๑๒๖ ซากศพเกลื่อนกลาดในป่าช้า ภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ปรากฏดุจเรือน ท่ีถูกไฟไหม้ จึงตรัสแก่นายฉันนะว่า น่ีแนะฉันนะ เราจะออกบวชในคืนน้ี เจ้าจงไปผูกม้า ให้เราตวั หนึ่งโดยเร็ว แลว้ จึงเสดจ็ ไปยงั ห้องพมิ พาราชเทวี ดว้ ยพระประสงค์จะทอดพระเนตร พระพักตร์ของพระราหุลกุมาร แต่พระนางพิมพาทอดพระกายเหนือเศียรพระโอรส โดยมิรู้ว่า พระองค์ทรงประทับยืนเหยียบบนธรณีพระทวาร ทรงดาริว่า ถ้าเราจะยกพระหัตถ์พิมพา อุ้มองค์โอรส พระนางก็จะตื่น ก็จะเป็นอันตรายต่อบรรพชา อย่าเลย ต่อเม่ือได้สาเร็จ พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงจะกลับมาทัศนา จึงเสด็จลงจากปราสาท เสด็จข้ึนม้ากัณฐกะ มีนายฉนั นะตามเสดจ็ ออกจากพระนคร เสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ ราตรีน้ัน เป็นวันอาสาฬหปุณณมี เพ็ญเดือน ๘ ขณะนั้นพญาวัสสวดีมาร เห็น พระโพธสิ ตั ว์จงึ ดารวิ ่า สทิ ธตั ถกมุ ารปรารถนาจะหนีออกจากวิสัยของเรา ควรท่ีเราจะกระทา อันตรายต่อบรรพชา จึงร้องห้ามว่า ดูก่อนกุมาร ท่านอย่าออกบรรพชาเลย อีก ๗ วัน จักรรัตนะอันเป็นทิพย์จะปรากฏแก่ท่าน ท่านจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า ท่านจงไปเสียเถิด เราไม่ปรารถนาสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ เราปรารถนาท่ีจะทา หม่ืนโลกธาตุให้หวั่นไหวในกาลได้พุทธรัตนสมบัติ แล้วเสด็จผ่านกรุงกบิลพัสด์ุ เมืองสาวัตถี และเมืองเวสาลี ส้ินหนทาง ๓๐ โยชน์ บรรลุถึงฝั่งแม่น้าอโนมานที ณ พรหมแดนพระนคร ทั้ง ๓ ในเวลาใกล้รุ่ง เสด็จทรงม้าข้ามไปยังอีกฝ่ังหน่ึง ทรงลงจากหลังม้า ประทับน่ังบน กองทราย ทรงเปลื้องพระภูษาอาภรณ์ห่อส่งให้นายฉันนะ ทรงตรัสว่า เจ้าจงนาเคร่ืองประดับ กับม้ากัณฐกะกลับพระนคร เราจะบรรพชา ณ ท่ีน้ี ทรงตัดพระเกศโมฬีด้วยพระขรรค์ แล้วจับ พระโมฬขี วา้ งไปในอากาศทรงอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอจุฬาโมฬีน้ีจงลอยอยู่ในอากาศ อย่าได้ตกลงมา ปรากฏว่า จุฬาโมฬีและผ้าโพกพระเศียร ก็ลอยอยู่ในอากาศ สมเด็จอมรินทราธิราชจึงนาผอบแก้วมารองรับและนาไปบรรจุไว้ใน พระจุฬามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก เมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรพชาแล้วจึงดารัสให้ นายฉันนะนาม้ากัณฐกะกับเครื่องอาภรณ์และนาข่าวกลับไปบอกยังกรุงกบิลพัสด์ุ นายฉันนะ มีความอาลัยไม่อยากจะจากพระองค์ไป ส่วนม้ากัณฐกะพอพ้นทัศนวิสัยก็ทากาลกิริยา ในระหว่างทาง ด้วยอานุภาพความสวามิภักด์ิ จึงไปอุบัติในดาวดึงส์เทวโลก ได้นามว่า กัณฐกเทพบุตร หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๒๗ ในเวลาน้ัน ท้าวมหาพรหมนามว่า ฆฏิการพรหม เคยเป็นสหายพระโพธิสัตว์คร้ังเสวย พระชาติเป็นโชติปามาณพ ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้นาเครื่องอัฏฐบริขาร มาถวาย พระโพธิสัตว์ จึงทรงไตรจีวรกาสาวพัสตร์ อธิษฐานเพศบรรพชา และมอบพระภูษา ผ้าทรงทั้งคู่ให้ ทา้ วเธอได้นาพระภษู าทั้งคู่ไปบรรจไุ ว้ทุสสเจดยี ใ์ นพรหมโลก ทรงทดลองปฏบิ ตั ติ ามลัทธติ ่าง ๆ เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงละกามสุขออกบรรพชา เพ่ือจะแสวงหาอุบายให้พ้นจากชรา ความแก่ พยาธิ ความเจ็บไข้ มรณะ ความตาย อย่างน้ีแล้ว เพราะพระองค์ยังไม่เคยเสพ ลัทธินั้น ๆ ซ่ึงเป็นท่ีนิยมนับถือว่าเป็นบุญอย่างย่ิง และเป็นเหตุให้สาเร็จส่ิงท่ีประสงค์นั้น ๆ ซึ่งคณาจารย์สั่งสอนกันอยู่ในครั้นนั้น ก็จาเป็นท่ีจะต้องทรงทดลองดูว่าลัทธิเหล่าน้ัน จะเป็น อบุ ายท่ีจะทาใหส้ าเรจ็ ความประสงคไ์ ดบ้ ้าง จงึ เสดจ็ ไปสู่สานักแห่งอาฬารดาบส กาลามโคตร ศึกษาสาเร็จสมาบตั ิ ๗ หมดความรู้ของอาจารย์ จึงลาอาจารย์เสด็จไปสู่สานักของอุทกดาบส รามบุตร ศึกษาสาเร็จสมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ หมดความรู้ของอาจารย์ จึงเรียนถามธรรมพิเศษท่ีย่ิง ๆ ข้ึนไป พระดาบสบอกไม่รู้แล้ว ท่านอาจารย์ทั้งสองสรรเสริญ พระผู้มพี ระภาคว่ามคี วามร้เู สมอตนแลว้ ชวนใหอ้ ยชู่ ่วยกนั สง่ั สอนหมู่ศิษย์ต่อไป พระองค์ทรง ดาริวา่ ทางปฏบิ ตั ินี้หาใชท่ างโพธิญาณไม่ มีพระประสงค์จะประกอบความเพียรด้วยพระองค์เอง จึงลาออกจากสานัก จาริกไปสู่อุรุเวลาเสนานิคม พิจารณาเห็นเป็นสถานท่ีร่ืนรมย์เหมาะแก่ การบาเพ็ญเพียรจึงยับย้ังอาศัย ณ ท่ีน้ัน เสด็จจาริกไปในมคธชนบท บรรลุถึงอุรุเวลาเสนานิคม ได้ทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบรื่น แนวป่าเขียวสด เป็นที่เบิกบานใจ ใกล้แม่น้าใสสะอาด ไหลไปมา มีท่าอันดี น่าร่ืนรมย์ หมู่บ้านที่อาศัยเที่ยวภิกขาจาร คือบิณาบาต ก็ตั้งอยู่ใกล้ โดยรอบ ทรงพระดาริว่าสถานท่ีนั้น ควรเป็นสถานท่ีบาเพ็ญเพียรของกุลบุตร ผู้มีความ ต้องการความเพียรได้ จงึ เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ ท่ีนน้ั (ปจั จุบันเรียกว่า พทุ ธคยา รฐั พหิ าร อินเดยี ) พระโพธิสัตว์ ประทับอยู่พระองค์เดียว ณ บริเวณน้ัน อันได้นามว่าอนุปิยอัมพวัน เว้นจากการเสวยพระกระยาหารตลอด ๗ วัน เอิบอ่ิมไปด้วยบรรพชาสุข ครั้นวันที่ ๘ เสด็จ ออกจากไพรสณา์นั้น จาริกไปโดยลาดับส้ินทาง ๓๐ โยชน์ ก็บรรลุถึงกรุงราชคฤห์ เสด็จเข้า ไปบิณาบาต ประชาชนท้ังเมืองเห็นเข้า ต่างแตกตื่นโกลาหล คิดกันไปต่าง ๆ นานา ราชบุรุษทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องน้ีแก่พระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ทรงรับส่ังให้ติดตามดู เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกจากเมืองไปประทับเสวยพระกระยาหารที่เชิงเขาบัณาวะ จึงกราบทูลให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ พระองค์จึงเสด็จไปสอบถาม ทราบว่าเคยเป็น หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๒๘ พระสหายที่ไม่เคยพบหน้ากัน จึงเช้ือเชิญให้พระโพธิสัตว์อยู่โดยจะแบ่งสมบัติให้ครอง ครงึ่ หนงึ่ พระโพธิสตั ว์ตรัสขอบพระทัย และตรสั บอกความประสงค์ว่า ปรารถนาพระอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณจึงออกบรรพชา พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุโมทนาและตรัสว่า ถ้าบรรลุ พระสัพพัญญตุ ญาณแลว้ ขอใหก้ ลับมาโปรดโยมบ้างแล้วทูลลากลับ อปุ มา ๓ ขอ้ ครงั้ นัน้ อุปมา ๓ ข้อ ที่พระผูม้ พี ระภาคไมเ่ คยได้ทรงสดบั ปรากฏแกพ่ ระองคว์ ่า ๑. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหน่ึง ซึ่งมีกายไม่ได้หลีกออกจากกาม และมี ความพอใจรักใคร่ในกาม ยังละให้สงบระงับด้วยดีในภายในไม่ได้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าน้ัน แม้ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดที่เกิดเพราะความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ก็ไม่ควรจะตรัสรู้อุบายนั้นได้ เหมือนไม้สดท่ีชุ่มด้วยยาง บุคคลแช่ไว้ในน้า บุรุษมีความต้องการ ด้วยไฟ มาถือเอาไม้สาหรับสีไฟเข้าด้วยหวังจะให้เกิดไฟ บุรุษนั้นไม่อาจให้ไฟเกิดข้ึนได้ ตอ้ งเหน็ดเหน่ือยลาบากเปล่า เพราะไมน้ ้ันยังสดมียางอยู่ทง้ั บุคคลตง้ั ไว้ในนา้ ฉะนัน้ ๒. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหน่ึง แม้มีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมี ความพอใจรักใคร่ในกาม ยังละให้สงบระงับด้วยดีในภายในไม่ได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าน้ัน แม้ได้เสวยทุกขเวทนาเช่นนนั้ ทเ่ี กิดเพราะความเพียรกด็ ี ไม่ได้เสวยกด็ ี กไ็ มค่ วรจะตรัสรู้อุบาย น้ันได้ เหมือนไม้สดท่ีชุ่มด้วยยาง แม้ห่างไกลจากน้า บุคคลตั้งไว้บนบก บุรุษก็ไม่อาจจะสี ให้เกิดไฟได้ ถ้าสีเข้าก็ต้องเหน็ดเหนื่อยลาบากเปล่า เพราะไม้น้ัน แม้ต้ังอยู่บนบกแล้ว ก็ยัง เปน็ ของสดชุ่มดว้ ยยาง ฉะนนั้ ๓. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ซึ่งมีกายหลีกออกจากกามแล้วและ ละความพอใจรักใคร่ในกามได้ด้วยดีในภายในแล้ว สมณะหรือพราหมณ์เหล่าน้ัน ได้เสวย ทุกขเวทนาเช่นน้ันที่เกิดเพราะความเพียรก็ดี แม้ไม่ได้เสวยเลยก็ดี ก็ควรจะตรัสรู้อุบายนั้นได้ เหมือนไม้แห้งท่ีไกลจากน้า บุคคลต้ังไว้บนบก บุรุษอาจสีให้เกิดไฟข้ึนได้ เพราะเป็นของแห้ง และต้ังอย่บู นบกฉะนั้น ทรงบาเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ๓ วาระ ในเวลานั้นพระองค์ทรงคิดจะทาความเพียรเพื่อจะป้องกันจิตไม่ให้น้อมไปใน กามารมณ์ได้ จึงทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา คือ ทรมานพระกายให้ลาบาก ซ่ึงเป็นที่นิยมกัน ในคร้งั นนั้ ว่าเป็นกศุ ลวตั รอันวเิ ศษ อาจจะทาให้ส่ิงทปี่ รารถนาสาเร็จได้ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๒๙ วาระท่ี ๑ ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กัดฟัน) กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (ใช้ลิ้นกดเพดาน) ไว้ให้แน่นจนพระเสโท (เหง่ือ) ไหลออกจากพระกัจฉะ (รักแร้) ในเวลาน้ัน ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้า เปรียบเหมือนบุรุษมีกาลังมากจับบุรุษท่ีมีกาลังน้อยท่ีศีรษะหรือ ท่ีคอไว้ บีบให้แน่น แม้พระกายกระวนกระวายไม่สงบระงับอย่างนี้ ทุกขเวทนาน้ันก็ไม่อาจ ครอบงาพระหฤทัยให้กระสับกระส่ายได้ พระองค์มีพระสติต้ังมั่นไม่ฟ่ันเฟือนปรารภความ เพยี รไมท่ ้อถอย คร้ันทรงเห็นวา่ การทาอยา่ งน้ไี มใ่ ช่ทางตรสั รู้จงึ ทรงเปล่ียนอยา่ งอืน่ วาระท่ี ๒ ทรงกล้ันลมอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า หายใจออก) ไม่ให้เดินสะดวก โดยช่องพระนาสิก (จมูก) และช่องพระโอษฐ์ (ปาก) ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณ (หู) ท้ัง ๒ และปวดพระเศียร เสียดพระอุทรร้อนในพระกายเป็นกาลัง แม้จะประสบทุกขเวทนา มากถึงเพียงนี้ ทุกขเวทนานั้นก็ไม่ได้ครอบงาพระทัยให้กระสับกระส่ายได้ มีพระสติต้ังมั่น ไม่ฟ่ันเฟือนปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ครั้นทรงเห็นว่าการทาอย่างนี้ ไม่ใช่ทางตรัสรู้จึง ทรงเปลย่ี นวิธอี ย่างอนื่ อกี วาระท่ี ๓ พระโพธิสัตว์ดาริว่า เราจะกระทาทุกรกิริยาให้ถึงที่สุดแห่งความเพียร อย่างอุกฤษฏ์ จึงเสด็จเข้าไปบิณาบาต แล้วทรงปริวิตกว่า ถ้าเรายังกังวลอยู่กับแสวงหาอาหาร มิเป็นการสมควร ตั้งแต่นั้นไป เมื่อพระองค์ประทับนั่งใต้ต้นไม้ใด ก็เสวยผลที่หล่นจาก ต้นไม้นั้น ภายหลังไปบิณาบาต ได้อาหารมาก็ผ่อนเสวยให้ลดน้อยลง เสวยแต่วันละน้อย ๆ กระทั่งไม่เสวยเลย จนพระวรกายเห่ียวแห้ง พระฉวี (ผิวพรรณ) เศร้าหมอง พระอัฐิ (กระดูก) ปรากฏท่ัวพระวรกาย เมื่อทรงลูบพระวรกาย เส้นพระโลมา (ขน) มีรากอันเน่าหลุดร่วงจาก ขุมพระโลมา พระกาลังน้อยถอยลง จะเสด็จไปทางไหนก็ซวนล้ม จาเดิมแต่ตัดอาหาร เสยี ท้งั ส้นิ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ก็อันตรธานไปส้ิน พระมังสะ (เนื้อ) พระโลหิต (เลือด) ก็เหือดแห้งซูบผอมยิ่งนัก ยังแต่พระตจะ (หนัง) หุ้ม พระอฐั ิ (กระดูก) จนชนทั้งหลายได้เห็นแล้วกล่าวทักว่า พระสมณโคดมดาไป บางพวกกล่าว วา่ ไมด่ าเปน็ แตค่ ล้าไป บางพวกกลา่ วว่าไมเ่ ป็นอย่างน้ัน เปน็ แต่พรอ้ ยไป ปญั จวคั คยี อ์ อกบวชตาม ฝ่ายโกณาัญญพราหมณ์ ได้สดับข่าวพระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา จึงไปหาบุตร พราหมณ์ท้ัง ๗ คน ซึ่งทานายลักษณะด้วยกันกล่าวว่า บัดนี้ สิทธัตถราชกุมาร เสด็จออก บรรพชาแล้ว พระองค์จะไดต้ รัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ถ้าบิดาของท่านมีชีวิตอยู่จะออกบวช หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๐ ด้วยกัน ถ้าว่าท่านทั้งหลายปรารถนาจะบวชก็จงมาบวชตามพร้อมกันเถิด บุตรพราหมณ์ท้ัง ๗ คน ยอมจะบวชเพียง ๔ คน โกณาัญญะจึงพามาณพทั้ง ๔ คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ออกบรรพชา รวมเป็น ๕ ด้วยกัน จึงมีช่ือว่า ปัญจวัคคีย์ แปลว่า พวกห้าคน ชวนกันสืบเสาะติดตามพระมหาบุรุษในคาม (หมู่บ้าน) นิคม (ตาบล) ต่าง ๆ มาพบพระองค์ ณ อรุ ุเวลาประเทศ ได้เหน็ พระองค์กาลังกระทาความเพียรอยู่ดาริว่า คงจะได้ตรัสรู้แน่ จึงพา กันทาวตั รปฏบิ ตั อิ ปุ ฏั ฐากต่าง ๆ พระผ้มู พี ระภาคทรงบาเพญ็ ทกุ รกริ ิยา นับแต่การทรงผนวชมาได้ ๖ ปี อยู่มาวันหนึ่ง ทรงประชวร บังเกิดพระกายอ่อนเพลียอิดโรยหิวโหย จนกระทั่งทรงวิสัญญีภาพ (สลบ) ล้มลงไป เมื่อทรงได้สัญญาฟื้นคืนสติ ทรงดาริว่า เรายังประกอบด้วยลมหายใจ นับว่ายังเป็น ความพยายามท่ีหยาบอยู่ จึงทรงกล้ันลมหายใจ เมื่อลมหายใจมิอาจออกช่องนาสิก (จมูก) และพระโอษฐ์ (ปาก) ได้ ก็ด้ันด้นไปจะออกทางโสตทวาร (หู) เมื่อมิอาจออกได้ก็ตลบข้ึนไป บนพระเศียร บังเกิดเวทนาอย่างแรงกล้า ทรงพระดาริว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่า หน่ึง ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแรงอันกล้าท่ีเกิดเพราะความเพียร ในกาลล่วงแล้วก็ดี จักได้ เสวยในกาลข้างหน้ากด็ ี เสวยอยู่ในกาลบัดน้ีก็ดี ทุกขเวทนาน้ันอย่างมากก็เพียงเท่านี้ ไม่เกิน กว่านี้ไป ถึงอย่างน้ัน เราก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ด้วยทุกรกิริยาท่ีย่ิงยวดน้ีได้ การปฏิบัติเช่นน้ี เห็นจะมิใช่ทางพระโพธิญาณ ชะรอยทางตรัสรู้อย่างอื่นจะพึงมีอยู่กระมัง ครั้นทรงพระดาริ ฉะน้ีแล้วดาริท่ีจะทรงละความเพียรทรมานพระวรกายให้ลาบากนั้น ทาความเพียรเป็นไปใน จิตต่อไป ทรงเห็นว่า ความเพียรเป็นไปในจิตน้ัน คนซูบผอมเช่นเรานี้ไม่สามารถให้เป็นไปได้ จาที่เราจะต้องบริโภคอาหารหยาบ คือ ข้าวสุก ขนมกุมมาสให้มีกาลัง ครั้นทรงอธิษฐาน อยา่ งนนั้ แลว้ ตัง้ แตน่ น้ั มาก็เสวยพระกระยาหารหยาบ ไม่ทรงอดพระกระยาหารต่อไปอกี ในขณะนั้นสมเด็จอมรินทราช ทรงพิณ ๓ สายมาดีดถวาย พระโพธิสัตว์สดับแล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่ามัชฌิมาปฏิบัติเป็นหนทางแห่งโพธิญาณ แต่ร่างกายที่ทุรพลอ่อนกาลังเช่นนี้ มอิ าจจะเจริญสมาธิได้ ควรเสวยอาหารบารงุ รา่ งกายเสียกอ่ น จงึ ทรงเสดจ็ บิณาบาตต่อไป ฝ่ายปัญจวัคคีย์ เห็นเช่นน้ันจึงปรึกษากันว่า พระสิทธัตถกุมาร ทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ก็มิอาจจะตรัสรู้ได้ เด๋ียวนี้ละความเพียรเสียแล้ว มาเสวยพระกระยาหารใหม่ ท่ีไหนเลยจะ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ เราทั้งหลายจะมาเฝ้าอุปัฏฐากเพ่ือประโยชน์อันใด จึงพากันละท้ิงพระโพธิสัตว์เดินทางไปส้ินหนทาง ๑๕ โยชน์ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้ กรุงพาราณสี หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๑ นางสุชาดาถวายขา้ วมธุปายาส กุลธิดาผู้หนึ่งนามว่า สุชาดา เป็นธิดาของเสนกุฏุมพี อยู่บ้านเสนานิคม แห่ง อุรเุ วลาประเทศ เมื่อเจริญวัยนางได้กระทาการบนบานต่อเทวดาที่สิงสถิต ณ ต้นไทรต้นหนึ่ง ใกล้บ้านว่า ถ้าข้าพเจ้าแต่งงานตั้งแต่ยังอยู่ในวัยรุ่นสาวกับชายท่ีมีทรัพย์สมบัติ มีชาติสกุล เสมอกัน ๑ และมีบุตรคนแรกเป็นชาย ๑ ข้าพเจ้าจะทาการบวงสรวงแก้บนแก่พระองค์ด้วย ส่ิงของมีคา่ หน่งึ แสนกหาปณะ ต่อมานางได้สาเร็จสมปรารถนาทุกอย่าง จึงปรารภที่จะทาพลี กรรมบวงสรวงเทวดา จึงให้ทาสกรรมกรของนาง นาแม่วัวนมประมาณ ๑,๐๐๐ ตัวไปเล้ียง ที่ป่าชะเอม ให้กินเครือเถาชะเอมเพื่อหวังจะได้น้านมท่ีหวาน แล้วจึงแบ่งแม่วัวออกเป็น ๒ พวก พวกละ ๕๐๐ ตวั ใหร้ ีดเอาน้านมแห่งแม่วัว ๕๐๐ ฝ่ายหนึ่ง ไปให้แม่วัวนม ๕๐๐ อีก ฝ่ายหน่ึงด่ืมกิน แล้วให้นาแม่วัวท่ีด่ืมน้านมนั้นไปเลี้ยงในป่าชะเอม แล้วแบ่งออกเป็น ๒ พวก รีดน้านมจากพวกหน่ึงไปให้อีกพวกหนึ่งดื่มกิน ทาอยู่โดยทานองน้ี จนกระท่ังเหลือแม่วัวนม อยู่ ๘ ตัว ในวันขนึ้ ๑๔ คา่ เดือน ๖ ในเวลาใกล้รุ่ง นางให้คนไปจับแม่วัวนมท้ัง ๘ ผูกไว้แล้ว รีดน้านมใส่กระทะบนเตาไฟหุงข้าวมธุปายาส พอราตรีสว่างข้ึน ๑๕ ค่า แห่งวิสาขปุณณมี พระบรมโพธิสัตว์ทรงชาระสรีรกายแล้วประทับนั่งที่โคนต้นไทร ฝ่ายนางสุชาดาใช้นางปุณณทาสี ไปกวาดใต้ต้นไทร นางไปพบพระโพธิสัตว์เข้าใจว่าเป็นเทวดาน่ังคอยรับเคร่ืองพลีกรรม จึงรีบกลับมาบอกนางสุชาดา นางสุชาดาพร้อมด้วยบริวารนาข้าวมธุปายาสไปยังต้นไทร เห็นพระมหาบุรุษก็เกิดโสมนัสยินดี จึงนาข้าวมธุปายาสเข้าไปถวายพร้อมท้ั งถาดทอง ประณตไหวแ้ ลว้ กล่าวว่า มโนรถของขา้ สาเร็จฉันใด ขอส่ิงทพ่ี ระองค์ประสงค์จงสาเร็จ ฉันนั้น แล้วทลู ลากลบั พระสบุ นิ นิมิต ในคนื วนั น้ันพระบรมโพธิสตั วบ์ รรทมหลับไป ทรงสุบินนมิ ิต ๕ ประการ คือ ๑. พระองค์ทรงบรรทมหงายบนพื้นดินมีภูเขาหิมวันต์เป็นเขนย พระพาหาซ้าย หย่ังลงไปในมหาสมุทรทิศบูรพา พระพาหาขวาหยั่งลงไปในมหาสมุทรทิศปัจจิม พระบาทท้ังคู่ หย่งั ลงไปในมหาสมุทรทิศทักษิณ ๒. หญา้ แพรกงอกขนึ้ แต่พระนาภี (สะดือ) สงู ขึ้นไปถึงท้องฟา้ ๓. หมหู่ นอนตวั ขาวหัวดาไตข่ นึ้ มาจากพระบาทจนถึงพระชาณุ (เข่า) หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๒ ๔. นก ๔ จาพวก คือ สีเหลือง สีเขียว สีแดง และสีดา บินมาจากทิศทั้ง ๔ มาจับ ฟบุ ลงแทบพระบาท แล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปทง้ั สิน้ ๕. พระองค์เสด็จข้ึนไปจงกรมบนยอดเขาที่เปรอะเป้ือนไปด้วยมูตรคูถ แต่พระบาท ของพระองค์มไิ ดเ้ ปรอะเปอ้ื น พระองคท์ รงทานายดว้ ยพระองคเ์ องวา่ ข้อ ๑ เปน็ นมิ ิตท่ีจะได้ตรัสรู้พระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณ ขอ้ ๒ เปน็ นิมติ ทเ่ี ทศนาอริยมรรค ๘ ประการ แก่เทวดาและมนษุ ย์ท้ังหลาย ข้อ ๓ เป็นนิมิตที่หมู่คฤหัสถ์จะมาสู่สานักของพระองค์เป็นอันมากและบรรลุ ไตรสรณคมน์ ข้อ ๔ เปน็ นมิ ติ ว่าวรรณะท้ัง ๔ จะมาบวชในพระธรรมวนิ ัยและตรสั รู้วิมุตตธิ รรม ขอ้ ๕ เป็นนมิ ติ ว่าพระองค์จะได้ปัจจยั ๔ แต่ไม่ตดิ อยใู่ นปัจจยั เหลา่ นน้ั ทรงลอยถาด พระโพธิสัตว์ทรงรับถาดข้าวมธุปายาสแล้วทรงถือถาดข้าว เสด็จมายังริมฝั่งแม่น้า เนรัญชรา เสด็จสรงชาระพระวรกายให้สะอาดแล้วข้ึนมาประทับนั่งป้ันข้าวมธุปายาสได้ ๔๙ ป้ัน ทรงเสวยจนหมดแล้วถือถาดพลางอธิษฐานว่า ถ้าอาตมาจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมโลกนาถ ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้าขึ้นไป จึงลอยถาดในแม่น้า ขณะนั้นถาดก็ได้ ลอยทวนกระแสนา้ ไปไกลประมาณ ๘๐ ศอกแล้วจมลง พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ดงั นนั้ กท็ รงโสมนสั เสด็จกลับป่าสาลวัน เสด็จสู่ต้นพระศรมี หาโพธ์ิ พอตะวันบ่ายก็เสด็จจากป่ารัง ทรงรับหญ้าคา ๘ กามือ ท่ีโสตถิยพราหมณ์ถวาย ในระหว่างทาง เสด็จไปใกล้บริเวณต้นโพธ์ิแล้วทรงปูลาดหญ้าคา อธิษฐานเป็นรัตนบัลลังก์ ประทับนั่งหันพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา พระปฤษฎางค์ไปทางลาต้นมหาโพธ์ิ ขัดสมาธิต้ัง พระกายตรงดารงพระสติมั่นเจริญอานาปานสตภิ าวนาแลว้ ตั้งสตั ยาธิษฐานว่า ถ้ากมลสันดาน ยังไม่พ้นอาสวะกิเลสตราบใด แม้พระมังสะ (เน้ือ) พระโลหิต (เลือด) จะเหือดแห้งไป เหลือแต่ พระตจะ (หนงั ) นหารุ (เอ็น) พระอัฐิ (กระดูก) กต็ ามที อาตมาจะไม่ลุกขึ้นจากบลั ลงั กน์ ี้ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๓ ทรงผจญวสวัตตมี าร ในกาลนั้น พญาวัสสวดีมาร ผู้มีใจบาป ติดตามพระมหาบุรุษอยู่ทุกเม่ือ จึงดาริว่า พระสทิ ธตั ถกุมารปรารถนาจะพน้ วสิ ัยแห่งเรา เราควรจะทาอันตราย อย่าให้พ้นวิสัยเราไปได้ แล้วประกาศใหพ้ ลเสนามารมาประชุมพร้อมกัน ให้เนรมิตกาย มีประการต่าง ๆ แล้วยาตราทัพ ไปสู่ต้นมหาโพธิ์ กระทาการพุ่งรบมีประการต่าง ๆ ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์ ทอดพระเนตรเห็น พญามาร ทรงช้างคิรีเมขละพร้อมด้วยพลเสนามารเป็นจานวนมากมีอาวุธครบมือ ทรงราพึง ในพระทัยว่า ข้าศึกเป็นจานวนมาก จะกระทาการย่ายีอาตมาเพียงผู้เดียว ในที่น้ี พระประยูรญาติ พระราชบิดา และพน่ี อ้ งญาตมิ ติ รผู้ที่จะเป็นที่พึ่งพานักและช่วยรบปัจจามิตรก็ไม่มี เว้นเสียแต่ บารมีเท่าน้ัน ดังนั้น พระองค์จึงทรงระลึกถึงบารมี ๓๐ ประการ และบุรุษโยธา ๗ ประการ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา หิริ และโอตตัปปะ เข้าต่อสู่กับพญามาร จนพญามาร พ่ายแพ้ยกหัตถ์ข้ึนนมัสการกล่าวสรรเสริญแล้วกลับไป พระโพธิสัตว์ขจัดมารเสียได้ก่อนที่ พระอาทติ ย์จะอสั ดงคต บาเพ็ญเพียรทางใจและไดต้ รสั รู้ ฝ่ายพระผู้มีพระภาค ครั้นเสวยพระกระยาหารหยาบ ทาพระวรกายให้กลับมี พระกาลงั ข้ึนไดอ้ ยา่ งเก่าแลว้ ทรงเรมิ่ ความเพียรเปน็ ไปในจิตเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียวจนเป็น สมาธิ พระองค์ได้บรรลุฌานท่ี ๑ ฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔ โดยลาดับ เม่ือจิตต้ังม่ันเป็น สมาธิบรสิ ทุ ธป์ิ ราศจากเครื่องเศร้าหมอง ไมม่ คี วามพอใจรักใครใ่ นกามเป็นต้นอย่างน้ีแล้วทรง คานงึ ถึงอบุ ายที่จะใหพ้ น้ จากชราพยาธิมรณะที่พระองค์ได้แสวงหาอยู่นั้นต่อไป ทรงพระดาริว่า ก็สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่ิงนั้นต้องมีชรา พยาธิ มรณะ เป็นธรรมดา ใคร ๆ จะปรารถนา อย่าให้ชรา พยาธิ มรณะ เลย ไม่เป็นที่ต้ังแห่งความสมประสงค์ได้ ความทุกข์หนักพระทัย เพราะชรา พยาธิ มรณะนั้น ย่อมมีเพราะความถือมั่นว่ามีแก่ตน ถ้าไม่ถือม่ันอย่างน้ันแล้ว ทุกข์น้ันก็ไม่ครอบงาจิตได้อย่างนี้แลเป็นอุบายท่ีจะให้พ้นจากชรา พยาธิ มรณะได้ คร้ันเม่ือ พระผู้มพี ระภาคทรงพระดาริฉะน้ีแลว้ จงึ ทรงแสวงหาอบุ ายเปน็ เหตุไม่ถอื ม่ันตอ่ ไป ก็ความไม่ ถือม่นั นนั้ จะมไี ด้ กเ็ พราะพิจารณาแยกกายใจนี้ออกเป็นส่วน เป็นกอง พิจารณาเห็นแต่เพียง เป็นส่วนเป็นกองท่ัวท้ังหมด พระผู้มีพระภาคได้ทรงกาหนดเห็นกายใจของพระองค์ ในกาล ท่ลี ่วงไปแลว้ ก็ดี ที่มีอยู่ ณ บัดน้ีก็ดี เป็นส่วน ๆ เป็นกอง ๆ ท่ัวท้ังหมด ตามอย่างท่ีกล่าวแล้ว ข้อน้เี ป็นวิชชาท่ี ๑ พระองค์ไดต้ รัสร้เู องโดยลาพังในยามต้นแห่งราตรีน้ัน หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๔ เม่ือวิชชาท่ี ๑ เกิดขึ้น กาจัดอวิชชาความไม่รู้เป็นเหตุให้หลงมืดอยู่ในกายใจ อยา่ งนีแ้ ลว้ พระองคท์ รงปรารภสว่ นขนั ธ์ (กอง) ของเหล่าสัตว์ ซ่ึงได้กาหนดรู้แล้วน้ันซ่ึงเรียก โดยสมมติว่าสัตว์อันเกิดแล้วจุติเคล่ือนไปเหมือนกันหมด แต่เหตุไฉน บางพวกจึงต่าช้า เลวทราม บางพวกประณีต บางพวกมีผิวพรรณอันดี บางพวกมีผิวพรรณทราม บางพวกได้สุข บางพวกได้ทุกข์ ทรงเห็นด้วยพระญาณดังจักษุทิพย์อันบริสุทธ์ิ ล่วงญาณท่ีเป็นของมนุษย์ สามัญว่าส่วนขันธ์ (กอง) ท่ีเรียกตามสมมติว่าสัตว์น้ัน ท่ีเกิดแล้วจุติเคลื่อนไปเหมือนกันหมด แตเ่ ป็นตา่ งกันดังนี้ เพราะเป็นไปตามกรรมที่ตัวกระทา ข้อน้ีเป็นวิชชาท่ี ๒ ในยามเป็นท่ามกลาง แหง่ ราตรีนัน้ เม่ือวิชชาท่ี ๒ เกิดข้ึน กาจัดอวิชชาความไม่รู้ ท่ีเป็นเหตุให้หลงมืดในความเป็น ต่าง ๆ แห่งส่วนแห่งขันธ์ (กอง) ท่ีเรียกตามสมมติว่า สัตว์อันเกิดข้ึนแล้วจุติเคล่ือนไปดังนี้แล้ว ก็ชือ่ วา่ ได้ทรงเห็นลักษณะทั้ง ๒ คือ ปัจจัตตลักษณะ คือ กาหนดโดยความเป็นส่วนเป็นขันธ์ (กอง) และสามัญลักษณะ คือ กาหนดโดยความเป็นสภาพเสมอกัน คือ ความเป็นของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตน ครั้นทรงเห็นลักษณะท้ัง ๒ อย่างนี้แล้ว พระองค์ทรงกาหนด เหน็ ส่วนขันธ์ (กอง) เหล่านั้นว่าเป็นเพียงทุกข์ คือ สิ่งอันสัตว์ถือมั่นว่าเป็นของตน แล้วก็อดทน ได้ยาก ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก เป็นปัจจัยแห่งความถือมั่นนั้น เป็นเหตุให้ทุกข์น้ันเกิด ความดบั แหง่ ทุกขท์ ่เี ปน็ ผลน้ัน ย่อมมีเพราะความดับแห่งตัณหาที่เป็นเหตุ ปัญญาอันเห็นชอบ ความดาริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เล้ียงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ เปน็ ทางใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ และทรงกาหนดรอู้ าสวะกิเลสท่หี มกั ดองอยใู่ นสนั ดาน เหตุให้เกิด อาสวะ ความดับอาสวะและข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับอาสวะ แจ้งชัดตามเป็นจริงแล้ว อย่างไร เม่ือพระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะท้ังปวงไม่ถือมั่น ข้อน้ีเป็นวิชชาท่ี ๓ พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วโดยลาพังพระองค์เอง ในยามเป็นที่สุดแห่งราตรีนั้น กาจัดอวิชชา ความไม่รู้แจ้งที่เหตุให้หลงมดื ไม่รู้ในอริยสัจทัง้ ๔ เสยี ได้ วิชชาหรือญาณ ๓ อย่างน้ี พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วในราตรีแห่งวิสาขบุรณมีดิถีเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ท่ีใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์ (โพธิ์) เพราะตรัสรู้วิชชา ๓ อย่างนี้ได้ โดยลาพัง พระองค์เองแล้ว ทาจิตให้พ้นจากกิเลสอาสวะได้ส้ินเชิง พระองค์จึงได้พระนามโดยคุณนิมิตว่า อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า ผู้ไกล ผู้ควร ผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ ดังนั้น ใน ๓ ยามแห่ง ราตรี จึงสรปุ ได้ ดังนี้ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๕ ปฐมยาม ในราตรีปฐมยาม พระมหาบุรุษทรงเจริญสมาธิภาวนายังสมาบัติ ๘ ประการ ให้บังเกิดขึ้นแล้วทรงบรรลุญาณท่ี ๑ คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้ระลึกชาติหนหลัง ของพระองค์ได้ ด้วยกาลังอภิญญา โดยปฏิโลมตั้งแต่บัลลังก์อาสน์ หน่ึงชาติ สองชาติ จนกระทั่งหาประมาณมไิ ด้ มัชฌิมยาม ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หรือทิพยจักขุญาณ พระองค์ทรงมีทิพย์จักษุ ล่วงจักษุมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ที่จุติและบังเกิด ท่ีต่าช้าและประณีตมีผิวพรรณทรามและดีใน ทุคตแิ ละสุคติ ตามสมควรแกอ่ กศุ ลและกุศลทต่ี นได้กระทาไว้ เหมือนบุรุษท่ีอยู่ในที่สูง ใกล้ทาง ๔ แพรง่ สามารถเหน็ เหลา่ ชนที่สญั จรไปมาจากท่นี ้สี ทู่ ีโ่ น้นได้ ปจั ฉมิ ยาม ในปัจฉิมยาม สมัยใกล้รุ่ง ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ทรงพิจารณาปัจจยาการ ในปฏิจจสมุปบาทธรรม คือ อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เป็นต้น อันเป็นปัจจัยอาศัย ซ่ึงกันและกันเกิดข้ึนเป็นลาดับ นับว่าเป็นท่ีเกิดแห่งกองทุกข์ท้ังปวง แล้วพิจารณาถึงการดับ ทกุ ขท์ ัง้ มวลว่า เม่อื อวิชชาดบั สงั ขารกพ็ ลอยดบั ตามไปด้วย เป็นต้น ทรงพิจารณาทั้งโดยส่วน อนุโลมและปฏโิ ลม พออรุณทอแสงขึ้นจับขอบฟ้า พระบรมโพธิสัตว์ก็ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณดับส้ิน กิเลสาสวะเป็นสมุจเฉทปหานพร้อมด้วยความมหัศจรรย์ หม่ืนโลกธาตุบันลือล่ันหว่ันไหว ท่ัวปฐพีดล พระทศพลจึงเปล่งสีหนาท เป็นปฐมอุทานเยาะเย้ยตัณหา ด้วยพระคาถาว่า อเนกชาติ สสาร เป็นต้น หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๖ ปริเฉทท่ี ๓ สตั ตมหาสถาน เสวยวมิ ุตติสขุ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าได้ตรัสรู้วิชชา ๓ ประการโดยชอบแล้ว ประทับอยู่ ณ ภายใต้ร่ม พระศรีมหาโพธ์ินั้นซึ่งต้ังอยู่ท่ีริมฝ่ังแม่น้าเนรัญชรา ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ (ปัจจุบนั เรยี กว่า พทุ ธคยา รฐั พิหาร อินเดีย) สัปดาห์ท่ี ๑ ทรงเสวยวิมุตติสุข (สุขเกิดแต่ความพ้นจากกิเลสอาสวะ) สิ้นกาล ๗ วัน คร้ังนั้นทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท (สภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น) ท่ีทรงกาหนดรู้แล้วน้ันตามลาดับ และถอยกลับทั้งข้างเกิด ท้ังข้างดับ ตลอดยามสามแห่งราตรีแล้ว เปล่งอุทาน (พระวาจาที่ เปล่งขน้ึ โดยความเบกิ บานพระหฤทัย) ในยามละครง้ั อุทานในปฐมยาม (ยามต้น) ว่า เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจ ๔ ปรากฏชัดแก่ พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ เมื่อน้ัน ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์น้ัน ย่อมฉิบหายไป เพราะพราหมณ์น้ันรู้แจ้งธรรมคือกองทุกข์ทัง้ สิ้นกับท้งั เหตุ อุทานในมัชฌิมยาม (ยามท่ามกลาง) ว่า เม่ือใด ธรรมท้ังหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ เม่ือน้ัน ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมส้ินไป เพราะพราหมณ์ นนั้ ไดร้ คู้ วามส้ินแห่งปัจจยั ทั้งหลาย อุทานในปัจฉิมยาม (ยามท่ีสุด) ว่า เมื่อใด ธรรมท้ังหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ เมื่อน้ันย่อมกาจัดมารและเสนามาร คือ ชรา พยาธิ มรณะ เสียได้ ดุจพระอาทติ ย์อุทยั กาจดั มืดทาอากาศให้สวา่ งฉะน้ัน สัปดาห์ท่ี ๒ เสด็จออกจากร่มภายใต้พระศรีมหาโพธิ์ไปทางทิศอีสานประทับยืน ทอดพระเนตรโดยมไิ ด้กระพริบ บชู าต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ตลอด ๗ วนั สถานที่นนั้ จึงไดน้ ามวา่ อนิมิสสเจดยี ์ สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จจากท่ีนั้นกลับมาหยุด ณ ระหว่างต้นพระศรีมหาโพธ์ิกับอนิมิสส เจดีย์ อธิษฐานสถานที่จงกรม ทรงจงกรมกลับไปกลับมาตลอด ๗ วัน สถานท่ีน้ัน จึงได้นาม วา่ รตั นจงกรมเจดีย์ สัปดาห์ท่ี ๔ เสด็จไปสู่สถานท่ีซึ่งเทวดาเนรมิตข้ึนในทิศพายัพแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงพิจารณาพระอภิธรรม เม่ือทรงพิจารณาถึงมหาปัฏฐาน ซ่ึงมีปัจจัย ๒๔ พระฉัพพรรณรังสี หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๗ คือ รัศมี ๖ ประการ ก็โอภาส แผ่ซ่านออกจากพระสรีรกายแวดล้อมไปโดยรอบประมาณ ๑๒ ศอก สถานทนี่ ้นั เรยี กวา่ รตั นฆรเจดยี ์ (เรือนแก้ว) สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จออกจากภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ไปยังภายใต้ร่มไทร ซึ่งเป็น ที่พักแห่งคนเลี้ยงแพะ อันได้ช่ือว่า อชปาลนิโครธ ทรงน่ังเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน ขณะน้ัน มีพราหมณ์คนหนึ่ง มีชาตินิสัยชอบตวาดคนอื่นว่า หึ หึ เดินมายังที่น้ัน ทูลถามถึงพราหมณ์ และธรรมซึ่งทาบุคคลให้เป็นพราหมณ์ว่า บุคคลช่ือว่าเป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงเท่าไรและ ธรรมอะไรทาบุคคลใหเ้ ป็นพราหมณ์ พระองค์ตรัสตอบว่า พราหมณ์ ผู้ใดมีบาปธรรมอันลอย เสียแล้ว ไม่มีกิเลสเป็นเคร่ืองขู่คนอ่ืนว่า หึ หึ เป็นคาหยาบ และไม่มีกิเลสย้อมจิตให้ติดแน่น ดุจน้าฝาด มตี นสารวมจบเวท คอื วชิ ชาทงั้ ๓ แลว้ มพี รหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว ผู้นั้นไม่มีกิเลส เครือ่ งฟขู ึน้ ในโลกแม้หน่อยหนงึ่ ควรกล่าวถ้อยคาว่า ตนเปน็ พราหมณ์โดยธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสมณะและธรรมท่ีทาบุคคลให้เป็นสมณะว่า เป็น พราหมณ์ ในพระพุทธศาสนาด้วยพระวาจาน้ี อธิบายว่า พราหมณ์พวกหนึ่ง ถือตัวว่าเป็น เหล่าก่อสืบเน่ืองมาแต่พรหม จึงได้นามว่าพราหมณ์ แปลว่า เป็นวงศ์พรหม พราหมณ์นั้น ระวังชาติของตนไม่ให้ปนคละด้วยชาติอ่ืน แม้จะหาสามีภริยาก็หาแต่พวกพราหมณ์เท่านั้น เพราะจะไม่ให้เจือปนด้วยชาติอื่น เขาถือว่าตัวเขาเป็นอุภโตสุชาต เกิดแล้วดีท้ัง ๒ ฝ่าย คือ ทง้ั ฝา่ ยมารดาบดิ า เป็นสังสุทธคหณี มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดี แม้ชาติอ่ืนท่ีนับว่าต่า กว่าชาติพราหมณ์ ก็นับถือพราหมณ์เหมือนคนนับถือพระพุทธศาสนา นับถือสมณะ พราหมณ์น้ันมีวัตรเคร่ืองทรมานกายให้ลาบากโดยอาการต่าง ๆ เรียกว่า พรหมจรรย์ ผู้ใด ประพฤติวัตรน้ัน ชื่อว่าประพฤติพรหมจรรย์ และเขามีวิธีลอยบาปหรือล้างบาป คือ ต้ังพิธี อย่างหน่ึงเป็นงานประจาปี ที่เรียกว่าศิวาราตรี ในพิธีนั้นเขาลงอาบน้าในแม่น้า สระเกล้า ชาระกายให้หมดจดแล้ว ถือว่าได้ลอยบาปไปตามกระแสน้าแล้ว เป็นสิ้นบาปกันคราวหน่ึง ถึงปีก็ทาใหม่ เขามีเวท ๓ อย่าง ชื่ออิรุพเพท ๑ ยชุพเพท ๑ สามเพท ๑ ถ้าเติมอถัพเพท เข้าด้วย เป็น ๔ คือ คัมภีร์แสดงการบูชายัญ และกิจท่ีจะต้องทาในศาสนาของเขา ผู้ใดเรียน จบเพท ท้ัง ๓ หรือ ทง้ั ๔ นนั้ แล้ว ช่ือว่าถึงท่ีสุดเพท พราหมณ์ก็คือคนชาตินั้น ธรรมท่ีทาบุคคล ให้เป็นพราหมณ์ กค็ อื ไตรเพท สัปดาห์ท่ี ๖ เสด็จออกจากร่มไม้อชปาลนิโครธ ไปยังไม้จิกซึ่งมีชื่อว่ามุจลินท์ ทรงนั่ง เสวยวิมุตติสุข ๗ วัน ทรงเปล่งอุทาน ณ ที่น้ันว่า ความสงัดเป็นสุขของบุคคลมีธรรมอันได้ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๘ สดับแล้วยินดีอยู่ในที่สงัด รู้เห็นสังขารท้ังปวง ตามเป็นจริงอย่างไร ความเป็นคนไม่มีความ เบียดเบียน คือความสารวมในสัตว์ทั้งหลาย และความเป็นคนไม่มีความกาหนัดในสันดานแล้ว คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ด้วยประการท้ังปวง เป็นสุขในโลก ความนาอัสมิมานะ คือ ความถือว่าตัวตนให้หมดได้นี้ เป็นสุขอย่างยิ่ง ในที่นั้นมีพญานาคตนหน่ึง ชื่อมุจลินท์ บังเกิด อยู่ในสระโบกขรณี อยู่ใกล้ต้นจิกเข้ามาวงขนดกาย ๗ รอบ วงรอบพระวรกายพระพุทธองค์ และแผ่พังพานป้องกันฝนมิให้ถูกพระวรกาย เมื่อฝนหายไปแล้ว จึงจาแลงเพศเป็นมาณพ ยืนถวายสกั การะเฉพาะพระพกั ตร์แลว้ หลีกไป สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จออกจากร่มไม้มุจลินท์ไปยังไม้เกตซ่ึงได้นามว่า ราชายตนะ ซ่ึงมี อยู่ทางทิศทักษิณแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงน่ังเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน เวลานั้นมีพาณิชสองคน ช่ือตปุสสะ ๑ ภัลลิกะ ๑ เดินทางไกลมาจากอุกกลชนบทถึงท่ีน้ัน ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทบั อยภู่ ายใต้ต้นไม้ราชายตนะ จึงนาสตั ตผุ งสตั ตกุ อ้ นซึง่ เป็นเสบียงสาหรับเดินทางเข้าไป ถวายแล้ว ขณะนั้นบาตรของพระองค์ไม่มี ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงได้นาบาตรศิลามาถวาย เมือ่ พระพทุ ธองค์ทรงรับแล้วทาภตั กิจเสร็จ พาณิช ๒ พี่น้องแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระพุทธ กบั พระธรรมเป็นสรณะท่ีพึ่ง ประเภทเทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) นับว่า เปน็ อุบาสกคนแรกในโลกแล้วขอสงิ่ ของทรี่ ะลึก พระพุทธองคท์ รงประทานพระเกศา ๘ เสน้ สหัมบดพี รหมอาราธนา พระสัมมาสมั พุทธเจ้าเสด็จออกจากร่มไม้ราชายตนะเสด็จกลับไปประทับภายใต้ร่ม ไม้อชปาลนิโครธอีก พระองค์ดาริถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วว่าธรรมท่ีตถาคตตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งสุขุม ยากที่เหล่าสัตว์จะรู้ตามได้ ไม่ทรงเห็นใครท่ีเหมาะสม ขณะนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ได้ทราบพุทธดาริแล้ว จึงได้เข้าเฝ้ากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ ทรงอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์ จึงพิจารณาดูว่า จะมีผู้รู้ทั่วถึงธรรมน้ันบ้างหรือไม่ เมื่อทรง ตรวจดูแล้วทรงดาริต่อไปว่า บุคคลท่ีมีกิเลสน้อยเบาบางก็มี กิเลสหนาก็มี มีอินทรีย์ คือ ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญาแก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการอันดีก็มี มีอาการอันช่ัว ก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้โดยยากก็มี เป็นผู้สามารถจะรู้ได้ก็มี ไม่สามารจะรู้ได้ก็มี เปรียบด้วยในกออุบลหรือในกอบัวหลวงหรือในกอบัวขาว ดอกบัวที่เกิด แล้วในน้า เจริญแล้วในน้า น้าเล้ียงอุปถัมภ์ไว้ บางเหล่ายังจมอยู่ในน้า บางเหล่าต้ังอยู่เสมอน้า หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๓๙ บางเหล่าตั้งข้ึนพ้นน้า ในดอกบัว ๓ เหล่านั้น ดอกบัวท่ีตั้งข้ึนพ้นน้าแล้วน้ัน พอได้รับแสง พระอาทิตย์ก็จักบานในวันนี้ ดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้านั้นจักบานในวันรุ่งขึ้น ดอกบัวท่ียังจม อยู่ในน้า จักบานในวนั ต่อ ๆ ไป ดอกบัวที่จักบานมี ๓ อย่างฉันใด บุคคลที่สามารถจะรู้ธรรม พิเศษได้ ก็เป็น ๓ จาพวกฉันน้ัน คือ อุคฆติตัญญู ๑ วิปจิตัญญู ๑ เนยยะ ๑ ในบุคคล ๓ จาพวกนน้ั บุคคลใด มีอุปนิสัยสามารถจะรู้จักธรรมพิเศษได้โดยพลัน พร้อมกับเวลาท่ีท่านผู้รู้ แสดงธรรมสง่ั สอน บุคคลนั้นชอ่ื วา่ อุคฆติตญั ญู บุคคลใดเม่ือฟังคาอธิบายความแห่งคาที่ย่อให้พิสดารออกไปจึงจะรู้ธรรมพิเศษนั้นได้ บุคคลนนั้ ชือ่ วา่ วปิ จิตญั ญู บุคคลใด เมื่อพากเพียร จาอุทเทส ถามความ ใคร่ครวญโดยอุบายที่ชอบ คบกัลยาณมิตร จึงจะรธู้ รรมพเิ ศษนนั้ ได้ บุคคลน้นั ชื่อวา่ เนยยะ สว่ นบคุ คลอีกประเภทหนึ่ง แม้ฟังธรรมแล้วจาไว้ได้ บอกกล่าวธรรมนั้นแก่ผู้อื่นเป็น อันมาก ก็ไม่อาจรู้ธรรมพิเศษได้ บุคคลน้ันเป็นคนอาภัพ เปรียบด้วยบัวที่ไม่มีโอกาสบานได้ จกั เปน็ อาหารแห่งปลาและเต่า บุคคลนั้นช่ือวา่ ปทปรมะ หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๐ ปริเฉทที่ ๔ ประกาศพระศาสนา เสด็จโปรดฤษีปัญจวคั คีย์ ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบด้วยพระปัญญาว่า บุคคลผู้ควรจะรู้ท่ัวถึง ได้มีอยู่ อย่างนีแ้ ลว้ ทรงตัง้ พระทยั ในอนั ท่ีจะแสดงธรรมสั่งสอนมหาชน ทรงพระดาริหาคนที่ จะเป็นผู้รับเทศนาทีแรกว่า เราจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนดีหนอ ใครจักรู้ธรรมน้ีได้ฉับพลัน ขณะน้ัน ทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ซึ่งพระองค์เคยไปอาศัยศึกษาลัทธิในสานัก ของท่านในกาลก่อนว่า ท่านท้ังสองเป็นคนฉลาด ท้ังมีกิเลสเบาบาง สามารถจะรู้ธรรมน้ีได้ ฉับพลัน แต่ท่านทั้งสองส้ินชีพเสียแล้ว ต่อมาทรงนึกถึงฤษีปัญจวัคคีย์ว่า ปัญจวัคคีย์มีอุปการะ แก่เรามาก ท่านเหล่านั้นได้เป็นผู้อุปัฏฐากบารุงเราเม่ือคร้ังบาเพ็ญเพียร เราควรจะแสดงธรรม แก่ท่านเหล่าน้ันก่อน จึงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมแก่ฤษีปัญจวัคคีย์ก่อนอย่างนี้แล้ว ทรงพระดาเนินไปโดยทางที่จะไปยังเมืองพาราณสี ครั้นถึงระหว่างแม่น้าคยากับต้นพระศรี- มหาโพธ์ิพบอาชีวกคนหน่งึ ชอื่ อุปกะ เดินสวนทางมา อุปกาชีวกเห็นพระฉวีวรรณของพระองค์ ผุดผ่อง นึกประหลาดใจ จึงทูลถามว่า ใครเป็นศาสดาผู้สอนของท่าน พระพุทธองค์ตรัสว่า เราเป็นสยัมภู ผู้เป็นเองในทางตรัสรู้ ไม่มีใครเป็นครูสั่งสอน อุปกาชีวก ไม่เช่ือ ส่ันศีรษะแล้ว หลีกไป พระองค์เสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ อนิ เดีย) ซง่ึ เป็นทีอ่ ย่แู ห่งฤษปี ญั จวคั คยี น์ ั้น ฝ่ายฤษีปัญจวัคคีย์ ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล จึงนัดหมายกันว่า พระสมณโคดมน้ี ได้คลายความเพียรเวียนมาเพ่ือความเป็นคนมักมากเสด็จมาที่นี่ บรรดา พวกเรา ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ควรไหว้ ไม่ควรลุกข้ึนต้อนรับเธอ ไม่พึงรับบาตรจีวรของเธอเลย ก็แต่ ว่าพวกเราควรต้ังอาสนะที่น่ังไว้ ถ้าเธอปรารถนา ก็จะน่ัง คร้ันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ เข้าไปถึง พวกฤษีปัญจวัคคีย์พูดกับพระองค์ด้วยโวหารไม่เคารพ คือ พูดออกพระนามและ ใช้คาเรียกพระองค์ว่า อาวุโส พระองค์ตรัสห้ามแล้วตรัสบอกว่า เราได้ตรัสรู้อมฤตธรรมโดย ชอบเองแล้ว ท่านทั้งหลายคอยฟังเถิดเราจักสั่งสอน เมื่อท่านทั้งหลายปฏิบัติตามเราส่ังสอน ไม่นานนกั ก็จักบรรลุอมฤตธรรมนน้ั ทรงแสดงปฐมเทศนา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเตือนฤษีปัญจวัคคีย์ให้คอยฟังอย่างนี้แล้ว ฤษี ปัญจวัคคีย์กล่าวค้านลาเลิกเหตุในปางหลังว่า อาวุโส โคดม ด้วยความประพฤติอย่างน้ัน หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๑ ท่านยังไม่บรรลุธรรมพิเศษได้ บัดนี้ ท่านมาปฏิบัติเพ่ือความเป็นคนมักมากแล้ว เหตุไฉน ท่านจักบรรลุธรรมพิเศษได้เล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือนฤษีปัญจวัคคีย์ พูดคัดค้าน โต้ตอบกันอย่างน้ัน ถึง ๒ คร้ัง ๓ ครั้งพระองค์จึงตรัสเตือนให้เธอตามระลึกในหนหลังว่า เธอทั้งหลายจาได้หรือ วาจาเช่นน้ีเราได้เคยพูดแล้วในปางก่อนแต่กาลน้ี ฤษีปัญจวัคคีย์ นึกข้ึนได้ว่า พระวาจาเช่นนี้ไม่เคยมีเลย จึงมีความสาคัญในอันจะฟังพระองค์ทรงแสดงธรรม โดยเคารพพระองค์ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณ โดยการยังวงล้อแห่งธรรมให้เป็นไปแก่ ชาวโลกท้ังปวง ในวนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่า แห่งอาสาฬหมาส (เดอื น ๘) ในวาระแรกทรงประกาศทาง ๒ สาย ทไี่ มค่ วรดาเนิน คือ ๑ กามสขุ ัลลิกานโุ ยค การหมกมุ่นหาความสขุ อยใู่ นกาม ๒ อัตตกลิ มถานุโยค การกระทาความเพยี รโดยการทรมานตนให้ลาบาก ในวาระท่ี ๒ทรงประกาศทางสายกลางที่ควรดาเนินคือ มัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการ คือ ๑ สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ๒ สัมมาสังกัปปะ ดาริชอบ ๓ สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔ สัมมากัมมนั ตะ การงานชอบ ๕ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ ๖ สัมมาวายามะ พยายามชอบ ๗ สัมมาสติ ระลกึ ชอบ ๘ สมั มาสมาธิ ตัง้ ใจมั่นชอบ ในวาระที่ ๓ ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรคว่า ๑ ทุกข์ เป็นสิ่งท่ีควรกาหนดรู้ ๒ สมุทัย เป็นสิ่งท่ีควรละ ๓ นิโรธ เป็นสิ่งท่ีควรทาให้แจ้ง ๔ มรรค เปน็ สิ่งท่ีทาให้เกดิ มีขน้ึ ขณะท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมว่า ข้อนี้ทุกข์ และทุกข์น้ีนั้นควรกาหนดรู้ด้วย ปัญญา เราได้กาหนดรู้แล้ว ข้อนี้เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิดนี้นั้นควรละเสีย เราได้ละแล้ว ข้อนเ้ี หตุใหท้ ุกข์ดับ เหตุใหท้ กุ ขด์ ับนนี้ ัน้ ควรทาใหแ้ จ้งชัด เราได้ทาให้แจ้งชัดแล้ว ข้อนี้ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์ ข้อปฏิบัตินี้นั้นควรทาให้เกิด เราได้ทาให้เกิดแล้ว และพระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุท้ังหลาย ปัญญาอันรู้อันเห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไรในของจริงแห่งอริยบุคคลท้ัง ๔ เหล่าน้ีของเราซ่ึงมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างน้ี ยังไม่หมดจดเพียงใด เรายังยืนยัน ตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะย่ิงกว่าในโลกได้เลยเพียงนั้น เม่ือใด ปัญญาอันรู้อันเห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไรในของจริงแห่งอริยบุคคลท้ัง ๔ เหล่าน้ีของเรา หมดจดดแี ล้ว เมือ่ นั้นเรายืนยันตนได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีความตรัสรู้อ่ืนจะย่ิงกว่า ในโลก อนึ่ง ปัญญาอันรู้อันเห็นได้เกิดข้ึนแล้วแก่เราว่า ความพ้นพิเศษของเราไม่กลับกาเริบ ความเกิดอันนี้เปน็ ท่ีสุดแลว้ บัดน้ไี ม่มคี วามเกิดอกี หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๒ โกณฑญั ญะได้ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ดวงตาปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดข้ึนแล้วแก่ โกณาัญญฤษีว่า ส่ิงใดสิ่งหน่ึง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งน้ันทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา พระองค์ทรงทราบว่าโกณาัญญฤษไี ดด้ วงตาเหน็ ธรรมแลว้ เมื่อพระองค์ตรัสจบลง ก็บังเกิดมหัศจรรย์หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ดวงตาเห็นธรรม ได้เกิดมีแก่พรหม ๑๘ โกฏิ มีโกณาัญญะเป็นต้น ดังน้ัน พระองค์จึงเปล่งอุทานว่า อญฺ าสิ วต โภ โกณฺฑญฺโ อญฺ าสิ วต โภ โกณฺฑญฺโ แปลว่า โกณาัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ๆ เหตุน้ัน ท่านโกณาัญญะ จึงได้นามว่า อัญญาโกณาัญญะ ตั้งแต่น้ันมา นับว่าสังฆรัตนะ เกดิ ขึน้ แลว้ ในโลก เป็นเหตใุ ห้พระรตั นตรัยครบบริบูรณ์ ทรงประทานการบวชดว้ ยวธิ ีเอหภิ ิกขอุ ุปสัมปทา ฝ่ายโกณาัญญฤษี ได้เห็นธรรมสิ้นความสงสัย ถึงความเป็นคนแกล้วกล้า ปราศจาก ความคร่ันคร้ามในอันประพฤติตามคาส่ังสอนของพระศาสดา เป็นคนมีความเช่ือในพระศาสดา ด้วยตนเอง ไม่ต้องเช่ือจากผู้อ่ืน จึงทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัยว่า ขอข้าพระพุทธเจ้า พึงได้อุปสมบทในสานักของพระองค์เถิด พระศาสดาทรงอนุญาตให้โกณาัญญฤษีเป็นภิกษุ ในพระธรรมวินัยน้ีด้วยพระวาจาว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจง ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทาท่ีสุดทุกข์โดยชอบเถิด” พระวาจาน้ันก็ให้สาเร็จอุปสมบท แก่ท่าน เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นภิกษุด้วยพระวาจาเช่นนี้ เรยี กวา่ เอหภิ กิ ขุ พระศาสดาทรงอนุญาตให้โกณาัญญฤษี เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ด้วย พระวาจาเช่นน้ันเป็นคร้ังแรกในพุทธกาล จาเดิมแต่กาลนั้นมา ทรงสั่งสอนท่านท้ัง ๔ ท่ีเหลือ นั้นด้วยธรรมเทศนาตามสมควรแก่อัธยาศัย วัปปฤษี และภัททิยฤษี ได้ดวงตาเห็นธรรมอย่าง พระอัญญาโกณาัญญะแล้วทูลขออุปสมบท พระศาสดาก็ประทานอุปสมบทแก่ท่านท้ัง ๒ น้ัน เหมือนอย่างประทานแก่พระอัญญาโกณาัญญะ ครั้งนั้นสาวกท้ัง ๓ เที่ยวบิณาบาต นาอาหาร มาเลี้ยงกันท้ัง ๖ องค์ ภายหลังมหานามฤษีและอัสสชิฤษี ได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนท่าน ๓ องค์แล้วทูลขออุปสมบท พระศาสดาก็ทรงอนุญาตอุปสมบทแก่ท่านทั้ง ๒ เหมือนอย่างทรง อนุญาตแก่ท่านทงั้ ๓ หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๓ ทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสตู ร เม่ือภิกษุปัญจวัคคีย์ต้ังอยู่ในที่แห่งสาวกแล้ว มีอินทรีย์แก่กล้า ควรเจริญวิปัสสนา เพื่อวิมุตติ พระศาสดาตรัสธรรมเทศนาส่ังสอนว่า ภิกษุทั้งหลาย รูป คือ ร่างกาย เวทนา คือ ความรู้สุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญา คือ ความจาได้ สังขาร คือ สภาพท่ีเกิดกับใจ ปรุงใจให้ดีบ้างช่ัวบ้าง และวิญญาณ คือความรู้ที่เกิดจากผัสสะ ๕ ขันธ์น้ีเป็นอนัตตาไม่ใช่ตน ถ้าขันธ์ท้ัง ๕ น้ีจักได้เป็นตนแล้ว ขันธ์ ๕ นี้ ก็ไม่พึงเป็นไปเพ่ือความลาบาก อนึ่งผู้ท่ีถือว่า เป็นเจ้าของก็จะพึงปรารถนาได้ในขันธ์ ๕ น้ี ตามใจหวังว่า จงเป็นอย่างน้ีเถิด อย่าเป็นอย่าง น้ันเลย เหตุใด ขันธ์ ๕ น้ีไม่ใช่ตน เหตุน้ัน ขันธ์ ๕ นี้ จึงเป็นไปเพื่อความลาบาก อนึ่ง ผู้ท่ี ถอื ว่าเป็นเจ้าของย่อมไม่ปรารถนาได้ในขันธ์ ๕ น้ี ตามใจหวังว่า จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าเป็น อยา่ งนนั้ เลย ทรงแสดงขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนัตตา สอนภิกษุปัญจวัคคีย์ให้พิจารณาแยกกายใจอันนี้ ออกเป็นขันธ์ ๕ ทางวิปัสสนาอย่างนี้แล้ว ตรัสถามความเห็นของเธอทั้ง ๕ ว่า ภิกษุท้ังหลาย เธอสาคัญความนั้นเป็นไฉน ขันธ์ ๕ น้ี เท่ียงหรือไม่เท่ียง ? ไม่เที่ยง พระองค์ ก็ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ? เป็นทุกข์ พระองค์ ก็ส่ิงใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความ แปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งน้ันว่า น่ันของเรา เราเป็นน่ัน น่ันตนของเรา ดังนี้ ไมอ่ ย่างนน้ั พระศาสดาตรัสสอนเธอทั้ง ๕ ให้ละความถือมั่นในขันธ์ ๕ น้ันต่อจากพระธรรมเทศนา ข้างต้นว่า ภิกษุท้ังหลาย เหตุนั้นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ล่วงไป แล้วก็ดี ยังไม่มีมาก็ดี เกิดขึ้นจาเพาะบัดน้ีก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ทรามก็ดี ในที่ ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ท้ังหมดก็เป็นแต่สักว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วนนั้นท่าน ทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ดังน้ีว่า นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ ของเรา น่นั ไมใ่ ชต่ นของเราเถดิ ภกิ ษุทง้ั หลาย อรยิ สาวกผ้ไู ด้ฟงั แลว้ เมื่อเหน็ อย่างนี้ ย่อมเบ่ือ หน่ายในรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ครั้นเบ่ือหน่าย ก็ปราศจากความกาหนัด รักใคร่ เพราะปราศจากความกาหนัดรักใคร่ จิตก็พ้นจากความถือม่ัน เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่า พน้ แล้ว ดังนี้ อริยสาวกนน้ั รชู้ ดั วา่ ความเกิดส้ินแล้ว พรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว กิจท่ีควร ทาได้ทาเสร็จแลว้ กิจอืน่ อีกเพอ่ื ความเปน็ อย่างนีม้ ิได้มี หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๔ เมื่อพระศาสดาตรสั ธรรมเทศนาอยู่ จติ ของภิกษุปัญจวคั คียผ์ ู้พิจารณาภูมิธรรม ตาม กระแสเทศนานั้น พ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ถือม่ันด้วยอุปาทาน ครั้งน้ัน มีพระอรหันต์ ขึ้นในโลก ๖ องค์ คอื พระศาสดา ๑ พระสาวก ๕ องค์ โปรดยสกลุ บตุ ร สมัยน้ัน มีกุลบุตรผู้หน่ึง เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี ชื่อยสะ มีเรือน ๓ หลัง เป็นท่ีอยู่ใน ๓ ฤดู คร้ังน้ัน เป็นฤดูฝน ยสกุลบุตรอยู่ในปราสาทท่ีอยู่ในฤดูฝน บาเรอด้วย ดนตรีล้วนแต่สตรีประโคม ไม่มีบุรุษเจือปน ค่าวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อน หมู่ชน บริวารหลับต่อภายหลัง แสงไฟยังสว่างอยู่ ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมา เห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับ มีอาการพิกลต่าง ๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจซากศพที่ท้ิงอยู่ในป่าช้า ครั้นได้เห็นแล้ว เกิดความสลดใจคิดเบ่ือหน่าย จึงออกอุทาน (วาจาที่เปล่งด้วยอานาจความสลดใจ) ว่า “ท่ีน่ี วุ่นวายหนอ ท่ีน่ีขัดข้องหนอ” แล้วสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนเข้าสู่ประตูเมือง ตรงไปทางท่ีจะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในเวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ ในท่ีแจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทานนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า “ที่น่ีไม่ วุ่นวาย ทนี่ ่ีไม่ขัดข้อง ท่านมาที่น่ีเถิด น่ังลงเถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน” ยสกุลบุตร ได้ยิน อย่างน้ันแล้ว คิดว่า ได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ท่ีน่ีไม่ขัดข้อง จึงถอดรองเท้าแล้วเข้าไปใกล้ ไหว้แล้ว น่ัง ณ ข้างหน่ึง พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา คือ ถ้อยคาที่กล่าวโดยลาดับ พรรณนาทานการให้ก่อนแล้ว พรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อยเป็นลาดับแห่งทาน พรรณนาสวรรค์ คือ กามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี คือทานและศีล เป็นลาดับแห่งศีล พรรณนาโทษคือความเป็นของไม่ย่ังยืน และประกอบด้วยความคับแค้น แห่งกาม ซ่ึงได้ช่ือว่าสวรรค์นั้น เป็นลาดับแห่งสวรรค์ พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจาก กาม เป็นลาดับแห่งโทษของกาม ฟอกจิตของยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับธรรมเทศนา ให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เหมือนผ้าท่ีปราศจากมลทินควรรับน้าย้อมได้ ฉะน้ัน แล้วทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คือ ของจริง ๔ อย่าง คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์ดับ และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ยสกุลบุตร ได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่น่ังนั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาดูภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจาก อาสวะไมถ่ อื มั่นดว้ ยอปุ าทาน หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๕ ปฐมอุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร ตื่นนอนเวลาเข้า ขึ้นไปบนเรือนไม่เห็นลูกจึงบอกแก่ เศรษฐีผู้สามีใหท้ ราบ เศรษฐีใช้คนให้ไปตามหาใน ๔ ทิศ ส่วนตนเที่ยวออกหาด้วย เผอิญเดิน ไปทางปา่ อสิ ิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกต้ังอยู่ ณ ที่น้ัน แต่ไม่เห็นลูกชาย จึงเดิน เข้าไปใกล้สอบถามพระศาสดาถึงลูกชายของตน พระศาสดาตรัสให้เศรษฐีน่ังลงก่อนแล้ว เทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีได้เห็นธรรมแล้ว เศรษฐีทูลสรรเสริญธรรม เทศนาแล้วแสดงตนเป็นอุบาสกว่า ข้าพเจ้าถึงพระองค์กับพระธรรม และภิกษุสงฆ์เป็น ท่ีระลึก ขอพระองค์จงจาข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกจนตลอดชีวิต ต้งั แต่วันน้ีเป็นต้นไป เศรษฐีน้ัน ได้เป็นอบุ าสก มีพระพทุ ธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ท้ัง ๓ เป็น สรณะกอ่ นกว่าคนท้ังปวงในโลก เรียกวา่ เปน็ อบุ าสกคนแรกประเภท เตวาจกิ อุบาสก เศรษฐีผู้บิดายังไม่ทราบว่า ยสกุลบุตรมีอาสวะส้ินแล้ว จึงบอกความว่า พ่อยสะ มารดาของเจ้าเศร้าโศกพิไรราพันนัก เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด ยสกุลบุตรแลดู พระศาสดา ๆ จึงตรัสแก่เศรษฐีว่า คฤหบดี ท่านจะสาคัญความนั้นเป็นไฉน แต่ก่อนยสะได้ เหน็ ธรรมด้วยปญั ญา อันร้เู หน็ เป็นของเสขบุคคล (ผยู้ งั ตอ้ งศกึ ษา เป็นชอ่ื พระอริยเจ้าเบ้ืองต่า ๓ จาพวก) เหมือนกับท่าน ภายหลัง ยสะพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้รู้เห็นแล้ว จิตก็พ้นจาก อาสวะ มิได้ถือม่ันด้วยอุปาทาน ควรหรือยสะจะกลับคืนไปบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน ไม่อย่างนนั้ พระองค์ เป็นลาภแล้ว ความเป็นมนุษย์ พ่อยสะได้ดีแล้ว ขอพระองค์กับพ่อยสะ เป็นสมณะตามเสด็จ จงทรงรับบิณาบาตของข้าพเจ้า ในวันนี้เถิด พระองค์ทรงรับด้วย ทรงน่ิงอยู่ เศรษฐีทราบว่าทรงรับแล้ว ลุกจากที่น่ังแล้ว ถวายอภิวาทแล้วทาประทักษิณ (เดินเวียนขวา) แล้วหลีกไป เมื่อเศรษฐีไปแล้วไม่ช้า ยสกุลบุตรทูลขออุปสมบท พระศาสดา ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ในท่ีน้ีไม่ตรัสว่า เพื่อจะทาที่สุดทุกข์โดยชอบ เพราะพระยสะ ไดถ้ ึงท่ีสดุ ทุกข์แล้ว สมัยนนั้ มีพระอรหันต์ขน้ึ ในโลก ๗ องค์ ในเวลาเช้าวันน้นั พระศาสดามพี ระยสะตามเสด็จ ๆ ไปถึงเรือนเศรษฐีแล้ว ประทับน่ัง ณ อาสนะท่ีแต่งถวาย มารดาและภริยาเก่าของพระยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดง อนปุ พุ พีกถาและอรยิ สัจ ให้สตรีท้ังสองเห็นธรรมแล้ว สตรีท้ังสองทูลสรรเสริญธรรมเทศนาแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกาถึงพระรัตนะเป็นที่ระลึกโดยนัยหนหลัง ต่างแต่เป็นผู้ชายเรียกว่าอุบาสก หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๖ ผู้หญิงเรียกว่าอุบาสิกาเท่านั้น สตรีทั้งสองน้ันได้เป็นอุบาสิกาในโลกก่อนกว่าหญิงอ่ืน ครั้นถึงเวลา มารดาบิดาและภรรยาเก่าของพระยสะ ก็อังคาสพระศาสดาและพระยสะด้วย ของเคี้ยว ของฉันอันประณีตโดยเคารพ ด้วยมือของตน คร้ันฉันเสร็จแล้ว พระศาสดาตรัส พระธรรมเทศนาส่ังสอนคนท้ัง ๓ ให้เห็น ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงแล้วเสด็จไป ปา่ อิสปิ ตนมฤคทายวัน สหายพระยส ๕๔ คน ออกบวช ฝ่ายสหายของพระยสะ ๔ คน ช่ือ วิมละ ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็น บุตรแห่งเศรษฐีในเมืองพาราณสี ได้ทราบว่า ยสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงคิดว่า ธรรมวินัย ที่สหายยสกุลบุตรออกบวชนั้น จักไม่เลวทรามแน่ คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ ครั้นคิด อยา่ งน้นั แล้วพร้อมกันทงั้ ๔ คน ไปหาพระยสะ ๆ กพ็ าสหาย ๔ คนนั้น ไปเฝ้าพระศาสดาทูล ขอให้ทรงส่ังสอน พระองค์ทรงสั่งสอนให้กุลบุตรทั้ง ๔ น้ันเห็นธรรมแล้ว ประทานอุปสมบท อนุญาตให้เป็นภิกษุแล้ว ทรงส่ังสอนให้บรรลุพระอรหัตผล คร้ังน้ันมีพระอรหันต์ขึ้นในโลก ๑๑ องค์ ฝ่ายสหายของยสะอีก ๕๐ คนเป็นชาวชนบทได้ทราบข่าวแล้วคิดเหมือนหนหลัง พากันมาบวชตามแล้วไดส้ าเร็จพระอรหตั ผลด้วยกันสิ้น รวมเป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์ ส่งพระสาวก ๖๐ องค์ไปประกาศพระศาสนา เม่ือสาวกมีมาก พอจะส่งไปให้เท่ียวประกาศพระศาสนา เพื่อเป็นประโยชน์แก่ หมู่ชนได้แล้ว พระศาสดาตรัสเรียกพระสาวก ๖๐ องค์นั้นมาพร้อมแล้วตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย เราไดพ้ น้ แล้วจากบว่ งท้งั ปวงท้งั ทเ่ี ปน็ ของทิพย์และเปน็ ของมนุษย์ แม้ท่านท้ังหลายก็เหมือนกัน ท่านทั้งหลาย จงเที่ยวไปในชนบท เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก แต่อย่าไปรวม กัน ๒ รูปโดยทางเดียวกัน จงแสดงธรรมมีคุณอันงามในเบ้ืองต้น ท่ามกลาง ท่ีสุดจงประกาศ พรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ส้ินเชิง พร้อมท้ังอรรถและพยัญชนะ สัตว์ทั้งหลายท่ีมีกิเลส บังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อยเป็นปกติมีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมจากคุณที่ จะพึงได้พึงถึง ผู้รู้ท่ัวถึงธรรมจักมีอยู่ แม้เราก็จะไปอุรุเวลาเสนานิคม เพ่ือจะแสดงธรรม” สาวก ๖๐ น้ันรับสั่งแล้ว ก็เที่ยวไปในชนบทแต่องค์เดียว ๆ แสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ ให้กุลบุตรท่ีมีอุปนิสัยในประเทศน้ัน ๆ ได้ความเชื่อในพระพุทธศาสนา น้อมอัธยาศัยใน อุปสมบทแล้ว แต่ไม่สามารถจะให้อุปสมบทด้วยตนเองได้จึงพากุลบุตรเหล่านั้นมา ด้วยหวัง หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๗ จะทูลให้พระศาสดาประทานอุปสมบท ท้ังภิกษุผู้อาจารย์และกุลบุตรเหล่าน้ันได้ความลาบาก ในทางกันดาร พระศาสดาทรงดาริถึงความลาบากน้ันแล้วยกข้ึนเป็นเหตุ ทรงพระอนุญาตว่า “เราอนุญาต บัดน้ี เธอท้ังหลายจงให้กุลบุตรอุปสมบท ในทิศนั้น ๆ ในชนบทนั้น ๆ เองเถิด กุลบุตรนั้น เธอท้ังหลายพึงให้อุปสมบทอย่างน้ี พึงให้ปลงผมและหนวดเสียก่อนแล้ว ให้นุ่ง ห่มผ้าท่ยี ้อมด้วยน้าฝาดแลว้ ใหน้ ั่งกระโหย่ง ประณมมือแล้ว ให้ไหว้เท้าภิกษุท้ังหลาย สอนให้ ว่าตามไปว่า ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นท่ีระลึก ดังนี้ พระศาสดาทรง อนุญาตอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์เป็นครั้งแรกในพระพุทธศาสนาอย่างนี้ ตั้งแต่กาลนั้นมีวิธี อุปสมบทเป็น ๒ อย่าง คือ เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่พระศาสดาทรงเอง ๑ และติสรณคมน์ อปุ สัมปทาที่ทรงอนญุ าตแกส่ าวก ๑ ครง้ั น้ัน พระศาสดาทรงพิจารณาเห็นความบริบูรณ์แห่งอุปนิสัยของชนชาวมคธเป็น จานวนมาก แต่ต้องอาศัยพระเจ้าพิมพิสาร ซ่ึงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงจะตั้งศาสนาลงในแว่น แคว้นมคธได้ ทรงคิดจะพาอุรุเวลกัสสปะ ซึ่งมีอายุมาก เป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ไปส่ัง สอนให้มหาชนเลื่อมใส ครั้นเสด็จอยู่ในเมืองพาราณสีพอแก่ความต้องการแล้ว เสด็จดาเนิน ไปยงั ตาบลอุรเุ วลา เสดจ็ แวะออกจากทางแลว้ เขา้ ไปพกั อยู่ในไร่ฝ้าย ทรงนงั่ ใต้รม่ ไม้แหง่ หนงึ่ ประทานอุปสมบทแก่ภทั ทวคั คีย์ สมัยน้ัน สหาย ๓๐ คน ซ่ึงเรียกว่า ภัททวัคคีย์ (แปลว่า พวกเจริญ) พร้อมทั้งภริยา กาลังสนุกสนานอยู่ ณ ทนี่ น้ั สหายคนหน่ึงไมม่ ภี ริยา สหายทั้งหลายจึงนาหญิงแพศยามาเพื่อ ประโยชน์แก่สหายนั้น ครั้นสหายเหล่าน้ันประมาท มิได้เอาใจใส่ระวังรักษาทรัพย์สิน หญงิ แพศยาน้ันลักได้ห่อเคร่ืองประดับแล้วหนีไป สหายเหล่านั้นชวนกันเท่ียวหาหญิงแพศยาน้ัน ไปถงึ ทพี่ ระศาสดาประทับอยู่ เขา้ ไปใกล้แล้วถามว่า พระผู้มีพระภาค เห็นหญิงผู้หน่ึงบ้างไหม ? พระศาสดาตรัสว่า กุมารท้ังหลาย ท่านทั้งหลายจะต้องการอะไรด้วยสตรีเล่า สหายเหล่านั้น เล่าความถวายตั้งแต่ต้นจนถึงหญิงแพศยาลักห่อเครื่องประดับแล้วหนีไปให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า กุมารทั้งหลาย ท่านท้ังลายจะสาคัญความน้ันเป็นไฉน ข้อซึ่งท่านพึงจะ แสวงหาหญิงน้ันดีกว่า หรือจะพึงแสดงหาตนดีกว่า สองอย่างนี้ไหนจะดีกว่ากัน ข้อซ่ึง ข้าพเจา้ จะพงึ แสวงหาตนน่ันแลดีกว่า พระองค์ ถ้าอย่างน้ัน ท่านท้ังหลายนั่งลงเถิด เราจักแสดง ธรรมแก่ท่าน สหายเหล่าน้ันทูลรับแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสอนุปุพพีกถา หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๘ และอริยสัจ ๔ ให้สหาย ๓๐ คนน้ันเกิดดวงตาเห็นธรรมแล้ว ประทานอุปสมบทแล้ว ทรงสง่ ไปในทิศนั้น ๆ เพื่อแสดงธรรมประกาศพรหมจรรยอ์ ยา่ งแตก่ ่อน โปรดชฎลิ ๓ พีน่ อ้ ง และบริวาร ส่วนพระองค์เสด็จไปโดยลาดับถึงอุรุเวลาเสนานิคม ซ่ึงเป็นท่ีอาศัยอยู่แห่งชฎิล ๓ คนพน่ี อ้ ง กบั ทงั้ หมศู่ ิษย์บรวิ าร อุรเุ วลกัสสปะเป็นพี่ชายใหญ่ มีบริวาร ๕๐๐ ตั้งอาศรมอยู่ ทฝ่ี งั่ ต้นนา้ นทกี สั สปะเป็นน้องชายกลาง มีบริวาร ๓๐๐ ต้ังอาศรมอยู่ท่ีฝ่ังกลางน้า คยากัสสปะ เป็นน้องชายเล็ก มีบริวาร ๒๐๐ ตั้งอาศรมอยู่ท่ีฝ่ังท้ายน้า ทั้ง ๓ พี่น้องนี้ สร้างอาศรมอยู่ ใกล้ฝั่งแม่น้าเนรัญชรา เป็น ๓ สถานตามลาดับกัน คร้ันพระศาสดาเสด็จถึงอุรุเวลาประเทศแล้ว ทรงทรมานอุรเุ วลกัสสปะด้วยฤทธิ์และดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ ถึง ๓๕๐๐ ประการ ใช้เวลาถึง ๒ เดือน เพราะอุรุเวลกัสสปะมีทิฏฐิมานะอันแรงกล้า ถือตนว่าเป็นพระอรหันต์อยู่ แสดงให้เห็นว่า ลัทธิของอุรุเวลกัสสปะนั้นไม่มีแก่สาร จนอุรุเวลกัสสปะมีความสลดใจ พร้อมท้ังศิษย์บริวาร ลอยบริขารของชฏิลเสียในแม่น้าแล้วทูลขออุปสมบท พระศาสดาก็ประทานอุปสมบท อนญุ าตให้เป็นภิกษุท้งั สิน้ ฝ่ายนทีกัสสปะต้ังอาศรมอยู่ภายใต้ ได้เห็นบริขารชฎิลลอยไปตาม กระแสน้า สาคัญว่าเกิดอันตรายแก่พี่ชายตน พร้อมทั้งบริวารรีบไปถึง เห็นอุรุเวลกัสสปะ ผูพ้ ่ีชายถือเพศเป็นภิกษุแล้ว ถามทราบความว่า พรหมจรรย์น้ีประเสริฐ แล้วลอยบริขารชฎิลเสีย ในแม่น้าพร้อมดว้ ยบรวิ ารเขา้ เฝ้าพระศาสดาทลู ขออุปสมบท พระองคก์ ป็ ระทานอุปสมบทแก่ เธอทั้งหลายนั้น ส่วนคยากัสสปะ น้องชายคนเล็กได้เห็นบริขารชฎิลลอยไปตามกระแสน้า สาคัญว่าเกิดอันตรายแก่พ่ีชายทั้งสอง พร้อมกับบริวารรีบมาถึง เห็นพ่ีชายท้ังสองถือเพศ บรรพชิตแล้ว ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ แล้วลอยบริขารของตนเสียในแม่น้า พร้อมด้วยบริวารเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขออุปสมบท พระองค์ก็ประทานอุปสมบทให้เป็น ภิกษุโดยนัยหนหลงั ทรงแสดงอาทิตตปรยิ ายสตู ร พระศาสดาเสด็จอยู่ในอุรุเวลาเสนานิคม ตามควรแก่ความประสงค์แล้ว พร้อมด้วย หมู่ภิกษุชฎิลเหล่าน้ัน เสด็จไปยังคยาสีสะประเทศใกล้แม่น้าคยา ประทับอยู่ ณ ที่น้ัน ตรัสเรียก ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั มาพร้อมแล้วทรงแสดงธรรมว่า ภิกษุทั้งหลาย ส่ิงท้ังปวงเป็นของร้อน อะไรเล่า เช่ือว่าสิ่งท้ังปวง จักษุคือนัยน์ตา รูป วิญญาณอาศัยจักษุ สัมผัสคือความถูกต้องอาศัยจักษุ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๔๙ เวทนาท่ีเกิดเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย คือ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง (หมวด หนึง่ ) โสตคือ หู เสยี ง วิญญาณ อาศัยโสต สัมผัสอาศัยโสต เวทนาท่ีเกิดเพราะโสตสัมผัสเป็น ปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง (หมวดหนึ่ง) ฆานะคือจมูก กลิ่น วิญญาณ อาศัยฆานะ สัมผัสอาศัยฆานะ เวทนาที่เกิดแต่ฆานสัมผัสเป็นปัจจัย เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง (หมวดหนึ่ง) ชิวหาคือล้ิน รส วิญญาณอาศัยชิวหา สัมผัสอาศัยชิวหา เวทนาท่ีเกิดเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์บ้าง (หมวดหน่ึง) กายโผฏฐพั พะ คืออารมณ์ท่จี ะพึงถกู ต้องด้วยกาย วญิ ญาณอาศัยกาย สัมผัสอาศัยกาย เวทนา ท่ีเกิดเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง (หมวดหน่ึง) มนะ คือใจ ธรรม วิญญาณอาศัยมนะ สัมผัสอาศัย มนะ เวทนาที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์บ้าง (หมวดหนึ่ง) ช่ือว่าส่ิงท้ังปวง เป็นของร้อน รอ้ นเพราะอะไร อะไรมาเผาให้รอ้ น ? เรากล่าววา่ รอ้ นเพราะไฟ คือ ความกาหนัด ความโกรธ ความหลง ร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกร่าไรราพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ไฟกเิ ลส ไฟทุกขเ์ หล่าน้ี มาเผาให้ร้อน ภิกษุท้ังหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างน้ี ย่อมเบ่ือหน่ายในส่ิงทั้งปวงนั้น ตั้งแต่ในจักษุจนถึงเวทนาท่ีเกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมอื่ เบือ่ หนา่ ยยอ่ มปราศจากกาหนัดรกั ใคร่ เพราะปราศจากกาหนัดรกั ใคร่ จิตก็พ้นจากความ ถือมน่ั เม่ือจิตพ้นแลว้ กเ็ กิดญาณรวู้ า่ พ้นแล้ว ดงั น้ี อริยสาวกน้ันทราบชัดว่า ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจท่ีจาจะต้องทา ได้ทาเสร็จแล้ว กิจอื่นอีก เพื่อความเป็นอย่างน้ี มิได้มี เม่ือพระศาสดาตรัสธรรมเทศนานี้อยู่จิตของภิกษุเหล่าน้ัน พ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน โปรดพระเจา้ พมิ พสิ าร พระศาสดาเสด็จอยู่ ณ คยาสีสะประเทศ ตามควรแก่พระอัธยาศัยแล้ว พร้อมด้วย หมู่ภิกษุสาวก ๑,๐๐๓ องค์น้ันเสด็จเที่ยวไปโดยลาดับ ถึงเมืองราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ สวนตาลหนุ่ม ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าแผ่นดินมคธ ทรงทราบว่า พระสมณโคดม ซึ่งเป็นโอรสแห่งศากยราชละฆราวาสสมบัติเสีย เสด็จออกบรรพชาจากศากยตระกูล บัดน้ี เสด็จถึงเมืองราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ สวนตาลหนุ่มแล้ว พระองค์ได้ทรงฟังกิตติศัพท์ เสียงสรรเสริญพระคุณของพระศาสดาว่า เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบเป็นต้น ทรงแสดงธรรมสั่งสอนมหาชนมีคุณควรนับในเบื้องต้น ท่ามกลาง ท่ีสุด ประกาศพรหมจรรย์ หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๐ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะบริสุทธ์บริบูรณ์สิ้นเชิง จึงทรงพระราชดาริว่า การได้เห็น พระอรหันต์เช่นนั้น เป็นความดี สามารถให้ประโยชน์สาเร็จได้ คร้ันทรงพระราชดาริ อย่างนี้แล้ว เสด็จพระราชดาเนินพร้อมด้วยราชบริวารออกไปเฝ้าพระศาสดา ถึงสวนตาลหนุ่ม ทรงนมสั การแล้วประทับ ณ ท่คี วรข้างหน่ึง ส่วนราชบริวารนั้นก็มีอาการกายวาจาต่าง ๆ กัน บางพวกถวายบังคม บางพวกเป็นแต่กล่าววาจาปราศรัย บางพวกเป็นแต่ประณมมือ บางพวก ร้องประกาศช่ือและโคตรของตน บางพวกน่ิงอยู่ ท้ัง ๕ เหล่านั้น นั่ง ณ ที่ควรตามลาดับที่น่ัง ซึ่งถึงแล้วแก่ตน ๆ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอาการของราชบริวารเหล่านั้นต่าง ๆ กัน ยังไม่อ่อนน้อมโดยเรียบร้อย ซ่ึงควรจะรับธรรมเทศนาได้ มีพระประสงค์จะให้พระอุรุเวลกัสสปะ ซึ่งเป็นท่ีนับถือของชนเหล่าน้ัน ประกาศความไม่มีแก่นสารแห่งลัทธิเก่าให้ชนเหล่านั้นทราบ เพื่อจะให้ชนเหล่านั้นสิ้นความเคลือบแคลงแล้วตั้งใจคอยฟังพระธรรมเทศนา จึงตรัสถาม พระอุรุเวลกัสสปะว่า กัสสปะ ผู้อยู่ในอุรุเวลาประเทศมานาน ท่านเคยเป็นอาจารย์ส่ังสอน หมชู่ ฎลิ ผู้ผอมเพราะกาลังพรต ทา่ นเหน็ เหตุอะไรแล้ว จึงละไฟที่ตนได้เคยบูชาแล้ว ตามลัทธิ แต่ก่อน เราถามเนื้อความน้ันกะท่าน เหตุไฉน ท่านจึงละการบูชาไฟของท่านเสีย พระอุรุ- เวลกัสสปะ กราบทูลว่า ยัญท้ังหลายกล่าวสรรเสริญผล คือ รูปเสียงและรส เป็นอารมณ์ท่ีสัตว์ ปรารถนา และสตรีท้ังหลาย แสดงว่าบูชายัญแล้วก็จะได้ผลคือ อารมณ์ที่ปรารถนามีรูปเป็น ตน้ เหล่าน้ี ข้าพเจา้ ได้รูว้ า่ ผล คือกามน้ันเป็นมลทินเคร่ืองเศร้าหมอง ตกอยู่ในกิเลส ยัญท้ังหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผลล้วนแต่มลทินอย่างเดียว เหตุน้ัน ข้าพเจ้าจึงมิได้ยินดีในการเซ่นและ การบูชาไฟที่ได้เคยทามาแลว้ แตป่ างก่อน พระศาสดาตรัสถามต่อไปว่า กัสสปะ ก็ใจของท่าน ไม่ยินดีในอารมณ์เหล่าน้ัน คือ รูป เสียงและรส ซ่ึงเป็นวัตถุกามแล้ว ก็ทีนั้นใจของท่านยินดี แล้วในสิ่งใดเล่า ในเทวโลกหรือในมนุษยโลก ท่านจงบอกข้อนั้นแก่เรา พระอุรุเวลกัสสปะ กราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้เห็นธรรมอันระงับแล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมองอันเป็นเหตุจักก่อ ใหเ้ กิดทกุ ข์ ไม่มกี ังวลเข้าพวั พนั ได้ ไม่ติดอยู่ในกามภพ อนั จักไม่แปรปรวนเป็นอย่างอ่ืน ไม่ใช่ ธรรมที่บุคคลผู้อ่ืนจะพึงนาไป คือ ไม่เป็นวิสัยที่ผู้อื่นจะมาให้ผู้อ่ืนรู้ได้ต่อผู้ท่ีทาให้แจ้ง จึงรู้ จาเพาะตัว เหตนุ นั้ ขา้ พเจ้ามิได้ยินดีแล้วในการเซ่นและการบูชาไฟซ่ึงได้เคยประพฤติมาแล้ว พระอุรุเวลกัสสปะกราบทูลอย่างน้ีแล้ว ลุกจากท่ีนั่งทาผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหน่ึง ซบศีรษะลงที่ พระบาทพระศาสดาทูลประกาศว่า พระองค์เป็นพระศาสดาผู้สอนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็น สาวกผู้ฟังคาสอนของพระองค์ ดังน้ี ๒ หน เมื่อพระศาสดาตรัสถามให้พระอุรุเวลกัสสปะ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๑ กราบทูลประกาศความไม่มีแก่นสารแห่งลัทธิเก่าให้ราชบริวารทราบแล้ว น้อมจิตคอยฟัง พระธรรมเทศนาของพระองค์ อย่างนี้แล้ว ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ พระเจ้า พิมพิสารและราชบริวารแบ่งเป็น ๑๒ ส่วน ๑๑ ส่วนได้ดวงจักษุเห็นธรรม ส่วนหน่ึงตั้งอยู่ใน ไตรสรณคมน์ ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพสิ าร คร้ังน้ัน พระราชประสงค์ของพระเจ้าพิมพิสาร สาเร็จบริบูรณ์พร้อมท้ัง ๕ อย่าง พระองคจ์ งึ กราบทูลความนั้นแด่พระศาสดาว่า ครั้งก่อนเมื่อข้าพเจ้ายังเป็นราชกุมารยังไม่ได้ อภเิ ษก ได้มีความปรารถนา ๕ อยา่ ง ข้อต้นว่า ขอให้ท่านผู้เป็นประธานในราชการ พึงอภิเษกเรา ในราชสมบตั ิเป็นพระเจา้ แผน่ ดินมคธนี้เถิด ขอ้ ท่ี ๒ วา่ ขอท่านผ้เู ปน็ พระอรหันต์รู้เองเห็นเอง โดยชอบ พึงมายังแว่นแคว้นของเราผู้ได้อภิเษกแล้ว ข้อท่ี ๓ ว่า ขอเราพึงได้เข้าไปนั่งใกล้ พระอรหนั ตน์ ้นั ขอ้ ที่ ๔ ว่า ขอพระอรหนั ตน์ ้ันพึงแสดงธรรมแก่เรา ขอ้ ที่ครบ ๕ ว่า ขอเราพึง รู้ทว่ั ถึงธรรมของพระอรหันต์นั้น บัดน้ี ความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้ง ๕ อย่างน้ันสาเร็จแล้ว ทุกประการ ทรงรับสวนเวฬวุ ันเป็นอารามสงฆ์ ครั้นพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลความสาเร็จพระราชประสงค์อย่างน้ีแล้ว ทรงสรรเสริญ พระธรรมเทศนา แสดงพระองค์เป็นอุบาสกแล้วกราบทูลเชิญเสด็จพระศาสดา กับท้ังหมู่สาวก เพื่อเสวยท่ีพระราชนิเวศน์ในวันพรุ่งน้ีแล้ว เสด็จลุกจากที่ประทับถวายอภิวาทพระศาสดา ทาประทักษิณเสร็จแล้ว เสด็จกลับพระราชวังแล้ว ตรัสส่ังเจ้าพนักงานให้ตกแต่งอาหารของ ควรเคี้ยวควรฉันล้วนแต่อย่างประณีตเสร็จแล้ว ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว ตรัสสั่งให้ราชบุรุษไป กราบทูลภัตตกาล (เวลาฉันอาหาร) พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จไปยัง พระราชนิเวศน์ ประทับ ณ อาสนะท่ีแต่งไว้ถวายแล้ว พระเจ้าพิมพิสารทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มพี ระพุทธเจา้ เป็นประธาน ให้อ่ิมด้วยอาหารอันประณีตด้วยพระหัตถ์แห่งพระองค์เสร็จแล้ว เสด็จเข้าไปใกล้ประทับ ณ ท่คี วรข้างหนึ่ง ทรงพระราชดาริถงึ สถานอนั ควรเปน็ ที่เสด็จอยู่แห่ง พระศาสดา ทรงเห็นว่าพระราชอุทยานเวฬุวันสวนไม้ไผ่ เป็นท่ีไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทางเป็นที่ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะพึงไปถึง กลางวันไม่เกลื่อนกล่น ดว้ ยหมมู่ นุษย์ กลางคืนเงียบเสยี งท่ีจะอ้อื อึงกกึ ก้อง ปราศจากลมแต่ชนทีเ่ ดนิ เข้าออก สมควร หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๒ เป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด และควรเป็นท่ีหลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็น ท่ีเสด็จอยู่ของพระศาสดา คร้ันทรงพระราชดาริอย่างน้ีแล้ว ทรงจับพระเต้าทองเต็มด้วยน้าหลั่ง ลงให้ตกต้องพระหัตถ์ของพระบรมศาสดาถวายพระราชอุทยานเวฬุวันนั้นแก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ปรากฏว่าพื้นปฐพีกัมปนาทหวั่นไหว พระศาสดาทรงรับแล้วแสดง พระธรรมเทศนาให้พระเจ้าพมิ พสิ ารทรงเหน็ และทรงสมาทานอาจหาญร่ืนเริงในสัมมาปฏิบัติ ตามสมควรแลว้ เสดจ็ ขึ้นประทับอยู่ ณ เวฬวุ ันนนั้ พระองค์อาศัยเหตุน้ัน ทรงพระอนุญาตให้ ภิกษุรับอารามท่ีทายกถวายตามปรารถนา การถวายอารามเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในกาลนั้น พระศาสดาทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแว่นแคว้นมคธอย่างน้ีแล้ว เสด็จจาริกไปมา ในรัฐชนบทน้ัน ๆ ประกาศพระศาสนาให้ประชุมชนได้ความเชื่อความเล่ือมใสแล้วปฏิบัติตาม หมชู่ นที่ปฏิบัติตามโอวาทคาสง่ั สอนยอมตนเปน็ สาวกน้ัน แบ่งเป็น ๒ พวก คือ บรรพชิตพวก ๑ คฤหัสถ์พวก ๑ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๓ ปรเิ ฉทท่ี ๕ ทรงบาเพ็ญพุทธกจิ พระอัครสาวกท้งั สอง คร้ังก่อนแต่พระพุทธกาล ในที่ไม่ไกลแต่เมืองราชคฤห์ มีบ้านพราหมณ์ ๒ หมู่ ในบ้านหมู่หนึ่ง พราหมณ์ผู้เป็นนายบ้านช่ืออุปติสสะ (อีกอย่างหนึ่ง ชื่อวังคันตะ) มีภริยาช่ือ นางสารี มีบุตรชายคนหน่ึง เรียกตามโคตรของพ่อว่า อุปติสสะ อีกอย่างหน่ึง เรียกช่ือตาม ความที่เป็นลูกของนางสารีว่า สารีบุตร ในบ้านอีกหมู่หนึ่ง พราหมณ์ผู้เป็นนายบ้านชื่อโกลิตะ มีภริยาช่ือนางโมคคัลลี มีลูกชายเรียกช่ือตามโคตรของบิดาว่า โกลิตะ อีกอย่างหนึ่ง เรียกตาม ความที่เป็นลูกของนางโมคคัลลีว่า โมคคัลลานะ สองตระกูลน้ันเป็นสหายเน่ืองกันมาแต่ ครง้ั บรรพบรุ ุษ บตุ รของสองตระกูลนน้ั มีอายุรุน่ ราวคราวเดียวกัน จึงได้เป็นเพ่ือนเล่นด้วยกัน มาแต่เดก็ ครนั้ เติบใหญ่ได้เรียนศลิ ปศาสตรท์ ี่ควรเรียนจบแล้ว อุปติสสะและโกลิตะสองสหายนั้น ได้ไปเที่ยวดูการเล่นที่เมืองราชคฤห์ด้วยกันเนือง ๆ เม่ือดูอยู่นั้นย่อมร่าเริง ในที่ควรร่าเริง สลดใจในที่ควรสลดใจ ใหร้ างวลั ในท่ีควรให้ วันหน่ึง สองสหายน้ันชวนกันไปดูการเล่น แต่ไม่ ร่าเริงเหมือนในวันก่อน ๆ โกลิตะถามอุปติสสะว่า ดูท่านไม่สนุกเหมือนในวันก่อน วันนี้ดู ซึมเศร้าไป ท่านเป็นอย่างไรหรือ ฯ อุปติสสะตอบว่า อะไรที่เราจะควรดูในการเล่นน้ีมีหรือ คนเหล่าน้ีท้ังหมด ยังไม่ทันถึงร้อยปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์ อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า ข้านั่งคิดอยู่อย่างนี้ ส่วนเจ้าเล่าเป็นอย่างไร ฯ โกลิตะตอบว่า ข้าก็คิดเหมือนอย่างน้ัน ฯ สองสหายนั้นมีความเห็นร่วมกันอย่างนั้นแล้ว พา บริวารไปขอบวชอยู่ในสานักสัญชัยปริพาชก เรียนลัทธิของสัญชัยได้ท้ังหมดแล้วอาจารย์ให้ เป็นผชู้ ่วยสง่ั สอนหมศู่ ษิ ย์ตอ่ ไป สองสหายนั้น ยังไม่พอใจในลทั ธนิ นั้ จงึ นดั หมายกันว่า ใครได้ ธรรมวเิ ศษ จงบอกแกก่ นั คร้ันพระศาสดาได้ตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรมส่ังสอนประกาศศาสนาเสด็จมาถึง กรงุ ราชคฤหป์ ระทับอยู่ ณ เวฬุวัน วันหนึ่ง พระอัสสชิซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ เข้าไปบิณาบาต ในเมอื งราชคฤห์ อุปตสิ สปรพิ าชกเดนิ มาแต่ท่ีอยู่ของปริพาชก ไดเ้ ห็นทา่ นมีอาการน่าเลื่อมใส อยากจะทราบว่า ใครเป็นศาสดาของท่าน แต่ยังไม่อาจถาม ด้วยเห็นว่าเป็นกาลไม่ควร ท่านยังเท่ียวบิณาบาตอยู่ จึงติดตามไปข้างหลัง ๆ ครั้นเห็นท่านกลับจากบิณาบาตแล้ว จึงเข้าไปใกล้พูดจาปราศรัยแล้ว ถามว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสย่ิงนัก สีผิวของท่าน หมดจดผ่องใส ท่านบวชจาเพาะใคร ใครเปน็ ศาสดาผสู้ อนของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๔ ท่านพระอัสสชิตอบว่า ผู้มีอายุ เราบวชจาเพาะพระมหาสมณะ ซ่ึงเป็นโอรสศากยราช ออกผนวชจากศากยตระกลู ทา่ นนน้ั แล เป็นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่าน อุปติสสะ ถามว่า พระศาสดาของท่านสั่งสอนอย่างไร ท่านตอบว่า ผู้มีอายุ เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่ นานในพระธรรมวินัยน้ี ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านโดยกว้างขวาง เราจักกล่าวแก่ท่านแต่โดย ย่อพอรู้ความ อุปติสสะกล่าวว่า ผู้มีอายุ ช่างเถิด ท่านจะกล่าวน้อยก็ตาม มากก็ตาม กล่าวแต่ ความเถิด เราต้องการด้วยความ ท่านจะกล่าวคาให้มากประโยชน์อะไร พระอัสสชิแสดงธรรม แก่อุปติสสปริพาชกพอเป็นใจความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของ ธรรมน้ันและความดับแหง่ ธรรมนนั้ พระศาสดาทรงส่ังสอนอย่างนี้ อุปติสสปริพาชกได้ฟังก็ทราบว่า ในศาสนานี้แสดงว่า ธรรมท้ังปวงเกิดเพราะเหตุ และจะสงบระงับไปเพราะดับเหตุก่อน พระศาสดาทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติเพื่อสงบระงับเหตุ แห่งธรรมเป็นเคร่ืองก่อให้เกิดทุกข์ ได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหน่ึง มีความเกิดขึ้นเป็น ธรรมดา สิ่งน้ันท้ังหมด ต้องมีความดับเป็นธรรมดา แล้วถามว่าพระศาสดาของเราเสด็จอยู่ ท่ีไหน ผู้มีอายุ เสด็จอยู่ที่เวฬุวัน ถ้าอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าไปก่อนเถิด ข้าพเจ้ากลับไปบอก สหายแล้วจะพากันไปเฝ้าพระศาสดา ครั้นพระเถระไปแล้ว ก็กลับมาท่ีอยู่ของปริพาชกบอก ข่าวท่ีได้ไปพบพระอัสสชิให้โกลิตปริพาชกทราบแล้วแสดงธรรมนั้นให้ฟัง โกลิตปริพาชกก็ได้ ดวงตาเห็นธรรมเหมือนอุปติสสะแล้วชวนกันจะไปเฝ้าพระศาสดา จึงไปลาสัญชัยผู้อาจารย์ สัญชัยห้ามไว้อ้อนวอนให้อยู่หลายครั้ง ก็ไม่สนใจ พาบริวารไปเวฬุวันเฝ้าพระศาสดาทูลขอ อุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น สองสหายน้ันครั้นบวชแล้ว เรียกกันว่า สารีบุตรและโมคคัลลานะ ส่วนภิกษุเป็นบริวาร ได้ฟังธรรมเทศนา แล้วบาเพ็ญเพียร ไดส้ าเร็จพระอรหัตกอ่ น พระสารบี ตุ ร เมื่อพระสารีบุตร บวชแล้วได้ ๑๕ วัน พระศาสดาเสด็จอยู่ที่ถ้าสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์ ปรพิ าชกผู้หนึ่ง ช่ือทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร เข้าไปเฝ้าพระศาสดากล่าว ปราศรัยแล้วยืน ณ ท่ีควรข้างหน่ึง ทูลแสดงทิฏฐิของตนว่า พระโคตมะ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ส่ิงท้งั ปวงไม่ควรแกข่ ้าพเจ้า ข้าพเจา้ ไม่ชอบใจหมด พระศาสดาตอบวา่ อัคคิเวสสนะ ถา้ อย่างน้นั ความเห็นอย่างนั้นก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างน้ัน ตรัสตอบอย่างน้ีแล้ว ทรงแสดงสมณพราหมณ์มีทิฏฐิ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๕ ๓ จาพวกว่า อัคคิเวสสนะ สมณพราหมณ์พวกหน่ึงมีทิฏฐิว่า ส่ิงทั้งปวงควรแก่เรา เราชอบใจ หมด พวกหนึ่งมีทฏิ ฐิว่า ส่ิงท้ังปวงไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจหมด พวกหน่ึงมีทิฏฐิว่า บางส่ิง ควรแก่เรา เราชอบใจ บางส่ิงไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจ ทิฏฐิของสมณพราหมณ์พวกต้น ใกล้ความกาหนัดรักใคร่ ยินดีในส่ิงน้ัน ๆ ทิฏฐิของสมณพราหมณ์ พวกท่ี ๒ ใกล้ข้างความ เกลียดชังสิ่งนั้น ๆ ทิฏฐิของสมณพราหมณ์พวกท่ี ๓ ใกล้ข้างความกาหนัดรักใคร่ในของบางส่ิง ใกล้ข้างความเกลียดชังของบางสิ่ง ผู้รู้ พิจารณาเห็นว่า ถ้าเราจักถือมั่นทิฏฐินั้นอย่างหน่ึง อย่างใด กล่าว่า สิ่งนี้แลจริง สิ่งอื่นเปล่า หาจริงไม่ ก็ต้องถือผิดจากคนสองพวกที่มีทิฏฐิ ไม่เหมือนกับตน ครั้นความถือผิดกันมีข้ึน ความวิวาทเถียงกันก็มีขึ้น คร้ันความวิวาทมีข้ึน ความพฆิ าตหมายมั่นก็มีขึ้น คร้ันความพิฆาตมีข้ึน ความเบียดเบียนกันก็มีขึ้น ผู้รู้เห็นอย่างน้ีแล้ว ย่อมละทิฏฐิน้ันเสียด้วย ไม่ทาทิฏฐิอ่ืนให้เกิดข้ึนด้วย ความละทิฏฐิ ๓ อย่างน้ัน ย่อมมีด้วย อุบายอย่างน้ี คร้ันทรงแสดงโทษแห่งความถือมั่นด้วยทิฏฐิ ๓ อย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงอุบาย เครื่องไม่ถือม่ันต่อไปว่า อัคคิเวสสนะ กายคือรูป ประชุมมหาภูตทั้ง ๔ (ดิน, น้า, ไฟ, ลม) มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญข้ึนเพราะข้าวสุกและขนมสดนี้ ต้องอบรมกันกลิ่นเหม็น และ ขัดสีมลทินเป็นนิตย์ มีความแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา ควรพิจารณาเห็นโดยความ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อดทนได้ยาก เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร โดยความ ยากลาบากชารุดทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า ไม่ใช่ตน เม่ือพิจารณาเห็นอย่างนี้ ย่อมละ ความพอใจรักใคร่กระวนกระวายในกามเสียได้ อนึ่ง เวทนาเป็น ๓ อย่าง คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา คือ ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข ในสมัยใดเสวยสุข ในสมัยน้ันไม่ได้เสวยทุกข์และอุเบกขา ในสมัยใดเสวยทุกข์ ในสมัยน้ันไม่ได้เสวยสุขและอุเบกขา สุข ทุกข์อุเบกขา ทั้ง ๓ อย่างน้ี ไม่เท่ียง ปัจจัยประชุมทา อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว มีความส้ินไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็น ธรรมดา อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายท้ังในสุข ทุกข์ อุเบกขา เม่ือเบื่อ หน่ายก็ปราศจากกาหนัด เพราะปราศจากกาหนัด จิตก็พ้นจากความถือมั่น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้ว่า พ้นแล้ว อริยสาวกน้ันรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจท่ี จาจะต้องทา ได้ทาเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพ่ือความเป็นอย่างนี้มิได้มี ภิกษุผู้พ้นแล้วอย่างนี้ ไม่วิวาททุ่มเถียงกับผู้ใดด้วยทิฏฐิของตน โวหารใดเขาพูดกันอยู่ในโลก ก็พูดตามโวหารนั้น แตไ่ ม่ถอื ม่ันด้วยทิฏฐิ เวลานั้น พระสารีบุตร น่ังถวายงานพัดอยู่เบ้ืองพระปฤษฎางค์แห่งพระศาสดา ได้ฟัง ธรรมเทศนาที่ตรัสแก่ทีฆนขปริพาชก จึงดาริว่า พระศาสดาตรัสสอนให้ละการถือมั่นธรรม หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๖ เหล่านั้นด้วยปัญญาอันรู้ยิ่ง เมื่อท่านพิจารณาอยู่อย่างน้ัน จิตก็พ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วย อุปาทาน ส่วนทีฆนขปริพาชกนั้นเป็นแต่ได้ดวงตาเห็นธรรม ส้ินความเคลือบแคลงสงสัยใน พระพุทธศาสนา ทูลสรรเสริญธรรมเทศนาและแสดงตนเป็นอุบาสกว่า พระองค์ ภาษิตท่ี ตรัสน้ีเพราะนัก ๆ พระองค์ทรงประกาศธรรมให้ข้าพเจ้าทราบชัด โดยวิธีเป็นอันมาก ไม่ใช่ แต่อย่างเดียว ดุจบุคคลหงายของท่ีคว่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงในทาง ส่องไฟ ในที่มดื ดว้ ยประสงคว์ ่า คนมดี วงตาจักเหน็ รปู ฉะนนั้ ข้าพระองค์ ถงึ พระองค์กับทั้งพระธรรม พระสงฆว์ า่ เป็นทร่ี ะลกึ ขอพระองค์จงทรงจาข้าพระองคว์ า่ เป็นอบุ าสก ถึงพระรัตนตรัย เป็น ทีร่ ะลึกตลอดชวี ิต จาเดิมแต่วนั นีเ้ ป็นตน้ ไป เม่ือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ สาเร็จพระอรหัตอย่างนี้แล้ว ท่านได้ตั้งอยู่ ในที่เป็นสาวกเลิศในพระศาสนา โดยคุณธรรมท่ีมีในตนและอนุเคราะห์สพรหมจารีเพื่อ บรรพชติ ด้วยกนั ในการใหโ้ อวาทสั่งสอน พระศาสดาทรงสรรเสริญโดยบรรยายหลายประการ ดังตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านท้ังหลาย คบกับสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ๆ เธอเป็นคนมีปัญญา อนุเคราะห์สพรหมจารีเพ่ือนบรรพชิตท้ังหลาย สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้เกิด โมคคัลลานะ เปรียบเหมือนนางนมผู้เล้ียงทารกที่เกิดแล้วน้ัน สารีบุตรย่อมแนะนาให้ตั้งอยู่ ในโสดาปัตตผิ ล โมคคัลลานะแนะนาใหต้ ัง้ อย่ใู นคุณเบ้อื งบนที่สงู สุดกว่านน้ั เม่ือพระอัครสาวกทั้ง ๒ มาบวชแล้ว กุลบุตรในเมืองราชคฤห์ท่ีได้ความเล่ือมใส มาบวชอกี เปน็ อนั มาก ฝา่ ยผู้ไม่เลอื่ มใสกพ็ ดู ติเตยี นวา่ พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อทาชายไม่ให้ มีบตุ ร ทาหญิงใหเ้ ป็นหม้าย เข้าไปตดั ตระกลู เสยี ดังนี้ วนั หนง่ึ พระสารีบุตรเถระถวายวัตรแด่พระบรมศาสดาแล้ว ถวายบังคมลากลับท่ีพัก ขึ้นบัลลังก์สมาธิ เข้าสมาบัติน้ันแล้วพิจารณาดูอายุสังขารแห่งตนก็ทราบชัดว่าจะดารงอยู่ได้ อีก ๗ วันเท่าน้ัน จึงดาริต่อไปว่า อาตมาจะมานิพพานในสถานท่ีใด พระราหุลเถระก็ไป นิพพานท่ีปัณาุกัมพลศิลาอาสน์ พระอัญญาโกณาัญญะก็ไปนิพพานที่ฉัททันต์สระใน หิมวันตประเทศ ต่อนั้น จึงปรารภถึงมารดาว่า มารดาของอาตมาน้ี ได้เป็นมารดา พระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ถึงอย่างน้ันก็ยังไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย อุปนิสัยในมรรคผลจะพึง มีแก่มารดาเราบ้างหรือไม่หนอ คร้ันพิจารณาไปก็ทราบชัดว่า มารดาน้ันมีอุปนิสัยแห่ง พระโสดาบัน ควรอาตมาจะไปนิพพานที่เรือนมารดาเถิด เธอจึงไปบอกภิกษุท้ัง ๕๐๐ ว่า เรามีความประสงค์จะไปนาลนั ทา พระจนุ ทเถระรบั เถรบญั ชาออกไปแจ้งแก่พระสงฆ์ทง้ั ปวง หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๗ เมื่อพระสงฆ์ท้ังหลายมาพร้อมกันแล้วพระสารีบุตรก็พาพระสงฆ์เหล่าน้ันไปเฝ้า พระบรมศาสดากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดน้ี ชีวิตของข้าพระองค์เหลือ ๗ วันเท่าน้ัน ข้าพระองคถ์ วายบงั คมลานิพพาน พระพทุ ธองคต์ รัสถามวา่ สารีบุตร เธอจะไปนิพพานที่ไหน พระเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์จะไปนิพพาน ณ ห้องที่ข้าพระองค์เกิดในเรือนมารดา พระเจ้าข้า สารีบุตรเธอจงกาหนดกาลน้ันโดยควรเถิด สารีบุตร บรรดาภิกษุทั้งหลายช้ัน น้อง ๆ ของเธอจะเห็นพ่ีอย่างเธอหาได้ยาก ฉะน้ัน เธอจงแสดงธรรมแก่น้อง ๆ ของเธอ เพ่ือเปน็ ทต่ี ัง้ แห่งความระลึกถงึ สาหรบั ครงั้ นก้ี อ่ นเถิด พระเถระได้รับประทานโอกาสเช่นนน้ั จึงแสดงปาฏหิ าริย์เหาะขึ้นไปในอากาศแสดง ธรรมแก่ภิกษุท้ังหลายแลว้ ลงจากอากาศถวายบงั คมลาออกจากพระคันธกุฎี ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาธิคุณ เสด็จลุกออกมาส่งถึงหน้าพระคันธกุฎี พระธรรมเสนาบดี กระทาประทักษิณเวียนรอบ ประคองอัญชลีกราบทูลว่า ในท่ีสุดอสงไขย แสนกัลป์ล่วงมาแล้ว ข้าพระองค์ได้หมอบลงแทบบาทมูลพระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งปณิธานปรารภพบพระองค์และแล้วมโนรถของข้าพระองค์ ก็สาเร็จสมประสงค์ ตั้งแต่ได้ เห็นพระองค์เป็นปฐมทัศนะ บัดน้ีเป็นปัจฉิมทัสสนะแห่งการได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของ ข้าพระพุทธเจ้า ทูลเพียงเท่าน้ีแล้วถวายบังคมลาออกไปพอควร ก็กราบนมัสการลงที่พ้ืน พสุธา บ่ายหน้าออกไปจากเชตวนาราม พร้อมด้วยภิกษุบริวาร ๕๐๐ องค์ พระเถระเดินทางไป ๗ วัน ก็ถึงบ้านนาลันทา มารดาพอได้ทราบข่าวก็ดีใจ จึงส่ังให้คนใช้รีบจัดแจงห้องพักสาหรับ พระเถระและพระภิกษุสงฆ์นั้นให้อุปเรวตมาณพหลานชายไปนิมนต์ให้เข้ามาในบ้าน พระเถระจึงพาภิกษุสงฆ์ข้ึนเรือนมารดาแล้วจัดให้พักภายนอก ส่วนตนเองเข้ามาพักห้องท่ี ตนเกิด พอเวลาค่าโรคาพาธกล้าได้เกิดแก่มหาเถระ ถึงอาเจียนเป็นโลหิต มารดาเกิดทุกข์ใจ เป็นอยา่ งมาก ในค่าคืนน้ัน เทวดาท้ังหลายได้พากันมาเย่ียมพระเถระเป็นอันมาก เริ่มต้นตั้งแต่ ท้าวจาตุมหาราช ท้าวโกสีย์ ท้าวสุยาม ท้าวสันดุสิต ตลอดท้ังท้าวมหาพรหม มารดาได้เห็น เข้าเกิดความสงสยั เมอื่ เหน็ ว่างแล้วจงึ เขา้ ไปไต่ถาม พระเถระก็บอกโดยละเอียดและกล่าวว่า ท้าวมหาพรหมองค์น้ีแหละแม่ ในวันท่ีพระบรมครูของลูกประสูติได้เอาตาข่ายมารองรับ ถวายการบารุงรักษาอยู่เป็นนิตย์ ในวันที่เสด็จลงจากเทวโลกยังก้ันฉัตรถวาย นางสารี หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๘ ผู้มารดาได้ฟัง เห็นคุณอันมหาศาล อานุภาพของบุตรเรายังปรากฏถึงเพียงนี้ อานุภาพของ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าผเู้ ป็นครูของบุตรเรา คงจะสูงกว่าน้ีเปน็ แนก่ ็เกดิ ปีติเบกิ บานใจ พระเถระทูลลานิพพาน ต่อแต่นั้นพระมหาเถระก็แสดงธรรมโปรดมารดาพรรณนาพระพุทธคุณแก่นางสารี พราหมณีใหด้ ารงอยใู่ นโสดาปัตตผิ ล เป็นพระอริยบคุ คลในพทุ ธศาสนา สมดังความปรารถนา ท่ีอุตสาหะมาสนองพระคุณมารดาแล้วก็เชิญมารดาออกไปพัก เมื่อมารดาออกไปแล้วพระเถระ จึงถามพระจุนทเถระว่า เวลาเท่าใด เม่ือรับคาตอบว่า ใกล้รุ่ง จึงสั่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายเข้า มาประชุมพร้อมกัน ให้พระจุนทะ ข้ึนน่ังแล้วกล่าวว่า อาวุโส ตลอดเวลา ๔๔ พรรษาท่ีท่าน ท้ังหลายติดตามมา กรรมอันใดท่ีมิชอบใจท่านทั้งหลายจะพึงมี ท่านท้ังหลายจงอดโทษแก่ ข้าพเจ้าด้วยเถิด ภิกษุท้ังหลายมีความประมาทสิ่งหน่ึงสิ่งใดในพระมหาเถระ โปรดกรุณา อดโทษแก่พวกกระผมด้วยเถิด พอเวลาอรุณปรากฏ พระธรรมเสนาบดีก็ดับขันธนิพพาน ในวันปุรณมีแห่งกัตติกามาส เพ็ญเดือน ๑๒ พอวันรุ่งข้ึนพระจุนทะก็ได้จัดแจงฌาปนกิจศพ ของพระมหาเถระแล้วห่อเอาอัฐินาไปถวายพระพุทธองค์ พระองค์ตรัสให้สร้างเจดีย์แล้ว บรรจุอัฐิธาตุพระเถระไว้ท่ีซุ้มประตูพระเชตวันเมืองสาวัตถี แล้วเสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์ ประทับอยูท่ ี่พระเวฬวุ นั วิหาร พระมหาโมคคัลลานะ ฝ่ายพระโมคคัลลานะนับแต่อุปสมบทแล้วได้ ๗ วัน ไปทาความเพียรอยู่ที่ บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ อ่อนใจน่ังโงกง่วงอยู่ พระศาสดาเสด็จไปที่น้ัน ทรงแสดง อุบายสาหรบั ระงับความโงกงว่ งสงั่ สอนท่านว่า โมคคลั ลานะ เมื่อท่านมีสญั ญาอย่างไร ความง่วงน้ันย่อมครอบงาได้ ทาควรทาในใจ ถงึ สญั ญานัน้ ให้มาก ข้อนจ้ี ะเปน็ เหตทุ ่ใี ห้ท่านละความง่วงนนั้ ได้ ถ้ายงั ละไม่ได้แตน่ ้นั ท่านควรตรึกตรองพจิ ารณาถึงธรรมทต่ี ัวได้ฟังแล้วและได้เรยี นแล้ว อยา่ งไรดว้ ยนา้ ใจของตวั ข้อนี้จะเปน็ เหตทุ ี่ให้ทา่ นละความง่วงน้ันได้ ถ้ายังละไม่ได้ ท่านควรสาธยายธรรมท่ีตัวได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้วอย่างไรโดย พสิ ดาร ข้อนจ้ี ะเป็นเหตทุ ใี่ ห้ท่านและความงว่ งนั้นได้ หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๕๙ ถ้ายังละไม่ได้ แต่น้ันท่านควรยอนช่องหูท้ังสองข้างและลูบตัวด้วยฝ่ามือ ข้อนี้จะ เป็นเหตทุ ่ีให้ทา่ นละความงว่ งนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรลุกข้ึนยืนแล้วลูบนัยน์ตาด้วยน้า เหลียวดูทิศท้ังหลาย แหงนดดู าวนกั ษตั รฤกษ์ ขอ้ นี้จะเป็นเหตุท่ีใหท้ า่ นละความง่วงน้นั ได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่น้ันท่านควรทาในใจถึงอาโลกสัญญา คือ ความสาคัญในแสงสว่าง ตั้งความสาคญั ว่ากลางวันไวใ้ นจติ ใหเ้ หมือนกันทั้งกลางวันลางคืน มีใจเปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไร หมุ้ หอ่ ทาจติ อันมแี สงสวา่ งใหเ้ กดิ ขอ้ นีจ้ ะเปน็ เหตทุ ใ่ี หท้ า่ นละความงว่ งนน้ั ได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรอธิษฐานจงกรมกาหนดหมายเดินทางกลับไปกลับมา สารวมอินทรียม์ ีจิตไมค่ ดิ ไปภายนอก ข้อนจ้ี ะเป็นเหตทุ ใี่ ห้ทา่ นละความงว่ งน้ันได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรสาเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงข้างขวา ซ้อนเท้า เหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทาความหมายในอันจะลุกข้ึนไว้ในใจ พอท่านต่ืนแล้วรีบลุกข้ึน ด้วยความตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบสุขในการนอน เราจักไม่ประกอบสุขในการเอนข้าง (เอนหลัง) เราจักไมป่ ระกอบสุขในการเคลิ้มหลับ โมคคัลลานะ ท่านควรสาเหนียกใจอย่างนแี้ ล อนึ่ง โมคคัลลานะ ท่านควรสาเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่ชูงวง (คือถือตัว) เข้าไปสู่ ตระกูล เพราะว่า ถ้าภิกษุชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล ถ้ากิจการในตระกูลนั้นมีอยู่ ซ่ึงเป็นเหตุท่ีมนุษย์ จะไม่นึกถึงภิกษุผู้มาแล้ว ภิกษุก็จะคิดเห็นว่าเดี๋ยวนี้ใครหนอ ยุยงให้เราแตกจากตระกูลน้ี เด๋ียวน้ีดูมนุษย์พวกนี้มีอาการอิดหนาระอาใจในเรา เพราะไม่ได้อะไร เธอก็จะมีความเก้อ ครนั้ เกอ้ ก็จะเกดิ ความคิดฟงุ้ ซ่าน ครัน้ คดิ ฟ้งุ ซ่านแล้ว ก็จะเกิดความไม่สารวม ครั้นไม่สารวมแล้ว จติ ก็จะห่างจากสมาธิ อนึ่ง ทา่ นควรสาเหนยี กใจอยา่ งนีว้ ่า เราจกั ไม่พดู คาซง่ึ เปน็ เหตุเถยี งกัน ถือผิดต่อกัน ดังนี้ เพราะว่าเมื่อคาซ่ึงเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกันมีข้ึน ก็จาจะต้องหวังความพูดมาก เม่ือความพูดมากมีขึ้น ก็จะเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้วก็จะเกิดความไม่สารวม คร้ันไม่สารวมแล้ว จิตก็จะห่างจากสมาธิ อน่ึง โมคคัลลานะ เราสรรเสริญความไม่คลุกคลี ด้วยประการทั้งปวง แต่มิใช่ว่าจะไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง (เม่ือไร) คือเราไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต ก็แต่ว่าเสนาสนะท่ีนอนท่ีน่ัง อันใด เงียบเสียงท่ีจะอ้ืออึงปราศจากลมแต่คนเดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการ ที่สงดั ควรเป็นทห่ี ลีกออกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย เราสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะเห็น ปานน้ัน หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๐ เม่ือพระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า ว่าโดยย่อด้วย ข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุช่ือว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่ส้ินตัณหา มีความสาเร็จล่วงส่วน เกษมจากโยคธรรมล่วงส่วน เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน ประเสริฐสุดกว่า เทวดาและมนษุ ย์ทั้งหลาย พระศาสดาตรัสตอบว่า โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า บรรดาธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดม่ัน ครั้นได้สดับดังนั้นแล้ว เธอทราบธรรมท้ังปวงชัดด้วย ปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบธรรมท้ังปวงชัดด้วยปัญญาอันยิ่งดังน้ันแล้ว ย่อมกาหนดรู้ธรรมท้ังปวง คร้ันกาหนดรู้ธรรมท้ังปวงดังนั้นแล้ว เธอได้ เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหน่ึง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์ มิใช่สุขก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เท่ียง พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเคร่ืองหน่าย พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องหน่าย พิจารณาเห็นด้วยปัญญา เป็นเครื่องดับ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องสละคืนในเวทนาท้ังหลายน้ัน เม่ือพิจารณา เห็นดังน้ัน ย่อมไม่ยึดม่ันอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้ง หวาดหวน่ั ย่อมดับกิเลสให้สงบได้จาเพาะตัว และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่ จบแล้ว กิจที่จาจะต้องทาได้ทาเสร็จแล้ว กิจอื่นท่ีจะต้องทาอย่างนี้อีกมิได้มี ว่าโดยย่อด้วย ขอ้ ปฏบิ ัตเิ พียงเท่าน้แี ล ภกิ ษุชอื่ วา่ นอ้ มไปแล้วในธรรมเป็นทีส่ ้นิ ตัณหา มีความสาเร็จล่วงส่วน เกษมจากโยคธรรมล่วงส่วน เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน ประเสริฐสุดกว่า เทวดาและมนษุ ยท์ ้งั หลาย พระมหาโมคคัลลานะ ปฏิบัติตามโอวาทที่พระศาสดาทรงส่ังสอน ก็ได้สาเร็จพระอรหัตในวนั นั้น ในกาลที่พระมหาโมคคัลลานะ พักอาศัยอยู่ท่ีกาฬศิลาในมคธชนบท หมู่เดียรถีย์ เหน็ รว่ มกันว่า พระมหาโมคคลั ลานะ มีอานุภาพมาก สามารถไปสวรรค์ได้ ไปนรกได้ ไปแล้ว ก็นาเอาข่าวสารจากสวรรค์จากนรกมาบอกแก่ญาติมิตรในเมืองมนุษย์ มนุษย์ทั้งหลาย ก็เล่ือมใสในพุทธศาสนา พวกเราต้องเสื่อมคลายความนับถือจากมหาชน ดังน้ันเราควรฆ่า พระเถระเสียเถิด ครั้นแล้วจึงเรี่ยไรทรัพย์จากอุปัฏฐาก จ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจร พากันไปล้อมจับพระเถระ พระเถระก็ทาปาฏิหาริย์หนีไปได้ทุกครั้ง พอโจรพยายามล้อมจับ อยู่ ๒ เดือน คร้ันเม่ือเดือนที่ ๓ พระเถระพิจารณาเห็นกรรมท่ีท่านทาไว้ในชาติก่อนติดตาม มาเห็นควรระงับกรรม จึงยอมให้โจรจับ โจรเม่ือจับได้จึงทุบตีพระเถระจนกระดูกแหลกไม่มี ชนิ้ ดี คร้ันแน่ใจว่าตายแน่ จงึ นาเอาร่างของท่านไปทง้ิ ไว้ในปา่ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๑ พระเถระทูลลานพิ พาน พระมหาเถระดารวิ ่า เราควรจะไปทลู ลาพระบรมศาสดาเสียก่อนจึงนิพพาน ดาริดังน้ี แล้วก็รักษากายประสานให้ม่ันด้วยกาลังฌานเหาะมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลลานิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า โมคคัลลานะ เธอจะนิพพานเม่ือไร ท่ีไหน ข้าพระองค์จะนิพพาน วันนี้ที่กาฬศิลา พระเจ้าข้า พระเถระตอบ ถ้าเช่นน้ัน เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน การเหน็ สาวกเช่นเธอจะไมม่ อี ีกตอ่ ไปแลว้ พระเถระรับพุทธบัญชา ได้ทาปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศแสดงธรรม เม่ือจบ ธรรมเทศนาก็ลงจากอากาศ ถวายอภิวาททูลลาไปยังกาฬศิลาประเทศนิพพานในท่ีน้ัน ในวัน สิ้นเดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตร ๑๕ วัน พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ท่ีพระศาสดาทรง สรรเสริญว่ามีฤทธิ์สามารถให้สิ่งที่ประสงค์สาเร็จได้ และฉลาดในการแนะนาตระกูลท่ีไม่ เล่ือมใส ให้เลื่อมใส ไม่ทาศรัทธาและโภคทรัพย์ของเขาให้เสีย ประหนึ่งแมลงผ้ึงอันเท่ียวไป ในสวนดอกไม้ ไม่ทาสีและกล่ินของดอกไม้ให้ช้า ถือเอาแต่รสบินไปฉะน้ัน แล้วตรัสสอนให้ ภกิ ษุถือเอาเปน็ เยีย่ งอยา่ งประพฤติตาม พระผู้มีพระภาคเสด็จพร้อมด้วยภิกษุท้ังหลายทรงประธานจุดเพลิงทาฌาปนกิจ ขณะน้ัน ฝนดอกไม้ทพิ ย์ตกลงมาประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ มหาชนประชุมสักการะอัฐิธาตุ ตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ท่ีใกล้ซุ้มประตูเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๒ ปรเิ ฉทที่ ๖ ศิษย์พราหมณ์พาวรี ๑๖ คน ทรงแกป้ ญั หามาณพ ฝ่ายพราหมณ์พาวรีออกบวชประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ต้ังอาศรมอยู่ที่ ฝั่งแม่น้าโคธาวารี ในที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ เป็นอาจารย์ใหญ่บอก ไตรเพทแก่หมศู่ ษิ ย์ ได้ทราบว่าพระโอรสของศากยราชเสด็จออกบรรพชาปฏญิ ญาพระองค์ว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนประชุมชน มีคนเชื่อและเล่ือมใส ยอมตนเป็นสาวก ปฏิบัติตามคาสั่งสอนเป็นอันมาก พาวรีพราหมณ์คิดหลากใจใคร่จะสืบสวนให้ได้ความ จึงเรียก มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาคนละหมวด ๆ ให้ไปทูลถาม มาณพทั้ง ๑๖ คนลาอาจารย์แล้วพามาณพที่เป็นบริวารไปเฝ้าพระศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหาคนละหมวด ๆ ครั้นพระศาสดาทรงอนุญาตแล้ว อชิตมาณพ ทลู ถามปญั หาเป็นทีแ่ รก ๔ ข้อ ดังนี้ ปัญหาอชิตมาณพ โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในท่ีมืด เพราะอะไรเป็นเหตุ จึงไม่มี ปัญญาเห็นปรากฏ พระองค์ตรัสว่า อะไรเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกน้ันให้ติดอยู่ และตรัสว่า อะไรเปน็ ภยั ใหญ่ของสัตวโลกนั้น พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้แล้ว จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด เพราะความอยากมีประการต่างๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มี ปัญญาเห็นปรากฏ เรากล่าวว่า ความอยากเป็นเคร่ืองฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่และเรากล่าว ว่าทุกขเ์ ป็นภยั ใหญ่ของสตั วโ์ ลกนน้ั อ. อะไรเป็นเคร่ืองห้าม เป็นเครื่องกันความอยากซ่ึงเป็นดุจกระแสน้าหล่ังไหลไป ในอารมณท์ ้ังปวง ความอยากน้ันจะละได้ เพราะธรรมอะไร พ. เรากล่าวว่า สติเป็นเคร่ืองห้าม เป็นเคร่ืองกันความอยากน้ัน และความอยากน้ัน จะละไดเ้ พราะปัญญา อ. ปัญญา สติ กับนามรูปน้ัน จะดับไป ณ ที่ไหน ข้าพเจ้าทูลถามแล้ว ขอพระองค์ ตรัสบอกความข้อนี้แกข่ า้ พเจ้า หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๓ พ. เราจะแก้ปญั หาทีท่ ่านถามถงึ ทดี่ บั นามรปู สิ้นเชิง ไม่มีเหลือแก่ท่าน เพราะวิญญาณ ดบั ไปกอ่ น นามรูปจงึ ดับไป ณ ที่นั้นเอง อ. ชนผู้มีธรรมได้พิจารณาเห็นแล้ว และชนผู้ยังต้องศึกษาอยู่สองพวกนี้มีอยู่ในโลก เป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอทูลถามถึงความประพฤติของชนสองพวกน้ัน พระองค์มีพระปัญญา แกก่ ลา้ ขอจงตรสั บอกแกข่ ้าพเจา้ พ. ภิกษผุ ู้มธี รรมได้พิจารณาเห็นแล้ว และชนผู้ยังต้องศึกษาอยู่ต้องเป็นผู้ไม่กาหนัด ในกามท้งั หลาย มีใจไมข่ นุ่ มวั ฉลาดในธรรมทัง้ ปวง มีสตอิ ยู่ทุกอริ ยิ าบถ ครั้นพระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่อชิตมาณพทูลถามอย่างน้ีแล้ว โมฆราชมาณพ ปรารภจะทูลถามปัญหา ได้ยินว่า โมฆราชมาณพนั้นถือตัวว่าเป็นคนมีปัญญากว่ามาณพทั้ง ๑๕ คน คิดจะทูลถามก่อนแต่เห็นว่า อชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่ว่า จึงยอมให้ทูลถามก่อน คร้ัน อชิตมาณพทูลถามแล้ว จึงปรารภจะทูลถามเป็นที่ ๒ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็น อาการอย่างนั้นแล้วตรัสห้ามว่า โมฆราช ท่านยอมให้มาณพอื่นถามก่อนเถิด โมฆราชมาณพ ก็หยดุ น่ิงอยู่ ปญั หาตสิ สเมตเตยยมาณพ ลาดับนั้น ติสสเมตเตยยมาณพ ทูลถามปัญหาเป็นท่ี ๒ ว่า ใคร ช่ือว่าเป็นผู้สันโดษ คือ เต็มความประสงค์ในโลกนี้ ความอยากซ่ึงเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนของใครไม่มีใครรู้ ส่วนข้างปลายท้ังสอง (คืออดีตกับอนาคต) ด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง (คือปัจจุบัน) พระองค์ตรัสว่า ใครเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงความอยากอันผูกใจสัตว์ไว้ในโลกน้ี ดจุ ดา้ ยเป็นเครอื่ งเยบ็ ผ้าให้ติดกนั ไปได้ พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สารวมในกามท้ังหลาย ปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึกได้ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโดยชอบแล้ว ดับเครื่องร้อน กระวนกระวายเสียได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ เต็มความประสงค์ในโลกน้ี ความอยาก ซ่ึงเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนของภิกษุนั้นแลไม่มี ภิกษุน้ันแลรู้ส่วนข้างปลายท้ังสองด้วย ปญั ญาแล้ว ไม่ตดิ อยู่ในส่วนทา่ มกลาง เรากลา่ วว่า ภิกษุนั้นแลเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นแลล่วง ความอยากอนั ผกู ใจสัตวไ์ วใ้ นโลกนี้ ดจุ ด้ายเปน็ เครื่องเย็บผา้ ให้ตดิ กนั ไปได้ หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๔ ปัญหาปณุ ณกมาณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหาท่ีติสสเมตเตยยมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ปุณณกมาณพ ทูลถามปัญหาเป็นที่ ๓ ว่า บัดน้ี มีปัญหามาถึงพระองค์ผู้หาความหวาดหว่ันมิได้ รู้เหตุที่เป็น รากเหง้าของสิ่งท้ังปวง ขา้ พเจา้ ขอทลู ถาม หมูม่ นษุ ย์ในโลกน้ี คือ ฤษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็น อนั มาก อาศัยอะไรจึงบูชายญั บวงสรวงเทวดา ขอพระองคจ์ งตรัสบอกความขอ้ น้นั แก่ข้าพเจ้า พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของท่ีตนปรารถนา อาศัย ของท่ีมชี ราทรุดโทรม จงึ บชู ายญั บวงสรวงเทวดา ป. หมมู่ นษุ ยเ์ หลา่ นั้น ถ้าไมป่ ระมาทในยัญของตน จะขา้ มพ้นชาติชราไดบ้ า้ งหรือไม่ พ. หมู่มนุษย์เหล่าน้ัน มุ่งลาภท่ีตนหวังจึงพูดสรรเสริญการบูชายัญ ราพันสิ่งที่ตัว ใคร่ ก็เพราะอาศัยลาภ เรากล่าวว่า ผู้บูชายัญเหล่าน้ันยังเป็นคนกาหนัดยินดีในภพ ไม่ข้าม พ้นชาติชราไปได้ ป. ถ้าผู้บูชายัญเหล่านั้น ข้ามพ้นชาติชรา เพราะยัญของตนไม่ได้ เม่ือเป็นเช่นนี้ ใคร่เลา่ ในเทวโลก หรอื ในมนุษยโลก ข้ามพน้ ชาตชิ รานน้ั ได้แล้ว พ. ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานด้ินรนในโลกไหน ๆ ของผู้ใดไม่มี เพราะได้ พิจารณาเห็นธรรมที่ยิ่งและหย่อนในโลก เรากล่าวว่า ผู้น้ันซึ่งสงบระงับได้ไม่มีทุจริตความ ประพฤติช่ัวอันจะทาให้มัวหมอง ดุจควันไฟอันจับเป็นเขม่าไม่มีกิเลสอันจะกระทบจิตหา ความอยากทะเยอทะยานมไิ ด้ ขา้ มพ้นชาตชิ ราไปได้แลว้ ปญั หาเมตตคมู าณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหาท่ีปุณณกมาณพทูลถามอย่างน้ีแล้ว เมตตคูมาณพ ทลู ถามปัญหาเปน็ ที่ ๔ ว่า ข้าพเจ้าขอทูลถาม ขอพระองค์จงตรัสข้อความที่จะทูลถามนั้นแก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบว่า พระองค์ถึงท่ีสุดจบไตรเพท มีจิตอันได้อบรมดีแล้ว ทุกข์ในโลก หลายประการ ไมใ่ ช่แตอ่ ยา่ งเดยี วนี้ มีมาแล้วแต่อะไร พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจักบอก แก่ทา่ นตามรู้เห็น ทกุ ข์ในโลกนม้ี อี ปุ ธิคอื กรรมและกิเลสเป็นเหตุ ล้วนเกิดมาแต่อุปธิ ผู้ใดเป็น คนเขลาไม่รู้แล้วกระทาอุปธิน้ันให้เกิดข้ึน ผู้น้ันย่อมถึงทุกข์เนือง ๆ เหตุนั้นเมื่อรู้เห็นว่าอุปธิ เปน็ แดนเกิดแหง่ ทกุ ข์ อย่ากระทาใหเ้ กิดมี หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๕ ม. ขา้ พเจา้ ทลู ถามข้อใด กท็ รงแกข้ ้อนน้ั ประทานแกข่ ้าพเจา้ แล้ว ข้าพเจ้าขอทูลถาม ขอ้ อ่นื อีก ขอเชญิ พระองค์ทรงแก้อย่างไรผู้มีปัญญาจึงข้ามพ้นห้วงทะเลใหญ่ คือชาติชราและ โศกพิไรราพันเสียได้ ขอพระองค์จงทรงแก้ข้อนั้นประทานแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าธรรมน้ัน พระองคค์ งทรงทราบแลว้ พ. เราจักแสดงธรรมท่ีจะพึงเห็นแจ้งด้วยตนเองในอัตภาพนี้ ไม่ต้องพิศวงตามคา ของผู้อ่ืน คือ อย่างน้ี ๆ ท่ีบุคคลได้ทราบแล้วจะเป็นผู้มีสติ ดาเนินข้ามความอยากอันให้ติด อยใู่ นโลกเสียได้ ม. ขา้ พเจ้ายนิ ดีธรรมที่สงู สุดนัน้ เปน็ อย่างยิ่ง พ. ท่านรู้อย่างใดอย่างหน่ึง ในส่วนเบ้ืองบน (คืออนาคต) ในส่วนเบ้ืองต่า (คืออดีต) ในส่วนท่ามกลาง (คือปัจจุบัน) จงบรรเทาความเพลิดเพลินความยึดมั่น ในส่วนเหล่านั้นเสีย วิญญาณของท่านจะไม่ต้ังอยู่ในภพ ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเคร่ืองอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่เลินเล่อ ได้ทราบแล้ว ละความถือม่ันว่าของเราเสียได้แล้ว จะละทุกข์คือชาติชราและโศกพิไรราพัน ในโลกนี้ได้ ม. ข้าพเจ้าชอบใจพระวาจาของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ธรรมอันไม่มีอุปธิ พระองค์ ทรงแสดงชอบแล้ว พระองค์คงละทุกข์ได้แน่แล้ว เพราะว่าพระองค์ได้ทรงทราบธรรมนี้แล้ว แม้ท่านผู้รู้ท่ีพระองค์ทรงส่ังสอนอยู่เป็นนิตย์ ไม่หยุดหย่อน คงละทุกข์นั้นได้ด้วยเป็นแน่ เหตุน้ัน ข้าพเจ้าจึงได้มาถวายบังคมพระองค์ ด้วยตั้งใจจะให้ทรงส่ังสอนข้าพเจ้าเป็นนิตย์ ไมห่ ยดุ หย่อนเหมือนอยา่ งนัน้ บ้าง พ. ท่านรู้วา่ ผ้ใู ดเปน็ พราหมณถ์ งึ ทส่ี ุดจบไตรเพท ไมม่ ีกเิ ลสเครอ่ื งกังวล ไม่ติดข้องอยู่ ในกามภพ ผ้นู ัน้ แลข้ามล่วงเหตุแหง่ ทกุ ข์ ดุจห้วงทะเลอนั ใหญ่น้ีได้แน่แล้ว ครั้นข้ามถึงฝ่ังแล้ว เป็นคนไม่มีกิเลสอันตรึงจิต ส้ินความสงสัย ผู้น้ันครั้นรู้แล้วถึงที่สุดจบไตรเพทในศาสนานี้ สิ้นความสงสัย ละธรรมที่เป็นเหตุติดข้องอยู่ในภพน้อยภพใหญ่เสียได้แล้ว เป็นคนมีความ อยากส้ินแล้ว ไม่มีกิเลสอันจะกระทบจิต หาความอยากทะเยอทะยานมิได้ เรากล่าวว่าผู้น้ัน แลขา้ มพน้ ชาตชิ ราไดแ้ ล้ว หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๖ ปญั หาโธตกมาณพ ครั้นพระศาสดาทรงแก้ปัญหาท่ีเมตตคูมาณพทูลถามแล้ว โธตกมาณพทูลถามปัญหา เป็นที่ ๕ ว่า ข้าพเจ้าทูลถามพระองค์ ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพเจ้า ๆ อยากจะฟังพระวาจา ของพระองค์ ข้าพเจา้ ไดฟ้ ังพระสรุ เสียงของพระองค์แล้ว จะศึกษาข้อปฏิบัติซึ่งเป็นเครื่องดับ กเิ ลสของตน พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเป็นคนมีปัญญา มีสติ ทาความ เพยี รในศาสนาน้ีเถิด ธ. ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้เป็นพราหมณ์ หากังวลมิได้เที่ยวอยู่ในเทวโลกและ มนุษยโลก เหตุน้ัน ข้าพเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ขอพระองค์ทรงเปล้ืองข้าพเจ้าเสียจาก ความสงสัยเถดิ พ. เราเปลื้องใคร ๆ ในโลก ผู้ยังมีความสงสัยอยู่ไม่ได้ เมื่อท่านรู้ธรรมอันประเสริฐ ก็จะขา้ มหว้ งทะเลใหญ่ คือ กิเลสอนั น้ีเสยี ได้เอง ธ. ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาแสดงธรรมอันสงัดจากกิเลสที่ข้าพเจ้าควรจะรู้ ส่งั สอนใหเ้ ปน็ คนโปรง่ ไม่ขดั ข้อง ดุจอากาศสงบระงับกิเลสเสียได้ ไม่อาศัยส่ิงหน่ึงสิ่งใดเท่ียว อย่ใู นโลกน้ี พ. เราจะบอกอุบายเคร่ืองสงบระงับกิเลส ซ่ึงจะเห็นเองไม่ต้องเช่ือตามต่ืนข่าว ท่บี คุ คลไดท้ ราบแล้ว จะมสี ติข้ามความอยากทีต่ รงึ ใจไว้ในโลกเสยี ไดแ้ กท่ ่าน ธ. ขา้ พเจา้ ชอบใจอุบายเครือ่ งสงบระงบั กเิ ลสอนั สูงสุดน้ันเป็นอย่างย่งิ พ. ถ้าท่านรู้ว่าความทะยานอยากท้ังเบ้ืองบน เบื้องต่า ท่ามกลางเป็นเหตุให้ติดข้อง อยู่ในโลก ทา่ นอย่าทาความทะยานอยาก เพอ่ื จะเกิดในภพนอ้ ยใหญ่ ปญั หาอปุ สวี มาณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหที่โธตกมาณพทูลถามอย่างน้ีแล้ว อุปสีวมาณพทูลถาม ปัญหาเป็นที่ ๖ ว่า ลาพังข้าพเจ้าผู้เดียว ไม่ได้อาศัยอะไรแล้ว ไม่อาจข้ามห้วงทะเลใหญ่ คือ กิเลสได้ ขอพระองค์ตรัสบอกอารมณ์ท่ีหน่วงเหนี่ยวซ่ึงข้าพเจ้าจะควรอาศัยข้ามห้วงนี้ แกข่ า้ พเจ้าเถิด หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๗ พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นผู้มีสติเพ่งอากิญจัญญายตนฌาน อาศัย อารมณ์ว่าไม่มี ๆ ดังนี้ ข้ามห้วงเสียเถิด ท่านจงละกามทั้งหลายเสีย เป็นคนเว้นจากความสงสัย เห็นธรรมท่สี น้ิ ไปแห่งความทะเยอทะยานอยากให้ปรากฏชดั ทั้งกลางคนื กลางวันเถิด อุ. ผู้ใดปราศจากความกาหนัดในกามทั้งปวงแล้วล่วงฌานอื่นได้แล้วอาศัยอากิญ- จัญญายตนฌาน (คือความเพ่งใจว่า ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์) น้อมใจแล้วในอากิญจัญญายตนฌาน ซ่ึงเป็นธรรมท่ีเปลื้องสัญญาอย่างประเสริฐสุด ผู้นั้น จะตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานน้ัน ไม่มเี สอื่ มบ้างหรือ พ. ผู้น้ันจะต้ังอยู่ในอากญิ จญั ญายตนฌานนัน้ ไมม่ ีเสอื่ ม อ.ุ ถ้าผูน้ ั้นจะตง้ั อยู่ในอากิญจัญญายตนฌานน้ัน ไม่มีเสื่อมสิ้นไปเป็นอันมาก เขาจะ เป็นคนยั่งยืนอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานน้ันหรือจะดับขันธปรินิพพาน วิญญาณของคน เชน่ น้นั จะเป็นฉนั ใด พ. เปลวไฟอันกาลังลมเป่าแล้วดับไป ไม่ถึงความนับว่าได้ไปแล้วในทิศไหน ฉันใด ท่านผ้รู ู้พ้นไปแล้วจากกองนามรูป ย่อมดับไม่มีเช้ือเหลือ (คือดับพร้อมท้ังกิเลสทั้งขันธ์) ไม่ถึง ความนบั วา่ ไปเกิดเปน็ อะไร ฉันนัน้ อ.ุ ท่านผู้น้นั ดับไปแลว้ หรือว่าเปน็ แต่ไม่มีตัว หรือจะเป็นผูต้ งั้ อยยู่ ั่งยืนหาอันตรายมไิ ด้ ขอพระองคท์ รงพยากรณค์ วามขอ้ นนั้ แก่ขา้ พเจ้า เพราะวา่ ธรรมน้ันพระองค์ได้ทรงทราบแล้ว พ. ประมาณแห่งเบญจขันธ์ของผู้ท่ีดับปรินิพพานแล้วมิได้มี กิเลสซ่ึงเป็นเหตุกล่าว ผู้น้ันว่าไปเกิดเป็นอะไรของผู้น้ันก็มิได้มี เมื่อธรรมท้ังหลาย (มีขันธ์เป็นต้น) อันผู้นั้นขจัดได้ หมดแลว้ ก็ตัดทางแหง่ ถ้อยคาที่จะพูดถึงผ้นู ัน้ ว่าเปน็ อะไรเสียทงั้ หมด ปญั หานนั ทมาณพ ครั้นพระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่อุปสีวมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว นันทมาณพทูลถาม ปัญหาเป็นท่ี ๗ ว่า ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีมีอยู่ในโลกนี้ ข้อน้ีเป็นอย่างไร เขาเรียกคนถึง พร้อมด้วยญาณ หรือถึงพร้อมดว้ ยการเลี้ยงชีวติ วา่ เปน็ มุนี พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่กล่าวคนว่าเป็นมุนีด้วยความเห็น ด้วยความสดับ หรือด้วยความรู้ เรากล่าวว่า คนใดทาตนให้ปราศจากกองกิเลส เป็นคนหา กเิ ลสมไิ ด้ ไมม่ คี วามหวงั ทะยานอยากเทีย่ วอยู่ คนผนู้ ัน้ แลชอื่ วา่ มนุ ี หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๘ น. สมณพราหมณเ์ หล่าใดเหลา่ หน่ึง กล่าวความบริสุทธ์ิด้วยความเห็น ด้วยความฟัง ด้วยศีลและพรตและด้วยวิธีเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านั้นประพฤติในวิธีเหล่าน้ัน ตามที่ตนเห็นว่าเป็นเคร่ืองบริสุทธ์ิ ข้ามพ้นชาติชราได้แล้วบ้างหรือหาไม่ ข้าพเจ้าทูลถาม ขอพระองค์ตรัสบอกความขอ้ น้ันแก่ขา้ พเจา้ เถิด พ. สมณพราหมณ์เหล่านั้น แมถ้ ึงประพฤติอย่างนั้น เรากล่าวว่า พ้นชาติชราไม่ได้แล้ว น. ถ้าพระองค์ตรัสว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นข้ามห้วงไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าในเทวโลกหรอื ในมนษุ ยโลก ขา้ มพน้ ชาตชิ ราไดแ้ ล้ว พ. เราได้กล่าวว่า สมณพราหมณ์ อันชาติชราครอบงาแล้วหมดทุกคน แต่เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่าใดในโลกนี้ละอารมณ์ท่ีตนได้เห็น ได้ฟัง ได้รู้ และศีลพรตกับวิธีเป็น อันมากเสียท้ังหมด กาหนดรู้ตัณหาว่าเป็นโทษควรละแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้สมณพราหมณ์ เหลา่ นน้ั แล ขา้ มหว้ งไดแ้ ลว้ น. ข้าพเจ้าชอบใจพระวาจาของพระองค์เป็นอย่างย่ิง พระองค์ทรงแสดงธรรม อันไม่มีอุปธิ (กิเลส) ชอบแล้ว แม้ข้าพเจ้าก็เรียกสมณพราหมณ์เหล่าน้ันว่าผู้ข้ามห้วงได้แล้ว เหมือนพระองค์ตรสั ปัญหาเหมกมาณพ ครน้ั พระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่นันทมาณพทูลถามอย่างน้ีแล้ว เหมกมาณพทูลถาม ปัญหาเปน็ ที่ ๘ ว่า ในปางกอ่ นแตศ่ าสนาของพระองค์ อาจารย์ท้ังหลายได้ยืนยันว่า อย่างน้ัน ได้เคยมมี าแล้ว อย่างนจี้ ักมีต่อไปข้างหน้า คาน้ีล้วนเป็นแต่ว่าอย่างน้ี ๆ มีแต่จะทาความตรึก ให้ฟุ้งมากข้ึน ข้าพเจ้าไม่พอใจในคานั้นเลย ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นเหตุถอนตัณหา ท่ขี ้าพเจ้าทราบแลว้ จะพึงเปน็ คนมสี ติข้ามลว่ งตัณหาอันใหต้ ดิ อยู่ในโลกแกข่ า้ พเจ้าเถิด พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ชนเหล่าใด ได้รู้ว่า นิพพานเป็นท่ีบรรเทาความกาหนัด พอใจในอารมณ์ที่รัก ซึ่งได้เห็นแล้ว ได้ฟังแล้ว ได้ดมแล้ว ได้ชิมแล้ว ได้ถูกต้องแล้ว และได้รู้ แล้วด้วยใจและเป็นธรรมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้ว เป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสไดแ้ ลว้ ชนผูส้ งบระงับกิเลสไดแ้ ล้วนัน้ ขา้ มลว่ งตัณหาอันใหต้ ดิ อยู่ในโลกได้แล้ว หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๖๙ ปญั หาโตเทยยมาณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่เหมกมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว โมฆราชมาณพ ปรารภจะทูลถามปัญหาอีก พระศาสดาตรัสห้ามให้รอก่อนเหมือนหนหลัง โตเทยยมาณพ จึงทูลถามปัญหาเป็นท่ี ๙ ว่า กามท้ังหลายไม่ต้ังอยู่ในผู้ใด ตัณหาของผู้ใดไม่มี และผู้ใดข้าม ล่วงความสงสยั เสียได้ ความพ้นของผู้นนั้ เปน็ เชน่ ไร พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ความพ้นของผู้นั้น ที่จะเป็นอย่างอ่ืนอีกมิได้มี (อธิบายว่า ผู้น้ันพ้นจากกาม จากตัณหา จากความสงสัยแล้ว กามก็ดี ตัณหาก็ดี ความสงสัยก็ดี จะกลับ เกิดขึ้น ผู้นั้นจะต้องเพียรพยายามเพ่ือจะทาตนให้พ้นไปอีกหามีไม่ ความพ้นของผู้นั้นเป็น อันคงท่ไี มแ่ ปรผนั เปน็ อย่างอ่นื ) ต. ผู้นั้นเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานหรือไม่มี เป็นคนมีปัญญาแท้ หรือเป็น แต่ก่อตัณหาและทิฏฐิให้เกิดข้ึนด้วยปัญญา ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านผู้มุนีนั้นได้ด้วยอย่างไร ขอพระองคต์ รสั บอกแกข่ า้ พเจ้าเถดิ พ. ผู้น้ันเป็นคนไม่มีความหวังทะเยอทะยาน จะเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยาน ก็หาไม่ เปน็ คนมปี ญั ญาแท้ จะเป็นแตค่ นก่อตัณหาและทิฏฐิใหเ้ กดิ ด้วยปัญญาก็หาไม่ ท่านจง รจู้ ักมนุ วี ่า คนไม่มกี ังวล ไมต่ ดิ อยใู่ นกามภพ อย่างนีเ้ ถิด ปัญหากปั ปมาณพ ครั้นพระศาสดาทรงแก้ปัญหาท่ีโตเทยยมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว กัปปมาณพทูลถาม ปัญหาเป็นท่ี ๑๐ วา่ ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมซ่ึงจะเปน็ ทพ่ี ่งึ พานกั ของชนอนั ชราและมรณะ มาถึงรอบข้าง ดุจเกาะอันเป็นที่พานักอาศัยของชนผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสาคร เมื่อเกิดคล่ืน ทีน่ ่ากลัวใหญ่แกข่ ้าพเจา้ อย่าใหท้ กุ ข์นม้ี ไี ด้อกี พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวว่านิพพานอันไม่มีกิเลสเคร่ืองกังวล ไม่มีตัณหา เคร่ืองถือมั่น เป็นท่ีส้ินแห่งชราและมรณะน้ีแล เป็นดุจเกาะ หาใช่ธรรมอ่ืนไม่ ชนเหล่าใดรู้ นิพพานนั้นแล้ว เป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้น ไม่ต้องตกอยู่ ในอานาจของมาร ไมต่ ้องเดนิ ไปในทางของมารเลย หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๗๐ ปญั หาชตกุ ัณณมี าณพ ครั้นพระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่กัปปมาณพทูลถามอย่างน้ีแล้ว ชตุกัณณีมาณพทูล ถามปัญหาเป็นที่ ๑๑ ว่า ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระองค์ไม่ใช่ผู้ใคร่กาม ข้ามล่วงห้วงกิเลสเสีย ได้แล้ว จึงมาเฝ้าเพื่อจะทูลถามพระองค์ผู้หากิเลสกามมิได้ ขอพระผู้มีพระภาค ผู้มี พระปญั ญาดจุ ดวงตาเกิดพร้อมกับตรัสรู้ จงแสดงธรรมอันระงบั แก่ขา้ พเจ้าโดยถ่องแท้ เหตุว่า พระองค์ทรงผจญกิเลสกามให้แห้งหายได้ ดุจพระอาทิตย์อันส่องแผ่นดินให้แห้งด้วยรัศมี ขอพระองค์ผู้มีพระปัญญากว้างใหญ่ราวกับแผ่นดิน ตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชรา ในอตั ภาพนท้ี ขี่ ้าพเจา้ ควรจะทราบแกข่ า้ พเจ้าผมู้ ปี ัญญาน้อยเถิด พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงนาความกาหนัดในกามเสียให้สิ้น เห็นความ ออกไปจากกามโดยเป็นความเกษมเถิด กิเลสเครื่องกังวลที่ท่านยึดไว้ด้วยตัณหาและทิฏฐิ ซงึ่ ควรจะสละเสยี อย่าเสียดแทงใจของท่านได้ กังวลได้มีแล้วในปางก่อน ท่านจงให้กังวลนั้น เหือดแห้งเสีย กังวลในภายหลังอย่าให้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือเอากังวลในท่ามกลาง ท่านจักเป็นคนสงบระงับกังวลได้เที่ยวอยู่ อาสวะ (กิเลส) ซึ่งเป็นเหตุถึงอานาจมัจจุราชของ ชนผู้ปราศจากความกาหนดั ในนามรปู โดยอาการท้งั ปวงมไิ ดม้ ี ปัญหาภทั ราวุธมาณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่ชตุกัณณีมาณพทูลถามอย่างน้ีแล้ว ภัทราวุธมาณพ ทูลถามปัญหาเป็นที่ ๑๒ ว่า ข้าพเจ้าทูลขออาราธนาพระองค์ผู้ทรงละอาลัยตัดตัณหาเสียได้ ไม่หวั่นไหว (เพราะโลกธรรม) ละความเพลิดเพลินเสียได้ ข้ามห้วงกิเลสพ้นไปได้แล้ว ละธรรมเป็นเคร่ืองให้ดาริ (ไปต่าง ๆ) คือตัณหาและทิฏฐิได้แล้ว มีพระปรีชาญาณอันดี ชนที่ อยู่ชนบทต่าง ๆ อยากจะฟังพระวาจาของพระองค์ มาพร้อมกันแล้วจากชนบทน้ัน ๆ ได้ฟัง พระวาจาของพระองค์แล้วจักกลับไปจากท่ีน่ี ขอพระองค์จงทรงแก้ปัญหาเพ่ือชนเหล่าน้ัน เพราะว่าธรรมนัน้ พระองค์ได้ทราบแล้ว พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า หมู่ชนน้ันควรจะนาตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่น ในส่วน เบ้ืองบน เบ้ืองต่า เบ้ืองขวา คือ ท่ามกลางทั้งหมดให้สิ้นเชิง เพราะเขาถือม่ันส่ิงใด ๆ ในโลก มารย่อมติดตามเขาได้โดยส่ิงน้ัน ๆ เหตุนั้นเม่ือภิกษุรู้อยู่ เห็นหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏฏะ เป็น ท่ีตั้งแห่งมารน้ีวา่ ติดอย่เู พราะความถอื มน่ั ดงั นี้ พึงเป็นคนมสี ติ ไม่ถือม่ันกังวลในโลกท้ังปวง หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๗๑ ปัญหาอทุ ยมาณพ ครั้นพระศาสดาทรงแก้ปัญหาท่ีภัทราวุธมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว อุทยมาณพ ทูลถามปัญหาเป็นที่ ๑๓ ว่า ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหาจึงมาเฝ้าพระองค์ ผู้ทรงนั่งบาเพ็ญฌาน มีพระสันดานปราศจากกิเลสธุลี หาอาสวะมิได้ ได้ทรงทากิจที่จาจะต้อง ทาเสร็จแล้วบรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมท้ังปวง ขอพระองค์ จงทรงแสดงธรรมเป็นเคร่ืองพ้นจาก กิเลสท่คี วรรทู้ ัว่ ถึง ซงึ่ เปน็ เครื่องทาลายอวิชชา ความเขลาไมร่ ้แู จ้งเสยี พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวธรรมเป็นเคร่ืองละความพอใจในกามและ โทมนัสเสียทั้งสองอย่าง เป็นเคร่ืองบรรเทาความง่วง เป็นเครื่องห้ามความราคาญ มีอุเบกขา กบั สตเิ ป็นธรรมบรสิ ทุ ธ์ิ มีความตรกึ กอปรด้วยธรรมเป็นเบ้ืองหน้า ว่าเป็นธรรมเคร่ืองพ้นจาก กิเลส ท่คี วรรู้ทวั่ ถงึ ซงึ่ เปน็ เคร่อื งทาลายอวิชชา ความเขลาไมร่ ูแ้ จง้ เสยี อ.ุ โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไร เป็นเครื่องสญั จรของโลกนั้น ทา่ นกล่าวกันว่า นิพพาน ๆ ดังนัน้ เพราะละอะไรได้ พ. โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเคร่ืองสัญจรของโลกน้ัน ท่านกล่าว กนั วา่ นิพพาน ๆ ดงั น้ี เพราะละตัณหาเสียได้ อุ. เมื่อบุคคลมีสติระลึกอย่างไรอยู่ วิญญาณจึงจะดับ ข้าพเจ้าท้ังหลายมาเฝ้าแล้ว เพ่อื ทลู ถามพระองค์ ขอใหไ้ ดฟ้ งั พระวาจาของพระองค์เถิด พ. เม่ือบุคคลไม่เพลิดเพลิน เวทนาท้ังภายในภายนอก มีสติระลึกอย่างนี้ วิญญาณ จงึ จะดบั ปัญหาโปสาลมาณพ ครัน้ พระศาสดาทรงแกป้ ัญหาท่อี ุทยมาณพทลู ถามอย่างนี้แลว้ โปสาลมาณพทูลถาม ปัญหาเป็นท่ี ๑๔ ว่า ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ ผู้ทรง สาแดงพระปรีชาญาณในกาลเป็นอดีต ไม่ทรงหวั่นไหว (เหตุสุขทุกข์) มีความสงสัยอันตัดเสีย ได้แล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมท้ังปวง ข้าพเจ้าขอทูลถามถึงญาณของบุคคล ผู้มีความกาหนด หมายในรูปแจ้งชัด (คือได้บรรลุรูปฌานแล้ว) ละรูปารมณ์ท้ังหมดได้แล้ว (คือล่วงรูปฌาน ขึ้นไปแล้ว) เหน็ อยูท่ ้งั ภายในภายนอกวา่ ไม่มีอะไรสักนอ้ ยหนึ่ง (คือบรรลุอรูปฌาน ที่เรียกว่า อากญิ จัญญายตนะ) บคุ คลเช่นนนั้ จะควรแนะนาส่ังสอนใหท้ าอยา่ งไรต่อไป หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๗๒ พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ตถาคต ทราบภูมิเป็นท่ีต้ังแห่งวิญญาณท้ังหมด จึงทราบบุคคลผู้เช่นนั้นแม้ยังต้ังอยู่ในโลกน้ีว่า มีอัธยาศัยน้อมไปในอากิญจัญญายตนภพ มีอากิญจัญญายตนภพเป็นที่ไปในเบื้องหน้า บุคคลเช่นน้ันรู้ว่ากรรมอันเป็นเหตุให้เกิดใน อากิญจัญญายตนภพ มีความเพลิดเพลินยินดีเป็นเคร่ืองประกอบ ดังน้ีแล้ว ลาดับน้ัน ย่อม พิจารณาเห็นสหชาตธรรมในอากิญจัญญายตนฌานน้ัน (คือ ธรรมที่เกิดพร้อมกันกับญาณน้ัน) แจ้งชดั โดยลักษณะ ๓ (คือไมเ่ ทยี่ ง เป็นทกุ ข์ ไม่ใช่ตวั ) ข้อนีเ้ ป็นญาณอันถ่องแท้ของพราหมณ์ เช่นน้นั ผ้มู พี รหมจรรย์ได้ประพฤตจิ บแลว้ ปญั หาโมฆราชมาณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหาท่ีโปสาลมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว โมฆราชมาณพ กราบทูลว่า ข้าพเจ้าได้ทูลถามปัญหาถึง ๒ ครั้งแล้ว พระองค์ไม่ทรงแก้ประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินว่า ถ้าทูลถามถึง ๓ ครั้งแล้ว พระองค์จะทรงแก้ คร้ันว่าอย่างนี้แล้วทูลถาม ปัญหาเปน็ ที่ ๑๕ วา่ โลกน้กี ด็ ี โลกอ่ืนก็ดี พรหมโลกกับท้ังเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ทราบความเห็น ของพระองค์ เหตุฉะน้ี จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ผู้มีพระปรีชาเห็นล่วงสามัญชนท้ังปวง อย่างนี้ ข้าพเจ้าจะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราช (ความตาย) จึงจะไม่แลเห็น คือว่า จักไมต่ ามทัน พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมสี ติ พจิ ารณาเห็นโลกโดยความเป็นของ ว่างเปล่า ถอนความตามเห็นว่า ตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งนี้ ทา่ นพจิ ารณาเห็นโลกอย่างนแ้ี ล มจั จุราชจงึ แลไมเ่ หน็ ปญั หาปิงคยิ มาณพ คร้ันพระศาสดาทรงแก้ปัญหาที่โมฆราชมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ปิงคิยมาณพ ทูลถามปัญหาเป็นที่ ๑๖ ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนแก่แล้ว ไม่มีกาลัง มีผิวพรรณสิ้นไปแล้ว ดวงตา ของข้าพเจ้าก็เห็นไม่กระจ่าง หูก็ฟังไม่สะดวก ขอข้าพเจ้าอย่าเป็นคนหลงฉิบหายเสียใน ระหวา่ งเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมทข่ี า้ พเจ้าควรรู้เป็นเครอ่ื งละชาติชราในอัตภาพน้ีเสีย พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านเห็นว่า ชนทั้งหลายผู้ประมาทแล้ว ย่อมเดือดร้อน เพราะรูปเป็นเหตุ เพราะฉะน้ัน ท่านจงเป็นคนไม่ประมาทละความพอใจในรูปเสีย จะได้ ไม่เกิดอีก หลกั สูตรธรรมศกึ ษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๗๓ ปิ. ทิศใหญ่ ๔ ทศิ นอ้ ย ๔ เปน็ ๑๐ ทัง้ ทศิ เบอ้ื งบน เบ้ืองต่า ที่พระองค์ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ฟังแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้รู้แล้วแม้น้อยหน่ึงมิได้มีในโลก ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรม ทขี่ ้าพเจา้ ควรรู้ เป็นเครอ่ื งละชาตชิ ราในอตั ภาพนี้เสยี พ. เมอื่ ทา่ นเห็นหมูม่ นษุ ย์ อันตณั หาครอบงาแลว้ มีความเดอื ดรอ้ นเกดิ แล้ว อนั ชรา ถึงรอบขา้ งแลว้ เหตนุ น้ั ท่านจงเปน็ คนไมป่ ระมาทละตัณหาเสยี จะได้ไม่เกดิ อีก ในกาลเป็นที่สุดแห่งปัญหาท่ีพระศาสดาทรงพยากรณ์ มาณพ ๑๕ คน (เว้นไว้แต่ ปิงคิยมาณพ) ส่งใจไปตามธรรมเทศนาก็มีจิตพ้นจากอาสวะไม่ถือม่ันด้วยอุปาทาน ส่วนปิงคิยะ เป็นแต่ได้ญาณเห็นธรรม ได้ยินว่า ปิงคิยมาณพน้ันคิดถึงพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ ในระหว่างท่ีน่ังฟังธรรมเทศนาว่า ลุงของเราหาได้ฟังธรรมเทศนาที่ไพเราะอย่างนี้ไม่ อาศัยโทษ ทฟี่ ้งุ ซ่านเพราะความรกั อาจารยน์ ัน้ จงึ ไมอ่ าจทาจิตให้สิ้นอาสวะได้ มาณพ ๑๖ คน ทลู ขออปุ สมบท มาณพ ๑๖ คนกับท้ังบริวารนั้นทูลขออุปสมบท พระศาสดาก็ทรงอนุญาตให้เป็น ภิกษุด้วยพระวาจาว่า ท่านทั้งหลายเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านท้ังหลาย ประพฤติพรหมจรรย์เถิด ดังน้ี ฝ่ายพระปิงคิยะ ทูลลาพระศาสดากลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์ พาวรีผู้อาจารย์แล้ว แสดงธรรมเทศนาแก้ปัญหา ๑๖ ข้อนั้นให้ฟัง ภายหลังได้สดับโอวาท ที่พระศาสดาส่ังสอน จึงทาจิตให้พ้นจากอาสวะได้ ส่วนพราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์ บรรลุ ธรรมาภิสมัย แต่เพียงชั้นเสขภูมิ หลกั สูตรธรรมศึกษาชน้ั เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๗๔ ปริเฉทท่ี ๗ ประทานการบวชด้วยวธิ ญี ัตติจตุตถกรรมวาจา ประวัติพระราธะ วันหนึ่ง พระศาสดาทรงพระดาเนินอยู่ในพระวิหาร ทอดพระเนตรเห็นราธพราหมณ์ มีร่างกายอันผอม มีผิวพรรณเศร้าหมองไม่สดใส จึงตรัสถามได้ความว่า ราธพราหมณ์อยาก จะบวช แต่ไม่มีใครบวชให้ เมื่อไม่ได้บวชสมประสงค์ จึงได้เป็นเช่นน้ัน จึงรับสั่งถามภิกษุ ท้ังหลายว่า ใครระลึกถึงอุปการะของพราหมณ์ผู้นั้นได้บ้าง พระสารีบุตรทูลว่า ข้าพเจ้า นึกได้อยู่ วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเท่ียวบิณาบาตในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์ผู้น้ันได้ถวายอาหารแก่ ข้าพเจา้ ทพั พหี น่ึง พระศาสดาตรัสว่า ดีละๆ สารีบุตร สัตบุรุษเป็นคนกตัญญูกตเวที ถ้าอย่าง น้นั สารีบตุ รใหพ้ ราหมณ์น้ันบวชเถิด ครั้นทรงพระอนุญาตให้พระสารีบุตรบวชราธพราหมณ์ อย่างน้ีแล้ว ตรัสส่ังให้เลิกอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ๓ ที่ได้ทรงอนุญาตไว้แล้วแต่เดิม ตั้งแต่ วันน้ันเป็นต้นไป ทรงอนุญาตให้สงฆ์อุปสมบทกุลบุตรด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา คือ ประกาศสงฆใ์ หท้ ราบความทจ่ี ะอปุ สมบทคนชื่อนั้น คร้ังหนึ่งก่อน เรียกว่าญัตติ แล้วประกาศ ใหส้ งฆ์รู้ว่า สงฆ์อุปสมบทคนชื่อน้ันอีก ๓ ครั้ง เรียกว่าอนุสสาวนา อย่างน้ีเรียกว่า อุปสมบท ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ภายหลังทรงพระปรารภเหตุน้ัน ๆ ทรงต้ังแบบแผนสาหรับอุปสมบท ขึ้นโดยลาดบั ฝ่ายพระราธะ คร้ันอุปสมบทแล้ว วันหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่า ขอพระองค์ จงแสดงธรรมแกข่ า้ พเจา้ โดยยอ่ ๆ ทข่ี ้าพเจา้ ได้ฟังแล้วจักหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว เป็นคน ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปในภาวนา พระศาสดาตรัสสอนว่า ราธะ ส่ิงใดเป็นมาร ท่านจงละความกาหนัดพอใจในส่ิงนั้นเสีย อะไรเล่าช่ือว่ามาร ? รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ซ่งึ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน มีความสิ้นไป เส่ือมไป เกิดข้ึนแล้วดับไปเป็นธรรมดา ช่ือว่ามาร ท่านจงละความกาหนัดพอใจในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ น้ันเสีย พระราธะ รับโอวาทที่พระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้แล้ว เท่ียวจาริกไปกับพระสารีบุตร ปฏิบัติธรรมจนได้ บรรลุพระอรหตั พระสารบี ตุ รพามาเฝ้าพระศาสดา พระองค์ทรงปราศรัยตรัสถามว่า สัทธิวิหาริก ของท่านผู้นี้เป็นอย่างไร พระสารีบุตรทูลสรรเสริญว่า เป็นคนว่าง่ายอย่างยิ่ง เมื่อแนะนา ส่ังสอนว่า สิ่งนี้ควรทา สิ่งน้ันไม่ควรทา ท่านจงทาส่ิงน้ี อย่าทาสิ่งนั้น ดังน้ี ไม่เคยโกรธเลย พระศาสดาตรัสสอนให้ภิกษุท้ังหลายถือเอาเป็นตัวอย่างว่า ท่านทั้งหลาย จงเป็นคนว่าง่าย หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
๑๗๕ อย่างราธะเถิด เม่ือพระอาจารย์ช้ีโทษส่ังสอนอย่าโกรธ ควรคบบัณาิตที่ตนสาคัญเห็นว่าเป็น คนแสดงโทษ กล่าวข่ม ให้เป็นดุจคนช้ีบอกขุมทรัพย์ให้ เพราะคบบัณาิตเช่นนั้น มีคุณประเสริฐ ไม่มีโทษลามกเลย และทรงสรรเสรญิ พระราธะวา่ เปน็ ยอดของภิกษุท่ีมีปฏิภาณคือญาณแจ่ม แจง้ ในธรรมทุ เทศ โปรดพระปณุ ณมนั ตานบี ุตร สมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสด์ุเพ่ือโปรดปุณณมาณพบุตรนางพราหมณี มันตานี ซึ่งเป็นน้องสาวของพระอัญญาโกณาัญญะ พระปุณณะนั้น พอบวชแล้วไปอยู่ในท่ี เงียบสงัด บาเพ็ญเพียร ไม่ช้านัก ก็สาเร็จพระอรหัต ท่านต้ังอยู่ในคุณธรรม ๑๐ อย่าง คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเก่ียวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วมิ ุตติ ความรูเ้ ห็นในวมิ ุตติ แม้เม่ือมีบริษัท ท่านก็สั่งสอนให้ประกอบในคุณธรรม ๑๐ ประการน้ัน ภายหลังภิกษุท่ีเป็นบริษัทลาไปเฝ้าพระศาสดา ทูลพรรณนาคุณอุปัชฌายะของ ตนว่า ต้ังอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการน้ัน และสั่งสอนให้บริษัทประกอบในคุณธรรม ๑๐ ประการน้ัน ขณะน้ัน พระสารีบุตรน่ังอยู่ที่น้ัน ได้ยินภิกษุเหล่าน้ันทูลพรรณนาคุณพระ ปุณณะ ประสงค์จะรู้จักและจะสนทนากัน เมื่อพระศาสดาเสด็จมาเมืองสาวัตถีแล้ว พระปณุ ณะมาเฝา้ พอหลีกไปจากท่เี ฝา้ แลว้ พระสารีบตุ รทราบข่าวจงึ ไปสนทนาปราศรัยแล้ว ถามว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนาของเราหรือ ? ปุ. อย่างน้ัน แหละ ท่านผมู้ ีอายุ สา. ทา่ นประพฤติพรหมจรรย์ เพ่ือศลี บริสทุ ธ์หิ รือ ? ป.ุ ไม่อย่างนั้น สา. เพอ่ื ความบริสุทธ์หิ รอื ? ป.ุ ไมอ่ ย่างน้ัน สา. เพอ่ื จติ บรสิ ุทธ์หรือ ? ปุ. ไม่อย่างนัน้ สา. เพื่อปญั ญาเป็นเคร่ืองข้ามลว่ งความสงสยั บริสทุ ธิ์หรือ ? ปุ. ไมอ่ ย่างนัน้ สา. เพ่ือปัญญาเปน็ เครื่องรเู้ ห็นธรรมท่ีเป็นทางและไม่ใช่ทางอนั บรสิ ุทธิห์ รือ ? ป.ุ ไม่อย่างน้ัน สา. เพือ่ ปญั ญาเปน็ เคร่ืองรู้เห็นในข้อปฏิปทาอนั บรสิ ุทธิห์ รอื ? ปุ ไมอ่ ยา่ งนนั้ สา. เพอ่ื ปญั ญาอันเป็นเครื่องรูเ้ ห็นในวมิ ุตติอันบรสิ ุทธห์ิ รือ ? ปุ. ไมอ่ ยา่ งน้ัน หลกั สูตรธรรมศึกษาชนั้ เอก สนามหลวงแผนกธรรม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316