บทนำ� หากพูดถึงลัทธิศิลปะป็อปอาร์ต หรือ ศิลปะประชานิยม กล่าวได้ว่า ป็อปอาร์ตเป็นศิลปะที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยม บริโภคนิยม และกระแสนิยม โดยผลงานส่วนใหญ่เกิดจากการใช้วัสดุที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำ�วัน แอนดี วอร์ฮอล หรือ แอนดรูว์ วาร์โฮลา จูเนียร์ หนึ่งในศิลปินของยุค นี้ ก็มีอิทธิพลต่อศิลปะในลัทธินี้เป็นอย่างมาก เขาเป็นทั้งจิตรกร ผู้กำ�กับ และ ยังเป็นผู้ริเริ่มกระบวนการ silkscreen ในผลงานจิตรกรรมอีกด้วย เขามีผล งานศิลปะในด้านต่างๆมากมาย ทั้งในด้าน จิตรกรรม ภาพยนตร์ และดนตรี หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานส่วนหนึ่งในวิชา มนุษย์และศิลปะ ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ นันทน์นิช ราชปรีชา 13590555
1 CONTENT 4 1-17 3 47 Bio- TV Show graphy 44-46 Scuplture 5 2 48-49 18-43 Biblio- Art graphy Work
“Beauty is a sign of intelligence.” - Andy Warhol -
Andy Warhol
BIOGRAPHY แอนดี วอรฮ์ อล หรอื แอนดรวู ์ วาร์โฮลา จเู นียร์ เป็นศิลปินชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้นำ�กลุ่มศิลปะแนวป็อปอาร์ต (ศิลปะประชานิยม) ที่ ประสบความสำ�เร็จอย่างมากจนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของงานแนวนี้ งาน ของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในเรื่อง คนดัง วงการบันเทิง และการโฆษณาซึ่งกำ�ลัง เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในช่วงยุค 60 นอกจากนี้ยังเป็นผู้ริเริ่มการใช้เทคนิค silkscreen ใน การทำ�ภาพเขียนด้วย นอกจากความสามารถด้านจิตรกรรม ภาพพิมพ์แล้วเขายังมีความสนใจในศิลปะด้าน อื่นๆ เช่น ภาพยนตร์ ถ่ายภาพ ดนตรี เป็นต้น 1
ANDY WARHOL เกิดในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1928 ในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามีเชื้อสายชาวสโลวัก หรือ สโวเกีย มีบิดา ชื่อ นายอันเดรจ์ วาร์โฮลา และ มารดาชื่อ จูเลีย ทั้งสองแต่งงานกันก่อนที่จะเดินทาง อพยพกันมาที่สหรัฐอเมริกา พวกเขามีลูกชายด้วยกัน 3 คน แอนดีเป็นลูกคนกลาง เขามีพี่ชายชื่อว่า พอลและน้องชายชื่อจอห์น พ่อ ของแอนดีทำ�งานหลายอย่างตั้งแต่ช่างก่อสร้าง คนงานเหมืองถ่านหิน คนงาน โรงงานผลิตรถยนต์ แม้กระทั่งเป็นคนงานในโรงถลุงเหล็ก เขาตระเวนย้ายงานไป หลายเมืองเพื่อที่จะหางานและเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว ส่วนแม่ของเขามี ฝีมือทางด้านประดิษฐ์งานหัตถศิลป์เป็นช่างประดิษฐ์งานฝีมือ ขายเป็นรายได้เสริม เมื่อแอนดีอายุได้ 6 ขวบ แอนดี ก็ป่วยด้วยโรคติดเชื้อที่ไขสันหลังส่งผลให้ เกิดอาการทางระบบประสาทที่คนไทยเรียกว่า “สันนิบาตลูกนก” ซึ่งมีอาการทำ�ให้ ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูปร่างและผิวหนังซีดเผือดเนื่องจากความผิดปรกติของการผลิต เลือด ทำ�ให้แอนดีต้องนอนพักรักษาตัวอยู่แต่บนเตียงนอนเป็นเวลากว่า 10 สัปดาห์ ในช่วงนี้เองที่แอนดีเริ่มอ่านการ์ตูนซึ่งมากขึ้นๆเรื่อยๆจนกลายเป็นการสะสมซึ่งเขา ก็เริ่มชอบมาตั้งแต่นั้น ภายหลังจากหายป่วยเขาก็กลับไปเรียนต่อที่โรงเรียนในปี1937ครูของเขา ได้แนะนำ�ให้เขาบำ�บัดสุขภาพด้วยการทำ�งานศิลปะ แอนดีเรียนในระดับไฮสคูลที่ เชนลี ไฮ (Schenley High) ในพิตส์เบิร์ก และเมื่อเขาอายุ 14 ปี พ่อของเขาก็เสีย ชีวิตลงในปี 1942 ในปี 1945 แอนดีก็จบการศึกษาในระดับไฮสคูล และ เข้าเรียนต่อที่ สถาบันเทคโนโลยีคาร์เนกี (Carnegie Institute of Technology) ในสาขาวิชา จิตรกรรมและการออกแบบ 2
1949ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์ และ ได้จัดงานแสดงภาพเขียนของเขาขึ้นเป็น บัณฑิตในการออกแบบภาพ ปีต่อมาเขาย้าย ครั้งแรกที่ฮิวโก้ แกลลอรี่ การแสดงภาพครั้งนี้ เข้าไปในเมืองนิวยอร์กและเริ่มทำ�งานใน แอนดีใช้ชื่อว่า“ภาพวาด 15 ภาพจากงานเขียน นิตยสาร ต่อมาได้รับชื่อเสียงสำ�หรับภาพวาด ของทรูแมน คาโปต (Fifteen Drawings Based หมึกในการโฆษณารองเท้างานชิ้นแรกเป็นการ on the Writings of Truman Capote) วาดภาพประกอบให้กับนิตยสารแกลเมอร์และ หลังจากนั้นเขาก็เป็นนักวาดภาพประจำ� ใน 1956แอนดีได้เข้าร่วมกับศิลปินในกลุ่ม ระหว่างการทำ�งานดภาพประกอบนี้แอนดีก็ได้ พาณิชย์ศิลป์ซึ่งร่วมจัดแสดงภาพที่Loft Gal- เริ่มเปลี่ยนจากชื่อเต็มของเขามาเป็นAndy lery และยังได้รับงานเป็นผู้จัดการที่ห้องภาพ Warhol ลงเป็นลายเซ็นต์ในภาพเขียนต่างๆ และได้ก่อตั้งบริษัทที่ประกอบการทางด้าน แทนชื่อเดิม ศิลปะขึ้น ในชื่อ Andy Warhol Enterprises Inc. 3
START TO POP ART 1960 งานชิ้นแรกของแอนดีในแบบป็อปอาร์ตเป็นงานจิตรกรรมภาพการ์ตูนยอดนิยมใน สมัยนั้น อย่าง “ป็อปอาย (Popeye), ซูเปอร์แมน (Superman) และ ดิค เทรซี่ (Dick Tracy) ชื่อเสียงของเขาก็เริ่มโด่งดังขึ้นเป็นอย่างมากในฐานะศิลปินป็อปอาร์ตที่มีเอกลักษณ์งานเป็น ของตัวเอง และเมื่อเขาได้เริ่มทำ�งานในแบบซีรีส์ (Series) คือภาพชุดจำ�นวนมากเรียงต่อๆกัน “แคมป์เบลส์ (Campbell’s)” จำ�นวน 32 ภาพ วอร์ฮอลเริ่มสร้างภาพวาดของวัตถุอเมริกันที่เป็นสัญลักษณ์เช่น dollar bills, mushroom clouds, electric chairs, Campbell’s Soup Cans, Coca-Cola bottles และ 4
celebrities อย่างMarilyn Monroe, Elvis Presley, Marlon Brando, Troy Do- nahue, Muhammad Ali, and Elizabeth Taylor รวมทั้งพาดหัวข่าวหรือรูปถ่ายของสุนัขตำ�รวจที่โจมตีผู้ชุมนุมชาวแอฟริกันอเมริกัน ในแคมเปญเบอร์มิงแฮมในขบวนการสิทธิพลเมือง Civil Rights Movement 1962 แสดงงานศิลปะป๊อปอัพครั้งแรกของเขา ครั้งแรกของเมือง New York จัดขึ้น ที่ Eleanor Ward’s Stable Gallery (เอลิเนอร์ เวิร์ด)รวมผลงานของ Marilyn Diptych, 100 กระป๋องซุป, 100 Coke Bottles และ 100 Dollar Bills 5
100 Cans, 1962 6
Troy Diptych , 1962 Liz Taylor, 1964 7
200 one dollar bills, 1962 8
Green Coca-Cola Bottles, 1962 9
1963 แอนดีก็เริ่มงานสายใหม่ โดยมุ่งความสนใจไปสู่ธุรกิจภาพยนตร์ และเมื่อเขา ได้ เจอราร์ด มาลังกา (Gerard Malanga) ซึ่งอยู่ในสายงานภาพยนตร์เข้ามาร่วมทีมในแฟค ตอรี่ แอนดีก็ได้สร้างภาพยนตร์ขึ้นในปีเดียวกันนั้นเป็นซีรีส์ 3 เรื่อง คือ “ดื่ม (Drink), กิน (Eat) และนอน (Sleep)” แนวการสร้างภาพยนตร์ของแอนดีก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำ�คัญให้กับนักสร้าง หนังอิสระรุ่นหลังๆมากมายในการผลิตภาพยนตร์แนวศิลป์และแนวนอกกระแส(Under- ground)ในภายหลังผลงานของแอนดียังได้รับการชมเชยจากนิตยสารแนวบันเทิงภาพยนตร์ “ Film Culture ” และได้รับรางวัลภาพยนตร์อิสระหรือ “อินดี้” ยอดเยี่ยมจากเรื่อง “อาณาจักร (Empire)” 1964 ภาพยนตร์ที่แอนดีสร้างนั้นยังมีต่อเนื่องออกมากอีกมากมาย แต่เรื่องที่ ประสบความสำ�เร็จสูงสุดและทำ�ให้แอนดีขึ้นทำ�เนียบคนทำ�หนังระดับสูงได้คือเรื่อง “เชลซี เกิร์ล (Chelsea Girls)” 1964 นิทรรศการ The American Supermarket แสดงให้เห็นสภาพแวดล้อม ของซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีขนาดเล็กในสหรัฐฯ ยกเว้น สินค้าที่ผลิตจากกระป๋อง , เนื้อ , โปสเตอร์ บนผนัง แอนดีประกาศเลิกวาดภาพชั่วคราวใน ปี 1965 ต่อมาเดอะเวลเว็ต อันเดอร์กราว นด์ และ นิโค ก็ได้ออกทัวร์ร่วมกับแอนดี เมื่อเขาเปิดรายการโชว์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “มัลติมีเดีย (Multimedia) เป็นการทำ�งาน ศิลปะรูปแบบ 3 มิติขึ้นโดยอาศัยสื่อผสมที่มี ทั้งดนตรีและการแสดงประกอบฉากภาพศิลป์ ของเขา ช่วงนั้นกระแสดนตรีที่เรียกว่า “ไซเคดี ลิก (Schychederic)” ของวง The Beat- lesเริ่มเป็นที่นิยม วง เดอะเวลเว็ต อันเดอร์กราวนด์ ก็ ตอบสนองต่อกระแสนี้เช่นกัน 10
11
12 Electric Chair
แอนดีกลับมาทำ�งานจิตรกรรมและ ภาพพิมพ์ของเขาอีกในช่วงปี 1966-1967 งานศิลปะของแอนดีในช่วงหลังนี้ค่อน ข้างไปในแนวรุนแรงและแสดงออกถึงสันดานดิบ ของมนุษย์ แนวความคิดเรื่อง ความรุนแรง ความ วิบัติ และมุมมืดของเซ็กซ์ 1970แอนดีก็ได้ออกมาเปิดตัวนิตยสาร บันเทิงของเขา“อินเทอร์วิว(Interview)” เป็น นิตยสารเกี่ยวกับวงการบันเทิงโดยเน้นไปที่ วงการภาพยนตร์ซึ่งต่อมานิตยสารฉบับนี้ได้กลาย เป็นนิตยสารที่เป็นที่นิยมและทรงอิทธิพลอย่าง มากฉบับหนึ่งในอเมริกา 1979 แอนดีก็ได้เปิดงานแสดงภาพ เขียนของเขาขึ้นที่Tate Gallery ภาพชุดกระป๋อง ซุปแคมป์เบลส์ของเขาที่ทำ�ขึ้นใหม่ในปี 1968 ใน รูปแบบซิลค์สกรีนก็ถูกประมูลไปได้ถึง 60,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติใหม่ของเขา ใ น ก า ร เ ป็ น ศิ ล ปิ น ใ น ยุ ค นั้ น ที่สามารถขายภาพได้ในราคา60,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติใหม่ของเขา ในการเป็นศิลปินในยุคนั้นที่สามารถขาย ภาพได้ในราคาสูงที่สุดในโลกในขณะที่ยังมี ชีวิตอยู่ ในปีเดียวกันนั้นรัฐบาลของ ประธานาธิบดี ริชาร์ด เอ็ม นิกสัน ก็ได้ มี น โ ย บ า ย ใ น ก า ร เ ปิ ด สั ม พั น ธ ภ า พ กั บ รัฐบาลของเหมา เจ๋อ ตง แห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีนแอนดีเองก็ร่วมเฉลิมฉลอง ข่าวใหญ่ครั้งนี้ด้วยการทำ�งานภาพพิมพ์ชุด ใหญ่อีกชุดเป็นรูปของเหมา เจ๋อ ตง 13
ในทศวรรษที่ 80 ศิลปะแนวป็อปอาร์ตไม่ใช่ศิลปะแบบใหม่ของวงการศิลปะอีก ต่อไป เกิดศิลปะนามธรรมแบบใหม่ที่เรียกว่า “Conceptual Art ” งานของแอนดีนั้นกำ�ลังกลายเป็น “คลาสสิก ป็อป (Classic Pop)” หรือศิลปะ อมตะแอนดีพัฒนาเทคนิคแบบใหม่ขึ้นเพื่อใช้กับการทำ�งานศิลปะของเขาเสมอ เขาเลือก ที่จะใช้เทคนิคจากภาพถ่ายเข้ามาตกแต่งและใช้เทคนิคการทำ�ภาพพิมพ์ด้วยวิธีซิลค์สกรีน เพื่อสร้างสรรค์งานให้ได้ตามอย่างจินตนาการก็สะดวกมากขึ้นทั้งยังช่วยย่นระยะเวลาใน การสร้างสรรค์งานให้รวดเร็วมากขึ้นด้วย แอนดีก็ยังทำ�งานศิลปะออกมาตามแบบอย่างของเขาโดยนำ�เอาศิลปะยุคเก่า อย่างยุคคลาสสิกและในยุคเรอเนสซองส์เข้ามาใช้เพื่อยกระดับงานศิลปะของเขาไม่หยุด 14
อยู่เพียงเหตุการณ์ หรือสิ่งร่วมสมัยอย่างเดิมมาทำ�ใหม่ในแนวศิลปะของเขาเองเป็น ผลงาน ที่มีรสชาติและอารมณ์ที่แตกต่างจากเดิม เรียกการทำ�งานแนวนี้ว่าเป็นการ “รีโปรดัคชัน (Reproduction)” หลังจากงานแสดงภาพชุดสุดท้ายในชีวิตของเขา “ อาหารค่ำ�มื้อสุดท้าย (The Last Supper) ” ที่ไปเปิดแสดงในงานแสดงภาพของเขาที่มิลานประเทศอิตาลีเมื่อกลับ มาที่นิวยอร์กเขาก็ล้มป่วยลงและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในนิวยอร์ก แอนดีป่วยด้วยโรคถุงน้ำ�ดีอักเสบเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับพ่อของเขาเมื่อเกิดอาการ ช็อกระหว่างการผ่าตัดทำ�ให้แอนดีถูกประกาศว่าเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายใน วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 15
REPRODUCTION Colored Mona Lisa,1963-1987 16
The Birth of Venus, 1984-1987 Moonwalk ,1987 17
ART WORK 18
“I used to drink it. I used to have the same lunch every day, for 20 years, I guess, the same thing over and over again.” ( ผมกินซุปกระป๋องของ Campbell เป็นอาหารกลางวันติดต่อกันทุกวันมาเกือบ 20 ปี ซำ�้แล้วซำ�้เล่า )
Campbell’s Soup Cans (32 Campbell’s Soup Cans) ,1962 Synthetic polymer paint on canvas , 51 cm × 41 cm each for 32 canvases , @ Museum of Modern Art. New York ภาพนี้เป็นภาพแรกที่แอนดีทำ�ในลักษณะแบบซีรีส์ (ภาพชุดจำ�นวนมากเรียงต่อๆ กัน) เป็นภาพที่ใ้ช้เทคนิค synthetic polymer บนผ้าใบ และ ภาพนี้ยังสร้างชื่อเสียงให้กับ แอนดีเป็นอย่างมากในฐานะศิลปินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนให้เห็นถึงความชื่นชอบในการรับประทานซุปกระป๋องแคมป์เบลของ เขาในฐานะผู้บริโภค และยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวอเมริกันในสมัยนั้นที่อาหาร กระป๋องมีความสำ�คัญต่อดำ�รงชีพเป็นอย่างมาก เนื่องจากในการประกอบอาหารแต่ละครั้ง ต้องมีการเตรียมวัตถุดิบ อุปกรณ์ต่างๆ ซุปกระป๋องนี้จึงช่วยลดระยะเวลาในการทำ�อาหาร แต่ละมื้อได้มาก และ ยังสะดวกง่ายต่อการรับประทานอาหารในเวลาอันเร่งรีบอีกด้วย การจัดองค์ประกอบของกระป๋องเหล่านี้เป็นการจัดองค์ประกอบในลักษณะเดียว กับชั้นวางของในsupermarket เป็นการวางสินค้าเรียงกันเพื่อทำ�ให้ผู้บริโภคสามารถจดจำ� ได้ง่ายด้วยการวางแบบซำ�้ๆกัน นอกจากนี้ยังทำ�ให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์แบบของคน อเมริกันอีกด้วย 19
OTHER SERIES OF Campbell’s Soup Cans Screenprint on paper , 88.9 cm × 58.4 cm @Museum of Contemporary Art, Chicago, Chicago, Illinois Campbell’s Soup Cans II , 1969 เป็นการแปรรูปของอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นให้อยู่ในรูปแบบของซุป กระป๋อง โดยจัดองค์ประกอบเป็นการจัดเรียงกันซำ�้ๆเพื่อให้เกิดความน่าสนใจและน่าจดจำ� เช่นเดียวกับการวางสินค้าเรียงกันใน supermarket แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาว อเมริกันที่นิยมรับประทานอาหารต่างๆที่ปรากฎอยู่ในภาพ ดังนี้ Tomato Beef Noodle O’s (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อและมะเขือเทศ) Scotch Broth (ซุปเคี่ยวกับผัก Chicken ‘n Dumplings (เกี๊ยวไก่) และเมล็ดข้าวบาร์เลย์) Oyster Stew (สตูว์หอยนางรม) Vegetarian Vegetable (ผักมังสวิรัติ) Golden Mushroom Clam Chowder (ซุปหอยข้น) Cheddar Cheese (เชสดาร์ชีส) Hot Dog Bean 20
Small Torn Campbell’s Soup Can Big Torn Campbell’s Soup Can (Pepper Pot), 1962 (Pepper Pot), 1962 Campbell’s Soup with Can Opener , 1962 Crushed Campbell’s Soup Can (Beef Noodle) ,1962 21
22 Campbell’s tomato soup cans produced for the 50th anniversary of the artwork
Campbell’s Tomato Juice Box, 1964 ( Example of Warhol’s first exhibit with Castelli ) 23
“ We are all of us stars and we deserve to twinkle “ Marilyn Monroe
MARILYN MONROE มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) หรือ นอร์มา จีน มอร์เทนสัน ในช่วงนั้นมาริลีนมอนโร เป็นนักแสดง นักร้อง นางแบบชาวอเมริกันที่มีชื่อ เสียงมาก (Celebrity and Death) และ ถึงถ้าเอ่ยชื่อของเธอ ก็คงนึกถึงเรื่องของเพศ มาริลีนเป็นบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ (sex symbol) ท่ีได้รับความนิยมในคริสต์ ทศวรรษ 1950 มาริลีนเป็นต้นแบบค่านิยมของผู้หญิงในยุคนั้น คือ ตาสีฟ้า ผมสีบลอนด์ และมีผิวพรรณที่ขาว ทำ�ให้แอนดีนำ�เธอมาเป็นแบบในการทำ�ผลงานศิลปะต่างๆมากมาย 24
Gold Marilyn , 1962 25
Marilyn Diptych , 1962 Silkscreen , 205.44 cm × 289.56 cm (80.88 in × 114.00 in) , @ Tate Gallery (UK) ภาพต้นฉบับของภาพนี้ มาจากภาพที่ใช้เพื่อโปรโมตภาพยนตร์ Niagara “dip- tych “ เป็นการนำ�ภาพ2ภาพมาต่อกัน โดยแอนดี ใช้เทคนิค Silkscreen เทคนิคประจำ� ของเขา ซึ่งด้านซ้ายเป็นภาพสี และด้านขวาเป็นภาพขาวดำ� งานชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นไม่นานหลังจากการเสียชีวิตของมาริลีนในปี 1962 บาง คนอาจวิจารณ์งานนี้ว่า ส่วนที่มีสีสันเป็นตัวแทนของชีวิตสว่าง ความโด่งดังในฐานะดารา ภาพยนตร์ ในขณะที่ส่วนขาวดำ�เป็นตัวแทนของความตาย ด้านมืด เป็นภาพเกี่ยวกับชีวิต และความตาย ภาพด้านขวาจริงๆแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายอะไร เพียงแตวิธี่การทำ� silkscreen ทำ�ให้เราตีความไปเอง การทำ�silkscreen คือการปาดหมึกลงบนแผ่นผ้าสกรีน ดังนั้นพอปาดไปเรื่อยๆหมึกก็จะเริ่มจางลง ทำ�ให้ภาพด้านขวาเป็นดังนั้น 26
เ ป็ น ก า ร ร ว ม ภ า พ ที่ แอนดีสวมวิกผมต่างๆ บ้างก็แต่งเป็นมาลิรีน มอลโรลบ้างก็แต่งเป็น ดาราเพศหญิงที่โด่งดัง ในช่วงนั้น ภาพนีทำ�ให้สื่อต่างให้ ความสนใจมากเกี่ยว กับเขา จึงเกิดข้อถก เถียงกันว่า เขาเป็น เกย์หรือไม่ แล้วถ้าไม่ ไ ด้ เ ป็ น ทำ � ไ ม จึ ง ต้ อ ง นำ�วิกผมของผู้หญิง มาใส่และนอกจากนำ� วิกผมมาใส่แล้วเขายัง แต่งหน้าจัดรวมทั้งทา ลิปสติกสีแดงอีกด้วย จากการที่ผู้ทำ�หนังสือ เล่มนี้ได้ศึกษาประวัติ ของเขา กลับไม่พบ ประวัติด้านความรัก ของเขา ซึ่งจากข้อสันนิษฐาน ว่าขาอาจจะเป็นเกย์ก็ คงมีความเป็นไปได้สูง ( เ ป็ น เ พี ย ง ค ว า ม คิ ด เห็นส่วนตัวเท่านั้น) 27
“ I’m not trying to be sexy. It’s just my way of expressing myself when I move around. “ - Elvises Presley -
ELVIES PRESLEY เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) มีชื่อจริงว่า เอลวิส แอรอน เพรสลีย เป็นนักดนตรีและนักแสดงชาวอเมริกันเขาถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทาง วัฒนธรรม เช่นเดียวกับมาริลีนมอลโรล เธอเป็นสัญลักษณ์ทางเพศของผู้หญิง เอลวิสก็ เช่นกัน เขาเป็นสัญลักษณ์ทางเพศของผู้ชาย (sex symbol) เขามักได้รู้จักในฉายา “รา ชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เดอะคิง” 28
เนื่องจากในช่วงนั้น เอลวิสมีชื่อเสียงมากจากการเป็นนักร้อง ทำ�ให้เขามีชื่อเสียง โด่งดัง และ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แอนดี วอลฮอลจึงนำ�เอลวิสมาเป็นส่วนหนึ่งใน ผลงานศิลปะของเขาเช่นเดียวกับมาลิรีน มอลโรล ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทั้งหมดเป็นภาพที่มาจากต้นฉบับเดียวกัน ภาพนี้ถูกทำ�ไปทั้งหมด 22 versions เพียงแต่เปลี่ยนลักษณะการทับซ้อนกันเท่านั้น 29
EIGHT ELVIES , 1963 Silkscreen on canvas , 200 cm × 370 cm (6.5 ft × 12 ft) , @ Private collection ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ ท่าทางของเขาที่กำ�ลังถือปืน แสดงครั้งที่สองของเขาที่ Ferus และจ่อปืนหันไปทางผู้ชมแสดงให้เห็น GalleryในLosAngeles เป็นภาพที่แสดง ถึงการคุกคามของความตายจากการที่ ให้เห็นถึงfame, repetition และ the เอลวิสถูกทำ�ทับซ้อนกันทำ�ให้เกิดการ threat of death เคลื่อนไหว เช่นเดียวกับภาพ slow mo- ภาพนี้่ถูกทำ�ซำ�้กันทั้งหมด tion แปดครั้ง ทำ�ให้เกิดการทับซ้อนกันด้วย ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงเรื่อง การใช้เทคนิคsilkscreenลงบนผืนผ้าใบ ความโด่งดัง เพศ และเงิน ซึ่งในช่วงนั้น ต้นฉบับของาภาพนี้เป็นภาพที่ได้มาจาก สินค้าเกี่ยวกับเอลวิสมักจะได้รับความ การถ่ายโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ของ นิยมมาก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของค่า ภาพยนตร์เรื่องFlamingstarซึ่งเขารับบท นิยม กระแสนิยม รวมถึงการบริโภคนิยม เป็นคาวบอย ของชาวอเมริกันได้เป็นอย่างดี 30
Triple Elvis Double Elvis , 1963. [Ferus type] , 1963 Silkscreen ink on synthetic polymer paint on canvas, silver paint, spray 6’ 11” x 53” (210.8 x 134.6 paint, and silkscreen cm) ink on linen 208.92 cm x 300.99 31 cm
FLOWER PAINTINGS BY ANDY WARHOL FLOWER PAINTINGS BY ANDY WARHOL ในชว่ งคศ. 1950s แอนดกี ็เร่ิมหนั มาสนใจในการวาดภาพดอกไม้ เขาวาดภาพ ดอกไมต้ า่ งๆนี้ เพื่อใชเ้ ป็นแทนความหมายของการมชี วี ิต ซง่ึ หลงั จากน้ี ในช่วง 1960s เขาก็เรม่ิ เปลีย่ นแนวความคดิ จาก การมีขวี ติ อยู่ ให้เป็นเรื่องของความอันตรายและความตาย โดยงาน ชุดนใ้ี ชเ้ ทคนคิ Blotted-line ในการสร้าง ดอกไมท้ ่ีปรากฎในภาพคอื ดอกเดซ่ี ดอกกหุ ลาบ และดอกไอริสสที อง 32
Search