พทุ ธประวัติ ธรรมศึกษาช้นั ตรี หนา้ ๕๓ วรรณะ ๔ ๑. กษัตริย์ มหี นา้ ทปี่ กครองบา้ นเมอื ง ศกึ ษาเกี่ยวกบั ยทุ ธวิธี ๒. พราหมณ์ มหี นา้ ที่สัง่ สอนและทาํ พธิ ีกรรม ศึกษาเกี่ยวกบั ศาสนา พิธีกรรม ๓. แพศย์ มีหนา้ ท่ใี นการทาํ นาคา้ ขาย ศกึ ษาเก่ียวกบั การเพาะปลกู ๔. ศูทร มีหนา้ ท่ีรบั จา้ งทาํ การงาน ศกึ ษาเก่ียวกบั การใช้แรงงาน กษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ ถือตนเองว่าเป็นคนมีวรรณะสูง จึงรงั เกียจพวกท่ีมวี รรณะต่าํ ไม่ยอมร่วมกินร่วม นอน จะสมสู่เป็นสามีภรรยาเฉพาะในวรรณะของตนเทา่ น้นั ถา้ หากหญิงท่ีเป็นนางกษตั ริยห์ รือพราหมณี ไป แตง่ งานกบั ชายท่ีเป็นแพศยห์ รือศูทรท่บี ุตรเกิดมาจะถูกเรียกว่า เป็นคน “จณั ฑาล” เป็นท่ีรังเกียจของคนทวั่ ไป โดย ถอื วา่ เป็นคนกาลกิณี หรือทค่ี นไทยถือว่าเป็น “เสนยี ดจญั ไร” ความเชื่อเก่ยี วกับชีวติ หรือความคิดเห็น เก่ียวกบั ชีวิตความตาย พอสรุปได้ ๒ ประการ คอื ๑. ถือว่าตายแลว้ เกิด - ตนเป็นอะไรก็เป็นอยา่ งน้นั - มกี ารเปลี่ยนแปลงได้ ๒. ถือว่าตายแลว้ สูญ - ตายแลว้ สูญโดยประการท้งั ปวง - สูญเพยี งบางสิ่งบางอยา่ ง เก่ยี วกบั ความสุข ความทุกข์ พอสรุปได้ ๒ ประการ คือ ๑. สตั วจ์ ะไดร้ ับความสุข ความทุกข์ กไ็ ดเ้ องไมม่ เี หตปุ ัจจยั ๒. สัตวจ์ ะไดร้ ับความสุข ความทุกข์ เพราะมีเหตปุ ัจจยั - เหตุภายนอก มีเทวดา เป็นตน้ - เพราะเหตุภายใน คือ กรรม สกั กชนบท และ ศากยวงศ์ สักกชนบท ต้งั อยใู่ นชมพูทวปี ตอนเหนือ ณ ป่ าหิมพานต์ ในดงไมส้ ักกะ หรือสากะ (ไม่ใช่ดงไมส้ กั ) จึงได้ ช่ือวา่ “สักกชนบท” กบิลพสั ด์ุ พระนครทีส่ ร้างข้นึ ใหม่ ทีช่ ่ือวา่ “กบลิ พสั ด”ุ์ เพราะเหตุ ๒ ประการ คอื ๑. พระนครน้ีสร้างในสถานท◌◌ี ่ อนั เป็นทอ่ี ยขู่ องกบลิ ดาบส ๒. เพราะพระนครน้ีสร้างข้นึ ตามคาํ แนะนาํ ของกบิลดาบส ศากยวงศ์ คือวงศข์ องศากยะทสี่ ืบต่อกนั มา เพราะเหตุ ๓ ประการ คอื ๑. เพราะกษตั ริยว์ งศน์ ้ีต้งั อย่ใู นสักกชนบท
หนา้ ๕๔ พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี ๒. เพราะกษตั ริย์ วงศน์ ้ีสมสู่กนั เองระหวา่ งพ่นี อ้ ง ทเ่ี รียกว่า “สกสังวาส” ๓. เพราะกษตั ริยว์ งศน์ ้ีทรงถือเอาพระราชดาํ รัสของพระเจา้ โอกกากราช ทอ่ี อกพระโอฐชมว่า สกั กา เป็นผู้ อาจหาญ มีความสามารถ การปกครอง เป็นแบบสามคั คีธรรม. ลาํ ดบั วงศ์ ศากยวงศ์ และโกลิยวงศ์ สืบเชือ้ สายต่อกนั มาโดยลาํ ดบั คือ ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์ ๑. ชยเสน ๑. - สีหหนุ, ยโสธรา อญั ชนะ, กญั จนา ๒. สีหหนุ + กญั จนา ๒. อญั ชนะ + ยโสธรา สุทโธทนะ, สุกโกทนะ, อมิโตทนะ สุปปพุทธะ, ทณั ฑปาณี, มายา, โธโตทนะ, ฆนิโตทนะ, ปมิตา, อมติ า ปชาบดี หรือโคตมี ๓. สุทโธนะ + มายา และปชาบดี ๓. สุปปพทุ ธะ + อมติ า สิทธตั ถะ. นนั นทะ, รูปนนั ทา เทวทตั , ยโสธราหรือพมิ พา ๔. สิทธตั ถะ + ยโสธรา ราหุล ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ หมายเหตุ หมายถึง พระราชบุตร - ธิดา + หมายถงึ อภิเษกสมรส หรือสมสู่ - หมายถงึ ไมป่ รากฏช่ือ ประสตู ิ เมื่อพระเจา้ สุทโธทนะไดอ้ ภิเษกสมรสกบั พระนางเจา้ สิริมหามายา พระราชธิดาของพระเจา้ อญั ชนะกบั พระนางยโสธราฝ่ ายโกลิยะ เมอ่ื พระเจา้ สีหหนุทิวงคตแลว้ ไดส้ ืบราชสมบตั แิ ห่งนครกบลิ พสั ดุ์ จาํ เนียรกาลต่อมา พระโพธิสัตวไ์ ดจ้ ตุ จิ ากดุสิตเทวโลกมาปฏสิ นธิในพระครรภเ์ ม่ือเวลาใกลร้ ุ่งคืนวนั เพญ็ แห่งอาสาฬหมาส (วนั พฤหัสบดี ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือน ๘ ปี ระกา) กอ่ นพุทธศก ๘๐ ปี บงั เกิดแผ่นดินไหวซ่ึงในคืนน้นั
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชัน้ ตรี หน้า ๕๕ พระนางเจา้ มายาทรงพระสุบนิ วา่ มีพญาชา้ งเผอื กชูดอกบวั ขาว เขา้ สู่ครรภข์ องตน เวลาสายใกลเ้ ทีย่ ง ณ วนั เพญ็ แห่งวิสาขมาส (วนั ศุกร์ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดือน ๖ ปี จอ) กอ่ นพุทธศก ๘๐ปี เวลาเชา้ พระนางสิริมหามายาเสดจ็ ประพาส พระราชอทุ ยานลมุ พินีวนั อนั ต้งั อยรู่ ะหว่างกรุงกบิลพสั ดุ์ กบั กรุงเทวทหะต่อกนั ขณะประพาสเล่นอยเู่ กิดประชวร พระครรภจ์ ะประสูติ อาํ มาตยผ์ ตู้ ามเสด็จจึงจดั ทป่ี ระสูติถวายใตร้ ่มสาละ(รงั )เท่าท่จี ะจดั ไดพ้ ระนางเจา้ ไดป้ ระสูติ พระราชโอรส ณ ท่ีนนั่ เองไดบ้ งั เกิดแผ่นดินไหว แต่อาจารยผ์ แู้ ต่งคมั ภรี ์กลา่ ววา่ น่าจะเป็นความประสงคข์ องพระนางเจา้ ทจี่ ะกลบั ไปประสูติ ณ ท่ีสกุลเดิม ของพระนาง ตามธรรมเนียมของพราหมณม์ ากกวา่ ทจ่ี ะไปประพาสทพ่ี ระอทุ ยานแต่เกิดประชวรครรภเ์ สียก่อนจึง ไดป้ ระสูติทีน่ นั่ ขณะประสูติพระนางมายาประทบั ยนื พระหัตถท์ รงจบั ก่ิงสาละพระโพธิสตั วพ์ อประสูติจากพระ ครรภแ์ ลว้ ดาํ เนินไปได้ ๗ กา้ ว แลว้ เปล่งอาสภิวาจาอนั เป็นบรุ พนิมติ แห่งโพธิญาณวา่ “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺ โฐ เสฏฺ โฐหมสฺมิ อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปนุ พฺพโว. แปลว่า เราเป็นยอด เป็นผู้เจริญทสี่ ุด เป็ นผู้ประเสริฐท่ีสุด แห่งโลก การเกิดของเราครั้งนี้ เป็นคร้ังสุดท้าย ภพใหม่ไม่มีอกี แล้ว” ฝ่ ายอสิตดาบส หรือกาฬเทวลิ ดาบส ผูค้ นุ้ เคย แห่งราชสกลุ ทราบขา่ วจึงไดเ้ ขา้ ไปเยี่ยม เมอื่ เห็นพระโพธิสตั วม์ ีลกั ษณะตอ้ งตามตาํ รามหาปรุ ิสลกั ษณะจึงทาํ นายว่า มคี ตเิ ป็น ๒ คอื ๑. ถ้าเป็นฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๒. ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก เกิดความเคารพจึงกม้ ลงกราบที่พระบาทท้งั คู่แลว้ ถวายพระพรลากลบั เมื่อประสูตไิ ด้ ๕ วนั พระเจา้ สุท โธทนะโปรดให้ประชุมพระญาติวงศแ์ ละเสนาอาํ มาตยพ์ ร้อมกนั เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารแลว้ ทาํ นายพระลกั ษณะและทาํ มงคลรับพระลกั ษณะ ขนานพระนามว่า” สิทธัตถกมุ าร” แตม่ หาชนทวั่ ไปมกั จะเรียกตาม พระโคตรวา่ “โคตมะ“ พอประสูตไิ ด้ ๗ วนั พระมารดากท็ วิ งคต พระเจา้ สุทโธทนะจึงมอบพระโพธิสัตวใ์ หอ้ ยใู่ นความดแู ลของ พระนางปชาบดีโคตมพี ระนา้ นางตอ่ มา เมอ่ื พระชนมายไุ ด้ ๗ พรรษาพระราชบิดาตรัสใหข้ ดุ สระข้นึ ภายในพระ ราชนิเวศน์ ๓ สระ ปลูกอบุ ล บวั ขาวสระ ๑ ปลกู ปทุม บวั หลวงสระ ๑ ปลูกปณุ ฑริกบวั ขาวสระ ๑ และเห็นว่าควร จะศกึ ษาศลิ ปวิทยาไดแ้ ลว้ จึงทรงพาไปมอบไวใ้ นสาํ นกั ครูวศิ วามติ ร เม่อื พระชนมายไุ ด้ ๑๖ พรรษาเห็นควรจะมพี ระชายาไดแ้ ลว้ พระราชบิดาตรสั สัง่ ใหส้ ร้างปราสาทข้นึ ๓ หลงั เพ่อื เหมาะแกก่ ารอยตู่ ามฤดทู ้งั ๓ ฤดู แลว้ ตรสั ขอพระนางยโสธราหรือพมิ พา พระราชบุตรีของพระเจา้ สุป ปพุทธะกบั พระนางอมติ าแห่งโกลยิ วงศม์ าอภิเษกเป็นพระเทวีจนกระทงั่ พระชนมายไุ ด้ ๒๙ พรรษาพระนางพมิ พา จึงมีพระราชโอรสพระองคห์ น่ึง ทรงพระนามว่า “ราหุลกมุ าร” บรรพชา ในปี ท่พี ระชนมายุ ๒๙ พรรษานนั่ เอง พระโพธิสตั วเ์ สดจ็ ออกบรรพชา อะไรเป็นมลู เหตใุ หเ้ สด็จออก บรรพชาและอาการท่เี สดจ็ ออกบรรพชาน้นั เป็นอยา่ งไร พระอาจารยผ์ ูแ้ ตง่ คมั ภีร์มคี วามเห็นเป็น ๒ นยั คือ ๑. อาจารยผ์ ูแ้ ต่งอรรถกถา กลา่ วตามนยั มหาปธานสูตรว่า พระองคไ์ ดท้ อดพระเนตรเห็นเทวทูตท้งั
หน้า ๕๖ พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี ๔ คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ อนั เทวดาสร้างเนรมติ ไวใ้ นระหว่างทางเม่ือเสดจ็ ประพาสพระราชอทุ ยาน ท้งั ๔ วาระโดยลาํ ดบั ทรงสงั เวชสลดพระทยั เมอ่ื ไดท้ อดพระเนตรเห็นเทวทูตท้งั ๓ ขา้ งตน้ แตท่ รงพอพระทยั ใน การบรรพชาเพราะไดเ้ ห็นสมณะ ในวนั ทีพ่ ระราหุลกุมารประสูตนิ นั่ เอง เวลากลางคืนยามดึกพระองคท์ รงมา้ กณั ฐกะมนี ายฉนั นะตามเสด็จหนีออกจากพระราชวงั ถงึ ฝั่งแม่น้าํ อโนมานที แขวงมลั ลชนบท ทรงตดั พระเมาลดี ว้ ย พระขรรค์ แลว้ อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ณ วนั เพญ็ อาสาฬหมาส (ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๘) เวลาใกลร้ ุ่ง. ๒. ส่วนในมชั ฌิมนิกายกลา่ ววา่ ทรงปรารภ ความแก่ ความเจ็บ และความตายทม่ี ีอยทู่ วั่ ทุกคนไมม่ ีใครที่ จะสามารถรอดพน้ ไปได้ ดว้ ยเหตนุ ้ีพระองคจ์ ึงทรงเกิดความเบ่ือหน่าย คิดหาอบุ ายเครื่องทจี่ ะทาํ ให้รอดพน้ จาก ความแก่ ความเจบ็ ความตาย ซ่ึงถอื วา่ เป็นทุกขอ์ ยา่ งย่งิ ของมนุษยท์ กุ คนท่เี กิดมา. ตรสั รู เมือ่ บรรพชาแลว้ เสด็จพกั แรมอยทู่ ี่อนุปิ ยอมั พวนั แขวงมลั ลชนบท ๗ วนั แลว้ เสดจ็ จาริกไปสู่มคธชนบท ผา่ นกรุงราชคฤห์ พบพระเจา้ พิมพสิ ารไดส้ นทนาปราศรัยกนั แลว้ พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงชวนให้อยู่ โดยจะมอบราช สมบตั ใิ ห้ก่ึงหน่ึงพระองคไ์ ม่ทรงรับ แสดงพระประสงคใ์ นการแสวงหาพระสัมมาสมั โพธิญาณ พระเจา้ พิมพสิ าร ทรงอนุโมทนา และตรัสขอปฏญิ ญาวา่ ถา้ ตรัสรู้แลว้ ขอให้เสดจ็ มาโปรดบา้ งพระองคท์ รงรบั โดยดษุ ฎียภาพ (คอื น่ิง) จากน้นั จึงเสด็จไปสู่สาํ นกั อาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ศึกษาลทั ธิสมยั ของท่านจนจบสมาบตั ิ ๘ ประการ คอื รูปฌาน๔ อรูปฌาน ๔ เมือ่ เห็นว่าไมใ่ ช่ทางทจี่ ะตรสั รู้จึงลาออกจากสาํ นกั จาริกไปจนถงึ ตาํ บลอุรุ เวลาเสนานิคมทรงเห็นวา่ เป็นสถานท่เี หมาะสาํ หรบั การบาํ เพญ็ เพียรจึงทรง ประทบั อยู่ ณ ทน่ี ้นั บําเพญ็ ทกุ กรกริ ิยา พระมหาบรุ ุษทรงทดลองบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยา คอื การทรมานพระวรกายใหล้ าํ บาก ที่นกั บาํ เพญ็ ตบะท้งั หลาย ยกยอ่ งวา่ เป็นการบาํ เพญ็ เพียรอยา่ งยอดเย่ยี ม โดยการบาํ เพญ็ เพียร ๓ วาระ คือ ๑. วาระแรก ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ (กดั ฟัน) กดพระตาลดุ ว้ ยพระชิวหา ( ใชล้ ้นิ กดเพดาน ) ไวจ้ น แน่น จนน้าํ พระเสโท ( เหง่ือ ) ไหลออกมาจากพระกจั ฉะ ( รักแร้ ) เกิดทกุ ขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ ๒. วาระต่อมา ทรงผอ่ นและกล้นั ลมอสั สาสะปัสสาสะ ( ลมหายใจเขา้ ออก ) เมอื่ ลมเดินไมส่ ะดวกทาง ช่องพระนาสิก ( จมกู ) และพระโอษฐ์ ( ปาก ) กเ็ กิดเสียงดงั อูท้ ชี่ ่องพระกรรณ ( หู ) ท้งั สองทาํ ใหป้ วดพระเศียร ( ศีรษะ) เสียดพระอทุ ร ( ทอ้ ง ) ร้อนทวั่ พระวรกาย. ๓. วาระสุดท้าย ทรงอดอาหารผอ่ นเสวยแต่วนั ละนอ้ ย ๆ บา้ ง เสวยแต่อาหารท่ีละเอียดบา้ ง จนพระกาย เห่ียวแห้ง พระฉวีวรรณเศร้าหมอง พระอฐั ิ ( กระดกู ) ปรากฏทว่ั พระวรกาย เสวยทุกขเวทนาอยา่ งแรงกลา้ ถงึ กระน้นั พระองคก์ ม็ ไิ ดท้ รงทอ้ ถอยเลย. เกดิ อปุ มา ๓ ขอ้ คร้งั น้นั อุปมา ๓ ขอ้ มาปรากฏแกพ่ ระองค์
พทุ ธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๕๗ ๑. สมณะ หรือพราหมณเ์ หล่าใดกต็ าม มกี ายยงั ไม่หลีกออกจากกาม ยงั มคี วามรกั ใคร่ในกามจะเสวย ทุกขเวทนาอนั แรงกลา้ ซ่ึงเกิดเพราะความเพยี รหรือไมก่ ต็ าม กไ็ มค่ วรจะตรัสรู้เหมอื นไมส้ ดที่แช่น้าํ ยากทจี่ ะสีให้ เกิดไฟได.้ ๒.สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดก็ตาม แมม้ กี ารหลกี ออกจากกาม แตย่ งั มีความพอใจรกั ใคร่ในกามอยกู่ ็ไม่ ควรจะตรัสรู้ เหมอื นไมส้ ดถงึ จะไมแ่ ช่น้าํ ก็ยากท่ีจะสีให้เกิดไฟได.้ ๓. สมณะหรือพราหมณเ์ หลา่ ใดก็ตาม ทมี่ ีกายหลีกออกจากกาม และละความมีใจรักใคร่ในกามเสียได้ ก็ ควรจะตรัสรู้ เหมือนไมแ้ หง้ อาจสีใหเ้ กิดไฟได.้ ดงั น้นั พระองคจ์ ึงพยายามป้องกนั พระหฤทยั มใิ ห้นอ้ มไปใน กามารมณ์ คร้ันเห็นวา่ มิใช่หนทางตรสั รู้จึงไดล้ ะทุกกรกิริยาน้นั เสีย กลบั มาเสวยพระกระยาหารใหม่ เพือ่ ท่ีจะ บาํ เพญ็ เพียรทางใจต่อไป ในขณะทพี่ ระองคท์ รงบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยาอยนู่ ้นั ฤษี ๕ ตน คอื โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ รวมเรียกวา่ “ปัญจวคั คยี ์” เคยไดเ้ ห็นบา้ งไดย้ ินมาบา้ งวา่ พระมหาบุรุษถา้ ออกบวชจะไดเ้ ป็นศาสดาเอก ในโลก เมือ่ ไดท้ ราบข่าวพระองคอ์ อกบรรพชาจึงพากนั ออกบวชตามหามาพบขณะบาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยาอยจู่ ึงคอยเฝา้ ปฏบิ ตั ิ แต่เม่ือเห็นพระองคท์ รงละทุกกรกิริยาเสียจึงคดิ ว่า ทรงคลายความเพียรไมม่ ีทางทีจ่ ะตรัสรู้ได้ จึงพากนั ละทิ้ง พระองค์ ไปอยทู่ ี่ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี พระมหาบุรุษกลบั มาเสวยพระกระยาหาร จนพระวรกายกลบั มีกาํ ลงั ข้ึนเหมอื นอยา่ งเดิมแลว้ ทรงเริ่ม บาํ เพญ็ เพยี รทางใจต่อไป นบั ต้งั แตบ่ รรพชามาประมาณ ๖ ปี จนถึงวนั เพญ็ แห่งวิสาขมาส (วนั พธุ ข้ึน ๑๕ คา่ํ เดือน ๖) ตอนเชา้ วนั น้นั นางสุชาดาธิดาของกฎุ มุ พผี เู้ ป็นนายบา้ นของชาวบา้ นอรุ ุเวลาเสนานิคม ปรารถนาจะทาํ การ บวงสรวง (แกบ้ น)เทวดา จึงนาํ ขา้ วมธุปายาสไปยงั ตน้ ไทร(อชปาลนิโครธ)ตน้ หน่ึงใกลบ้ า้ นไดเ้ ห็นพระมหาบุรุษ ประทบั นง่ั อยสู่ าํ คญั วา่ เป็นเทวดาจึงนอ้ มขา้ วมธุปายาสเขา้ ไปถวาย พระองคท์ รงรบั พร้อมท้งั ถาดทองคาํ แลว้ ทรง ถือไปยงั ริมแมน่ ้าํ เนรัญชรา ทรงเสวยหมดแลว้ ทรงอธิษฐานลอยถาดเสียในกระแสน้าํ เวลาเยน็ พระองคเ์ สด็จมาสู่ ตน้ โพธ์ิ ทรงรับหญา้ คา ๘ กาํ มอื ที่โสตถิยพราหมณ์ถวายระหว่างทาง ทรงปูลาดหญา้ คาทีโ่ คนตน้ โพธิแลว้ ประทบั นง่ั ผินพระพกั ตร์ ไปทางทศิ บรู พาหันพระปฤษฎางค์ (หลงั )ไปทางลาํ ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิทรงอธิฐานพระทยั ว่า ตราบใดยงั มไิ ดบ้ รรลุพระสมั มาสัมโพธิญาณ แมพ้ ระมสั สะ(เน้ือ) และพระโลหิต(เลอื ด) จะเหือดแห้งไปเหลือแต่ พระตจะ(หนงั ) พระนหารู(เอน็ ) พระอฐั ิ(กระดกู )กต็ ามทีจะไม่ลุกข้นึ ตราบน้นั . ชนะมาร สมยั น้นั พญามารไดย้ กพลเสนามารมาผจญพระองคท์ รงต่อสู้ดว้ ยพระบารมี ๑๐ ทศั คือ ๑. ทาน การเสียสละ ๒. ศีล การรกั ษากายวาจาให้ปกติ ๓. เนกขมั มะ การออกจากกามไดแ้ กบ่ รรพชา ๔. ปัญญา รู้ส่ิงทคี่ วรรู้ ๕. วิริยะ ความเพียรพยายาม
หน้า ๕๘ พุทธประวัติ ธรรมศึกษาชัน้ ตรี ๖. ขนั ติ ความอดทน ๗. สัจจะ ความซ่ือสัตย์ ๘. อธิษฐาน ความต้งั ใจอยา่ งมนั่ คง ๙. เมตตา ความรัก ๑๐. อเุ บกขา ความวางเฉย จนพญามาร ไดพ้ ่ายแพไ้ ปตอนพระอาทิตยจ์ ะตกแลว้ พระองคท์ รงเร่ิมเจริญสมถภาวนาทาํ จิตให้เป็นสมาธิ จนได้ บรรลปุ ฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตติยฌาน และจตตุ ถฌาน แลว้ ยงั ฌานอนั เป็นองคแ์ ห่งปัญญา ๓ ประการ ให้เกิดในยาม ท้งั ๓ คือ ๑. ในปฐมยาม ทรงบรรลุปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลกึ ชาตไิ ด้ ๒. ในมชั ฌิมยาม ทรงบรรลุจตุ ปู ปาตญาณ คือ การรู้การตาย การเกิดของเหล่าสตั ว์ หรืออีกนยั หน่ึงเรียกว่า ทิพยจกั ษุญาณ คือ ตาทิพย์ ๓. ในปัจฉิมยาม พระองคท์ รงพจิ ารณาปฏิจจสมปุ บาท คือ ธรรมที่อาศยั กนั และกนั เกิดข้นึ เป็นเหตแุ ละ เป็นผลเน่ืองกนั เหมือนกบั ลกู โซ่ จนไดร้ ู้แจง้ อริยสัจ คือ ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ คอื ๑. ทกุ ข์ ความไมส่ บายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทยั เหตุทท่ี าํ ให้เกิดทกุ ข์ ๓. นิโรธ ความดบั เหตุท่ีทาํ ให้เกิดทกุ ข์ ๔. มรรค หนทางทจี่ ะดบั ทุกข์ แลว้ จึงไดบ้ รรลอุ าสวกั ขยญาณ คอื ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวกิเลส จิตของพระองคก์ พ็ น้ จากกิเลสและอาสวะ ท้งั ปวง ไมย่ ึดมน่ั ถือมน่ั ดว้ ยอุปาทาน อนั เป็นการตรัสรู้อนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ เป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ใน ยามที่ ๓ แห่งราตรีวิสาขมาส ก่อนพุทธศก ๕๔ ปี จึงไดพ้ ระนามบญั ญตั โิ ดยคณุ นิมิตว่า “อรหงั ” เป็นพระอรหันต์ ห่างไกลกิเลสท้งั ปวง และ สัมมาสัมพทุ โธ เป็นพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ตรัสรู้ชอบดว้ ยพระองคเ์ อง หาไดม้ ีผูใ้ ดผู้ หน่ึงเป็นครูอาจารยไ์ ม่ . ปฐมโพธกิ าล ปฐมเทศนา และ ปฐมสาวก สัตตมหาสถาน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คร้นั ตรัสรู้ธรรมพิเศษแลว้ เสดจ็ ประทบั เสวยวมิ ุตติสุข คือ สุขเกิดแต่ ความหลุดพน้ จากกิเลสาสวะสิ้นกาลนาน ๗ สปั ดาห์ (๔๙ วนั ) ณ สถานที่ ๗ แห่ง คือ สัปดาห์ที่ ๑ หลงั จากที่พระพุทธองคท์ รงตรัสรู้แลว้ เสด็จประทบั เสวยวมิ ุตตสิ ุขอยู่ ณ ภายใตร้ ่มไมพ้ ระ ศรีมหาโพธิตลอด ๗ วนั ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมุปบาทตามลาํ ดบั และทวนลาํ ดบั กลบั ไปกลบั มา ท้งั ฝ่ ายเกิดและฝ่าย ดบั ตลอด ๓ ยามแห่งราตรี แลว้ เปลง่ อทุ าน คอื ตรสั ออกมาดว้ ยความเบิกบานพระหฤทยั ยามละคร้งั
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชัน้ ตรี หนา้ ๕๙ สัปดาห์ท่ี ๒ เสด็จไปทางทศิ อสิ าน ประทบั ยืนทอดพระเนตรตน้ ศรีมหาโพธ์ิ โดยมไิ ดก้ ระพริบพระ อนมิ ิสสเจดยี ์ เนตรตลอด ๗ วนั สถานทีน่ ้นั เรียกวา่ สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จกลบั จากท่นี ้นั มาหยดุ อยรู่ ะหวา่ งกลางตน้ ศรีมหาโพธ์ิ และอนิมสิ สเจดียเ์ สด็จจง กรมกลบั ไปกลบั มา ณ ทน่ี ้นั ตลอด ๗ วนั สถานท่ีน้นั เรียกว่า รัตนจงกรมเจดยี ์ สัปดาห์ที่ ๔ เสดจ็ ไปทางทิศพายพั หรือปัจจิมทิศแห่งตน้ ศรีมหาโพธิ ประทบั นงั่ ขดั บลั ลงั ก์ทรง พจิ ารณาอภธิ รรมปิ ฎกตลอด ๗ วนั สถานท่ีน้นั เรียกวา่ รัตนฆรเจดีย์ สัปดาห์ที่ ๕ เสดจ็ ไปทางทศิ บูรพาแห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ไปยงั ตน้ ไทรตน้ หน่ึง อนั เป็นท่พี กั อาศยั ร่ม เงาของคนเล้ยี งแพะ จึงไดช้ ่ือวา่ “อชปาลนิโครธ” ถูกพราหมณ์คนหน่ึงผูม้ ปี กตชิ อบกลา่ วคาํ วา่ หึ หึ หรือ หุง หุง อนั เป็นคาํ หยาบจนตดิ ปาก ทลู ถามถงึ พราหมณแ์ ละธรรมท่ที าํ ให้เป็นพราหมณ์ สัปดาห์ที่ ๖ เสดจ็ ไปยงั ตน้ จิก ซ่ึงอยทู่ างทิศอาคเนยแ์ ห่งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิใกลส้ ระ อนั เป็นทอี่ ยขู่ อง พญานาคชื่อมจุ ลนิ ท์ สถานทน่ี ้ีจึงไดน้ ามว่า มุจลนิ ท์ ประทบั นงั่ เสวยวิมตุ ติสุขตลอด ๗ วนั เปล่งอทุ านว่า ความสงดั เป็นความสุขของบุคคลผูม้ ีธรรมอนั ไดส้ ดบั แลว้ เป็นตน้ สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จไปยงั ตน้ เกต ซ่ึงไดน้ ามวา่ ราชายตนะ อยทู่ างทิศทกั ษิณแห่งตน้ พระศรีมหาโพธิ มี พอ่ คา้ สองคนพ่ีนอ้ ง ชื่อ ตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ เดินทางมาจากอกุ กลชนบท ไดน้ าํ ขา้ วสัตตุกอ้ นสตั ตผุ งมาถวายแลว้ แสดงตนเป็นอุบาสกโดยขอถงึ พระพทุ ธ พระธรรม เป็นสรณะทพ่ี ่งึ ทางใจนบั ว่าเป็นอุบาสกคนแรกใน พระพุทธศาสนาท่ีถงึ รตั นะ ๒ ประการก่อนใคร ( เทววาจิกอบุ าสก ) ปฐมเทศนา คร้นั ล่วง ๗ วนั แลว้ พระองคเ์ สด็จออกจากร่มไมร้ าชายนตะ กลบั มาประทบั ณ ร่มไมอ้ ชปาลนิโครธอกี ทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองคไ์ ดต้ รสั รู้แลว้ ว่าเป็นบุคคลท่ียินดีในกามคณุ จะรู้ตามได้ ทอ้ พระทยั ท่ีจะสั่งสอน แต่ อาศยั พระมหากรุณา ส่วนพระคนั ถรจนาจารยแ์ สดงความวา่ ในกาลทพี ระองคท์ อ้ พระทยั น้ี ทา้ วสหมั บดีพรหม ทราบพทุ ธอธั ยาศยั จึงมากราบทลู อาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรม พระองคพ์ จิ ารณากท็ ราบดว้ ยปัญญาว่า หมู่สตั ว์ เปรียบไดก้ บั ดอกบวั ๔ เหลา่ คือ ๑. อุคฆฏิตญั �ู เหล่าสัตวม์ กี ิเลสเบาบาง มีอินทรียแ์ กก่ ลา้ มอี าการอนั ดี พงึ สอนให้รู้ไดโ้ ดยง่าย เปรียบ เหมอื นดอกบวั ทขี่ ้ึนพน้ น้าํ พอตอ้ งแสดงอาทิตยก์ บ็ านทนั ที ๒. วิปจิตัญ�ู เหลา่ สตั วผ์ ูม้ ีคุณสมบตั ิเช่นน้นั พอปานกลางไดร้ บั การอบรมจนมีอปุ นิสยั แก่กลา้ กส็ ามารถ จะบรรลธุ รรมพิเศษได้ เปรียบเหมอื นดอกบวั ทีอ่ ยเู่ สมอน้าํ จกั บานในวนั พรุ่งน้ี ๓. เนยยะ เหล่าสตั วผ์ ูม้ ีคุณสมบตั ิเช่นน้นั ยงั อ่อน หาอุปนิสยั ไมไ่ ดเ้ ลย ก็ยงั ควรไดร้ ับการแนะนาํ ในธรรม เบ้อื งต่าํ ไปก่อน เพื่อบาํ รุงอปุ นิสยั เปรียบเหมอื นดอกบวั ท่อี ยใู่ ตน้ ้าํ จกั บานในวนั ต่อไป ๔. ปทปรมะ เหลา่ สตั วท์ ีเ่ ป็นอภพั พบุคคล ไมย่ อมรบั คาํ แนะนาํ เปรียบเหมือนดอกบวั ท่ีเริ่มแตกดอกใหม่ ๆ ที่อยใู่ ตน้ ้าํ ลึก เหมาะที่จะเป็นอาหารของเตา่ และปลา ฉะน้ี
หน้า ๖๐ พทุ ธประวัติ ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี ดงั น้นั พระองคจ์ ึงตกลงพระทยั ท่ีจะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ พระองคท์ รงพจิ ารณาบุคคลผูส้ มควรรบั เทศนาคร้ังแรก ทรงปรารภถงึ ปัญจวคั คยี ท์ ้งั ๕ จึง ทรงแสดงพระธรรมเทศนากณั ฑแ์ รก ชื่อ \"ธัมมจกั กัปปวตั ตน สูตร\" เน้ือความแห่งพระธรรมเทศนาแห่งพระสูตรน้ี ทรงตรัสเตือนพวกปัญจวคั คยี ์ ใหต้ ้งั ใจสดบั พระธรรม เทศนาแลว้ ก่อนแต่พระองคจ์ ะทรงแสดงธรรมน้นั พระองคไ์ ดย้ กธรรมอนั ควรละ ๒ อยา่ ง คือ ๑. กามสุขลั ลิกานุโยค คือการประกอบตนใหพ้ วั พนั ดว้ ยความสุขในกาม โดยหมกมนุ่ อยใู่ นกาม ๒. อัตตกิลมถานโุ ยค คอื การบาํ เพญ็ เพียรโดยการทรมานตวั ให้ลาํ บาก ท้งั ๒ สาย มิใช่ทางตรสั รู้ ทรงแสดงให้ดาํ เนินทางสายกลาง คือ มชั ฌิมาปฏิปทา ไมห่ ยอ่ นเกินไป และไมต่ งึ เกินไป ไดแ้ กม่ รรค ๘ ประการ อนั เป็นทางทีจ่ ะให้ตรสั รู้ได้ และทรงแสดง อริยสัจ คือ ความจริงอยา่ งประเสริฐ ๔ ประการ คอื ๑. ทุกข์ คือความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ ๒. สมทุ ยั คือเหตุใหท้ ุกขเ์ กิด ๓. นโิ รธ คือความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ปฐมสาวก พระอัญญาโกณฑญั ญะ หลงั จากไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาแลว้ ธรรมะไดเ้ กิดข้ึนแก่ท่านวา่ \"ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมี ความเกิด ขึน้ เป็นธรรมดา สิ่งนัน้ ทั้งหมดมีความดบั เป็นธรรมดา\" ท่านอปุ สมบทจากพระพุทธองคด์ ว้ ยการประทานพระดาํ รัสว่า \"เธอจงเป็นภิกษมุ าเถิด ธรรมอันเรากล่าวดี แล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพ่ือทาํ ที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด\" การอปุ สมบทแบบน้ีเรียกวา่ “เอหิภกิ ขอุ ุปสัมปทา” เป็นอนั วา่ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไดเ้ ป็นปฐมสาวกองคแ์ รกในพทุ ธศาสนา และในวนั เพญ็ ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือนอาสาฬหะเป็นวนั สงั ฆรัตนะเกิดข้ึนในโลก ส่วนปริพาชกอกี ๔ ท่าน ไดด้ วงตาเห็นธรรมดว้ ยธรรมเทศนาเบด็ เตล็ดแลว้ ประทานอปุ สมบทให้ คร้นั วนั แรม ๕ คา่ํ เดือน ๘ พระพุทธเจา้ กท็ รงประทานพระธรรมเทศนาชื่อ \"อนตั ตลกั ขณสูตร\" โดย ใจความแห่งพระธรรมเทศนาน้นั วา่ ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็นอนตั ตา คอื มใิ ช่ตวั มใิ ช่ตน เป็นของไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ มิใหย้ ึดมน่ั ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เมื่อจบพระธรรมเทศนา จิตของภกิ ษทุ ้งั ๕ ก็หลดุ พน้ จากกิเลสอาสวะ ไมถ่ อื มน่ั ดว้ ยอุปาทาน ไดส้ าํ เร็จมรรคผลเบ้ืองสูง คอื พระอรหันต์ สรุปวา่ บดั น้ีมีพระอรหันตเ์ กิดข้ึนในโลก ๖ องค์ คอื พระบรมศาสดา, กบั พระสาวกท้งั ๕ สง่ สาวกไปประกาศพระศาสนา เม่อื ยสะ บุตรของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี เกิดความเบ่ือหน่ายจากการครองเรือน ไดเ้ ดินตามทางไปยงั ป่ า อิสิปตนมฤคทายวนั พลางบน่ ไปวา่ \"ท่นี ่ีว่นุ วายหนอ ทีน่ ขี่ ัดข้องหนอ\" ในเวลาใกลร้ ุ้ง ขณะน้นั พระบรมศาสดาทรง
พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาชั้นตรี หน้า ๖๑ เสด็จจงกรมอยู่ ทรงไดย้ ินเขา้ จึงตรัสไปว่า \"ท่ีนไ่ี ม่วุ่นวาย ท่ีนี่ไม่ขัดข้อง เชิญทางนเี้ ถิด และนั่งลง เราจักแสดงธรรม แก่ท่าน” ยสะไดย้ ินดงั น้นั จึงถอดรองเทา้ เขา้ ไปเฝ้าถวายนมสั การ แลว้ นงั่ ลงท่สี มควรแห่งหน่ึง พระองค์ทรงแสดงอนุปพุ ีกถา ๕ ประการ คือ ๑. ทาน การเสียสละ ๒. ศีล การรักษากายวาจาใหเ้ รียบร้อย ๓. สวรรค์ ๔. กามาทีนพ โทษของกาม ๕. เนกขมั มานิสงส์ อานิสงส์แห่งการออกจากกาม แลว้ จบลงดว้ ยการอริยสัจ ๔ พอจบพระธรรมเทศนา ยสกุลบตุ รกไ็ ดด้ วงตาเห็นธรรม เศรษฐีผเู้ ป็นบิดา ทา่ นยสะ ไดเ้ ขา้ เฝ้าพระศาสดาและพระองคไ์ ดท้ รงประทานพระธรรมเทศนาอนุปุพพกี ถาและอริยสจั ๔ ท่าน เศรษฐีไดแ้ สดงตนเป็นอุบาสก ขอถงึ พระรัตนตรยั เป็นสรณะตลอดชีวติ นบั ว่าเป็ นอบุ าสกคนแรกในโลกท่ีถงึ พระ รัตนตรัยเป็นสรณะ(เตวาจิกอบุ าสก) ฝ่ ายมารดาและภรรยาของท่านก็เหมือกนั ไดข้ อถงึ พระรตั นะตรยั เป็นสรณะเป็ นอบุ าสิกาคนแรกในโลก พระพทุ ธเจา้ ทรงอปุ สมบทแก่ทา่ นยสะ ดว้ ยการประทานพระดาํ รัสวา่ \"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอนั เรา กล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด\" ในที่ น้ีไมม่ คี าํ ว่า \"เพ่ือทาํ ทสี่ ุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด\" เพราะยสะเป็น พระอรหันต์ ถงึ ทีส่ ุดแห่งทุกขแ์ ลว้ สหายยสบรรพชา สหายพระยสะที่มชี ่ือ ๔ คน คอื วิมละ สุพาหุ ปณุ ณชิ และควัมปติ และทไ่ี มป่ รากฏชอื่ อีก ๕๐ คน ทราบ ขา่ วยสกลุ บตุ บวชจึงพากนั ออกบวชตาม พระพทุ ธองคท์ รงอปุ สมบทและทรงสัง่ สอนจนให้สาํ เร็จพระอรหนั ต์ คร้นั มีพระอรหันตเ์ กิดข้ึนในโลกแลว้ ๖๑ องค์ พร้อมดว้ ยพระศาสดา พระองคจ์ ึงตรัสเรียกพระสงฆส์ าวก เหล่าน้นั มาเพ่ือท่จี ะส่งไปประกาศพระศาสนา ตรสั วา่ “ภิกษุทงั้ หลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทง้ั ปวง ทงั้ ทเ่ี ป็นของ ทิพย์ ทัง้ ที่เป็นของมนษุ ย์ แม้เธอท้ังหลายกเ็ หมือนกนั เธอทงั้ หลายจงเท่ยี วไปตามชนบท เพื่อประโยชน์และ ความสุขแก่ชนเป็นอนั มาก แต่อย่าไปทางเดยี วกัน ๒ องค์ จงแสดงธรรมท่ีมีคณุ ในเบือ้ งต้น ท่ามกลาง และทส่ี ุด จง ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้งั อรรถทั้งพยัญชนะอนั บริสุทธิ์บริบรู ณ์โดยสิ้นเชิง สัตว์ท้งั หลายมกี ิเลสบงั ปัญญาดุจ ธุลใี ยจักษุมีอยู่น้อย เพราะโทษทมี่ ิได้ฟังธรรม จึงเส่ือมจากคณุ ทีจ่ ะพึงได้พึงถึง ผู้รู้ทวั่ ถึงธรรมจักมอี ยู่ แม้เราเองจะ ไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” เมอื่ พระสงฆส์ าวกท้งั ๖๐ องคอ์ อกประกาศพระศาสนาไดม้ กี ลุ บตุ รศรทั ธาเลื่อมใสเป็นอยา่ งมาก พระองค์ ทรงเห็นความลาํ บาก ทพ่ี ระสงฆไ์ ดน้ าํ กลุ บตุ รเหล่าน้นั มาบวชกบั พระองค์ ภายหลงั จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ เหลา่ น้นั ให้บวชกลุ บุตรผูม้ ีความเลอ่ื มในไดเ้ อง โดยการให้กลา่ วแสดงตนถงึ พระรัตนตรัย กเ็ ป็นอนั เสร็จพธิ ีการ บวช การบวชแบบน้ีเรียกวา่ ตสิ รณคมนูปสัมปทา คอื ไตรสรณคมน์
หน้า ๖๒ พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี โปรดชฏลิ ๓ พนี่ อ้ ง ส่วนพระองคท์ รงเสด็จไปยงั อุรุเวลาเสนานิคม ในระหว่างทางเสดจ็ แวะพกั ท่ีไร่ฝ่ ายแห่งหน่ึง ไดพ้ บ กลุ บุตรผเู้ ป็นสหายกนั ๓๐ คน มีช่ือเรียกว่า “ภทั ทวคั คยี ์” พระพุทธเจา้ กท็ รงเทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔โปรด จนไดส้ าํ เร็จเป็นพระอรหันต์ แลว้ ไดท้ รงส่งไปประกาศพระศาสนาต่อไป ตาํ บลอุรุเวลาเสนานิคม ฝั่งแม่น้าํ เนรญั ชราเป็นท่ีอาศยั ของพวกชฏิล ๓ พ่ีนอ้ ง ผูพ้ ่มี ีช่ือวา่ อรุ ุเวลกสั สปะมี ศิษยอ์ ยู่ ๕๐๐ คน คนกลางมชี ื่อว่านทีกัสสปะมศี ษิ ยอ์ ยู่ ๓๐๐ คน คนเลก็ มชี ื่อวา่ คยากสั สปะมีศษิ ยอ์ ยู่ ๒๐๐ คน พระพทุ ธเจา้ ทรงทรมานชฏิลเหลา่ น้นั จนละท้งิ ลทั ธิเดิม มีความศรัทธาในพระองค์ ขออปุ สมบท แลว้ พระองคท์ รง เทศนาโปรดดว้ ยกณั ฑท์ ีม่ ีช่ือว่า “อาทิตตปริยาสูตร” ใจความในอาทิตตปริยาสูตรนั้นว่า ๑. อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ เป็นตน้ ๒. อายตนะภายนอก ๖ คอื รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ และธมั มารมณ์ เป็นของร้อน ๓. วญิ ญาณ ผสั สะ และเวทนา ท◌◌ี ่เกิดข้นึ เพราะอายตนะภายใน กบั อายตนะภายนอกกระทบกนั เป็นของ ร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟ ๓ กอง คอื ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคอื โมหะและร้อนเพราะ การเกิด แก่ ตาย ความเศร้าโศกคราํ ครวญ ความทุกข์ ความเสียใจ และความขดั เคืองใจ เมือ่ จบพระธรรมเทศนาแลว้ ภกิ ษทุ ้งั หมด ๑,๐๐๓ รูป ไดส้ าํ เร็จพระอรหนั ต์ เสดจ็ โปรดพระเจา้ พมิ พสิ าร พระพุทธองค์ คร้นั ประทบั อยทู่ ี่คยาสีสะตามควรแก่พระอธั ยาศยั แลว้ จึงพร้อมดว้ ยภกิ ษุสาวกเหลา่ น้นั ได้ เสด็จถงึ กรุงราชคฤหป์ ระทบั อยู่ ณ ลฏั ฐิวนั (สวนตาลหนุ่ม)พระเจา้ พิมพสิ ารทราบขา่ วกไ็ ดเ้ สด็จออกมานมสั การ พร้อมดว้ ยบริวารมากมาย บริวารเหลา่ น้นั ไดแ้ สดงทิฐิของตนไปต่าง ๆ เช่น บางพวกกน็ มสั การ บางพวกก็เฉย เป็น ตน้ พระองคจ์ ึงใหพ้ ระอุรุเวลกสั สปะ ประกาศลทั ธิเก่าของตนแกช่ นผูเ้ ลื่อมใส ว่าไมม่ ีแก่นสาร หาประโยชนม์ ไิ ด้ จากน้นั พระองคก์ ็แสดงอนุปปพุ พกี ถา และอริยสจั ๔ ในทสี่ ุดพระเจา้ พิมพิสาร กบั บริวาร ๑๒ ส่วนไดด้ วงตาเห็น ธรรม อีกส่วนหน่ึงไดต้ ้งั อยใู่ นสรณคมน์ ฝ่ ายพระเจา้ พิมพสิ ารกไ็ ดส้ าํ เร็จความปรารถนา ทท่ี รงต้งั ไว้ ๕ ประการในคร้งั ยงั เป็นพระกุมาร คอื ๑. ขอให้ไดร้ ับอภเิ ษกเป็นพระเจา้ แผ่นดินในมคธรัฐน้ี ๒. ขอท่านผเู้ ป็นพระอรหันต์ ผรู้ ู้เองเห็นเองโดยชอบ พงึ มายงั แควน้ ของตน ๓. ขอใหพ้ ระองคไ์ ดเ้ ขา้ ไปนงั่ ใกลพ้ ระอรหันตน์ ้นั ๔. ขอพระอรหันตน์ ้นั พึงแสดงธรรมใหฟ้ ัง ๕. ขอให้พระองคพ์ งึ รู้ทวั่ ถึงธรรมของพระอรหนั ตน์ ้นั คร้นั สาํ เร็จความปรารถนาท้งั ๕ ประการแลว้ พระองคก์ ท็ รงถวายพระราชอทุ ยานเวฬุวนั (สวนไมไ้ ผ)่ สร้างเป็นวดั แห่งแรกในทางพระพุทธศาสนา เพ่ือเป็นทอ่ี ยอู่ าศยั แห่งภิกษุสงฆม์ ีพระพุทธเจา้ เป็นประธาน
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชั้นตรี หนา้ ๖๓ อคั รสาวกบรรพชา ในกรุงราชคฤห์ ไดม้ ีกุลบุตร ๒ คน ซ่ึงเป็นสหายกนั คอื อุปตสิ สะ และโกลติ ะ ไดพ้ ากนั ออกบวชแสวงหา โมกขธรรมในสาํ นกั ของสญั ชยั ปริพาชก เมื่อเรียนจบความรู้ของอาจารยแ์ ลว้ กเ็ ห็นวา่ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงไดส้ ัญญา กนั วา่ ใครไดพ้ บอมตธรรมกอ่ นจงบอกแก่อกี ฝ่ ายหน่ึง วนั หน่ึงทา่ นอปุ ติสสะ ไดพ้ บพระอสั สชิ และไดฟ้ ังธรรมจาก ท่านจนไดด้ วงตาเห็นธรรม จึงไดก้ ลบั ไปบอกโกลติ ะ และไดพ้ าบริวารมาบวชเป็นสาวกของพระพทุ ธองค์ เมือ่ ท่าน ท้งั ๒ บวชแลว้ ภกิ ษุสหธรรมิกส่วนมาก เรียกท่านอุปตสิ สะวา่ สารีบตุ ร ดว้ ยเหตทุ ่ีทา่ นเป็นบุตรของนางสารี เรียก ท่านโกลิตะวา่ โมคคลั ลานะ ดว้ ยเหตุเป็นบตุ รนางโมคคลั ลี ภกิ ษุผเู้ ป็นบริวารบวชแลว้ ไม่นานไดฟ้ ังพระธรรม เทศนาแลว้ บาํ เพญ็ เพยี ร ก็ไดส้ าํ เร็จพระอรหนั ตก์ อ่ น ฝ่ายท่านโมคคลั ลานะ บวชได้ ๗ วนั ไปทาํ ความเพียรอยทู่ บ่ี า้ นกลั ลวาลมตุ ตคาม แควน้ มคธ ออ่ นใจนงั่ โงก งว่ งอยู่ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปทน่ี ้นั ทรงแสดงอุบายระงบั ความงว่ ง ๘ ประการ ทา่ นพระโมคคลั ลานะไดส้ ดบั อุบาย แกง้ ่วง และปฏิบตั ติ ามพระโอวาทท่ีทรงสัง่ สอนกไ็ ดส้ าํ เร็จพระอรหนั ตใ์ นวนั น้นั เอง ภายหลงั ไดร้ ับยกยอ่ งเป็นอคั ร สาวกฝ่ายซ้าย เลศิ ทางมีฤทธ์ิ ส่วนทา่ นพระสารีบตุ ร อปุ สมบทแลว้ ไดก้ ่ึงเดือนนง่ั ถวายงานพดั พระบรมศาสดาท่ีถ้าํ สุกรขาตา เชิง เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาอนั เป็นอุบายแห่งการละทิฏฐิ ๓ ประการแลว้ เวทนาปริคคหสูตร (การกาํ หนดเวทนา ๓ ประการ) ท่พี ระองคท์ รงแสดงแกป่ ริพาชก ช่ือ ทฆี นขะ (มีเล็บยาว) อคั คเิ วสสนโคตร กใ็ ช้ ปัญญาพจิ ารณาไปตามกระแสพระธรรมเทศา จิตกห็ ลดุ พน้ จากอาสวะ ไม่ยดึ มนั่ ดว้ ยอุปาทานไดส้ าํ เร็จเป็นพระ อรหนั ต์ ส่วนทฆี ขนขปริพาชกน้นั ไดเ้ พียงดวงตาเห็นธรรมหมดความสงสัยในพระพทุ ธศาสนาทลู สรรเสริญพระ ธรรมเทศนาแลว้ แสดงตนเป็นอบุ สกแลว้ หลกี ไป ส่วนพระสารีบุตรภายหลงั ไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นอคั รสาวกฝ่ายขวา เลิศ ทางปัญญา มัชฌมิ โพธกิ าล ทรงบำเพญ็ พทุ ธกจิ ในมคธรฐั ประทานอปุ สมบทแกพ่ ระมหากสั สปะ คราวหน่ึงพระพุทธองคเ์ สด็จจาริกโปรดประชาชนในมคธชนบท ประทบั ที่ใตร้ ่มไทร เรียกวา่ หุปตุ ตกนโิ ครธ ในระหวา่ งกรุงราชคฤหแ์ ละนาลนั ทาตอ่ กนั ว่า ในเวลาน้นั ปิ ปผลิ มาณพ กสั สปโคตร เบอ่ื หน่ายการครองเรือนถอื เพศบรรพชิตบวชอุทิศพระอรหันตใ์ นโลก เทีย่ วจาริกมาถงึ ท่นี ้นั พบพระพทุ ธองคเ์ กิดความเล่ือมใส นบั ถือพระองคเ์ ป็นศาสดาของตนแลว้ ทลู ขอบวช พระองคท์ รงประทาน อปุ สมบทให้ โดยการประทานโอวาท ๓ ขอ้ ว่า ๑. “กสั สปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปต้งั ความละอายและความยาํ เกรงไว้ในภิกษทุ ง้ั ทเี่ ป็นผู้เฒ่า ผ้ปู าน กลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า” ๒. “ธรรมใดกต็ าม ท่ีประกอบไปด้วยกุศล เราจักเงีย่ หูลงฟังธรรมน้ัน และพิจารณาเนือ้ ความแห่งธรรมนน้ั ”
หน้า ๖๔ พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้นั ตรี ๓. “เราจักได้สติท่เี ป็นไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ (กายคตาสติ)” คร้นั ทรงสัง่ สอนอยา่ งน้ี ก็ เสด็จหลีกไป การบวชแบบน้ีเรียกวา่ “อุปสมบทด้วยรับโอวาท ๓ ข้อ” ทา่ นพระปิ ปผลิ ไดฟ้ ังพุทธโอวาททีท่ รงสัง่ สอนแลว้ บาํ เพญ็ เพยี รไม่ชา้ นกั ในวนั ท่ีแปดแต่อุปสมบท ก็ได้ สาํ เร็จพระอรหนั ต์ เม่อื ทา่ นเขา้ มาสู่พระธรรมวินยั สหธรรมกิ ท้งั หลายมกั เรียกชื่อทา่ นว่า “พระมหากัสสปะ” แมท้ ่าน มหากจั จายนะ ก็ไดม้ าอุปสมบทโดยเอหิภกิ ขอุ ุปสัมปทาจากพระบรมศาสดา ณ กรุงราชคฤห์ มหาสนั นิบาต แห่งสาวกคร้ังหน่ึง เมือ่ พระบรมศาสดาเสด็จประทบั อยู่ ณ เวฬุวนั มหาวิหาร กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งมคธรัฐ ไดม้ กี ารประชุมพระสาวกคร้ังใหญค่ ราวหน่ึง เรียกวา่ “จาตุรงคสันนิบาต” แปลวา่ การ ประชุมมีองค์ ๔ คือ ๑. พระสาวก ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมพร้อมกนั โดยมิไดน้ ดั หมาย ๒. พระสาวกเหลา่ น้นั ท้งั หมด ลว้ นเป็นพระอรหนั ตขณี าสพท้งั สิ้น ๓. พระสาวกเหล่าน้นั ลว้ นบวชดว้ ยเอหิภิกขุอปุ สัมปทาท้งั สิ้น (คือมพี ระพุทธองคเ์ ป็นอุปัชฌาย)์ ๔. วนั น้นั เป็นวนั พระจนั ทร์เพญ็ เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ (เพญ็ เดือน ๓ ข้ึน ๑๕ คา่ํ ) เมอ่ื องค์ ๔ มาประชุม พร้อมกนั เช่นน้ี พระพุทธองคจ์ ึงทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” แด่พระสาวกเหลา่ น้นั ใจความใน โอวาทปาตโิ มกข์ ซ่ึงนบั วา่ เป็นหัวใจหรือหลกั พระพทุ ธศาสนา คอื ๑. ขันติ คอื ความอดทน เป็นตบะอยา่ งยอด ท่านผูร้ ู้กลา่ วนิพพานว่าเป็นยอด บรรพชิตผฆู้ ่า ผูเ้ บยี ดเบียน ผูอ้ ่ืน ไมช่ ื่อว่า เป็นสมณะ ๒. การไม่ทาํ บาป (ความชวั่ ) ท้งั ปวง การยงั กศุ ล (ความดี) ให้บริบูรณ์ และการทาํ จิตของตนใหผ้ ่องใส เป็นศาสนธรรมคาํ สอนของท่านผูร้ ู้ ๓. การไม่พดู ค่อนขอดกัน การไมป่ ระหัตประหารกนั ความสาํ รวมในปาตโิ มกข์ การรู้จกั ประมาณในการ บริโภคอาหาร การพอใจท่นี อนที่นงั่ อนั สงดั การประกอบจิตไวโ้ ดยยิง่ เป็นคาํ สอนของท่านผรู้ ู้ ทรงอนญุ าตเสนาสนะ ตอนตน้ พทุ ธกาล ภกิ ษุสงฆส์ าวก ไม่มีทอี่ ยเู่ ป็นหลกั แหลง่ เมือ่ พระเจา้ พมิ พสิ ารถวายเวฬวุ นั ใหเ้ ป็นท่ี ประทบั พร้อมดว้ ยภิกษสุ งฆ์ ตอ่ มาเศรษฐีเมืองราชคฤห์เล่ือมใสจึงถวายวหิ ารแดพ่ ระภิกษุสงฆ์ พระองคท์ รงอาศยั เหตนุ ้ีจึงทรงอนุญาตเสนาสนะ คือทนี่ อนทน่ี งั่ ๕ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑. วหิ าร คือกุฏมิ ีหลงั คาและปี กท้งั สองขา้ งอยา่ งปกติ ๒. อฑั ฒโยคะ ไดแ้ ก่ โรงหรือร้านท่มี งุ ดา้ นเดียว เช่นโรงโขน โรงลิเก เป็นตน้ ๓. ปราสาท บา้ นหรือตกึ ปลูกซอ้ นกนั เป็นช้นั ๆ ต้งั แต่ ๒ ช้นั ข้นึ ไป ๔. หัมมิยะ ไดแ้ ก่ตึกหลงั คาตดั ใชห้ ลงั คาเป็นที่ตากอากาศได้ ๕. คูหาไดแ้ กถ่ ้าํ ทรงแสดงวธิ ที ำปพุ พเปตพลี
พุทธประวัติ ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี หนา้ ๖๕ พวกพราหมณม์ ีธรรมเนียมเซ่นและทาํ ทกั ษณิ าอทุ ิศบรุ พบิดรของเขาเรียกวา่ “ศราท” การเซ่นดว้ ยกอ้ นขา้ ว เรียกวา่ “สปิ ณฑะ” แปลว่า ผูร้ ่วมกอ้ นขา้ ว สมาโนทก แปลว่า ผรู้ ่วมน้าํ ส่วนพระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตให้ทาํ บญุ อทุ ศิ แกเ่ ปรตชนคอื ผตู้ ายทวั่ ไป โดยไม่จาํ กดั เพยี งบุรพบิดรเทา่ น้นั จะเป็นเพอ่ื นมิตรสหายหรือใครก็ได้ โดยการกระทาํ ท้งั ๒ อยา่ ง คือท้งั สปิ ณฑะและสมาโนทก โดยนาํ ไปบริจาคใน สงฆ์ แทนท่จี ะวางให้สัตวม์ ีกา เป็นตน้ กิน แลว้ กรวดน้าํ อทุ ศิ ส่วนกุศลไปให้แก่เปรตชนเหล่าน้นั ทกั ษิณาทอี่ ุทศิ มตกทาน แปลว่า การถวายทานอทุ ศิ ใหผ้ ตู้ ายบา้ ง ส่วนทกั ษณิ าที่อทุ ิศเฉพาะบรุ พบิดร เรียกวา่ เปรตชนมีความหมาย เป็น ๒ นยั คือ ๑. หมายถึงผทู้ ่ตี ายไปแลว้ ๒. หมายถงึ สัตวท์ ไี่ ปเกิดในปิ ตตวิ สิ ยั เปรตจะไดร้ ับผลทานเพราะลกั ษณะ ๓ ประการ คอื ๑. ทายกบริจาคทานแลว้ ตอ้ งอทุ ิศส่วนบุญไปให้ ๒. ปฏิคาหกผูร้ บั ทานเป็นทกั ขเิ ณยยะ คือ ผคู้ วรที่จะรบั ทาน ๓. เปรตชนน้นั ไดร้ บั ส่วนบุญแลว้ ตอ้ งอนุโมทนา ทายกผทู้ าํ ทกั ษณิ า แสดงออก ๓ ประการ คือ ๑. ไดแ้ สดงญาติธรรมใหป้ รากฏ ๒. ไดท้ าํ การบชู า คือยกยอ่ งเปรตชน ๓. ไดเ้ พิม่ กาํ ลงั ให้แกภ่ ิกษทุ ้งั หลาย เป็นอนั ไดบ้ ญุ มิใช่นอ้ ย ทรงมอบใหส้ งฆเ์ ปน็ ใหญ่ ทรงให้บวชราธพราหมณ์ โดยการให้พระสารีบุตรเป็นอปุ ัชฌาย์ และตรัสให้เลิกการอุปสมบทดว้ ยไตร สรณคมนูปสมั ปทา ทรงอนุญาตให้อุปสมบทดว้ ยวิธีประชุมสงฆ์ ต้งั ญตั ติ ๑ คร้ัง และสวดอนุสาวนา (สวด ประกาศ) ๓ คร้งั วิธีน้ี เรียกว่า “ญตั ติจตุตถกรรมวาจา” แมใ้ นสังฆกรรมอื่น ๆ กท็ รงมอบอาํ นาจให้แก่สงฆ์ ทรงสอนผอ่ นคดธี รรมคดโี ลก พระพุทธองคท์ รงเปล่ยี นแปลงการไหวท้ ิศท้งั ๖ ของสิงคาลมาณพมาใชใ้ นหลกั พระพุทธศาสนาว่า ๑. ทิศบูรพา อนั เป็นทศิ เบ้อื งหนา้ ไดแ้ ก่ มารดาบิดา ๒. ทิศทกั ษิณ อนั เป็นทศิ เบ้อื งขวา ไดแ้ ก่ ครูอาจารย์ ๓. ทิศปัจจิม อนั เป็นทิศเบ้อื งหลงั ไดแ้ ก่ บุตรภรรยา ๔. ทิศอดุ ร อนั เป็นทิศเบ้อื งซา้ ย ไดแ้ ก่ มติ รสหาย ๕. เหฏฐิมทิศ อนั เป็นทศิ เบ้อื งล่าง ไดแ้ ก่ ลูกจา้ ง คนใช้ ๖. อปุ ริมทิศ อนั เป็นทศิ เบ้อื งบน ไดแ้ ก่ สมณพราหมณ์ ผูท้ จ่ี ะไหวท้ ิศท้งั ๖ ควรเวน้ สิ่งต่อไปน้ี คอื
หนา้ ๖๖ พุทธประวัติ ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี ๑. กรรมกิเลส คือการงานอนั เศร้าหมอง ๔ อยา่ ง ๒. อคติ คอื ความลาํ เอยี ง ๔ อยา่ ง ๓. อบายมขุ คือทางหายนะ ๖ อยา่ ง เสด็จสกั กชนบท พระเจา้ สุทโธทนะ พทุ ธบดิ า ทรงทราบวา่ พระบรมศาสดา ทรงบรรลุพระสมั มาสมั โพธิญาณ แลว้ เสด็จ จาริกแสดงธรรมสั่งสอนบรรพชิตคฤหสั ถม์ าโดยลาํ ดบั เสดจ็ ประทบั อยู่ ณ กรุงราชคฤห์ มีพระราชประสงคจ์ ะทรง ไดเ้ ห็น จึงตรัสสง่ั กาฬทุ ายีอมาตยใ์ ห้ไปเชิญอาราธนาพระพทุ ธองค์ พระพทุ ธองคท์ รงใชเ้ วลาเสด็จอยู่ ๒ เดือน จึงเสดจ็ ถงึ กรุงกบิลพสั ดุแ์ ควน้ สกั กชนบท ประทบั อยทู่ ี่นิโครธาราม พร้อมดว้ ยภกิ ษบุ ริวาร ๒ หมืน่ องค์ ทรงทาํ ลายทิฏฐิมานะของพวกศากยะกษตั ริย์ จนเป็นเหตุมหศั จรรย์ ฝนโบกขร พรรษตกลงมาในสมาคมน้นั พวกภกิ ษสุ งสยั ทูลถาม จึงไดต้ รสั เวสสันดรชาดก และไดท้ รงตรัสกิจวตั รของสมณะ กบั ท้งั ทรงตรสั พระธรรมเทสนาโปรดพระเจา้ สุทโธทนะจนไดบ้ รรลุโสดาปัตติผล ในคร้งั หน่ึง เศรษฐีคฤหบดี ชาวเมอื งสาวตั ถี แควน้ โกศล ชื่อสุทตั ต์ ไดไ้ ปกรุงราชคฤหด์ ว้ ยภารกิจ บางอยา่ งไดท้ ราบขา่ ววา่ พระพุทธเจา้ ทรงเสด็จอยู่ ในเมืองน้ี จึงไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงธรรมอนุปุ พพีกถาและอริยสจั ๔ ใหฟ้ ัง ทา่ นเศรษฐีก็ไดบ้ รรลโุ สดาปัตตผิ ล แลว้ กราบทลู แสดงตนเป็นอุบาสก เป็นผมู้ ใี จบญุ มีศรัทธาถวายทานในพระพทุ ธศาสนาเป็นอยา่ งมาก และไดใ้ ห้ทานแก่คนยากไร้อนาถา ภายหลงั ไดเ้ นมติ ตกนามว่า “อนาถปิ ณฑิกะ” แปลวา่ กอ้ นขา้ วสาํ หรบั คนอนาถา. ปจั ฉมิ โพธกิ าล ทรงปลงอายสุ งั ขาร เมอ่ื พระองค์เสดจ็ พระพุทธดาํ เนินสั่งสอนเวไนยสัตว์ ในคามนิคมชนบทราชธานีต่างๆ มเี มืองราชคฤหเ์ ป็น ตน้ ประดิษฐานพุทธสาวกมณฑลให้เป็ นไปนับการกาํ หนดแต่ไดต้ รัสรู้ล่วงมาได้ ๔๔ พรรษา คร้ันพรรษาที่ ๔๕ เสด็จจาํ พรรษา ณ บา้ นเวฬุคาม เขตเมืองเวสาลี ภายในพรรษา กาลน้ันพระองคท์ รงพระประชวรชราพาธกลา้ เกิด ทุกขเวทนาใกลม้ รณชนม์พินาศ แต่พระองคท์ รงดาํ รงค์พระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกล้นั ทุกขเวทนาดว้ ยอธิวาสน ขนั ติ เห็นว่ายงั มิควรทีจ่ ะปรินิพพานจึงทรงขบั ไล่บาํ บดั อาพาธน้นั ใหส้ งบระงบั ไป ทรงสง่ั สอนภกิ ษุสงฆใ์ นเอกาย นมรรค คือ สตปิ ัฏฐานท้งั ๔ และปกิณณกเทศนาตามสมควร จนกาลลว่ งไปถึงมาฆปุณณมี แห่งฤดูเหมนั ต์ (ข้นึ ๑๕ คา่ํ เดือน ๓) เวลาเชา้ วนั น้นั พระองคท์ รงถือบาตร และจีวร เสด็จโคจรบิณฑบาต ณ เมืองเวสาลี คร้ันหลงั เวลาภตั ตาหารดาํ รสั สั่งให้พระอานนทถ์ ือเอาผา้ นิสีทนะ สาํ หรับรองนง่ั เสดจ็ ไปยงั ปาวาลเจดีย์ เพื่อสาํ ราญพระอิริยาบถในเวลากลางวนั พระพทุ ธองคท์ รงพระประสงคจ์ ะ ใหพ้ ระอานนทก์ ราบทลู อาราธนาใหด้ าํ รงคอ์ ยชู่ ว่ั อายกุ ปั หน่ึง หรือเกินกวา่ อายกุ ปั จึงไดต้ รัสโอภาสปริยายนิมติ อนั ชดั ถงึ ๓ คร้ัง แสดงอานุภาพแห่งอิทธิบาทภาวนา สามารถจะใหท้ ่านผเู้ จริญดาํ รงคอ์ ยไู่ ดอ้ ายกุ ปั หน่ึง หรือเกินกวา่
พทุ ธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี หนา้ ๖๗ อายกุ ปั แต่มารเขา้ ดลใจทา่ นพระอานนทจ์ ึงไมส่ ามารถรู้ทนั มิไดอ้ าราธนา พระองคจ์ ึงทรงขบั พระอานนทไ์ ปเสีย จากทีน่ น่ั คร้ันทา่ นพระอานนทห์ ลกี ไปไมช่ า้ มารไดเ้ ขา้ ไปเฝ้ายกเน้ือความแตป่ างหลงั เมือ่ เร่ิมแรกตรัสรู้และกราบ ทูลวา่ “บดั นี้ ปริสสมบตั ิและพรหมจรรย์กส็ มบรู ณ์ดังพุทธประสงค์ทกุ ประการแล้ว ขอพระผู้มพี ระภาคจงทรง ปรินิพพานเถิด บัดนเี้ ป็นกาลท่ีจะปรินิพพานแห่งพระผ้มู ีพระภาคแล้ว” พระองคจ์ ึงตรัสว่า “ดกู ่อนมารผ้มู บี าป เธอ จงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า แต่นีไ้ ปอีก ๓ เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน” ลาํ ดบั น้นั พระพุทธองคท์ รงมพี ระสตสิ ัมปชญั ญะ ปลงอายสุ งั ขาร ณ ปาวาลเจดียน์ ้นั ก็เกิดมหศั จรรย์ แผน่ ดินไหวใหญ่ และขนลุกชูชนั สยองเกลา้ น่าสะพึงกลวั ท้งั กลองทิพยก์ บ็ นั ลอื ลนั่ ในอากาศ เหตุเกิดแผน่ ดินไหว ๘ ประการท่านพระอานนทเ์ กิดพศิ วงความมหศั จรรยน์ ้นั จึงเขา้ ไปถวายบงั คมแลว้ ทูล ถาม พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงตรสั ว่า เหตทุ ่จี ะใหแ้ ผ่นดินไหวมี ๘ ประการ คอื ๑. ลมกาํ เริบ ๒. ท่านผมู้ ฤี ทธ์ิบนั ดาล ๓. พระโพธิสตั วจ์ ุตจิ ากดุสิตลงสู่พระครรภ์ ๔. พระโพธิสตั วป์ ระสูติ ๕. พระโพธิสัตวต์ รัสรู้อนุตรสัมมาสมั โพธิญาณ ๖. ตถาคตแสดงธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ๗. ตถาคตปลงอายสุ งั ขาร ๘. ตถาคตปรินิพพาน สถานท่ีทรงกระทาํ นิมิตโอภาส ๑๖ ตาํ บล ท่านพระอานนทไ์ ดท้ ราบว่า พระพุทธองคท์ รงปลงอายสุ งั ขาร จึงกราบขอทูลอาราธนาวา่ “ขอพระผ้มู ีพระภาคจงดาํ รงอย่กู ปั หนึ่งเถิด เพ่ืออนเุ คราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เกือ้ กูลและความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย” พระองคท์ รงตรัสหา้ มว่า “อย่าเลย อานนท์ ท่านอย่าได้อ้อนวอน ตถาคตเลยบัดนมี้ ิใช่กาลเพื่อจะวิงวอนเสียแล้ว” เมือ่ ตถาคตทาํ นิมิตโอภาส หากอานนทพ์ ึงวิงวอนไซร้ ตถาคตพงึ หา้ มเสีย ๒ คร้ัง คร้นั วาระท่ี ๓ ตถาคตจะรบั อาราธนา แตอ่ านนทม์ ไิ ดว้ ิงวอน เพราะเหตุน้นั จึงเป็นความผิดของ อานนทผ์ ูเ้ ดียว สถานท่ตี ถาคตทาํ นิมติ โอภาส ๑๖ ตาํ บล คอื เมอื งราชคฤห์ ๑๐ ตาํ บล ไดแ้ ก่ ๑. ภูเขาคิชฌกูฏ ๒. โคตมนิโครธ ๓.เหวทีท่ งิ้ โจร ๔ .ถ้าํ สัตตบรรณคหู า ๕.กาฬศลิ า เชิงภูเขาอิสิคิริบรรพต ๖.เงอ่ื มสปั ปิ โสณฑกิ า ณ สีตวนั ๗.ตโปทาราม ๘.เวฬุวนั ๙.ชีวกมั พวนั ๑๐.มทั ทกจุ ฉิมคิ ทายวนั และเมืองเวสาลี ๖ ตาํ บลไดแ้ ก่ ๑.อเุ ทนเจดีย์ ๒.โคตมกเจดีย์ ๓.สตั ตมั พเจดีย์ ๔.พหุปตุ ตเจดีย์
หนา้ ๖๘ พทุ ธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี ๕.สารันททเจดีย์ ๖. ปาวาลเจดีย์ ปจั ฉมิ บณิ ฑบาต เมอ่ื พระองคต์ รัสแก่พระอานนทแ์ ลว้ จึงเสดจ็ พุทธดาํ เนินไปยงั กฏู าคารศาลาป่ ามหาวนั ใหพ้ ระอานนท์ เรียกประชุมภกิ ษสุ งฆด์ ว้ ยอภิญญาเทสิตธรรม ธรรมทท่ี รงแสดงดว้ ยปัญญาอนั ยง่ิ ไดแ้ ก่ สตปิ ัฏฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อนิ ทรีย์ ๕ พละ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมอี งค์ ๘ เพื่อประโยชน์สุขเก้ือกูลแกเ่ ทพยดาและมนุษย์ ท้งั หลาย เพือ่ อนุเคราะห์สัตวโ์ ลกและทรงสัง่ สอนสงั เวคกถาและอปั ปมาทธรรม คร้นั รุ่งเชา้ ทรงนุ่งห่มแลว้ ถอื บาตรจีวร เสดจ็ เขา้ ไปบณิ ฑบาทยงั เมืองเวสาลี คร้ันปัจฉาภตั กลบั จาก บิณฑบาตแลว้ ทอดพระเนตรเมืองเวสาลเี ป็น “นาคาวโลก” คอื ทรงกลบั พระองค์ (กลบั หนั หลงั ) เหมอื นกบั ชา้ ง ทอดพระเนตร อนั เป็นกาการแห่งมหาบรุ ุษ ตรสั กะพระอานนทว์ า่ “ดกู ่อนอานนท์ตถาคตเห็นเมืองเวสาลคี ร้ังนีเ้ ป็น ครั้งสุดท้าย เรามาพร้อมกันไปบ้านภัณฑคุ ามกันเถิด” พร้อมดว้ ยภกิ ษุสงฆ์ ประทบั อยู่ ณ บา้ นภณั ฑุคามน้นั ตรัส เทศนาอริยธรรม ๔ ประการ คอื ศลี สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ ตอ่ แตน่ ้นั ก็เสดจ็ ไปยงั บา้ นหัตถีคาม อมั พคาม ชมั พุ คาม และโภคนคร ประทบั อยทู่ ่ีอานนั ทเจดีย์ ตรัสมหาปเทศ ๔ ฝ่ ายพระสูตรว่า “ถ้าจะมีผ้ใู ดมาอ้างว่า นเี้ ป็นธรรม เป็นวินยั เป็นสัตถศุ าสน์ เธออย่าพึงรีบเช่ือและอย่างถึงปฏิเสธก่อน พึงเรียนบทพยัญชนะให้แน่นอนแล้วพึงสืบสวน ในสูตร พึงเทียบในวินยั ถ้าสอบไม่ตรงกนั ในสูตร เทียบกนั ไม่ได้ในวินัย พึงเข้าใจว่าน้ันไม่ใช่คาํ ของพระผู้มีพระ ภาค เธอผู้นัน้ รับมาผิด จาํ มาเคลื่อนคลาด ถ้าสอบกนั ได้เทียบกันได้ น่ันเป็นคาํ ของพระผู้มีพระภาค” เป็นต้น เมอ่ื วนั คืนล่วงไปใกลก้ าํ หนดจะปรินิพพาน พระองคพ์ ร้อมดว้ ยภกิ ษสุ งฆ์ บริวารไดเ้ สดจ็ ไปยงั เมอื งปาวา นคร ประทบอยทู่ ่สี วนมะมว่ งของนายจนุ ทกมั มารบตุ ร นายจนุ ทกมั มารบุตร ทราบขา่ วจึงไปเฝ้า ไดฟ้ ังธรรมีกถา แลว้ เลือ่ มใส จึงไดก้ ราบทลู นิมนตเ์ พอื่ ฉันภตั ตาหารในวนั รุ่งข้ึน พร้อมท้งั ภิกษุสงฆบ์ ริวารแลว้ ลากลบั รุ่งข้ึนเวลาเชา้ อนั เป็นวนั วิสาขปุรณมี (ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๖) พระองคพ์ ร้อมดว้ ยภกิ ษุสงฆบ์ ริษทั เสดจ็ ไปถงึ บา้ นของนายจุนทะ ประทบั ณ พทุ ธอาสนแ์ ลว้ ตรัสเรียกหานายจุนทะแลว้ ว่า “ดูกร จนุ ทะ สูกรมทั ทวะ (เห็ดชนิด หน่ึง) ทเ่ี ธอได้จัดแจงไว้น้นั จงอังคาส(ถวาย) แต่ตถาคตเท่านนั้ ส่วนของเคีย้ วของฉันอันประณีต เธอจงอังคาสภิกษุ สงฆ์เถิด” นายจนุ ทะทาํ ตามพระพทุ ธประสงค์ เมื่อเสร็จภตั กิจแลว้ ตรัสให้นายจนุ ทะนาํ สูกรมทั ทวะไปฝังเสีย มใิ ห้ ผูใ้ ดบริโภค ทรงแสดงธรรมีกถาแลว้ เสดจ็ กลบั ทรงพระประชวร เม่ือพระพุทธองคท์ รงเสวยภตั ตาหารของนายจุนทะแลว้ ก็เกิดอาพาธอยา่ งแรงกลา้ ทรงพระประชวรลง พระโลหิต (อาเจียนเป็นเลอื ด) ใกลแ้ ต่มรณทุกข์ ทรงมพี ระสตสิ ัมปชญั ญะทรงอดกล้นั ดว้ ยอธิวาสนขนั ติ จึงตรัสแก่ พระอานนทว์ า่ “อานนท์ เรามาพร้อมกนั เถิด เราจักไปเมืองกสุ ินารา” เม่ือเสด็จมากลางทางทรงเหน็ดเหนื่อย ทรง แวะเขา้ ประทบั ร่มไมแ้ ห่งหน่ึงตรัสให้พระอานนทป์ ผู า้ สังฆาฏพิ บั เป็น ๔ ช้นั แลว้ ประทบั นง่ั ตรสั ใหน้ าํ น้าํ มาใหด้ ่ืม ท่านอานนทน์ าํ บาตรไป น้าํ ทข่ี นุ่ เพราะเกวียน ๕๐๐ เลม่ ก็กลบั ใส พระอานนทต์ กั น้าํ นาํ มาถวายแลว้ กราบทลู ถงึ ความมหัศจรรย์
พทุ ธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้ันตรี หนา้ ๖๙ ขณะน้นั บตุ รแห่งมลั ลกษตั ริยช์ ื่อปุกกุสะ เคยเป็นศษิ ยแ์ ห่งสาํ นกั อาฬารดาบส กาลามโคตรร่วมกนั เดินผา่ น มาเห็นเขา้ จาํ ได้ จึงเขา้ ไปเฝ้า ไดฟ้ ังสนั ตวิ ิหารธรรม เกิดเล่อื มใส ไดถ้ วายผา้ สิงควิ รรณ ๑ คู่ แลว้ หลีกไป เม่อื พระองคท์ รงนุ่งห่ม ปรากฏว่าผวิ พรรณงามย่งิ นักเป็นทน่ี ่ามหัศจรรย์ พระอานนทก์ ราบทูลสรรเสริญ พระองคต์ รสั วา่ “ผิวกายของตถาคตจะผุดผ่องสวยงามย◌ิ◌่ งใน ๒ กาล คือ ในราตรีท่จี ะได้ตรัสรู้ และในราตรีที่จะปรินิพพาน ดกู ่อนอานนท์ ในยามสุดท้ายแห่งราตรีวนั นี้ ตถาคตจักปรินิพพาน ณ ระหว่างไม้รังท้ังคู่ท่สี าลวโนทยานเมืองกุสิ นารา อานนท์ เรามาไปยังแม่นาํ้ กกุธานทีกนั เถิด” บณิ ฑบาต มผี ลมาก ๒ คราว คือ ๑. บณิ ฑบาตทพ่ี ระตถาคตเสวยแลว้ ตรัสรู้ ๒. บณิ ฑบาตท่พี ระตถาคตเสวยแลว้ ปรินิพพานมีผลเสมอกนั มีวิบากเสมอกนั มผี ลมาก มอี านิสงส์มากวา่ บณิ ฑบาตท้งั ลายอ่ืน ๆ กรรมทใ่ี ห้อายุ วรรณะ สุข ยศ สวรรค์ และความเป็นอธิบดี ต่อแตน่ ้นั เสดจ็ ขา้ มแมน่ ้าํ หิรญั ญวดีถึงสาลวโนทยานเมอ่ื งกสุ ินารา ตรสั ใหพ้ ระอานนทต์ ้งั เตียงหันศรี ษะไป ทางทิศอุดร ระว่างตน้ ไมร้ งั ท้งั คู่ ทรงสาํ เร็จสีหไสยา มีพระสตสิ ัมปชญั ญะ แต่มิไดม้ มี นสิการทจ่ี ะลกุ ข้นึ เพราะเป็น การบรรทมคร้ังสุดทา้ ย เรียกวา่ อนุฏฐานไสยา สงั เวชนยี สถาน ๔ ตำบล สังเวชนียสถาน คอื สถานทพ่ี ุทธบริษทั ควรจะเห็น ควรจะดู และควรให้เกิดความสังเวชแห่งกุลบตุ รผูม้ ี ศรทั ธา ๑. สถานทพี่ ระตถาคตเจา้ ประสูติ (ลุมพนิ ีวนั ) ๒. สถานทีพ่ ระตถาคตเจา้ ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (อรุ ุเวลาเสนานิคม) ๓. สถานทพ่ี ระตถาคตเจา้ แสดงพระธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร (อิสิปตนมฤคทายวนั ) ๔. สถานท่ีพระตถาคตเจา้ ปรินิพพานแลว้ ดว้ ยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (สาลวโนทยาน) ถปู ารหบคุ คล คอื บคุ คลทค่ี วรแกก่ ารประดิษฐานไวใ้ นสถปู ๔ จาํ พวก คอื ๑. พระอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา้ ๒. พระปัจเจกพุทธเจา้ ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจา้ จกั รพรรด์ิ โปรดสุภทั ทปริพาชก มีปริพาชกคนหน่ึงช่ือว่าสุภทั ทะไดข้ อเขา้ เฝา้ พระอานนทท์ ดั ทานไวถ้ งึ ๓ คร้งั พระองคท์ รงไดส้ ดบั จึง ตรสั ให้เขา้ เฝา้ สุภทั ทปริพาชกทูลถามถงึ เร่ืองครูท้งั ๖ คอื ปรู ณกสั สป มกั ขลิโคศาล อชิตเกสกมั พล ปกุ ุทธกจั จาย นะ สัญชยั เวลฏั ฐบุตร นิครนถนาฏบตุ ร วา่ ตรัสรู้ดว้ ยปัญญาจริงหรือไม่ พระองคต์ รสั ตอบว่า มรรคมีองค์ ๘ มอี ยู่ ใน ธรรมวนิ ยั ใด พระอริยบคุ คลยอ่ มมใี นธรรมวนิ ยั น้นั แตม่ รรคมอี งค์ ๘ มีอยใู่ นธรรมวนิ ยั น้ีเท่าน้นั หากวา่ ชน ท้งั หลายยงั ปฏบิ ตั ดิ ีปฏบิ ตั ิชอบอยไู่ ซร้ (ปฏิบตั ิตามอริยมรรค ๘ ) โลกจะไม่พึงวา่ งจากพระอรหนั ต์ สุภทั ทะเกิด
หน้า ๗๐ พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาชนั้ ตรี เลือ่ มใสทลู ขอบวช เม่ือบวชแลว้ ปลกี ตนออกจากหมคู่ ณะบาํ เพญ็ เพยี รไม่ชา้ ก็สาํ เร็จพระอรหันต์ กอ่ นท่ี พระพทุ ธเจา้ จะปรินิพพาน นบั เป็นพระอรหนั ตสาวกองคส์ ุดทา้ ย ประทานพระโอวาท พระพทุ ธองคต์ รสั ประทานโอวาทแกภ่ กิ ษบุ ริษทั วา่ เธอท้งั หลายอยา่ มีความดาํ ริว่าปาพจน์ คือ ศาสนธรรม มพี ระศาสดาลว่ งแลว้ พระศาสดาแห่งเราท้งั หลายไม่มี เธอท้งั หลายไมถ่ งึ เห็นเช่นน้นั ธรรมกด็ ี วินยั ก็ดี อนั ใดอนั เรา ไดแ้ สดงแลว้ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ แกเ่ ธอท้งั หลาย ธรรมและวินยั น้นั จกั เป็นศาสดาแห่งเธอท้งั หลาย โดยกาลลว่ งไป แลว้ แห่งเราต่อแต่น◌ั◌้นทรงสัง่ สอนใหภ้ ิกษรุ ้องเรียกกนั และกนั โดยอาหารอนั สมควรว่า ภิกษเุ ถระผแู้ ก่พรรษา พงึ เรียกภิกษุทอี่ อ่ นกว่าตนโดยชื่อ หรือ โคตร หรือโดยคาํ วา่ “อาวโุ ส” ส่วนภิกษุใหมท่ อี่ ่อนพรรษา พงึ เรียกภกิ ษผุ เู้ ถระ มพี รรษาแก่กว่าตนว่า “ภนั เต” หรือ “อายสั มา” ปจั ฉมิ โอวาท ทรงตรสั เตอื นภิกษเุ ป็นคร้งั สุดทา้ ยว่า “บัดนี้ ตถาคตขอเตือนเธอท้งั หลายให้รู้ว่าสังขารท้ังหลายมคี วามฉิบ หายไปเป็นธรรมดา เธอทงั้ หลายจงยังกิจทั้งปวง อนั เป็นประโยชน์ตนและผ้อู ่ืนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท เถิด” พระดาํ รสั น้ีเป็นปัจฉิมโอวาท คอื คาํ สั่งสอนคร้ังสุดทา้ ย ปรนิ ิพพาน ต่อแต่น้นั พระองคม์ ไิ ดต้ รัสอะไรเลย ทรงทาํ ปรินิพพานปริกรรมดว้ ยอนุปุพพวิหารสมาบตั ทิ ้งั ๙ คือ ทรง เขา้ รูปสมาบตั ิท้งั ๔ (รูปฌาน) ตามลาํ ดบั ออกจากรูปฌานท่ี ๔ แลว้ เขา้ อรูปสมาบตั ิท้งั ๔ (อรูปฌาน) ออกจาอรูป ฌานท่ี ๔ แลว้ เขา้ สัญญาเวทยิตนิโรธ ดบั จิตสงั ขาร คอื สัญญาและเวทนา คร้นั แลว้ ทรงออกจากสัญญาเวทยติ นิโรธ เขา้ สู่อรูปฌานที่ ๔ ถอยหลงั ตามลาํ ดบั กลบั มาจนกระทงั่ ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแลว้ เขา้ สู่ ทตุ ิยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานโดยลาํ ดบั พิจารณาองคแ์ ห่งจตตุ ถฌานน้นั แลว้ เสดจ็ ออกจากฌานน้นั ยงั มทิ นั เขา้ สู่อรูปสมาบตั ิ ก็ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน ณ ยามสุดทา้ ยแห่งราตรีวนั องั คารข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศก ๑ ปี ในขณะน้นั ก็ บงั เกิดแผน่ ดินไหวใหญ่สั่นสะเทือน โลมชาตชิ ูชันสยดสยอง กลองทิพยก์ ็บนั ลอื สนนั่ สาํ เนียงในอากาศ
พุทธประวัติ ธรรมศึกษาช้ันตรี หน้า ๗๑ อปรกาล ถวายพระเพลงิ เมือ่ พระพทุ ธองคป์ รินิพพานได้ ๗ วนั เจา้ มลั ลกษตั ริย์ จึงไดเ้ ชิญพระพทุ ธสรีระไปประดิษฐานไว้ ณ มกฏุ พนั ธนเจดีย์ เพอ่ื ถวายพระเพลิง แตไ่ ดถ้ วายพระเพลิงในวนั ท่ี ๘ เพราะรอคอยพระมหากสั สปะอยู่ ฝ่ายกษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ ๗ พระนคร คอื พระเจา้ อชาตศตั รูเมอื งราชคฤห◌์, เจา้ ลิจฉวีเมอื งเวสาล,ี เจา้ ศากยะกรุงกบิลพสั ด,ุ์ ถูลีกษตั ริยใ์ นอลั ลกปั ปนคร, โกลยิ กษตั ริยใ์ นรามคาม, มหาพราหมณ์เจา้ เมืองเวฏฐทปี กะ และมลั ลกษตั ริยใ์ นเมืองปาวา ท้งั ๗ พระนครน้ีเม่ือไดท้ ราบข่าวการปรินิพพานของพระพทุ ธจา้ ตา่ งก็ส่งทตู มาถึงมลั ลกษตั ริยเ์ พ่ือขอส่วนแบง่ พระสารีริกธาตเุ อาไปทาํ การสักการะบูชา คร้งั แรกมลั ลกษตั ริยไ์ มย่ อมแบง่ ให้ จน จวนจะเกิดสงครามแยง่ ชิงพระบรมสารีริกธาตุข้ึน โทณพราหมณ์ จึงพูดกบั ทูตเหลา่ น◌ั◌้นวา่ พระพุทธองคเ์ ป็นผูม้ ี ขนั ตธิ รรมแนะนาํ ในทางสงบ พวกเราจะมาทาํ สงครามกนั แยง่ ชิงพระสารีริกธาตุคงจะไมส่ มควร แลว้ จึงพูดใหท้ กุ คนสามคั คีกนั จากน้นั กไ็ ดแ้ บ่งพระสารีริกธาตอุ อกเป็น ๘ ส่วนเท่า ๆ กนั ใหท้ ูตเหล่าน้นั นาํ ไปสักการะบชู าในเมอื ง ของตน ฝ่ายโมริยกษตั ริยใ์ นเมอื งปิ ปผลิวนั ไดท้ ราบขา่ ว กส็ ่งทตู มาขอส่วนแบง่ บา้ ง แต่พระบรมสารีริกธาตุ หมดแลว้ จึงไดพ้ ระองั คารไป เจดยี ์ ๔ ประเภท สมั พุทธเจดีย์ คอื เจดียอ์ นั เนื่องดว้ ยองคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท่านกล่าวไว้ ๔ ประเภท คอื ๑. ธาตุเจดีย์ เป็นพระสถปู ท่บี รรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๒. บริโภคเจดีย์ เป็นพระสถูปที่บรรจเุ คร่ืองบริขารของพทุ ธองค์ ๓. อทุ เทสิกเจดีย์ เป็นพระสถปู ประดิษฐ์พระพุทธรูป หรือพระพทุ ธปฏิมา ๔. ธรรมเจดีย์ เป็นพระสถูปทบี่ รรจคุ มั ภีร์ใบลาน หรือหนงั สือคมั ภรี ์ทจ่ี ารึกพุทธวจนะ สงั คายนา สังคายนา หรือสงั คีติ หรือการร้อยกรอง หรือจดั แจงพระธรรมวนิ ยั ให้เป็นหมวดหมวู่ า่ น่ีเป็นธรรม นี่เป็น วินยั จดั เป็น ๓ หมวด เรียกวา่ พระไตรปิ ฎก คือ ๑. ทเี่ ป็นกฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั จดั เป็น วินยั ปิ ฎก ๒. ทเ่ี ป็นพระธรรมคาํ สอน อนั เป็นบุคลาธิษฐาน ยกบคุ คลเป็นอทุ าหรณ์ จดั เป็นสุตตนั ตปิ ฎก ๓. ทเ่ี ป็นธรรมลว้ น ๆ ไมเ่ กี่ยวกบั บุคคลเป็นธรรมทีส่ ุขุมลกึ ซ่ึง จดั เป็น อภิธรรมปิ ฎก การทาํ สงั คายนาน้นั ที่พอจะนบั ไดม้ ี ๕ คร้ัง ทาํ ในชมพูทวปี ๓ คร้งั ในลงั กาทวปี ๒ คร้ัง คอื
หนา้ ๗๒ พุทธประวัติ ธรรมศกึ ษาช้ันตรี ๑. ปฐมสังคายนา คร้งั ที่ ๑ กระทาํ ที่หนา้ ถ้าํ สตั ตบรรณคูหา เชิงภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ พระเจา้ อชาตศตั รูเป็นองคอ์ ุปถมั ภก ภายหลงั พทุ ธปรินิพพาน ๓ เดือน พระมหากสั สปะ เป็นประธาน พระอุบาลเี ถระ วิสัชนาพระวนิ ยั พระอานนท์ วสิ ชั นาพระสูตร และพระอภธิ รรม รวมกบั พระอรหันตขีณาสพจาํ นวน ๕๐๐ องค์ ปรารภเร่ืองพระสุภทั ทะกลา่ วจว้ งจาบศาสนา กระทาํ อยู่ ๗ เดือนจึงสาํ เร็จ ๒. ทุตยิ สังคายนา คร้ังท่ี ๒ กระทาํ ทวี่ าลกิ าราม เมอ่ื งเวสาลี พระเจา้ กาฬาโศกราชเป็นองคอ์ ปุ ถมั ภก เมอ่ื พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระอรหันตจ์ าํ นวน ๗๐๐ องค์ มีพระยสกากณั ฑกบตุ รเถระเป็นประธานและมพี ระสพั พกามเี ถระ และพระเรวตั ตเถระ เป็นตน้ ชาํ ระเรื่องวตั ถุ ๑๐ ประการ ทพี่ วกภิกษชุ าววชั ชีบตุ ร ชาวเมอื งเวสาลีนาํ มาแสดงวา่ ไม่ ผิดธรรมวนิ ัย กระทาํ อยู่ ๘ เดือน จึงสาํ เร็จ ๓. ตติยสังคายนา คร้งั ที่ ๓ กระทาํ ท่อี โศการาม เม่อื งปาฏลบี ตุ ร พระเจา้ อโศกมหาราชเป็นองคอ์ ปุ ถมั ภก เม่อื พ.ศ. ๒๑๘ โดยพระอรหนั ต์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ องค์ มพี ระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ ส เถระเป็นประธาน เน่ืองดว้ ยเดียรถยี ์ ปลอมบวชในพุทธศาสนา กระทาํ อยู่ ๙ เดือน จึงสาํ เร็จ ๔. จตตุ ถสังคายนา คร้งั ที่ ๔ กระทาํ ทถ่ี ปู าราม เมอื งอนุราชบรุ ี ลงั กาทวีป พระเจา้ เทวานมั ปิ ยติสสะ เป็น องคอ์ ปุ ถมั ภก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระมหินทเถระ และพระอริฏฐเถระ เป็นประธานชกั ชวนภิกษชุ าวสีหล ๖๘,๐๐๐ องค์ เพ่อื ประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาให้มนั่ คงในสงั กาทวีป กระทาํ อยู่ ๑๐ เดือน จึงสาํ เร็จ ๕. ปัญจมสังคายนา คร้งั ท่ี ๕ กระทาํ ท่ีอาโลกเลณสถาน ในมลยั ชนบท ลงั กาทวีป พระเจา้ วฏั ฏคามนิ ีอภยั เป็นองคอ์ ุปถมั ภก เมอื่ พ.ศ. ๔๕๐ โดยภิกษชุ าวสีหลผพู้ ระอรหนั ต์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ องค์ พระติสสมหาเถระ และ พระพทุ ธทตั ตเถระเป็นตน้ เห็นความเสื่อมถอยปัญญาแห่งกุลบุตรจึงไดป้ ระชุมกนั มาจารึกพระธรรมวินยั เป็น อกั ษรลงไวใ้ นใบลาน ทาํ อยู่ ๑ ปี จึงสาํ เร็จ ฯ เบด็ เตลด็ สหชาติ ๗ สหชาติ คอื ผูเ้ กิดร่วมวนั เวลาเดียวกนั กบั พระพุทธเจา้ มี ๗ ประการ คือ ๑. พระนางพิมพา ๒. พระอานนท์ ๓. อาํ มาตยช์ ่ือฉนั นะ ๔. กาฬุทายอี าํ มาตย์ ๕. กณั ฐกอศั วราช มา้ พระท่นี งั่ ๖. ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ๗. ขมุ ทรัพยท์ ้งั ๔ (สังขนิธิ. เอลนิธิ, อุบลนิธิ, บณุ ฑริกนิธิ)
พุทธประวตั ิ ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๗๓ แผนผงั แสดงทศิ ตา่ ง ๆ ในสมัยพทุ ธกาล อุดร (เหนือ) พายพั อิสาน (ตะวนั ตกเฉียงเหนือ) (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ปัศจิม บูรพา (ตะวนั ตก) (ตะวนั ออก) หรดี อาคเนย์ (ตะวนั ตกเฉียงใต)้ ทกั ษณิ (ตะวนั ออกเฉียงใต)้ (ใต)้ ๑. ขนานพระนาม เหตกุ ารณ์ในระหว่างพระชนมายุ เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๕ วนั ๒. พระมารดาสวรรคต เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๗ วนั ๓. ทรงศึกษาศิลปวิทยา เมอ่ื พระชนมายไุ ด้ ๗ ปี ๔. ทรงอภิเษกสมรส เมือ่ พระชนมายไุ ด้ ๑๖ ปี ๕. เสดจ็ ทรงผนวชและมพี ระโอรส เม่ือพระชนมายไุ ด้ ๒๙ ปี ๖. ตรัสรู้ เมอื่ พระชนมายไุ ด้ ๓๕ ปี ๗. เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน เมือ่ พระชนมายไุ ด้ ๘๐ ปี ๑. สวนลมุ พนิ ีวนั สถานทสี่ ําคญั ๒. ตน้ โพธ์ิริมฝั่งแม่น้าํ เนรญั ชรา ๓. ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เป็นสถานทปี่ ระสูติ ๔. ปาวาลเจดีย์ เป็นสถานทต่ี รสั รู้ ๕. สาลวโนทยาน เป็นสถานทแี่ สดงปฐมเทศนา ๖. มกฏุ พนั ธนเจดีย์ เป็นสถานทท่ี รงปลงอายสุ ังขาร เป็นสถานทปี่ รินิพพาน เป็นสถานท่ถี วายพระเพลิง
หนา้ ๗๔ พุทธประวตั ิ ธรรมศกึ ษาช้นั ตรี ใครมศี กั ดเิ์ ปน็ อะไรกบั พระพทุ ธเจา้ พระนาม ทรงเป็ น ราชาศัพท์ พระไปยกา พระเจา้ ชยั เสน ทวด พระอยั กา พระอยั ยิกา พระเจา้ สีหนุ ป่ ู พระอยั กา พระอยั ยกิ า พระนางกญั จนา ยา่ พระชนก พระชนนี พระเจา้ อญั ชนะ ตา พระมาตจุ ฉา พระปิ ตลุ า พระนางยโสธรา ยาย พระปิ ตจุ ฉา พระเจา้ สุทโธทนะ พ่อ พระเชษฐา พระนางสิริมหามายา แม่ พระเชฏฐภคนิ ี พระนางปชาบดี นา้ พระอนุชา พระกนิฏฐภคินี สุกโกทนะ, อมโิ ตทนะ, ฆนิโตทนะ, โธโตทนะ อาชาย พระชายา ปมิตา, อมิตา อาหญงิ พระโอรส - พชี่ าย - พ่ีสาว นนั ทะ นอ้ งชาย รูปนนั ทา นอ้ งสาว พระนางยโสธรา(พิมพา) เมีย ราหุล ลูก
ศาสนพิธี ธรรมศึกษาช้นั ตรี หนา้ ๗๕ วชิ าศาสนพธิ ี ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี ศาสนพธิ ี คอื พิธีกรรมอนั เก่ยี วกบั ทางศาสนา ซง่ึ ทกุ ศาสนากม็ ี เหตทุ ่ีใหเ้ กิดพทุ ธศาสนา กเ็ นอ่ื งจากพระ พทุ ธองคไ์ ดท้ รงตรสั สอนสาวก และพทุ ธบรษิ ัท ไม่ใหท้ าํ ความช่วั ใหท้ าํ แตค่ วามดี และใหช้ าํ ระจิตใจของตนให้ ผอ่ งใส ซึ่งเรียกวา่ “โอวาทปาฏโิ มกข”์ เมอ่ื พทุ ธบรษิ ัทพยายามปฏิบตั ิตามคาํ สอนนนั้ และสรา้ งกศุ ลใหเ้ กดิ ขนึ้ แก่ ตน จึงเป็นการพยายามทาํ ความดี ซ่งึ เรยี กว่าทาํ บญุ การทาํ บญุ นีพ้ ระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงไว้ ๓ ประการ คอื ทาน ศลี ภาวนา ในการตอ่ มาพทุ ธบริษทั ไดน้ ยิ มทาํ บญุ กนั มากขนึ้ ไม่วา่ จะปรารภเหตใุ ด ๆ กต็ าม กร็ วมอยใู่ นหลกั ๓ อย่างนที้ งั้ นน้ั พธิ ีกรรมใดเป็นท่ี นิยมปฏบิ ตั ิกนั สบื ๆ มาจนกลายมาเป็นประเพณี พธิ ีกรรมนน้ั ก็กลายมาเป็นศา สนพิธีขนึ้ ฉะนนั้ ศาสนพิธีจึงมมี ากมาย เม่ือแยกออกไปแลว้ ก็สงเคราะหไ์ ด้ ๔ หมวด คอื ๑. หมวดกศุ ลพธิ ี ว่าดว้ ยการบาํ เพญ็ กศุ ล ๒. หมวดบญุ พธิ ี ว่าดว้ ยพธิ ีทาํ บญุ ๓. หมวดทานพิธี ว่าดว้ ยพิธีถวายทาน ๔. หมวดปกณิ ณะ ว่าดว้ ยพธิ ีเบ็ดเตลด็ หมวดที� ๑ กุ ศลพิ ธี กศุ ลพิธี หมายถึง พธิ ีทาํ ความดใี หแ้ ก่ตนตามหลกั การทางพทุ ธศาสนา ซ่งึ มี ๓ อย่างดว้ ยกนั คือ แสดง ตนเป็นพทุ ธมามกะ เวยี นเทยี นและรกั ษาศลี พธิ ีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะนน้ั คือเม่ือบุคคลผเู้ ลือ่ มใสในพระรตั นตรยั แลว้ จะยอมรบั นบั ถือเป็นท่พี ่งึ ต่อไป จึงไดม้ าแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะตอ่ หนา้ พระสงฆ์ โดยการนาํ เอาดอกไมธ้ ปู เทียนมาสกั การะพระอาจารย์ ผเู้ ป็นพยานในการแสดงตน เสรจ็ แลว้ กลา่ วคาํ นมสั การพระรตั นตรยั (นะโม...) ๓ จบ แลว้ กลา่ วคาํ ปฏญิ าณตน ต่อไปว่า เอสาหงั ภนั เต, สจุ ิระปรนิ พิ พตุ มั ปิ, ตงั ภะคะวนั ตงั สะระณัง คจั ฉามิ, ธัมมญั จะ สงั ฆญั จะ พทุ ธะมามะโกติ มงั สงั โฆ ธาเรต.ุ เมือ่ ผปู้ ฏญิ าณกล่าวคาํ ปฏิญาณจบแลว้ พระสงฆท์ งั้ หมดประนมมือรบั “สาธ”ุ พรอ้ มกนั ตอ่ จากนนั้ ให้ ผปู้ ฏิญาณน่งั ราบแบพบั เพยี บกบั พืน้ ประนมมอื ฟังโอวาทตอ่ ไป เมอื่ ทา่ นใหโ้ อวาทจบลง ผปู้ ฏญิ าณพงึ รบั ว่า “สาธ”ุ แลว้ คกุ เข่าประนมมอื กลา่ วคาํ อาราธนาศีล และสมาทานศลี ตามคาํ ท่ปี ระสงคผ์ เู้ ป็นประธานให้ ครนั้
หนา้ ๗๖ ศาสนพธิ ี ธรรมศึกษาช้ันตรี พระสงฆใ์ หศ้ ีลและบอกอานสิ งสศ์ ีลจบลงแลว้ ผปู้ ฏิญาณกราบ ๓ ครงั้ แลว้ ถวายไทยธรรมเสรจ็ แลว้ เตรียม กรวดนาํ้ เมอ่ื พระสงฆผ์ เู้ ป็นประธานวา่ ยถา...ใหร้ ินนา้ํ ลงยงั ภาชนะทีเ่ ตรยี มไว้ พอพระสวดบทวา่ สพพฺ ีตโี ย ววิ ชชฺ นฺต.ุ .. ใหเ้ ทนาํ้ ลงใหห้ มด ประนมมอื รบั พรไปจนจบ แลว้ กราบพระรตั นตรยั ดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครง้ั เป็นอนั เสร็จพธิ ี. คำอาราธนาเบญจศลี อะหงั ภนั เต, วิสงุ วิสงุ รกั ขะนตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจาม.ิ ทตุ ิยมั ปิ, อะหงั ภนั เต, วสิ งุ วสิ งุ รกั ขะนตั ถายะ, ตสิ ะระเณะน สะหะ, ปัญจะ สลี านิ ยาจาม.ิ ตะตยิ มั ปิ, อะหงั ภนั เต, วิสงุ วสิ งุ รกั ขะนตั ถายะ, ตสิ ะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สลี านิ ยาจาม.ิ (ถา้ รบั หลายคน ใหเ้ ปลี่ยน อะหงั เป็น มะยงั , ยาจามิ เป็น ยาจามะ) คำสมาทานศลี เบญจศลี (พระอาจารยเ์ ป็นผบู้ อก ผปู้ ฏิบตั กิ ล่าวตาม) นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะรหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ พทุ ธงั สะระณัง คจั ฉามิ ธมั มงั สะระณัง คจั ฉามิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ยิ มั ปิ ธมั มงั สะระณัง คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉามิ ตติยมฺปี พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ตะตยิ มั ปิ ธมั มงั สะระณัง คจั ฉามิ ตะตยิ มั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ (พระอาจารยว์ า่ ตสิ รณคมนงั นิฏฐิตงั ผปู้ ฏญิ าณว่า “อามะ ภนั เต”พระอาจารยว์ ่าต่อไป ผปู้ ฏญิ าณวา่ ตาม) ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ มสุ าวาทา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ ฯ อมิ านิ ปัญจะ สกิ ขาปะทานิ สะมาทยิ าม.ิ
ศาสนพธิ ี ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๗๗ (พระอาจารยบ์ อกบทนจี้ บเดยี ว ผปู้ ฏญิ าณพงึ วา่ ซา้ํ ๓ จบ ) สดุ ทา้ ยพระอาจารยบ์ อกอานิสงสศ์ ีล ตอ่ ไปวา่ สีเลนะ สคุ ะตงิ ยนั ติ สีเลนะ โภคะสมั ปะทา สเี ลนะ นิพพตุ ิง ยนั ติ ตสั มา สีลงั วโิ สธะเย. พธิ รี กั ษาอโุ บสถ อโุ บสถ แปลว่า การเขา้ จาํ เป็นอบุ ายขดั เกลากเิ ลสอยา่ งหยาบใหเ้ บาบางลง เป็นทางแหง่ ความสงบ ระงบั อนั เป็นความสขุ อยา่ งสงู สดุ ในทางพระพทุ ธศาสนา การรกั ษาศีลอโุ บสถนน้ั ในวันอโุ บสถผจู้ ะรกั ษาพงึ ลกุ ขึน้ แตเ่ ชา้ ชาํ ระรา่ งกายใหบ้ ริสทุ ธิ์ เปลง่ วาจา อธิษฐานอโุ บสถดว้ ยตนเองกอ่ นหรือไปถงึ ทวี่ ดั กล่าวตอ่ หนา้ พระสงฆ์ วา่ อมิ งั อฏั ฐังคะสะมนั นาคะตงั พทุ ธ ปัญญตั ตงั อโุ ปสะถงั อมิ ญั จะ รตั ติง อิมญั จะ ทิวะสงั สมั มะเทวะ อะภิรกั ขิตงุ สะมาทิยามิ. ตอ่ จากนน้ั จงึ ประกาศองคอ์ โุ บสถต่อหนา้ พระสงฆท์ ี่วดั โดยประกาศองคอ์ โุ บสถขนึ้ ก่อนแลว้ จงึ กล่าวคาํ อาราธนาอโุ บสถศีล ตอ่ ไปว่า มะยงั ภนั เต ตสิ ะระเณนะ สะหะ อฏั ฐังคะสะมนั นาคะตงั อโุ บสะถงั ยาจามะ. (ว่า ๓ จบ) ตอ่ ไปพึง ประนมมอื ตงั้ ใจรบั สรณคมนแ์ ละศลี โดยเคารพ โดยกลา่ วตามคาํ ท่ีพระสงฆบ์ อกเป็นตอน ๆ ไปดงั นี้ นะโม...............(๓ จบ) พทุ ธงั สะระณัง คจั ฉามิ ธัมมงั สะระณงั คจั ฉามิ สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉามิ ทตุ ยิ มั ปิ .... ฯลฯ....... ตะติยมั ปิ สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉามิ เม่อื พระสงฆว์ า่ “ติสะระณะคะมะนงั นิฏฐิตงั ” พงึ รบั พรอ้ มกนั วา่ “อามะ ภนั เต” แลว้ ทา่ นจะใหศ้ ลี ตอ่ ไป คอยรบั พรอ้ มกนั ตามระยะท่ีท่านหยดุ ดงั นี้ ปาณาติปาตา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ อะทนิ นาทานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ อะพรหั ม จะรยิ า เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ มสุ าวาทา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ วิกาละโภชะนา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ นจั จะคตี ะวาทิตะวิสกู ะทสั สะนะมาลาคนั ธะวเิ ลปะนะธารณะมณั ฑะนะวิภสู ะนฏั ฐานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ อจุ จาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ
หน้า ๗๘ ศาสนพธิ ี ธรรมศึกษาชน้ั ตรี อมิ งั อฏั ฐังคะสะมนั นาคะตงั , พทุ ธะปัญยตั ตงั อโุ ปสะถงั อมิ ญั จะ รตั ตงิ อมิ ญั จะ ทิวะสงั , สมั มะเทวะ อะภิรกั ขิตงุ สะมาทิยาม.ิ หยดุ รบั เพียงเท่านี้ ต่อไปพระสงฆจ์ ะวา่ “อมิ านิ อฏั ฺฐะสกิ ขาปะทานิ อโุ บสะถะวะเสน มะนะสกิ ะริตวา, สาธุกงั อปั ปะมาเทนะ รกั ขิตพั พานิ ” พึงรบั พรอ้ มกนั ว่า “อามะ ภนั เต” และพระสงฆจ์ ะวา่ อานิสงสศ์ ีลต่อไปวา่ สเี ลนะ สคุ ะตงิ ยนั ติ สีเลนะ โภคะสมั ปะทา สีเลนะ นพิ พตุ ิง ยนั ติ ตสั มา สลี งั วโิ สธะเย. พอท่านว่าจบพึงกราบพรอ้ มกนั ๓ ครงั้ ตอ่ ไปพึงน่งั พบั เพียบกบั พืน้ ประนมมอื รอฟังธรรม ซงึ่ ทา่ นจะ แสดงเป็นลาํ ดบั ไป เมอื่ พระแสดงธรรมจบแลว้ ทกุ คนพึงใหส้ าธุการ และสวดประกาศตนพรอ้ มกนั พอจบแลว้ พงึ กราบอกี ๓ ครง้ั เป็นอนั เสร็จพธิ ี. พิธเี วยี นเทียนในวนั สาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา วนั สาํ คญั ในทาง พระพทุ ธศาสนาทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนนิยมประกอบพธิ ีกรรมมกี ารบูชาเป็นตน้ เพอ่ื ระลกึ คณุ พระรตั นตรยั เป็นพเิ ศษแตเ่ ดมิ นน้ั กาํ หนดไว้ ๓ วนั คอื วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมบี ชู า และวนั มาฆบชู าแตภ่ ายหลงั ได้ เพมิ่ วนั อาสาฬหบูชาเขา้ มาจงึ รวมเป็น ๔ วนั พิธีกรรมเก่ยี วกบั วนั สาํ คญั ทงั้ ๔ วนั นีม้ ีระเบยี บปฏิบตั เิ หมอื นกนั ทงั้ หมดตา่ งแตเ่ พยี งคาํ บชู ากอ่ นเวยี น เทยี นเท่านัน้ เม่ือถึงเวลาเวยี นเทยี นทางวดั จะตรี ะฆงั เป็นสญั ญาณใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั ไดท้ ราบโดยท่วั กนั ครนั้ ทกุ คน พรอ้ มเพยี งกนั แลว้ หวั หนา้ สงฆจ์ ดุ เทยี นและธูปทกุ คนก็จดุ ตามแลว้ หวั หนา้ สงฆจ์ ะนาํ วา่ คาํ นมสั การ ๓ จบ ( นะ โม .......) และคาํ บชู าเทยี นในวนั นน้ั พอเสรจ็ แลว้ หวั หนา้ สงฆก์ จ็ ะเดนิ นาํ หนา้ ประนมมือถอื ดอกไมธ้ ปู เทยี นดว้ ย อาการที่สงบไปทางขวาของสถานท่ีเวยี นเทียนนนั้ คอื เวียนไปใหม้ อื ขวาของตนหนั เขา้ หาสถานที่เวียนเทียนนนั้ พอครบ ๓ รอบแลว้ กน็ าํ ดอกไมธ้ ปู เทียนนน้ั ไปวางไวต้ ามท่ที างวดั ไดจ้ ดั ไวใ้ ห้ ต่อจากนนั้ จึงเขา้ ไปประชมุ กนั ณ พระอโุ บสถหรือสถานทีท่ ่ีทางวดั ไดจ้ ดั ไวโ้ ดยเรมิ่ ทาํ วตั รค่าํ และสวดมนตท์ งั้ บรรพชติ และคฤหสั ถเ์ หมอื นในวนั พระ ธรรมดา เสร็จแลว้ มีเทศนา ๑ กณั ฑ์ เพอ่ื แสดงเร่อื งราวเก่ียวกบั วนั นนั้ ๆกเ็ ป็นอนั เสรจ็ พิธี . หมวดที� ๒ บุ ญพิ ธี บญุ พธิ ีนนั้ ไดแ้ กพ่ ิธีทาํ บุญอนั เก่ียวกบั ประเพณีของคนไทยท่วั ไปท่ีนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาเป็นเร่ือง เก่ยี วกบั งานฉลองบา้ ง งานเพื่อเป็นศิริมงคลบา้ ง เรอ่ื งการตายบา้ ง เมอื่ สรุปมาแลว้ แยกออกไดเ้ ป็น ๒ อยา่ ง คือ ๑. ทาํ บญุ งานมงคล ๒. ทาํ บุญงานอวมงคล การทาํ บุญ นมี้ ีระเบยี บท่วั ไปที่จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ แบง่ ออกเป็น ๒ ฝ่าย คอื ฝ่ายเจา้ ภาพ และฝ่ายสงฆ์
ศาสนพิธี ธรรมศึกษาช้นั ตรี หน้า ๗๙ ฝ่ายเจา้ ภาพตอ้ งจดั เตรยี มสถานทีแ่ ละสิง่ ของต่าง ๆ สาํ หรบั พธิ ีและการปฏบิ ตั ิในพิธีนน้ั ๆ เชน่ การ นิมนตพ์ ระสงฆห์ รอื แขกที่มาในงาน ตลอดถึงการเตรยี มอาหารไวส้ าํ หรบั ถวายพระและเลยี้ งดผู คู้ นทม่ี ารว่ มใน งานเป็นตน้ ฝ่ายสงฆ์ นนั้ ตอ้ งเตรียมตวั เก่ียวกบั การประกอบพธิ ีกรรมตามท่ีไดร้ บั นิมนตไ์ วแ้ ละศกึ ษารายละเอียด เก่ยี วกบั พธิ ีเจรญิ พระพทุ ธมนต์ พธิ ีสวดพระพทุ ธมนต์ พธิ ีสวดอภธิ รรม-สวดมาติกา-สวดแจง-สวดถวายพรพระ เป็นตน้ . หมวดท�ี ๓ ทานพิ ธี พธิ ีถวายทานตา่ ง ๆ เรยี กว่า ทานพธิ ี ซง่ึ มีทงั้ ทานพธิ ีสามญั ที่จาํ เป็นและทน่ี ยิ มบาํ เพญ็ กนั อยโู่ ดยท่วั ไป และรายละเอียดของทานพธิ ีต่าง ๆ ซงึ่ มีผลประวตั ิและวธิ ีการถวาย ซึง่ จะตอ้ งทราบทงั้ ฝ่ายผถู้ วายและทงั้ ฝ่ายผรู้ บั คอื พระภกิ ษุสงฆอ์ กี ดว้ ย การถวายทานคอื การถวายวตั ถทุ ี่ควรใหเ้ ป็นทานเรยี กวตั ถทุ ี่ควรใหเ้ ป็นทาน นวี้ ่า ทานวตั ถุ เชน่ ถวาย ภตั ตาหาร ถวายผา้ เคร่ืองน่งุ ห่ม ถวายเสนาสนะเป็นตน้ การถวายนน้ั นยิ มทาํ กนั ๒ แบบคือ การถวาย เจาะจงเฉพาะภกิ ษุรูปนนั้ รูปนีเ้ ป็นตน้ เรียกวา่ ปาฏิปคุ คลิกทาน และถวายไมเ่ จาะจงเฉพาะภกิ ษุรูปใดรูปหนึง่ ลง ไป คอื มอบเป็นกลางใหส้ งฆจ์ ดั เฉลย่ี ใชส้ อยกนั เอง เรยี กว่าสงั ฆทาน . คำถวายทานตา่ ง ๆ การถวายทานวตั ถดุ งั ทีไ่ ดก้ ล่าวมาแลว้ มีคาํ ถวายแตกต่างกนั ออกไปดงั จะ ไดแ้ สดงเป็นอยา่ ง ๆ ไป ดงั ตอ่ ไปน.ี้ คำถวายสงั ฆทาน อิมานิ มะยงั ภนั เต ภตั ตาน,ิ สะปะรวิ ารานิ, ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต, ภกิ ขสุ งั โฆ, อมิ าน,ิ ภตฺตานิ, สปรวิ ารานิ, ปฏคิ คณั หาต,ุ อมั หากงั , ทีฆะรตั ตงั , หิตายะ, สขุ ายะ. ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จรญิ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวาย ภตั ตาหาร กบั ทงั้ ของท่เี ป็นบรวิ ารเหลา่ นี้ แก่ พระภกิ ษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆจ์ งรบั ภตั ตาหาร กบั ทงั้ ของทเ่ี ป็นบรวิ ารทงั้ หลายเหลา่ นี้ ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลายเพ่ือ ประโยชน์ และความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สนิ้ กาลนานเทอญ ฯ คาํ ถวายสงั ฆทาน ( ประเภทมตกภตั อทุ ิศใหแ้ ก่ผตู้ าย ) อิมานิ มะยงั ภนั เต มะตะกะภตั ตานิ สะปะรวิ ารานิ ภิกขสุ งั ฆสั สะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภนั เต ภกิ ขสุ งั โฆ อมิ านิ มะตะกะภตั ตานิ สะปะรวิ ารานิ ปฏคิ คณั หาตุ อมั หากญั เจวะ มาตาปิตอุ าทนี ญั จะ าตะกานงั กาละกะตานงั ทีฆะรตั ตงั หติ ายะ สขุ ายะ.
หน้า ๘๐ ศาสนพิธี ธรรมศึกษาชั้นตรี ขา้ แตพ่ ระสงฆผ์ เู้ จรญิ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวาย มตกภตั ตาหารกบั ทงั้ ของบริวารเหลา่ นี้ แก่ พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆจ์ งรบั มตกภตั ตาหารกบั ทงั้ ของบริวารเหล่านี้ ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย เพือ่ ประโยชน์ และความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลายดว้ ย แกญ่ าติของขา้ พเจา้ ทงั้ หลายมมี ารดาบดิ าเป็นตน้ ผทู้ าํ กาละล่วงลบั ไปแลว้ ดว้ ย สนิ้ กาลนานเทอญ ฯ คำถวายสลากภัต อิมานิ มะยงั ภนั เต, สะลากะภตั ตานิ , สะปะริวารานิ, อะสกุ ฏั ฐาเน, ฐะปิตาน,ิ ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต ภิกขสุ งั โฆ, เอตานิ, สะลากะภตั ตาน,ิ สะปะรวิ ารานิ, ปฏคิ คณั หาต,ุ อมั หากงั , ทฆี ะรตั ตงั ,หิตายt, สขุ ายะ. ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จรญิ ภตั ตาหารกบั ทงั้ บริวารทงั้ หลาย ซึ่งไดต้ งั้ ไว้ ณ ที่โนน้ นนั้ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายขอนอ้ ม ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆจ์ งรบั ซึง่ ภตั ตาหารกบั ทงั้ บริวารเหลา่ นน้ั ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย เพ่ือ ประโยชน์ และความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สิน้ กาลนานเทอญ ฯ คำถวายผา้ วสั สกิ สาฎก อิมานิ มะยงั ภนั เต, วสั สิกะสาฏกิ าน,ิ สะปะรวิ ารานิ, ภกิ ขสุ งั ฆสั สt, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต, ภกิ ขสุ งั โฆ, อิมานิ, วสั สกิ สาฏิกาน,ิ สะปะรวิ ารานิ, ปะฏคิ คณั หาต,ุ อมั หากงั ทฆี ะรตั ตงั , หติ ายะ, สขุ า ยะ. ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จรญิ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวาย ผา้ อาบนา้ํ ฝน กบั ทงั้ บรวิ ารเหลา่ นี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆจ์ งรบั ผา้ อาบนาํ้ ฝน กบั ทงั้ บริวารทงั้ หลายเหล่านี้ ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย เพื่อประโยชนแ์ ละ ความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สนิ้ กาลนาน เทอญ .ฯ คำถวายผา้ จำนำพรรษา อิมานิ มะยงั ภนั เต, วสั สาวาสกิ ะจวี ะราน,ิ สะปะริวาราน,ิ ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ, โอโณชะยาม, สาธุ โน ภนั เต, ภิกขสุ งั โฆ, อมิ านิ, วสั สาวาสกิ ะจวี ะราน,ิ สะปะริวารานิ, ปะฏคิ คณั หาต,ุ อมั หากงั , ทฆี ะรตั ตงั , หติ ายะ, สขุ ายะ. ขา้ แตพ่ ระสงฆผ์ เู้ จริญ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวาย ผา้ จาํ นาํ พรรษากบั ทงั้ บรวิ ารเหลา่ นี้ แก่พระภกิ ษุ สงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆจ์ งรบั ผา้ จาํ นาํ พรรษา กบั ทงั้ บริวารเหล่านี้ ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย เพ่อื ประโยชนแ์ ละความสขุ แกข่ า้ พเจา้ ทงั้ หลาย สนิ้ กาลนาน เทอญ .ฯ คำถวายผา้ ปา่ อิมานิ มะยงั ภนั เต, ปังสกุ ูละจวี ะราน,ิ สะปะรวิ าราน,ิ ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ, โอโณชะยามะ, สาธุโน ภนั เต ภกิ ขสุ งั โฆ, อมิ านิ ปังสกุ ลู ะจวี ะราน,ิ สะปะริวาราน,ิ ปะฏิคคณั หาต,ุ อมั หากงั ทฆี ะรตั ตงั , หิตายะ สขุ ายะ.
ศาสนพิธี ธรรมศึกษาชัน้ ตรี หน้า ๘๑ ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จรญิ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวาย ผา้ บงั สกุลจีวร กบั ทงั้ บริวารเหล่านีแ้ กพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ ขอพระภกิ ษุสงฆจ์ งรบั ผา้ ป่าบงั สกุลจีวรกบั ทงั้ บรวิ ารเหล่านี้ ของขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย เพือ่ ประโยชน์ และความสขุ แก่ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายสนิ้ กาลนาน เทอญ .ฯ คาํ ถวายผ้ากฐนิ ( แบบท่ี ๑ ) อมิ งั , สะปะรวิ ารงั กะฐินะจีวะระทสุ สงั สงั ฆสั สt, โอโณชะยามะ. ( วา่ ๓ จบ . ) ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายขอนอ้ มถวาย ผา้ กฐินจีวรกบั ทงั้ บริวาร นีแ้ กพ่ ระสงฆ์ .ฯ คาํ ถวายผา้ กฐิน ( แบบท่ี ๒ ) อมิ งั , ภนั เต สะปะริวารงั , กะฐินะจวี ะระทสุ สงั , สงั ฆสั สะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภนั เต, สงั โฆ, อมิ งั สะปะริวารงั , กะฐินะทสุ สงั , ปะฏคิ คณั หาต,ุ ปะฏิคคะเหตวาจะ, อิมานิ ทสุ เสนะ, กะฐินงั , อตั ถะระต,ุ อมั หากงั , ทีฆะรตั ตงั , หติ ายะ, สขุ ายะ. ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จรญิ ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ขอนอ้ มถวาย ผา้ กฐินจีวรกบั ทงั้ บริวารนี้ แกพ่ ระสงฆ์ ขอพระสงฆ์ จงรบั ผา้ กฐินกบั ทงั้ บริวารนขี้ องขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย ครน้ั รบั แลว้ จงกรานกฐิน ดว้ ยผา้ นี้ เพอื่ ประโยชน์ และความสขุ แก่ขา้ พเจา้ ทงั้ หลาย สนิ้ กาลนาน เทอญ . ฯ หมวดท�ี ๔ ปกิณณกะ ปกณิ กะนีห้ มายถงึ พิธีตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วกบั วธิ ีปฏบิ ตั บิ างประการในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่กล่าว มาแลว้ ขา้ งตน้ ทา่ นไดน้ าํ มาชีแ้ จงเพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจและปฏิบตั ิไดถ้ กู ตอ้ งอีก ๕ ประการ คอื ๑. วธิ ีแสดงความเคารพพระ ๒. วธิ ีประเคนของพระ ๓. วธิ ีทาํ หนงั สอื อาราธนา และทาํ ใบปวารณาถวายจตปุ ัจจยั ๔. วิธีอาราธนาศลี อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม ๕. วิธีกรวดนา้ํ รายละเอียดจะไดแ้ สดงไปเป็นลาํ ดบั ดงั ตอ่ ไปนี้ คอื -: วธิ แี สดงความเคารพพระ การแสดงความเคารพนเี้ ป็นการแสดงถึงว่าผนู้ น้ั เป็นคนออ่ นนอ้ ม ต่อผทู้ ่ีควรเคารพดว้ ยกายใจอยา่ ง แทจ้ ริง ผทู้ คี่ วรเคารพในทน่ี ไี้ ดแ้ ก่ พระพทุ ธรูปหรอื ปชู นียวตั ถแุ ละพระภิกษุสามเณร การแสดงความเคารพนีม้ ี ๓ อยา่ ง คือ ๑. การประนมมอื (อญั ชลี) ๒. การไหว้ (วนั ทา) ๓. การกราบ (อภิวาท)
หน้า ๘๒ ศาสนพิธี ธรรมศกึ ษาชนั้ ตรี การประนมมือ คอื การทาํ กระพ่มุ มอื ทงั้ สองประนมใหฝ้ ่ามือทงั้ สองประกบกนั นวิ้ ทกุ นวิ้ ของมอื ทงั้ สอง แนบชดิ ตรงกนั ไมเ่ หลอ่ื มลา้ํ กวา่ กนั หรือการใหต้ งั้ ไวร้ ะหว่างอก ใหต้ งั้ ขนึ้ ขา้ งบนมลี กั ษณะคลา้ ยดอกบวั ตมู แนบ ศอกทงั้ สองขา้ งชิดชายโครง เป็นการแสดงความเคารพเวลาสวดมนต์ หรอื ฟังพระสวดและฟังเทศนเ์ ป็นตน้ ทาํ เหมอื นกนั ทงั้ หญิงทงั้ ชาย การไหว้ คอื การยกมอื ทป่ี ระนมขนึ้ พรอ้ มกบั กม้ ศรี ษะลงเลก็ นอ้ ย ใหม้ ือทีป่ ระนมจรดหนา้ ผาก นวิ้ หวั แม่มอื ทงั้ สองอยรู่ ะหวา่ งคิว้ เป็นการแสดงความเคารพพระในขณะน่งั บนเกา้ อหี้ รอื ยืนอยทู่ าํ เหมอื นกนั ทงั้ หญิงชาย การกราบ คือ การแสดงอาการกราบลงกบั พืน้ ดว้ ยเบญจางคประดษิ ฐ์ ไดแ้ ก่น่งั คกุ เข่าประนมมือไหว้ แลว้ หมอบลงทอดฝ่ามือทงั้ สองลงท่ีพนื้ แหวกช่องระหวา่ งฝ่ามอื ทวี่ างราบนนั้ ใหห้ า่ งกนั เลก็ นอ้ ยแลว้ กม้ ลงตรง ระหวา่ งนนั้ ใหห้ นา้ ผากจรดกบั พืน้ เรยี กวา่ กราบใหพ้ รอ้ มดว้ ยองค์ ๕ คอื หนา้ ผาก ๑ ฝ่ามอื ทงั้ ๒ และเขา่ ทงั้ ๒ จดกบั พืน้ . วธิ ปี ระเคนของพระ การประเคน คือ การถวายของแกพ่ ระสงฆ์ โดยการถวายนีม้ ีองคป์ ระกอบอยู่ ๕ อยา่ งดว้ ยกนั คอื ๑. ของทีจ่ ะประเคนนนั้ ไม่ใหญห่ รือหนกั เกนิ ไป ๒. ผปู้ ระเคนตอ้ งอยภู่ ายในหตั ถบาส ๓. นอ้ มของท่ีจะประเคนนนั้ เขา้ ไปโดยความเคารพ ๔. นอ้ มเขา้ ไปถวายเลยก็ได้ หรอื จะตกั สง่ ให้ เชน่ ใชท้ พั พีตกั ถวายก็ได้ ๕. พระสงฆจ์ ะรบั ดว้ ยมอื กไ็ ด้ จะเอาผา้ รบั ก็ได้ หรือเอาภาชนะรบั เชน่ เอาบาตรหรือจานรบั ส่งิ ของทเี่ ขา ตกั ถวายกไ็ ด้ วิธีประเคนนน้ั ถา้ เป็นชายน่งั กบั พืน้ พงึ คกุ เขา่ ถวาย หรือถา้ น่งั บนเกา้ อี้ พงึ ยนื ขนึ้ ถวายโดยนอ้ มของเขา้ ไปหาพระ สาํ หรบั ผหู้ ญิงกเ็ ช่นเดียวกนั แตพ่ ระสงฆจ์ ะรบั เลยไมไ่ ด้ ถา้ จะมีผา้ ทอดมารบั ใหว้ างลงทบั ผา้ นนั้ ท่ีท่าน จบั ขา้ งหน่งึ อยู่ เมอ่ื เสรจ็ แลว้ พงึ ไหวห้ รือกราบตามแตส่ ถานท่จี ะเหมาะสม วธิ อี าราธนาและทำใบปวารณา การอาราธนาพระ ไดแ้ ก่ การนมิ นตพ์ ระสงฆไ์ ปประกอบพธิ ีต่างๆ น่นั เอง ในสมยั ก่อนนยิ มนิมนตด์ ว้ ย วาจา แต่ในปัจจบุ นั นยิ มทาํ เป็นหนงั สือเพ่ือแจง้ กาํ หนดงาน และรายการใหพ้ ระสงฆท์ ราบ หนงั สือนิมนตน์ ี้ เรยี กว่า ฎกี านมิ นตพ์ ระ มีขอ้ ความทจี่ ะแสดงดงั นี้ ขออาราธนาพระคณุ เจา้ (พรอ้ มพระสงฆใ์ นวดั นอี้ กี ..... รูป) เจริญพระพทุ ธมนต์ (หรือสวดมนต์ หรอื แสดงพระธรรมเทศนา แลว้ แต่กรณี) ในงาน ...... ทบ่ี า้ นเลขท่ี.... ตาํ บล ..... อาํ เภอ...... กาํ หนดวนั ที่..... เดือน..... พ.ศ. ....... เวลา.... น. ถา้ หากจะนมิ นตใ์ หร้ บั บิณฑบาตเชา้ หรอื เพล ใหบ้ อกดว้ ย ถา้ ตอ้ งการตกั บาตรหรอื ป่ินโต ก็ตอ้ งบอกไวใ้ น ฎีกาใหน้ าํ ไปดว้ ย และถา้ งานนน้ั มรี ถหรือเรอื รบั สง่ ใหห้ มายเหตบุ อกไวด้ ว้ ย
ศาสนพิธี ธรรมศึกษาชนั้ ตรี หนา้ ๘๓ การถวายไทยธรรมนนั้ ถา้ ทายกถวายจตปุ ัจจยั มาอีกสว่ นหน่งึ ดว้ ยนยิ มทาํ ใบปวารณามอบถวายดว้ ย ทงั้ นีก้ เ็ พือ่ จะสงเคราะหใ์ หภ้ ิกษุไดร้ บั ค่าจตปุ ัจจยั นน้ั โดยชอบดว้ ยพระวินยั ใบปวารณานนั้ ยอ่ มทาํ แบบนี้ คือ ขอถวายจตปุ ัจจยั อนั ควรแกส่ มณบริโภค แด่พระคณุ เจา้ เป็นจาํ นวน............... บาท ……..ส.ต. หากพระคณุ เจา้ ตอ้ งประสงคส์ ิ่งใดอนั ควรแก่สมณบรโิ ภคแลว้ ขอไดโ้ ปรดเรียกรอ้ งจากกปั ปิยการผปู้ ฏิบตั ิของ พระคณุ เจา้ เทอญฯ วธิ อี าราธนาศลี อาราธนาพระปรติ ร อาราธนาธรรม การอาราธนา คือ การเชือ้ เชิญพระสงฆใ์ นพธิ ีใหศ้ ีล ใหส้ วดพระปริตร หรือใหแ้ สดงธรรม เป็นธรรม เนยี มมีมาตงั้ แตน่ านที่จะตอ้ งอาราธนาก่อน พระสงฆจ์ งึ จะประกอบพธิ ีกรรมนน้ั ๆ และการอาราธนาทถ่ี ือเป็น ธรรมเนยี มกนั มามี ๓ กรณีเทา่ นน้ั วิธีอาราธนานี้ นยิ มกนั วา่ ถา้ พระสงฆน์ ่งั บนอาสนะยกสงู เจา้ ภาพและแขกน่งั บนเกา้ อี้ ผอู้ าราธนาเขา้ ไปยนื ระหว่างเจา้ ภาพกบั แถวพระสงฆต์ รงกบั รูปที่ ๓ หรือท่ี ๔ หา่ งแถวพระสงฆพ์ อสมควรหนั หนา้ ไปทางโต๊ะท่ี บูชา ประนมมือไหวพ้ ระพทุ ธรูปก่อน แลว้ ยืนประนมมือตงั้ ตวั ตรงกลา่ วคาํ อาราธนาตามแบบท่ีตอ้ งการ ถา้ พระสงฆน์ ่งั อาสนะตา่ํ ธรรมดาเจา้ ภาพและแขกอน่ื น่งั กบั พนื้ ผอู้ าราธนาตอ้ งเขา้ ไปน่งั คกุ เข่าต่อหนา้ แถวพระสงฆ์ ตรงหวั หนา้ กราบประทโี่ ตะ๊ บชู า ๓ ครน้ั ก่อน แลว้ ประนมมอื ตงั้ ตวั ตรง กล่าวอาราธนาตามแบบทีต่ อ้ งการ อนึ่งการเทศนา ถา้ ต่อจากสวดมนต์ ตอนสวดมนตไ์ มต่ อ้ งอาราธนาศีล เร่มิ ตน้ ดว้ ยอาราธนาพระปรติ ร แลว้ อาราธนาศีลตอนพระขึน้ เทศนร์ บั ศีลแลว้ อาราธนาธรรมต่อ แต่ถา้ สวดมนตก์ บั เทศนไ์ ม่ไดต้ ่อเนอื่ งกนั ถอื ว่า เป็นคนละพธิ ี ตอนสวดมนตก์ อ็ าราธนาตามแบบพธิ ีสวดมนตเ์ ยน็ ตามทกี่ ลา่ วแลว้ ตอนเทศนก์ ็เรมิ่ ตน้ ดว้ ย อาราธนาศลี กอ่ น จบรบั ศีลแลว้ จึงอาราธนาธรรมเป็นลาํ ดบั ไป คำอาราธนาศลี ๕ มะยงั ภนั เต วสิ งุ วิสงุ รกั ขะนตั ถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ ทตุ ิยมั ปิ มะยงั ภนั เต วิสงุ วิสงุ รกั ขะนตั ถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ ตะตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต วิสงุ วสิ งุ รกั ขะนตั ถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ คำอาราธนาพระปรติ ร วิปัตติปะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปัตติสทิ ธิยา, สพั พะทกุ ขะวินาสายะ ปะรติ ตงั พะรูถะ มงั คะลงั วปิ ัตตปิ ะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปัตติสทิ ธิยา, สพั พะภะยะวินาสายะ ปะริตตงั พะรูถะ มงั คะลงั
หนา้ ๘๔ ศาสนพิธี ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี วิปัตติปะฏิพาหายะ สพั พะสมั ปัตตสิ ิทธิยา, สพั พะโรคะวนิ าสายะ ปะริตตงั พะรูถะ มงั คะลงั คำอาราธนาธรรม พะรหั มา จะ โลกาธิปะติ สะหมั ปะติ กตั อญั ชะลี อนั ธิวะรงั อะยาจะถะ สนั ตธี ะ สตั ตาปปะระชกั ขะชาติกา เทเสตุ ธมั มงั อนกุ มั ปิมงั ปะชงั ฯ คำกรวดนำ้ อยา่ งสน้ั อิทงั โน ญาตีนงั โหตุ สขุ ติ า โหนตุ ญาตะโย ฯ
หน้า ๘๔ เบญจศลี เบญจธรรม ธรรมศึกษาชัน้ ตรี วิชาเบญจศีล-เบญจธรรม บทนำ หนงั สือเบญจศลี -เบญจธรรมนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไดร้ วบรวมรจนา จากคมั ภีรท์ างพระพทุ ธศาสนา จดุ ประสงคข์ องการแต่งหนงั สือเล่นนี้ เพื่อม่งุ สาํ หรบั ใชเ้ ป็นหนงั สอื การเรียนการสอนในโรงเรยี น ม่งุ จะให้ นกั เรียนมีความรูด้ แี ละควบคไู่ ปกบั มีความประพฤตดิ ี ศีลในทางพระพทุ ธศาสนา ๑. ศีล ๕ ขอ้ สาํ หรบั สาธชุ นท่วั ไป เรียกว่า นิจศีล, ปกติศลี ๒. ศีล ๘ ขอ้ สาํ หรบั อบุ สก อบุ าสิกา เรยี กวา่ คหฏั ฐศีล, อโุ บสถศีล ๓. ศลี ๑๐ ขอ้ สาํ หรบั สามเณร สามเณรี เรยี กว่า อนปุ สมั ปันนศีล ๔. ศลี ๒๒๗ ขอ้ สาํ หรบั พระภิกษุ เรยี กว่า ภกิ ขศุ ลี ๕. ศีล ๓๑๑ ขอ้ สาํ หรบั พระภกิ ษุณี เรยี กว่า ภิกขณุ ีศลี อานิสงสข์ องผูร้ กั ษาศลี ๑. ไมต่ อ้ งประสบความเดอื ดรอ้ นในภายหนา้ ๒. ยอ่ มประสบความสาํ เรจ็ ในการทาํ มาหากิน ๓. ช่อื เสยี งเกียรตยิ ศของผมู้ ีศีล ยอ่ มแพรห่ ลายไปในหมชู่ นคนดี ๔. เป็นผอู้ งอาจ ไมเ่ กอ้ เขนิ เม่ือเขา้ ไปในหมขู่ องมศี ีล ๕. เป็นผไู้ มห่ ลงทาํ กาลกริ ิยา คอื กอ่ นตายกม็ สี ติ ตายไปอย่างสงบ ไมท่ รุ นทรุ าย ๖. เมอื่ ตายไป แลว้ เขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ ไม่ตอ้ งตกนรก ๗. ผทู้ ่ีบาํ เพ็ญศลี ใหบ้ ริบูรณ์ มสี ตบิ ริบูรณ์ ยอ่ มทาํ ตนใหส้ นิ้ อาสวะได้ คือ สนิ้ กเิ ลสได้ ความมุ่งหมายของการักษาศลี ๕ ขอ้ ๑. ศีลขอ้ ที่๑ เพอ่ื ป้องกนั ทางทต่ี นจะเสียหาย เพราะโหดรา้ ย ๒. ศีลขอ้ ที่ ๒ เพ่อื ป้องกนั ทางทีต่ นจะเสียหาย เพราะความมือไว ๓. ศลี ขอ้ ท่ี ๓ เพือ่ ปอ้ งกนั ทางท่ีตนจะเสยี หาย เพราะความใจเรว็ ๔. ศลี ขอ้ ท่ี ๔ เพ่อื ปอ้ งกนั ทางท่ีตนจะเสยี หาย เพราะความขปี้ ด ๕. ศีลขอ้ ท่ี ๕ เพ่ือป้องกนั ทางที่ตนจะเสยี หาย เพราะความขาดสติ องคแ์ ห่งศีล องคแ์ ห่งศีลอย่างหนึ่ง ๆ เรียกว่า “สิกขาบท” ศีลมอี งค์ ๕ จึงเป็นสิกขาบท ๕ ประการ รวมเรยี กว่า เบญจศีล การรกั ษาศีล คอื การตงั้ ใจเจตนางดเวน้ จากการะทาํ ความผดิ ดงั ท่านบญั ญัติไวเ้ ป็นเรอ่ื งทต่ี งั้ ใจงด ตงั้ ใจเวน้ ตงั้ ใจไมท่ าํ อีก ตอ้ งมี “ความตงั้ ใจ” กาํ กบั ไวเ้ สมอ ไม่ใชเ่ พราะมีเหตอุ ื่นบงั คบั ตน จงึ ไมท่ าํ ความผดิ แต่
เบญจศลี เปญจธรรม ธรรมศึกษาชนั้ ตรี หนา้ ๘๕ ไมท่ าํ เพราะตนเองไดต้ งั้ ใจไวว้ ่าจะงดเวน้ ความตงั้ ใจดงั ว่ามานี้ ทางศาสนา เรียกว่า “วริ ตั ”ิ คอื เจตนาท่งี ดเวน้ จากความช่วั วริ ตั ิ ๓ ประการ ๑. สัมปัตตวิ ิรัติ เวน้ จากวตั ถทุ จี่ ะพงึ ลว่ งไดอ้ นั มาถงึ เฉพาะหนา้ ไดแ้ ก่ วิรตั ิของคนท่วั ไป ๒.สมาทานวริ ตั ิ เวน้ ดว้ ยอาํ นาจการถือเป็นกิจวตั ร ไดแ้ ก่ พระภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสกิ า ๓.สมจุ เฉทวริ ตั ิ เวน้ ดว้ ยตดั ขาด มอี นั ไม่ทาํ อยา่ งนน้ั เป็นปกติ ไดแ้ ก่ พระอรยิ เจา้ (พระอรหนั ต)์ คาํ ว่า “อาราธนาศลี ” หมายความวา่ การนมิ นต์ หรอื เชิญพระภิกษุ หรือ ผใู้ ดผหู้ นึง่ เป็นผใู้ หศ้ ีล คาํ ว่า “สมาทานศลี ” หมายความวา่ การว่าตามผทู้ เ่ี ราอาราธนามาเพอ่ื ใหศ้ ลี เบญจศลี สกิ ขาบทท่ี ๑ ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวน้ จากฆา่ สตั วม์ ชี วี ติ สตั วท์ กุ ชนิด ย่อมมสี ิทธิ์โดยชอบในการมชี วี ิตของตนไปจนตาย ผใู้ ดทาํ ใหเ้ ขาเสยี ชีวติ ดว้ ยเจตนาศลี ของ ผนู้ น้ั กข็ าด เม่อื เพ่งเจตนาจิตเป็นใหญ่ ในสกิ ขาบทขอ้ นมี้ ขี อ้ หา้ ม ๓ อยา่ ง คือ ๑. การฆา่ ๒. การทาํ รา้ ยรา่ งกาย ๓. การทรกรรม การฆา่ ไดแ้ ก่ การทาํ ใหต้ าย - มวี ตั ถุ คอื ส่ิงที่ฆ่า ๒ ประเภท คือ ๑. ฆา่ มนษุ ย์ ๒. ฆ่าสตั วเ์ ดียรจั ฉาน - วตั ถใุ ชฆ้ า่ ๒ อยา่ ง คอื ๑. ศาสตรา วตั ถมุ คี ม เช่น ดาบ หอก เป็นตน้ ๒. อาวธุ วตั ถไุ มม่ คี ม เช่น ปืน ไมพ้ ลอง กอ้ นหนิ เป็นตน้ ฆ่ามนษุ ย์ มีโทษหนกั ฝ่ายพทุ ธจกั รปรบั โทษภกิ ษุกระทาํ เป็นปาราชกิ ฝ่ายอาณาจกั รปรบั โทษแกผ่ กู้ ระทาํ อยา่ งสงู สดุ ถึงขนั้ ประหารชีวติ หรอื จาํ คกุ ตลอดชีวิต การฆา่ ต่างกนั โดยเจตนา มี ๒ ประเภท คือ - ฆ่าโดยจงใจ เรยี ก สจิตตกะ มกี ารวางแผนเตรียมการไวล้ ่างหนา้ - ฆ่าโดยไม่จงใจ เรียก อจติ ตกะ ไม่ไดค้ ิดไวก้ อ่ น ประสงคป์ ้องกนั ตวั เป็นตน้ การฆา่ จะสาํ เร็จดว้ ยประโยค ๒ อยา่ ง คือ ๑. ฆ่าเอง เรียกว่า สาหตั ถกิ ประโยค เป็นการลงมือฆ่าเอง
หนา้ ๘๖ เบญจศลี เบญจธรรม ธรรมศกึ ษาช้ันตรี ๒. ใชใ้ หค้ นอนื่ ฆา่ เรียกวา่ อาณัตตกิ ประโยค ศีลขอ้ นขี้ าดทงั้ ฆ่าเอง และยงั ใหค้ นอนื่ ฆ่า กล่าวโดยสรุปการกระทาํ การฆา่ สตั วจ์ ะมีโทษดว้ ยเหตุ ๓ ประการ คอื ๑. วตั ถุ คอื ส่งิ ท่ฆี า่ ๒. เจตนา ความตงั้ ใจ ๓. ประโยค อาการทีป่ ระกอบกรรม ฉายาปาณาติบาต คือ การทาํ รา้ ยรา่ งกาย และทรกรรม การทาํ รา้ ยรา่ งกายมงุ่ การกระทาํ ตอ่ มนษุ ย์ แยกเป็น ๓ ประเภท คอื ๑) ทาํ ใหพ้ ิการ ๒) ทาํ ใหเ้ สียโฉม ๓) ทาํ ใหเ้ จบ็ ลาํ บาก การทรกรรม คอื การประพฤตเิ หยี้ มโหดตอ่ สัตว์ ไม่มีความปราณีสตั ว์ แยกเป็น ๕ ประเภท คอื ๑) ใชก้ าร คือการใชง้ านเกินกาํ ลงั ๒) กกั ขงั ๓) นาํ ไป โดยวธิ ีทรมาน เชน่ ลากไป ผกู มดั เป็นตน้ ๔) เลน่ สนกุ ๕) ผจญสตั ว์ เช่น เอาปลากดั กนั ชนไก่ เป็นตน้ องคป์ าณาติบาตมอี งค์ ๕ คอื ๑. ปาโณ สตั วม์ ีชีวติ ๒. ปาณสญั ญิตา ตนรูว้ า่ สตั วม์ ชี วี ิต ๓. วธกจิตตงั จิตคิดจะฆ่าใหต้ าย ๔. อปุ ักกโม ทาํ ความพยายามฆา่ ๕. เตน มรณงั สตั วต์ ายดว้ ยความพยายามนน้ั ศลี ขอ้ นีจ้ ะขาด ต่อเมอื่ ทาํ ครบองคท์ งั้ ๕ ขอ้ นี.้ สกิ ขาบทท่ี ๒ อทนิ นาทานา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการลกั ทรพั ย์ ศลี ขอ้ นีบ้ ญั ญตั ขิ ึน้ เพื่อปอ้ งกนั การทาํ ลายกรรมสิทธิ์ในทรพั ยส์ มบตั ขิ องกนั และกนั โดยหวงั จะใหเ้ ลยี้ งชพี ในทางที่ชอบ เวน้ จากการเบยี ดเบียนกนั และกนั การประพฤติผิดเชน่ นี้ ไดช้ ื่อว่าประพฤติผดิ ธรรม เป็นบาป ทรพั ย์ ท่คี นอ่ืนไมไ่ ดใ้ ห้ ถอื เอาโดยอาการเป็นโจรกรรม มกี าํ หนดดงั นี้ ๑. ทรพั ยส์ มบตั ิหรือส่งิ ของ ทมี่ เี จา้ ของ ทงั้ ท่ีมีวิญญาณ และไมม่ ีวญิ ญาณ ๒. ทรพั ยส์ มบตั หิ รอื สิง่ ของทีไ่ ม่ใช่ของใคร แต่มีผรู้ กั ษาหวงแหน เป็นสมบตั ิกลาง ๓. ทรพั ยส์ มบตั ิหรอื สิง่ ของท่ีเป็นของในหม่อู นั ไม่พึงแบ่ง ไดแ้ ก่ ของสงฆ์ ของสว่ นรว่ ม
เบญจศีลเปญจธรรม ธรรมศกึ ษาชัน้ ตรี หนา้ ๘๗ ในสกิ ขาบทนีศ้ ีลขาดไปดว้ ยเจตนา ถา้ ไมม่ ีเจตนาศีลดา่ งพรอ้ ย โดยอาการถือเอาทรพั ยส์ มบตั ิหรอื สิง่ ของอื่นทา่ นหา้ มไว้ ๓ ประการ คือ ๑. โจรกรรม ประพฤติเป็นโจร ๒. ความเลยี้ งชีพอนโุ ลมโจรกรรม ๓. กิรยิ าเป็นฉายาโจรกรรม โจรกรรม ทางศีลธรรมท่านแบง่ ออกเป็น ๑๔ วธิ ีดว้ ยกนั คือ ๑. ลกั ขโมย ยอ่ งเบา ตดั ช่อง คอื งดั แงะ ๒. ฉก รว่ มถึงการว่ิงราว ตีชงิ ๓. กรรโชก แสดงอาํ นาจ ๔. ปลน้ ๕. ตู่ คอื กล่าวต่วู ่าเป็นของตวั เอง ๖. ฉอ้ โกง ๗. หลอก ไดแ้ ก่ กริ ยิ าที่พดู ปด ๘. ลวง ไดแ้ ก่ กริ ิยาท่กี ระทาํ ลวง ๙. ปลอม ๑๐.ตระบดั ยมื มาแลว้ ไมส่ ง่ คนื ๑๑. เบยี ดบงั ๑๒. ลกั ลอบ ไดแ้ กล่ กั ลอบของหนภี าษี ๑๓. สบั เปลี่ยน ๑๔.ยกั ยอก ความเลยี้ งชีวติ อนุโลมโจรกรรม ไดแ้ กก่ ารแสวงหาทรพั ยพ์ สั ดใุ นทางไม่บรสิ ทุ ธิ์ แต่ไม่นบั เขา้ ในอาการเป็นโจร มีดงั นี้ ๑) สมโจร การกระทาํ การอดุ หนนุ โจรกรรม ๒) ปลอกลอก การคบคนดว้ ยอาการไม่ซ่อื สตั ย์ ดว้ ยหวงั ทรพั ยข์ องคนอืน่ ฝ่ายเดยี ว ๓) รบั สนิ บน กริ ยิ าเป็ นฉายาโจรกรรม ๑) ผลาญ เชน่ เผาบา้ น ฟันโค เป็นตน้ ๒. หยบิ ฉวย การถือเอาทรพั ยพ์ สั ดขุ องผอู้ ื่นดว้ ยความมกั ง่าย ความเป็นกรรมในสิกขาบทในขอ้ นี้ มีโทษหนกั เบาตามชน้ั กนั โดยวตั ถุ เจตนา และประโยค ดงั นี้ - โดยวตั ถุ ถา้ ถือเอาท่ีทาํ การโจรกรรมมีค่ามาก มีโทษมาก - โดยเจตนา ถา้ ถอื เอาโดยโลภ มเี จตนากลา้ กม็ โี ทษมาก - โดยประโยค ถา้ ถอื เอาโดยการฆ่า หรอื ทาํ ลายทรพั ยข์ า้ วของ ก็มโี ทษมาก องคแ์ หง่ อทินนาทาน ๕ ประการ คอื ๑. ปรปริคคหิตงั ของนนั้ มเี จา้ ของหวงแหน ๒. ปรปริคคหิตสญั ญิตา ตนก็รูว้ า่ ของนน้ั มเี จา้ ของหวงแหน ๓. เถยยจติ ตงั จิตคดิ จะลกั ๔. อปุ ักกโม พยายามเพือ่ จะลกั ๕. เตน หรณัง นาํ ของนนั้ มาดว้ ยความพยายามนน้ั
หนา้ ๘๘ เบญจศีลเบญจธรรม ธรรมศึกษาชนั้ ตรี ศลี ขอ้ นีจ้ ะขาด ตอ่ เม่ือการกระทาํ ครบองคท์ งั้ ๕ ขา้ งตน้ นี.้ สกิ ขาบทท่ี ๓ กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวรมณี เวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกามทงั้ หลาย ศลี ขอ้ นี้ ท่านบญั ญัติ ดว้ ยหวงั ปลกู ความสามคั คี สรา้ งความเป็นปึกแผน่ ป้องกนั ความแตกรา้ วในหมู่ มนษุ ย์ และทาํ ใหไ้ วว้ างใจซง่ึ กนั และกนั คาํ วา่ “กาม” ในที่นีห้ มายถงึ กิรยิ าทีร่ กั ใครก่ ันในทางประเวณี หมายถึง “เมถุน” คอื การสอ้ งเสพกาม ระหวา่ งชายหญิง การผิดในกาม หมายถงึ การเสพเมถนุ กบั คนทต่ี อ้ งหา้ ม ดงั จะไดอ้ ธิบายดงั ตอ่ ไปนี้ หญิงท่ตี ้องห้ามสาํ หรับชาย มี ๓ ประเภท คอื ๑.หญิงมีสามี ท่เี รยี กวา่ ภรรยาทา่ นไดแ้ ก่ หญิง ๔ จาํ พวก คอื ๑.๑ หญิงทแี่ ตง่ งานกบั ชายแลว้ ๑.๒ หญิงทไ่ี ม่ไดแ้ ต่งงาน แตอ่ ยกู่ ินกบั ชายอยา่ งเปิดเผย ๑.๓ หญิงท่รี บั ส่ิงของ มที รพั ย์ เป็นตน้ ของชายแลว้ อย่กู บั เขา ๑.๔ หญิงทช่ี ายเลีย้ งเป็นภรรยา ๒. หญิงท่ีญาติรกั ษา คือ มผี ปู้ กครอง ไมเ่ ป็นอิสระแกต่ น เรียกวา่ หญิงอยใู่ นพิทกั ษ์รกั ษาของท่าน คอื หญิงทยี่ งั ไมบ่ รรลนุ ติ ิภาวะ หรอื หญิงมมี ารดาบดิ ารกั หรอื ญาตริ กั ษา ๓. หญิงทีจ่ ารตี ประเพณีรกั ษา ไดแ้ ก่หญิงท่เี ป็นเทอื กเถาเหล่ากอกนั หญิงท่ีทางศาสนารกั ษา เช่น นาง ภิกษุณี หรอื แม่ช,ี หญิงทีก่ ฎหมายบา้ นเมืองรกั ษาคมุ้ ครอง ชายต้องหา้ มสาํ หรบั หญงิ มี ๒ ประเภท คือ ๑. ชายอ่นื นอกจากสามี เป็นวตั ถตุ อ้ งหา้ มสาํ หรบั หญิงทีม่ ีสามีแลว้ ๒. ชายทีจ่ ารตี หา้ ม เช่น นกั พรต นกั บวช เป็นตน้ กลา่ วโดยความเป็นกรรมจดั ว่ามีโทษหนกั เบาเป็นชน้ั ต่างกนั โดยวตั ถุ เจตนา ประโยค ดงั นี้ ๑. โดยวตั ถุ ถา้ เป็นการทาํ ชู้ หรือ ล่วงละเมิดในวตั ถทุ ่มี ีคณุ มีโทษมาก ๒. โดยเจตนา ถา้ เป็นไปดว้ ยกาํ ลงั ราคะกลา้ มีโทษมาก ๓. โดยประโยค ถา้ เป็นไปโดยพลการ มโี ทษมาก องคแ์ ห่งกาเมสมุ ิจฉาจาร มอี งค์ ๔ คอื ๑. อคมนียวตั ถุ วตั ถอุ นั ไม่ควรถงึ (มรรคทงั้ ๓) ๒. ตสั มิง เสวนจิตตงั จติ คดิ จะเสพในวตั ถอุ นั ไม่ควรถงึ นนั้ ๓. เสวนปั ปโยโค ทาํ ความพยายามในอนั ท่ีจะเสพ ๔.มคั เคน มคั คปั ปฏิปัตติ มรรคต่อมรรคถึงกนั
เบญจศลี เปญจธรรม ธรรมศกึ ษาชั้นตรี หน้า ๘๙ ในกามเมสมุ ิจฉาจารนี้ ผทู้ ่เี สพเองเท่านนั้ ที่ผิดศีลขอ้ นี้ ส่วนการใชค้ นอ่นื ใหท้ าํ แกค่ นอื่นนน้ั ไมเ่ ป็นการผิด กาเมสมุ ิจฉาจาร แตก่ ารใชใ้ หค้ นอ่นื ทาํ กาเมสมุ ิจฉาจารแก่ตนนน้ั เป็นการผดิ โดยแท.้ สกิ ขาบทที่ ๔ มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากการพดู เทจ็ ศีลขอ้ นีบ้ ญั ญัติขึน้ เพอ่ื เป็นการปอ้ งกนั การทาํ ลายประโยชนข์ องกนั และกนั ดว้ ยการพดู คือ ตดั ประ โยชนท์ างวาจา และรกั ษาวาจาของตนใหเ้ ป็นทเ่ี ชื่อถือของคนอื่น ในสิกขาบทนี้ ทา่ นหา้ มเป็นขอ้ ใหญ่ ๓ ประการ คือ ๑. มสุ า ๒. อนโุ ลมมสุ า ๓. ปฏสิ สวะ การกระทาํ ตามขอ้ ๑ ศีลขาด กระทาํ ตามขอ้ ๒ และขอ้ ๓ ศลี ด่างพรอ้ ย มสุ าวาท การพดู เทจ็ คอื การโกหก หมายถึง การแสดงออกดว้ ยเจตนาบิดเบือนความจรงิ ใหค้ นหลงเชอ่ื แสดงออกได้ ๒ ทาง คือ ๑. ทางวาจา ดว้ ยการพดู ๒.ทางกาย ดว้ ยการแสดงอาการ ขีดเขียนเป็นตน้ กริ ยิ าท่เี ป็นมสุ าวาททา่ นแสดงไว้ ๗ อย่าง คือ ๑. ปด ๒.ทนสาบาน ๓. ทาํ เลห่ ก์ ระเท่ห์ ๔. มารยา ๕. ทาํ เลส ๖. เสรมิ ความ ๗. อาํ ความ อนุโลมมสุ า คือ เรือ่ งทพ่ี ดู นนั้ ไมจ่ ริง แตผ่ พู้ ดู มิไดม้ ่งุ จะใหผ้ ฟู้ ังหลงเชือ่ แยกประเภท ๒ อยา่ ง คอื ๑. เสยี ดแทง กริ ยิ าทวี่ า่ ใหผ้ อู้ ่ืนใหเ้ จ็บใจ ๒. สบั ปลบั ไดแ้ ก่ พดู ปดดว้ ยคะนองวาจา ปฏิสวะ ไดแ้ ก่ เดิมรบั คาํ ของคนอน่ื ดว้ ยเจตนาบริสทุ ธิ์ แตภ่ ายหลงั กลบั ใจ ไม่ทาํ ตามทรี่ บั นนั้ แมไ้ ม่เป็นการพดู เท็จโดยตรง แตก่ ็เป็นการทาํ ลายประโยชนข์ องคนอ่นื ได้ มปี ระเภทเป็น ๓ อยา่ ง คอื ๑. ผดิ สญั ญา ๒. เสยี สตั ย์ ๓. คืนคาํ ถอ้ ยคาํ ทไ่ี มเ่ ป็นมสุ า ๔ อย่าง คือ ๑. โวหาร ๒. นิยาย ๓. สาํ คญั ผิด ๔. พลงั้ องคแ์ ห่งมสุ าวาท ๔ อย่าง ๑. อภตู วตั ถุ เร่อื งที่พดู เป็นเรอื่ งไมจ่ ริง ๒. ววิ าทนจิตตงั จงใจจะพดู ใหผ้ ิด ๓. ตชั โชวายาโม พยายามพดู คาํ นน้ั ออกไป ๔. ปะรสั สะ ตะทตั ถวชิ านะนงั คนอนื่ เขา้ ใจเนอื้ ความนน้ั .
หนา้ ๙๐ เบญจศลี เบญจธรรม ธรรมศกึ ษาชั้นตรี สกิ ขาบทท่ี ๕ สรุ าเมรยมชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี เวน้ จากการดมื่ นำ้ เมา ศีลขอ้ นีบ้ ญั ญตั ขิ ึน้ เพือ่ ใหค้ นรูจ้ กั รกั ษาสตขิ องตนใหบ้ ริบรู ณ์ ศลี ขอ้ ๕ นี้ นบั วา่ มีความสาํ คญั ที่สดุ ใน เบญจศลี นา้ํ เมา มี ๒ ชนดิ คอื ๑. สรุ า นาํ้ เมาท่ีกล่นั แลว้ ภาษาไทยเรยี กว่า เหลา้ ๒. เมรยั นาํ้ เมาทไี่ มไ่ ดก้ ล่นั เป็นของหมกั ดอง เชน่ เหลา้ ดิบ นา้ํ ตาลเมา ของมึนเมาเสพติดตา่ งๆ เช่น ฝ่ิน กญั ชา ก็รวมเขา้ ในศีลขอ้ นดี้ ว้ ย ในปัจจบุ นั นมี้ สี ่ิงเสพติดใหโ้ ทษ ก็สงเคราะหเ์ ขา้ ในศีลขอ้ นดี้ ว้ ย คือ ๑. สรุ า นาํ้ เมาที่กล่นั แลว้ ๕. มอรฟ์ ีน เป็นผลิตภณั ฑท์ าํ จากฝ่ิน ๒. เมรยั นา้ํ เมาท่ียงั ไมไ่ ดก้ ล่นั ๖. เฮโรอีน เป็นผลติ ภณั ฑท์ าํ จากมอรฟ์ ีน ๓. กญั ชา เป็นตน้ ไมช้ นดิ หนึง่ ๗. โคเคน เป็นผลติ ภณั ฑจ์ ากมอรฟ์ ี น ๔. ฝ่ิน เป็นยางไมช้ นดิ หน่ึง ๘. แลคเกอร์ ทนิ เนอร์ (กาว) ทาํ มาจากสารเคมี สรุ า เมรยั เสพทางการดม่ื ฝ่ิน กญั ชา เป็นตน้ เสพโดยวธิ ีสบู บา้ ง ฉีดเขา้ ไปในรา่ งกายบา้ ง โทษแหง่ การด่มื น้าํ เมามี ๖ อยา่ งคือ ๑. เป็นเหตใุ หเ้ สียทรพั ย์ ๔. เป็นเหตใุ หเ้ สียช่อื เสียง ๒. เป็นเหตใุ หก้ อ่ วิวาท ๕. เป็นเหตปุ ระพฤติมารยาทท่นี า่ อดสู ๓. เป็นใหเ้ กิดโรค ๖. ทอนกาํ ลงั ปัญญา โทษของการเสพฝิ่ น ๔ สถาน ๑. เป็นเหตใุ หเ้ สยี ความสาํ ราญของรา่ งกาย ๓. เป็นเหตใุ หเ้ สียความดี ๒. เป็นเหตกุ ่อววิ าท ใหเ้ สยี ทรพั ย์ ๔. เป็นเหตใุ หเ้ สียช่ือเสียง โทษเหลา่ นี้ ยง่ิ หยอ่ นตามฟื้นเพของผูเ้ สพ โทษของการเสพกญั ชา กญั ชาเป็นส่งิ เสพติดใหโ้ ทษ ทาํ มตั ถลงุ ค์ (มนั ในสมอง) และเสน้ ประสาทใหเ้ สียไป ตาลาย เห็นอะไรผิด ไปจากความเป็นจรงิ องคแ์ ห่งสุราปานะ มีองค์ ๔ คือ ๑. มทนยี งั นาํ้ เมา ๒. ปาตกุ มั มยตาจิตตงั จติ คิดจะดื่มนา้ํ เมา ๓. ตชั โชวายาโม พยายามด่มื นาํ้ เมา ๔. ปีตปั ปเวสนงั นาํ้ เมาลว่ งลาํ คอลงไป
เบญจศีลเปญจธรรม ธรรมศกึ ษาชั้นตรี หนา้ ๙๑ ศีลขาด ศลี ขาด คือ ศีลของผมู้ ีสมาทานศีลแลว้ แต่ไม่รกั ษาศลี นน้ั ใหด้ ี ล่วงละเมดิ เป็นประจาํ ทาํ ใหข้ าดตน้ ขาด ปลาย หาทบ่ี ริสทุ ธิจ์ ริงไดย้ าก เหมอื นผา้ ท่ีขาดชายรอบทงั้ ผนื หรอื ขาดกลางผืนเลย ศลี ทะลุ ศีลทะลุ คือ ศลี ของผทู้ ่ชี อบล่วงละเมิดสกิ ขาบทกลาง ๆ แต่สิกขาบทตน้ และปลายยงั ดีอยู่ เหมือนผา้ ที่ ทะลเุ ป็นชอ่ งตรงกลางผนื ศีลด่าง ศีลดา่ ง คอื ศีลของผทู้ ่ชี อบลว่ งละเมิดสกิ ขาบททีเดียว ๒ หรอื ๓ ขอ้ เหมอื น แม่โคดา่ งทีก่ ระดาํ กระ ดา่ งเลยไปทงั้ ตวั ดาํ บา้ ง ขาวบา้ ง ศีลพร้อย ศลี พรอ้ ย คอื ศีลของผชู้ อบล่วงละเมดิ ศลี คราวละสิกขาบท หรือล่วงศีลคราวละองคส์ ององค์ คือ มีศลี บริสทุ ธิบ์ า้ ง ไมบ่ ริสทุ ธิบ์ า้ งสลบั กนั ไป ศีลหา้ ประการนี้ เป็นวินยั ในพระพทุ ธศาสนา ดว้ ยประการฉะนี.้ อโุ บสถศลี คาํ ว่า อโุ บสถ แปลว่า ดถิ ีวเิ ศษทเ่ี ขา้ อยู่ ดิถวี เิ ศษเป็นทเ่ี วน้ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. นคิ คัณฐอุโบสถ เป็นอโุ บสถของนกั บวชนอกพระพทุ ธศาสนา คือ ตงั้ เจตนางดเวน้ เป็นบางอยา่ ง เชน่ เวน้ การฆา่ สตั วใ์ นทิศเหนอื แตฆ่ ่าสัตวใ์ นทิศอ่ืน เป็นการรกั ษาตามใจชอบของตน ๒. โคปาลอโุ บสถ เป็นอโุ บสถในพระพทุ ธศาสนา เป็นอโุ บสถทีอ่ บุ าสก อบุ าสกิ า สมาทานรกั ษาไว้ เหมือนคนรบั จา้ งเลยี้ งโค คือ เวลาสมาทานแลว้ กลบั ไปพดู ดริ จั ฉานกถาต่าง ๆ เชน่ พดู เร่ืองการทาํ มาหากนิ เรือ่ งทะเลาะกนั ภายในครอบครวั เป็นตน้ ๓. อรยิ อุโบสถ เป็นอโุ บสถในพระพทุ ธศาสนา เป็นอโุ บสถทเี่ หมาะสม และประเสริฐสาํ หรบั อบุ าสก อบุ าสิกา เม่ือสมาทานแลว้ กต็ งั้ ใจรกั ษาศลี ของตนใหม้ ่นั คง ใจไมข่ อ้ งแวะกบั ฆราวาสวสิ ยั สนทนาแต่ในเร่ืองของ พระธรรมวินยั ในเรอ่ื งการบาํ เพ็ญบญุ อยา่ งเดยี ว อริยอโุ บสถ นี้ จงึ เป็นอโุ บสถทีน่ บั ว่าประเสรฐิ ท่สี ดุ . เบญจกลั ยาณธรรม กลั ยาณธรรม แปลวา่ ธรรมอนั งาม เมอ่ื กลา่ วโดยความกค็ อื ขอ้ ปฏิบตั พิ ิเศษท่ยี ่ิงขนึ้ ไปกวา่ ศีลและเป็นคู่ กบั ศีล ดงั พระบาลที ่ีแสดงคณุ ของกลั ยาณชนวา่ เป็นผมู้ ศี ีล มีกลั ยาณธรรม ศีลกบั ธรรมตอ้ งค่กู นั ขอ้ นตี้ อ้ งสนั นษิ ฐานวา่ ผเู้ วน้ จากขอ้ หา้ ม ๕ ขอ้ ไดช้ อ่ื ว่าผมู้ ีศลี แตผ่ มู้ ศี ลี จะชอื่ วา่ มี กลั ยาณธรรมทกุ คนหามไิ ด้ เชน่ คนหนง่ึ เป็นคนมีศีลไปทางเรือ พบเรอื ล่มคนกาํ ลงั วา่ ยนา้ํ อยู่ เขาสามารถทีจ่ ะ ชว่ ยไดแ้ ตไ่ มช่ ว่ ย จนคนนน้ั จมนาํ้ ตาย ศลี ของเขาไม่ขาด แตป่ ราศจากความกรุณา ยงั เป็นที่น่าตเิ ตยี นเพราะส่วน
หนา้ ๙๒ เบญจศลี เบญจธรรม ธรรมศึกษาช้ันตรี นน้ั จะจดั ว่าเขามกี ลั ยาณธรรมไมไ่ ด้ ถา้ เขาเหน็ แลว้ มีความกรุณาเตือนใจ หยดุ ชว่ ยคนนน้ั ใหพ้ น้ อนั ตรายได้ จงึ ชือ่ วา่ มที งั้ ศีล มที งั้ กลั ยาณธรรม กลั ยาณธรรมนมี้ ี ๕ อยา่ ง จึงเรยี กวา่ เบญจกลั ยาณธรรม ท่านจดั ตามสกิ ขาบทในเบญจศีลน่นั เอง ดงั นี้ ๑. เมตตากบั กรุณา จดั ไดใ้ นสิกขาบทที่ ๑ ๒. สมั มาอาชีวะ จดั ไดใ้ นสิกขาบทที่ ๒ ๓. ความสาํ รวมในกาม จดั ไดใ้ นสกิ ขาบทที่ ๓ ๔. ความมีสตั ย์ จดั ไดใ้ นสิกขาบทท่ี ๔ ๕. ความมสี ตริ อบครอบ จดั ไดใ้ นสกิ ขาบทท่ี ๕ กัลยาณธรรม(เบญจธรรม) ในสกิ ขาบทที่ ๑ เมตตา ไดแ้ ก่ ความปรารถนาจะใหเ้ ขาเป็นสขุ ตนไดร้ บั ความสาํ ราญแลว้ กอ็ ยากใหค้ นอ่ืนไดบ้ า้ ง คณุ ขอ้ นีเ้ ป็นเหตใุ หส้ ตั วค์ ิดเกอื้ กูลกนั และกนั คนไมม่ ีความเมตตา ท่านเรยี กวา่ คนใจจดื การแสดงเมตตานี้ มลี ักษณะ ๒ อย่าง คอื ๑. โอทิสสผรณา หมายถงึ การแผเ่ มตตาไปในผอู้ น่ื โดยเจาะจง เช่น ในสตั วต์ วั น้นั ตวั นี้ ในบุคคล หรอื ในหม่คู ณะนน้ั เป็นตน้ ๒. อโนทสิ สผรณา หมายถงึ การแผ่เมตตา มี สตั ว์ บุคคล ไม่มปี ระมาณ โดยไมเ่ จาะจง (ท่วั ไป) อโนทิสสผรณานี้ จึงมีอานสิ งสม์ ากกว่า โอทสิ สผรณา เพราะว่าเป็นการแสดงว่าเราแผ่เมตตาไปไมเ่ ลอื กวา่ จะเป็น มิตรหรือศตั รู อานิสงสข์ องการแผเ่ มตตา ๑๑ ประการ คอื ๑. นอนหลบั กเ็ ป็นสขุ ๗. ไฟ ยาพิษ ศาสตรา ยอ่ มไมก่ ลา้ํ กราย ๒. ตื่นกเ็ ป็นสขุ ๘. จิตตงั้ ม่นั เป็นสมาธิเร็ว ๓. ไมฝ่ ันลามก ไม่ฝันรา้ ย ๙. สหี นา้ ย่อมเบกิ บานแจม่ ใส ๔. เป็นที่รกั ของมนษุ ยท์ งั้ หลาย ๑๐. ย่อมไมห่ ลงตาย คือ กอ่ นตายมีสติ ๕. เป็นทรี่ กั ของอมนษุ ยท์ งั้ หลาย ๑๑. เมอื่ ยงั ไม่ตรสั รู้ ยอ่ มเขา้ ถึงพรหมโลก ๖. เทวดาย่อมรกั ษา กรุณา ไดแ้ ก่ ความคดิ ปรารถนาจะใหเ้ ขาปราศจากทกุ ข์ เม่อื เหน็ ทกุ ขเ์ กิดขึน้ แกผ่ อู้ ื่น ก็พลอยหว่นั ใจไป ดว้ ย คณุ ขอ้ นี้ เป็นเหตใุ หส้ ตั วท์ งั้ หมายคดิ ชว่ ยเปลอื้ งทกุ ขภ์ ยั ของกนั และกนั คนท่ีไม่มคี วามกรุณา ท่านเรียกว่า คนใจดาํ
เบญจศีลเปญจธรรม ธรรมศกึ ษาชน้ั ตรี หน้า ๙๓ การแสดงความเมตตากรุณานี้ เมือ่ ใชถ้ กู ที่แลว้ ย่อมอาํ นวยผลอนั ดใี หแ้ ก่ผปู้ ระกอบ และผรู้ บั ทาํ ความ ปฏบิ ตั ิของผมู้ ีศีลใหง้ ามขนึ้ เหมอื นหวั แหวนประดบั เรอื นแหวน ใหง้ ามฉะนนั้ จงึ ชอื่ วา่ กลั ยาณธรรม ในสกิ ขาบทท่ี ๒ ในสกิ ขาบทที่ ๒ แห่งเบญจศลี นน้ั มีกลั ยาณธรรม คือ สมั มาอาชีวะเป็นคกู่ นั ไดแ้ ก่ การประกอบการ เลยี้ งชีพในทางท่ชี อบ เวน้ จากมจิ ฉาชพี ต่าง ๆ ทางท่ีชอบ แมเ้ วน้ จากมจิ ฉาชพี แลว้ ก็ยงั ตอ้ งประกอบดว้ ยกิรยิ าทีประพฤติเป็นธรรมในการหาเลีย้ งชีพอกี ซง่ึ จดั ไวเ้ ป็น ๓ อยา่ ง คือ ๑. ประพฤติเป็นธรรมในกิจการ ๒. ประพฤติเป็นธรรมในบคุ คล ๓. ประพฤตเิ ป็นธรรมในวตั ถุ คณุ ธรรมขอ้ นอี้ ดุ หนนุ ผมู้ ีศีลใหส้ ามารถรกั ษาศีลใหม้ ่นั คงยงั ยืน. ในสกิ ขาบทที่ ๓ ในสิกขาบทท่ี ๓ แห่งเบญจศีลน้นั มีกลั ยาณธรรม คือ ความสาํ รวมในกามเป็นค่กู นั ไดแ้ ก่กิรยิ าท่ี ระมดั ระวงั ไม่ประพฤตมิ กั มากในกาม ส่งความบรสิ ทุ ธิ์ผอ่ งใสของชายหญิงใหก้ ระจา่ งแจ่มใส ชายหญงิ เวน้ จาก คณุ ธรรมขอ้ นี้ กาเมสมุ จิ ฉาจารแลว้ แต่ยงั ประพฤตมิ กั มากอยใู่ นกามคณุ ยอ่ มไม่มีสง่าราศี ตกอย่ใู นมลทนิ ไม่พน้ จากการติฉิน นินทาไปได้ ธรรมขอ้ นี้ แจกตามเพศของบคุ คล เป็น ๒ คือ ๑. สทารสนั โดษ ความสนั โดษดว้ ยภรรยาของตน เป็นคณุ สาํ หรบั ประดบั ของชาย ๒. ปติวัตร ความประพฤตเิ ป็นไปตามสามขี องตน เป็นคณุ สาํ หรบั ประดบั ของหญิง. ในสกิ ขาบทท่ี ๔ ในสกิ ขาบทที่ ๔ แหง่ เบญจศีลน้นั มกี ลั ยาณธรรม คือ ความมสี ตั ยเ์ ป็นอยกู่ นั ไดแ้ ก่ กริ ยิ าท่ีประพฤติตน เป็นคนตรง มีอาการทีพ่ งึ เห็นเป็น ๔ อย่าง คอื ๑. ความเทีย่ งธรรม ๓. ความสวามภิ กั ดี ๒. ความซ่ือตรง ๔. ความกตญั �ู ความมสี ตั ย์ ทาํ ใหค้ นมศี ีลบริบูรณย์ งิ่ ขึน้ จงึ ชอื่ วา่ กลั ยาณธรรม ในสิกขาบทที่ ๔ ความมสี ตั ย์ ทา่ นจดั ว่ามีความสาํ คญั ท่ีสดุ ในเบญจศลี ๕ ขอ้ เพราะถา้ ขาดความมีสตั ยแ์ ลว้ เบญจธรรม ขอ้ อืน่ ก็จะสมบูรณไ์ ดย้ าก.
หน้า ๙๔ เบญจศีลเบญจธรรม ธรรมศึกษาช้นั ตรี ในสกิ ขาบทท่ี ๕ ในสิกขาบทท่ี ๕ แหง่ เบญจศีลนัน้ มกี ลั ยาณธรรม คือ ความมสี ติรอบคอบเป็นคกู่ นั ไดแ้ กค่ วามมีสติ ตรวจตราไมเ่ ลินเล่อ มีอาการท่ที า่ นแยกเป็น ๔ สถาน คอื ๑. ความรูจ้ กั ประมาณอาหารทจ่ี ะพึงบรโิ ภค ๒. ความไม่เลินเลอ่ ในการงาน ๓. ความมีสตสิ มั ปชญั ญะในการประพฤติตวั ๔. ความไม่ประมาทในธรรมชน คือ คนทีป่ ระพฤตดิ งี าม เป็นที่นยิ มนบั ถอื ของคนท่วั ไป ฯ __________________________________
Search