คาํ นาํ Pocket เลมน้จี ัดทาํ ข้ึนมาเพอ่ื เปน สวนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชา มนษุ ยและศิลปะ เนอ้ื หาในหนงั สือเลมนี้เปน เนือ้ หาเก่ยี วกับลทั ธอิ อปอารต โดยมีประวตั ิความเปน มาของลัทธอิ อ ป-อารต ลกั ษณะของศลิ ปะอออปอารต รวมท้ังรวบรวมผลงานของศิลปนทผี่ ูจดั ทาํ คิดวาสาํ คัญรวมไวในหนงั สอื เลม นดี้ วย การทําหนังสอื เลมน้ีเปน การทําหนงั สอื ครงั้ แรกของผจู ัดทาํ หากมีขอผดิ พลาดประการใด ผจู ดั ทําตองขออภยั มา ณ ทีน่ ี้ ภรู 1ิช3า5ส8ง0ว5น4พ9งศ
สารบัญABOUT OP ART 1ARTIST -Victor Vasarely 8 -Bridget Riley 14 -Josef Albers 2227 -Richard anuszkiewicz 29OP ART IN NOWDAY
ABOUT OP ART
2OP ART จิตรกรรมแบบ อ็อพ อารต (Op Art) เปนศลิ ลปะลวงตาเปน วิธกี ารเขียนที่คาํ นึงถึงความสัมพนั ธร ะหวา งความลวงตาและพ้นื ผวิ ของภาพ ระหวา งความเขา ใจและการมองเห็น เดน มากในการสรางภาพนามธรรมท่เี นนรปู ทรงเรขาคณติ ท่ีมขี อบและเสน รอบนอกทคี่ มชดั ทิศทางของรูปทรงและเสน รอบนอกมกั จะหักเห ยักเยื้องทาํ ใหต าของเราเหน็ วา มันเคล่ือนไหววบู วาบ โดยเฉพาะเมอื่ เราจอ งมองมันนงิ่ ๆสักพกัแลว เหลือบสายตาใหเ คลื่อนไปจากเดิมเล็กนอย รปู ทรงและเสนทศี่ ลิ ปนวางไวอยา งเหมาะเจาะจะทาํ ปฏกิ ริยากบั การมอง ทาํ ใหเหน็ วา มันเคล่ือนไหววบู วาบนดิ ๆ หรือในบางกรณรี ปู ทรงทจี่ ติ รกรสรา งขน้ึ จะดูนูนสูงขึ้น เวาตา่ํ ลงหรอื ปูดออกอยางสมจริงท้ังๆ ท่ีมนั เปน ภาพแบนๆ
3 ศิลปะออปอารตไดรบั อทิ ธิพลมาจาก ศิลปะปอ ปอารไ ดรบั อทิ ธิผลมาจาก กลมุ ฟว เจอรสิ ม โดยศิลปะกลมุ น้ีเนน ยาํ้ เกยี่ วกับเรือ่ งความเคล่อื นไหวความเรว็ และวิทยาศาสตรแ ขนงฟส ิกสโดยวิธีซ้ํากนั ขององคประกอบทางศลิ ปะ OP ART มาจาก ชือ่ อ็อพ อารต เปน ชอ่ื ทย่ี อมาจากคําวา ออ็ พตเิ คลิ อารต (optical art)หรือเรยี กวา เรทนิ ลั อารต (retinal art) หรือ เพอรเ ซ็ปชวล แอ็บสแตรคชนั (perceptual abstraction) หรือศลิ ปะทเ่ี กี่ยวกับสายตาและการมองนนั่ เองเรม่ิ ตน ตั้งแต ค.ศ. 1960 ท่นี วิ ยอรก ประเทศสหรสั อเมรกิ าา จาก จอรจ รคิ คยี (George Rickey)ประติมากรชาวอเมรกิ นั ทอี่ อกไอเดียใหชอ่ื น้ขี ้นึ มาขณะที่พูดคยุ กบั ปเตอร เซลซ (Peter Selz)และ วิลเลียม ซที ซ(William Seitz) ควิ เรเตอร (ภัณฑารกั ษ) ของ เดอะ มิวเซียม ออฟ โมเดิรนอารต และศลิ ปะออ ปอารต กไ็ ดรบั ความนยิ มในยโุ รปอยางแพรหลายในเวลาตอมา
4 ศิลปะออปอารต ศลิ ปนเชือ่ วา\"ตา\"มีความสาํ คญั กวา\"สมอง\" ศลิ ปน มุงเนนตามทฤษฎกี ารมองเห็น (Visual theory)เกี่ยวของกับประสาทตา เรยี กวา ทฤษฎีของการรบั รู ซ่งึ มหี ลกั สําคัญ 3 ประการ 1.ทฤษฎแี สงและเงา (Light and Shode) 2.ทฤษฎรี ูปและพื้น (Figure and Ground) 3.ทฤษฎสี มดลุ และตดั กัน (Balance and Coutrast)**เพิ่มเติม 1.ทฤษฎีแสงและเงา แสงและเงา (Light & Shade) เปนองคป ระกอบของศิลปท ี่อยคู ูกัน เม่อื สองกระทบ กับวตั ถุ จะทาํ ใหเกดิ เงา แสงและเงาเปน ตวั กาํ หนดระดบั ของคาน้าํ หนัก 2.ทฤษฎรี ปู และพืน้ การออกแบบรปู และพื้นสามารถใหค วามรสู กึ เคล่อื นไหวแกผ ูเ หน็ และกอ ใหเกดิความคดิ มองเหน็ เปน รปู ตา งๆไดม าก ในกรณีท่ตี อ งการใหรสู กึ เคลือ่ นไหว มักจะออกแบบรปู ทซ่ี า้ํ ๆกนัตอ เนอ่ื งในทศิ ทางเดียวกนั ซ่งึ บางทานก็กําหนดเปนทฤษฎีของการมองเห็นยอ ลงไปอีก 3.ทฤษฎสี มดุล และตดั กัน ศลิ ปน นาํ เอาความขดั แยงขององคประกอบมาจดั ใหเกิดความกลมกลืนสมดุล ซง่ึ การใหม คี วามขดั แยง อยบู างจะทาํ ใหผลงานนาสนใจมากขน้ึ ถาไมม คี วามขัดแยงเลยจะทาํ ใหจ ดื ชดื เรยี บ ไมดึงดดู ความสนใจทฤษฎกี ารมองเห็นทัง้ 3 วิธนี ม้ี กี ารคดิ คนเพ่อื เขียนภาพกนั มากจนทําใหศ ลิ ปะออปอารตไดร ับความนิยมกวา งขวางไปท่ัวโลกอยางรวดเรว็
5 สีเปนสงิ่ ที่สาํ คํญท่สี ดุ ในงานออปอารจะตอ งใชทสี่ท่ีมคี วามเขมมากๆหรอื เปนสีท่มี ีความสดใส และสีทีน่ าํ มาใชค วรจะเปน สีที่ตัดกนั กัน เพือ่ ใหความรสู ึกเคล่อื นไหวและสะดดุ ตา บางคร้ังทาํ ใหดตู ้นื ลึก ดว ยเสน หรอื รสู ึกวบู วาบเคล่อื นไหวคลา ยคลื่น ลอสายตาอยู สีทศ่ี ลิ ปนนิยมใชม ากท่ีสดุ คือ สีขาว และ สีดํา
6 ลักษณะเดน ของ ออป อารต 1.เปนจิตรกรรมทแ่ี สดงภาพดว ยสี (The Color Image) 2. เปน จิตรกรรมปราศจากรูป(Visble Image) 3.เปน จิตรกรรมทางตาโดยตรง(Optical) 4.เปน จติ รกรรมทน่ี ิยมใชสีดาํ และสขี าวมากทส่ี ดุ 5.เปน จิตรกรรมที่มีรปู แบบเลอ่ื มวบู วาบ(Moire Pattern) 6.เปนจิตรกรรมทม่ี ลี กั ษณะสูงตาํ่ และแสดงโครงสรา ง(Relief and Construction) ศลิ ปะ ออป อารต เปน ไดท้งั ศลิ ปะทีเ่ ปนนามธรรมและรูปธรรมทปี่ ระกอบดวยรปู ทรงเลขาคณิต ทมี่ ขี อบและเสน รอบรูปทชี่ ดั เจน เสนรอบนอกมกั จะหกั เหและหยกั เย้อื งทาํ ใหเ ม่ือมองรูปภาพศิลปะแบบ ออป อารต จะทําใหรูสกึ ถึงความ เคลอื่ นไหว สะเทอื นแวบวบั บนพื้นผิวของรปู ภาพได การใชรปู ทรง เสน และสีในการวาดภาพจะถูกเลือกอยา งเหมาะสม เพ่ือใหท ําปฎกิ รยิ าในการมองใหเ ห็นรปู ภาพเคลือ่ นไหว
ARTIST
Victor Vasarely21
9 Victor Vasarely เปนจิตรกรและสถาปนิกชาวฮังการี เกดิ วนั ที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ 1906และเตบิ โตข้ึนทเี่ มอื งปเอสตานี ประเทศโลวาเกีย ป 1925 วกิ เตอรไ ดเ ขาศึกษตอดา นการแพทยเขาเรียนอยทู ่นี ้ยั ไดส องป ในป 1927 ป 1927 เขาก็ไดม าเรยี นเกยี่ วกบั การวาดภาพที่ The privatePodolinivolkman ตมาเขาก็ยา ยไปท่ี ปดู า เปส ประเทศฝร่ังเศส ในชว งแรก เขาไดษ กึ ษาทดลองเกี่ยวกับเรอื่ งพ้นื ผวิ สัมผัส แสงเงาและ มมุ มองภาพ เขาพัฒนาระบบสี เสน และรูปทรงขึ้นใหมและไดศ กึ ษาเกี่ยวกบั ส่งิ กอสรางตา งๆอยา งตอ เนอ่ื ง ซึ่งสง่ิ ที่เขาพัฒนาท้งั หมดน้ลี วนสงผลกบังานของเขาเอง วกิ เตอร วาซารีลี ไดร บั การยกยองใหเ ปน บิดาแหงศลิ ปะปอ ปอารต
Art of Victor Vasarely
11 Vega-Pal (1969)เปน ลวดลายทอ่ี ยบู นพรม มแี นวความคดิ มาจาก Vasarely’s Black-White Period(1951-63) เปน รูปภาพวงกลมสามมติ ทิ ม่ี ลี กั ษณะเหมือนโผลออกมาจากพ้นื ผิวเรียบ
12 Duo- 2 (1967) ภาพนแี้ สดงใหเ หน็ ถงึ ความแตกตางของโทนสี ฟา เขยี ว สม และมวงแสดงใหเ ห็นถงึ การศึกษาทน่ี า สนใจของการวางตาํ แหนง วกิ เตอร รูปนี้มุงเนน ปท่คี วามซบั ซอนของรปู หกเหลี่ยม
13 Kroa A, 1970 เปนประติมากรรมที่ซับซอ นเปน ประตมิ ากรรมท่มี ีการเปล่ยี นแปลงรปู แบบในทุกดา นอยางแทจริงท้งั ในดา นความคดิ สรา งสรรค และนวตั กรรม
14 Zebra 1937เปนภาพวาดรูปมา ลาย วาดขึน้ โดยใชส นี ํ้ามนั บนผืนผา ใบ
Bridget Riley
16 เกดิ เม่ือป 1931ที่เมอื งNorwood, South London พอของเธอมธี ุรกจิ ส่งิ พิมพและในป 1938 พอของเธอไดย า ยธุรกิจไปอยทู เี่ มือง เธอจงึ ตอ งยายตามพอ ของเธอครอบครวั ของเธอใชเ วลาอยทู ีเ่ มืองลิงคอลน ไดไ มน านกเ็ กดิ สงคราม พอ ของเธอจึงไดถ ูกเรยี กตัวไปเปนทหาร เธอและแมของเธอจึงตอ งยายไปอยทู ีค่ อรนวอลลในวยั เด็กของเธอท่เี มอื งเธอไดถกู เลีย้ งมาอยา อสิ ระและไดเ ร่มิ วาดภาพจนการวาดภาพกลายเปน สวนหนึ่งทสี่ าํ คัญในชีวติ ของเธอ และเธอไดเขา เรียนทม่ี หาลัยRoyal College of Art
Art of Bridget Riley
18 Blaze (1964) เปน เสนซกแซกสีขาวดาํ ท่ีทาํ ใหเกิดการรับรขู องรปู วงกลมไดอ ยา งดีสมองของเราจะแปลภาพใหเ ราเห็นแพทเทิลท่ีขาวดาํ ทีเ่ รยี งสลบั กันเหมอื นกําลังเคล่อื นไหวอยู
19 Cataract 3 1967 ในสว นของตรงกลางของงานศลิ ปะนี้จะเหน็ เปนสีชมพู และมีสีท่มี คี วามสวางทีแ่ ตกตางกันมกี ารลงสีฟา ทส่ี ดในโดยการเติมสเี ทาเพ่ิมขึ้นเรอ่ื ยๆในสวนบนและลางของภาพทาํ ใหนําสายตา
20 Hesitate 1964 เปนรปู หนง่ึ ในรูป ขาวดําท่ี Riley เปนคนวาดข้นึสามมารถส่ือถงึ อารมณค วามรสู กึ ไดเ ชน การสูญหาย ความเครียด
21 Ra 2 เปน รปู ทสี่ รา งโดยการsilkscreenลงบนกระดาษขาวโดยใชส ี 6 สที ี่แตกตางกนั มาวาดเปน เสน ไดเปนรปู ส่เี หล่ยี มใหญ
Josef Albers
23โจเซฟ อลั เบิรต เกิดเม่ือป 1888 ท่เี มือง bottrop ประเทศเยอรมันนีเขาไดสอนเด็กๆเก่ยี วกับทุกๆอยางอยูเปน ระยะเวลาสน้ั ๆ หลงั จากนั้นเขากไ็ ดเ ปนครศู ลิ ปะ หลังจากที่เขาไดเปน ครศู ลิ ปะ ไดไ มก ่ีเดอื นเขากไ็ ดมาเปน ชา งพิมพแ ละศลิ ปน และไดเขาเรยี นในโรงเรียนศลิ ปะเพือ่ ใหต รงกบั สายงานของเขา และเขาไดเ ขาไปสอนท่ี มหาลัย Yaleในบางคร้งั และหลังจากนน้ั เขาใหเวลาการออกแบบและทาํ ศิลปะออ ปอารต เขาใสสลี งในผลงานของเขา เขายังใชค วามรูที่เขามีสรางชุดงานศลิ ปะของเขาชอื่ วา \"Homage to the Square\"
Art of Josef Albers
25 Homage to the squareป 1950s' Josef ไดส ราง The homage ขน้ึ มาซ่ึงเปน ศลิ ปะออ ปอารตโดยใชเ ท๕นคิ การวาด การระบาย การทกั ทอ และยังเปนตน กาํ เนดิ ของ ศิลปะเราขาคณติ แบบAbtract
26 Repeat and Reverse (1963)เปน งานท่สี รา งบนผนัง ใชเ สน สี วาดซาํ้ ๆ โดยมีการวางรูปแบบงายๆ เพอื่ สรางภาพลวงตาสามติ ิ
27 Manhattan (1963)เปนสิง่ กอ สรา งอยลู อบบ้ีของโรงแรม Pan Am (ปจ จับัน MetLife)แตเ มอ่ื ป 2000 ไดถูกถอดออกไปเนอื่ งจากมีการปรับปรุงโรงแรม
28 Two Portals (1961)เปน งานทีอ่ อกแบบผนังทจ่ี ะใชในงานรับปรญิ ญาทม่ี หาวทิ ยาลยั ฮารวารด โดย Albers ไดม าทาํ งานนโี้ ดยคาํ เชอ้ื เชิญจากเพ่อื นๆ
Richard anuszkiewicz
30 เกดิ เม่ือท่ี เพนซิวาเนยี ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ในป 1930 เขาสนใจการวาดรูปมาตงั้ แตเด็กๆและเขาก็ไดร บั การสนับสนนุ จากพอ ของเขามาโดยตลอด เมอ่ื อายุ 14เขาไดเ ขาไปเรยี นทีE่ ire Technical High School เขาสามมารถใชเ วลาอยูกบั งานศลิ ปะไดหลายช่ัวโมง และในป 1953 เขาก็ไดจบจาก Cleveland Institute of Art
Art of Richard anuszkiewicz
32 Texas Red, 1969ถกู วาดขึ้นจากสีอครีลิก บนผืนผาใบสี่เหล่ียม ขนาด 36 × 36
33 Untitled, 1978ถูกวาดดว ยสอี ครลี ิก บนแผนไมmasonite ขนาด 13 × 13 cm
34 List, 1998ถูกวาดโดยสอี ครลี ิก บนแผนไมm asonite ขนาด 48 × 48
OP ART IN NOWDAY
36 นอกจากอออปอารเปน จติ กรรมแลว ยงั สามมารถนาํ ลวดลายของศิลปะเหลา นมี้ าดัดแปลงเปน สงิ่ ตา งๆไดเชน ลายผา ที่นาํ มาตัดเสอ้ื ผา ผาปูโตะ ลวดลายของแกว น้าํหรือแจกันตางๆเปนตน
BibliographyOp Art. (ม.ป.ป.). เขา ถึงไดจ าก:http://www.visual-arts-cork.com/history-of-art/op-art.htm(วนั ทค่ี น ขอมลู : 13 เมษายน 2559)Op Art. (ม.ป.ป.). เขาถึงไดจ าก:http://www.theartstory.org/movement-op-art.htm#beginnings_header(วนั ทค่ี นขอมูล: 13 เมษายน 2559).Op Art. (ม.ป.ป.). เขาถึงไดจาก: http://www.slideshare.net/horania/opart-th(วนั ที่คน ขอ มูล: 13 เมษายน 2559).Victor Vasarely . (ม.ป.ป.). เขา ถงึ ไดจ าก: http://www.op-art.co.uk/Victor Vasarely/(วันทค่ี น ขอ มลู : 14 เมษายน 2559)Bridget Riley. (ม.ป.ป.). เขา ถงึ ไดจาก: http://www.op-art.co.uk/Bridget Riley/(วนั ท่คี น ขอ มูล: 14 เมษายน 2559)Josef Albers. (ม.ป.ป.). เขา ถงึ ไดจ าก:http://www.theartstory.org/artist-albers-josef-artworks.htm#pnt_3(วนั ที่คนขอมูล: 14 เมษายน 2559)Richard Anuskiewicz. (ม.ป.ป.). เขา ถึงไดจาก:http://www.op-art.co.uk/richard-anuszkiewicz/(วนั ที่คนขอมลู : 20 เมษายน 2559)
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: