙. ข้อใดไมจ่ ัดเปน็ การผจญสัตว์ ข. กดั ปลา ก. ชนโค ง. ขว้างนก ค. ตไี ก ่ ๑๐. ยมื ของไปแลว้ ตั้งใจไมส่ ่งคืน จดั เป็นโจรกรรมใด ก. กรรโชก ข. ฉก ค. ปลน้ ง. ตระบดั ๑๑. ซอ่ นของหนภี าษีเข้าประเทศ เปน็ โจรกรรมใด ก. ลกั ลอบ ข. เบยี ดบงั ค. ยกั ยอก ง. ฉอ้ โกง ๑๒. การกระท�ำ ใด เรียกวา่ ลกั ข. กรรโชก ก. ยอ่ งเบา ง. ว่ิงราว ค. ยกั ยอก ๑๓. ข้อใดจัดเปน็ ฉายาโจรกรรม ข. ปอกลอก ก. หยิบฉวย ง. เบยี ดบัง ค. ยกั ยอก ๑๔. คนขาดศลี ข้อท่ี ๒ จะมีลกั ษณะอย่างไร ข. มือไว ก. โหดรา้ ย ง. ขาดสติ ค. ไม่ซอ่ื สตั ย์ ๑๕. ขอ้ ใดจัดเปน็ โจรกรรม ข. ผลาญ ก. ปล้น ง. หยบิ ฉวย ค. รับสินบน ๑๖. การถือเอาทรัพยข์ องคนอื่นไมบ่ อกเจา้ ของ ตรงกับขอ้ ใด ก. หลอก ข. ลวง ค. ลักลอบ ง. หยบิ ฉวย ๑๗. การละเมดิ ศลี ข้ออทินนาทาน สง่ ผลใหเ้ กิดเป็นคนเชน่ ไร ก. อายสุ ั้น ข. ยากจน ค. พิการ ง. บา้ ๑๘. ใช้เอกสารเท็จ จัดเป็นโจรกรรมใด ข. ปลอม ก. ตระบดั ง. หลอก ค. ลวง แนวทางการจัดการเรยี นร้ธู รรมศึกษา ช้นั ตรี วชิ าวนิ ัย (เบญจศลี - เบญจธรรม)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook