ประวตั ศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา จิตตมิ า เกษสี งั ข์ โรงเรยี นกดุ ไผทประชาสรรค์
ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา อาณาจักรอยธุ ยา เปน็ อาณาจกั รของชนชาติไทยในลุม่ แม่น้าเจา้ พระยาในช่วง พ.ศ. 1893 ถงึ พ.ศ. 2310 มี กรุงศรอี ยธุ ยาเป็นศนู ย์กลางอ้านาจหรือราชธานี อาณาจักรอยุธยานับวา่ เจริญรุ่งเรืองจนอาจถอื ไดว้ ่าเปน็ อาณาจกั รท่ีร่งุ เรืองม่งั คง่ั ทส่ี ุดในภมู ภิ าคสวุ รรณภมู ิ ทงั ยังมคี วามสัมพันธท์ างการคา้ กับหลายชาติ จนถอื ไดว้ า่ เป็นศนู ยก์ ลางการค้าในระดบั นานาชาติ เช่น จนี เวยี ดนาม อินเดยี ญ่ีปนุ่ เปอร์เซยี รวมทังชาตติ ะวนั ตก เชน่ โปรตุเกส สเปน ดัตช์ (ฮอลันดา) และฝร่งั เศส ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึง รัฐฉานของพม่า อาณาจักรล้านนามณฑลยูนนาน อาณาจกั รล้านช้าง อาณาจกั รขอม และคาบสมุทรมลายูใน ปัจจุบัน กรงุ ศรีอยธุ ยา กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ เกาะซ่ึงมีแมน่ ้าสามสายล้อมรอบ ได้แก่ แม่นา้ ปา่ สักทางทศิ ตะวันออก, แมน่ ้า เจา้ พระยาทางทศิ ตะวันตกและทศิ ใต้ และแม่นา้ ลพบุรีทางทศิ เหนอื เดิมทบี รเิ วณนีไมไ่ ด้มีสภาพเปน็ เกาะ แต่ สมเดจ็ พระเจา้ อู่ทองทรงด้าริให้ขดุ คเู ชือ่ มแมน่ ้าทงั สามสาย เพอื่ ให้เป็นปราการธรรมชาตปิ อ้ งกนั ขา้ ศึก ท่ีตัง กรุงศรอี ยุธยายังอยู่หา่ งจากอ่าวไทยไมม่ ากนัก ท้าให้กรงุ ศรีอยธุ ยาเปน็ ศูนยก์ ลางการค้ากบั ชาวตา่ งประเทศ
และอาจถือวา่ เปน็ \"เมอื งทา่ ตอนใน\" เนื่องจากเปน็ ศนู ยก์ ลางเศรษฐกจิ ของภูมิภาค มสี ินคา้ กวา่ 40 ชนิดจาก สงครามและรัฐบรรณาการ แมว้ า่ ตัวเมืองจะไมต่ ิดทะเลก็ตาม มกี ารประเมนิ วา่ ราว พ.ศ. 2143 กรงุ ศรีอยธุ ยามีประชากรประมาณ 300,000 คน และอาจสงู ถงึ 1,000,000 คน ราว พ.ศ. 2243 [6] บางครังมผี ูเ้ รียกกรงุ ศรีอยุธยาวา่ \"เวนสิ แห่งตะวันออก\"[7][8] ปัจจบุ ันบริเวณนเี ปน็ สว่ นหนึ่งของอา้ เภอพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา พืนทท่ี เ่ี คยเปน็ เมืองหลวงของไทยนนั คอื อุทยานประวตั ิศาสตรพ์ ระนครศรีอยุธยา[9]ตวั นครปจั จุบันถกู ตังขนึ ใหมห่ ่างจากกรุง เก่าไปเพยี งไม่กี่กิโลเมตร การก้าเนิด การก้าเนิดอาณาจักรอยธุ ยาที่ได้รับการยอมรบั กวา้ งขวางทส่ี ดุ นัน อธบิ ายวา่ รัฐไทยซง่ึ มีศูนย์กลางอยูท่ ี่ กรงุ ศรีอยุธยาในล่มุ แมน่ ้าเจ้าพระยา เจริญขนึ มาจากราชอาณาจักรละโว้ (ซ่ึงขณะนันอยใู่ ตก้ ารควบคุม ของขะแมร์) และอาณาจกั รสพุ รรณภูมิ แหลง่ ข้อมูลหนึ่งระบวุ า่ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะภัยโรค ระบาดคกุ คาม สมเดจ็ พระเจา้ อูท่ องจึงทรงยา้ ยราชสา้ นักลงไปทางใต้ ยังทร่ี าบลมุ่ น้าท่วมถงึ อนั อุดมสมบูรณ์ ของแม่น้าเจ้าพระยา บนเกาะท่ลี อ้ มรอบด้วยแมน่ ้า ซึ่งในอดตี เคยเปน็ นครทา่ เรอื เดนิ ทะเล ช่ือ อโยธ ยา (Ayothaya) หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร นครใหมน่ ถี ูกขนานนามว่ากรุงเทพทวารวดศี รอี ยธุ ยา ซ่งึ ภายหลงั มกั เรียกว่า กรุงศรีอยธุ ยา แปลวา่ นครท่ีไม่อาจท้าลายได้[10] พระบริหารเทพธานี อธบิ ายวา่ ชาวไทยเริม่ ตงั ถ่ินฐานบริเวณตอนกลาง และตอนล่างของลุ่มแม่นา้ เจ้าพระยามาตงั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี 18 แลว้ ทังยงั เคยเป็นท่ีตงั ของเมืองสังขบุรี อโยธยา เสนาราชนคร และ กัมโพชนคร[11] ตอ่ มา ราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี 19 อาณาจักรขอมและสโุ ขทัยเรม่ิ เสื่อมอ้านาจลง พระเจา้ อู่ ทองทรงดา้ รจิ ะยา้ ยเมืองและกอ่ สร้างเมืองขนึ มาใหม่โดยส่งคณะช่างกอ่ สร้างไปยังอนิ เดียและไดล้ อกเลียนแบบ ฝังเมืองอโยธยามาสร้างและสถาปนาให้มชี ื่อว่า กรุงศรอี ยธุ ยา แหลง่ ข้อมลู อื่นระบุว่า สมเด็จพระเจา้ อู่ทองเป็นพ่อคา้ เชือสายจีนทรี่ ่า้ รวยจากเพชรบุรี นครชายฝัง่ ทาง ใต้ ผซู้ ึง่ ย้ายมาแสวงหาโชคลาภในนครอโยธยา ชอ่ื ของนครชีถงึ อิทธิพลของศาสนาฮินดูในภมู ิภาค มีการเชื่อ ว่า นครแหง่ นมี คี วามเกี่ยวข้องกับมหากาพย์รามเกียรต์ิ ซึ่งดัดแปลงมาจากมหากาพย์รามายณะของฮนิ ดู
การขยายอาณาเขต เมื่อถงึ ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14 อยุธยากถ็ กู พจิ ารณาวา่ เป็น ชาตมิ หาอา้ นาจแขง็ แกร่งทีส่ ุดใน อษุ าคเนย์แผน่ ดินใหญ่ และได้เร่มิ ครองความเป็นใหญโ่ ดยเรมิ่ จากการพชิ ิตราชอาณาจักรและนครรัฐทางเหนอื อย่างสุโขทยั ก้าแพงเพชรและพิษณโุ ลก กอ่ นสนิ สดุ คริสตศ์ ตวรรษที่ 15 อยธุ ยาโจมตีเมืองพระนคร (อังกอร์) ซง่ึ เปน็ มหาอา้ นาจของภมู ภิ าคในอดตี อทิ ธิพลของอังกอร์คอ่ ย ๆ จางหายไปจากลุ่มแมน่ ้าเจา้ พระยา และ อยธุ ยากลายมาเป็นมหาอา้ นาจใหม่แทน อยา่ งไรก็ดี ราชอาณาจกั รอยุธยามไิ ดเ้ ปน็ รัฐท่รี วมเป็นหน่วยเดียวกัน หากเป็นการปะติดปะต่อกนั ของ อาณาเขต (principality) ท่ปี กครองตนเอง และประเทศราชท่สี วามิภักด์ติ ่อพระมหากษัตริยก์ รงุ ศรีอยธุ ยา ภายใตป้ ริมณฑลแห่งอ้านาจ (Circle of Power) หรอื ระบบมณฑล (mandala) ดงั ทีน่ กั วิชาการบางฝ่าย เสนอ[12] อาณาเขตเหลา่ นีอาจปกครองโดยพระบรมวงศานุวงศก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา หรอื ผู้ปกครองท้องถิ่นที่มี กองทัพอิสระของตนเอง ท่ีมีหน้าทใ่ี หก้ ารสนบั สนุนแก่เมืองหลวงยามสงคราม กไ็ ด้ อยา่ งไรก็ดี มีหลกั ฐานว่า บางครังท่เี กดิ การกบฏท้องถ่ินท่นี ้าโดยเจา้ หรอื พระมหากษัตรยิ ์ท้องถน่ิ ขึนเพ่ือตังตนเป็นเอกราช อยุธยาก็ จา้ ต้องปราบปราม ดว้ ยไรซ้ ง่ึ กฎการสืบราชสนั ติวงศ์และมโนทศั น์คุณธรรมนยิ ม (meritocracy) อันรุนแรง ทา้ ให้เมื่อใดก็ ตามท่ีการสบื ราชสนั ติวงศเ์ ป็นที่พิพาท เจ้าปกครองหัวเมืองหรือผู้สูงศักด์ิ (dignitary) ทท่ี รงอ้านาจจะอา้ งคณุ ความดีของตนรวบรวมไพร่พลและยกทัพมายงั เมอื งหลวงเพอ่ื กดดันตามข้อเรยี กร้อง จนลงเอยด้วยรฐั ประหาร อนั นองเลอื ดหลายครัง[13] ตังแต่ครสิ ต์ศตวรรษที่ 15 อยธุ ยาแสดงความสนใจในคาบสมุทรมลายู ที่ซ่ึงมะละกาเมืองทา่ ส้าคญั ประชันความเป็นใหญ่ อยุธยาพยายามยกทัพไปตีมะละกาหลายครงั แต่ไร้ผล มะละกามคี วามเข้มแข็งทงั ทางการทูตและทางเศรษฐกิจ ดว้ ยไดร้ ับการสนบั สนุนทางทหารจากราชวงศห์ มงิ ของจีน ในต้นครสิ ต์ศตวรรษ ท่ี 15 แม่ทัพเรือเจงิ เหอแห่งราชวงศห์ มิง ได้สถาปนาฐานปฏิบัติการแหง่ หน่ึงของเขาขนึ ทมี่ ะละกา เป็นเหตใุ ห้ จีนไม่อาจยอมสูญเสียตา้ แหนง่ ยุทธศาสตรน์ ีแก่รฐั อน่ื ๆ ภายใต้การคุ้มครองนี มะละกาจงึ เจริญรุ่งเรืองขนึ เปน็ หนงึ่ ในค่แู ขง่ ทางการค้าท่ีย่ิงใหญข่ องอยธุ ยา กระทงั่ ถกู โปรตุเกสพชิ ิตเม่ือ พ.ศ. 2054
การเสียกรุงศรีอยธุ ยาครังทีห่ น่งึ เรม่ิ ตงั แตก่ ลางคริสต์ศตวรรษท่ี 16 ราชอาณาจกั รอยธุ ยาถูกราชวงศต์ องอูโจมตีหลายครงั สงครามครัง แรกคือ สงครามพระเจา้ ตะเบ็งชเวตี เมอื่ พ.ศ. 2091-92 แต่ลม้ เหลว การรุกรานครังท่ีสองของราชวงศ์ตองอู หรอื เรียกว่า \"สงครามช้างเผือก\"สมัยพระมหาจักรพรรดิ เมื่อ พ.ศ. 2106 พระเจา้ บุเรงนองทรงบงั คับให้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยอมจ้านน พระบรมวงศานุวงศ์ทรงถูกพาไปยังกรุงองั วะ และสมเดจ็ พระ มหิทรา พระราชโอรสองคโ์ ต ทรงได้รับแต่งตงั เปน็ เจ้าประเทศราช[15][16] เม่อื พ.ศ. 2111 ราชวงศ์ตองอรู กุ ราน อกี เป็นครังที่สาม และสามารถยึดกรงุ ศรอี ยธุ ยาไดใ้ นปีตอ่ มา หนนพี ระเจา้ บเุ รงนองทรงแตง่ ตงั สมเด็จพระมหา ธรรมราชาธริ าชเปน็ เจ้าประเทศราช การฟน้ื ตัว หลังพระเจ้าบเุ รงนองเสดจ็ สวรรคตเมอื่ พ.ศ. 2124 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงประกาศเอกราชแก่ กรุงศรีอยธุ ยาอีกสามปีใหห้ ลัง อยุธยาตอ่ สู้ป้องกันการรุกรานของรัฐหงสาวดหี ลายครัง จนในครัง สุดท้าย สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงปลงพระชนม์เมงจีสวา (Mingyi Swa) อปุ ราชาของราชวงศต์ องอไู ด้ ในสงครามยุทธหัตถีเม่ือ พ.ศ. 2135 จากนัน อยุธยากลบั เปน็ ฝ่ายบกุ บ้าง โดยยดึ ชายฝั่งตะนาวศรีทังหมดขึน ไปจนถึงเมาะตะมะใน พ.ศ. 2138 และลา้ นนาใน พ.ศ. 2145 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงถงึ กับรกุ รานเขา้ ไปในพม่าลึกถงึ ตองอูใน พ.ศ. 2143 แต่ทรงถูกขับกลับมา หลงั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคตเมือ่ พ.ศ. 2148 ตะนาวศรีตอนเหนอื และล้านนากต็ กเปน็ ของรฐั อังวะ อกี ใน พ.ศ. 2157[17] อยุธยาพยายามยดึ รฐั ล้านนาและตะนาวศรตี อนเหนือกลบั คืนระหว่าง พ.ศ. 2205-07 แตล่ ม้ เหลว[18]
การคา้ ขายกับตา่ งชาตไิ มเ่ พียงแตใ่ ห้อยุธยามีสนิ ค้าฟุ่มเฟือยเท่านนั แตย่ งั ไดร้ บั อาวธุ ยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ ดว้ ย กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17 ระหว่างรชั สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อยธุ ยามีความเจริญรุ่งเรอื งมาก [19] แต่ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 อยุธยาค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมเหนือหวั เมอื งรอบนอก ผวู้ า่ ราชการท้องถิ่นใช้ อ้านาจของตนอยา่ งอิสระ และเรม่ิ เกิดการกบฏตอ่ เมืองหลวงขึน การล่มสลาย หลงั จากยคุ สมัยอนั นองเลือดแห่งการต่อสูข้ องราชวงศ์ กรุงศรอี ยุธยาเขา้ สู่ \"ยคุ ทอง\" สมัยท่คี ่อนข้าง สงบในครึง่ หลังของครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18 เมอ่ื ศิลปะ วรรณกรรมและการเรยี นร้เู ฟือ่ งฟู ยังมีสงครามกับตา่ งชาติ กรุงศรีอยธุ ยาสู้รบกบั เจา้ เหงียน (Nguyễn Lords) ซ่งึ เป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้ เพอ่ื การควบคุมกัมพูชา เรมิ่ ตังแต่ พ.ศ. 2258 แตภ่ ัยคุกคามท่ใี หญก่ ว่ามาจากราชวงศอ์ ลองพญาซ่ึงไดผ้ นวกรฐั ฉานเขา้ มาอยู่ในอ้านาจ ชว่ ง 50 ปสี ุดท้ายของราชอาณาจักรมกี ารสูร้ บอันนองเลือดระหวา่ งเจา้ นาย โดยมีพระราชบลั ลงั กเ์ ป็น เป้าหมายหลกั เกดิ การกวาดล้างข้าราชส้านักและแม่ทัพนายกองที่มคี วามสามารถตามมา สมเดจ็ พระทน่ี ่ัง สุรยิ าศนอ์ มั รนิ ทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) พระมหากษัตริยพ์ ระองคส์ ดุ ท้าย บงั คับให้สมเดจ็ เจา้ ฟา้ อุทมุ พร พระอนชุ า ซ่ึงเปน็ พระมหากษตั รยิ อ์ ยู่ขณะนนั สละราชสมบตั ิและขึนครองราชย์แทน พ.ศ. 2303 พระเจา้ อลองพญา ทรงยกทัพรุกรานอาณาจักรอยุธยา หลงั จากอยุธยาว่างเวน้ ศึกภายนอก มานานกวา่ 150 ปี จะมีก็เพียงการนา้ ไพรพ่ ลเข้าตอ่ ตกี ันเองเพ่ือแย่งชิงอ้านาจเท่านนั [20] ซึง่ ในขณะนนั อยุธยาเกิดการแย่งชงิ บัลลังกร์ ะหวา่ งเจา้ ฟ้าเอกทัศกบั เจ้าฟา้ อทุ มุ พร อย่างไรกด็ ี พระเจ้าอลองพญาไม่อาจหัก เอากรงุ ศรอี ยุธยาไดใ้ นการทัพครงั นนั
แต่ใน พ.ศ. 2308 พระเจา้ มังระ พระราชโอรสแห่งพระเจา้ อลองพญา ทรงแบง่ กา้ ลังออกเป็นสองส่วน และเตรียมการกว่าสามปี ม่งุ เข้าตีอาณาจักรอยุธยาพร้อมกันทงั สองดา้ น ฝา่ ยอยุธยาต้านทานการลอ้ มของทัพ พมา่ ไวไ้ ด้ 14 เดือน แตก่ ไ็ ม่อาจหยุดยังการกองทัพรัฐอังวะได้ เนือ่ งจากมีกา้ ลังมาก และต้องการท้าลายศูนย์ อา้ นาจอย่างอยุธยาลงเพ่อื ป้องกนั การกลับมามีอา้ นาจ อีกทังกองทัพอังวะยังติดศกึ กับจนี ราชวงศช์ ิงอยเู่ นือง ๆ หากปล่อยใหเ้ กิดการสู้รบยดื เยือต่อไปอกี กจ็ ะเป็นภยั แก่อังวะ และมีสงครามไมจ่ บสิน ในทีส่ ดุ กองทัพอังวะ สามารถหักเขา้ พระนครไดใ้ นวนั ท่ี 7 เมษายน พ.ศ. 2310 พระมหากษัตริย์[แก้] พระมหากษตั ริยก์ รุงศรีอยธุ ยา มี 5 ราชวงศ์ คอื 1. ราชวงศอ์ ู่ทอง มกี ษตั ริย์ 3 พระองค์ 2. ราชวงศส์ พุ รรณภูมิ มกี ษัตริย์ 13 พระองค์ 3. ราชวงศ์สุโขทัย มีกษตั ริย์ 7 พระองค์ 4. ราชวงศป์ ราสาททอง มกี ษตั รยิ ์ 4 พระองค์ 5. ราชวงศบ์ ้านพลูหลวง มีกษัตรยิ ์ 6 พระองค์
การปกครอง ชว่ งแรกมกี ารปกครองคล้ายคลงึ กบั ในสมัยสโุ ขทัย พระมหากษตั ริย์มสี ทิ ธป์ิ กครองโดยตรงในราชธานี หากทรงใช้อา้ นาจผา่ นขา้ ราชการและขนุ นางเชน่ กนั นอกจากนยี งั มรี ะบบการปกครองภายในราชธานที ่ี เรยี กว่า จตุสดมภ์ ตามการเรยี กของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาด้ารงราชานุภาพ[21] อนั ได้แก่ กรม เวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา การปกครองนอกราชธานี ประกอบด้วย เมอื งหนา้ ดา่ น เมืองชันใน เมอื งพระยามหานคร และเมือง ประเทศราช โดยมีรูปแบบกระจายอา้ นาจออกจากศูนย์กลางคอ่ นขา้ งมาก[22] เมอื งหนา้ ดา่ น ไดแ้ ก่ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และสพุ รรณบรุ ี ตังอยู่รอบราชธานีทังสท่ี ศิ ระยะเดินทางจากราชธานีสองวนั พระมหากษตั ริย์ทรงส่งเชอื พระวงศท์ ีไ่ ว้วางพระทัยไปปกครอง แต่รูปแบบนีนา้ มาซึ่งปญั หาการแยง่ ชงิ ราช สมบตั ิอยบู่ ่อยครัง เมืองชันในทรงปกครองโดยผู้รัง ถดั ออกไปเป็นเมอื งพระยามหานครหรือหวั เมอื งชนั นอก ปกครองโดยเจ้าเมืองที่สืบเชือสายมาแต่เดิม มีหนา้ ท่ีจ่ายภาษีและเกณฑผ์ ู้คนในราชการสงคราม[22] และ สดุ ทา้ ยคอื เมืองประเทศราช พระมหากษัตริย์ปลอ่ ยใหป้ กครองกนั เอง เพียงแต่ต้องสง่ เคร่อื งบรรณาการมาให้ ราชธานีทกุ ปี ตอ่ มา สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ พ.ศ. 1991-2031) ทรงยกเลิกระบบเมืองหน้าด่านเพือ่ ขจดั ปญั หาการแย่งชิงราชสมบตั ิ และขยายอา้ นาจของราชธานโี ดยการกลนื เมอื งรอบข้างเขา้ เป็นส่วนหน่ึงของ ราชธาน[ี 23] สา้ หรับระบบจตุสดมภ์ ทรงแยกกจิ การพลเรือนออกจากกิจการทหารอย่างชัดเจน ให้อยภู่ ายใต้ ความรับผิดชอบของสมุหนายกและสมุหกลาโหมตามล้าดบั นอกจากนยี งั มีการเปลี่ยนชื่อกรมและชอ่ื ต้าแหน่ง เสนาบดี แต่ยงั คงไวซ้ ่ึงหน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบเดมิ สว่ นการปกครองสว่ นภูมิภาคมลี กั ษณะเปลีย่ นไปในทางการรวมอ้านาจเขา้ สู่ศูนยก์ ลางให้มากท่ีสุด โดย ใหเ้ มอื งชันนอกเข้ามาอยภู่ ายใตอ้ า้ นาจของราชธานี มรี ะบบการปกครองทีล่ อกมาจากราชธานี[24] มกี ารลา้ ดับ ความส้าคัญของหัวเมืองออกเป็นชนั เอก โท ตรี ส้าหรับหัวเมืองประเทศราชนนั ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการ เปลยี่ นแปลงการปกครองมากนัก หากแตพ่ ระมหากษัตริยจ์ ะมีวธิ กี ารควบคุมความจงรักภักดีต่อราชธานีหลาย วิธี เช่น การเรียกเจ้าเมืองประเทศราชมาปรกึ ษาราชการ หรอื มาร่วมพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกหรอื ถวายพระ เพลงิ พระบรมศพในราชธานี การอภเิ ษกสมรสโดยการให้ส่งราชธดิ ามาเปน็ สนม และการส่งขา้ ราชการไป ปกครองเมืองใกลเ้ คียงกับเมืองประเทศราชเพ่ือคอยสง่ ข่าว ซง่ึ เมืองท่ีมีหน้าทีด่ งั กล่าว เชน่ พิษณโุ ลกและ นครศรีธรรมราช[25] ในรชั สมัยสมเด็จพระเพทราชา (ครองราชย์ พ.ศ. 2231-2246) ทรงกระจายอา้ นาจทางทหารซึ่งเดมิ ขึนอยู่กับสมุหกลาโหมแต่ผเู้ ดยี วออกเปน็ สามส่วน โดยใหส้ มุหกลาโหมเปล่ยี นไปควบคุมกิจการทหารในราช ธานี กจิ การทหารและพลเรือนของหัวเมอื งทางใต้ ใหส้ มุหนายกควบคุมกจิ การพลเรือนในราชธานี กจิ การ
ทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางเหนอื และพระโกษาธิบดี ใหด้ ูแลกจิ การทหารและพลเรือนของหัวเมอื ง ตะวันออก ต่อมา สมัยสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ (2275-2301) ทรงลดอ้านาจของสมุหกลาโหมเหลือเพียง ท่ปี รกึ ษาราชการ และให้หวั เมืองทางใต้ไปขนึ กับพระโกษาธิบดดี ้วย[26] นอกจากนี ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ. 2112-2133) ยังไดจ้ ดั กา้ ลัง ป้องกนั ราชธานีออกเปน็ สามวัง ได้แก่ วังหลวง มีหนา้ ที่ป้องกนั พระนครทางเหนือ วังหน้า มีหนา้ ท่ีป้องกนั พระ นครทางตะวนั ออก และวังหลัง มีหนา้ ทป่ี ้องกนั พระนครทางตะวันตก ระบบดังกลา่ วใชม้ าจนถงึ สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ พัฒนาการ คนไทยไม่เคยขาดแคลนเสบียงอาหารอนั อดุ มสมบูรณ์ ชาวนาปลกู ขา้ วเพ่ือการบริโภคของตนเองและ เพอื่ จ่ายภาษี ผลผลิตส่วนที่เหลอื อยูใ่ ช้สนับสนนุ สถาบนั ศาสนา อย่างไรก็ดี ตังแตค่ รสิ ต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 15 มีการเปล่ยี นแปลงที่น่าสงั เกตในการปลูกขา้ วของไทย บนที่สงู ซ่ึงปริมาณฝนไมเ่ พียงพอ ตอ้ งไดร้ ับนา้ เพ่มิ จาก ระบบชลประทานท่คี วบคมุ ระดบั น้าในทน่ี านา้ ทว่ ม คนไทยหว่านเมล็ดขา้ วเหนียวท่ียงั เป็นสนิ ค้าโภคภัณฑห์ ลกั ในภาคเหนือและตะวันออกเฉยี งเหนอื ปจั จุบนั แต่ในทรี่ าบน้าท่วมถึงเจา้ พระยา ชาวนาหนั มาปลกู ข้าวล้าย ชนิด ทเ่ี รยี กวา่ ข้าวขึนน้าหรอื ข้าวนาเมือง (floating rice) ซึ่งเป็นสายพนั ธย์ุ าวเรยี ว ไม่เหนยี วท่ีรบั มาจากเบ งกอล ซง่ึ จะเตบิ โตอยา่ งรวดเร็วทนั พร้อมกับการเพ่ิมขนึ ของระดับนา้ ในที่ลุ่ม
พัฒนาการทางสังคมและการเมือง นบั แต่การปฏิรปู ของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงอยู่ ณ ศูนยก์ ลางแหง่ ลา้ ดับชนั ทางสังคมและการเมอื งท่จี ดั ช่วงชนั อยา่ งสงู ซง่ึ แผไ่ ปทว่ั ราชอาณาจักร ดว้ ยขาดหลักฐาน จึงเชื่อกัน วา่ หน่วยพืนฐานของการจดั ระเบียบสังคมในราชอาณาจักรอยุธยา คอื ชุมชนหม่บู ้าน ท่ีประกอบด้วย ครัวเรอื นครอบครัวขยาย กรรมสทิ ธใิ์ นทีด่ นิ อยูก่ ับผู้นา้ ท่ีถือไวใ้ นนามของชุมชน แม้ชาวนาเจา้ ของทรัพย์สนิ จะพอใจการใช้ที่ดินเฉพาะเท่าทใ่ี ช้เพาะปลูกเท่านนั [29] ขุนนางค่อย ๆ กลายไปเป็นขา้ ราชส้านกั (หรอื อ้ามาตย์) และผู้ปกครองบรรณาการ (tributary ruler) ในนครทส่ี า้ คัญรองลงมา ทา้ ยทีส่ ุด พระมหากษตั ริย์ ทรงได้รับการยอมรบั ว่าเป็นพระศิวะ (หรือพระวิษณุ) ลงมาจุติบนโลก และทรงกลายมาเป็นส่งิ มงคลแกพ่ ธิ ี ปฏบิ ตั ใิ นทางการเมอื ง-ศาสนา ทม่ี ีพราหมณ์เป็นผูป้ ระกอบพธิ ี ซ่ึงเป็นข้าราชบริพารในราชส้านกั ในบรบิ ท ศาสนาพทุ ธ เทวราชาเป็นพระโพธิสตั ว์ ความเชือ่ ในเทวราชย์ (divine kingship) คงอยู่ถงึ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18 แมถ้ ึงขณะนนั นยั ทางศาสนาของมันจะมีผลกระทบจ้ากัดกต็ าม
ความสมั พันธ์กบั ตา่ งประเทศ อาณาจกั รอยธุ ยามักส่งเคร่อื งราชบรรณาการไปถวายจกั รพรรดิจีนเปน็ ประจ้าทุกสามปี เครอ่ื ง บรรณาการนเี รยี กวา่ \"จิมกอ้ ง\" นกั ประวตั ิศาสตรเ์ ชื่อว่าการส่งเครอ่ื งราชบรรณาการดงั กลา่ วแฝงจดุ ประสงค์ ทางธุรกิจไวด้ ว้ ย คือ เมื่ออาณาจกั รอยุธยาไดส้ ง่ เคร่ืองราชบรรณาการไปถวายแลว้ ก็จะได้เครอ่ื งราช บรรณาการกลบั มาเปน็ มลู ค่าสองเทา่ [63] ทงั ยังเปน็ ธรุ กิจที่ไมม่ ีความเสี่ยง จึงมักจะมขี ุนนางและพอ่ ค้าเดนิ ทาง ไปพร้อมกับการน้าเครอ่ื งราชบรรณาการไปถวายดว้ ย
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: