บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรมทเี่ กยี่ วขอ้ ง สารนิพนธ์เรื่อง “การใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา: กรณีศึกษาโรงเรียนพูลเจริญวิทยาคม” ผู้ทาสารนิพนธ์ได้ทาการทบทวน วรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือนามาใช้สนับสนุนการสร้างกรอบแนวคิด การวดั ตัวแปร และการนิยามตัว แปร โดยมีรายละเอียดในการนาเสนอตามลาดบั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. แนวคดิ และทฤษฎี 2. งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 3. กรอบแนวคดิ การวจิ ัย 4. การวัดตัวแปร 5. รายการตัวแปร 6. นิยามตัวแปร แนวคดิ และทฤษฎี 1. นยิ ามและความหมาย 1.1 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร หรือ ไอซีที มาจากคาในภาษาอังกฤษ คือ Information and Communication Technology หรือ ICT โดยมผี ู้ให้ความหมายไวด้ งั นี้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร หมายถึง เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องกับข่าวสารข้อมูลและ การส่ือสาร นับตั้งแตก่ ารสร้าง การนามาวิเคราะห์หรือประมวลผล การรับและส่วนข้อมูล การจัดเก็บ และการนาไปใช้งานใหม่ เทคโนโลยีเหล่าน้ีมักจะหมายถึงคอมพวิ เตอร์ซึ่งประกอบด้วยส่วนฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วร์และส่วนขอ้ มลู (Data) และระบบการส่ือสารต่างๆ ไมว่ ่าจะเปน็ โทรศัพท์ ระบบสือ่ สารขอ้ มูล ดาวเทียมหรือเครื่องมือสื่อสารใดๆ ท้ังมีสายและไร้สาย (Wireless) (ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพวิ เตอรแ์ ห่งชาต,ิ 2545) กุลวิตรา ภังคานนท์ และสุชาดา ไชยรัตน์ (2545) ได้ให้คาจากัดความของไอซีทีว่าไอซีทีหรือ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คือ การผสานเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับระบบสื่อสาร โทรคมนาคม ดงั นนั้ โดยนยั แห่งความหมายจึงครอบคลุมองคป์ ระกอบต่างๆ 3 ส่วน คอื 1. ระบบสื่อสาร หมายถึง เครือข่ายโทรคมนาคมนับพันท่ีสามารถเชื่อมต่อกันได้และใช้ รว่ มกนั กนั ไดเ้ พอื่ การเชือ่ มต่อของขอ้ มูลและการเชอื่ มต่อของเครื่องขา่ ย
6 2. อุปกรณ์ท่ีใช้ในการสื่อสาร อันได้แก่ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ โทรสาร โทรศัพท์ เครือ่ งมือและการส่ือสารอนื่ ๆ และคอมพวิ เตอร์ 3. ซอฟท์แวร์ที่ทาให้ระบบและอุปกรณ์ทางานได้ เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ บริการสารสร เทศและฐานขอ้ มลู เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ แ ล ะ ก า ร สื่ อ ส า ร ( Information and Communications Technology : ICT)เป็นเทคโนโลยีที่เก่ียวกับระบบคอมพิวเตอร์ ระบบซอฟต์แวร์ ระบบข้อมูล สารสนเทศ ระบบเครอื ข่าย ระบบโทรคมนาคม วิทยุและโทรทศั น์ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2554:2) เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร เปน็ สว่ นผสมผสานระหวา่ งเทคโนโลยี 2 ประเภท คือ (กดิ านนั ท์ มลทิ อง, 2548) 1. เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) คือ การทางานร่วมกันระหว่าง ฮาร์ดแวร์(Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ในการประมวล จัดเก็บ เข้าถึง ค้นคืน นาเสนอ และเผยแพรส่ ารสนเทศด้วยอปุ กรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ สาหรับคอมพวิ เตอรท์ ี่มสี มรรถนะสูงมาก สามารถ ทางานนอกเหนอื จากการประมวลผลและจดั เก็บขอ้ มูลธรรมดา้ นมาเปน็ สอ่ื ในการสรา้ งภาพ 3 มิติ การ ตัดต่อภาพยนตร์ การผสมเสียงและเป็นตัวกลางในการนาเสนอสารสนเทศรูปลักษณ์ต่างๆ ตัวอย่าง ของฮาร์ดแวร์ ไดแ้ ก่ อปุ กรณ์ใด ๆท่ีมีชิพคอมพิวเตอร์เป็นส่วนประกอบ เช่น คอมพวิ เตอร์ กล้องถ่าย ดิจิตอล โทรศัพท์เซลลูลาร์และรวมถึงวัสดุ เช่น สมาร์ดการ์ด ตัวอย่างของซอฟต์แวร์ เช่น โปรแกรม ประมวลคา โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมตดั ตอ่ ภาพเคลื่อนไหว เปน็ ตน้ 2. เทคโนโลยีการส่ือสาร (Communication Technology : CT) คือ อุปกรณ์และวิธีการ ในการสื่อสารโทรคมนาคมเพ่ือการเข้าถึง ค้นหาและรับส่งสารสนเทศด้วยความรวดเร็ว ตัวอย่าง เช่น โมเดม็ การสง่ สัญญาณผ่านดาวเทียม การประชมุ ทางไกล เป็นตน้ สรุป เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารหรือไอซที ี (Information and Communications Technology: ICT) คอื คอมพวิ เตอร์ อปุ กรณ์ตอ่ พ่วงที่เกย่ี วข้อง และซอฟต์แวร์มาทางานประมวลผล บนั ทึก จัดเก็บอย่างเป็นระบบ สามารถสืบค้น และนาเสนอสารสนเทศ และยังรวมถึงการใชเ้ ครือข่าย ในการส่ือสารเพ่ือรับส่งสารสนเทศ โดยไอซีทีแบบใหม่มุ่งเน้นไปท่ีคอมพิวเตอร์ การสื่อสารผ่าน ดาวเทียม เครือข่ายแบบมีสายและไร้สาย อินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการใช้อุปกรณ์ การประยุกต์ใช้ งานหรือการบรกิ าร
7 1.2 การใช้ประโยชน์ การใชป้ ระโยชน์ คือ การใช้ หมายถงึ การเอามาทาประโยชน์ และ ประโยชน์ หมายถงึ สิ่งที่ สาเร็จตามตอ้ งการ, ผลดี, ผลท่ใี หค้ ุณ (มตชิ น, 2547) การใช้ประโยชน์ คือ การใช้ หมายถึง การเอามาทาให้เกิดผลหรือประโยชน์ และ ประโยชน์ หมายถึง ส่ิงที่มีผลใช้ได้ดีสมกับที่คิดมุ่งหมายไว้, ผลที่ได้ตามต้องการ, ส่ิงที่เป็นผลดีหรือเป็นคุณ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2554) การใช้ประโยชน์ หมายถึง การประยุกต์และปรับใช้ให้เกิดผลอย่างสูงท่ีสุด โดยมีผู้ให้ ความหมายไว้ดังนี้ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง การนาไอซีทีไปใช้ ประโยชน์อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม ซ่ึงมีการใช้ประโยชน์กันอย่าง หลากหลายดา้ น โดยมดี า้ นหลัก 4 ดา้ น ดังน้ี (ไพรัช ธชั ยพงษ,์ 2541) 1. ด้านการศึกษา เช่น การใช้ประโยชน์จากไอซีทีในการให้บริการวิชาการ(สอน/บรรยาย/ ฝึกอบรม) การใช้ประโยชน์ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน การเขียนตารา แบบเรียน การใช้ประโยชนใ์ นด้านการให้บริการ เปน็ ต้น 2. ด้านสังคม เช่น การใช้ประโยชน์จากไอซีทีในการบันทึกข้อมูลประชาชนกร ข้อมูลทาง การศกึ ษา ข้อมลู ทางเศรษฐกิจ เปน็ ตน้ 3. ด้านบันเทิง เช่น การใช้ประโยชน์จากไอซีทีในการ สร้างคอนเทนท์ แอปพลิเคช่ัน หรือ รายการโทรทัศน์ รวมถึงเกมสต์ า่ งๆ เปน็ ต้น 4. ด้านเศรษฐกิจ เช่น การใช้ประโยชน์ไอซีทีที่เก่ียวกับการทาธุรกรรมทางการเงิน ซื้อ-ขาย ของทางออนไลน์ การโอนเงิน จองตั๋วหนงั ออนไลน์ เป็นตน้ สรุป การใช้ประโยชน์คือการนาส่ิงๆหน่ึงไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมากท่ีสุด ไม่ว่าจะเป็น การใชป้ ระโยชน์จากพชื การใช้ประโยชนจ์ ากดิน และการใช้ประโยชน์อืน่ ๆ อีกทงั้ ในชีวิประจาวนั เราก็ นาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์กับทุกๆด้านของชีวิต เพื่ออานวยความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและเงิน กบั ตัวเราเอง 2. แนวคดิ เก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสามารถแบ่งตามประเภทการนามาใช้งานได้เป็น 5 ประเภท ดังตอ่ ไปน้ี (ชาลินี บุญยะศพั ท์, 2556) 1. เทคโนโลยีทใี่ ชใ้ นการบนั ทึกขอ้ มลู เทคโนโลยที ใี่ ช้ในการบันทกึ ขอ้ มูล (Input Technology) หมายถึง เทคโนโลยีสารสนเทศทใี่ ช้ ในการนาเสนอข้อมูลเข้าไว้ในส่ือจัดเก็บ โดยการใชเ้ ทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ใน
8 การบันทึกข้อมูลประเภทต่างๆ และแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบท่ีคอมพิวเตอร์อ่านได้ โดยท่ัวไปการ นาข้อมูลเข้าเป็นการป้อนข้อมูลเข้าโดยวิธีผ่านทางแป้นพิมพ์และอุปกรณ์อื่นๆ วิธีเขียนหรือลากเส้น สแกนภาพ และโดยทางเสียง เช่น ดาวเทียม(Satellite), กล้องดิจิทัล(Digital Camera), เครอ่ื งเอกซเรย(์ X-ray machine) เปน็ ตน้ 2. เทคโนโลยที ่ใี ช้ในการจดั เกบ็ ข้อมลู เทคโนโลยีท่ีใช้ในการจัดเก็บข้อมูล (Storage Technology) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้จดั เก็บข้อมูล ลงในสื่อที่จัดเก็บเฉพาะเพือ่ สามารถนาข้อมูลหรือโปรแกรมกลับมาใชซ้ ้าได้ เป็นการจดั เก็บข้อมูลไว้ใน หน่วยความจารอง (Secondary Storage) การจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่หน่วยความจา 2 ประเภท คือ การ เก็บและอ่านข้อมูลแบบเรียงลาดับ และแบบเข้าข้อมูลถึงโดยตรง เช่น ฟลอปปีดิสก์ (Floppy Disk), ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk ) ,แผ่นซีดีรอม(CD-ROM Drive) ,ดีวีดี (DVD) ,แฟลชไดรฟ์ (USB) ,เทป แบ็คอัพ ( Tape Backup ), การด์ เมมโมรี ( Memory Card ) เปน็ ต้น 3. เทคโนโลยีท่ีใช้ในการประมวลขอ้ มูล เทคโนโลยีท่ีใช้ในการประมวลข้อมูล (Process) ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนา ข้อมูลมาคานวณทางคณิตศาสตร์ เปรียบเทียบข้อมูลในทางตรรกะตามคาส่ัง และจัดเก็บข้อมูลและ คาส่ังในหน่วยความจาหลักรวมท้ังควบคุมระบบเวลาของเคร่ือง อุปกรณ์ที่ทาหน้าท่ีประมวลผลของ คอมพวิ เตอร์ คือ หน่วยประมวลผลกลางหรอื ซพี ยี ู (Central Processing Unit - CPU) มสี ว่ นประกอบ สาคัญคือ หน่วยคานวณและตรรกะ ทาหน้าที่ประมวลผลตามเงื่อนไขที่กาหนด และหน่วยควบคุมทา หนา้ ท่คี วบคุมกระบวนการทางานของคอมพิวเตอร์ 4. เทคโนโลยที ี่ใช้ในการแสดงผลข้อมลู เทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ นการแสดงผลขอ้ มูล (Display Technology) หมายถงึ เทคโนโลยีท่ที าหนา้ ท่ี แปลงข้อมูลที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผล ซ่ึงอยใู่ นรูปดิจิตอลให้อยู่ในรูปแบบท่ีผู้ใชน้ าไปใชง้ านได้ ต่อไป เช่น จอภาพ (Monitor), อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector), เคร่ืองพิมพ์อักษร (Character printer), ลาโพง (Speaker) , หูฟัง (Headphone) เป็นตน้ 5. เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการสื่อสารข้อมูล เทคโนโลยีท่ีใชใ้ นการสื่อสารข้อมูล (Communication Technology) เป็นการนาเทคโนโลยี โทรคมนาคมมาใช้ในการส่ือสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การส่ือสารข้อมูล (Data Communication) เป็นการแลกเปล่ียนข้อมูลระหวา่ อุปกรณค์ อมพิวเตอรท์ ี่มีองค์ประกอบพื้นฐานคือ ผูส้ ่งหรือเครื่องส่ง และผู้รับหรอื เครื่องรับ ส่ือท่ีใชใ้ นการรับส่ง และข้อมูลท่ีรับสง่ ผ่านสื่อในรูปของรหัส ดิจิทัล สื่อที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลจะเป็นส่ือสัญญาณซ่ึงแบ่งได้ 2 ประเภท คือ เทคโนโลยีและการ สื่อสารข้อมลู ทางสาย และไรส้ าย
9 เน่ืองจากไอซีทมี ีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว มที งั้ เทคโนโลยีรุ่นเก่าและเทคโนโลยี รุ่นใหม่ และมีรูปแบบท่ีหลากหลาย ไอซีทีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันเกือบจะเรียกได้ว่ามองไป ทางไหนๆก็ต้องพบเจอกับประโยชน์และความสะดวกสบายของส่ิงที่เรียกว่าไอซีที ปัจจุบันในวงการ ไอซีทมี ีการแบง่ ออกเป็น 2 ยุค ดงั น้ี 1. ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC Era) คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) หรือ พีซี (PC) สาหรบั ใชส้ ่วนบคุ คล และยัง รวมหมายถึง คอมพิวเตอร์ต้ังโต๊ะ (Desktop Computer) คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Laptop computer) และคอมพวิ เตอร์แบบรบั ขอ้ มูลดว้ ยการเขียนบนจอภาพ (Tablet computer) โปรแกรม ระบบปฏิบัติการ (Operating Systems) ท่ีนยิ มใชไ้ ดแ้ ก่ โปรแกรม Microsoft Windows, โปรแกรม Mac OS X และ Linux โดยหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) นิยมใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ตระกูล x86 (x86-compatible CPUs) , ARM architecture CPUs และ PowerPC CPUs โปรแกรมประยุกต์ (Application Software) ได้แก่ โปรแกรมประมวลผลคา (Word Processing) โปรแกรมตาราง คานวณ (spreadsheets) โปรแกรมฐานข้อมูล (databases) โปรแกรมเกมส์ และโปรแกรมสนับสนุน การทางานส่วนบุคคลอีกมากมาย เคร่ืองพ๊ซีท่ีทันสมัยจะมาพร้อมกับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง (High-speed Internet) หรือ โมเด็ม ให้ผู้ใช้ได้เข้าถึง World Wide Web และ แหล่งข้อมลู มหาศาล เคร่ืองพีซีอาจเปน็ เคร่อื งคอมพิวเตอร์ท่ใี ชป้ ระจาบา้ น (Home Computer) หรือ อาจพบใช้ในงานสานักงานท่ีมักจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่น (Local area Network) ลักษณะเด่นจะเป็นเครื่องที่ถูกใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว ซึ่งต่างจากระบบประมวลผล แบบ batch processing หรอื time-sharing ที่มคี วามซบั ซอ้ น ราคาแพง มกี ารใชง้ านจากคนหมมู่ าก พร้อมๆ กัน หรือระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการทีมทางานเต็มเวลาคอยควบคุมการ ทางาน ผู้ใช้ \"PC\" ในยุคแรกต้องเขียนโปรแกรมขึ้นใช้งานเอง แต่มาในปัจจุบัน ผู้ใช้มีโปรแกรมให้ เลอื กใชท้ ี่หลากหลายทั้งแบบทีซ่ อื้ ขายเชิงพาณชิ ยแ์ ละไมเ่ ชิงพาณิชย์ ซึ่งล้วนแลว้ แตต่ ิดตง้ั ไดง้ า่ ย คาว่า \"คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล\" เร่ิมมีใชต้ ั้งแต่ พ .ศ.2515 (ค.ศ. 1972) สาหรับกล่าวถึงเคร่ือง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสาเร็จของไอบีเอ็มพีซี ทาให้การ ใช้คาวา่ คอมพิวเตอรส์ ว่ นบคุ คลหมายถึง เคร่อื งไอบเี อม็ พีซี (ชลธชิ า ชุ่มมงคล, 2557) 2. ยคุ หลังคอมพิวเตอร์สว่ นบคุ คล (Post-PC) ยุคหลังคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Post-PC) คือ ยคุ ที่ PC กาลังจะถกู ใช้นอ้ ยลง และมี อุปกรณ์ (Devices) อน่ื ๆ มาทดแทนเพิ่มมากข้นึ เช่น Tablet, Smart Phone, Smart TV, เคร่ืองเล่นเกม รวม ไปถึงตัวรับสัญญาณโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ซึ่ง อุปกรณ์ (Devices) เหล่าน้ีสามารถเข้าถึง อินเตอร์เน็ตและทางานทดแทนการใช้คอมพิวเตอร์ได้ ทาให้ผู้บริโภคท่ีใช้พีซีบ้านกับทุกกิจกรรม เช่น
10 เชค็ เมล์ ดูเวบ็ หรอื แม้แต่กระทัง่ ฟงั เพลง ย้ายข้นึ ไปทากจิ กรรมดังกลา่ วบนสมารท์ โฟนหรือบนอุปกรณ์ อ่ืนที่มีความสามารถเทียบเคียง และโดยตามสถิติแล้ว อุปกรณ์ (Devices) มีความหลากหลาย ประเภทเข้ามามีบทบาทมากขึ้น บวกกับการที่ใช้ Desktops และ Laptops กันน้อยลง ทาให้ผู้คน ส่วนใหญ่เข้าถึงข้อมูลทาง Internet ผ่าน อุปกรณ์ (Devices) มากกว่า ง่ายกว่า และสะดวกกว่า เรียกได้วา่ ทกุ ที่ ทกุ เวลา (อนริ ทุ ธิ์ รชั ตะวราห,์ 2555) สรุป เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นเครื่องมือท่ีใช้คอมพิวเตอร์เป็นพ้ืนฐาน มี กระบวนการจัดเก็บ สร้าง และสื่อสารข้อมูล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงที่เก่ียวข้องกับ การจดบนั ทึก จัดเกบ็ ประมวลผล คน้ คนื รบั สง่ ข้อมูล ซ่งึ รวมถึงเครอ่ื งมือ และอุปกรณต์ า่ งๆ 3. แนวคดิ และทฤษฎีการแพรก่ ระจายนวตั กรรม Rogers (1995 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) ได้อธิบายความหมายของนวัตกรรม คือ การปฏิบตั ิหรือวัตถุที่ผู้นาไปใช้คิดว่าเป็นสิ่งใหม่โดยพิจารณาจากลักษณะของนวตั กรรม มีความหมาย ครอบคลุมถึงเรื่องราวตา่ งๆ อยา่ งกว้างขวาง อาจเป็นแนวความคิดใหมก่ ารปฏบิ ัตใิ หม่หรอื ส่ิงใหม่ท้ังที่ สามารถและไมส่ ามารถมองเหน็ หรอื สัมผสั ได้ด้วยประสาทท้งั ห้า รวมทั้งทเี่ ป็นแบบแผนพฤติกรรมตาม ระบบสังคม ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ตลอดจนส่ิงประดิษฐ์ใหม่ๆ และด้านท่ีไม่เป็นวัตถุ ได้แก่ ความ เช่ือ ความนกึ คิด ความศรทั ธา ซึ่งเปน็ เรือ่ งใหม่ๆท่ีเกดิ ขน้ึ จากภายในจิตใจของบคุ คล Bernett (1953 อ้างถึงใน วชั รพล คงเจริญ, 2557) นวตั กรรม หมายถึง การกระทาหรือส่ิงท่ี บุคคลเห็นว่าใหม่ โดยข้ึนอยู่กับบุคคลว่าจะมองเห็นเป็นส่ิงใหม่หรือไม่ ถ้าเห็นว่าเป็นสิ่งใหม่ถือได้ว่า เปน็ นวัตกรรม ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2526) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมว่า การปฏิบัติสิ่งใหม่ๆ โดยต่าง ไปจากเดิม ซึ่งได้มาจากการค้นพบส่ิงใหม่หรือเป็นการพัฒนาข้ึนมาจากสิ่งเดิม และมีการทดลองจน เปน็ ที่ยอมรบั วา่ สามารถใช้ไดเ้ ป็นอย่างดี ดงั น้ัน จะเห็นได้ว่านวัตกรรมไม่ได้หมายถึงส่ิงท่ีค้นพบครั้งแรกเสมอไปอาจเป็นส่ิงท่ีมีอยู่แล้ว และมีการเปลี่ยนแปลงเจตคติในการรับรู้ส่ิงน้ันถือได้ว่าเป็นนวัตกรรม Rogers (1995 อ้างถึงใน วัช รพล คงเจริญ, 2557) ก็ได้ และต้องเกิดจากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ท่ีมีประโยชน์ต่อ เศรษฐกิจและสังคมดว้ ย (สานกั งานนวตั กรรมแหง่ ชาติ, 2553) Solomon (1966 อ้างถงึ ใน วชั รพล คงเจรญิ , 2557) ไดอ้ ธิบายความหมาย การแพร่กระจาย นวัตกรรม (Diffusion Innovation) ไว้ว่า เป็นกระบวนการสินค้าบริการหรือแนวคิดแบบใหม่ แพร่กระจายไปยงั ประชาชน โดยอัตราการแพร่กระจายสินค้าใหม่จะมีความแตกต่างกันไปในสนิ ค้าแต่ ละประเภท เช่น วิทยุ สามารถเข้าถึงคนอเมริกันโดยใช้เวลา 38 ปี ใช้เวลา 13 ปี สาหรับโทรทัศน์ เว็บไซต์ทางอนิ เทอร์เนต็ ใชเ้ วลาแค่ 4 ปี และสาหรบั การแพรก่ ระจายนวตั กรรมอย่าง IPOD ใช้เวลาแค่
11 3 ปี และย่ิงไปกว่าน้ันใช้เวลาในการแพร่นวตั กรรมของกลุ่มคน ส่ือสังคมออนไลน์ (Social Network) อยา่ ง Facebook ถึง 60 ล้านคน Roger (1962 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) ได้แบ่งกลุ่มคนในสังคมท่ีจะยอมรับการ แพร่กระจายทางเทคโนโลยีไว้ดังน้ี ตารางท่ี 2.1 การแบ่งกลมุ่ คนในสังคมทจ่ี ะยอมรับการแพรก่ ระจายทางเทคโนโลยี เขยี นภาษาไทยก่อนแล้ววงเล็บภาษาอังกฤษ กลุ่มคนในสงั คม เปอรเ์ ซน็ พฤติกรรม บุคลิกลักษณะ กลุม่ นกั นวตั กรรม 2.5 ต้องเปน็ คน ผู้ท่ีชอบเสี่ยง มคี วามรู้ เปน็ นักประดิษฐห์ รอื มี (Innovators) แรก ความรอบรเู้ ทคโนโลยี กล่มุ หัวกา้ วหนา้ 13.5 ชอบของใหม่ ชอบเป็นผู้นา ไดร้ ับความนยิ มทางสงั คมมี (Early Adopters) การศกึ ษาชอบความใหม่ กลุ่มคนทวั่ ไป 34 อยากมบี ้าง เปน็ คนรอบคอบ ชอบแบบสบายๆ ไม่เป็น (Early Majority) ทางการ กลมุ่ คนอนรุ ักษน์ ิยม 34 จาเปน็ ต้องมี เป็นคนชา่ งสงสยั หัวโบราณ ฐานะไม่ดี (Late Majority) กล่มุ คนลา้ หลัง 16 กด็ ีเหมือนกนั รบั ฟังข้อมูลจากคนรอบข้าง เช่น เพ่อื น หรอื (Laggards) ญาติและกลัวการเปน็ หน้ี ทีม่ า : Roger, E. M. (1962). Diffusion of innovations. New York: Free. Roger (1962 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) ได้อธิบายให้เห็นถึงพฤติกรรมและ บุคลิกลักษณะของบุคคลแต่ละกลุ่มในสังคมเพื่อให้เข้าใจวิธีการรับเทคโนโลยีของคนแต่ละกลุ่มใน สงั คมเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจวธิ กี ารรับเทคโนโลยขี องคนแต่ละกล่มุ ในสงั คมได้ดงั น้ี กลุ่มนักนวัตกรรม (Inventor) คือ คนกลุ่มแรกในสังคมท่ีนอกจากเป็นทั้งผู้ประดิษฐ์คิดค้น แล้วยังรวมไปจนถึงผู้ใชง้ านทีม่ ีความรู้ด้านเทคโนโลยีและชอบติดตามเทคโนโลยีอยู่เสมอ กลุ่มหัวก้าวหน้า (Early Adopters) เป็นกลุ่มที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ และค่อนขา้ งมฐี านะ อาจ เป็นนกั วิชาการหรือคนดงั ในสงั คม กลุ่มคนทั่วไป (Early Majority) กลุ่มนี้กว่าจะตัดสินใจได้ต้องคิดหลายรอบแต่ต้องใช้งานๆได้ งา่ ย กล่มุ นมี้ กั ดูจากการตดั สินใจของสองกลุ่มแรก กลุ่มคนอนุรักษ์นิยม (Late Majority) กลุ่มนี้กว่าจะมีใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอาจจะเริ่ม ตกรุ่นไปแลว้ และมีความจาเปน็ ต้องการใชง้ านจรงิ ๆจึงจะใช้
12 กลุ่มคนล้าหลัง (Laggards) เป็นกลุ่มท่ีมีใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเม่ือตกรุ่นไปแล้ว และ เป็นกลุ่มสุดท้ายในสังคม กลุ่มนี้จะเลือกซ้ือโดยสอบถามข้อมูลจากคนรอบข้างโดยเฉพาะดูพฤติกรรม ของคนในสังคมกลมุ่ ก่อนๆ Roger (1962 อ้างถึงใน วชั รพล คงเจรญิ , 2557) ได้สร้าง S-curve เพื่ออธบิ ายกระบวนการ แพร่กระจายของเทคโนโลยีในสังคมเป็นขั้นตอนให้เห็นภาพเข้าใจง่ายดังภาพที่ 2.1 เพื่อท่ีจะสามารถ คาดการณ์ว่าช่วงเวลาใด สังคมจะเกิดการยอมรับเทคโนโลยี ช่วงเวลาใด เทคโนโลยีน้ันจะหมดความ ต้องการดงั ตอ่ ไปน้ี ภาพท่ี 2.1 กระบวนการแพรก่ ระจายเทคโนโลยใี นสังคม (S-Curve of Technology’s Everett) ที่มา : Rogers, E. M. (1962). Diffusion of innovations. New York: Free ปรเมศวร์ กุมารบุญ (2550) ไดอ้ ธบิ ายการจุดกาเนิดของเทคโนโลยีในสังคม โดยแกน Y แทน ประสิทธิภาพหรือเทียบจานวนผู้ใชใ้ นสังคมก็ได้เช่นกัน ส่วนแกน X เป็นเวลาสถานะท่ี 1 (Section I) เป็นชว่ งเวลาของการประดิษฐ์คิดค้นจนประสบความสาเร็จออกมา และเริ่มทดสอบวางตลาด สถานะ ที่ 2 (Section II) เป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมีการปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมให้รับรู้ว่ามี เทคโนโลยีนแี้ ล้ว และสังคมเรียนรู้ถึงเทคโนโลยนี ้ีไปจนถึงการได้รับความนิยมจากคนในสงั คม เกดิ เป็น ธุรกิจนวตั กรรมรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว และพร้อมกับการเตบิ โตของจานวนผู้ใช้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับ การทาธุรกิจท่ีสุด และทุกคนอยากทาธุรกิจในช่วงเวลาน้ี และแน่นอนที่สุดผู้ที่มีนวัตกรรมใหม่ควรจะ เข้าสตู่ ลาดในช่วงนี้ สถานะที่ 3 (Section III) เป็นชว่ งเวลาท่เี ทคโนโลยอี ่ิมตวั ประสทิ ธภิ าพการพฒั นา ของเทคโนโลยีน้ันถึงขีดสุดของทรัพยากรที่ใช้ผลิต ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้แล้ว ประสิทธิภาพของ
13 เทคโนโลยีจะมีใช้คงที่ โดยไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้จนกว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่มาทดแทน และ เทคโนโลยนี ี้กจ็ ะหายไปจากสังคม Roger (1962 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) น้ันมีการนามาวิจัยและเกิดเป็นทฤษฏีต่อ ยอดโดย Moor (1991) เป็นทฤษฎีThe Chasm โดย Moore (1991) หรือทฤษฎี “หุบเหวแห่งการ ดบั ของนวตั กรรม” เป็นทฤษฎที ีไ่ มม่ วี ศิ วกรการตลาดคนใดในโลกไม่ร้จู กั โดยอธบิ ายให้เห็นภาพดังนี้ ภาพที่ 2.2 ทฤษฎหี ุบเหวแหง่ การดับของนวตั กรรม (The Chasm Model) หบุ เหวแหง่ ก ยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยีในสงั คมของ Moore (1991) ที่มา : Moore, G. A. (1991). Crossing the chasm: Marketing and selling high-tech priducts to mainstream customers. New York: HarperCollins Roger (1962 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) การเร่ิมยอมรับนวัตกรรมน้ันจะเกิดขึ้น (Birth) เม่ือหลังจาผ่านสถานะแรกหรือผ่านคนกลุ่มแรก กลุ่มนักนวัตกรรม (Innovators) คือ การ ได้รับการยอมรับจากนักประดิษฐ์นวัตกรรมหรือผู้ชอบติดตามเทคโนโลยีใหม่จานวนหนึ่ง ทดสอบ ทดลองจนสิ้นสงสัยและยอมรับเทคโนโลยีนั้นแล้ว ถัดไปก็จะเกิดการยอมรับของกลุ่มหัวก้าวหน้า (Early Adopters) และ กลุ่มคนทั่วไป (Early Majority) ได้ง่ายขึ้น แต่มัวร์ได้ให้ความสาคัญต่อการ ยอมรับนวัตกรรมในกลุ่ม หัวก้าวหน้า (Early Adopters) อย่างมากท่ีสุด และกลุ่มน้ีมีความสาคัญ อย่างยิ่งว่านวัตกรรมน้ันจะมีอยู่หรือดับไปในสังคม มัวร์จึงเปรียบว่าในคนกลุ่มน้ีจะมี “หุบเหว” ซ่ึง คอยดักนวัตกรรมใดๆ ว่าจะอยู่หรือดับไป และนวัตกรรมใดๆ จะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มหัว ก้าวหน้า (Early Adopters) กับผู้ผลิตจนกว่านวัตกรรมนั้นๆ จะตรงกับอุปสงค์ในสังคมจนเกิดการ ยอมรับในท่ีสุดหากนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีโทรคมนาคมใดผ่านหุบเหวนี้ไปได้ นวัตกรรมหรือ
14 เทคโนโลยีน้ันๆ จะเกิดการยอมรับและเกดิ ประโยชน์เชงิ พาณชิ ย์ในสงั คมอยา่ งทว่ มท้นเรียกว่าเปน็ ช่วง ทะยานขึ้นสู่ฟา้ ของธรุ กจิ ซึง่ จะทากาไรได้สูงสุด (ปรเมศวร์ กมุ ารบุญ, 2550) กระบวนการตัดสินใจการรับนวัตกรรมเป็นกระบวนการโดยบุคคลต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ตงั้ แต่มคี วามรู้เก่ียวกบั นวตั กรรมเป็นข้ันตอนแรก จากนั้นจะทาให้เกดิ ทัศนคตติ ่อนวัตกรรม ซ่ึงนาไปสู่ การตัดสินใจรับหรือปฏิเสธนวัตกรรมแล้วจึงมีการนาไปใช้ และจบลงด้วยการยืนยันในการตัดสินใจ Roger (1995) ดงั ภาพที่ 2.3 ภาพท่ี 2.3 กระบวนการตดั สินใจในการรับนวัตกรรม ทม่ี า : Rogers, E. M. (1995). Diffusion of innovations (3rd ed.). New York: Free. ท้งั น้จี ะสังเกตได้ว่าสภาวะทีเ่ ปน็ อยู่เดมิ มผี ลต่อกระบวนการตัดสินใจในการรบั นวัตกรรมซ่งึ สภาวะที่เปน็ อยเู่ ดิม ไดแ้ ก่ 1. ส่ิงที่ทาอยู่เดิม (Previous Practice) (Rogers, 1995) 2. การรับรู้ถึงความต้องการ/ปัญหา (Felt Needs/ Problem)-บุคคลอาจจะรับรู้ถึงความ ต้องการเม่ือทราบว่ามีนวัตกรรมเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้ามนวัตกรรมอาจนาไปสู่การรับรู้ถึง ความตอ้ งการของบุคคล (Rogers, 2003)
15 3. ความไวในการรับนวตั กรรม (Innovativeness)-ระดับซึ่งบุคคลหรือหน่วยรับนวัตกรรมอนื่ มี การรบั นวตั กรรมได้เร็วกวา่ สมาชกิ ของระบบสงั คมเดียวกนั (Rogers, 2003) 4. ธรรมเนียมปฏิบตั ิของสังคม (Norms of the Social System)-มีผลต่อการแพร่กระจายของ นวัตกรรม โดยมีอิทธิพลต่อทุกกลุ่มหรือกลุ่มย่อยของสังคม เช่น องค์การกลุ่มคนในศาสนา ต่างๆ กลุม่ คนในระดับท้องถน่ิ เช่น หมบู่ า้ น รวมถงึ มอี ทิ ธพิ ลในระดับประเทศเช่นกนั Rogers (2003 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) ได้อธิบายว่า ลักษณะของบุคคลท่ีส่งผลต่อ ความช้าหรอื เร็วในการรับนวตั กรรมมี 3 ประการ คอื 1. สถานภาพทางเศรษฐกิจสังคม ผู้ท่ีสามารถรับนวัตกรรมได้ไวจะเป็นผู้ที่มีทักษะความรู้สูง มี ระดับการศึกษาท่ีสูง มีสถานภาพทางสังคมสูง และมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าผู้ท่ีรับ นวัตกรรมได้ชา้ 2. บุคลิกภาพ ผู้ท่ียอมรับนวัตกรรมได้เร็วจะเป็นผู้ท่ีสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้มากกว่า สามารถเข้าใจส่ิงท่ีเป็นนามธรรมได้มากกว่า มีความเป็นเหตุเป็นผลกว่า มีความฉลาด มี ทศั นคติท่ีดีตอ่ การเปล่ียนแปลง สามารถยอมรับความไม่แน่นอนและความเส่ียงไดม้ ากกวา่ มี ทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ วิทยาศาสตรม์ ีความทะเยอทะยานสูงกวา่ สามารถรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน ที่แตกต่างไปจากตน ได้มากกว่า และเป็นผู้ท่ีควบคุมการดาเนินชวี ิตของตนได้มากกว่าผู้ท่ีรับ นวัตกรรมช้า 3. พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสาร การยอมรับนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าถ้าเป็นผู้ที่มีการเข้า ร่วมในกิจกรรมของสังคมต่างๆ มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงใหม่ๆ มีการเปิดรับ ต่อช่องทางการสื่อสารมวลชน และช่องทางการส่ือสารระหว่างบุคคลมากกว่ามีความรู้ เก่ยี วกับนวัตกรรมมาก มีความเปน็ ผ้นู าทางความคิดสูง มีการสื่อสารกับผู้อืน่ มากกวา่ สนใจใน การแสวงหานวัตกรรมใหม่ ปัจจัยด้านคุณลักษณะของนวัตกรรมนั้น เป็นส่วนประกอบของการแพร่กระจายของนวัตกรรม Rogers (1995 อ้างถึงใน วัชรพล คงเจริญ, 2557) ด้วย ซ่ึงข้ึนอยู่กับการรับรู้ของผู้รับนวัตกรรม ใน การศกึ ษานี้ จะขออธบิ ายเฉพาะคุณลกั ษณะของนวัตกรรมท่มี ผี ลต่ออัตราการรบั นวตั กรรม ไดด้ งั นี้ 1. คณุ ลักษณะในประโยชน์ในเชงิ เปรียบเทียบ (Relative Advantage) คอื องค์การหรือ บคุ คล รับรู้ว่านวัตกรรมเป็นส่ิงท่ีดีกว่าส่ิงที่มีอยู่เดิมหรือมีประโยชน์มากกว่าสิ่งท่ีมีอยู่เดิม เช่น ประโยชน์ในเชิงเปรียบเทียบด้านเศรษฐศาสตร์คือ ความคุ้มค่าหรือประสิทธิภาพในการ ทางานหรือประโยชน์เชิงเปรียบเทียบด้านสังคม ความสะดวกหรือความพึงพอใจยิ่งเห็น ประโยชนจ์ ากนวัตกรรมมากเท่าไรอัตราการรบั นวตั กรรมยง่ิ มากขนึ้ เทา่ นน้ั 2. คุณลักษณะความเข้ากันได้ (Compatibility) คือ ระดับท่ีนวัตกรรมได้รับการมองว่า สอดคล้องกับเทคโนโลยีหรือการทางานแบบเดิม สอดคล้องกับค่านิยม ความต้องการและ
16 ประสบการณ์ของผู้รับนวัตกรรม การรับนวตั กรรมซึ่งไมส่ อดคล้องหรือเขา้ กนั ไม่ไดก้ บั ค่านิยม จะเป็นกระบวนการท่ีช้ามาก เพราะผู้รับนวัตกรรมจะต้องเปล่ียนแปลงค่านิยมของตนเอง เสียก่อนจงึ จะทาให้ การรบั นวตั กรรมประสบความสาเร็จ 3. คุณลักษณะความซับซ้อน (Complexity) คือ ระดับท่ีนวัตกรรมได้รับการมองวา่ ยาก ต่อการ ใช้หรืออยากต่อความเข้าใจ ย่ิงมีความซับซ้อนมากเท่าไหร่การรับนวตั กรรมก็จะเป็นไปอย่าง ชา้ มาก 4. คุณลักษณะความสามารถในการนาไปทดลองใช้ (Trialability) คือ ระดับนวัตกรรมซึ่ง สามารถทดลองรบั ไปใช้บนพื้นฐานจากดั หน่ึง ซึ่งนวัตกรรมที่สามารถนาไปทดลองใช้และเห็น ผลย่อมทาให้อตั ราการรับนวัตกรรมสูงด้วย 5. คุณลักษณะการสังเกตได้ (Observability) คือ ระดับของผลที่เกิดจากนวัตกรรมที่สามารถ มองเห็นได้โดยผู้อื่น ย่ิงถ้าผลทางนวัตกรรมสามารถเห็นชัดเจนย่ิงทาให้การรับนวัตกรรมมี มากข้นึ จากการศึกษาของอิทธิพลต่อทัศนคติของผู้บริโภคในการยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ตามแนวคิด ของ Hanna และ Wozniak (2001 อา้ งถงึ ใน วชั รพล คงเจรญิ , 2557) พบวา่ 1. ความสะดวก ในปจั จบุ ันผบู้ รโิ ภคมีการใช้งานโทรศัพท์เคล่อื นที่และบริการส่งผ่านข้อมูล แบบ ไรส้ ายเพิม่ มากขึน้ เนือ่ งจากบริการตา่ งๆ ดังกล่าวทาให้การดารงชีวิตน้ันง่ายข้ึนสามารถเข้าถงึ สิง่ ต่างๆ ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น 2. ความสบาย ความสะดวก และความง่าย เป็นปัจจัยหลักในการเลือกใช้งานส่ิงต่างๆ ท่ีเป็น เทคโนโลยีโดยพบว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ต้องการท่ีจะเห็นเนื้อหาท่ีชัดเจนและมีขนาดใหญ่ กว่า จากโทรศพั ทเ์ คลอื่ นทปี่ กติ 3. ความเข้ากันได้กับเทคโนโลยีที่ใช้มาก่อน การยอมรับนวัตกรรมมีปัจจัยมาจากความ สอดคล้องระหว่างประโยชน์ของบริการใหม่ที่นาเสนอกับอุปกรณ์ท่ีนาเสนอบริการต่างๆ ใน ปจั จุบนั 4. ความปลอดภัย ในการตัดสินใจในการซ้ือสินค้าผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ความปลอดภัยถือเป็น ส่ิงสาคัญท่ีผู้บริโภคคานึงถึง ดังนั้นผู้ท่ีขายสินค้าผ่านโทรศัพท์เคลื่อนท่ีควรจะสร้างความ เชื่อมนั่ ตอ่ ผู้บริโภค เช่น การรบั ประกนั สนิ ค้า มีการคืนเงินหากผู้บริโภคไมพ่ อใจในสนิ ค้าหรือ การรับรอง คณุ ภาพจากสถาบันชนั้ นาทีเ่ ชอื่ ถอื ได้ 5. ประโยชน์การยอมรับนวัตกรรมมีปัจจัยมาจากความสอดคล้องระหว่างความต้องการของ ผบู้ ริโภคกับประโยชน์ของบริการท่ีนาเสนอ สรปุ การแพร่กระจายนวตั กรรมคือ การกระทาหรอื สินค้าหรือบริการใหม่ ท่ไี ดแ้ พรก่ ระจายเข้าไป ยังกลุ่มคนหรือสังคม ก่อนการเกิดการแพร่กระจายผู้ผลิตจะต้องมีรูปแบบการกระจายสินค้าหรือ
17 บริการต่างๆไปสู่ผู้ใช้ เพอื่ ให้ผู้ใช้ได้ทดลองนวัตกรรมเหล่านั้นว่าตอบโจทย์ ตรงต่อความต้องการของ ผู้ใชห้ รอื ไม่ ขัน้ ตอนนเี้ รียกวา่ การยอมรบั ซ่งึ อาจต้องใช้ระยะเวลา ผู้ใช้อาจจะยอมรับหรอื ปฏเิ สธก็ได้ 4. แนวคดิ เกี่ยวกบั การยอมรับเทคโนโลยี การยอมรับเทคโนโลยี เป็นการนาเทคโนโลยีท่ียอมรับมาใช้งานซ่ึงก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัว บุคคลหรือการเปลี่ยนแปลงต่างๆท่ีเก่ียวข้องกับพฤตกิ รรมทัศนคติ และการใช้งานเทคโนโลยีท่ีง่ายขึ้น นอกจากนี้การนาเทคโนโลยีมาใช้งานทาให้แต่ละบุคคลมีประสบการณ์ ความรู้ และทักษะในการใช้ งานเพมิ่ เตมิ (เกวรินทร์ ละเอยี ดดนี นั ท์, 2557) การยอมรับเทคโนโลยีเป็นข้ันตอน (Process) ท่ีเกิดขึ้นทางจิตใจภายในบุคคลเร่ิมจากได้ยิน ในเร่ืองวิทยาการน้ันๆจนยอมรับนาไปใช้ในท่ีสุด ซึ่งกระบวนการน้ีมีลักษณะคล้ายกับกระบวนการ เรียนรู้และการตัดสินใจ (Decision Making) โดยได้แบ่งกระบวนการยอมรับออกเป็น 5 ข้ันตอนคือ (ภานพุ งศ์ เสกทวีลาภ, 2557) 1. ขั้นรับรู้หรือต่ืนตน (Awareness Stage) เป็นขั้นเริ่มแรกท่ีนาไปสู่การยอมรับหรือปฏิเส ธส่ิงใหม่ หรือวธิ กี ารใหมข่ ั้นนี้เปน็ ข้ันที่ไดร้ ับรเู้ กี่ยวกับส่ิงใหม่ๆ(นวตั กรรม) ที่เกีย่ วข้องกับ การประกอบอาชีพหรือกิจกรรมของเขาแต่ยังได้รับข่าวสารไม่ครบถ้วนซ่ึงการรับรู้ส่วน ใหญเ่ ปน็ การรบั รโู้ ดยบงั เอิญจะทาให้เกิดความอยากรูแ่ ละแกป้ ัญหาท่ตี นเองมีอยู่ 2. ขั้นสนใจ (Interest Stage) เร่ิมให้ความสนใจรายละเอียดเก่ียวกับวิทยาการใหม่ๆเป็น พฤติกรรมที่มีลักษณะตั้งใจ และในขั้นน้ีได้รับความรู้เกี่ยวกับวิธีการใหม่มากข้ึนและใช้ วิธีการคิดมา กกว่าขั้นแรก บุคลิกภาพแล ะค่านิยมมีผล ต่อการติด ตา มข่าวสารหรื อ รายละเอียดของสิง่ ใหมห่ รือวทิ ยาการใหมด่ ้วย 3. ขั้นประเมินค่า (Evaluation Stage) เริ่มคิดไตร่ตรองหาวิธีลองใช้วิธีการใหม่ๆโดยมีการ เปรียบเทียบระหว่างข้อดีและข้อเสีย หากว่ามีข้อดีมากกว่าจะตัดสินใจใช้ โดยทั่วไป มั ก จ ะ คิ ด ว่ า วิ ธี ก า ร น้ี เ ป็ น วิ ธี ที่ เ ส่ี ย ง ไ ม่ ท ร า บ ถึ ง ผ ล ลั พ ธ์ ต า ม ม า จึ ง ต้ อ ง มี แ ร ง ผ ลั ก ดั น (Reinforcement) เพ่ือให้เกิดความแน่ใจโดยอาจมีคาแนะนาเพื่อใช้ประกอบในการ ตดั สนิ ใจ 4. ข้ันทดลอง (Trial Stage) เป็นข้ันตอนท่ีเริ่มทดลองกับคนส่วนนอ้ ยเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ ดกู อ่ น โดยทดลองใช้วิธกี ารใหม่ๆให้เข้ากับสถานการณ์ของตน ในข้ันนจ้ี ะสรรหาข่าวสาร ท่มี ีความเฉพาะเกย่ี วกับวทิ ยาการใหม่หรือนวตั กรรมนัน้ 5. ข้ันตอนการยอมรับ (Adoption Stage) เป็นขั้นที่ปฏิบัตินาไปใช้จริงซึ่งบุคคลยอมรับ วทิ ยาการใหม่ๆว่าเป็นประโยชน์ในสงิ่ น้นั แล้ว มกสาเนาเพ Rogers (1983 อา้ งใน อรทัย เลอื่ นวนั , 2555) กล่าวว่า การยอมรับเทคโนโลยีเป็นผลมาจาก เหตุการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ อยา่ งต่อเนือ่ งเปน็ กระบวนการดงั นี้
18 1. ข้ันตระหนักหรือขั้นตื่นตัว (Awareness Stage) เป็นขั้นท่ีบุคคลรู้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ เกิดขน้ึ แต่ยงั ขาดความรเู้ กีย่ วกบั เทคโนโลยีนนั้ 2. ข้ันสนใจ (Interest Stage) บุคคลเร่ิมมีความสนใจในเทคโนโลยี และพยายามแสวงหา ข้อมลู หรอื ความรู้เพ่มิ เติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนนั้ 3. ข้ันประเมินผล (Evaluation Stage) บุคคลจะประเมินผลในสมองของตนโดยลองคิดว่า ถ้าการยอมรับเทคโนโลยีนั้นมาใช้แล้วจะเหมาะสมกับเหตุการณ์ในปุจจุบันหรืออนาคต หรอื ไม่จะส่งผลคุม้ ค่าการเสี่ยงหรอื ไม่ 4. ข้นั ทดลอง (Trial stage) บุคคลจะนาเทคโนโลยีมาลองใช้หรือลองปฏิบัตใิ นวงจากัดกอ่ น เพอื่ ทดลองว่าเทคโนโลยนี ั้นมปี ระโยชนส์ ามารถเข้ากบั สถานการณไ์ ดห้ รอื ไม่ 5. ขั้นยอมรับ (Adoption Stage) บุคคลยอมรับเทคโนโลยีโดยนาเทคโนโลยีนั้นมาใช้อย่าง เตม็ ท่ีสมา่ เสมอ แนวคิดการยอมรับเทคโนโลยี (Technology Acceptance Model: TAM) ถูกพฒั นามาจาก ทฤษฎีการกระทาด้วยเหตุผล (Theory of Reasoned Action) ของ Ajzen และ Fishbein เป็น แบบจาลองที่อธิบายเก่ียวกับการยอมรับการใช้เทคโนโลยีของผู้ใช้งาน โดยเสนอว่าเมื่อผู้ใช้งานได้รับ การนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ งานและ ระยะเวลาของการใช้งาน หรือการยอมรับเทคโนโลยี ซง่ึ ประกอบด้วย 2 ปจั จัย ดังน้ี (อรทัย เล่อื นลั่น, 2555) 1. การรับรู้ถึงประโยชน์ท่ีได้รับ (Perceived Usefulness) ถูกจากัดความโดย Fred Davis ว่า ระดับความเช่ือของบุคคลตอ่ การใช้เทคโนโลยีนั้น ๆ วา่ จะช่วยเพิ่มประสิทธภิ าพในการทางานของ ตนได้ 2. การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน (Perceived Ease of Use) Davis ไดใ้ ห้คาจากัดความ ไว้วา่ ระดับความเช่อื วา่ การใชง้ านนั้นไมต่ ้องการความพยายามในการใชง้ าน นัน่ คือ ใช้งานง่ายน่ันเอง ปจั จบุ ันมกี ารนาเอาแบบจาลองการยอมรับเทคโนโลยี (Technology Acceptance Model: TAM) เข้ามาใช้ศึกษาเก่ียวกับการยอมรับเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างแพร่หลาย เช่น เก่ียวกับเกม ออนไลน์ การเรียนออนไลน์ช้อปปิ้งออนไลน์ Vijayasarathy (2004 อ้างถึงใน กนกวรรณ กาญจน ธานี, 2557) และการแบ่งปันข้อมูลท่องเท่ียวผ่านเว็บไซต์ Salwa (2005 อ้างใน สงวนศักด์ิ แก้วมุง คุณ, 2554) เป็นตน้ แสดงให้เห็นวา่ แบบจาลองการยอมรับเทคโนโลยี เป็นแนวคิด หนึ่งที่ไดร้ ับความ นิยมจากนักวจิ ัยด้านเทคโนโลยี ซ่ึงเปน็ ขอ้ มูลทส่ี าคญั นาไปสูก่ ารพัฒนานวัตกรรม หรือเทคโนโลยีใหม่ ออกมาใหผ้ บู้ ริโภคไดใ้ ชง้ านและพฒั นาตอ่ ยอดเทคโนโลยตี ่อไป หลักการของ TAM จะศึกษา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้ังใจแสดงพฤติกรรมการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ตัวแปรภายนอก (External
19 Variables) การรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับจาก เทคโนโลยีสารสนเทศ (Perceived usefulness หรือ PU) การรับรู้ว่าเป็นระบบที่งา่ ยต่อการใช้งาน (Perceived Ease of Use หรือ PEOU) และทัศนคติท่ี มีตอ่ การใช้งาน (Attitude toward Using) (สงิ หะ ฉวสี ุข และสนุ นั ทา วงศจ์ ตุรภทั ร, 2555) ภาพท่ี 2.1: แบบจาลองการยอมรับเทคโนโลยี (Technology Acceptance Model: TAM) Perceived Usefulness External Attitude Behavioral Actual Variables toward Intention System Using To Use User Perceived Ease of Use ที่มา : Davis, F. D. (1989 อา้ งถึงในสงวนศักดิ์ แกว้ มุงคณุ , 2554) การรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับจากเทคโนโลยี คือ ปัจจัยท่ีกาหนดการรับรู้ในแต่ละ บุคคลว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบตั ิงานไดอ้ ย่างไร และเปน็ ปัจจัย ที่ส่งผล โดยตรงต่อความตั้งใจแสดงพฤติกรรมการใช้ด้วย ซ่ึง Davis และ Arbor (1989 อ้างถึงใน ภัทราวดี วงศ์สุเมธ, 2556) อธิบายถึง การรับรู้ถึงประโยชน์ท่ีได้รับ คือ ระดับความเชื่อเฉพาะบุคคลต่อการใช้ เทคโนโลยีน้ัน ๆ ว่าจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทางานของตนได้ ซ่ึงคนท่ีจะใช้หรือไม่ใช้นั้นอยู่ ท่ีว่า ส่ิงนัน้ จะชว่ ยให้การทางาน ของเขาดีขึ้นหรอื ไม่ และยงั รวมไปถงึ ความรวดเร็วและความถูกต้องที่ ทาให้งานมีประสิทธิภาพ Davis (1989 อ้างถึงใน ภัทราวดี วงศ์สุเมธ, 2556) นอกจากนี้ ยังต้องดูถึง การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งานของแต่ละบคุ คล ถ้าหากเทคโนโลยีที่มี การใช้งานที่ยากเกินไปก็จะมี ผลต่อประสทิ ธภิ าพและประโยชน์ต่องานไปด้วย การรับรู้ว่าเป็นระบบที่ง่ายต่อการใช้งาน คือ ปัจจัยท่ีกาหนดในแง่ปริมาณหรือความสาเร็จที่ ได้รับว่าตรงกับความต้องการหรือที่คาดหวังไว้หรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ถึงประโยชน์ท่ี ได้รับจากเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยทัศนคติที่มีต่อการใช้งานได้รับอทิ ธิพลจากการรับรู้ถึงประโยชน์ท่ี ได้รับจากเทคโนโลยี สารสนเทศ และการรับรู้ว่าเป็นระบบท่ีง่ายต่อการใช้งาน ในขณะที่ความต้ังใจ
20 แสดงพฤติกรรมการใช้ งานได้รับอิทธิพลจาก ทัศนคติที่มีต่อการใช้งาน และการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ ได้รับจากเทคโนโลยี สารสนเทศ และส่งผลให้เกิดการยอมรับการใช้งานจริงในที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยท่ีผา่ น มาแสดงให้เหน็ ถงึ ความจาเป็นที่ต้องเพ่มิ ตัวแปรอื่น ๆ ในแบบจาลอง TAM เพ่ือ สามารถสร้างความ เข้าใจถึงวิธกี ารอธิบายการยอมรับการใช้เทคโนโลยีใหม่ของแต่ละบุคคลไดช้ ัดเจน ย่ิงข้ึน และเพ่ือให้ สามารถอธิบายเหตุผลของบุคคลในการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับจากระบบ สารสนเทศ สรุป การยอมรับเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร คือ การตัดสินใจที่จะกระทาการใด ๆ นัน้ ขึ้นอยูก่ ับเปา้ หมายทตี่ ้องการนาไปสคู่ วามตั้งใจท่ีจะกระทาสง่ิ นน้ั ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย ก่อให้เกิดความ ต้องการที่จะทาและลงมอื ทาอย่างตง้ั ใจ ซ่งึ เป็นพ้ืนฐานโดยธรรมชาติของการตัดสนิ ใจ เหตุผลหลักและ ผลของการตัดสินใจ คือ การนาเอาศักยภาพที่เกี่ยวข้องกับบริบทนั้น ๆ เพ่ือสร้างความเข้าใจ ในการ ตดั สนิ ใจ ที่ยังมอี ีกหลายตัวแปรที่เกยี่ วข้องกับการตดั สินใจในการยอมรับเทคโนโลยี อาทิ ด้านอารมณ์ ความรู้สึกของกลุ่ม สังคม วัฒนธรรม ทัศนคติ ประสบการณ์ และเป้าหมายหลักของการตัดสินใจแต่ ละบคุ คล จนกอ่ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจถึงวิธีการการยอมรับการใช้เทคโนโลยีใหมข่ องแต่ละบุคคลได้ชัดเจน ยง่ิ ข้นึ 5. แนวคดิ เกยี่ วกบั ประโยชนแ์ ละความสาคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร การใช้ประโยชน์ หมายถึง เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารท่ีนาไปใช้ประโยชน์อัน กอ่ ให้เกิดประโยชน์อย่างชดั เจน ซง่ึ การใชป้ ระโยชน์ แบ่งออกเป็น 8 ด้าน ดังนี้ (ฉัฐมณฑน์ ต้ังกจิ ถาวร, 2557) 1. ด้านการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารถูกนามาใช้เพ่ืออานวยความสะดวก ในการบริหารดา้ นการบริหารด้านการศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน และระบบการจัด ตารางสอน นอกจากนี้ยังใช้เป็นเคร่ืองมือในการเพ่ิมโอกาสทางด้านการศึกษาและเพ่ิม ประสทิ ธภิ าพการเรยี นการสอน 2. ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารถกู นามาใชเ้ ร่ิมต้ังแต่ การทาทะเบียนคนไข้ การรกั ษาพยาบาลท่วั ไป ตลอดจนการวนิ จิ ฉัยและรักษาโรคต่างๆได้ อย่างรวดเร็วและแม่นยา นอกจากนี้ยังใช้ในห้องทดลอง การศึกษาและการวิจัยทาง การแพทย์ งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี สามารถค้นคว้าข้อมูลทางการแพทย์ รักษาคนไข้ ด้วยระบบการรักษาทางไกลตลอดเวลาผ่านเครือข่ายการสื่อสาร เครื่องเอกซเรย์ คอมพิวเตอรท์ ี่เรียกวา่ อเี อ็มไอสแกนเนอร์ (EMI scanner) ถูกนามาถ่ายภาพสมองมนุษย์ เพือ่ ตรวจหาความผดิ ปกตใิ นสมอง 3. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูกนามาใช้ ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม เช่น การจัดทาระบบข้อมูลเพ่ือการเกษตรและพยากรณ์
21 ผลผลิตด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังชว่ ยพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม การ ประดิษฐ์หุ่นยนต์เพ่ือใช้ทางานบ้าน และหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมที่ต้องเส่ียงภัยและ เปน็ อนั ตรายต่อสุขภาพ เช่น โรงงานสารเคมี โรงผลิตและการจ่ายไฟฟา้ รวมถึงงานที่ตอ้ ง ทาซ้าๆ 4. ด้านการเงินธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารถูกนามาใช้ในดา้ นการเงนิ และ การธนาคาร โดยใช้ช่วยด้านการบัญชี การฝากถอนเงิน โอนเงิน บริการสินเชื่อ และ เปล่ียนเงินตรา บรกิ ารข่าวสารธนาคาร การใชค้ อมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่รู้จัก และนิยมใช้กนั ท่วั ไป เช่น บรกิ ารฝากถอนเงิน การโอนเงนิ แบบอิเลก็ ทรอนิกส์ 5. ด้านความม่นั คง มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารกันอย่างแพรห่ ลาย เช่น ใช้ ในการควบคุมประสานงานวงจรส่ือสารทหาร การแปลรหัสลับในงานจารกรรมระหว่าง ประเทศ การส่งดาวเทียมและการคานวณวิถีโคจรของจรวดไปสู่อวกาศ สานักงานตารวจ แห่งชาติของประเทศไทยมีศูนย์ประมวลข่าวสาร มีระบบจัดทาทะเบียนปืน ทะเบียน ประวัติอาชญากร ทาให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลเพ่ือการสืบสวน คดตี า่ งๆ 6. ด้านการคมนาคม มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในส่วนท่ีเก่ียวกับการ เดินทาง เช่น การเดินทางโดยรถไฟ มีการเชื่อมโยงข้อมูลการจองท่ีนั่งไปยังทุกสถานี ทา ให้สะดวกต่อผู้โดยสาร การเช็คอินของสายการบิน ได้จัดทาเคร่ืองมือที่สะดวกต่อลูกค้า ในรปู แบบของการเชค็ อินด้วยตนเอง 7. ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการ ออกแบบ หรือจาลองสภาวการณ์ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเม่ือเกิด แผ่นดนิ ไหว โดยการคานวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกลเ้ คียงความจรงิ 8. ด้านการพาณิชย์ องค์กรในภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กรในการทางาน ทาให้ การประสานงานหรือการทากิจกรรมต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานในองค์กรหรือระหว่าง องค์กรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน นอกจากน้ียังสามารถใช้ปรับปรุงการ ให้บริการกับลูกค้าท่ัวไป สิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้างโอกาสความได้เปรียบในการแข่งขัน ใหก้ บั องคก์ ร (ยงยุทธ ชมไชย, 2556) ชัยพจน์ รักงาม (2545) ได้เสนอแนะประโยชน์ท่ีได้จากการนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สารมาประยุกต์ใชใ้ นองคก์ ารนั้น สรุปได้ดงั นี้ 1. เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในระหว่างการดาเนนิ งาน 2. ลดปริมาณผู้ดาเนินงานและประหยดั พลังงานเช้อื เพลงิ ได้อกี ทางหน่ึง
22 3. ระบบการปฏิบตั ิงานเปน็ ไปอยา่ งมีระเบียบมากขนึ้ กวา่ เดมิ 4. ลดข้อผดิ พลาดของเอกสารในระหวา่ งการดาเนนิ งานได้ 5. สรา้ งความโปร่งใสใหก้ ับหนว่ ยงานหรอื องคก์ รได้ 6. ลดปรมิ าณเอกสารในระหวา่ งการดาเนินงานไดม้ าก (กระดาษ) 7. ลดขัน้ ตอนในระหวา่ งการดาเนนิ การได้มาก 8. ประหยดั เนอ้ื ท่จี ดั เก็บเอกสาร (กระดาษ) สานิตย์ กายาผาด (2542) กล่าวถึงความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดังน้ี 1. ชว่ ยในการจัดระบบขา่ วสารจานวนมหาศาลของแต่ละวนั 2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสารสนเทศ เช่น การคานวณตัวเลขที่ยุ่งยาก ซับซ้อนการ จดั เรียงลาดบั สารสนเทศ ฯลฯ 3. ชว่ ยใหส้ ามารถเกบ็ สารสนเทศในลกั ษณะทเี่ รยี นใช้ได้ทุกครั้งอยา่ งสะดวก 4. ช่วยให้สามารถจดั ระบบอตั โนมตั ิเพ่อื การจดั เก็บประมวลผลและเรียกใช้สารสนเทศ 5. ชว่ ยในการเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเรว็ มปี ระสทิ ธิภาพมากขึ้น 6. ช่วยในการส่ือสารระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดอุปสรรค์เกี่ยวกับเวลาและ ระยะทางโดยการใช้ระบบโทรศพั ทแ์ ละอื่นๆ สุขุม เฉลยทรัพย์ และคณะ (2547) ได้อธิบายถึงความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสารไว้ 5 ประการ คอื 1. การสื่อสารเป็นส่ิงจาเป็นในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ สิ่งสาคัญที่มีส่วนในการ พัฒนากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ประกอบด้วย ตัวกลางการสื่อสารข้อมูล (Communications Media) การส่ือสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร เช่น การสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้พลเมืองจะมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น หากมีการบันทึก ข้อมลู ประวตั ผิ ู้ป่วยหรือขอ้ มลู อนื่ ๆ ไวใ้ นฐานขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ 2. เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์หลากหลายที่มากไปกว่า โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์ อินเทอร์เน็ต อีเมล์ ทาให้สารสนเทศเผยแพร่หรือ กระจายออกไปในท่ีต่างๆ ได้สะดวก ส่ิงเหล่านี้เป็นบริการสาคัญของการสื่อสาร โทรคมนาคมท่ีทาใหม้ กี ารใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารมากย่ิงขึ้น 3. เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมีผลให้การใช้งานด้านต่างๆ มีราคาถูกลง เช่น การ ใช้แฟกซ์และอีเมล์จะถูกกว่า น่าเชื่อถือกว่า และรวดเร็วกว่าการใช้บริการไปรษณีย์ แบบเดิม ท้ังนี้หน่วยงานธุรกิจ รัฐบาล และบุคคลท่ัวไปต่างนิยมใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
23 และการส่ือสารมากข้ึน เพราะช่วยประหยัดเวลาและเงิน รวมท้ังทาให้มีผลิตภาพ (Productivity) เพม่ิ ข้ึน 4. เครือข่ายส่ือสาร (Communication Networks) ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอก เน่ืองจากจานวนการใช้เครือข่าย จานวนผู้เช่ือมต่อ และจานวนผู้ท่ีมีศักยภาพในการเข้า เชอ่ื มตอ่ กบั เครือข่ายนับวันจะเพมิ่ สงู ข้นึ 5. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทาให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และต้นทุน การใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีราคาถูกลงมาก แม้ว่าการเป็นเจ้าของคู่ สายโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ ยังเป็นส่ิงฟุ่มเฟื่อยสาหรับคนในสังคมส่วนใหญ่ แต่คน จานวนมากก็เรมิ่ มีกาลงั หา มาใช้ได้เองแลว้ เชน่ เจ้าของธุรกจิ ขนาดเล็ก การวัดการใชป้ ระโยชนด์ า้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร การวัดการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร(ไอซีที) คือ การวัดจากการ ใชป้ ระโยชน์จากไอซที ใี นดา้ นต่างๆ ของนักเรยี น ดงั น้ี 1. ด้านการศึกษา วัดจากการท่ีนักเรียน มีการทางานหรือการบ้านด้วยโปรแกรมสานักงาน เช่น World, Spreadsheet, Presentation การค้นข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนแบบ ออนไลน์ และการเรียน การตวิ แบบออนไลน์ 2. ด้านเศรษฐกิจ วัดจากการซ้ือ ขายสินค้าแบบออนไลน์ การชาระเงินหรือโอนเงินแบบ ออนไลน์ การค้นหาสงิ่ ของฝากส่งทางไปรษณีย์แบบออนไลน์ และจองตั๋วดูภาพยนตรแ์ บบ ออนไลน์ 3. ด้านบันเทงิ วดั จากการดูรายการทีวี ดภู าพยนตร์ ฟงั เพลง และการเลน่ เกมแบบออนไลน์ 4. ด้านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม วัดจากการที่นักเรียนส่งข้อความ (Text Message) เขียน ข้อความ (Post) เขียนบทความ (Note) และส่งภาพ (Picture) ผ่านโปรแกรมสื่อสังคม ออนไลน์ ส่งข้อความเสียง (Voice Message) หรือแบง่ ปัน (Share) เนื้อหา (ข้อมูล/ข่าว/ ภาพ/วีดีโอ) ผา่ นสอ่ื สงั คมออนไลน์ มีการโทรศพั ท์และวีดโี อคอลดว้ ยสอ่ื สังคมออนไลน์ 5. ดา้ นการสร้างเนื้อหา วัดจากการที่นักเรียนถ่ายภาพ บันทึกวีดีโอ บันทึกเสียงด้วยอุปกรณ์ เคล่ือนที่ มีการเก็บภาพส่วนตัวในอัลบ้มั รูปในส่ือสังคมออนไลน์ เก็บไฟล์ข้อมูลส่วนตัวใน คลาวด์ไดร์ (Cloud Drive) และเกบ็ หรอื สรา้ งคลิปวดี โี อในยูทูป
24 งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้อง จริ าพร ชูเชดิ (2550) ศึกษาเรอื่ ง การศึกษาคา่ นิยมการใช้เทคโนโลยีของนักเรยี นมัธยมศึกษา ตอนต้น ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้นมีค่านิยมการใช้เทคโนโลยีทั้ง 4 ประเภท ในระดับปานกลางโดยมีค่านิยมต่อการใช้ อินเตอร์เน็ตสูงสุด 2) ผลการเปรียบเทียบค่านิยมการใช้ เทคโนโลยีของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นท่ี เรียนอยู่ในกรุงเทพและต่างจังหวัด พบว่า นักเรียน มธั ยมศกึ ษาตอนต้นท่เี รียนอยู่ในกรงุ เทพฯและต่างจงั หวัด มคี ่านยิ มการใช้เทคโนโลยีท้งั 4 ประเภทไม่ ต่างกัน 3) ผลการเปรียบเทียบค่านิยมการใช้เทคโนโลยีของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นจาแนกตาม เพศ พบว่า นักเรียนเพศหญิงมีค่านิยมเก่ียวกับการใช้เทคโนโลยี ด้านโทรศัพท์ โดยภาพรวม 4 ประเภท สูงกว่าเพศชาย สาหรบั ผลการเปรียบเทยี บคา่ นิยม การใชเ้ ทคโนโลยจี าแนกตามระดบั ช้ันพบ ความแตกต่างมีนัยสาคัญทางสถิติ เก่ียวกับค่านิยมการใช้อินเตอร์เน็ต ค่านิยมการใช้โทรศัพท์และ คา่ นยิ มในภาพรวม 4 ประเภท สาหรับผลการเปรียบเทียบรายดา้ นพบวา่ นกั เรียนมัธยมศกึ ษาตอนตน้ มีค่านิยมการใช้เทคโนโลยีในด้านสังคม การเรียนรู้และพฤติกรรมทางเพศ อยู่ในระดับปานกลาง โดย ค่านิยมใชเ้ ทคโนโลยปี ระเภทโทรทัศนแ์ ละอินเตอรเ์ นต็ มผี ลตอ่ ด้านสงั คมอยูใ่ นระดบั สูงสดุ กรกมล กาเนิดกาญจน์ (2553) พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักเรียนโรงเรียน สามเสนวทิ ยาลัย สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 1 สานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ พบว่า พฤตกิ รรมการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศของนักเรียน ภาพรวมมีพฤติกรรมอยู่ในระดับปฏิบัติมาก เมื่อศึกษาเป็นรายด้าน พบว่า มีพฤติกรรมอยู่ในระดับ ปฏิบัติมาก ด้านวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ ด้านเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ ด้าน ประโยชน์ท่ีได้รับ และมีพฤตกิ รรมอยู่ในระดับปฏิบัตปิ านกลางด้านระยะเวลาท่ีใชต้ ามลาดับ นักเรียน ที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นระยะเวลาต่างกันมีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน ภาพรวมแตกต่างกัน ส่วนนักเรียนที่มีเพศ อายุ ชั้นปีที่ศึกษา และคะแนนเฉลี่ยสะสมต่างกันมี พฤติกรรมการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในภาพรวม ไมแ่ ตกต่างกนั วราภรณ์ ใจขันธ์ (2554) ศึกษาเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีและการส่ือสาร ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนจ่านกร้อง จังหวัดพิษณุโลก พบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับ ปานกลาง โดยเรียงลาดับ ค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการแสวงหาความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สอ่ื สาร ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแลกเปลย่ี นความร้แู ละตดิ ต่อสื่อสารกบั ผู้อื่น ดา้ นการเลือกใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการบันเทิง ตามลาดบั ด้านการแสวงหา ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร พบว่า นักเรียนสืบค้นข้อมูลจากเทคโนโลยีสา สนเทศและการส่ือสาร มีความรวดเร็วกว่าค้นหาในตารา การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ในการเปลี่ยนความรู้ และติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น พบว่า นักเรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
25 ส่ือสารในการสนทนาผ่านเครือข่าย (Chat) ด้านการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารใน การบันเทิง พบวา่ นักเรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในดา้ นการบันเทิงช่วยในการผ่อน คลายจากความเครียด สุภควัต อ่อนน้อม (2554) ศึกษาเรื่อง ศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมใช้เทคโนโลยี สารสนเทศของนักเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนบา้ นคาวิทยา พบว่า การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ของ นักเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนบ้านคาวิทยา ด้านการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ดา้ นวัตถุประสงค์ การใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดา้ นลักษณะการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ และด้านประโยชนก์ าร ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ในระดับมาก และเมื่อเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ของ นักเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนบ้านคาวิทยา ด้านการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านวัตถุประสงค์ การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านลักษณะการใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ และดา้ นประโยชนก์ าร ใชก้ ารใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ ไมแ่ ตกต่างกัน อรฉัตร สุขนิตย์ (2554) ศึกษาเรื่อง การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของนักเรียน โรงเรียนมธั ยมศึกษาในจังหวัดสุราษฎรธ์ านี ผลการวจิ ัยพบว่า 1.นกั เรยี นใชด้ า้ นการสอ่ื สารและคน้ ควา้ ข้อมูลข่าวสาร ด้านงานบริการและบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอยู่ในระดับปานกลาง และด้านการ จัดการและใช้เป็นสื่อการเรียนอยู่ในระดับมาก 2.เพศ อายุ ประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ วิธีการ เรียนรู้การใช้คอมพวิ เตอร์เบ้ืองต้นของนักเรียน และการใช้บริการเช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตนอกเหนือจาก เวลาเรียน ไม่มีผลต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของนักเรียน 3.ความต้องการของ นักเรียน ได้แก่ การสนทนาและสบื ค้นข้อมูลบนอนิ เทอร์เน็ต มีผลตอ่ การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารของนักเรียน 4.ความสามารถของนักเรียน ได้แก่ การต้ังค่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การ รับส่งข้อมูลทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ การสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต การ Upload ไฟล์ การ Download ไฟล์ การสนทนาบนอินเตอร์เน็ตและการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์พืน้ ฐาน มีผลตอ่ การใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของนักเรียน 5.ปัญหาในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารของนักเรียน ได้แก่ ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์ เครือข่าย อินเทอร์เน็ตของโรงเรียน โปรแกรมช่วยสอน (CAI) และการอบรมคอมพิวเตอร์มีผลต่อการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารของนกั เรียน ชนัญชิดา จันทร์ผึ้งสุข (2555) ศึกษาเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) อาเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนส่วนมากมีคอมพิวเตอร์ส่วนตวั มีระยะการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่า 4 ปี พฤตกิ รรมการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศของนักเรียนในภาพรวม 4 ดา้ น คือ ดา้ นการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ดา้ นการศึกษา ด้านสังคม และดา้ นประโยชน์ เมอ่ื พิจารณา เป็นรายด้านพบว่า พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านท่ีพบมากที่สุดได้แก่ ด้านประโยชน์
26 รองลงมาได้แก่ ด้านการศึกษา และด้านสังคม ตามลาดับ ผลการทดสอบพบว่า การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศในของนกั เรยี นสารสนเทศของ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ถงึ มัธยมศึกษาปที ่ี 6โรงเรียน เทศบาล 5 (พหลโยธนิ รามินทรภักดี) ไมแ่ ตกต่างกัน พจนีย์ ธิติธรกลุ (2555) ศกึ ษาเรอ่ื ง ศกึ ษาพฤติกรรมการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศของนักเรียน ระดับช้นั มัธยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียนเทศบาล 3 ยุวบูรณ์บารุง สังกัดเทศบาลเมืองหนองคาย ผลของ การวิจัยพบว่า พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีมี 2 ด้านคือ ดา้ น วัตถุประสงค์ และด้านประโยชน์ทีได้รับ เม่ือพิจารณาในแต่ละด้านในภาพรวม พบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยู่ใน ระดับปานกลาง ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศของนักเรียนชายและ นักเรียนหญิง พบว่า ในภาพรวมนักเรียนชายและนักเรียนหญิง มีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศไมแ่ ตกตา่ งกนั เมื่อพจิ ารณาเป็นรายดา้ นพบว่า นักเรียนหญิงมี ค่าเฉลี่ยสูงกว่านกั เรียนชาย ในดา้ นวตั ถปุ ระสงค์การใช้งาน ส่วนด้านประโยชน์ทไี่ ด้รบั นักเรียนชายมีคา่ เฉลีย่ สงู กวา่ นกั เรยี นหญงิ อรรถพล กิตติธนาชัย (2555) พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศท่ีสัมพันธ์ต่อสมรรถนะ ของนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยสรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร(ฝ่ายมัธยม) ผลการวิจัยพบว่า นักเรยี นส่วนใหญ่มพี ฤติกรรมการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยูใ่ นระดับมาก เม่ือพจิ ารณารายดา้ นพบว่า พฤติกรรมการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเปน็ อันดับแรกคือด้านเจตคติ ข้ันการรับหรือการให้ความสนใจ รองลงมาคือด้านความรู้ ขั้นการวิเคราะห์ และด้านการปฏิบัติ ข้ันเลียนแบบ ตามลาดับ ทางด้าน สมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของนักเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยลาดับแรกคือ ความสามารถในการสื่อสาร รองลงมาคอื ความสามารถในการแก้ปัญหา ทิพย์รัตน์ ธิภาศรี (2557) ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักเรียน ระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคโนโลยีเมืองชลบริหารธุรกิจ จังหวัดชลบุรี ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักเรียนระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัย เทคโนโลยีเมืองชลบริหารธุรกิจ จังหวัดชลบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากท่ีสุดคือ ด้านสังคมออนไลน์ รองลงมาคือ ด้านการค้นหาข้อมูล ด้านการติดต่อส่ือสาร ด้านความบันเทิง และด้านการศึกษามีพฤติกรรมการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบนักเรียนระดับชั้นที่ต่างกันกับพฤติกรรมการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศ พบว่าไม่มคี วามแตกต่าง ดนภุ ัค เชาว์ศรกี ุล และคณะ (2558) การพัฒนาความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารในศตวรรษที่ 21 สาหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ผลการวิจัย พบว่า บทเรียนจากรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาข้ึนมีประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้กับผลสัมฤทธ์ิ ทางการ เรียน 83.87/81.83 เปอร์เซ็นต์นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ท่ีพัฒนาข้ึนมี ความสามารถในการใช้ ICT และมีคะแนน เฉล่ียของผลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลังเรียนสูงกวา่ นักเรียน
27 ที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ความพึงพอใจ ต่อรูปแบบการเรียนรู้ที่ พัฒนาข้ึนอยู่ในระดับ“มาก”รูปแบบการเรียนรู้ท่ีพัฒนาขึ้นสามารถนาไปใช้พัฒนาความสามารถใน การ ใช้ ICT ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ จากการศึกษาวิจัยท่ีเก่ียวข้องทั้งหมด พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมในการใช้ ประโยชนข์ องเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในทุกๆดา้ น โดยเฉพาะด้านการศึกษาค้นหาความรู้ และการเปรียบเทียบนักเรียนท่ีมีความต่างระดับชั้นมัธยมศึกษามีความแตกต่างการใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยี กรอบแนวคิด จากการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วของสามารถกาหนดเปน็ กรอบแนวคดิ ของสารนิพนธ์ได้ดงั น้ี สภาพด้านสังคมและเศรษฐกิจ การใชป้ ระโยชน์ดา้ นเทคโนโลยี -เพศ สารสนเทศและการส่อื สาร -อายุ - ดา้ นการศกึ ษา - ประเภทครอบครวั - ขนาดครอบครัว - ด้านสงั คม - เขตทีอ่ ยู่ - ดา้ นเศรษฐกจิ - การมแี ละใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร - ด้านบันเทงิ - การใชบ้ รกิ ารด้านการสอื่ สาร - ดา้ นเน้ือหา รายการตวั แปร 1. ตวั แปรอิสระ (Independent Variables) คือ สถานภาพดา้ นสังคมและเศรษฐกจิ - เพศ - อายุ - ประเภทครอบครัว - ขนาดครอบครัว - เขตท่ีอยู่ - การมแี ละใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร - การใช้บรกิ ารด้านการส่ือสาร
28 2. ตวั แปรตาม ( Dependent Variables ) คอื การใชป้ ระโยชนด์ า้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการ สือ่ สาร - ด้านการศกึ ษา - ดา้ นสังคม - ด้านเศรษฐกิจ - ดา้ นบันเทงิ - ดา้ นเนอ้ื หา นยิ ามศัพท์ 1. นยิ ามศัพทท์ ั่วไป 1.1 สถานภาพด้านสงั คมและเศรษฐกิจ หมายถงึ ตาแหน่งที่ได้รับจากสังคมของบคุ คลที่ดารงอยู่ ในสงั คมซ่ึงสามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี - สถานภาพท่ีมีมาโดยกาเนดิ เช่น ชาตติ ระกลู พ่อ แม่ พ่ี นอ้ ง ปู่ ยา่ ตา ยาย เปน็ ตน้ - สถานภาพที่ได้รับมาภายหลังการเกิด เช่น ผู้บังคับบัญชา เพ่ือนร่วมงาน อาจารย์ ลูก ศษิ ย์ เปน็ ต้น 1.2 นกั เรยี น หมายถงึ ผศู้ กึ ษาเลา่ เรยี น หรอื ผู้ไดร้ บั การศกึ ษาจากโรงเรยี น 1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร หมายถงึ เทคโนโลยที ่เี ก่ยี วขอ้ งกับข่าวสาร ขอ้ มลู และ การส่ือสาร นับต้ังแต่การสร้าง การนามาวิเคราะห์หรือประมวลผล การรับและส่งข้อมูล การจัดเก็บและการนาไปใช้งานใหม่ เทคโนโลยีเหล่าน้ีมักจะหมายถึง คอมพิวเตอร์ ซึ่ง ประกอบด้วยส่วนอุปกรณ์ (hardware) สว่ นคาสั่ง (software) และส่วนข้อมูล (data) และ ระบบการส่ือสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ระบบส่ือสารข้อมูล ดาวเทียมหรือเครื่องมือ สื่อสารใด ๆ ทั้งมีสายและไรส้ าย 1.4 การใชป้ ระโยชน์ หมายถึง การนาส่ิงหน่ึงมาใชใ้ ห้เกิดประโยชนอ์ ย่างมากท่สี ุด 2. นยิ ามเชิงปฏบิ ตั กิ าร 2.1 สถานภาพด้านสังคมและเศรษฐกิจ หมายถึง ความแตกต่างของนักเรียนด้านต่างๆ ได้แก่ เพศ ชนั้ ปี ท่อี ย่อู าศัย และขนาดครอบครัว 2.2 นกั เรยี น หมายถงึ นักเรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาโรงเรยี นพลู เจริญวทิ ยาคม 2.3 การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร หมายถึง การที่นักเรียนมีเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ดงั นี้ 1)คอมพิวเตอรแ์ บบเคลอ่ื นที่ (Notebook) 2)คอมพวิ เตอร์ แบบแท็บเล็ต (Tablet) 3)คอมพวิ เตอร์แบบแฟบเล็ต (Fablet) 4)โทรศพั ทแ์ บบสมาร์ทโฟน (Smartphone) 5)เคร่ืองอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book Reader) 6)การเช่ือมต่อ อนิ เทอร์เน็ตแบบ 4G 7)อุปกรณ์สวมใส่ เช่น นาฬิกาแบบอัจฉริยะ (Smartwatch) สายรัด
29 ข้อมืออัจฉริยะ (Smart Wristband) 8)เฟสบุ๊ค (Facebook) 9)ไลน์ (Line) 10)อินสตาแก รม (Instagram) 11)ทวิตเตอร์ (Twitter) 12)บญั ชสี มาชิกของยูทูป (YouTube Account) 13)บล็อก (Blog) ส่วนตัว 14)คลาวด์ไดร์ (Cloud Drive) เช่น กูเกิลไดร์ (Google Drive) วันไดร์ (One Drive) 2.4 การใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง การใช้ประโยชน์ด้าน ด้านการศกึ ษา ดา้ นสังคม ด้านเศรษฐกจิ ด้านบนั เทงิ และดา้ นเน้อื หา 2.5 การใช้ประโยชน์ด้านการศึกษา หมายถึง การใช้ประโยชน์จากไอซีที ในการใช้ Microsoft office ในการทางาน การค้นข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนแบบออนไลน์ และการเรียน การติวแบบออนไลน์ ของนักเรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา 2.6 การใช้ประโยชน์ด้านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หมายถึง การใช้ประโยชน์จากไอซีที ในการ ส่งข้อความ (Text Message) เขียนข้อความ (Post) และส่งภาพ (Picture) ผ่านโปรแกรม ส่ือสังคมออนไลน์ ส่งข้อความเสียง (Voice Message) หรือแบ่งปัน (Share) เน้ือหา (ข้อมูล/ข่าว/ภาพ/วีดีโอ) ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีการโทรศัพท์และวีดโี อคอลดว้ ยสื่อสังคม ออนไลน์ ของนกั เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษา 2.7 การใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ หมายถึง การใช้ประโยชน์จากไอซีที ในการซ้ือ ขายสินค้า แบบออนไลน์ การชาระเงินหรอื โอนเงนิ แบบออนไลน์ ของนักเรียนระดบั มธั ยมศึกษา 2.8 การใช้ประโยชน์ด้านบันเทิง หมายถึง การใช้ประโยชน์จากไอซีที ในการดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมแบบออนไลน์ โดยผ่าน เครื่องคอมพิวเตอร์ แล็ปท๊อป หรือสมาร์ทโฟน ของ นกั เรยี นระดับมัธยมศกึ ษา 2.9 การใช้ประโยชน์ด้วยการเน้ือหา หมายถึง การใช้ประโยชน์จากไอซีที ในการถ่ายภาพ บันทึกวีดีโอ และบันทึกเสียงด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ การเก็บข้อมูลส่วนตัวบนส่ือสังคม ออนไลน์หรอื ในคราวดไ์ ดร์ ของนักเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษา
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: