Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Installation Art

Installation Art

Published by Kachornpon, 2021-04-11 10:45:10

Description: Installation Art_631310106_นุจจรินทร์ หิตปราณีต

Search

Read the Text Version

ART

INSTALLATIONART ศลิปะจดัวาง

YAMMYAMESS

คำนำผู้เขียน Installation Art งานอาร์ตๆที่หลายคนเพียงแค่เข้าไปดู ถ่ายรูปหรือแม้กระทั่งเดินผ่านมันไปเฉยๆหรือบางคนอาจจะไม่รู้จัก ศิลปะประเภทนี้เลยด้วยซาํ้ สารภาพตามตรงเกิดมามีอายุจนกระทั่ง 19 ปี เราก็แทบจะ ไม่รู้จักงานประเภทนี้แต่เมื่อปีที่แล้วบริษัทโปรดักชั่นที่เราติดตามแห่ง หน่ึงก็ผลิต Content เกยี่ วกับศลิ ปะ นัน่ ก็คือรายการ “ศลิ ปะล่ะ” เราเริ่มดูช่วงที่รายการดําเนินไปแล้วประมาณ 5-6 ตอนแต่มี อยู่ตอนหนึ่งที่เราสนใจมากที่สุด นั่นก็คือตอนที่มีชื่อว่า “นี่หรือ? กล้วย ที่แพงที่สุดในโลก.....[ศิลปะล่ะ EP.2]” ตอนนี้คือตอนที่กล่าวถึง ศิลปินที่ชื่อว่า Maurizio Cattelan หลังจากที่เราได้รับชมตอนนั้น มันทําให้เราสนใจในงาน Installation Art เป็นอย่างมาก เราเริ่มไป ศกึ ษางานประเภทน้ีมากยิ่งขนึ้ และสุดท้ายเราก็หยิบยกเรื่องนี้มาทําหนังสือเล่มนี้เพื่อให้ หลายๆคนไดร้ ับรู้ถึงการมอี ยู่ของศลิ ปะท่ีมีชอ่ื ว่า Installation Art นจุ จรินทร์ หติ ปราณตี





อะไรคือ…ศิลปะจัดวาง ? Installation Art หรือที่ประเทศไทยนิยามกันว่า “ศิลปะจัดวาง” แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ ข้อสงสัยที่หลายๆคนตั้งคําถามเพราะคนส่วนใหญ่ อาจจะรู้จักกับศิลปะเพียงแค่ภาพวาดบน Canvas หรือรูปปั้นจากฝีมือศิลปิน มากมาย แต่บนโลกนี้ยังมีรูปแบบของศิลปะอีกหลายอย่างที่เราอาจจะยังไม่เคยได้ รูจ้ กั และหนึง่ ในนน้ั กอ็ าจจะเป็น “ ศลิ ปะจัดวาง ” Installation แปลว่า การติดตั้ง และอย่างที่ทราบกันดี Art แปลว่า ผลงานทางศิลปะ หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานศิลป์ ดังนั้น Installation Art ก็จะมี ความหมายว่า ผลงานทางศิลปะที่มีการติดตั้ง ซึ่งเป็นการติดตั้งเฉพาะจุด เป็น ลักษณะงานสามมิติและเป็นผลงานที่ศิลปินคิดมาเป็นอย่างดีแล้วที่จะนํามาจัด แสดงไว้ภายในอาคาร ห้องโถง เช่น ตาม Art Gallery หรือ พิพิธภัณฑ์ด้านศิลปะ พื้นที่ต่างๆเหล่านั้นจะต้องถูกสร้างหรือแปรสภาพให้เป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงานอีก ด้วย

ซึ่งจะแตกต่างกับศิลปะภูมิทัศน์ (Land art) ท่ีเกิดจากความเบื่อหน่ายของศิลปิน ที่ต้องจัดแสดงผลงานในห้องต่างๆ ที่จะถูกจํากัดด้วยเนื้อที่ ศิลปินเหล่านั้นจึงเลือก ที่จะจัดแสดงนอกสถานที่ ซึ่งมักจะเป็นพื้นที่หรือภูมิทัศน์ในธรรมชาติและมักจะใช้ วัสดุที่ได้มาจากธรรมชาติด้วยเช่นเดียวกัน แต่ในทางกลับกันศิลปะจัดวางมันจะ เลือกวัสดุที่ช่วยให้เกิดอารมณ์ร่วมกับผลงาน จนกระทั่งนําความหลากหลายของ สื่อต่างๆมาเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน เช่น การฉายภาพ แสง เสียงศิลปะจัดวางเป็น ผลงานศิลปะที่อาจจะติดตั้งได้ทั้งชั่วคราวหรือถาวรก็ได้แต่ความสําคัญของผลงาน มักจะไม่ได้อยู่ที่วัตถุชิ้นใดชิ้นหนึ่งซึ่งมักจะอยู่ตามองค์ประกอบร่วมในส่วนต่างๆ หรอื การจัดสภาพแวดล้อมรอบขา้ งอีกดว้ ย ผลงานประเภทน้ีมีกลวิธีการจัดวางงานศิลปะที่จะทําให้ผู้ชมได้ ประสบการณ์ในการอยู่ร่วม หรือการมีศิลปะแวดล้อมผู้ชม รับรู้เนื้อหาเรื่องราวที่ ศิลปินจะสื่อ และมุ่งเน้นให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับสิ่งแวดล้อม แต่ด้วย ความที่ศิลปะจัดวางเป็นผลงานชนิดที่พื้นที่รอบข้างเป็นส่วนประกอบหนึ่งของงาน และโดยมากมักจะจัดแสดงในระยะเวลาสั้นๆ แล้วแยกส่วน ทําให้ผลงานของ ศิลปะจัดวางมักเหลือเพียงเอกสารข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้เท่านั้น ทําให้ผลงานแนวน้ี มักจะไม่ประสบความสําเร็จในด้านธุรกิจ เพราะนักสะสมผลงานศิลปะจะมองว่า สะสมได้ลําบาก เมื่อพื้นที่เป็นตัวสร้างบริบทให้กับชิ้นงาน พื้นที่เปลี่ยนบริบทก็เปลี่ยน ชิ้นงานก็ถูกตีความหมายไปอีกแบบ หรือหากจะยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คงคล้ายๆกับ บางประเทศแถวนี้ เช่นถ้าหากเราจะพูดกันในเรื่องของศาสนา หลายๆประเทศ อาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องจับต้องได้ สามารถนํามาถกเถียงกันได้หรือนํามาสร้าง ผลงานด้านศิลปะที่คนจะสามารถตีความกันไปได้อีกหลายแบบ แต่บางประเทศ กลับมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของสูง ไม่สามารถที่จะนํามาพูดคุยหรือหากใครหยิบ ศาสนาลงมาให้ดูเข้าถึงได้ก็อาจจะโดนมองว่าเป็นขบถ ไม่เคารพศาสนาซะอย่าง งั้น ผลงานศิลปะในรูปแบบจัดวางก็เช่นเดียวกัน หากนําไปจัดวางในสถานที่ที่ต่าง

ออกไปผู้ที่ชมก็อาจจะมองอีกมุม คิดอีกแบบ ดีความไปอีกความหมาย จึงทําให้ ศิลปินต้องค่อนข้างที่จะคิดมาล่วงหน้าแล้วว่าผลงานชิ้นไหนควรไปจัดแสดงที่ไหน เพื่อให้มุมมองและการตีความของผู้ชมใกล้เคียงกับสิ่งที่ศิลปินต้องการจะถ่ายทอด ออกมา แต่เมื่อกรอบของประสบการณ์หลายๆคนไม่เท่ากัน เป็นไปได้น้อยมากที่ ทุกคนจะตีความผลงานศิลปะออกมาเหมือนกัน ไม่เพียงแต่ศิลปะจัดวางเท่านั้น ผลงานศิลปะอื่นๆก็ยังถูกตีความออกไปในอีกหลายๆมุมมอง ดังนั้นชื่อของผลงาน ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในชิ้นงานนั้นคนตีความได้ง่ายขึ้น หรือเข้าใจการสื่อสารใน รูปแบบผลงานของศิลปินได้ใกล้เคียงมากที่สุด และเป็นเหมือน First impression ทค่ี นจะไดร้ บั รู้การมอี ยขู่ องผลงานช้ินนนั้



จุดเริ่มต้นของศิลปะจดั วาง หากจะพูดกันถึงจุดเริ่มต้นของศิลปะจัดวาง หรือ Installation art ก็คง ต้องย้อนกลับไปในยุคของศิลปะประชานิยม (Pop art) ศิลปะที่บอกเล่าเรื่องราว สะท้อนภาพอันแท้จริงของสังคมในยุคสมัยนั้น และในตอนปลายคริสต์ทศวรรต 1950 – 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวของยุคศิลปะป๊อปอารต์ ศิลปะจัดวางก็เร่ิม เปน็ ทพี่ ูดถึงมากยงิ่ ขึ้น ย้อนกลับไปในคริสต์ทศวรรษ 1933 Kurt Schwitters ศิลปินชาว เยอรมัน โดยปกติแล้วเขาจะผลิตผลงานแนว Collages ซึ่งคือการตัดแปะลงไปใน กระดาษหรือผ้าใบโดยอาจจะใช้เทคนิคอื่นๆของการเขียนภาพผสมลงไปด้วยได้ เช่นเดียวกัน ถ้าหากเราลองเสิร์จหาข้อมูลของ Kurt Schwitters ก็จะเจอผลงาน ประเภท collages มากมายแต่ในปี 1923 จนถึงปี 1937 ในขณะท่ี Kurt Schwitters ศิลปินชาวเยอรมันคนนี้เริ่มเปลี่ยนผลงานของเขาจากบนกระดาษ เป็นงานสามมิติ เขาเริ่มติดตั้งวัสดุต่างๆลงบนผนังของสตูดิโอที่ทํางานของตนเอง และให้ชื่อผลงานนี้ว่า Hanover Merzbau ซึ่งจากผลงานชิ้นนี้ก็ทําให้เขาได้ชื่อว่า

เป็นผู้บุกเบิกของศิลปะจัดวางในเวลาต่อมา แต่สิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้นคือในปี 1943 ขณะที่เขาถูกเนรเทศผลงานชิ้นนี้ก็ถูกทําลายโดยการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่าย พันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทําให้ Merzbua สูญหายไปตลอดกาล แต่ หลังจากนั้นเขาก็มีความพยายามที่จะสร้าง Merzbua ถึง 2 ครั้งแต่ในครั้งแรกท่ี ประเทศนอร์เวย์ก็ถูกไหม้และอีกครั้งที่ประเทศอังกฤษเขาก็เสียชีวิตก่อนที่ผลงาน ชิ้นนี้จะสมบูรณ์ แต่แล้วในปี 1981 – 1983 Sprengel Museum ในประเทศ เยอรมันก็ได้จําลองห้องที่ทําผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาตามรูปถ่ายของ Wilhelm Redemann ที่เคยถ่ายไว้ในปี 1933 แต่ก็ไม่สามารถสร้างได้เหมือนตรงตามช้ิน ต้นฉบับจริงๆ โดยที่ยังสามารถเดินเข้าไปชมในพื้นที่และสัมผัสความรู้สึกว่าใน ขณะท่ี Kurt Schwitters ทํางานในสตดู โิ อแหง่ น้ี กลับมาท่ีช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 ในช่วงนั้นยังมีผลงานจากศิลปินอีก มากมายที่นับว่าเป็นศิลปะจัดวาง ตัวอย่างเช่นในปี 1961 Claes Oldenburg เปิดร้านคา้ Lower East Side of Manhattan โดยเป็นการขายผลงานของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการขายงานผ่านแกลเลอรีตามปกติ ซึ่ง Claes Oldenburg ได้สร้าง ชิ้นงานที่หลากหลายตั้งแต่ชุดชั้นในไปจนถึงสเต็กเนื้อริบอายซึ่งทําจากปูน ปลาสเตอร์และนําทาสี โดยสิ่งของต่างๆมีขนาดใหญ่เกินความจริงนอกจากนั้นเขา ยังสร้างนามบัตร โปสเตอร์โปรโมทและให้ชื่อผลงานว่า The Store ถัดมาในปี 1966 Edward Kienholz ศิลปินชาวอเมริกันก็ได้สร้างผลงานที่เป็นที่ถกเถียงกัน เป็นอย่างมากคือ The State Hospital ที่เป็นการผสมผสานของงาน ประติมากรรมและสภาพแวดล้อมรอบข้างเล่าถึงความสกปรกที่เขาได้พบเจอใน ขณะที่ทํางานอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช นอกจากผลงานเหล่านี้ยังมีศิลปินอีก มากมายที่สร้างงานศิลปะแนวศิลปะจัดวาง แม้กระทั่งเจ้าพ่องานป๊อปอาร์ตอย่าง Andy Warhol ก็เคยสรา้ งผลงานศิลปะจัดวางเชน่ เดียวกนั









The Father of Installation Art แทบจะทุกศาสตรบ์ นโลกใบน้ีมักจะมผี ู้ท่ีถกู เรียกว่าเปน็ บิดาของสง่ิ ตา่ งๆ อยู่มากมาย ยกตวั อย่างเช่น กาลิเลโอ กาลเิ ลอี ผูท้ ถี่ กู ขนานนามวา่ เปน็ บดิ าของ ศาสตร์นั้นศาสตรน์ ี้ไม่ว่าจะเป็น บิดาแหง่ วิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่ บดิ าแห่งวชิ า ฟสิ ิกส์สมยั ใหม่ หรอื จนกระท่ังบิดาแหง่ วิทยาศาสตร์ ทุกศาสตรร์ อบตวั เรามกั จะมี ผทู้ ่ีโดดเด่น ผูท้ ่ีคิดค้น ผู้ริเร่ิมมากอ่ นเราเสมอจนทกุ คนยกยอ่ งให้เขาเปน็ บิดาแหง่ ศาสตร์ต่างๆ ศลิ ปะจดั วางกเ็ ช่นเดียวกัน Marcel Broodthaers บุคคลที่ทุกคนยกย่องให้เขาเป็นบิดาแห่งศิลปะ จัดวาง ศิลปินชาวเบลเยียมท่านนี้เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ.1924 ในกรุง บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม โดยก้าวแรกที่เขาเริ่มต้นคือการเป็นกวี เขาได้เร่ิม เขียนผลงานตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นและตัดสินใจออกจากวิทยาลัยมาดําเนินชีวิตแบบ ชาวโบฮีเมียนในกลุ่มศิลปินนักเขียนและปัญญาชนของบรัสเซลส์ เขาเริ่มรับใช้การ ต่อต้านเบลเยียมในช่วงสั้นๆ และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเขาก็เริ่มเข้าร่วมกับ พรรคคอมมิวนสิ ต์ในปี ค.ศ.1943

บทกวีที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกของเขาปรากฏในปี ค.ศ.1945 ในวารสาร วรรณกรรม Le Ciel Bleu และเขายังได้ตีพิมพ์กวีนิพนธ์เพิ่มเติมรวมทั้งบทความ ทางการเมืองและบทร้อยแก้วในวารสารอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้เขายังทํางาน กับคนขายหนังสือโบราณวัตถุเพื่อหาเงินในการใช้ชีวิต ถึงแม้เขาจะมีรายได้แต่มัน ก็เพียงน้อยนิด ทําให้ตลอดช่วงชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของ Marcel Broodthaers เต็ม ไปด้วยความยากลําบากจากความยากจน จนกระทั่งภายในปี ค.ศ.1945 เขาได้ พบกับ René Magritte ศิลปิน Surrealist ซึ่งภาพวาดของ René Magritte ส่งผลกระทบต่องานของเขามาก เพราะด้วยภาพวาดที่แปลกตาและการ ผสมผสานของวลี ภาษาสิ่งเหล่านี้ทําให้เกิดผลต่องานของ Marcel Broodthaers เป็นอย่างมาก และในฐานะกวีนัดคิดและศิลปินทําให้ในช่วงปลายทศวรรษท่ี 1940 Marcel Broodthaers เข้าไปมสี ่วนเกย่ี วข้องและใกล้ชดิ กบั ศลิ ปิน นักเขยี น แนว Surrealist ชาวเบลเยียมเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อมาหลายคนก็สันนิษฐานว่าเป็น การเกยี่ วข้องกับการเมืองที่เปน็ คอมมิวนสิ ต์ ในปี ค.ศ.1957 Marcel Broodthaers ได้ตีพิมพ์บทกวีที่เป็นหนังสือ เล่มแรกของตัวเขาเอง ชื่อว่า Mon livre d'ogre (“ My Ogre Book”) และเริ่ม หันมาผลิตภาพยนตร์ที่นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาเลยนั่นก็คือ La Clef de l'horloge un poèmecinématographique en l'honneur de Kurt Schwitters ( “The Key to the Clock, a Cinematic Poem in Honour of Kurt Schwitters”) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Kurt Schwitters (ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ที่สร้างผลงานแบบศิลปะจัดวางเป็นคนแรก) บุคคลที่ เป็นทรงอทิ ธิพลทส่ี าํ คัญของตัวเขาเอง เมื่อเริ่มตระหนักได้ว่าศิลปินทัศนศิลป์ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับกวีโดย สิ้นเชิงทําให้เขาสามารถหาเลี้ยงชีพได้ ในปี ค.ศ.1964 Marcel Broodthaers ได้ ประกาศเปลี่ยนอาชีพของเขาจากนักกวีเป็นศิลปิน ด้วยการประชดชันทําให้กลุ่ม Dadaism ซึง่ คอื กลมุ่ การเคล่ือนไหวทางศิลปะโดยจะมีลักษณะไปในแนวทางที่

ต่อต้านสังคมและกฎเกณฑ์ความงานของศิลปะแบบเดิมทีเคยเป็นที่ยอมรับ หันมา ต่อต้านและไม่เคารพในตัวของ Marcel Broodthaers ซึ่งเขาก็ได้อธิบายการ ตดั สินใจในคร้ังนนั้ ของเขาไวว้ า่ “I, too, wondered if I could not sell something and succeed in life.…Finally, the idea of inventing something insincere finally crossed my mind, and I set to work straightaway.” ซึ่งแปลความหมายได้ประมาณว่า “ ผมก็สงสัยเช่นกัน ถ้าผมขายอะไร ไม่ได้และประสบความสําเร็จในชีวิตหรือไม่ แต่สุดท้ายความคิดที่จะประดิษฐ์สิ่งท่ี ไม่จริงใจก็ไดห้ ายไปจากความคิดของผม และผมพร้อมที่จะทํางานต่อไปในทันที ” และในปีนั้นเองเขาก็ได้มีนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกที่ Galerie Saint-Laurent ใน กรุงบรัสเซลส์ซึ่งเขาได้แสดงผลงานศิลปะชิ้นแรกและเป็นผลงานที่จนถึงทุกวันน้ี เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในผลงานของเขานั่นก็คือ “ the witty Pense-bête ” ซ่ึง เป็นหนังสือบทกวีที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1963 หนังสือเล่มสุดท้ายที่ขายไม่ออก เขาจึงนําหนังสือเล่มนั้นมาเปลี่ยนเป็นผลงานประติมากรรมโดยการฝังไว้ในปูน ปลาสเตอร์ นอกจากนี้เขายังได้สร้างผลงานชิ้นอื่นๆโดยใช้วัตถุในชีวิตประจําวัน และใช้สีปูนปลาสเตอร์เพื่อเปลี่ยนให้เป็นผลงานของเขา เช่น “ Triomphe de moule I ” (Triumph of mussel I) ในปี ค.ศ.1965 คอื การนาํ หอยแมลงภ่มู าทาํ เป็นผลงาน และ “ I Return to Matter, I Rediscover the Tradition of the Primitives, Painting with Egg, Painting with Egg ”ในปี ค.ศ.1966 ผลงาน จากเปลือกไขท่ ี่นํามาทาสแี ละใส่ไว้ในกล่อง จนกระทั่งในปี ค.ศ.1968 Marcel Broodthaers ได้ประกาศว่าเขาจะ ไม่สร้างผลงานศิลปะอีกต่อไปแต่จะผันตัวไปเป็นผู้อํานวยการพิพิธภัณฑ์ผลงาน ของเขาเองที่ Museum of Modern Art, Department of Eagles การจัดแสดง พิพิธภัณฑ์ครั้งสุดท้ายของเขาได้จัดแสดงผลงานภาพในรูปแบบสองและสามมิติที่

เกี่ยวกับนกอินทรี โดยให้ชื่อนิทรรศการนี้ว่า “Section des Figures : The Eagle from the Oligocene to the Present ” เขายุติโครงการเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.1972 และหันกลับไป ทํางานศิลปะ จนได้ผลงานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของ เขา นั่นก็คือผลงานที่เป็นศิลปะจัดวางที่มีชื่อว่า “ Décors ” ซึ่งเมื่อนําคํานี้ที่เป็น ภาษาฝร่ังเศสไปแปลอาจหมายถงึ การตดิ ตั้ง โรงภาพยนตรห์ รอื ฉากภาพยนตร์ ซง่ึ ในผลงานชิ้นนี้ได้รวบรวมผลงานเก่าและใหม่ของเขา รวมไปถึงอุปกรณ์ประกอบ ฉากและมีการตกแต่งที่มาจากภาพยนตร์เก่า ผลงานที่รู้จักกันดีของเขาได้แก่ Décors include A Winter Garden II (1974), Décor: A Conquest and Bricks (1975) และ The White Room (1975) ซึ่งเป็นการจําลองสตูดิโอของเขาในกรุง บรัสเซลส์ ผลงาน The White Room ได้จัดแสดงในกรุงปารีส เมื่อปีค.ศ.1975 ทําให้กลายเป็นผลงานสุดทา้ ยก่อนทเี่ ขาจะเสยี ชีวตใิ นเวลาต่อมา ตลอดระยะเวลา 12 ปีกับการสร้างผลงานศิลปะของ Marcel Broodthaers เขาสร้างผลงานไว้ในหลากหลายรูปแบบ เขามีนิทรรศการเดี่ยว มากถึง 70 รายการ และนับว่าได้สร้างปรากฏการณ์ทางศิลปะจนทําให้ศิลปินรุ่น หลังเคารพในตัวของเขาและผลงานของเขาเป็นอย่างมาก จนผู้คนต่างยกย่องและ เชิดชูให้ Marcel Broodthaers เป็นบิดาของศิลปะจดั วางในท่ีสดุ

MarcelBroodthaers,TheFatherofInstallationArt PhotobyPhilippeDeGobert











Kurt Schwitters จากที่ได้รู้จักศิลปะจัดวางแล้วก็คงคุ้นตากับบุคคลที่ชื่อว่า Kurt Schwitters บุคคลที่นับว่าเป็นผู้ที่เริ่มต้นสร้างสรรค์ผลงานแบบศิลปะจัดวางผู้ แรกก็ว่าได้ Kurt Schwitters เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ.1887 ในเมืองฮันโน เวอร์ ประเทศเยอรมนี ลุกชายคนเดียวของตระกูลชวิตเตอร์ พ่อของเขาทําธุรกิจ ร้านขายเสื้อผ้าสตรีและต่อมาได้ขายทอดกิจการในปี ค.ศ.1898 เพื่อนําเงินมาซ้ือ อสังหาริมทรัพย์บางส่วนที่ในเมืองฮันโนเวอร์เพื่อปล่อยเช่าทําให้ครอบครัวชวิต เตอร์มีรายได้ตลอด แต่แล้วในปีค.ศ.1893 ครอบครัวของเขาก็ตัดสินใจย้ายบ้าน มาที่ถนน Waldhausen ซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นที่ตั้งของผลงานชิ้นเอกนั่นก็คือ Merzbau ในปีค.ศ.1901 ประเทศเยอรมนีเริ่มการเกณฑ์ทหารเพื่อนํามาเข้าร่วมใน สงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ในตอนนั้นโรคลมชักก็ส่งผลให้ตัวเขาถูกยกเว้นในการรับ ราชการทหารจึงทําให้ไม้ได้เข้าร่วมสงครามในครั้งนั้น ทําให้เขาตัดสินใจเข้าเรียน

ในสถาบันด้านศิลปะที่ Dresden Academy จนในปีค.ศ.1909 – 1915 เขาก็ได้ กลับมาเริ่มต้นอาชีพด้านศิลปะในฮันโนเวอร์อีกครั้ง โดยมุ่งเน้นการทําผลงานใน ลักษณะ post-impressionist และในปีค.ศ.1911 เขาได้มีส่วนร่วมในการสร้าง นิทรรศการครั้งแรกที่เมืองฮันโนเวอร์ แต่แล้วเมื่อสงครามครั้งที่ 1 ยิ่งสร้างความ รุนแรงมากขึ้นผลงานของเขาก็ยิ่งเข้าสู้ด้านมืดมากเท่านั้น และค่อยๆพัฒนาเป็น รปู แบบทม่ี คี วามโดดเดน่ เป็นอยา่ งมาก ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.1915 เขาได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง นั่นก็คือ Helma Fischer เขากับภรรยามีลกู ชายด้วยกันถึงสองคนแต่ก็น่าเสียดาย ที่เขาเสียลูกชายคนแรกภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ลูกชายของเขาเกิดมา แต่ลูก ชายคนที่สองก็มีความสนิทสนมและใกล้ชิดกับเขาเป็นอย่างมากรวมถึงตอนที่เขา ถกู เนรเทศมาอยูท่ ีป่ ระเทศองั กฤษลูกชายคนทส่ี องของเขาก็ตามมาเช่นเดยี วกัน ในปีค.ศ.1918 ผลงานศิลปะของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากซ่ึง เป็นผลมาจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจและการทหารของประเทศเยอรมนีจาก ตอนท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 และแนวคิดสมัยใหม่ของการเคลื่อนไหวของ ลัทธิทางศิลปะ Dada ก็ส่งผลให้เขาเริ่มเก็บขยะจากข้างถนนและนํามาสร้างเป็น ผลงานศิลปะของเขา ซึ่งเป็นวิธีการทํางานที่เรียกว่า collages คือการนําส่ือ สิ่งพิมพ์ต่างๆมารวมกันโดยคํานึงถึงความกลมกลืนของอารมณ์ เขาผลิตวารสาร ทางศิลปะ ผลงานภาพประกอบ โฆษณาตลอดจนก่อตั้งวารสาร Merz และเริ่ม เขียนบทกวี งานดนตรีที่นําตัวอักษรมาร้อยเรียงเข้าหากันในรูปแบบที่ไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับผลงานศิลปะในรูปแบ collages ทเ่ี ขาสรา้ งขน้ึ จนความพยายามท่ีจะ สรา้ งผลงานทล่ี ํา้ ยุคนาํ สมัยของเขาสง่ ผลให้เขามาสิน้ สุดลงที่ผลงานการสร้างสรรค์ ที่มีชื่อว่า Merzbau แต่แล้วในสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบการปกครองของนาซีก็ สั่งห้ามผลงานของ Kurt Schwitters และผลงานของเขาถูกยกให้เป็นศิลปะเสื่อม โทรม (ในปี 1943 ชิ้นนี้ก็ถูกทําลายโดยการโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรใน สงครามโลกครั้งที่ 2) จนกระทั่งในปีค.ศ.1937 Schwitters ก็ตัดสินใจหนีไปท่ี

เมือง Lysaker ประเทศนอร์เวย์ซึ่งเขาได้สร้าง Merzbau แห่งที่สอง แต่แล้ว เยอรมนีก็ได้เข้ามารุกรานประเทศนอร์เวย์ (ผลงานชิ้นนี้ก็ถูกไฟไหม้ในช่วงปี 1950 เช่นเดียวกัน) จากการรุกรานของเยอรมนีทําให้เขาก็หลบหนีอีกครั้งในปีค.ศ.1940 คราวนี้เขาตัดสินใจมาประเทศอังกฤษแต่ถูกกักตัวเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากได้รับ การปล่อยตัวในช่วงแรกเขาก็เริ่มตั้งรกรากในกรุงลอนดอนซึ่งภายหลังก็ย้ายมาอยู่ ใน Little Langdale และในปีค.ศ.1947 เขาก็เริ่มสร้าง Merzbau แห่งที่สามอีก ครั้งแต่ก็ไม่สําเร็จเพราะเขาได้เสียชีวิตลงในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1948 ที่เมือง เคนดัลประเทศอังกฤษ

kurtSchwitters

KurtSchwittersandHildeGoldstein outsidetheMerzBarn,1946,Hannover



Yayoi Kusama ศิลปะจัด (จุด) วางแบบยาโยอิ คุซะมะ หลังจากที่ได้รู้จักศิลปินผู้ที่มี ชื่อเสียงและทรงคุณค่าด้านตะวันตกแล้ว ศิลปินชาวเอเชียคนนี้ถือว่าเป็นบุคคลท่ี หลายๆคนคุ้นหูและผ่านตา แต่ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเท่านั้น ผลงานลายจุดอันเป็น เอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครของเธอยังเป็นที่จดจําและคุ้นตา เพียงแค่มองเสี้ยววินาทีก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นฝีมือของเธอคนนี้แน่นอน แต่ใคร จะรู้ว่าจุดเหล่านั้นไม่เพียงแต่อยู่ในงานภาพวาดเท่านั้น เธอยังพาจุดของเธอไปอยู่ ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ ผนัง แม้กระทั่งฟักทอง ผลงานทั้งหลายของเธอนั้น ลว้ นเป็นศิลปะจัดวางทีค่ าดไมถ่ งึ Yayoi Kusama เจ้าแม่ลายจุดคนนี้ เกิดวันที่ 22 มีนาคม ปีค.ศ.1929 ลูกสาวคนเล็กของเจ้าของฟาร์มในเมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนากาโนะ ประเทศ ญี่ปุ่น และด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านหน้าที่ประจําที่ลูกสาวคนนี้ต้อง ทําคือการไปแอบดูพ่ออยู่กับชู้ตามคําสั่งของแม่ ซึ่งสิ่งนี้ทําให้เด็กผู้หญิงคนนี้จดจํา และฝังใจกับเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก เธอเริ่มมีอาการเห็นภาพหลอนตั้งแต่อายุ

เพียง 10 ปี ดังนั้นเธอจึงเริ่มปลดปล่อยภาพเหล่านั้นผ่านการวาด โดยผลงานช้ิน แรกๆ เกิดในช่วยมัธยมปลายเธอมีความสนใจในศลิ ปะเป็นอย่างมาก แต่ด้วยวัฒนธรรมประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน เมื่อเธอเกิดมาเป็นผู้หญิงเธอต้องเป็น แม่บ้าน ไม่จําเป็นที่จะต้องเรียนสูงๆแหมือนกับผู้ชาย นี่คือสิ่งที่แม่บอกกับเธอแต่ สุดท้ายความพยายามและความดื้อรั้นของเธอทําให้เธอได้เข้าไปศึกษาศิลปะอย่าง จริงจังที่ Kyoto Municipal School of Arts and Crafts ด้านวิชาเอกการเขียน ภาพญี่ปนุ่ ดง้ั เดมิ หรอื Nihonga ผลงานที่โดดเด่นของเธอในตอนนั้นคือภาพวาดหัวหอมที่อยู่บนแบล็ค กราวด์ลายตารางหมากรุกที่มีการใช้เส้นลวงตาเพื่อสร้างมิติให้กับงาน ผลงานชิ้นนี้ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มีความชอบในดั้งเดิมเลย ความคิดและจินตนาการของเธอ ไปไกลกว่าทุกคนในนั้น และเมื่อเธออายุ 21 ปี การสร้างงานในยุคที่ผ่านมาของ เธอเริ่มสร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครผ่านผลงานชุด Infinity Nets ท่ี เธอนําภาพหลอนที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เด็ก โดยผลงานชุดนี้เป็นการสร้างลวดลาย เดิมซํ้าๆ เช่นการใช้ฝีแปรงจุดลงบนผืนผ้าใบซํ้าๆกันเป็นพันรอบจนเต็ม ซึ่งผลงาน ช้ินนก้ี ลายเปน็ จุดเร่ิมตน้ ในการเปลี่ยนแปลงชวี ติ ของเธอ เริ่มต้นด้วยการส่งจดหมายไปหาไอดอลทางด้านศิลปะของเธอ นั่นก็คือ Kenneth Callahan และ Georgir O’keeffe ในท่สี ุด Georgir กส็ ง่ จดหมายตอบ กลับมาให้เธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทําให้เธอกล้าหาญมากยิ่งขึ้นที่จะไปเริ่มต้นใหม่ใน นิวยอร์ก ในปีค.ศ.1958 หลังจากที่ได้รับจดหมายตอบกลับแล้วเธอก็เริ่มเก็บข้าว ของโดยไม่ลืมที่จะนําผลงานภาพวาดเกือบสองพันชิ้นติดตัวไปด้วยเพื่อนําไปขาย เลี้ยงชีพตัวเองและตัดสินใจเผาภาพทั้งหมดที่เหลือเพื่อตั้งเป้าหมายในการไปเริ่ม ชีวติ ใหม่อยา่ งแท้จริงท่ีนวิ ยอรก์ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า แต่การเริ่มต้นใหม่ก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เธอคิด หลังจากที่เธอตัดสินใจ อย่างแน่วแน่ในการมานิวยอร์กในฐานะคนเอเชีย มีหลายสิ่งที่เธอต้องเผชิญ มากมาย เธอจึงใชเ้ วลาทัง้ วันอยกู่ ับการวาดภาพ เธอวาดจนลืมวนั ลมื คืน

วาดจนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ทั้งห้องของเธอกลายเป็นสิ่งที่เธอวาดไปแล้ว แต่การมา นิวยอร์กครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่านอกจากที่เธอจะมีอิสระในผลงานของเธอมากกว่าเดิม จากเดิมที่เคยเพียงแค่วาดภาพเหล่านั้นลงไปบนผืนผ้าใบ ผลงานของเธอเร่ิม หลากหลายมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น การสร้างผลงานแบบศิลปะจัดวาง การแสดง สด การทําหนัง หรือแม้แต่การเขียนเรื่องสั้นและบทกวี จนถึงในช่วงปีค.ศ.1960 เริม่ มกี ระแส Civil rights movement และ Sexual rebellion และจากปมฝงั ใจ ในวัยเด็กของเธอก็ทําให้เธอสร้างผลงานศิลปะจัดวางที่เป็นการต่อยอดงาน Infinity Nets ซึ่งมีชื่อว่า Accumulation No.1 ผลงานประติมากรรมชิ้นแรกที่ นําสิ่งที่คล้ายเครื่องเพศของเพศชายมาคลุมทั้งเก้าอี้ สร้างความแปลกตาและตก ตะลึงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในปีค.ศ.1966 เธอได้สร้างผลงานที่มีชื่อว่า Narcissus Garden การนําลูกกระจกกลมๆจํานวนมากมาวางที่พื้น โดยคําว่า Narcissus นั้นมาจากชื่อของเทพกรีกที่มีความหลงตัวเองด้วยการมองตัวเองในนํ้า และหลงรักเงาตัวเองจึงเป็นที่มาของลูกบอลกระจกที่ให้คนมาส่องและเกิดความ หลงใหลในตัวเอง การสร้างผลงานของเธอคนนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เธอยังสร้าง ผลงานมากมายทั้งการสร้าง Video Art หรือการสร้าง Happening Art ถึง 200 เหตกุ ารณใ์ นนิวยอร์ก แต่แล้วในปีค.ศ.1973 เธอตัดสินใจย้ายกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง เนื่องจากสุขภาพร่างการและจิตใจที่ยํ่าแย่ลง และเริ่มเข้ารักษาอาการทางจิตที่ โรงพยาบาล Seiwa ซึ่งในเวลาต่อมาเธอตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นถาวรจึงได้สร้าง สตูดิโอในบริเวณใกล้ๆเพื่อใช้ในการทํางาน และสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น Iconic ของ เธอนั่นก็คือผลงานลายจุดสีดําบนฟักทองสีเหลือง ซึ่งจริงๆแล้วเธอเริ่มสร้างผลงาน ฟักทองมาตั้งแต่ปีค.ศ.1946 สมัยก่อนที่เธอจะย้ายไปนิวยอร์ก โดยเธอมีความ ผูกพันธ์และชื่นชอบในรูปทรงของฟักทองเป็นเดิมอยู่แล้วเพราะอย่างที่รู้กันว่าเธอ เกิดมาในครอบครวั ทที่ ําธุรกิจเกีย่ วกบั ฟาร์ม

นอกจากทางด้านศิลปะแล้วเธอยังมีการ Collaboration กับแบรนด์ช่ือ ดังระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับแบรนด์ Hi-end อย่าง Louis Vuitton ในปีค.ศ.2012 โดยการนําจุดไปไว้บนกระเป๋าและการสร้าง Shop Window ท่ีมีลักษณะคล้ายหนวดปลาหมึกสีแดงและมีจุดสีขาวแต่งแต้มอยู่ และท่ี ขาดไม่ได้เลยคือลุคผมบ๊อบหน้าม้าสีแดงของเธอที่เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่นน้ี อกี ด้วย กลับมาที่ผลงานศิลปะจัดวางของเธอคนนี้ ในช่วงปีค.ศ.2000 ยังเกิดผล งานศิลปะจัดวางอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น The Obliteration Room ในปี ค.ศ.2002 ห้องที่ทุกอย่างเป็นสีขาวและให้ผู้ที่เข้าชมนําสติ๊กเกอร์จุดหลากสีเข้าไป เตมิ เต็มให้หอ้ งนีส้ มบูรณม์ ากยิ่งข้นึ นอกจากน้ียังมีผลงาน Flowers That Bloom Now at Midnight ท่ี Beverly Hills ในปีค.ศ.2009 ประติมากรรมดอกไม้ลายจุด หลากสี รปู ทรงประหลาด มาถึงตรงนี้หลายคนที่รู้จักเธอคนนี้เพียงแค่ผลงานอาจสงสัยว่าทําไม ต้องเป็นจุด เพราะนอกจากจุดที่เกิดจากอาการทางจิตของเธอแล้ว เธอยังให้ สัมภาษณ์ว่าจุดคือสิ่งที่แทนจักรวาล เพราะทุกองค์ประกอบของจักรวาลนี้ล้วน เป็นจุด ไม่ว่าจะเป็นพระอาทิตย์ ดาวเคราะห์ต่างๆ โลก หรือแม้กระทั่งคนก็คือจุด หรอื เพียงแคเ่ ส้นมันกค็ อื จดุ สองจุดทตี่ อ่ กนั นั่นเอง

YayoiKusama HighPriestessofPolkaDots















Maurizio Cattelan ศิลปินท่านสุดท้ายที่อยากแนะนําให้รู้จักนั่นก็คือ Maurizio Cattelan เพราะหากได้อ่านในบทนําแล้วก็จะรู้ว่าจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่นนี้เริ่มมาจาก ศิลปินผู้นี้ ถ้าหากย้อนกลับไป 2 ปีที่แล้วเชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเห็นผลงานที่นํา กล้วยมาแปะด้วยเทปสีเงินแล้วก็อาจเกิดข้อสงสัยว่านี่เรียกว่างานศิลปะได้ด้วย หรอ? จึงอยากใหท้ ุกคนมาช่วยหาคาํ ตอบไปด้วยกนั ศิลปินจอมป่วนแห่งโลกศิลปะคนนี้เป็นศิลปินชาวอิตาลี เกิดวันที่ 21 กันยายน ค.ศ.1960 ที่เมืองปาดัว ประเทศอิตาลี แต่เส้นทางการเป็นศิลปินของ เขาเริ่มต้นที่ประเทศแห่งโอกาส อย่างนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา เขาเริ่มต้นสร้าง ผลงานต่างๆทั้งที่ไม่เคยเรียนรู้อย่างจริงจังด้านศิลปะเลย นอกจากแคตตาล็อก ศิลปะแล้วการสร้างผลงานคือโรงเรียนของเขา ผลงานทุกชิ้นของเขาที่มีทั้งความ เสียดสี ขี้เล่น และเต็มไปด้วยอารมณ์ขันทําให้เขาได้รับฉายาว่าเป็นจอมป่วนแห่ง โลกศิลปะเลยก็ว่าได้

ผลงานชิ้นแรกของศลิ ปนิ ทา่ นนีเ้ ป็นผลงานภาพถ่ายในปีค.ศ.1989 ท่มี ี ชอ่ื วา่ Lessico Familiare ซ่ึงเป็นภาพถ่าย self-portrait ของตัวเขาเอง โดยถอดเสื้อและทํามือเป็นรูปหัวใจไว้ที่หน้าอก นี่แค่ผลงานชิ้นแรกก็ทําให้เห็นถึง ความกวนโอ๊ยสุดๆแล้ว แต่ผลงานที่ถือได้ว่าเป็นศิลปะจัดวางชิ้นแรกของเขานั่นก็ คือผลงานที่มีชื่อว่า The Ballad of Trotsky ในปีค.ศ.1996 ม้าที่ถูกแขวนอยู่บน เพดานในงานนิทรรศการเดี่ยวของเขาครั้งแรก แต่ผลงานที่เกี่ยวกับม้าของชายผู้นี้ ยังไม่หมดแค่นั้นในปีค.ศ.1997 ผลงานที่มีชื่อว่า Novecento ก็มีม้าในลักษณะ เดียวกันที่ลอยอยู่บนอากาศนอกจากนี้ยังมีผลงานเกี่ยวกับม้าท่ีอยู่ในท่าทางอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลงาน Untitled ในปีค.ศ.2007 ที่ถูกเปลี่ยนจากการที่ม้าถูก แขวนอยู่บนเพดานเป็นการปักหัวม้าเข้าไปในผนัง หรือจะเป็นผลงาน Untitled (Inri) ม้าอีกตัวแต่อยู่ในท่าทางที่ตายแล้วโดยมีสัญลักษณ์ INRI ปักอยู่บนตัว โดย INRI เป็นคําย่ามาจากภาษาลาตินที่ว่า Iesus Nazarenus Rex Iudaeorum หรือ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Jesus the Nazarene, King of the Jewish ซ่ึง อาจจะทําให้หลายคนสงสัยว่าทําไมถึงมีตัวย่อนี้ถูกปักอยู่บนม้าที่ตายแล้ว การสัน นิฐานของหลายคนบอกว่าอาจจะหมายถึงฉากที่พนะเยซูถูกตรึงกางเขนอยู่แต่ก็ยัง ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดจาก Cattelan ดังนั้นก็คงจะขึ้นอยู่กับกรอบประสบการณ์และ จินตนาการของผู้ดูแล้ว ผลงานม้ายังไม่หมดเพียงแค่นั้นในปีค.ศ.2013 ยังมีผลงาน ที่ชื่อ Untitled อีกครั้ง โดยมีลักษณะที่ม้าถูกปักหัวเข้าไปในกําแพงเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างจากชิ้นอื่นๆที่โดยปกติแล้วจะมีม้าแค่ตัวเดียวแต่คราวน้ี Cattelan ให้มาถึง 5 ตวั เลยทีเดยี ว ถ้าหากคิดว่าม้า 5 ตัวที่ถูกปักลงไปบนกําแพงกวนโอ๊ยแล้วยังมีผลงานที่ มีชื่อว่า Turisti ในปีค.ศ.1997 ที่ Venice Biennale ประเทศอิตาลี การนํา นกพิราบถึง 2,000 ตัวมาติดบริเวณด้านหน้าที่จัดแสดงหรือตามคานห้องต่างๆ ซ่ึง คําว่า Turisti มาจากคาํ วา่ Tourists หรือนกั ท่องเทย่ี ว

โดยผลงานชิ้นน้ีเป็นการจิกกัดนักท่องเที่ยวที่มาชมนิทรรศการว่าคล้ายนกพิราบที่ ชอบสังเกตและสอดส่องอย่างสอดรู้สอดเห็นหรือที่คนไทยอย่างเราเรียกกันว่า ชะโงกทวั ร์ นน่ั เอง แต่ผลงานที่เรียกได้ร้ายสุดๆของ Cattelan นั่นก็คือ La Nona Ora (The Ninth Hour) ในปีค.ศ.1999 หุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าคนจริงรูปสมเด็จพระ สันตะปาปาจอห์น ปอลท่ี2 ที่ถูกลูกอุกกาบาตพุ่งลงมาทับใส่ร่างสร้างความตก ตะลึงด้วยการท้าทายสถาบันสูงสุดของคริสต์ศาสนาทําให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึง ความเหมาะสมและถูกโจมตีจากคริสต์ศาสนิกชนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เขายัง สร้างผลหุ่นขี้ผึ้งของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นําพรรคนาซีที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง โศกนาฏกรรมสุดสะเทือนใจระดับโลกอย่างการสังหารหมู่ชาวยิวในสงคราวโลก ครั้งที่ 2 ให้อยู่ในลักษณะนั่งคุกเข่า มือประสานกันและทําสีหน้าคล้ายกับการ วิงวอนหรอื อ้อนวอนและใหช้ ่อื ผลงานสดุ แสบนีว้ า่ Him ในปีค.ศ.2001 ซึ่งเป็นการ ตง้ั คําถามกับผ้ชู มว่าเราจะสามารถใหอ้ ภยั ความชัว่ ร้ายของฮติ เลอร์ไดห้ รอื ไม่? จนมาถึงในปีค.ศ.2011 Maurizio Cattelan ประกาศตัวว่าจะเกษียณ ตัวเองจากวงการศิลปะ ถ้าในวงการฟุตบอลก็คงเป็นการแขวนสตั๊ดแต่แล้ว 5 ปี ต่อมาชายผู้นี้ก็กลับคืนสู่วงการศิลปะอีกครั้งและสร้างผลงานที่เรียกได้ว่าเป็นที่ สนใจสุดๆอย่าง America ผลงานศิลปะส้วมทองคํา 18 กะรัตที่ไม่ใช่เพียงแต่ตั้ง โชว์ในงานที่ห้องจัดแสดงให้คนแวะเวียนผ่านไปผ่านมาดูเฉยๆแต่ยังเปิดให้ใช้จริงๆ ด้วย โดยเจ้าส้วมทองคํานี้เป็นการสร้างเลียนแบบส้วมในห้องนํ้าสาธารณะที่ ห้องนํ้าชั้นห้าของพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ ในนิวยอร์กโดยเปิดให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็น เพศอะไรเข้าใช้กันตามอัธยาศัย ซึ่งทําให้มีผู้มารอต่อคิวเข้าใช้เจ้าส้วมทองคํากว่า แสนคนเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผ็ชมเป็นอย่างมาก แต่ นอกจากจะถูกจัดแสดงที่นิวยอร์กแล้วในปีค.ศ.2019 ผลงานชิ้นนี้ยังถูกนําไปจัด แสดงที่ Blenheim Palace ในสหราชอาณาจักรและถกู จดั แสดงในห้องน้ํา

ที่วินสตันเชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีเคยใช้อีกด้วยแต่สิ่งที่ยิ่งทําให้ผลงานชิ้นนี้ โด่งดังขึ้นไปอีกนั่นก็คือการที่เจ้าส้วมทองคํานี้ถูกขโมย! เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึง ผลงานชิ้นนี้ว่า “ไม่ว่าคุณกินอะไรเข้าไป จะเป็นอาหารเที่ยงราคา 200 เหรียญ หรือฮอตดอกอันละ 2 เหรียญ ตอนขี้ออกมาก็เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหละ” แต่ โดยส่วนตัวแอบมองว่าการที่เขาตั้งชื่อผลงานชิ้นนี้ว่า America ก็คือการ เปรียบเทียบว่าเจ้าส้วมทองคํานี้คือประเทศแห่งโอกาสอย่างอเมริกาที่ทุกคนล้วน มาขุดหาโอกาสรวมถึงตัวของ Cattelan เองดว้ ย มาถึงผลงานที่ทําให้ทั้งโลกและวงการศิลปะชวนกันตั้งคําถามสุดๆว่าส่ิง นี้เรียกว่างานศิลปะได้ด้วยหรออย่าง Comedian ที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.2019 กล้วยหอมที่ถูกติดด้วยเทปกาวสีเงิน แต่การที่จะได้กล้วยติดเทปมานี้ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เลยเพราะก่อนหน้านี้เขามีความคิดที่จะสร้างผลงานกล้วยแต่ลองทํามาหมดทุก แบบแล้วไม่ว่าจะเป็นการหล่อเรซินหรือเงิน การทําสีต่างๆแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ซะที จนในเช้าวันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจว่า “กล้วยก็ควรจะเป็นกล้วยนั่นแหละ” โดย กล้วยที่ทุกคนเห็นนั่นคือกล้วยที่เขาซื้อมาจากร้านขายของชําในใกล้ๆกับสถานท่ี จัดแสดงผลงาน ซึ่งจากผลงานชิ้นนี้ก็ทําให้หลายๆคนเริ่มตั้งคําถามและ วิพากษ์วิจารณ์เขาว่ามันเป็นศิลปะอย่างไร แต่ถึงจะมีหลายคนคิดว่ามันเป็นศิลปะ ได้อย่างไรแต่ก็มีคนจํานวนหนึ่งยินดีที่จะซื้อเจ้ากล้วยนี้ในราคาถึง 120,000 ดอลลาร์ในสองเอดิชั่นแรกและถูกอัพราคาในเอดิชั่นที่สามเป็น 150,000 เหรียญ สหรัฐหรือประมาณ 4,553,407 บาทและถูกขายหมดในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่นอกจากนี้ยังมีข่าวที่มีศิลปินชาวอเมริกันที่ชื่อว่า David Datuna เข้าไปแกะ และกินกล้วยชิ้นนั้น พร้อมประกาศว่านี่คือ Performance Art และให้ชื่อผลงาน ชน้ิ นว้ี ่า ศลิ ปนิ ผ้หู วิ โหย น่นั ยง่ิ ทําให้ผลงานชนิ้ นโี้ ดง่ ดงั ขน้ึ ไปอกี ด้วย ซึ่งในความรู้สึกส่วนตัวครั้งแรกที่เห็นผลงานชิ้นนี้คําแรกที่ขึ้นมาในหัว เลยคืออะไรวะเนี่ย แต่เมื่อเลื่อนลงไปเห็นชื่อผลงานก็ทําให้เกิดความรู้สึกใหม่ที่เร่ิม เข้าใจมากยิ่งขึ้น เพราะส่วนตัวรู้สึกว่ากล้วยคือสัญลักษณ์ของ Joke มีความตลก

หรือความสนุกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกล้วยจากสิ่งต่างๆที่เคยผ่านมาซึ่งทําให้รู้สึก ได้ว่าเมื่อประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน การตีความหรือความเข้าใจใน ผลงานต่างๆก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะให้ว่ากันตามจริงชื่นชอบผลงานของ Maurizio Cattelan เป็นอย่างมากเพราะรู้สึกว่าดูเท่าไหร่ก็สนุก ยิ่งดูยิ่งชอบอาจจะเพราะ ความป่วนของศิลปินบวกกับลักษณะนิสัยส่วนตัวหรือการที่ยังมีความเป็นเด็กใน ตัว ยังมีความสนุกอยู่ก็ยิ่งทําให้ชื่นชอบผลงานของศิลปินท่านนี้เข้าไปใหญ่แต่ ในทางกลับกันกลับรู้สึกเฉยๆกับงานของศิลปินระดับโลกต่างๆ เช่น Jackson Pollock การสาดสีที่หลายคนตื่นเต้นซึ่งในบางทีที่โตขึ้นกว่านี้ ประสบการณ์เยอะ กวา่ นีต้ อนนน้ั เราอาจจะรู้สึกกับผลงานของ Jackson Pollock มากกวา่ Maurizio Cattelan กไ็ ด้ ย้อนกลับมาที่ผลงานกล้วยที่หลายๆคนตั้งคําถาม เรามองว่ากว่าที่จะ มาถึงผลงานที่ทุกคนสงสัยกันขนาดนี้ Maurizio Cattelan ต้องผ่านอะไรมาเยอะ มาก การทดลองสร้างผลงานในรูปแบบต่างๆ การที่กว่าจะมาเป็นเขาในทุกวันน้ี ประสบการณ์และวชิ าทีส่ งั่ สมมาทง้ั หมดจึงทาํ ให้เขาสร้างผลงานช้ินนขี้ น้ึ มาได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook