Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาเรียงความกระทู้ธ.ศ.ตรี

วิชาเรียงความกระทู้ธ.ศ.ตรี

Published by suttasilo, 2021-07-09 14:05:24

Description: วิชาเรียงความกระทู้ธรรมศึกษาตรี

Keywords: วิชาเรียงความกระทู้,ธรรมศึกษาตรี

Search

Read the Text Version

˹§Ñ ÊÍ× àÃÂÕ ¹ ÇªÔ ÒàÃÂÕ §¤ÇÒÁ¡Ãз¸Ùé ÃÃÁ ¸ÃÃÁÈ¡Ö ÉÒµÃÕ

หนา้ ๔ หลักกระทู้ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี วชิ า กระทธู้ รรม การใชภ้ าษาในการพรรณนาแกก้ ระทธู้ รรม ในการเขียนเรียงความแกก้ ระทนู้ น้ั ผเู้ ขียนจะตอ้ งพิถีพิถันในดา้ นการใชภ้ าษาใหม้ าก จะตอ้ งเขียนอย่าง ประณีต ไม่ใชเ่ พียงเขียนเพยี งใหเ้ ต็มๆหนา้ เท่านนั้ ตอ้ งคาํ นงึ ถึงภาษาที่ใชด้ ว้ ย กลา่ วคือภาษาที่ใชต้ อ้ งเป็นภาษา เขียน ไม่ใช่ภาษาพูด เช่นไม่ควรใชค้ าํ วา่ “ช้ัน” “เคา้ ” “เป็นไง” “ยงั เงีย้ ะ” “ปวดหมอง” “ตงั ค”์ ในท่ีนีค้ วรเขยี นว่า \"ฉัน\" \"เขา\" \"เป็นอย่างไร\" \"อย่างนี\"้ ฯลฯ หรือไม่ใชค้ าํ แสลง คือคาํ ท่ีใชผ้ ิดแปลกไปจากปกติ เช่น “อือ้ ซ่า” “นิง้ ไป เลย” “ขาโจ๋” “ส.บ.ม.ย.ห.” ฯลฯ และไม่ควรเขียนแบบใชภ้ าษาไทยปนภาษาต่างประเทศ เช่น “ประเด๋ียวจะ เซอรไ์ พรซ”์ “โอเค นะจ๊ะ” “อเมซงิ่ จริงๆ” “มกี ารคอรปั ช่ัน” ฯลฯ ซงึ่ บางทีผเู้ ขียนอาจเห็นวา่ การเขียนเช่นนี้ แสดง ว่าตนเป็นผมู้ ีความรูส้ ูง แตน่ ่นั หาชอ่ื วา่ เป็นการเขียนเรียงความที่ดไี ม่ รวมไปถึงไมใ่ ชค้ าํ พืน้ เมืองหรือภาษาทอ้ งถ่ิน เช่น “บ่อไป” “เวา้ ” “แซบ” ฯลฯ และไม่ใช้ภาษาหนังสือพิมพ์ เช่น “เปิดอก” “เปิดศึกขยี”้ “พลิกโผ” “แฉสิน้ ” ตาํ รวจปืนโหดฆ่าสามชีวิตที่ท่าบ่อ” ฯลฯ เป็นตน้ แต่อย่างไรก็ตามในช้นั นีท้ ่านไม่ได้เครง่ ครดั การใชภ้ าษานัก เพียงแตก่ าํ หนดใหใ้ ชภ้ าษาตามสมยั นยิ มไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เหมาะกถ็ อื วา่ ใชไ้ ดแ้ ลว้ การเรยี บเรียงเร่อื งราว ก็ควรเป็นไปตามลาํ ดบั กอ่ นหลงั ไม่วกวนไปมาจนนา่ เวียนหวั เพราะฉะนั้นในเวลา จะเขยี นเรียงความแกก้ ระทธู้ รรมขอ้ ใดกต็ าม ผหู้ ดั เขยี นใหม่ๆ จงึ ควรวางโครงเรอ่ื งที่จะเขยี นใหด้ ีเสยี กอ่ น แลว้ เขียนใหเ้ ป็นไปตามลาํ ดบั ขน้ั ตอนของเรื่องทีว่ างไว้ เรียงความแกก้ ระทธู้ รรมท่ไี ดค้ ะแนนนอ้ ย ส่วนมากจะมีขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆ หลายประการ เชน่ อธิบาย เนือ้ ความของกระทตู้ งั้ ผดิ จากความม่งุ หมายของกระทธู้ รรมนนั้ บา้ ง อธิบายความสบั สนวกไปวนมาเสยี บา้ ง ไมม่ ี สรุปความบา้ ง ใชภ้ าษาไม่ถกู ตอ้ งและใชถ้ อ้ ยคาํ ไมเ่ หมาะสมบา้ ง นอกจากนนั้ แลว้ ยงั มขี อ้ บกพรอ่ งซึ่ง ประกอบดว้ ยลกั ษณะตา่ งๆอกี คือ ๑. ไม่อา้ งกระทธู้ รรมมาเชอื่ มขอ้ ความท่ตี ่างกนั ๒. อธิบายความไม่สมเหตสุ มผลกบั กระททู้ ตี่ งั้ ไว้ ๓. เขียนขอ้ ความโดยไม่มีการเวน้ ระยะวรรคตอน หรอื เวน้ ระยะวรรคตอนไม่ถกู ตอ้ ง ๔. เขียนขอ้ ความโดยไมม่ กี ารยอ่ หนา้ หรอื ย่อหนา้ เอาตามความพอใจ โดยยงั ไมท่ นั สิน้ กระแสความ ๕. นาํ กระทธู้ รรมมาเชอื่ ม โดยไมอ่ า้ งถึงขอ้ ความของกระทธู้ รรมนนั้ ก่อน ๖. ไมบ่ อกชือ่ คมั ภรี ท์ ่ีมาของกระทธู้ รรมท่นี าํ มารบั หรอื บอกช่ือคมั ภรี ผ์ ิดพลาด ๗. เขียนคาํ บาลีและคาํ แปลภาษาไทยไมถ่ กู ตอ้ ง หรอื ขาดตกบกพรอ่ ง ๘. เขียนตวั สะกด การนั ต์ ผดิ พลาดมาก ๙. เขยี นหนงั สอื สกปรก โดยมกี ารขีดฆา่ ขดู ลบ ปรากฏอยทู่ ่วั ไป ๑๐. แตง่ ไม่ไดต้ ามกาํ หนด (๒ หนา้ กระดาษ เวน้ บรรทดั ขึน้ ไป)

หนกั กระทู้ ธรรมศึกษาชั้นตรี หนา้ ๕ หลักการอา่ นภาษาบาลีเบอื้ งตน้ ๑. พยญั ชนะตวั โดดๆ ทไี่ มม่ ีสระใดๆ ปรากฏอย่เู ลย ใหอ้ อกเสียง “อะ” แต่ถา้ พยญั ชนะตวั ใดมสี ระปรากฏอยู่ ให้ ออกเสียงตามสระนน้ั ๆ เช่น สามเณร อ่านวา่ สา-มะ-เน-ระ ภควโต อา่ นวา่ ภะ-คะ-วะ-โต อรหํ อา่ นวา่ อะ-ระ-หงั ๒. เคร่อื งหมายพินท(ุ . ) จดุ ปรากกอยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั ใด มวี ธิ ีอา่ นดงั นี้ ๒.๑ ถา้ เคร่ืองหมายพินทอุ ยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั ใด ใหเ้ ครอ่ื งหมายพนิ ทุ หมายถงึ ไมห้ นั อากาศ (ในกรณที ่ี พยญั ชนะขา้ งหนา้ ตวั นน้ั ไมม่ สี ระใดๆ) เชน่ สงฺฆสสฺ อา่ นวา่ สงั -คสั -สะ อตตฺ า หิ อตฺตโน อ่านวา่ อตั -ตา-หิ-อตั -ตะ-โน ๒.๒ ถา้ พยญั ชนะตวั หนา้ ของพยญั ชนะตวั ทีม่ ีเครื่องหมายพินทุ มีสระปรากฏอยู่ ใหเ้ คร่ืองหมายพินทุ เป็นตวั สะกด (คอื อ่านอยา่ งภาษาไทย) เช่น ภกิ ฺขสุ งฺโฆ อา่ นวา่ พกิ -ข-ุ สงั -โค เหสนุ ฺติ อา่ นวา่ เห-สนุ -ติ ปรสิ ทุ โฺ ธ อา่ นวา่ ปะ-ริ-สดุ -โท ๒.๓ ถา้ เครอ่ื งหมายพินทอุ ยใู่ ตพ้ ยญั ชนะตวั แรกของคาํ ใหอ้ า่ นออกเสียงพยญั ชนะตวั นน้ั กง่ึ เสียง คอื ให้ ออกเสยี งพยญั ชนะตวั นน้ั เร็วๆ เช่น ตวฺ า อ่านวา่ ตฺะวา เทวฺ เม อา่ นว่า ทฺะเว-เม สฺวากฺขาโต อา่ นวา่ สะฺ วาก-ขา-โต (บทไหวพ้ ระตอนเชา้ -เยน็ นกั เรียนมกั กลา่ วเพยี้ นกนั วา่ “ซา-หฺวาก-ขา-โต..”) ๓. เครอ่ื งหมายนิคคหิต( ◌ํ ) อยเู่ หนอื พยญั ชนะตวั ใด มวี ธิ ีอา่ นดงั นี้ ๓.๑ ถา้ เครื่องหมายนิคคหติ อย่เู หนอื พยญั ชนะตวั ใดๆ ใหเ้ ครือ่ งหมายนคิ คหิตอา่ นออกเสียง “องั ” (ใน กรณีที่พยญั ชนะตวั นนั้ ไมม่ ีสระตวั ใดๆปรากฏอย่กู อ่ นแลว้ ) เชน่ สงฺฆํ นมามิ อ่านว่า สงั -คงั -นะ-มา-มิ อรหํ สมมฺ า อา่ นวา่ อะ-ระ-หงั -สมั -มา ๓.๒ ถา้ พยญั ชนะตวั นนั้ มสี ระปรากฏควบคพู่ รอ้ มกบั เคร่ืองหมายนิคคหิต ใหเ้ ครื่องหมายนคิ คหิต หมายถึง ง. งู สะกด ใหอ้ ่านออกเสยี งตามสระนนั้ ๆ เช่น นปสุ กลิงฺคํ อา่ นวา่ นะ-ปงุ -สะ-กะ-ลิง-คงั สตึ กึ อา่ นว่า สะ-ติง-กิง วิสุ รกขฺ ณตฺถาย อา่ นว่า ว-ิ สงุ -รกั -ขะ-นตั -ถา-ยะ

หนา้ ๖ เรียงความแกก้ ระทธู้ รรม ธรรมศึกษาตรี วชิ า เรยี งความกระทธู้ รรม ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี ความสำคญั ของวชิ าเรยี งความ ๑. ส่งเสริมความเจริญทางดา้ นจินตนาการ ความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น ๒. ทาํ ใหผ้ เู้ รยี นรูจ้ กั ลาํ ดบั ความคดิ สามารถถ่ายทอดความรูส้ ึกนึกคิดของตนออกมาใหผ้ อู้ ่นื เขา้ ใจตาม ตอ้ งการได้ ๓. ร◌ู ◌จ้ กั เลือกถอ้ ยคาํ สาํ นวนโวหารสาํ นวนไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา ๔. สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นเขยี นไดถ้ กู ตอ้ งตามแบบทน่ี ิยม ประโยชนข์ องการเรียนกระทู้ธรรม ๑. ทาํ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความซาบซึง้ ในคณุ คา่ ของธรรม ๒. ทาํ ใหผ้ ู้ เรียนไดเ้ ขา้ ใจถงึ ผลเสีย กล่าวคือคณุ และโทษของการปฏิบตั ิตามและไม่ปฏิบตั ิตามธรรมะ ๓. ใหเ้ ขา้ ใจในชวี ติ และรูจ้ กั แสวงหาความสขุ โดยมธี รรมะเป็นเครอื่ งชีแ้ นวทาง ๔. ช่วยพฒั นาดา้ นจิตใจของมนษุ ยใ์ หร้ ูจ้ กั ผดิ ชอบช่วั ดี ละความช่วั ประกอบความดี โดยพยายามงดเวน้ ความช่วั โดยเดด็ ขาด หลกั เกณฑใ์ นการแตง่ กระทธู้ รรม มีหลกั สาํ คญั ในการเขยี นเรียงความแกก้ ระทธู้ รรม อยู่ ๓ ประการดว้ ยกนั คอื ๑. ตีความหมาย ๒. ขยายความใหช้ ดั เจน ๓. ตงั้ เกณฑอ์ ธิบาย ตคี วามหมาย ไดแ้ ก่การใหค้ าํ จาํ กดั ความของธรรมนนั้ วา่ มีความหมายอย่างไรเช่นพทุ ธภาษิตท่ีวา่ “กลฺ- ยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปก”ํ ผทู้ าํ กรรมดี ย่อมไดผ้ ลดี ผทู้ าํ กรรมช่วั ยอ่ มไดผ้ ลช่วั ดงั นี้ ก็ใหค้ าํ จาํ กดั ความคาํ ว่า “กรรมดี คืออะไร” “กรรมช่ัวคอื อะไร” ในท่นี กี้ รรมดีหมายเอากุศลกรรมบถ กรรมช่วั หมายถึง อกุศลกรรมบถ ฯลฯ ขยายความใหช้ ัดเจน ไดแ้ กก่ ารขยายเนือ้ ความของคาํ ซ่ึงไดใ้ หค้ วามหมายไวแ้ ลว้ คือกุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ ว่ามอี ยา่ งเท่าไร (อยา่ งละ ๑๐ ประการ) เป็นตน้ ต้งั เกณฑอ์ ธบิ าย ไดแ้ ก่การวางโครงรา่ งท่จี ะอธิบายเนอื้ ความของเนอื้ หาวา่ มอี ะไรบา้ ง มีผลดผี ลเสีย อยา่ งไร มขี อ้ เปรียบเทยี บหรือมตี วั อยา่ งมาประกอบใหเ้ หน็ เด่นชดั ไดห้ รือไม่ และควรจะนบั ถงึ ผลกรรมนน้ั ๆ อยา่ งไร จึงจะทาํ ใหผ้ อู้ า่ นผฟู้ ังคลอ้ ยตาม โดยเรียงเป็นลาํ ดบั ขน้ั ตอนก่อนหลงั ไมส่ บั สนวกไปวนมา

เรยี งความแกก้ ระทู้ธรรม ธรรมศกึ ษาตรี หนา้ ๗ หลักเกณฑส์ าํ คญั ในการอธิบาย ๓ ประการ คือ ๑. คาํ นาํ ๒. เนือ้ เร่ือง ๓. คาํ ลงทา้ ย (สรุป) คาํ นาํ เป็นการอารมั ภบทพจนคาถาทเ่ี ป็นบทตงั้ (กระทู้ หรือที่เรียกว่า อเุ ทศ) เพอ่ื เป็นบทนาํ ในการ เรียงความ (คาํ นาํ ของการเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ควรเขียนประมาณ 2-3 บรรทดั ) เนอื้ เรือ่ ง เป็นการขยายเนือ้ ความของกระททู้ ่ีตงั้ ไว้ เรียกวา่ แก้ หรือเรยี กว่า นเิ ทศ การนเิ ทศ หรือขยาย ความเนือ้ เรอ่ื งนนั้ จะตอ้ งใหร้ สชาตเิ นอื้ หาสาระแกผ่ ู้ อ่าน ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจในสิ่งที่เราจะอธิบาย ไมท่ าํ ใหผ้ อู้ ่านสบั สน ไขวเ้ ขว (ควรเขยี นอธิบายใหไ้ ดป้ ระมาณ 10 - 15 บรรทดั ) แลว้ จงึ นาํ เอาภาษิตมาเชอื่ ม หรอื อา้ งภาษิตมาเพอ่ื สนบั สนนุ เรียกว่า กระทรู้ บั โดยนกั ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี มีขอ้ กาํ หนดใหน้ าํ ภาษิตมาเสอื่ มรบั ไดอ้ ย่างนอ้ ย ๑ ภาษิต ภาษิตท่นี าํ มาอา้ งสนบั สนนุ หา้ มไม่ใหซ้ า้ํ กนั แต่จะซาํ้ ท่ีมาได้ แลว้ อธิบายภาษิตทยี่ กมาสนบั สนนุ ใหเ้ นือ้ ความ กลมกลืนกนั (เขียนอธิบายประมาณ 5 - 7 บรรทดั กาํ ลงั พอด)ี คาํ ลงทา้ ย หรอื บทสรุป หรือ เรยี กว่าปฏินเิ ทศ หมายถึงการรวบรวมใจความทีส่ าํ คญั ของเนือ้ หาท่ีได้ อธิบายมาแลว้ สรุปลงอย่างยอ่ ๆ ใหไ้ ดใ้ จความ ใหผ้ อู้ ่านเกดิ ความซาบซงึ้ และรูส้ ึกวา่ เรียงความทีอ่ า่ นมคี ณุ คา่ นา่ เชอื่ ถอื น่าปฏิบตั ติ าม เกิดศรทั ธาในความคดิ ของผเู้ ขยี น (สรุปความ ควรเขียนประมาณ 5 -7 บรรทดั ) วธิ กี ารแตง่ กระทธู้ รรม มกี ารแตง่ กระทู้ธรรมอยู่ ๒ แบบ คือ ๑. แบบตงั้ วง คอื อธิบายความหมายของธรรมขอ้ นน้ั ๆ เสียก่อนแลว้ จึงขยายความออกไป ๒.แบบตวี ง คอื บรรยายเนือ้ ความไปกอ่ นแลว้ จงึ วกเขา้ หาความหมายของกระทธู้ รรมนนั้ ส่วนมากผแู้ ตง่ กระทธู้ รรม มกั จะนยิ มแตง่ แบบท๑่ี คอื แบบตงั้ วง อธิบายความหมายภาษิตนน้ั กอ่ นแลว้ จงึ ขยายความใหช้ ดั เจน ต่อไป. ภาษาในการใช้ ๑. ใชภ้ าษาเขยี นทถ่ี กู ตอ้ ง มปี ระธาน มีกริยา มกี รรม ๒. ไมใ่ ชภ้ าษาตลาด ภาษาแสลง ๓. ไมใ่ ชภ้ าษาพนื้ เมอื ง หรือภาษาทอ้ งถน่ิ ๓. ไม่ใชภ้ าษาตา่ งประเทศ เชน่ ภาษาองั กฤษ เป็นตน้ สาํ นวนในการพรรณนา ใชส้ าํ นวนแบบเทศนาโวหาร มหี ลกั การเขยี น ดงั นี้ ๑. ขอ้ ความทีเ่ ขียนนน้ั จะตอ้ งมเี หตผุ ลใชเ้ ป็นหลักฐานอา้ งองิ ได้ ๒. มอี ทุ าหรณแ์ ละหลกั คติธรรม ๓. ผเู้ ขียนจะตอ้ งแสดงใหเ้ หน็ ว่า ตนมลี กั ษณะและคณุ สมบตั ิพอเป็นทเ่ี ชื่อถือได้

หนา้ ๘ เรียงความแกก้ ระท้ธู รรม ธรรมศกึ ษาตรี หมายเหตุ : โวหารมี ๔ คอื ๑. พรรณนาโวหาร ไดแ้ ก่ การพรรณนาความ คือ เลา่ เร่ืองที่ไดเ้ หน็ มาแลว้ ดว้ ยความม่งุ หวงั ใหไ้ พเราะ เพลดิ เพลนิ บนั เทงิ ๒. บรรยายโวหาร ไดแ้ ก่ การอธิบายขอ้ ความท่ียอ่ ซึ่งยงั เคลอื บแคลงอยใู่ หแ้ จม่ แจง้ หรอื พิสดาร ๓. เทศนาโวหาร ไดแ้ ก่ การแต่งทาํ นองการสอน คอื ชีแ้ จงหลกั ธรรมนนั้ ๔. สาธกโวหาร ไดแ้ ก่ การบรรยายขอ้ เปรยี บเทยี บ คอื นาํ ขอ้ อปุ มาอปุ ไมยมาเทียบเคียง หลกั ยอ่ ๆ ทีค่ วรจาํ เป็ นเกณฑอ์ ธิบายในการแตง่ กระทู้ ๑. วเิ คราะห์ศพั ท์ คือ การแสดงความหมายของกระทตู้ งั้ แลว้ วางเคา้ โครงทจ่ี ะแต่งตอ่ ไป ๒. ขยายความ คอื การอธบิ ายใหก้ วา้ งออกไปตามแนวกระทตู้ ามเหตแุ ละผล ๓. เปรยี บเทยี บ คอื ยกขอ้ ความที่ตรงขา้ มกนั มาเปรยี บเทียบเพอ่ื ใหเ้ ห็นไดช้ ดั ในส่ิงทีพ่ ดู ไป ๔. ยกสภุ าษิตรบั คอื การนาํ กระทสู้ ภุ าษิตมารบั มาอา้ ง ๕. ยกตวั อยา่ ง คอื ยกตวั อย่างธรรมะ หรือบุคคล สถานท่ีมาเป็นตวั อย่าง ๖. สรุปความ คอื ยอ่ ความทีก่ ลา่ วมาแลว้ นน้ั ใหเ้ ขา้ ใจง่าย ก่อนทีจ่ ะจบกระทู้              

เรยี งความแก้กระทธู้ รรม ธรรมศึกษาตรี หน้า ๙ ตวั อยา่ งการวางรปู แบบเรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ........................................................ (ภาษิตภาษาบาลี) ........................................................ (คาํ แปลภาษาไทย) (คาํ นาํ ) บดั นี้ จกั ไดอ้ ธิบายขยายเนอื้ ความแหง่ กระทธู้ รรมสภุ าษิตทไ่ี ดล้ ิขิตไว้ ณ เบือ้ งตน้ พอเป็น แนวทางแห่งการศกึ ษาและปฏิบตั ิ เป็นลาํ ดบั ไป (อธบิ าย เนือ้ ความ)..................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................…………………………… สมดว้ ยธรรมสภุ าษิตท่ีมาใน............................................................................ ความวา่ ..............................................................(ภาษิตท่ียกมาอา้ ง) .............................................................. (คาํ แปล) (อธิบาย เนือ้ ความ)..................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ..... ฯ (สรุป ความ)........................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................... สมดงั ประพนั ธธ์ รรมสภุ าษิตทไ่ี ด้

หนา้ ๑๐ เรียงความแกก้ ระทู้ธรรม ธรรมศึกษาตรี ยกมาเป็นนิกเขปบท ณ เบอื้ งตน้ ว่า(ยกภาษิตทก่ี ล่าวเบือ้ งตน้ มากล่าวอกี ครง้ั ).................................. ............................................................................ ดงั มอี รรถาธิบายมา ดว้ ยประการฉะน.ี้ ตวั อยา่ ง เรยี งความแกก้ ระทธู้ รรม ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี วริ ิเยน ทุกขฺ มจฺเจติ คนจะล่วงทกุ ข์ได้ เพราะความเพยี ร บดั นี้ จกั ไดอ้ ธิบายขยายเนอื้ ความแหง่ กระทธู้ รรมภาษิตที่ไดล้ ขิ ิตไว้ ณ เบอื้ งตน้ พอเป็นแนวทางแห่ง การศึกษาและปฏิบตั ิ เป็นลาํ ดบั ไป คาํ ว่า ทกุ ข์ คือสภาพท่ีบีบคนั้ เบยี ดเบียน มีความลาํ บาก ไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ มีความคบั บแคบใจ อนั มีเหตมุ าจากความไมส่ มปรารถนา ไมไ่ ดด้ งั ใจ ไดส้ ิ่งของบางอยา่ งมาแลว้ ไม่ถกู ใจ ตลอดถึงการพลดั พรากจาก ของรกั ของชอบใจ เป็นเหตแุ ห่งความทกุ ขเ์ ป็นความลาํ บาก กลา่ วโดยทสี่ ดุ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า สงั ขารรา่ งกายนกี้ ็ เป็นทกุ ข์ ฉะนน้ั พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ ความทกุ ขเ์ ป็นความจรงิ เป็นทกุ ขอ์ รสิ จั ความทกุ ขน์ ีม้ ีมาประจาํ กบั ตวั เราแลว้ ตงั้ แตเ่ กิด มีความลาํ บากในการทจ่ี ะหาเลีย้ งชพี ทงั้ ตวั เองและคนอืน่ แมก้ ารศึกษาเล่าเรยี นของเรานี้ ก็ เหมือนกนั เป็นความทกุ ข์ เป็นความลาํ บาก แต่พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงเทศนาส่งั สอนใหพ้ วกเรามองใหเ้ หน็ ความทกุ ข์ และก็ใหย้ อมรบั วา่ มนั มีอยจู่ รงิ ไม่ใหจ้ มปรกั อยมู่ นั ไมใ่ หเ้ ศรา้ โศกและเสยี ใจกบั สง่ิ ท่ที าํ ใหเ้ กิดทกุ ข์ พระพทุ ธ องคท์ รงสอน หาทางหนจี ากความทกุ ข์ หาทางแกท้ กุ ข์ เพอ่ื ท่จี ะใหม้ ีความทกุ ขน์ อ้ ยลง ใหม้ ีความสขุ ตามปกติที่ ใจมงุ่ หวงั ในการที่จะหนีจ้ ากความทกุ ข์ หาทางแกท้ กุ ขน์ น้ั พระองคก์ ็ทรงสอนใหม้ คี วามเพยี รกค็ ือ ประการแรก เพียรพยายามไมใ่ หส้ ่งิ ท่ไี มด่ เี กดิ ขนึ้ แก่เรา ประการทส่ี องเพยี รละสิ่งท่ีเป็นอปุ สรรคแกค่ วามสขุ ของเรา ประการที่ สามเพียรพยายามทาํ สิง่ ท่ีดเี ป็นประโยชนแ์ กเ่ รา และประการท่ีสี่เพยี รพยายามความดสี งิ่ ทด่ี ีทีมอี ยใู่ นตวั ของเรา แลว้ ใหค้ งอยตู่ อ่ ไป นีค้ ือทางท่ีจะแกค้ วามทกุ ข์ ทางทีจ่ ะพน้ จากความทกุ ข์ ความเพียรสี่ประการนีเ้ ป็นสง่ิ ท่ี คนเรามนษุ ยส์ ามารถทีจ่ ะทาํ ได้ เพราะว่ามนษุ ยเ์ ป็นผมู้ คี วามคดิ มีสติปัญญาเฉลยี วฉลาดกวา่ สัตวเ์ หล่าอน่ื สม ดงั พระพทุ ธภาษิตทม่ี าในขทุ ทกนิกาย ธัมมปทคาถาว่า ทนฺโต เสฏฺ โฐ มนุสฺเสสุ ในหมู่มนุษย์ ผ้ฝู ึ กตนได้แล้ว เป็ นผ้ปู ระเสริฐ แสดงว่า มนษุ ยเ์ รานี้ เป็นผฝู้ ึกฝนตนเองได้ ดว้ ยความเพียรพยายามของตวั เขาเองในการศึกษาเล่าเรยี น ของเรานีก้ เ็ ช่นกนั กวา่ ท่ีเราจะจบมาไดแ้ ตล่ ะชน้ั ก็มคี วามยากลาํ บาก และยง่ิ ในการทีเ่ ราจบมเี กรดทด่ี แี ลว้ ไม่ใช่ เร่อื งง่าย เราตอ้ งใชค้ วามเพียรพยายามฝึกฝนตน้ เองหม่นั ศกึ ษาคน้ ควา้ ละส่ิงท่ีเป็นอปุ สรรคตอ่ การศึกษาเรา

เรยี งความแกก้ ระทูธ้ รรม ธรรมศึกษาตรี หน้า ๑๑ เอาใจใสใ่ นงานที่ครูอาจารยม์ อบหมายให้ ไมเ่ กยี จครา้ น เมอื่ เราหม่นั ขยนั อดทนฝึกฝนอย่อู ย่างนี้ ก็จะเหน็ ไดว้ ่า ความยากลาํ บากเหล่านนั้ ไมใ่ ช่เรอื่ งยาก เรากจ็ ะไดร้ บั ผลสาํ เรจ็ ในการศกึ ษา และภาคภมู ใิ จในตวั ของเรา ไม่ เฉพาะตวั เราแมค้ นอ่ืนกจ็ ะยกยอ่ งสรรเสรญิ วา่ เป็นเด็กดี หรือเป็นผปู้ ระเสริฐ ถา้ หากขาดการฝึกฝนแลว้ ไซร้ จะ กลา่ วไดว้ ่าเป็นบคุ คลผปู้ ระเสรฐิ ก็หาไม่ จะเป็นคนดไี ดอ้ ยา่ งไร สรุปความว่า ความทกุ ข์ ความลาํ บากของมนษุ ยต์ า่ ง ๆ นานา ของคนเรานนั้ เป็นส่ิงท่มี นษุ ยส์ ามารถจะ เอาชนะได้ สามารถบรรลคุ วามสขุ ผา่ นความทกุ ขน์ น้ั ได้ กเ็ พราะความเพยี ร ดงั ท่กี ลา่ วมาวา่ ประการแรกเพียร สงั วรระวงั ไม่ใหส้ งิ่ ที่ไม่ดีเกิดขึน้ แกต่ วั เรา ประการที่สองเพียรละสิ่งท่ีไมด่ ีนนั้ ประการทสี่ ามเพียรส่งั สมความดหี รือ สง่ิ ทเี่ ป็นประโยชนแ์ ก่ตวั เรา และประการทสี่ ี่เพียรรกั ษาความดนี น้ั ไวใ้ หอ้ ย่กู บั ตวั เรานาน ๆ เมอ่ื ฝึกตนเองไดแ้ ลว้ ก็ จะเป็นคนท่มี แี ต่สวสั ดีภาพ เป็นผปู้ ระเสรฐิ สมดงั นยั พทุ ธภาษิตท่ไี ดย้ กขึน้ ไว้ ณ เบอื้ งตน้ นน้ั วา่ วิรเิ ยน ทกุ ขฺ มจฺ เจติ คนจะล่วงทกุ ขไ์ ดก้ เ็ พราะความเพยี ร ดงั มีอรรถาธิบายมาแลว้ เอวํ กม็ ีดว้ ยประการ ฉะนี.้

หนา้ ๑๒ เรียงความแก้กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาตรี พุทธศาสนสุภาษิต ธรรมศึกษาช้ัน ตรี หมวดตน ๙. ปมาโท มจจฺ โุ น ปทํ ๑. อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ตนแล เป็นที่2พ่ึ9 29งของตน ทีม่ า : คมั ภีรข์ ทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๑๐. ปมาโท ครหิโต สทา ๒. อตตฺ า หเว ชิตํ เสยโฺ ย ความประมาท บณั ฑิตตเิ ตยี นทกุ เมอ่ื ทีม่ า : คมั ภีรข์ ทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ชนะตนนน้ั แหละ เป็นดี ๑๑. เย ปมตฺตา ยถา มตา ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผปู้ ระมาท เหมอื นคนทต่ี ายแลว้ ๓. อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงกฺ ลิ สิ สฺ นตฺ ิ ทีม่ า : คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) คนทาํ บาปเอง ยอ่ มเศรา้ หมองเอง ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดจิต ๑๒. จติ ตฺ ํ รกฺขถ เมธาวี ๔. อตตฺ นา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสชุ ฌฺ ติ คนไมท่ าํ บาปเอง ยอ่ มหมดจดเอง ผมู้ ีปัญญา พึงรกั ษาจติ ทีม่ า : คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๕. อตตฺ นา โจทยตตฺ านํ ๑๓. จติ ตฺ ํ ทนฺตํ สขุ าวหํ จงเตือนตนดว้ ยตนเอง จติ ท่ฝี ึกดแี ลว้ นาํ สขุ มาให้ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดประมาท หมวดขนั ติ ๖. อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ ๑๔. ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ความไมป่ ระมาท เป็นทางไมต่ าย ขนั ติ คือความอดทน เป็นตบะอยา่ งย่ิง ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๗. อปปฺ มาทํ ปสสํ นตฺ ิ ๑๕. ขนตฺ ิ ตโป ตปสฺสิโน บณั ฑิตทงั้ หลาย ย่อมสรรเสริญความไม่ ความอดทน เป็นตบะของผบู้ าํ เพ็ญเพยี ร ประมาท ทีม่ า: สวดมนต์ฉบบั หลวง (ส.ม.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดธรรม ๑๖. มโนปพุ พฺ งคฺ มา ธมฺมา ๘. อปปฺ มตตฺ า น มยี นตฺ ิ ผไู้ ม่ปรมาท ย่อมไม่ตาย ธรรมทงั้ หลาย มใี จเป็นหวั หนา้ ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ขุ.ธ.) ๑๗. ธมโฺ ม สจุ ณิ ฺโณ สขุ มาวหาติ ๒๗. กิจโฺ ฉ มนสุ ฺสปฏลิ าโภ

ธรรมที่ประพฤติดีแลว้ ย่อมนาํ สขุ มาให้ เรยี งความแก้กระท้ธู รรม ธรรมศึกษาตรี หนา้ ๑๓ ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) การไดเ้ กดิ มาเป็นมนษุ ย์ เป็นการยาก ๑๘. ธมฺมปีติ สขุ ํ เสติ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผอู้ ม่ิ ในธรรม ย่อมนอนเป็นสขุ ๒๘. สทุ ฺธิ อสทุ ธฺ ิ ปจจฺ ตฺตํ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ความบรสิ ทุ ธิแ์ ละไม่บรสิ ทุ ธิเ์ ป็นของเฉพาะตวั ๑๙. ธมมฺ จารี สขุ ํ เสติ ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผปู้ ระพฤติธรรม ยอ่ มอยเู่ ป็นสขุ ๒๙. นา�ฺโ อ�ฺ วโิ สธเย ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ผอู้ น่ื จะทาํ ใหผ้ อู้ ่นื หมดจดไมไ่ ดเ้ ลย ๒๐. ธมมฺ ํ จเร สจุ รติ ํ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) พึงประพฤติธรรม ใหส้ จุ ริต ๓๐. ปาปานํ อกรณํ สขุ ํ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) การไม่ทาํ บาปทงั้ หลาย เป็นความสขุ หมวดทกุ ข์ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๑. ทกุ ฺโข ปาปสฺส อจุ ฺจโย ๓๑. ทนฺโต เสฏฺโ มนสุ ฺเสสุ การส่งั สมบาป เป็นทกุ ข์ (ในโลก) ในหมมู่ นษุ ยผ์ ฝู้ ึกตนดีแลว้ ประเสรฐิ สดุ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๒. นตถฺ ิ ขนฺธสมา ทกุ ขฺ า ๓๒. วิสสฺ าสปรมา าติ ความทกุ ขอ์ ื่น เสมอดว้ ยขนั ธ(์ ๕) ไม่มี ความคนุ้ เคย เป็นญาติอยา่ งย่ิง ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๓. สงฺขารา ปรมา ทกุ ขฺ า ๓๓. นตถฺ ิ โลเก อนนฺทิโต สงั ขารทงั้ หลาย เป็นทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ ผไู้ มถ่ กู นินทา ไมม่ ใี นโลก ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๔. ทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชิโต ๓๔. สโุ ข ป�ุ ฺสฺส อจุ ฺจโย ผพู้ ่ายแพ้ ยอ่ มนอนเป็นทกุ ข์ การส่งั สมบุญ เป็นสขุ ในโลก ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดเบด็ เตลด็ ๓๕. สมคคฺ านํ ตโป สโุ ข ๒๕. อาโรคฺยา ปรมา ลาภา ความพากเพียรของผมู้ ีความสามคั คี นาํ สขุ ความไมม่ ีโรค เป็นลาภอนั ประเสริฐ มาให้ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๒๖. ชฆิ จฉฺ า ปรมา โรคา ๓๖. สขุ า สงฆฺ สสฺ สามคฺคี ความหิว เป็นโรคอย่างยิ่ง ความสามคั คีของหม่คู ณะ นาํ สขุ มาให้ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ขุ.ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๓๗. นตฺถิ สนตฺ ิ ปรํ สขุ ํ ๔๔. โกธํ ฆตวฺ า น โสจติ

หน้า ๑๔ เรยี งความแกก้ ระท้ธู รรม ธรรมศกึ ษาตรี ฆ่าความโกรธเสียได้ ยอ่ มไม่เศรา้ โศก ความสขุ อนื่ ยง่ิ กวา่ ความสงบ ไม่มี ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๔๕. มาโกธสฺส วสํ คมิ อย่าลอุ าํ นาจ แก่ความโกรธ ๓๘. นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ นิพพาน เป็นสขุ อยา่ งยิง่ ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ชาตก ทกุ นิบาต (ข.ุ ชา.ทกุ .) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) หมวดปัญญา ๔๖. นตฺถิ ป�ฺา สมา อาภา ๓๙. ธีโร จ สขุ สวํ าโส การอย่รู ว่ มกบั นกั ปราชญ์ เป็นความสขุ แสงสว่าง เสมอดว้ ยปัญญา ไมม่ ี ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) หมวดกิเลส ๔๗. ป�ฺา โลกสมฺ ิ ปชโฺ ชโต ๔๐. นตถฺ ิ ตณหฺ า สมา นที ปัญญา เป็นแสงสว่างในโลก แมน่ าํ้ เสมอดว้ ยตณั หา ไมม่ ี (แม่นาํ้ ถงึ จะ ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ใหญ่ กไ็ มเ่ ท่าตณั หา) ๔๘. สสุ สฺ ูสํ ลภเต ป�ฺ ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ฟังดว้ ยดี ย่อมไดป้ ัญญา ๔๑. นตถฺ ิ ราคสโม อคฺคิ ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ไฟเปรยี บเสมอดว้ ยราคะ ไม่มี สุภาษิตทมี่ าในคมั ภีรต์ ่างๆ ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๔๙. อตตฺ า หิ อตฺตโน คติ ๔๐. นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ ตนแล เป็นคตขิ องตน ตาข่ายเสมอดว้ ยโมหะ ไมม่ ี ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๕๐. นตฺถิ อตตฺ สมํ เปมํ ๔๑. โลโก ธมมฺ านํ ปรปิ นโฺ ถ ความรกั (อยา่ งอนื่ )เสมอดว้ ย(ความรกั )ตนไม่มี ความโลภ เป็นอนั ตรายแก่ธรรมทงั้ หลาย ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ๕๑. อตตฺ านํ นาติวตฺเตยยฺ ๔๒. อจิ ฺฉา โลกสมฺ ิ ทชุ ฺชหา บุคคลไมค่ วรลมื ตน ความอยาก ละไดย้ ากในโลก ทีม่ า: คมั ภรี ์ขทุ ทกนิกาย ชาตก ตึสนบิ าต (ข.ุ ชา.ตสึ .) ทีม่ า: คมั ภรี ์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ๕๒. กลยฺ าณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ หมวดโกรธ ผทู้ าํ กรรมดี ย่อมไดร้ บั ผลดี ผทู้ าํ กรรมช่วั ย่อม ๔๓. โกธํ ฆตฺวา สขุ ํ เสติ ไดร้ บั ผลช่วั ฆ่าความโกรธเสียได้ ย่อมอยเู่ ป็นสขุ ทีม่ า: คมั ภรี ์สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ส.ํ ส.) ทีม่ า: คมั ภีร์สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค (ส.ํ ส.)

เรยี งความแกก้ ระท้ธู รรม ธรรมศึกษาตรี หน้า ๑๕ ๕๓. กมฺมนุ า วตฺตตี โลโก ๖๑. ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี สตั วโ์ ลก ยอ่ มเป็นไปตามกรรม ธรรมแล ยอ่ มรกั ษาผปู้ ระพฤตธิ รรม ทีม่ า: คมั ภีร์มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปัณณาสก (ม.ม.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา (ข.ุ เถร.) ๕๔. นิสมฺม กรณํ เสยโฺ ย ๖๒. สงฺขารา สสฺสตา นตถฺ ิ บคุ คลใครค่ รวญดแี ลว้ จึงทาํ ดีกว่า สงั ขารท่เี ท่ียงแทย้ ่งั ยนื ไมม่ ี ทีม่ า:สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (ว.ว.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๕๕. จิตฺเต สงกฺ ลิ ิฏฺเ ทคุ ฺคติ ปาฏกิ งฺขา ๖๓. อนจิ ฺจา วต สงฺขารา เมือ่ จติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตเิ ป็นอนั หวงั ได้ สงั ขารทงั้ หลาย ไมเ่ ทีย่ งหนอ ทีม่ า: คมั ภีร์มชั ฌิมนกิ าย มูลปณั ณาสก (ม.มู) ทีม่ า: คมั ภีรท์ ฆี นิกาย มหาวรรค (ที.มหา.) ๕๖. จติ ฺเต อสงฺกิลฏิ ฺเ สคุ ติ ปาฏกิ งขฺ า ๖๔. อรติ โลกนาสิกา เมอื่ จติ ไม่เศรา้ หมองแลว้ สคุ ติเป็นอนั หวงั ได้ ความริษยา เป็นเหตทุ าํ ใหโ้ ลกฉิบหาย ทีม่ า: คมั ภีร์มชั ฌิมนิกาย มูลปัณณาสก (ม.มู) ทีม่ า:สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (ว.ว.) ๕๗. ชยํ เวรํ ปสวติ ๖๕. ยโส ลทธฺ า น มชฺเชยย ผชู้ นะ ย่อมกอ่ เวร บคุ คล ไดย้ ศแลว้ ไม่พงึ มวั เมา ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนกิ าย ชาตก จตกุ กนิกาย (ข.ุ ชา.จตกุ ก.) ๕๘. อกฺโกเธน ชิเน โกธํ ๖๖. ปาย มคฺคํ อลโส น วนิ ทฺ ติ พงึ ชนะคนโกรธ ดว้ ยความไมโ่ กรธ คนเกยี จครา้ น ย่อมไมพ่ บทางแหง่ ปัญญา ทีม่ า: คมั ภีร์ขทุ ทกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ๖๙. อสาธุ สาธุนา ชิเน ๖๗. สกมมฺ นุ า ห�ฺติ ปาปธมฺโม พงึ ชนะคนไมด่ ี ดว้ ยความดี คนมสี นั ดานช่วั ย่อมเดอื ดรอ้ น เพราะกรรม ของตน ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนิกาย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย เถรคาถา (ข.ุ เถร.) ๖๐. ชิเน กทริยํ ทาเนน พงึ ชนะคนตระหนี่ ดว้ ยการให้ ๗๘. วริ เิ ยน ทกุ ขฺ มจเฺ จติ คนจะล่วงทกุ ขไ์ ด้ เพราะความเพียร ทีม่ า: คมั ภรี ์ขุททกนกิ าย ธมั มปทคาถา (ข.ุ ธ.) ทีม่ า: คมั ภีร์ขุททกนกิ าย สตุ ตนิบาต (ขุ.ส.ุ )


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook