Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สีสันอินเดีย

สีสันอินเดีย

Published by Kachornpon, 2020-06-10 00:49:57

Description: สีสันอินเดีย_13580302_สุรธัช ธาราเนตร_การออกแบบเกมส์

Search

Read the Text Version

สสี นั อินเดยี

ค�ำ นำ� สวสั ดีครบั หนังสอื เล่มน้ีถูกทำ�ขน้ึ เพ่อื เป็นสว่ นหน่ึงของวิชาอารยธรรมโลก อกี ท้งั เป็นการนำ�เสนอในเร่ืองของเทศกาลและเมอื งท่องเท่ยี วในประเทศอนิ เดียว่ามีความนา่ สนใจ ยงั ไง หรอื มีอะไรทีห่ ลายคนยังไมร่ ู้ โดยทก่ี ารน�ำ เสนอเนอ้ื หาจะมีการน�ำ เสนอในทางด้านเทศ กาลเป็นอนั ดับแรก เพราะผมตอ้ งการให้ผ้ทู อี่ า่ นไดร้ ับรูก้ ่อนว่าประเทศอินเดยี มเี ทศกาลอะไร บ้างและมสี สี ันยงั ไงตามตอ่ ด้วยสถานท่ที อ่ งเทย่ี ว หากมีการผดิ พลาดประการใดขออภยั ด้วย ครับ ผู้จัดท�ำ นายสุรธชั ธาราเนตร สาขาออกแบบ(เกมส์) 13580302

สาระบรรณ 1-21 1 - เทศกาล 3 -เทศกาลโฮล่ี (Holy festival) 7 -เทศกาลนวราตรีและดุชเชห์รา่ 11 (Navratri and Dussehra festival) 13 -เทศกาลดิวาลี (Diwali festival) -เทศกาลปาคี (Palkhi festival) 15 -เทศกาลโอนัม (Onam festival) 17 -เทศกาลรกั คี (Rakee/ruksha festival) 19 -เทศกาล พระคเณศวร ( Ganpati festival) 20 -เทศกาล ไหว้พระท่พี ุทธคยา 22-44 -เทศกาลปงกอล (Pongal festival) 23 - สถานทที่ ่องเทยี่ ว 25 -เมอื งเลห-์ ลาดักฮ์ (Leh-Ladakh) 27 -เมอื งเอกร้าหรืออักรา (Agra) 29 -เมืองศรนี ครหรือศรนี าคา (Srinagar) 32 -เมืองชยั ปุระ (Jaipur) 34 -เมอื งเดลี (Delhi) 36 -เมอื งบังกาลอร์ (Bangalore) 38 -เมืองกวั (Goa) 41 -เมอื งไฮเดอราบดั (Hyderabad) 43 -เมืองเชนไน (Chennai) -เมืองมมุ ไบ (Mumbai)

เทศกาล (Festival)

เทศกาลโฮล่ี (Holy festival) อ๊าเรามาเริม่ กนั ท่ีเทศกาลแรกกนั เลยนะครับ เทศกาลนเ้ี ปน็ เทศกาลของชาวฮินดู ถกู จัดข้ึนเป็นประจำ�ปลี ะสองคร้งั ในเดือนมนี าคม โดยทเี่ ทศกาลนี้ถูกเรยี กขานอกี ชอื่ หนึง่ วา่ “เทศกาลแห่งสีสัน” โดยท่ีมาทไ่ี ปของช่อื นมี้ อี ยวู่ า่ ทกุ คนจะสาดผงสใี สก่ ันหรือสาดนำ�้ ใสก่ นั เหมอื นกบั เทศกาลสงการณใ์ นบ้านเราเลยทเี ดียว โดยที่การละเลน่ แบบนคี้ นสว่ นมากมักจะใส่ เสือ้ สขี าวและสีท่เี ลอะเปรอะเต็มเสท้อนนั้ ชาวอินเดียยงั มีความเช่อื ว่า สยี ิ่งติดทนนานเทา่ ไหรก่ ็ เปรียบเสมือนกบั มติ รภาพท่ีจะคงนานเท่าน้ัน โดยในเย็นวนั แรกจะมกี ารออกมาพบปะสงั สรรค์ หรอื แจกขนมหวานและสวมกอดกนั เทศกาลนจ้ี ึงถือเป็น “เทศกาลแห่งมติ รภาพ” ผ้ทู เ่ี คยขัด แย้งกนั ก็จะคืนสมู่ ติ รภาพนน่ั เอง และตัง้ ซมุ้ กองไฟขึน้ มา เพื่อท�ำ พธิ บี ชู าโดยจัดไวใ้ หก้ ับผหู้ ญงิ ทแี่ ต่งงานแล้วและมลี กู ชายเทา่ น้ัน โดยชาวฮนิ ดูมีความเชอ่ื ว่าพิธีน้จี ะปดั เป่าสง่ิ ทไ่ี มด่ ีออกไป จากลูกชายและเสริมสรา้ งสริ ิมงคล สำ�หรบั คู่แตง่ งานใหมท่ ี่ยงั ไมม่ ีลกู จะมีความเช่อื วา่ เมื่อทำ� พิธนี ้ีจะขอลกู ชายได้ วันที่สองผู้คนก็จะเล่นสาดสีนำ้�กันอย่างสุขสัน บา้ งก็เปิดเพลงเต้นร�ำ กัน โอว้ .... แค่เทศกาลเรียกก้อมีความนา่ สนใจแลว้ ถงึ ขนาดตอนเยน็ ท่มี คี วามเช่ือเขา้ มา เกี่ยวขอ้ งในการขอลูกของค่แู ต่งงานใหมอ่ ีก แบบนผ้ี ู้อา่ นทกุ ทา่ นจะคิดกันยังไงบ้างนะครับ สำ�หรบั ตวั ของผมแล้วเทศกาลน้ีดีมากๆเลยครบั เพราะวา่ เราไดท้ ง้ั สนกุ สนานมยี งั ได้ มติ รภาพ กลับมาอีก แคค่ ดิ ก็สนกุ แลว้ ครับ 5555+ เอาหละครับตอนนเี้ รามาชมภาพของเทศกาลนีก้ นั ดี กวา่ นะครบั ขอบคณุ สำ�หรับรปู ภาพจากหลายๆทา่ น่ีผมน�ำ มาอา้ งองิ ด้วยนะครบั 1



เทศกาลนวราตรีและดชุ เชห์ร่า (Navratri and Dussehra festival) เทศกาลนวราตรีและดชุ เชหร์ ่านน้ั จะตรงกบั นั กินเจของบา้ นเรา โดยท“่ี เทศกาลนวราตร(ี Navaratri)” เป็นเทศกาลการบูชาและการเตน้ รำ� คำ�วา่ “นว (nava)”หมายถงึ เกา้ และ “ราตรี (ratri)” หมายถงึ กลางคนื เม่อื รวมกนั ความหมายตรงตัว คอื “เกา้ คืน” โดยท่ใี นช่วงเกา้ คนื นั้นจะมกี ารบชู าพระแม่ทุรคา(Durga)หรือศักติ(Shakti) ซง่ึ หมายถึงพลงั หรืออ�ำ นาจเกา้ รูปแบบ โดยเทศกาลนี้จะจัดข้ึนสองคร้งั ต่อปี ในชว่ งตน้ ฤดูรอ้ น และต้นฤดหู นาวโดยในช่วงฤดูหนาวจะตรงกับเดอื นอศั วิน(Ashwin)ตามปฏทิ นิ ฮินดแู ละใน บางครงั้ จะมเี ฉลิมฉลองในวันท่สี บิ ดว้ ย เทวีทคุ า หรอื ทีน่ ยิ มเรยี กกนั ว่า พระแมท่ รุ คา เปน็ เทวีแหง่ ความม่งั คั่ง ความเจริญรงุ่ เรืองและสุขภาพทด่ี ี พระนางเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระแม่ปารวตี ซ่ึงเป็นพระมเหสขี อง พระศวิ ะตามต�ำ นานเทพเจา้ ฮนิ ดมู ีการกล่าวถึง “การปราบมหงิ สาสูร” ซึง่ เป็นอสูรที่มีอ�ำ นา จมากจนไมม่ เี ทพพระเจา้ องค์ใดปราบลงได้ จนทำ�ใหบ้ รรดาเทพเจา้ ท้ังหลายต่างไปขอเขา้ เฝ้า พระแมท่ รคุ า เพอื่ ขอใหพ้ ระองคช์ ว่ ยปราบมหิงสาสูร โดยท่ีเหล่าเทพเจา้ น้ันไดม้ อบอาวธุ อัน ทรงอำ�นาจให้กบั พระนาง เมอื่ อาวุธครบมอื ท�ำ ให้พระนางปราบมหงิ สาสูรได้สำ�เรจ็ และสถาน ทท่ี ีม่ หิงสาสูรไดส้ นิ้ ชีพลงน้ันคือ “เมืองมหิศปรุ ะ(Mahishpur)” หรอื ปจั จุบนั คือ “เมอื งไม ซอร์ (Mysore)”ชาวไมซอรจ์ ึงมกี ารเฉลมิ ฉลองเทศกาลน้ีกนั อยา่ งย่ิงใหญแ่ ละสนกุ สนาน ส่วนทางด้านพธิ ีบชู านัน้ ถูกแบ่งออกเปน็ สามช่วง โดยในชว่ งสามวนั แรกจะเปน็ พธิ ปี ลกุ พระแมท่ รุ คา เทวแี ห่งอ�ำ นาจข้ึนมาเพ่อื ปัดเปา่ สิ่งช่ัวรา้ ยหรือส่งิ ไมด่ ีออกไป จากน้นั เทวที ไี่ ด้ รบั การบชู าต่อมาคือ “พระแม่ลกั ษม(ี Lakshmi)”ผู้ทจ่ี ะมอบความมงั่ ค่ังแกผ่ ทู้ มี่ าบชู าและใน ช่วงสามวนั สุดท้ายจะเป็นพิธบี ชู า “พระแม่สรสวตี(Saraswati)”เทวีแหง่ สตปิ ญั า ชาวฮินดูมี ความเช่อื ว่าเพ่อื นทจ่ี ะได้รบั จากพระแมท่ งั้ สามองค์จะต้องทำ�พิธีบูชาเป็นเวลาต่อเนอ่ื งเก้าวนั รปู บูชาของพระแม่จะถูกน�ำ มาไวท้ ีบ่ ้านและทว่ี ดั ตลอดทงั้ เกา้ วันที่มกี ารเฉลมิ ฉลองและมีการ ถวายผลไม้ ดอกไม้ ขนมหวาน แดร่ ปู เทวีและร้องเพลงสวดบาจัน(Bhajans)เพอ่ื สรรเสรญิ พระนางและในวนั สดุ ทา้ ยของเทศกาลจะมกี ารแหข่ บวนนรปู เคารพไปจมลงในแมน่ ำ�ใกล้เคียง ในอินเดยี นั้นจะจัดเทศกาลนวราตรีขึน้ แตแ่ ตกต่างกนั ไปตามภูมภิ าค นอกจากบชู าเทวีแล้ว ยงั มกี ารฉลองดว้ ยการเต้น “ดนั ดิยาราส(Dandiya-raas)” หรือร�ำ กระบไม้โดยถือไมส้ ้ันๆ คนละคตู่ กี ระทบกันเป็นวงวนไปวนมาถงึ จะดแู ล้วไม่มีท่าเตน้ อะไรมากแตค่ นทีท่ ำ�นนั้ จะรู้สกึ สนกุ สนานกันไปนัน้ เอง 3

ภาพการเตน้ ร�ำ โดยใชไ้ ม้ขนาดเลก็ เต้นวนไปวนมา

อะยงั ไม่หมดนะครับเรายงั มเี ทศกาลดสั เซฮ์รา(Dussehra)ท่ีต่อเนอ่ื งมาจากเทศกาล นวราตรี โยที่เทศกาลนีค้ ือการฉลองชัยชนะความดีต่อความชั่วร้าย เฉลมิ ฉลองกันทั่วอินเดยี หลงั จาก เฉลิมฉลอมเทศกาลนวราตรีไปแรว้ เกา้ วันในวนั ทสี่ ิบนี้ ชาวอินเดยี จะเรียกวันนว้ี่ า่ “ดัสเซฮร์ า หรือ วิชยทัสม”ิ ถือเปน็ วันท่พี ระรามสงั หารอสูรราวณะลงได้ และเป็นวันทพ่ี ระแม่ ทรคุ าเอาชนะมหงิ สรู ซงึ่ เปน็ ชัยชนะของความดตี อ่ ความชว่ั รา้ ย ในวันน้ีชาวฮนิ ดูจงึ นยิ มเฉลิม ฉลองกันทวั่ ไป ตามตำ�นานฮนิ ดู “รามายณะ”กล่าวว่า พระรามได้ทำ�พิธีจดั ิบูชา(Chandi-Puja) ขอพรจากพระแมท่ รุคาเพอ่ื สังหารอสูรราวณะ(Ravana)หรือทเี่ รารู้จักกันในชื่อ “ทศกณั ฐ”์ กษัตริย์แหง่ กรงุ ลงั กาผมู้ ีสิบเศยี รและได้ลักพาตัวนางสดี าไป พรุแม่ทรคุ าจึงได้เผยความลับใน วธิ ีท่ีจะสงั หารทศกัณฐ์ให้พระรามทราบ ทำ�ใหพ้ ระรามสามมารถสังหารทศกณั ฐล์ งได้ หลงั จา กนั้นพระราม นางสีดา และพระอนุชาก็ไดเ้ สด็จกลับนครอโยธยาในวนั ที่เรยี กว่า “ดวิ าล”ี ซ่ึง ชาวฮินดจู ะมกี ารเฉลมิ ฉลองกนั อยา่ งยิง่ ใหญ่ ในวนั ดสั เซฮ์รานีจ้ ะมกี ารแสดงละครพ้ืนบา้ น เรือ่ ง “รามลลี า”เพอ่ื เปน็ การเลา่ เรื่องเกี่ยวกับการต่อสขู้ องพระรามและทศกัณฐ์ ซึง่ นกั แสดง จะยิงลูกศรจุดไฟไปทห่ี ่นุ จ�ำ ลองทงั้ สามไดแ้ ก่ ทศกัณฐ์ กษตั รยิ ์แห่งกรงุ ลงั กา กุมภการณั หรือ กุมภกณั ฑ์ พระอนุชา และเมฆนาธ โอรสของทศกัณฐ์ ซึ่งมปี ระทดั ซอ่ นไวท้ �ำ ใหห้ ุ่นระเบดิ และ มไี ฟลกุ ทว่ ม อันเป็นสญั ลักษณท์ ีแ่ สดงถึงชยั ชนัของความดที ม่ี ีตอความชั่วนั่นเอง ทังนที้ ้ังน้ัน ในวนั ดัสเซฮร์ า จะถอื เป็นวนั สนิ้ สดุ เทศกาลนวราตรี หลงั การแสดงเผาหุ่นทัง้ สามแลว้ ผทู้ ี่แส ดงเป็น พระราม นางสีดาและพระลักษณ์ จะขน้ึ รถมา้ แล้วแห่รอบๆ ฝูงชนกจ็ ะตะโกนวา่ “Jai Shri Ram” หมายถึงชยั ชนะของพระราม และชาวฮินดูยงั เชือ่ วา่ วันน้ีเปน็ วนั มงคล จะ กระท�ำ สง่ิ ใดกจ็ ะประสบผลส�ำ เรจ็ ดงั นัน้ จงึ มกี ารวางรากฐานอาคารใหมๆ่ ในวนั นี้ หรือเปิดตวั ธรุ กิจใหมๆ่ อีกท้งั ยังมกี ารน�ำ เคอ่ื งมือการเกษตร เครือ่ งจกั รต่างๆ เครือ่ งครวั หนังสอื เรยี นออก มาท�ำ การบูชาต่อหน้ารปู เคารพของพระแมท่ รุคาอีกดว้ ย 5



เทศกาลดิวาลี(Diwali festival) เทศกาลดิวาลีนะครับ ถอื เป็นเทศกาลส�ำ คญั อย่างหนึง่ ของชาวฮนิ ดเู ลยหละครบั เพราะ วนั นจี้ ะถอื เปน็ วนั ปีใหม่ของชาวอิเดยี นนั่ เอง อกี ทั้งยงั เปน็ วันบูชาพระแมล่ ักษมีเทวอี ีกด้วย ซ่ึง ทุกๆปีจะจดั ข้นึ ประมาณเดือนตุลาคมหรอื พฤศจิกายนของทุกปีหรอื ตรงกบั ช่วงออกพรรษา ของบา้ นเราพอดิบพอดี โยเทศกาลนคี้ อื เทศกาลแห่งการประดับไฟของชาวฮินดู ตามตำ�นานมี ความเชือ่ วา่ ในคัมภีร์รามายณะ กล่าวว่าเมื่อพระรามสู้รบกบั เหลา่ อสูร(ราวนั ) จนมีชัยแลว้ ก็ไดเ้ ดินทางกลับมาส่อู าณาจักรอโยธยาพรอ้ มกบั พระลกั ษณแ์ ละพระนางสีดา การกลับมาในคร้งั นี้เนบั ว่าเป็นการน�ำ ชยั ชนะมาสูอ่ าณาจกั รท�ำ ให้เกิดการเฉลิมฉลองดว้ ยไฟ กันทว่ั อาณาจกั ร ซงึ่ วนั ที่พระรามกลับมาตรงกับวนั ดวิ าลพี อดแี ตก่ ็มีตำ�นานอื่นท่ีเชอ่ื กันวา่ วัน นเ้ี ป็นวนั ประสตู ิของพระมหาลักษมีและเป็นวนั แลองชัยท่ีพระกฤษณะเอาชนะนรกสูร เน้อื ง จากอสูรตนน้ีอาศยั อยู่ในความมืดและเมอ่ื ใดก็ตามทมี่ ีผู้จุดตะเกียงเพ่ือใช้แสงสว่างเม่อื นัน้ นรก อสูรจะถกู สังหารเสยี เม่ือพระกฤษณะรับร้เู รอื่ งราวจึงรบี จดั การดงั นน้ั จึงเชอ่ื ว่าการจดุ ประ ทบี จะเปน็ การขบั ไล่ส่งิ ช่วั ร้ายต่างๆออกไป ในวันน้จี ะมีการบูชาพระแม่ลกั ษมเี ปน็ หลักและ เทพเจา้ องคอ์ น่ื กจ็ ะได้รับการสวดบชู าดว้ ยเช่นกันเมื่อเสร็จส้นิ การสวดมนตบ์ ชู าแลว้ จะมีการ จุดพลุ ประทดั หรอื ตเี กราะเพ่ือใ้เกิดเสยี งดังเป็นการขม่ อสรู ขับไล่ส่ิงท่ีไมด่ อี อกไป ยงั คงเป็นอกี หน่งึ เทศกาลนะครับทถี่ ูกจดั ขนึ้ อยา่ งย่ิงใหญ่และมคี วามสวยงามด้วยการประดบั ไฟต่างๆอกี ดว้ ย ตอนนที้ า่ นผอู้ ่ามเริ่มมคี วามสนใจท่ีจะลองไปเท่ยี วเทศกาลน้ที ีป่ ระเทศอนิ เดียกนั บ้างหรือ ยงั ครบั ?... เทศกาลนย้ี งั คงไมจ่ บเพียงเทา่ น้หี รอกนะครับ นอกจากจะมกี ารประดับไฟแลว้ ยังมี การเลน่ ดอกไม้ไฟในเวลากลางคืนและซือ้ ของขวัญไปแลกเปล่ียนกับญาติพ่นี ้องหรือเพอื่ นบา้ น อีกด้วย นับวา่ เป็นการเพม่ิ มติ รภาพไปในตวั ไม่ตา่ งจากเทศกาลโฮล่ี(Holy) เลยนะครับและ เทศกาลนน้ี ะครับจดั ข้นึ เป็นเวลาห้าวันดว้ ยกนั แตล่ ะวันจะมลี ักษณะส�ำ คญั ต่างกนั ออกไปคอื ธนเตรส(Dhanterus)ในวนั นคี้ อื วันทีม่ กี ารท�ำ ความสะอาดและซอ่ มแซมบา้ นเรือน และมี การถวายขนมหวานกับเทวีในพนื้ ท่รี ฐั และในทางตอนใต้ของอินเดียวนั น้จี ะมีการบชู าววั เปน็ พเิ ศษ วันท่สี องคอื วัน โชต้ี ดิวาล(ี Choti diwali) จะบชู าเจา้ แม่ลกั ษมี พระราม และพระ กฤษณะ โยที่ชาวฮินดเู ชอื่ กันว่าพระกฤษณะชนะนรกอสรู จะมีการเล่นพลไุ ฟในตอนใต้จะมี พิธกี รรมทแ่ี ปลกมากคอื ในตอนเชา้ จะต้องลุกข้ึนมากอ่ นพระอาทติ ยข์ น้ึ นำ�คัมคัม(Kumkum) แปง้ สีแดงมาผสมกบั นำ้�มนั พืชซึ่งเปน็ สญั ลกั ษณข์ องเลอื ด น�ำ ผลไมร้ สขมมาตใี ห้แตกเปรยี บ เสมอื นพระกฤษณะท�ำ ลายศรษี ะจอมอสูรและน�ำ แป้งสีแดงท่ผี สมมาแตม้ ที่หนา้ ผากและอาบ นำ�้ ท่ผี สมด้วยนำ้�มันจนั ทร์ ไปตอ่ กันทวี่ ันที่สามกันเลยนะครับ... 7



วนั ท่สี ามน้ันคือวนั ดวิ าลี (Diwali) วนั น้ีถือเป็นวนั เฉลมิ ฉลองทย่ี งิ่ ใหญ่ทส่ี ุด เป็นวันทีบ่ ชู า พระแมล่ ักษมี ในอเิ ดยี ตอนเหนอื และตะวนั ออกการท�ำ ความสะอาดบ้านเปน็ เรื่องทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ เพราะพระแมล่ ักษมีชอบความสะอาด บา้ นหลงั ไหนที่สะอาดทีส่ ดุ พระแมล่ กั ษมีก็จะเยยื่ มบ้าน นัน้ เปน็ บ้านแรก และนก่ี เ็ ป็นเหตผุ ลหนงึ่ วา่ ท�ำ ไมตอ้ งบูชาไม้กวาดด้วยผงขมิ้นและชาด หลัง จากพระอาทิตยต์ กดนิ มีการจุดตะเกียงดนิ เผาใหส้ วา่ งทว่ั ทงั้ บริเวณบ้านเพ่อื เป็นแสงน�ำ ทางให้ พระแม่ลักษมีเขา้ บา้ นเรอื นตน อกี ทง้ั ยังขบั ไลส่ งิ่ ชัว่ ร้ายและความมืดออกจากบ้านดว้ ย คนใน ครอบครัวจะอาบน้�ำ ท�ำ ความสะอาดรา่ งกายและใสเ่ สอ้ื ผา้ ชุดใหม่ คนอินเดียจะถอื วันนี้เป็นวัน ขนึ้ ปใี หม่ของชาวฮินดู มีการเลน่ อย่างสนุกสนาน และมกี ารจดุ พลุเล่นกนั ทงั้ คืน มาถงึ วันทส่ี ี่ กนั แล้วนะครับ วนั ทส่ี ่ีนั้นคอื วนั ปัดวา (Padwa หรือ Govardhan Puja) วนั ทสี่ ่เี ปน็ งานบชู าพระ กฤษณะ และทำ�บชู าเทพเจ้าที่ตนนบั ถอื ที่แมน่ �ำ้ ในวนั นส้ี ำ�หรับชาวฮนิ ดทู เ่ี ครง่ ศาสนาจะไม่ นอนหลบั ในคืนน้ี พวกเขาจะทำ�อาหาร 56 หรอื 108 ชนดิ ท่แี ตกตา่ งกนั ไป เรียกอาหารเหลา่ น้นั วา่ โภค (Bhog) เพือ่ น�ำ ไปถวายแดพ่ ระกฤษณะ ว้าวๆมาถึงวนั สดุ ทา้ ยกนั แลว้ .. วันท่ี 5 คือ ไภทูช (Bhai Duj) วนั สุดท้ายน้นี ้องสาวจะเจมิ หนา้ ผากใหพ้ ี่ชายเพอ่ื ใหม้ ี ความสขุ และ อายุยนื มีความเจริญในหนา้ ทก่ี ารงาน ฝ่ายพี่ชายก็จะมอบของขวัญและสัญญา วา่ จะปกปอ้ งน้องสาวเป็นการตอบแทน สาระส�ำ คัญของการฉลองวนั น้ี เพอ่ื เสรมิ สร้างความ รักระหวา่ งพช่ี ายและน้องสาว เป็นวันท่ีกินอาหารร่วมกัน มอบของขวญั ใหก้ นั แหม่ช่งั เป็นวนั ท่ีดีของพน่ี อ้ งจริงๆผูอ้ ่านจะคดิ เหมอื นกบั ผมไหมครบั ? เทศกาลน้ีผมกะขอจบท่ีตรงนี้นะครับ เดว่ เราไปชมภาพที่ผมไปเสาะหามาใหท้ ่านผู้อ่านชมกนั ดีกว่านะครบั 9



เทศกาลปาคี(Palkhi festival) ปาค(ี Palkhi)เป็นชอ่ื เรียกในทอ้ งถ่นิ หมายถึง “ขบวนแหเ่ ก้ยี วเงินอนั งดงาม”(อ้ือหอื ..) ภายในเกยี้ วประดิษฐานรอยเท้าทำ�ดว้ ยเงิน ซึ่งดำ�เนนิ การโดย พวก “วาคารสิ (warkaris)” หมายถงึ บคุ คลท่ปี ฏิบัติตามแนวทางของ “วาลี(wari)”แสดงถึงวัฒนธรรมอนั โดดเดน่ ขอ งรัฐมหาราษฎร์ เทศกาลปาคี (Palkhi Festival) นจี้ ดั ข้ึนประจ�ำ ทกุ ปใี นเดอื น “อสั ฮาร์ด (Ashadh)” และเดือน “คาทิค(Karthik)” ซ่ึงใชเ้ วลา “เฉลมิ ฉลองทง้ั หมดรวมยี่สบิ สอง วนั ” ทพ่ี ิเศษอยา่ งย่งิ คือ เทศกาลน้ีมขี ึน้ เฉพาะแตใ่ นรฐั มหาราษฎรเ์ ท่านน้ั และดำ�เนินตอ่ เนือ่ ง ยาวนานไม่ขาดตอนกวา่ “หนง่ึ พันป”ี ความเป็นมาของเทศกาลปาตี เริม่ ขึ้นในปี 1685 โดย Narayan Baba ตัดสนิ ใจที่จะทำ�การเปลี่ยนแปลงธรรมเนยี มประเพณีของชาว dindi-wari โดยการรเิ รมิ่ ปาคขี ึน้ เป็นสัญญาณของการเคารพทางสงั คม เขาได้น�ำ รอยเท้าทที่ ำ�ดว้ ยเงนิ (silver padukas) ของ Tukaram และรอยเท้าเงินของ Dnyaneshwar มาประดษิ ฐานไว้ ในปาครี ว่ มกัน หรอื ท่ีเรียกวา่ ประเพณีปาคีคู่ (twin Palkhis) ประเพณีดงั กลา่ วนดี้ �ำ เนนิ ไป ทกุ ปี แตใ่ นปี 1830 มกี รณพี พิ าทภายในตระกลู Tukaram ทำ�ให้มีการยกเลกิ ประเพณปี าคี คู่ และจัดแยกเปน็ 2 ปาคี ไดแ้ ก่ Tukaram Palkhi จากหมบู่ ้าน Dehu และ Dnyaneshwar Palkhi จากหมูบ่ า้ น Alandi ความต่อเนื่องยาวนานตามกาลเวลาของประเพณเี ก่าแกน่ ีแ้ ผ่ ขยายเป็นทน่ี ยิ มอยา่ งกวา้ งขวาง จ�ำ นวนรวมของผศู้ รัทธาที่ด�ำ เนนิ รอยตาม Sant Tukaram Palkhi จากหมู่บ้าน Dehu มจี �ำ นวนถึง 1.5 แสนคน และผูศ้ รทั ธาทดี่ ำ�เนนิ รอยตาม Sant Dnyaneshwar Palkhi มจี �ำ นวนถงึ 2.25 แสนคน ปาคจี ากทัง้ สองหมู่บา้ นไดม้ าพบกันท่ี เมอื งปูเณ่ และหยุดพกั ร่วมกันชัว่ คราว และจากนัน้ ก็แยกจากกันที่ Hadapsar เพอื่ ไปพบ กนั อีกทีท่ี Wakhri หม่บู ้านแห่งหนึง่ ใกล้เมือง Pandharpur ซงึ่ เป็นจุดหมายปลายทางของ ขบวนพธิ นี ้นั เอง ผ้ทู ่มี าชมุ นมุ ส่วนใหญเ่ ปน็ ชาวนาในชนบทวาริ เปน็ สญั ลักษณ์ของศรัทธา ในพระเจา้ ที่ไม่ส่ันคลอน ผศู้ รัทธาท่ีเข้ารว่ มในพิธี ถ้าเปน็ ชายจะแต่งกายด้วยชดุ ขาว แตห่ ญงิ ใสช่ ดุ สาลีสีสันสวยงามแบกเคร่อื งสักการะหรอื สัมภาระต่างๆไวบ้ นศีรษะ เดนิ เท้าไปตามทาง ถนนใหญ่ บา้ งท่ีมากนั เปน็ กลมุ่ มกั มธี งสีแสดอนั เปน็ สญั ลักษณข์ องเทศกาลน้ีน�ำ หน้าขบวน โดยท่ีขบวนนจี้ ะมกี ารแวะพกบา้ งตามวัด หรือ พกั แรมตามที่ต่างๆระหว่างทางก่อนจะถงึ จดุ หมายทก่ี ำ�หนดไว้ 11



เทศกาลโอนัม(Onam festival) เทศกาลโอนัม(onam) เสมือนเทศกาลขนึ้ ปใี หมต่ ามปฏิทนิ มาเลยาลมั ทีม่ ีการเฉลมิ ฉลองกันทั่วท้ังประเทศอนิ เดีย โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในรฐั เกรละ (Kerala) ท่ีอยู่ทางใต้ของ ประเทศอนิ เดีย ผคู้ นจะแต่งกายด้วยเส้ือผ้าใหมห่ ลากสีสันสวยงาม ไปศาสนสถานในยาม เชา้ เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและขอพร จากน้นั กเ็ ย่ียมเยอื นกนั ญาติพีน่ ้องและเพอ่ื น บ้าน มกี ารมอบของขวัญใหแ้ ก่กนั มกี ารเต้นรำ�ประกอบดนตรอี ย่างร่ืนเรงิ รวมทงั้ จัดเตรียม อาหารคาว-หวาน อันเปน็ สญั ลกั ษณ์บ่งบอกถึงฤดูกาลเกบ็ เกี่ยว การเฉลิมฉลองนี้จดั ขน้ึ ต่อ เน่อื งเป็นเวลา 10 วนั ในชว่ งเดอื นสงิ หาคม-กันยายน โดยต�ำ นานของรฐั เกรละนั้นเป็นการ ฉลองเพือ่ ต้อนรับการกลบั มาของอสุรกษตั ริยน์ ามวา่ มหาบาลี (Mahabali) อันเป็นท่ีรกั ยงิ่ ของชนทกุ ช้ันเน่ืองจากยคุ สมยั ของพระองคน์ น้ั ประชาราษฎรม์ ีความสขุ ชนทกุ ชน้ั มคี วาม เท่าเทียม ไร้อาชญากรรมและคอรปั ช่นั พระองค์จงึ เปน็ ท่เี คารพนับถอื และสรรเสริญประดจุ เทพ จงึ ถกู พระวิษณุทดสอบและสดุ ทา้ ยพระองค์กผ็ ่านการทดสอบนนั้ พรอ้ มไดร้ บั พรจากพระ วษิ ณุใหก้ ษตั รยิ ม์ หาบาลีเป็นทีเ่ คารพรกั ของประชาชนตลอดไป และแมน้ ได้มรณาจากโลก มนษุ ย์แต่ก็จะได้กลับมาเยยี่ มเยียนแผ่นดนิ เกรละท่ีพระองคร์ ักทุกๆปี ปีละครั้งในชว่ งเร่ิมเดอื น ชณิ กัม(Chingam) เดอื นแรกตามปฏิทินมาเลยาลัม ซึ่งเปน็ ทมี่ าแห่งการเฉลมิ ฉลองร่นื เริง เพื่อต้อนรับกษัตริย์มหาบาลีแห่งรัฐเกรละ ดว้ ยภมู ปิ ระเทศของรัฐเกรละท่เี ตม็ ไปดว้ ยขุนเขา เขยี วชอุ่มพ่มุ พฤกษ์ ทวิ มะพร้าวแนวทะเลอาหรบั ผลิตผลทางการเกษตร เครอื่ งเทศเครอื่ ง หอมและสมุนไพรแห่งเส้นทางสายเครื่องเทศ ทะเลสาบน้ำ�กร่อยเกิดจากชะวากทะเล และเรือ Kettuvallam อันเปน็ เอกลกั ษณข์ องรัฐเกรละ จนไดร้ บั การขนานนามว่า “ดนิ แดนอันงดงาม ของพระเจา้ ”โดยเฉพาะศลิ ปะการแสดงประจำ�ทอ้ งถนิ่ ชาวเกรละหลายหลากศาสนา เช้ือชาติ และชนชั้น ตา่ งพากันมารว่ มขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองสดุ อลงั การน้ี มเี คร่ืองแต่งกาย สีสนั และการรา่ ยรำ�แบบนกยงู เพื่อสักการะเทพในศาสนาฮินดูของรฐั เกรละและรฐั ทมิฬนาฑู สว่ น หนง่ึ ของเครอื่ งแต่งกายนนั้ ใช้หางนกยูงมาประดบั ชุดและเครอื่ งทรงศรี ษะตอ้ งระยบิ ระยับแวว วาวเวลาเคลอื นไหว นอกจากนย้ี งั มีการร่ายร�ำ โลัมทรุ า เพือ่ ขจดั ปดั เปา่ วญิ ญาณชว่ั ร้าย แพร่ หลายในภาคใตข้ องอินเดียรวมทั้งตอนใตข้ องรฐั เกรละ เครือ่ งประดบั ศรี ษะท�ำ จากใบมะพร้าว บนชนิ้ เครือ่ งประดับศรี ษะนี้มีการเขียนลายเป็นรปู ไขแ่ ละดมู ีหลายใบหนา้ อยู่บนนัน้ แหม่นะ ครับกเ็ ปน็ ความเช่อื ของอนิ เดียนะครับ และยงั ทำ�ให้เกิดความสนกุ สนานและความสวยงามขึน้ ด้วยถือเปน็ อกี หนึ่งเทศกาลท่มี ีสสี นั ของอนิ เดยี เลยหละครบั สนใจกล็ องไปเทยี่ วชว่ งเทศกาลนี้ ไดน้ ะครับ 13



เทศกาลรักคี(Rakee/ruksha festival) เทศกาลรักคี(Rakee) เป็นเทศกาลแหง่ ความรักหรือเรยี กง่ายๆวา่ วันวาเลนไทนข์ อง ชาวอินเดีย เป็นเทศกาลของพีน่ ้องตา่ งเพศแสดงออกซ่งึ ความรกั และความผูกพนั ต่อกนั ผู้ ทน่ี ับถอื ศาสนาฮินดจู ดั ให้มกี ารฉลองนี้ตลอดทงั้ วัน ในวนั รกั คีพหี่ รอื น้องที่เปน็ ผู้ชายน้นั จะ สัญญาวา่ จะดแู ล ปกปอ้ งคมุ้ ครอง พห่ี รือนอ้ งของตนท่เี ปน็ ผูห้ ญงิ จากความชัว่ รา้ ยต่างๆ เทศกาลน้ีเร่ิมมาตัง้ แตส่ มยั พระเวทจนถึงปัจจุบัน เรียกวา่ ยุคอสุ าหกรรมท่ีคุณค่าของชวี ิต กำ�ลังเปล่ยี นแปลงไป เด็กผหู้ ญงิ อาจจะผกู รกั คีไวร้ อบขอ้ มือของคนแปลกหน้า ทง้ั คู่ผ่านช่วง เวลาอันเปน็ มงคลกเ็ ปน็ เหมือนพีน่ ้องกนั ทมี่ ีความสัมพันธ์อนั บริสุทธใ์ิ กล้ชิดกนั กวา่ ความ สัมพันธ์ทางสายเลอื ดอ่ืนๆ พธิ กี รรมของรกั คี ผคู้ นจะตื่นแตเ่ ช้าและอาบนำ�้ เพ่อื ชำ�ระร่างกายและจติ วิญญาณให้ บริสทุ ธ์ิ ลกู สาวพร้อมมารดาเตรยี มอาหารรวมทัง้ ขนมหวานต่างๆ ลูกสาวเตรียมถาดบชู า ประกอบดว้ ยดา้ ย ผงสแี ดงส�ำ หรบั แตม้ หนา้ ผาก ขนมหวาน (ที่ไมม่ ีไข่) และหมอ้ ดิน และ เคร่อื งสำ�หรับบูชาอืน่ ๆ พี่และน้องสาวจะผูกข้อมือให้พห่ี รือน้องชาย แต้มผงแดง (tika) ที่ หนา้ ผากใหด้ ว้ ยแล้วใหพ้ ีห่ รอื นอ้ งชายบูชาเทวดาดว้ ยการวนมือเหนือเปลวไปในถาด พ่แี ละ น้องสาวสวดมนตเ์ พือ่ ให้พ่ีหรอื น้องชายมีอายุยืนยาว และหยบิ ขนมใสป่ ากพน่ี อ้ งผ้ชู าย พ่ีหรือ นอ้ งชายให้ของขวัญแกพ่ ่ีหรอื น้องสาวตอบแทนและสัญญาวา่ จะปกป้องค้มุ ครองพ่ีหรอื น้อง สาวให้ผ่านพน้ อุปสรรคในชวี ติ พธิ ที ี่เรียบง่ายของรกั คนี เ้ี ป็นสญั ลักษณแ์ ละสรา้ งความเข้มแขง็ ใหก้ บั ความผูกพนั ความรกั ระหวา่ งพนี่ อ้ ง 15



เทศกาล พระคเณศวร ( Ganpati festival) เทศกาลพระคเณศ (Ganpati festival) หรือทร่ี จู้ ักกันในชอื่ คเณศจตรุ ถี (Ganesh Chaturthi) เป็นเทศกาลเฉลมิ ฉลองท่ีย่งิ ใหญ่ท่ีสดุ ของอินเดยี เลยกว็ า่ ได้ เนื่องในวนั คลา้ ยวัน ประสตู ิของพระองค์ ในชว่ งวนั ขนึ้ 4 ค�ำ่ แห่งเดอื นภาทรบท (Bhaadrapada) เดอื นนี้อยูใ่ น ระหวา่ งเดอื นสิงหาคมและกันยายน เชือ่ กนั วา่ พระคเณศจะเสดจ็ ลงมายังโลกมนษุ ยเ์ พอ่ื ประทานพรอันประเสริฐสูงสุดแก่ผู้ ศรัทธาพระองค์ เทศกาลนี้จงึ มีขึน้ เพอื่ จดั พิธีกรรมบชู าและเฉลมิ ฉลองอย่างย่งิ ใหญ่ท่วั อินเดีย และทั่วโลก ส�ำ หรับในเมอื งปูเณ่ ซง่ึ เปน็ เมืองส�ำ คญั ในการจดั เทศกาลนี้ ไดเ้ ร่ิมต้นงานคเณศจตุ รถขี นึ้ ในวันท่ี 23 สิงหาคม และจะเฉลมิ ฉลองต่อเน่ืองไปถึง 10 วัน พระคเณศ หรือเปน็ ท่นี ิยมเรยี กในหลายๆ ช่ือว่า พระพิฆเนศ พระพิฆเณศ พระวิฆเณศ หรือ คณปติ เทพเจ้าในศาสนาฮนิ ดู มพี ระเศียรเป็นชา้ ง ทรงเป็นโอรสของพระศิวะ (Shiva) และ พระนางปารวตี (Parvati) เป็นท่นี ับถอื กนั อย่างกว้างขวางในฐานะทเ่ี ป็นเทพเจ้าแหง่ ความรู้ เปน็ ผมู้ ีปญั ญาเป็นเลศิ ผปู้ ราดเปรือ่ งในศิลปวิทยาทกุ แขนง และเป็นผเู้ ปน็ ใหญใ่ นการ ขจัดอปุ สรรคท้ังปวง จึงเปน็ ท่ีเคารพบชู าสงู สดุ โดยเฉพาะของผู้คนในรัฐมหาราษฎร์ แตล่ ะบา้ นเรือนจะจัดหาเทวรปู พระคเณศมาบชู า และในวันสุดท้ายของการเฉลมิ ฉลองนี้ ใน แต่ละชุมชนจะมกี ารแหแ่ หนองค์เทวรูปพระคเณศขนาดใหญ่โตไปทั่วเมืองและม่งุ หนา้ ไปสู่ แมน่ ้ำ�ศกั ดิ์สทิ ธส์ิ ายตา่ งๆ ถนนหนทางทุกหนแหง่ จะมผี ู้คนออกมาชมการแห่องค์เทวรปู ตลอด ทาง ผศู้ รัทธาทเ่ี ปน็ สตรีจะแต่งกายด้วยชุดสา่ หรีสีสนั สวยงาม และขบวนแห่จะไปสิน้ สดุ ท่ี แม่น้�ำ สำ�คัญสายตา่ งๆ ทถ่ี ือเปน็ แมน่ ำ�้ ศักด์ิสิทธ์ิ เช่น แม่น�ำ้ คงคา แม่น้ำ�สรัสวตี เป็นต้น แลว้ ท�ำ พธิ ีลอยเทวรูปลงสแู่ มน่ �ำ้ หรือทะเล 17



เทศกาล ไหว้พระที่พทุ ธคยา เทศกาลไหวพ้ ระที่พทุ ธคยา เป๋น็ เทศกาลทจ่ี ัดขนึ้ เพ่ือใหช้ าวพทุ ธจากท่วั โลกไปกราบไหว้สกั การะพทุ ธ คยาในชว่ งตลุ าคม-มนี าคมและซึ่ง ก็ยังมชี าวธิเบตหนีหนาวอพยพมาอยพู่ ทุ ธคยาในชว่ งนี้ มาสวดมนตก์ นั มาก โดยเฉพาะพระลามะและดาไลลามะจะมพี ธิ สี วดใหญ่ใต้ตน้ มหาโพธิในช่วงปใี หม่ ปจั จบุ ันชาวยโุ รป เช่น ฝรัง่ เศส หันมานับถือศาสนาพุทธกนั มากขึ้น ทำ�ใหก้ ำ�ลงั ซอื้ ของนกั ทอ่ งเทยี่ วต่างประเทศในชว่ งเทศกาลไหว้ พระที่พทุ ธคยาพ่งุ สูงขึ้นมากกวา่ ในอดตี มาก แต่ในความเป็นจริงการทอ่ งเทย่ี วพุทธคยานกั ท่องเทย่ี วสามารถ มาได้ ตลอดปี ยกเว้นเดอื นมถิ ุนายน ทีอ่ ากาศร้อนจัดท่ีสดุ 19

เทศกาลปงกอล (Pongal festival) เทศกาลปงกอลถือเป็นอกี หนึง่ เทศกาลทม่ี ีความนา่ สนใจ เนอื่ งจากเทศกาลน้ีเปน็ เทศกาล ฉลองฤดเู กบ็ เกี่ยวของอนิ เดียใต้ โดยมีการเฉลมิ ฉลองกนั 4 วัน วันแรก โบก(ิ Bogi) เป็นวัน ท�ำ ความสะอาดบ้านและเผาสง่ิ ที่ไมใ่ ช้แล้ว วนั ทส่ี อง เปรมั (Perum) เป็นวันบชู าสุริยะเทพ มี การประดับหน้าบา้ นด้วยโกลัม (Kollams) คือการเขยี นลวดลายมงคลไวท้ ่ที างเดินก่อนเขา้ บ้าน และมีการปรงุ อาหารพืน้ บา้ นทีเ่ รยี กว่า ข้าวปงกอล (pongal) วันท่ีสาม มาตุปงกอล (Matu Pongal)เป็นวนั ทม่ี ีพิธีบายศรสี ูข่ วญั วัว-ควายเรยี กว่า “Jallikattu” และมีพธิ ปี ราบ พยศวัวกระทงิ ดว้ ย วนั ทส่ี ่ี วนั สุดทา้ ยนค้ี อื วัน คันนัมปงกอล(Kannum Pongal) เป็นวนั ออก ไปปคิ นิกกันนอกบา้ น หรอื เทีย่ วนอกบา้ นของบา้ นเรานัน่ เอง 20



“เอาหละครับ เราก็จบกนั ไปแลว้ กบั ส่วนของเทศกาลนะครบั ตอ่ จากเทศกาล ผมจะพาท่านผู้อา่ นทกุ ทา่ นไปรจู้ กั กับสถานที่ทอ่ ง เทีย่ วต่างๆในประเทศอินเดยี กนั กะครับ”

แถบอนิ เดยี เหนอื เมืองเลห์-ลาดักฮ์ (Leh-Ladakh) ใกลส้ นามบนิ เมืองศรนี คร (Srinagar) มาเรม่ิ กนั ด้วยสถานทแ่ี รกกันเลยนะครบั กับเมอื งเลหห์ รอื อีกชือ่ ว่าลาดักฮ์ อะเมืองนีม้ ี ความนา่ ท่องเท่ียวยังไงผมจะสารธายายใหฟ้ งั นะครับ เมืองน้นี ัน้ ต้งั อยทู่ างตอนเหนอื ของประ เทศอนิ เดียเปน็ เมืองในหบุ เขา ถกู ขนานนามวา่ “ทเิ บตน้อย”แห่งดนิ แดนชมพทู วปี นับเป็น เมอื งที่อยู่สูงทส่ี ุดเพราะตงั้ อย่บู นเขา ในช่วงฤดหู นาวราวเดอื นมกราคม-ปลายเดอื นกุมภาพันธ์ จะมหี มิ ะตก ในเมอื งดาลักฮน์ ้มี วี ัดพทุ ธนิกายมหายานต้ังอยู่ นอกจากนัน้ เมืองนย้ี ังเป็นสว่ น หนง่ึ ของชมุ ชนการค้าเส้นทางสายไหมทเี่ ช่อื มต่อระหวา่ งเอเชยี และยุโรป มีสถานทีท่ ่องเที่ยวที่ น่าสนใจ เชน่ พระราชวงั เก่า สต็อคพาเลซ (Stok Palace) วัดเฮมสิ -วดั ลามะนกิ ายหมวกแดง (Hemis Gompa) วัดธคิ เซย์-วดั ลามะนกิ ายหมวกเหลือง (Thiksey Gompa) ทะเลสาบ พันกอง (Pangong Lake) ทะเลสาบน้�ำ เค็มทอ่ี ยู่สงู ที่สุดในโลก และนบู รา้ วัลเลย์ (Nubra Valley) หบุ เขาทีเ่ ตม็ ไปดว้ ยดอกไมน้ านาพนั ธแุ์ ละเปน็ แหล่งปลกู แอพรคิ อตเลอื่ งช่ือ ฤดทู อ่ ง เทยี่ ว ระหว่างเดือนมกราคม-ปลายเดอื นกุมภาพันธเ์ พราะเมืองท่ีตั้งอยู่บนจดุ สงู สุดน้จี ะท�ำ ให้ เหน็ ทวิ ทัศน์ต่างๆอยา่ งงดงามสำ�หรับชา่ งภาพหรือนักทอ่ งเที่ยวทช่ี อบการถ่ายรูปก็น่าจะลอง ไปกันดูนะครับ 23



เมอื งเอกรา้ หรืออักรา (Agra) เมอื งนี้นะครับน่าเที่ยวอยา่ งไร เมอื งนค้ี ือทต่ี ง้ั ของ ปราสาทหนิ อ่อนอันสวยงามและเป็น 1 ใน 7 สิง่ มหัศจรรย์ของโลก “ทัชมาฮาล” (Taj Mahal)นน่ั เอง อกี ท้งั ยงั เป็นเมืองในตำ�นานความรกั นริ ันดรของกษัตรยิ ์ ชาหจ์ าฮันและพระมเหสีมุมทชั มาฮาล ในยคุ ศตวรรษที่ 16 เมอื งแหง่ น้ถี ือเปน็ เมืองท่รี งุ่ เรืองมากที่สดุ เมือง หน่ึง สถานที่ทอ่ งเทยี่ วน่าสนใจนอกจากทัชมาฮาลแลว้ กย็ ังมี ปอ้ มโบราณมรดกโลก ป้อมอกั รา (Agra Fort) และเขตพระราชฐานฟาเตหป์ รู ์สิคริ (Fatehpur Sikri) ฤดูท่องเทีย่ ว ระหว่างเดือนตลุ าคม-เดือนมีนาคม ทชั มาฮาล (Taj Mahal) คือปราสาทหนิ อ่อน ต้ังอยใู่ นเมอื งอคั รา รมิ ฝั่งแม่น้�ำ ยมุนาประเทศอินเดยี อกี ทั้ง ผคู้ นยังเชอ่ื ว่า ทชั มาฮาลคอื สสุ านหินออ่ นทีผ่ คู้ นเชือ่ วา่ เปน็ สถาปตั ยกรรมแหง่ ความรักทสี่ วยที่สดุ ในโลก ใน การสร้างทัชมาฮาลครั้งน้ัน ต้องใช้แรงงานและเงนิ เป็นจ�ำ นวนมาก จึงมกี ารเกณฑช์ า่ งฝมี ือแรงงานและมี การขดู รดี เกบ็ ภาษจี ากราษฎรเพ่อื เอาเงินมาใช้ในการก่อสร้างอย่างมากมาย ช่างฝมี อื จ�ำ นวนมากทแ่ี กะสลัก หินตอ้ งตาบอดเน่อื งจากต้องท�ำ งานกลางแดดจัดเป็นเวลานาน คนงานจ�ำ นวนมากตอ้ งล้มตายลงเพราะ ท�ำ งานหนักและถูกบังคบั ทารุณให้ท�ำ งานไม่มีหยดุ ครั้นสรา้ งทัชมาฮาลสำ�เร็จลง พระเจ้าชาห์ชาฮนั ก็ส่ังให้ฆา่ สถาปนิกผ้อู อกแบบทนั ที เพอื่ ป้องกันไม่ให้ไปสร้างสง่ิ ก่อสรา้ งสวยงามอ่นื มาเป็นค่แู ขง่ กบั ทชั มาฮาลอีกต่อไป ทัชมาฮาลมีประตทู างเข้าขนาดใหญ่ ท�ำ ดว้ ยหินทรายสแี ดง ขอบประตทู างเข้าท้ังดา้ นนอกและดา้ นในมตี วั อักษรจากภาษาโกรานจารึกไว้ ตัวหนงั สือเหลา่ น้ีเปน็ บทสวดมนตอ์ ันศกั ด์ิสิทธ์ิ ผจู้ ารึกได้ค�ำ นวณขนาดของ ตัวอักษรท่ีขอบประตใู ห้มคี วามสงู ตา่ งกันเพ่ือทำ�ใหผ้ ู้อ่านไม่วา่ จะยนื อยูม่ มุ ใดก็สามารถมองเห็นตวั อักษรเหล่า นี้ มีขนาดเท่ากนั และเหน็ ไดช้ ดั เจน ส่วนดา้ นหลงั ทชั มาฮาลตดิ กบั แม่น้ำ�ยุมนา ดา้ นหน้ามสี นามหญ้าและลาน อทุ ยานที่มบี รเิ วณกว้างขวางจึงท�ำ ใหท้ ชั มาฮาลดโู ดดเด่น ดา้ นหนา้ มถี นนตรงไปสูต่ ัวอาคารประมาณ 4 ทาง เมอื่ มองในระยะไกลเหมอื นกบั ถนนนเี้ ป็นแนวรศั มีของทัชมาฮาล ถนนเทพืน้ ดว้ ยคอนกรตี และคั่นดว้ ยสนาม หญ้า มีพุ่มไม้จำ�พวกไมส้ นปลกู เรียงรายกันเป็นแถวตลอดแนว ระหว่างตรงกลางมสี ระนำ�้ ซึ่งมีหัวท�ำ ท่องเปน็ น้ำ�พุเรียงรายตลอดแนว สว่ นตอนหน้าเปน็ น้ำ�พุขนาดใหญ่อย่ใู นสระทีถ่ นนทุกสายมาเชือ่ มถงึ กนั เมือ่ เขา้ ไปในตัวอาคารของทัชมาฮาล จะเห็นการแกะสลักลวดลายประดับเปน็ ลายดอกไม้นานาชนิด ผนงั หอ้ งและพ้ืนหอ้ งมกี ารตกแตง่ โดยใชห้ ินสีชนดิ ต่างๆ ตัดและเจยี ระไนเป็นชิน้ เล็กๆ ทำ�เป็นรปู กลบี ดอกไม้ ก้าน ดอก ใบไม้ แล้วฝงั ลงในเนื้อหินอ่อนทลี ะชนิ้ ๆ ไลโ่ ทนสีของหินจากสีออ่ นไปยังสีแก่ ลวดลายประดับนัน้ ดอู อ่ น ช้อยราวกบั ภาพท่จี ติ รกรวาดเป็นลายเสน้ ดว้ ยมือทีเดียว หินเหล่านีเ้ มื่อถูกแสงไฟกระทบจะเกดิ การสะทอ้ น แสงและสีออกมาสวยงาม ภายในอาคารทัชมาฮาล ตรงกลางมีหบี พระศพจำ�ลองของพระนางมุมตาสกบั หบี พระศพของพระเจ้าชาห์ชาฮนั วางคกู่ ัน (หบี พระศพจรงิ อย่ใู นห้องลกึ ลงไปดา้ นล่างประมาณ 10 เมตร) รอบๆ มีฉากกนั้ ทง้ั สี่ดา้ น ตวั ฉากกน้ั เป็นหินอ่อนฉลลุ วดลายเครือไม้และไมด้ อกทีง่ ามวจิ ติ รโปร่งตา ภายในห้องโถง ใหญ่มีแสงสว่างสอ่ งจากภายนอกเขา้ ไปไดต้ ามชอ่ งแสงทต่ี ิดกระจกสไี ว้ เวลาพูดคุยกนั จะมีเสยี งสะทอ้ นดงั กอ้ ง มาก 25



เมอื งศรนี ครหรอื ศรนี าคา (Srinagar) ดนิ แดนแห่งทะเลสาบและสายน้�ำ เป็นอกี เป็นอีกเมืองทีต่ งั้ ในหุบเขา มคี วามสวยงามตาม ธรรมชาติ มีสวนดอกไม้มากมาย เชน่ สวนโมกุล (Mughal Gardens) สวนชาลิมาร์ (Shali- mar) สวนนิชาท (Nishat) และสวนแคชเมียร์ (Chashmashahi) สถานทท่ี อ่ งเท่ยี วทนี่ า่ สนใจของเมอื งคือ ทะเลสาบดาล (Dal Lake)ทะเลสาบทม่ี คี วามงดงามตามธรรมชาติ แหลง่ ท่องเทยี่ วส�ำ คญั ที่มสี ถานทท่ี อ่ งเทยี่ วขน้ึ ชือ่ เชน่ บ้านเรือนในทะเลสาบดาล ตลาดผกั ลอยน้�ำ ทอ้ งทุ่งแหง่ ทองค�ำ -โซนามาร์ค (Sonsmarg) ซึง่ ในช่วงฤดหู นาวจะมีธารน�้ำ แข็งทส่ี ามารถ เขา้ ไปชมได้ นอกจากน้ันยงั เป็นจุดตัง้ แคมป์เดินป่ายอดนิยมอีกด้วย และนเี่ องทำ�ใหช้ ่วงฤดู รอ้ น นกั ท่องเทยี่ วมักจะเยอื นเมืองแห่งนีเ้ พอ่ื มาชมสง่ิ ทง่ี ดงามอย่างสวนดอกไม้และเทยี่ วตลาด ผกั ลอยนำ้� อกี ทง้ั ยังท�ำ ใหน้ ักท่องเท่ียวร้สู กึ ผ่อนคลายไปกับธรรมชาตอิ กี ด้วย สวนชาลิมาร์ (Shalimar) สวนดอกไม้ฤดูร้อนของจักรพรรดจิ าฮนั ฮรี ์ (Jehangir)หนง่ึ ใน สวนโมกลุ อันลอื ช่อื ของเมอื ง ขึ้นชอื่ เรอ่ื งการจดั แตง่ สวนทส่ี วยงาม สวนนิชาท (Nishat) อกี หนง่ึ สวนโมกุลขนาดใหญ่ท่คี วรไปชม ต้ังอยไู่ มไ่ กลจากทะเลสาบ ดาล ขึน้ ช่ือเร่ืองมีต้นเมเปลิ โบราณทม่ี ีอายุมากกว่า 400 ปี สวนของดอกไมส้ มุนไพรหายาก ลานน�้ำ พุสวยงาม และเทอเรซดอกไมอ้ นั อลังการ สวนดอกทวิ ลปิ อนิ ธริ า คานธี (Indira Gandhi Tulip Garden) สวนดอกทวิ ลิปริมเขา ขนาดใหญ่ที่มีทิวแถวดอกทิวลปิ ไกลสดุ ลกุ หูลูกตา ในช่วงฤดูใบไมผ้ ล-ิ ร้อนจะมีงานเทศกาลชม ทิวลปิ ประจำ�ปที จี่ ดั ขน้ึ ราว 7 วนั ทวิ ลปิ ที่นี่มมี ากกวา่ 70 สายพันธใ์ุ นจำ�นวนรวมกนั กวา่ ลา้ น ต้น พิพิธภณั ฑศ์ รีประทบั สิงห์ (Sri Pratap Singh Museum) พพิ ธิ ภัณฑป์ ระวตั ศิ าสตร์และ วัฒนธรรมท่สี ร้างขน้ึ ในปีค.ศ. 1898 จดั แสดงโบราณวัตถุ เครอื่ งปัน้ ดนิ เผา เคร่อื งถว้ ยชาม ท่ี มอี ายเุ กา่ แกไ่ ปถงึ ศตวรรษท่ี 4 และรปู ป้ัน-รปู หล่อของเทพเจา้ และพระพุทธเจ้าเกา่ แก่ รวมไป ถึงเหรยี ญกษาปณ์ งานแกะสลัก ภาพวาด และศาสนวตั ถลุ ้�ำ คา่ 27



เมืองชัยปรุ ะ (Jaipur) ชัยปรุ ะ (จัยปรู ์ หรอื จัยเปอร)์ เปน็ เมืองหลวงและเมอื งทใ่ี หญ่ที่สดุ ของรฐั ราชสถาน ตง้ั อยู่ บริเวณสามเหลยี่ มทองค�ำ ดา้ นการทอ่ งเท่ยี วของประเทศอินเดีย (Golden Triangle Tourist Circuit) รว่ มกบั เมืองเดลแี ละเมืองอัครา มปี ระชากรหนาแนน่ เป็นอนั ดบั 10 ของประเทศ ชยั ปุระมีชือ่ เรยี กเล่นๆ ว่า ‘นครสีชมพู (Pink city)’ เนื่องจากในช่วงปี ค.ศ. 1876 มหาราชราม สงิ ห์ (Maharaja Ram Singh) กษตั รยิ แ์ หง่ เมืองชัยปรุ ะได้รบั สัง่ ใหช้ าวเมือง ทาสีชมพทู ับปูนเก่าของบ้านตนเอง เพื่อเป็นการตอ้ นรบั การมาเยอื นของเจา้ ชายแหง่ เวลส์ (Prince of Wales) ถอื เป็นเมืองทอ่ งเท่ยี วยอดนิยมของรัฐ มที ั้ง พระราชวงั ซิตีพ้ าเลส (City Palace) พระราชวังที่เป็นท่ีประทบั ของกษัตริยแ์ ห่งชยั ปรุ ะ เปน็ สถาปัตยกรรมผสมระหว่างราชปตุ และโมกุล ปจั จบุ ันยังเปดิ ใหเ้ ข้าชมเป็นพิพิธภณั ฑ์สะ หวายมาน สงิ ห์ (Sawai Man Singh Museum) อีกดว้ ย พระราชวังฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) หรอื พระราชวังแห่งสายลม เป็นต�ำ หนกั หนึง่ ภายในพระราชวงั ซติ ีพ้ าเลส มีความโดดเดน่ คอื หน้าบันทาดว้ ยสีชมพู และมกี ารแกะสลกั เปน็ หนา้ ตา่ งขนาดเลก็ คลา้ ยช่องลม เพอ่ื ใหน้ างในวงั มองเหน็ ข้างนอกไดโ้ ดยไมโ่ ดนมองเห็น ป้อมนาฮาการ์ (Nahargarh Fort) หรอื ป้อมเสือ (Tiger Fort) กอ่ สร้างในปี ค.ศ.​1734 เพ่ือปอ้ งกันเมืองจากการโจมตีของขา้ ศกึ มีขนาดใหญ่มองเหน็ ได้จากใจกลางเมอื ง หอดูดาวจนั ตาร์ มนั ตาร์ (Jantar Mantar) หอดูดาวทมี่ เี ครอื่ งมอื ทางดาราศาสตรท์ ่คี รบ ครนั ที่สุดของสมยั หนง่ึ ในอดตี ไดร้ บั การข้ึนทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ปอ้ มแอมแมร์(Amer Fort) หรอื ปอ้ มแอมเบอร์ (Amber Fort) ต้ังอยู่ทเ่ี มอื งแอมแมร์ (Amer) ซึง่ อยูห่ ่างจากชยั ปุระประมาณ 11 กโิ ลเมตร เป็นพระราชวังหลวงในอดตี ของชยั ปุ ระ ตง้ั โดดเดน่ อยบู่ นหน้าผาหิน มีขนาดใหญม่ ากมองเหน็ ได้จากระยะไกล เป็นสถาปตั ยกรรม ผสมระหวา่ งฮนิ ดูและราชปุต ปอ้ มชัยคฤห์ (Jaigarh Fort) หรอื ป้อมจยั การห์ ตง้ั อยูใ่ กล้ปอ้ มแอมแมร์ สร้างขึ้นเพอื่ ปกป้องปอ้ มแอมแมร์และสว่ นพระราชวงั แอมแมรซ์ ่งึ ตงั้ อยดู่ ้านล่าง ตัวปอ้ มสรา้ งจากหนิ ทราย สแี ดง (Red Sandstone) พระราชวังจาล มาฮาล (Jal Mahal) เป็นพระราชวงั กลางนำ้� ต้ังอยู่กลางทะเลสาบมนั สกา (Man Sagar) มีลักษณะเป็นอาคาร 5 ช้นั เมือ่ ทะเลสาบมนี ้�ำ ขึ้นสูงสดุ จะเหน็ ได้เพยี งชั้นบน สุดเท่านั้น สรา้ งจากหินทรายสแี ดง มีความสวยงามมาก รมั บกั ห์พาเลซ (Rambagh Palace) อดีตเปน็ พระราชวังของกษัตริย์เมอื งชยั ปรุ ะ ปัจจุบนั ไดร้ ับการดัดแปลงเป็นโรงแรมซง่ึ มีราคาแพงทีส่ ดุ ของเมือง 29

อนสุ รณส์ ถานมหาราชาแห่งชัยปุระ (Royal Gaitor) โครงสร้างเป็นหินออ่ นแกะสลัก มี โดมแบบฮินดใู ช้ศิลปะสไตล์ราชปตุ สร้างขน้ึ เพอ่ื เป็นท่ีระลึกสถานทที่ เ่ี ปน็ ท่ีถวายเพลงิ ศพของ มหาราชาแหง่ ชยั ปุระ ตลาดจันปาธ (Janpath) ยา่ นถนนชอปปิง้ ท่ีมชี อ่ื เสยี งมากทส่ี ดุ แห่งหนงึ่ ของอนิ เดีย มี ของให้เลอื กมากมายหลากหลาย 30



เมืองเดลี (Delhi) เปน็ เมอื งทอ่ งเทย่ี วส�ำ คญั และเมอื งหลวงเกา่ แก่ทีม่ คี วามเปน็ มานานกว่าหา้ พนั ปกี อ่ น ครสิ ตกาล เมืองนม้ี สี ถานที่ทอ่ งเทย่ี วทนี่ า่ สนใจมากมาย เช่น ซากมัสยิดโบราณเฟอรอซอาบัด (Ferozabad) อาคารสถาปตั ยกรรมโบราณ สรา้ งขึน้ เมอื่ ปี ค.ศ. 1325 เพ่ือเป็นที่ฝงั ศพของ นกั บุญในอดตี (Sheikh Nizamuddin Aulia) ป้อมตกุ กะลาบัด (Tughluqabad) ป้อมแดง (The Red Fort) ทเ่ี คยเปน็ เขตวังเก่า พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ สสุ านกษตั ริยโ์ บราณหุมา ยนุ (Humayun’s Tomb) และมสั ยิดจามา (Jama Masjid) นิวเดลีถือเปน็ ประตสู ่ปู ระเทศ อนิ เดียและมีบางสง่ิ ส�ำ หรบั ทกุ คนท่ีปรารถนาจะไดส้ มั ผสั กับวฒั นธรรมและวถิ ชี ีวติ ของชาว อินเดยี การผสมผสานกันอย่างลงตัวและเต็มไปด้วยสีสนั ของอดีตกับปัจจบุ นั ซึ่งจะทำ�ใหค้ ุณ เบิกบานใจไปกบั การเทีย่ วชมสถาปตั ยกรรมโบราณท่นี า่ ทึง่ และพพิ ธิ ภัณฑ์ที่นา่ สนใจหลาย แหง่ การค้นพบทางโบราณคดีทำ�ให้ทราบวา่ เมอื งเดลมี ีมาตั้งแต่ 1000 ปกี อ่ นคริสตศักราช อกี ทง้ั พบซากปรกั หกั พงั ของเมืองโบราณเจ็ดแหง่ บริเวณโดยรอบเมอื งหลวงแหง่ นี้ ขณะท่อง เท่ยี วคุณสามารถเลือกพกั ในโรงแรมชนั้ นำ�และเลือกลม้ิ รสจากร้านอาหารต่างๆ ทม่ี ีพร้อมให้ บรกิ าร หรือเดินเลอื กซ้ือสินค้าทแี่ หล่งช้อปป้ิงอย่างคอนนอตเพลส (Connaught Place) และตลาด เชน่ ตลาดเดลฮี าท ไมว่ ่าคุณจะเปน็ นกั ท่องเที่ยวแบ็คแพค็ หรือนักท่องเท่ยี วระดบั หา้ ดาวกต็ าม ท่ีนิวเดลีมบี างสิง่ บางอย่างส�ำ หรบั คุณเสมอ จากศตวรรษท่ี 12 ถงึ 19 เมอื งเด ลีเก่าถูกปกครองโดยผนู้ �ำ มุสลิม เห็นไดจ้ ากส่ิงปลูกสร้างมากมาย ได้แก่ มัสยดิ ป้อมปราการ และอนสุ รณส์ ถานทางประวตั ิศาสตรท์ ี่มีอยูท่ ่วั ไป ในขณะที่อีกดา้ นหน่งึ นวิ เดลมี ีสถาปตั ยกรรม รูปแบบองั กฤษ ทท่ี ันสมยั เนือ่ งจากเปน็ เมืองทใี่ หญท่ ีส่ ุดของอินเดยี จงึ มกี ารคมนาคมทสี่ ะดวก และสามารถเชือ่ มไปยังส่วนอนื่ ๆ ของประเทศ ตลอดจนสถานทีท่ ่องเท่ยี วท่แี ปลกตาและนา่ สนใจอกี มากมายในเมอื งนี้ และอยู่ไมไ่ กลจากเมอื งอกั รา สถานทีต่ ัง้ ของทัชมาฮาลทโี่ ดง่ ดัง ใน ฐานะท่ีนิวเดลีเป็นเมืองหลวงของอนิ เดยี และเป็นจดุ หมายปลายทางส�ำ หรบั การพกั ผอ่ นหย่อน ใจของนกั ท่องเทีย่ ว จึงเปน็ เมอื งทน่ี กั ธรุ กจิ และนักการทตู ทว่ั โลกเข้ามาเย่ียมชมโดยตลอด เน่ืองจากนิวเดลมี ีบทบาทส�ำ คัญในการต้อนรบั นักทอ่ งเที่ยวไปยงั เมืองต่างๆ ของประเทศ ที่นี่ จงึ มีโรงแรมระดับคุณภาพหลายแหง่ ใหเ้ ลือกพักได้ อาทเิ ช่น โรงแรมในเครือระดับห้าดาว The Oberoi และ The Taj หรือท่พี ักราคาประหยัดสำ�หรับผู้ทมี่ ีงบประมาณที่แตกต่างกัน สว่ น ทพ่ี กั ราคาปานกลางมีใหบ้ รกิ ารค่อนขา้ งนอ้ ย ด้วยเหตนุ ้คี ุณจะพบวา่ หอ้ งพกั ระดบั ธรรมดามัก จะถกู จองจนเต็มเสมอ ดงั น้ันหากคณุ เลอื กโรงแรมทตี่ ้องการ ควรทำ�การส�ำ รองห้องพกั ทนั ที เพือ่ จองสิทธไิ์ ว้ 32



เมืองบงั กาลอร์ (Bangalore) เมอื งบังกาลอร์ (Bangalore)เป็นเมืองเเห่งเทคโนโลยแี ละการศกึ ษาอกี ทงั้ ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางของอุตสาหกรรมของประเทศและยงั เปน็ เมืองทใ่ี หญ่ปน็ อนั ดบั 5 ของอนิ เดีย ถงึ แม้เมอื งน้จี ะมคี วามเจรญิ มากและมีประชากรหนาแน่น แต่เมืองนีก้ เ็ ปน็ เมืองสีเขียวจนได้ชอ่ื วา่ เป็น “การ์เดน้ ท์ ซติ ี้” (Garden City) บงั กาลอร์มสี ถานท่ีทอ่ งเท่ียวน่าสนใจ เช่น สวน พฤกษศาตร์ลา โบกฮ์ (Lal Baugh) ทท่ี �ำ การของสภานติ ิบัญญตั ิ (Vidhana Soudha) อาคารสถาปตั ยกรรมนีโอดาวีเดยี น (Neo Dravidian) อันสวยงาม พระราชวังบงั กาลอร์ (Bangalore Palace) สวนคับบอน (Cubbon Park) วดั ววั (Bull Temple) ป้อมปราการ ของสุลตา่ นทปิ ู (The Fort and Tipu Sultan’s Palace) และหอดดู าวจาวาฮาลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru Planetarium)เป็นต้น สวนพฤกษศาตรล์ า โบกฮ์ (Lal Baugh) สวนกลางเมอื งขนาดใหญ่ เปน็ ที่จดั งานชมดอกไม้ ประจำ�ปใี นเดือนมกราคมและสิงหาคม ทีท่ �ำ การของสภานติ ิบญั ญตั ิ (Vidhana Soudha) อาคารสถาปัตยกรรมนีโอดาวเี ดียน (Neo Dravidian) อนั สวยงาม พระราชวังบงั กาลอร์ (Bangalore Palace) พระราชวงั สไตล์องั กฤษโบราณอายุกวา่ 100 ปี สวนคบั บอน (Cubbon Park) สวนขนาดใหญ่กลางเมือง ภายในมีสถานที่ทอ่ งเทย่ี ว มากมาย วัดววั (Bull Temple) วัดท่สี ร้างข้ึนเพ่อื บูชาววั ของพระศวิ ะ เป็นวดั ศักดิส์ ิทธ์ิประจ�ำ เมือง ป้อมปราการของสลุ ตา่ นทปิ ู (The Fort and Tipu Sultan’s Palace) วังสลุ ตา่ นเก่าท่มี ี งานสถาปัตยกรรมสวยงาม หอดูดาวจาวาฮาลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru Planetarium) หอดดู าวขนาดใหญ่ เป็นท่ใี ห้ความรทู้ างดาราศาสตร์ชน้ั เยีย่ ม พพิ ิธภัณฑไ์ มซอร์ (Mysore Government Museum) หนงึ่ ในพพิ ิธภัณฑ์ที่เกา่ แก่ทีส่ ุด ของประเทศ จดั แสดงสิง่ ของหายาก วัดพระศวิ ะ (Siva Temple) วดั ทีม่ ีรูปป้ันขนาดใหญ่ของพระศิวะ พิพิธภณั ฑศ์ ิลปะโบราณแหง่ กรณาฏกะ (Karnataka Chitrakala Parishath) จดั แสดง งานศิลปะไมเซอรแ์ ละงานศิลปะพ้ืนบ้านโบราณของประเทศในแถบเอเชยี อน่ื ๆ 34



เมอื งกวั (Goa) เมอื งกวั (Goa) เปน็ รัฐท่ีเล็กที่สดุ ของประเทศอินเดีย เปน็ เมืองการค้าและเมอื งท่าสำ�คญั ของประเทศอนิ เดยี เขตการปกครองแบง่ ออกเปน็ 2 เขต อีกท้ังยัง เป็นเมอื งตากอากาศ ส�ำ คญั ของประเทศ เนอื่ งจากเคยเปน็ เมืองขนึ้ ของโปรตุเกสยาวานถงึ 450 ปี จงึ ทำ�ให้เมอื งน้ี มศี ิลปวัฒนธรรมผสมของอนิ เดยี และโปรตเุ กสตามสถานทีต่ ่างๆ ในเมอื งมากมาย เนื่องจาก เปน็ รัฐทเี่ ลก็ ทสี่ ุด การไปเทีย่ วกัวจึงสามารถเทย่ี วได้ทัง้ รฐั โดยกัวมีเมืองหลวงอย่ทู ่ปี านาจี (Panaji) และมเี ขตเมืองเกา่ กวั (Goa Old Town) สถานทีท่ อ่ งเที่ยวจะกระจดั กระจายอยู่ ตามเขตต่างๆ มสี ถานทนี่ า่ ทอ่ งเทย่ี วดงั นี้ เมืองปานาจี (Panaji) เขตเมอื งหลวงของกัว มีสถานท่ีทอ่ งเที่ยวมากมาย หาดอนั จนู ่า (Anjuna Beach) หาดยอดนยิ ม มรี ้านค้าร้านอาหารและแหล่งทอ่ งเท่ยี วทาง ประวัติศาสตร์ หาดชาปอร่า (Chapora Beach) ชายหาดยอดนยิ มอีกแหง่ ของกัว หาดโคลวา (Colva Beach) แหล่งท่ีพักริมทะเลยอดนยิ ม ขึน้ ชือ่ เรือ่ งชายหาดสวยงาม น้�ำ ทะเลใส หาดพาโลเลม็ (Palolem Beach) ขนึ้ ช่อื เร่ืองทิวมะพร้าวสวยงามรมิ หาดและจดุ ชม พระอาทติ ยข์ ้ึนและลง นำ�้ ตกดตั ซาการ์ (DudhSagar Waterfall)นำ�้ ตกสงู รว่ ม 306 เมตร เปน็ น�ำ้ ตกที่มนี ำ�้ มาก ทส่ี ุดของประเทศ ตวั เมอื งเกา่ กวั (Old Goa) เขตเมืองเกา่ ทีม่ ีอาคารสถาปตั ยกรรมโบราณมากมาย เซนต์แคทเธอรนี แห่งอเลก็ ซานเดีย (St. Catherine of Alexandria) อาคารทีเ่ ก่าแก่ท่สี ดุ ของเมือง วัดฮินดูซานต้าดรู ก้า (ShantaDurga Temple) วดั ฮินดขู นาดใหญ่ มสี วนรม่ รน่ื และการ ออกแบบรปู โดมทสี่ วยงาม ป้อมปราการชาปอรา่ (Chapora Fort) ปอ้ มปราการเกา่ ประจำ�เมือง 36



38

ป้อมปราการโกลคอนด้า (Golconda Fort) ถือไดว้ า่ เปน็ ปอ้ มปราการทมี่ ีช่ือเสียงแห่งหนึ่ง ของประเทศอนิ เดีย ซงึ่ ยังคงปรากฏกลิ่นอายของความย่ิงใหญ่ของอาณาจักรโกลคอนด้าใน อดตี ปอ้ มปราการโกลคอนดา้ แห่งนถี้ กู สร้างขึ้นในสมยั ราชวงศข์ ะขัตติยาสแหง่ อาณาจกั รวา รงั คลั (Kakatiyas of Warangal) ราวปีพทุ ธศักราชท่ี 1686 ซง่ึ หากย้อนเวลากลบั ไปในยคุ สมยั นน้ั โกลคอนดา้ เคยเป็นเมืองหลวงของรัฐอสิ ระ “เทลังคณา” ซึ่งสร้างขึ้นโดยดินเหนยี ว เปน็ วัสดุหลัก หลังจากอาณาจักรเทลังคณาเข้าสยู่ คุ เสอื่ มสลาย โกลคอนดา้ ไดถ้ ูกเปลยี่ นเปน็ เมอื งท่ีอย่ภู ายใต้การปกครองของอาณาจักรพาหามณี ซงึ่ กล่าวได้ว่าเมืองแหง่ นีเ้ ข้าถงึ ภาวะ ตกต�่ำ แต่อยา่ งไรก็ตามโกลคอนดา้ กลบั มาเจรญิ รงุ่ เรอื งอีกคร้งั หนึง่ ในปพี ุทธศกั ราชท่ี 2050 ในรชั สมยั สลุ ตา่ นคทุ ุพ ชาห์ฮี และมกี ารปรบั แบบแปลนของป้อมปราการแห่งน้ี โดยมกี าร แบง่ เขตของสถานทีเ่ ปน็ 3 ส่วน ได้แก่ ชนั้ นอก ชัน้ กลาง และชั้นใน กอปรกบั การขยายอาณา บรเิ วณเพม่ิ ออกจากก�ำ แพงป้อมปราการเดมิ กวา่ 7 กโิ ลเมตร กอ่ นท่ปี อ้ มปราการแห่งนจี้ ะ ถกู ปลอ่ ยให้รกร้าง อีกทงั้ ปอ้ มนย้ี ังถูกขนานนามวา่ วา่ เปน็ “ป้อมปราการที่แข็งแกร่งท่ีสุด” เน่ืองจากสามารถยับย้ังการบกุ รุกของกองทพั โมกุลทน่ี า่ เกรงขาม ที่น�ำ ทพั โดย พระเจา้ ออรงั เซบ ไดย้ าวนานถงึ 8 เดือน หากไมม่ หี นอนบ่อนไส้ท�ำ ใหป้ ้อมปราการแห่งนีป้ ระสบความพ่าย แพใ้ นที่สุด นอกจากนีเ้ มอื งไฮราบดั ยังถูกขนานวา่ เป็นศูนย์กลางตลาดอัญมณีของท่ัวโลก 39



เมืองเชนไน (Chennai) เมอื งเชนไน (Chennai) เปน็ เมอื งทใี่ หญ่อนั ดับ 4 ของประเทศ เป็นเมอื งเอกของรฐั ทมิฬ นาฑแู ละเป็นเป็นศนู ย์กลางการบรหิ ารของรฐั นี้ เป็นแหลง่ ผลิตรถยนต์ เทคโนโลยี อปุ กรณ์ คอมพวิ เตอร์ และอาหารเพื่อสขุ ภาพ เป็นแหล่งบริการเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Call Centre) อนั ดบั ที่ 3 ของประเทศอีกท้งั ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางนาฏศิลปช์ น้ั สูงของอนิ เดยี เปน็ เมืองทจ่ี ัดงาน ดนตรรี ะดับประเทศและกิจกรรมทางวฒั นธรรมงานใหญๆ่ เป็นแหลง่ ผลิตภาพยนตร์ภาษา ทมิฬ คอลลีวูด (Kollywood)และยงั มสี ถานท่ีท่องเท่ยี วอยา่ งเชน่ -วัดเจา้ แมล่ ักษมีกาปาลชี วา (Kapaleeshwar Temple) วัดทส่ี รา้ งขึน้ ตง้ั แตศ่ ตวรรษท่ี 8 โดดเดน่ ด้วยรปู ปั้นต่างๆ -โบสถ์เซนตโ์ ธมสั (Santhome Church) โบสถ์ที่เปน็ ทีฝ่ งั ศพของสาวกของพระเยซูทม่ี อี ยู่ เพยี งแค่ 3 แห่งในโลก -แหลง่ ผา้ ทอกัญจปี รุ ัม (Kanchipuram) แหล่งผ้าทอชัน้ ดีเลื่องช่อื ของเมือง -เทวาลยั ไกรลาสนาถ สถานทป่ี ระกอบพธิ กี รรมทางศาสนาอายุกว่า 1200 ปี -วัดวรทะราชาเปรุมาล (Varadaraja Perumal Temple) วัดโบราณเกา่ แก่ -มารนิ ่า บชี (Marina Beach) หาดชายชื่อดังท่มี คี วามยาวถงึ 12 กโิ ลเมตร -โบสถเ์ ซนต์แมรี่ (St. Mary’s Church) โบสถเ์ ก่าแกท่ ีส่ ดุ ขององั กฤษท่ยี งั หลงเหลืออยู่ใน เมือง -มัสยิดใหญ่ (Big Mosque) มสั ยิดเกา่ แก่ขนาดใหญ่ทม่ี ีสถาปัตยกรรมสวยงาม -พิพิธภณั ฑข์ องรัฐ (Government Museum) พพิ ิธภณั ฑข์ นาดใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ยอดนิยม -ท้องฟา้ จ�ำ ลองเบอร์ลา (The Birla Planetarium) หอดดู าวทท่ี นั สมัยที่สุดของอินเดีย ในแต่ละสถานท่ีก็จะมคี วามแตกตา่ งกันออกไปไม่วา่ จะเป็นการตกแต่ง ความสวยงาม หรือ สภาพแวดลอ้ มใกลเ้ คยี ง 41



เมืองมุมไบ (Mumbai) เมอื งมมุ ไบ (Mumbai)หรอื หรอื บอมเบย์ (Bombay) ในอดีต มฐี านะเป็นเมอื งหลวง ของรฐั มหาราษฏระ ตัง้ อยูท่ างตะวันตกของประเทศอนิ เดยี ซง่ึ ครัง้ หน่งึ เคยเปน็ หมเู่ กาะ 7 เกาะ ทแ่ี ยกออกจากแผ่นดนิ กอ่ นจะเชื่อมตอ่ กนั เมือ่ รอ่ งน้�ำ ล�ำ คลองตน้ื เขนิ และกลายเป็น แหลมยน่ื ออกไปใน ทะเลยาว 22 กโิ ลเมตร อยา่ งในปจั จุบนั แมผ้ ่านช่วงเวลาของการตก เปน็ อาณานิคมมานานแล้ว แตเ่ สน่ห์ของความเป็นตะวันตกยังคงหลงเหลือให้เราได้สัมผัสอยู่ ตลอดเส้นทางใน เมืองมุมไบ ตึกรามบา้ นชอ่ ง และอาคารส�ำ คัญๆขนาดใหญ่ กอ่ สรา้ งดว้ ย สถาปตั ยกรรมแบบโกธคิ ยงั มีใหเ้ หน็ มากมาย และขอ้ ดีนา่ เที่ยวของเมืองมุมไบ มคี ำ�ตอบให้ พวกเราได้ติดตามกนั กับเมอื งมุมไบ อดีตหนึ่งในเมอื งอาณานิคมอังกฤษ ทย่ี งั คงหลงเหลอื ศิลปวัฒธรรมทางสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ทร่ี อตอ้ นรับนักทอ่ งเทยี่ วให้ไปเยอื นสกั คร้งั เรา มาเร่มิ ต้นกันท่ี “สถานีรถไฟวคิ ตอเรียเทอมินาส”หรือในชอื่ อนิ เดียใหม่วา่ “ฉตั รปตี ศิวาจีเท อมนิ าส” ทไี่ ดร้ บั การตัง้ ช่ือตามพระนามพระราชนิ วี คิ ตอเรยี กอ่ สร้างขน้ึ ด้วยสถาปตั ยกรรม แบบวิคตอเรยี โกธคิ ผสมผสานกับงานศลิ ปะแบบอนิ เดีย อันทรงคณุ ค่าจนไดร้ บั การขึ้น ทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ยงั คงตั้งโดดเดน่ เป็นที่สนใจของนักทอ่ งเทย่ี วชาว ต่างชาติท่ีแวะเวยี นมาชมไมเ่ วน้ วนั นอกจากนั้นยงั มี “อาคารทท่ี �ำ การรัฐบาล”ทมี่ คี วามสวย งามและยังมี “มหาวทิ ยาลยั มุมไบทีม่ ีหอนาฬกิ าขนาดใหญล่ ะมา้ ยคล้ายหอนาฬกิ าบกิ๊ เบนใน ประเทศ องั กฤษ” สูงสง่าอวดสายตาแขกตา่ งเมือง รวมถึงอาคารรา้ นคา้ และโบสถใ์ นคริสต์ ศาสนา 43



บรรณานกุ รม -เทศกาล holy (สบื คน้ ออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.baanjomyut.com/library_2/india_ festivals/01.html -เทศกาล navratri (สืบค้นออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=moti&group=1&month=10- 2013&date=13 -เทศกาลดวิ าลี (Diwali festival) (สืบคน้ ออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=moti&group=1&month=11- 2013&date=02 -เทศกาลปาคี (Palkhi festival) (สืบคน้ ออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.baanjomyut.com/library_2/india_festivals/04.html -เทศกาลโอนมั (Onam festival)(สืบค้นออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.baanjomyut.com/library_2/india_festivals/05.html -เทศกาลรกั คี (Rakee/ruksha festival) (สืบคน้ ออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.baanjomyut.com/library_2/india_festivals/06.html -เทศกาล พระคเณศวร ( Ganpati festival)(สบื คน้ ออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : https://learningpune.org/2014/08/28/ganesh-chaturthi-in-pune/ -เทศกาล ไหว้พระทพี่ ุทธคยา (สืบค้นออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.baanjomyut.com/library_2/india_festivals/08.html -เทศกาลปงกอล (Pongal festival)(สืบค้นออนไลน์ 10 เม.ย 59 ) : http://www.baanjomyut.com/library_2/india_festivals/09.html -สถานทที่ องเท่ยี วในประเทศอินเดยี (สบื ค้นออนไลน์ 19 เม.ย 59) : http://www.skyscanner.co.th/news/ไปเยือนถ่ินกำ�เนิดโรต-ี แดนชมพทู วปี อนิ เดยี กับ 10 เมอื งสุดฮิตจากเหนือจรดใต้

อินเดียดนิ แดนชมพทู วบี จะมีอะไรน่าสนใจ ลองเข้ามาอา่ นดสู ิ แล้วคณุ จะร้วู า่ มอี ะไรมากกวา่ ทคี่ ุณคิด คณุ อาจจะชอบมนั ก็ไดเ้ ข้า มาอา่ นกันเลย สสี นั อินเดีย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook