การวจิ ัยในชน้ั เรยี น เร่อื ง การศกึ ษาพฤตกิ รรมในการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละอินเทอรเ์ น็ต นักเรยี นระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563 นางสาวมะลิวัลย์ ศักดิเ์ จริญชัยกลุ ตาแหน่งครู โรงเรียนบ้านทุ่งกราด อาเภอบางละมุง จังหวดั ชลบุรี สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาชลบุรี เขต 3
แบบประเมินงานวจิ ัยในชั้นเรยี น ช่ืองานวจิ ยั การศกึ ษาพฤติกรรมในการใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ น็ต นกั เรยี นระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ปกี ารศึกษา 2563 ชอ่ื ผ้วู ิจัย นางสาวมะลิวัลย์ ศกั ด์ิเจรญิ ชยั กุล กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ที่มาความสาคญั ของการวจิ ัย มี ไม่มี จดุ มงุ่ หมายของการวจิ ยั มี ไม่มี ออกแบบเก็บข้อมูล มี ไมม่ ี แปลผลและสรุปผล มี ไม่มี สรปุ เป็นรปู เลม่ มี ไม่มี ลงชอ่ื .....................................................หวั หน้างานวชิ าการ (นางสาวยุพิน ใจตรง) ความเห็นผูบ้ รหิ าร ............................................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ............. ลงชือ่ .....................................................ผู้อานวยการโรงเรยี น (นายวชั รนิ ทร์ ศรเี ปารยะ)
1. ชื่อเรื่อง........................................................................................................................... 2. ทมี่ าและความสาคญั ............................................................................................................................. ................. ................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ................. .................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................. .............................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................. 3. วตั ถุประสงค์ของการวิจยั ............................................................................................................................. ................. ............................................................................................................................. ................. 4. สมมตฐิ านของการวจิ ัย ............................................................................................................................. ................. ................................................................................................................. ............................. 5. ขอบเขตของการวจิ ัย 5.1 กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ช้ในวิจัย ............................................................................................................................. ................. 5.2 เน้อื หาที่ใช้ในการวิจยั ............................................................................................................................... ............... 5.3 ระยะเวลาในการวจิ ัย ............................................................................................................................. .................
6. วธิ ดี าเนินการวจิ ยั .......................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ................. .............................................................................................................................................. 7. ผลการวิจัย ............................................................................................................................. ................. ............................................................................................................................. ................. ................................................................................................................. ............................. ............................................................................................................................. ................. .............................................................................................................................................. 8. สรปุ ผลการวิจัย ............................................................................................................................. ................. ................................................................................................................. ............................. ............................................................................................................................. ................. ลงช่ือ.....................................................ผวู้ จิ ยั (..........................................) ตาแหน่ง.......................................................
ภาคผนวก
ก คำนำ การจัดทางานวิจัยในช้ันเรียน เร่ืองการศึกษาพฤติกรรมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ นต็ ของ นกั เรยี นระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านทุ่งกราด ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 มีวตั ถุประสงค์ เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ น็ตของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ซึ่งผลจากการ วิจัยในครั้งนี้จะได้นาไปประยุกต์ใช้กับกิจกรรมการเรียนการสอน ความต้องการของผู้เรียน รวมถึงสภาพ ปัญหาตา่ งๆ ได้เปน็ อย่างดี ผู้วิจัยขอขอบคุณ ท่านผู้อานวยการและคณะครูโรงเรียนบ้านทุ่งกราดทุกท่าน ที่ให้คาปรึกษา คาแนะนา ความรู้ด้านการวิจยั ในช้ันเรียน เพ่ือจัดทารายงานวิจัยฉบับน้ีให้สาเรจ็ ลุลว่ งไปด้วยดี มะลิวลั ย์ ศกั ดเิ์ จรญิ ชยั กุล ผวู้ จิ ยั
ข ช่ือผู้วจิ ยั : นางสาวมะลวิ ัลย์ ศกั ด์ิเจรญิ ชยั กลุ ช่ือเรอื่ ง : การศกึ ษาพฤติกรรมในการใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็ ของนักเรียน ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นบ้านทุ่งกราด ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 ปกี ำรศึกษำ : ภาคเรียนที่ 1/2563 บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเพื่อศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการใช้คอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เนต็ ของนักเรียนระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นบ้านทงุ่ กราด ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 กลุ่มตัวอยา่ งทใ่ี ช้คอื นักเรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นบ้านทงุ่ กราด ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 60 คน เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ แบบสอบถามการศึกษาพฤติกรรมในการใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละ อนิ เทอรเ์ นต็ ของนักเรียนระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านทุง่ กราด ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 ผลการวิจัยปรากฏว่า พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ในส่วนของสถานท่ีที่นักเรียนใช้บริการคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตพบว่า นักเรียนใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่โรงเรียนมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเทา่ กับ 3.50 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.89 แสดงว่านกั เรยี นมพี ฤตกิ รรมการใชบ้ รกิ ารอยใู่ นเกณฑร์ ะดับมาก ในส่วนของช่วงเวลาที่นักเรียนใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของโรงเรียน พบว่านักเรียน ใชบ้ รกิ ารคอมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เนต็ ในชว่ั โมงเรียนคอมพวิ เตอร์มากทสี่ ดุ มคี ่าเฉลี่ยเทา่ กบั 3.50 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.70 แสดงว่านักเรยี นมีพฤติกรรมการใชบ้ ริการอย่ใู นเกณฑ์ระดับมาก ในส่วนของบริการทางอินเทอร์เน็ตท่ีนักเรียนนิยมใช้ พบว่า นักเรียนใช้บริการเฟสบุ๊คมากท่ีสุด มี ค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.86 รองลงมาคือ เกมส์ออนไลน์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.65 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากบั 1.17 แสดงวา่ นักเรียนมีพฤติกรรมการใช้บรกิ ารอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก
ค สำรบัญ หน้ำ คำนำ ก บทคดั ย่อ ข บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาของการวจิ ยั 1 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1 ขอบเขตของการวิจัย 1 นิยามศพั ท์เฉพาะ 2 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 2 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง 3 เอกสารท่ีเกี่ยวข้อง 3 งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง 21 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินกำรวจิ ยั 23 ประชากร 23 กลมุ่ ตัวอย่าง 23 เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย 23 การรวบรวมขอ้ มลู 23 บทท่ี 4 ผลกำรวิจยั 24 ผลการวจิ ัย 24 บทที่ 5 สรุปและขอ้ เสนอแนะ 26 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 26 ประชากร 26 กลุม่ ตวั อย่าง 26 สรุปผลการวิจยั 26 ขอ้ เสนอแนะ 26 บรรณำนกุ รม 27 ภำคผนวก 28 แบบสอบถามการศึกษาพฤตกิ รรมในการใช้คอมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เน็ตของนักเรยี นระดับชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563
บทที่ 1 บทนำ ควำมเปน็ มำของกำรวิจัย การจดั การเรยี นการสอนรายวิชาคอมพิวเตอร์สาหรับนกั เรียนระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 มุ่งเน้นให้ นกั เรยี นสามารถใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอร์เน็ตเพอ่ื การฝึกทักษะการใช้งานและคน้ คว้าหาข้อมูลความรู้และ การติดต่อส่ือสารได้ เพราะคอมพิวเตอร์ (Computer) เปน็ อุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ทม่ี ีการเขยี นคาส่งั สงั่ ให้ ทางานตามที่กาหนดไว้เพ่ืออานวยความสะดวกและช่วยแบ่งเบาการทางานของเราให้มีความถูกต้องรวดเรว็ และ มีประสิทธภิ าพมากขึ้น คอมพวิ เตอร์และอินเตอร์เน็ตเปน็ เครอ่ื งมือสาคัญทีจ่ ะนาไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่ือให้เกิด ประโยชนใ์ นการเรยี นรายวิชาอน่ื ๆของนักเรยี นและนอกจากน้นั ยังนาไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ได้อีกด้วย เช่น ใช้สาหรบั ค้นคว้าข้อมลู แล้วจัดทารายงาน ใช้ในการพมิ พ์ การสร้างงานนาเสนอ การตกแต่งภาพ การตดั ตอ่ วดิ โี อ และส่งจดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ถึงเพอ่ื นๆ หรอื สื่อสารกบั ครูผสู้ อน หรอื ใช้สาหรับอา่ นข้อมลู ข่าวสาร จากหนังสอื พิมพ์ หรอื แหลง่ การเรียนรู้ออนไลน์ต่างๆที่สนใจ ปัจจบุ นั น้ีนักเรยี นมีความสะดวกสบายในการใช้ คอมพวิ เตอร์และอนิ เทอร์เนต็ มากขน้ึ เพราะสามารถหาใช้ได้จากท่ีบา้ น หรอื ไปใชบ้ ริการท่ีรา้ นอนิ เตอร์เน็ต หรอื ใช้บริการท่หี อ้ งปฏิบัติการคอมพวิ เตอร์ของโรงเรยี น ถงึ อย่างไรกต็ ามนักเรยี นแตล่ ะคนย่อมมวี ตั ถุประสงค์ใน การใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอร์เน็ตท่แี ตกต่างกนั ดังน้ันผู้วิจยั จึงมคี วามสนใจทจี่ ะศึกษาพฤติกรรมการใช้ คอมพิวเตอร์และอนิ เทอร์เน็ตของนักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นบา้ นทงุ่ กราด เพ่อื ทีจ่ ะได้ วางแผนและจัดการเรยี นการสอนเรอ่ื งการใช้คอมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ตไดเ้ หมาะสมกับความต้องการของ นักเรยี น แลว้ ก่อให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ วตั ถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย เพอื่ ศึกษาพฤตกิ รรมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เนต็ ของนักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนบ้านท่งุ กราด ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ขอบเขตของกำรวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นเน้ือหา ทาการวิจยั ในการศึกษาพฤติกรรมในการใชค้ อมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ต 2. ประชากรของการวิจัยครั้งนค้ี ือ นกั เรยี นระดบั ชน้ั ปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 118 คน 3. กลมุ่ ตัวอยา่ งคอื นักเรียนระดับช้ันปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 จานวน 60 คน 4. การวิจัยครง้ั นีด้ าเนินการในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563
2 นยิ ำมศัพทเ์ ฉพำะ พฤติกรรม(Behavior) หมายถงึ การแสดงและกริ ิยาท่าทางซ่ึงสงิ่ มีชวี ิต ระบบหรอื อตั ลักษณป์ ระดิษฐ์ ท่ีเกิด รว่ มกันกบั สงิ่ แวดล้อม ซึ่งรวมระบบอ่นื หรือส่งิ มีชีวติ โดยรวมเชน่ เดียวกบั สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพ พฤตกิ รรม เป็นการตอบสนองของระบบหรือสง่ิ มชี วี ิตต่อสง่ิ เร้าหรือการรบั เขา้ ทงั้ หลาย ไมว่ ่าจะเปน็ ภายในหรอื ภายนอก มี สตหิ รือไม่มสี ติระลึก ชดั เจนหรอื แอบแฝง และโดยตั้งใจหรอื ไม่ได้ต้ังใจ คอมพวิ เตอร์(Computer) หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกสท์ มี่ กี ารเขยี นคาส่งั ส่ังใหท้ างานตามที่กาหนดไว้เพ่ือ อานวยความสะดวกและชว่ ยแบง่ เบาการทางานของเราให้มีความถูกตอ้ งรวดเร็วและมปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ อินเทอร์เน็ต(Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาท่ีใช้ส่ือสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้ เครอื ขา่ ยนี้สามารถส่อื สารถงึ กันได้ในหลายๆทาง อาทิ อีเมลล์ เว็บบอรด์ และสามารถสืบคน้ ข้อมลู และขา่ วสาร ตา่ งๆ รวมท้ังคัดลอกแฟ้มขอ้ มูลและโปรแกรมมาใช้ได้ ประโยชนท์ ี่คำดว่ำจะได้รับ เพอ่ื นาผลการวิจยั ทไี่ ด้ไปใชใ้ นการวางแผนและจดั การเรยี นการสอนในเรื่องการใชค้ อมพิวเตอรแ์ ละ อินเทอร์เน็ตไดเ้ หมาะสมกับความตอ้ งการของนกั เรียน
3 บทที่ 2 เอกสำรและงำนวิจัยทเี่ ก่ยี วข้อง การศกึ ษาเอกสาร และงานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้องกับการวจิ ยั ครัง้ นี้ ผ้วู ิจัยไดศ้ ึกษารายละเอียดตา่ งๆ ดังน้ี เอกสำรท่ีเกีย่ วข้อง ความหมายของพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรม (Behavior) คอื กรยิ าอาการท่แี สดงออกหรือปฏิกิรยิ าโต้ตอบเม่ือเผชิญกับสง่ิ เรา้ (Stimulus) หรือ สถานการณต์ ่างๆ อาการแสดงออกตา่ งๆ เหล่าน้ัน อาจเป็นการเคลือ่ นไหวทีส่ ังเกตไดห้ รือวดั ได้ เช่น การเดิน การพดู การเขียน การคดิ การเตน้ ของหัวใจ เป็นต้น สว่ นสิ่งเรา้ ท่ีมากระทบแล้วกอ่ ให้เกิดพฤติกรรมก็อาจจะ เปน็ สง่ิ เรา้ ภายใน (Internal Stimulus) และสง่ิ เร้าภายนอก (External Stimulus) สง่ิ เร้าภายใน ได้แก่ ส่ิงเร้าทีเ่ กิดจากความต้องการทางกายภาพ เช่น ความหิว ความกระหาย ส่ิงเรา้ ภายในนจ้ี ะ มีอทิ ธิพลสูงสดุ ในการกระตุ้นเดก็ ใหแ้ สดงพฤติกรรม และเม่ือเดก็ เหล่าน้โี ตข้ึนในสงั คม สิ่งเรา้ ใจภายในจะลด ความสาคญั ลง ส่งิ เร้าภายนอกทางสังคมที่เด็กได้รับร้ใู นสังคมจะมอี ิทธิพลมากกวา่ ในการกาหนดวา่ บุคคลควร จะแสดงพฤติกรรมอย่างใดต่อผู้อ่ืน ส่งิ เร้าภายนอก ไดแ้ ก่ ส่ิงกระต้นุ ต่างๆ สง่ิ แวดล้อมทางสงั คมทีส่ ามารถ สัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง ๕ คือ หู ตา คอ จมูก การสัมผสั สิ่งเร้าทีม่ ีอิทธิพลท่ีจะจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรม ได้แก่ สงิ่ เร้าทท่ี าใหบ้ ุคคล เกิดความพงึ พอใจที่เรยี กว่า การเสรมิ แรง (Reinforcement) ซ่งึ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๒ ชนดิ คอื การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) คอื ส่งิ เรา้ ท่ีพอใจทาให้บุคคลมีการแสดง พฤตกิ รรมเพมิ่ ข้ึน เชน่ คาชมเชย การยอมรับของเพื่อน ส่วนการเสรมิ แรงทางลบ (Negative Reinforcement) คอื สง่ิ เรา้ ทไ่ี ม่พอใจหรือไม่พึงปรารถนานามาใช้เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาให้น้อยลง เช่น การลงโทษเดก็ เมือ่ ลักขโมย การปรบั เงนิ เมอ่ื ผูข้ ับขี่ยานพาหนะไม่ปฏิบัตติ ามกฎจราจร เป็นตน้ มนุษย์โดยท่ัวไปจะพึงพอใจกับการได้รบั การเสรมิ แรงทางบวกมากกว่าการเสรมิ แรงทางลบ วธิ ีการเสริมแรงทางบวก กระทาไดด้ ังนี้ 1. การให้อาหาร น้า เคร่ืองยังชพี เป็นต้น 2. การให้แรงเสรมิ ทางสังคม เชน่ การยอมรบั การยกย่อง การชมเชย ฯลฯ 3. การใหร้ างวัล คะแนน แต้ม ดาว เปน็ ต้น 4. การให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั ( Information Feedback ) เช่น การรับแจ้งวา่ พฤตกิ รรมท่กี ระทานั้นๆ เหมาะสม 5. การใช้พฤติกรรมทีช่ อบกระทามากทสี่ ดุ มาเสรมิ แรงพฤติกรรมทีช่ อบกระทานอ้ ยที่สุดเปน็ การวางเงอ่ื นไข เช่น เม่ือทาการบ้านเสร็จแลว้ จงึ อนุญาตให้ดทู วี ี เปน็ ตน้
4 องค์ประกอบพ้นื ฐำนของพฤติกรรม ปจั จัยพ้นื ฐำนดำ้ นชีวภำพ ในการจดั จาแนกสิ่งมีชวี ิตน้ัน แม้มนุษย์จะถูกจัดอยู่ใน อาณาจกั รของสัตว์ แตม่ นุษย์มีคณุ สมบัติทางชีวภาพ ท่มี ี ประสิทธิภาพ ในการทางานสูงกว่า สตั ว์อ่ืนๆ ทาใหส้ ามารถปรับตนเองให้สมดลุ กับสภาพแวดล้อม ได้โดยอาศยั พฤติกรรมหรือการกระทาของตวั เอง ปัจจัยด้านชีวภาพท่ีสาคัญของมนุษย์ประกอบดว้ ยพนั ธกุ รรมและระบบ การทางานของร่างกาย 1. พนั ธกุ รรม มผี เู้ สนอสมการว่า พฤติกรรม = พันธกุ รรม + สิ่งแวดล้อม + ระยะเวลา (จริ าภา เตรง็ ไตรรตั นแ์ ละคณะ, 2542) จากสมการนีแ้ สดงว่า พฤติกรรมมนษุ ย์ สว่ นหน่งึ ซ่งึ เป็นสว่ นใหญไ่ ดถ้ ูกกาหนดโดย พนั ธกุ รรม (Heredity) ซง่ึ หมายถงึ การถา่ ยทอดลักษณะของบรรพบุรุษ หรือตน้ ตระกูล มายงั รุ่นลูกหลานดว้ ยกระบวนการสืบพันธุ์ การ ถ่ายทอดนั้นกาหนดโดยสารพันธุกรรมท่ีเรยี กวา่ ยนี ส์ (Genes)ซงึ่ เรยี งตัวกนั อยู่ใน โครโมโซม (Chromosome) ภายในนิวเคลยี ส (Nucleus) ของเซลล์ จดุ เร่มิ ต้นของพันธุกรรมมาจากเซลปฏสิ นธิซึ่งเป็นการรวมตวั กัน ระหวา่ งไข่จาก แม่กับอสจุ จิ ากพ่อ ในเซลล์ ปฏสิ นธขิ องมนุษย์จะมีโครโมโซม ซึ่งมีโครงสร้างบิดเปน็ เกลยี ว เรียง ตวั กนั เปน็ คๆู่ รวม 23 คู่ ข้างหนงึ่ จะมาจากพ่อ และอกี ข้างหนง่ึ จะมาจากแม่ โครโมโซมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 22 คแู่ รก เรียกว่า ออโตโซม เป็นโครโมโซมที่ควบคุม ลกั ษณะและหน้าที่ของรา่ งกาย ทง้ั เพศชายและ เพศหญงิ จะเหมือนกนั คหู่ ลัง เรียกว่า โครโมโซมเพศ ประกอบดว้ ย x และ y โครโมโซมเพศชาย จะ ประกอบด้วย xy ส่วนโครโมโซมเพศหญิงประกอบด้วย xx โครโมโซมบรรจุดว้ ย สารพนั ธุกรรม เปน็ โมเลกลุ เชิงซ้อน เรยี กวา่ DNA (Deoxyribonucleic acid) ถือเป็น รหสั พันธุกรรม เพราะเปน็ ตวั ทค่ี วบคมุ ลกั ษณะทาง พนั ธุกรรม ของสิง่ มีชวี ติ ทเ่ี กดิ ใหม่ หน่วยทีถ่ า่ ยทอด ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม คือ ยีนส์ แต่ละลกั ษณะของคนเรา จะได้รบั อิทธพิ ลจากยีนสแ์ ต่ละชนดิ ซึ่งจบั ตัวกันเปน็ คู่ เม่อื ยนี ส์ทางาน เพื่อแสดงอทิ ธพิ ล ตอ่ ลักษณะของบุคคล ยีนส์ ตวั หน่งึ อาจจะข่มอีกตวั หน่งึ ด้วยหลักการนีเ้ อง ยนี ส์ จึงแบ่งเปน็ ยีนส์ขม่ และยนี สด์ อ้ ย โดยปรกตหิ าก ยนี สข์ ่ม และยนี ส์ด้อยมาจับคู่กนั ยีนส์ขม่ จะแสดงลักษณะออกมาให้เห็นในตัวบุคคล ยนี ส์ด้อย จะแสดงผลก็ ต่อ ยีนส์ทั้งคู่ เปน็ ยนี ส์ด้อยเท่านัน้ แต่การถ่ายทอดลักษณะ ดงั กล่าวคอ่ นข้างจะซบั ซ้อน เนือ่ งจากในโครโมโซม ของมนษุ ย์ ประกอบด้วย ยนี ส์ประมาณ 50,000 ยนี สจ์ ากพ่อหรือแม่แต่ละข้าง ในการปฏิสนธิ แตล่ ะคร้งั การ จบั คู่กนั ของยนี ส์จงึ มเี ปน็ สบิ ๆ ลา้ นแบบ โอกาสที่จะเกดิ ลักษณะใดๆจึงมีความเป็นไปไดจ้ านวนมาก สิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ประกอบด้วยลักษณะ ทางกาย เชน่ ความสงู ต่า ลกั ษณะเสน้ ผม สีของผวิ ชนดิ ของโลหิต เชาวนป์ ญั ญา ซ่งึ พบว่าระดับของเชาวน์ปัญญาจากกลมุ่ คนทมี่ ี ความสมั พนั ธก์ นั ทางยนี สจ์ ะคลา้ ยคลงึ กนั ความผิดปรกติทางจติ บางชนิด โดยเฉพาะจิตเภท อาการซึมเศร้าและ อาการทางประสาท แต่มิไดห้ มายความวา่ เล่ียงไม่ได้เป็น แตม่ ีแนวโน้มสงู กว่า คนทีม่ ิได้มีความสัมพนั ธก์ นั ทาง ยนี ส์เท่านั้น บุคลิกภาพบางประเภท เชน่ การหันเขา้ หาตนและการหนั ออกหา่ งตน ความเห็นใจและความ ห่วงใย เปน็ ตน้ 2. การทางานของระบบในร่างกาย ร่างกายของมนุษยป์ ระกอบด้วย อวัยวะในระบบตา่ งๆ หลายระบบทที่ างานประสานเกย่ี วข้องกัน เพื่อให้ชวี ติ ดารง อยูไ่ ด้อย่าง เหมาะสม หรอื รกั ษา ความสมดุลทางกายไว้ใหด้ ที สี่ ุด บางระบบอวัยวะรา่ งกาย จะทาหนา้ ที่
5 เพื่อให้มนุษย์มชี ีวิต เช่น การหายใจ การย่อยอาหาร การขับถ่ายเปน็ ตน้ แต่ บางระบบของร่างกาย เชื่อมโยงกับ กบั การคิด ความรู้สึก อารมณ์ การศึกษาระบบของรา่ งกายในท่ีนี้ จะได้จาแนกเปน็ ระบบประสาท สมอง ตอ่ ม ไรท้ อ่ และระบบกล้ามเน้ือ 2.1 การทางานของระบบประสาท (Nervous System) การศึกษาการทางานของระบบประสาท ทาใหเ้ ขา้ ใจระบบการทางาน ภายในรา่ งกายซึ่งทางานประสานกนั ได้ ภายใตก้ ารควบคุม และประสาน เช่ือมโยงของระบบประสาท เซลลป์ ระสาท จานวนเป็นพันล้านเซลล์ที่ กระจาย อยู่ตามอวัยวะต่างๆ และในสมองของมนุษย์ จะทางานโดยสง่ กระแสประสาทและสารเคมีเพือ่ ส่ือสาร ถึงกนั สารเคมนี เ้ี ป็น สารส่ือประสาท (Neurotransmitter) มีหน้าทถ่ี า่ ยทอดคาสง่ั ระหวา่ งจุดเชอ่ื ม ตอ่ ประสาท เพื่อให้อวยั วะท่เี ก่ียวข้องทางาน หรือหยดุ การทางาน การทางานของระบบประสาทแบ่งออกเปน็ 2 ระบบ คือ ระบบประสาทสว่ นกลาง (Central Nervous System) และ ระบบประสาทสว่ นนอก (Peripheral Nervous System) 2.1.1 ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบดว้ ย สมอง (Brain) และไขสนั หลงั (Spinal cord) สมอง เปน็ ศูนย์สั่งการ ควบคุมพฤติกรรมและประสานการกระทาตา่ งๆ ของมนุษย์ สมองประกอบดว้ ยเซลล์ ประสาทจานวนมาก ท่ีรวมตวั กนั อยู่ ในกะโหลกศีรษะ มีน้าหนกั ประมาณ 2% ของน้าหนักรา่ งกาย เป็น ศูนย์กลางการประมวลผลการสมั ผสั การรับรู้ การคดิ การจา การเข้าใจ ไขสันหลงั เปน็ เซลลป์ ระสาทที่อยู่ในโพรงกระดกู สนั หลงั เป็นส่วนเชื่อมตอ่ จากสมอง เป็นตัวกลางทเ่ี ช่อื ม สมั พนั ธ์ระหวา่ ง ประสาทส่วนนอก กับสมอง และเป็นศูนย์ควบคุมปฏิกริ ิยาสะทอ้ น (Reflexes) ตา่ งๆ ของ รา่ งกาย 2.1.2 ระบบประสาทส่วนนอก เป็นเซลล์ประสาทท่อี ยูน่ อกกระโหลกศรี ษะ และนอกกระดูกสนั หลัง ประกอบดว้ ย ปมประสาท (Ganglia) ซ่งึ เปน็ ที่รวมของตวั เซลล์ประสาท และใยประสาท ซึ่งทาหนา้ ที่รับสมั ผัส จากภายนอก และรับขา่ วสารคาสง่ั จากสมอง ถือเปน็ สว่ นท่ีตดิ ต่อ โดยตรงกับโลก หรือส่งิ แวดลอ้ มตา่ งๆ ระบบ ประสาทสว่ นนอก แบง่ เปน็ สองส่วน คอื ระบบประสาทโซมาตกิ (Somatic System) และระบบประสาท อตั โนมัติ (Autonomic System) ประสาทโซมาติก ทาหน้าทร่ี บั สัญญาณจากอวัยวะสัมผสั ต่าง ๆ สง่ รายงานไปยัง ประสาทส่วนกลาง และรบั การ ถา่ ยทอดคาสง่ั เกี่ยวกับ การเคลือ่ นไหว จากประสาทสว่ นกลาง สัง่ การ ไปยังกล้ามเน้ือลายให้ยืดหรือหดตวั ทา ใหเ้ กดิ การเคล่อื นไหวในสว่ นอวัยวะนั้น ๆ ตามความต้องการ ระบบประสาทโซมาตกิ ประกอบด้วยประสาท สมอง (Cranial Nerves) 12 คู่ และประสาทไขสันหลงั (Spinal Nerves) 31 คู่ ประสาทอัตโนมัติ เป็นระบบที่เชื่อมประสาทสว่ นกลาง กับอวัยวะทีท่ างานดว้ ยกล้ามเน้ือเรยี บ ทาหน้าทอ่ี ย่าง อิสระ นอกเหนอื การรบั ร้ขู องจิต ควบคุมการทางานของอวัยวะ ภายใน เช่น ต่อมไรท้ ่อ กลา้ มเนอ้ื หวั ใจ กลา้ มเนื้อเรียบ ของ ผนังอวัยวะภายใน และ เส้นเลือด ควบคมุ อัตรา การหายใจ การเต้นของหวั ใจ ความดัน เลือด การย่อยอาหาร อุณหภูมใิ นร่างกาย ระบบนีแ้ บ่งออกเป็น 2 ระบบย่อย คอื ประสาทซมิ พาเธตกิ (Sympathetic) มีหน้าท่เี พม่ิ พลงั งาน และ ความพร้อมให้รา่ งกายมี ความตนื่ ตัว ในสถานการณ์ฉุกเฉนิ เชน่ กลัว โกรธ เตรียมพร้อมจะตอ่ สู้หรือหนีภัย ประสาทพาราซิมพาเธตกิ (Parasympathetic) ทางานเพื่อประหยัด พลงั งาน ควบคุมรา่ งกาย ใหอ้ ยู่ใน สภาพปรกติ เม่ือร่างกายตื่นตัวมากเกนิ ไป ระบบน้ีจะค่อยๆ ลดระดบั ใหม้ าสู่
6 สภาพเดมิ ทัง้ สองระบบ จะทางานในทางตรงกันขา้ มกัน แต่ก็ช่วยเหลอื กัน ความรทู้ างประสาทวิทยา มี ความสาคญั สาหรบั การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ เนอ่ื งจากเป็น การศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่าง สมองกบั พฤติกรรมตา่ งๆ ท้ังที่เปน็ ปกติและผดิ ปกติ มีการศึกษาใน ด้านโครงสร้างของสมอง เพื่อทาความเขา้ ใจ พฤติกรรม ทเี่ ปน็ ผลกระทบทั้งโดย ทางตรงและทางอ้อม ปัจจัยพืน้ ฐานดา้ นจิตวิทยา ปัจจยั สาคญั อีกปจั จยั หน่ึงซ่ึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปจั จัยทางจติ วทิ ยา ซงึ่ มีปจั จยั ยอ่ ยอยหู่ ลาย ปัจจยั ปจั จัยทางจติ วิทยา จะทาหนา้ ที่ เปน็ สอ่ื กลางในการรบั รแู้ ละตีความสิง่ เรา้ ก่อนทรี่ ่างกายจะแสดง พฤติกรรมตา่ งๆ ปจั จยั ทางจิตวทิ ยาท่สี าคญั ประกอบดว้ ย แรงจงู ใจและ การเรียนรู้ 1. แรงจูงใจ 1.1 ความหมาย ประเภทและปจั จยั แรงผลกั ดนั จากภายในทีท่ าให้ให้มนุษยเ์ กิดพฤตกิ รรมตอบสนองอย่าง มที ิศทางและ เป้าหมาย เรียกว่า แรงจูงใจ คนที่มแี รงจงู ใจ ท่ีจะทา พฤตกิ รรมหน่ึงสูงกว่า จะใช้ความพยายามนา การกระทาไปสู่เป้าหมายสูง กวา่ คนท่ีมีแรงจูงใจต่ากว่า แรงจงู ใจของมนษุ ย์จาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทหลกั ประเภทแรก ได้แก่ แรงจงู ใจ ทางกาย ที่ทาให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมสนองความต้องการ ท่ีจาเป็นทางกาย เช่น หานา้ และอาหารมา ด่มื กิน เมอื่ กระหายและหวิ ประเภททีส่ อง ได้แก่ แรงจูงใจทางจติ ซงึ่ เกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางสังคม เช่น ความ ต้องการความสาเรจ็ เงนิ คาชมอานาจ กลุ่มและพวก เป็นต้น ปัจจยั ท่ที าใหเ้ กดิ แรงจงู ใจในมนษุ ย์ ประกอบด้วย 1.1.1 ปจั จัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความต้องการจาเปน็ ของชีวติ คือ อาหาร นา้ ความปลอดภยั 1.1.2 ปัจจยั ทางอารมณ์ เช่น ความตื่นเตน้ วติ กกังวล กลัว โกรธ รัก เกลยี ด และความรู้สึกอื่นใด ที่ให้คน มีพฤติกรรม ตั้งแต่เอื้อเฟอื้ เผื่อแผจ่ นถึง การฆา่ ผู้อืน่ 1.1.3 ปัจจัยทางความคิด เป็นปจั จยั ท่ีกาหนดใหบ้ ุคคลกระทาในเรือ่ งทค่ี ดิ ว่า เหมาะสมและเปน็ ไปได้ และตาม ความคาดหวังวา่ ผู้อนื่ จะสนองตอบ การกระทาของตนอย่างไร 1.1.4 ปัจจัยทางสังคม เปน็ ปัจจยั ท่ีกาหนดพฤติกรรมของมนษุ ย์ เพอื่ ใหส้ อดคล้องกบั สงั คม และเปน็ ท่ียอมรับ ของบุคคลในสงั คมนน้ั ดว้ ย การกระทาของผ้อู นื่ และผลกรรมที่ได้รับจงึ ทาให้เกิดการเรียนรูพ้ ฤติกรรมทางสงั คม ซึ่งเป็นไปกฎระเบยี บ และตัวแบบทางสังคม 1.2 ทฤษฎแี รงจูงใจ นักจติ วิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพ่อื อธบิ ายถึงแรงจงู ใจของมนุษย์ เพื่อตอบคาถามเกี่ยวกบั พฤตกิ รรมทป่ี รากฏ แต่ ละทฤษฎีมีจุดท่ีเป็น ความแนวคดิ เกีย่ วกับพฤติกรรมของมนษุ ย์ทแ่ี ตกต่างกันไป ทส่ี าคญั ได้แก่ ทฤษฎีสญั ชาติ ญาณ ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎกี ารตนื่ ตวั และทฤษฎสี ิ่งลอ่ ใจ 1.2.1 ทฤษฎีสัญชาติญาณ (Instinct Theory) สัญชาติญาณ เปน็ พฤติกรรมท่มี นษุ ย์ แสดงออกโดยอตั โนมัติ ตามธรรมชาติของชีวิต เป็นความพร้อม ทจี่ ะทา พฤติกรรม ได้ในทันที เมื่อปรากฏ สง่ิ เร้า เฉพาะต่อพฤติกรรมนนั้ สญั ชาติญาณ จงึ มีความสาคัญต่อ ความอยู่ รอด ของชีวติ ในสัตว์บางชนิด เชน่ ปลากดั ตวั ผูจ้ ะแสดงการกา้ วร้าว พร้อมต่อสู้ ทนั ทีทเ่ี หน็ ตัวผตู้ วั อืน่ สาหรับ ในมนษุ ย์สญั ชาติญาณอาจจะไมแ่ สดงออกมา อยา่ งชดั เจนในสัตวช์ ้ันต่า แตบ่ คุ คลสามารถรู้สกึ ได้ เช่น ความ ใกลช้ ดิ ระหว่างชายหญิงทาให้เกิดความต้องการทางเพศได้พฤติกรรมนไ้ี ม่ตอ้ งเรยี นรู้เป็นรูปแบบพฤตกิ รรมที่
7 ตายตวั แนน่ อน ซึง่ กาหนดมาตามธรรมชาตจิ ากปจั จัยทางชีวภาพ ในปัจจบุ ันการศึกษา สัญชาตญาณ เปน็ เพียง ตอ้ งการ ศึกษา ลกั ษณะ การตอบสนอง ข้ันพนื้ ฐาน เพื่อความเข้าใจ พฤติกรรม เบอื้ งต้นเทา่ น้นั 1.2.2 ทฤษฎีแรงขับ (Drive Reduction Theory) แรงขบั (Drive) เป็นกลไกภายในท่ีรกั ษาระบบทางสรีระ ใหค้ งสภาพสมดลุ ในเร่ืองต่างๆ ไว้ เพอ่ื ทาให้ รา่ งกาย เป็นปกตหิ รอื อย่ใู นสภาพ โฮมิโอสแตซสิ (Homeostasis) โดยการปรับระบบให้เข้ากบั การเปลีย่ นแปลงที่ เกดิ ข้นึ ทฤษฎแี รงขับอธิบายว่า เมือ่ เสียสมดุลในระบบ โฮมิโอสแตซสิ จะทาให้เกดิ ความต้องการ (Need) ข้นึ เปน็ ความตอ้ งการทางชวี ภาพเพอ่ื รักษาความคงอยู่ของชวี ิต และความต้องการนี้ จะทาให้เกิด แรงขับ อีกต่อ หนึ่ง แรงขบั เปน็ สภาวะต่นื ตัว ทีพ่ รอ้ มจะทาอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กลับคนื ส่สู ภาพสมดุลเพ่ือลดแรงขับนน้ั (Drive Reduction) ตวั อยา่ งเช่น การขาดนา้ ในร่างกาย จะทาให้เสยี สมดลุ ทางเคมี ในเลือด เกิดความต้องการ เพิม่ น้า ในร่างกาย แรงขับ ท่เี กิดจากต้องการนา้ คือ ความกระหาย จูงใจให้เราดื่มนา้ หรอื หานา้ มาด่ืม หลงั จาก ดื่มสม ความต้องการแล้ว แรงขบั กล็ ดลง กลา่ วไดว้ า่ แรงขับผลกั ดันให้คนเรามีพฤติกรรม ตอบสนอง ความ ตอ้ งการ เพ่ือทาให้ แรงขับ ลดลงสาหรับทร่ี ่างกาย จะได้กลบั สู่ สภาพสมดุล อกี ครัง้ หนึ่ง แรงขบั แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) และ แรงขับทุติยภมู ิ (Secondary Drive) แรงขบั ท่ีเกิดจาก ความตอ้ งการพ้ืนฐานทางชีวภาพ เชน่ ความตอ้ งการอาหาร นา้ ความต้องการและ แรงขับประเภทน้ี เกิดข้ึนเองโดยไม่ต้องเรียนรู้ เป็นแรงขบั ประเภทปฐมภมู ิ ส่วนแรงขบั ทุติยภมู ิ เป็นแรงขบั ท่ี เกดิ ข้ึนจากการเรียนรู้ แรงขบั ประเภทน้ี เมื่อเกิดแลว้ จะจูงใจคนใหก้ ระทาส่งิ ตา่ งๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการ อยา่ งไมม่ วี ันสน้ิ สดุ เช่น คนเรียนรวู้ า่ เงนิ มีความสมั พันธเ์ ชื่อมโยงกับการสนองความต้องการอาหาร ท่ีอยู่อาศัย และอนื่ ๆ อีกมาก การไมม่ เี งิน จงึ เปน็ แรงขบั ทตุ ิยภมู สิ ามารถจงู ใจใหค้ นกระทาพฤติกรรมต่างๆ เพื่อให้ได้เงนิ มา ตั้งแต่การทางานหนัก จนถึงการทา สิง่ ทีผ่ ิดกฎหมาย เชน่ การปลน้ ธนาคาร 1.2.3 ทฤษฎีการต่ืนตัว (Arousal Theory) มนษุ ยถ์ ูกจงู ใจให้กระทาพฤติกรรมบางอยา่ ง เพ่ือรักษาระดับการตืน่ ตวั ท่ีพอเหมาะ (Optimal level of arousal) เม่อื มีระดบั การต่ืนตัวตา่ ลง ก็จะถูกกระตุน้ ให้เพ่ิมขึ้น และเม่อื การตนื่ ตวั มีระดับสงู เกนิ ไปกจ็ ะถูกดงึ ให้ ลดลง เชน่ เมอื่ รูส้ กึ เบ่ือคน จะแสวงหาการกระทาทต่ี ืน่ เตน้ เมือ่ ตืน่ เตน้ เรา้ ใจมานานระยะหนึ่ง จะต้องการ พกั ผ่อน เป็นต้น คนแต่ละคนจะมรี ะดับการตื่นตวั ที่พอเหมาะแตกตา่ งกนั การตนื่ ตวั คือ ระดบั การทางานท่เี กดิ ขึน้ ในหลายๆ ระบบของรา่ งกาย สามารถวัดระดับการทางานน้ีได้จากคลน่ื สมอง การเตน้ ของหวั ใจ การเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือจากสภาวะของอวยั วะต่างๆ ขณะที่หลบั สนทิ ระดบั การ ตนื่ ตัวจะต่าท่สี ดุ และสงู สดุ เมื่อตกใจหรือตน่ื เต้นสุดขีด การตน่ื ตวั เพม่ิ ข้นึ ได้จากความหวิ กระหายนา้ หรือแรง ขบั ทางชีวภาพอื่นๆหรอื จากสิ่งเรา้ ที่เขม้ ขน้ รุนแรง เหตุการณ์ไม่คาดหวงั ไว้ก่อน หรอื จากสารกระต้นุ ในกาแฟ และยาบางชนิด การทางานจะทม่ี ีประสิทธิภาพสูง เมื่อมีระดบั การตืน่ ตัวปานกลาง ระดบั การตน่ื ตวั ทส่ี ูงเกินไป จะรบกวนความใส่ใจ การรบั รู้ การคิด สมาธิ กล้ามเนื้อทางานประสานกนั ไดย้ าก เมือ่ ระดับการตนื่ ตวั ต่า คนเรา ทางานทีย่ ากและมรี ายละเอียดได้ดี แต่ถา้ เป็นงานท่งี า่ ยจะทาไดด้ ีเมือ่ ระดับ การต่นื ตัวสงู คนทมี่ รี ะดับการ ตนื่ ตวั สงู เปน็ นสิ ยั มกั สบู บหุ ร่ี ดื่มสุรา กินอาหารรสจดั ฟังดนตรเี สียงดงั มีความถ่ีเร่อื งเพศสัมพนั ธ์ ชอบการ เสี่ยงและลองเรื่องใหม่ๆ ส่วนคนท่ีมีระดับการตืน่ ตัวตา่ เปน็ ปกติ มักมีพฤติกรรมที่ไม่เร้าใจมากนกั ไมช่ อบการ
8 เส่ียง ความแตกต่างในระดับพอเหมาะของการต่ืนตัว เกดิ จากพ้นื ฐานทางชีวภาพเป็นเรอ่ื งหลกั และทาให้มี บุคลิกภาพแตกต่างกนั ไปดว้ ย 1.2.4 ทฤษฎีสงิ่ จงู ใจ (Incentive Theory) ปจั จยั ภายนอกหรือสิง่ แวดล้อมท่จี ูงใจจะดงึ ดูดให้คนม่งุ ไปหาสงิ่ นั้น มนษุ ย์กระทากิจกรรมตา่ ง ๆ เพื่อแสวงหา สิ่งทีพ่ อใจ (Positive Incentives) เช่น รางวลั คายกย่อง สิทธพิ ิเศษ และหลีกเล่ยี งส่งิ ที่ไม่พอใจ (Negative Incentives) เชน่ ถูกลงโทษ ถกู ตาหนิ ทาใหเ้ จ็บกาย การทค่ี นมี พฤตกิ รรมแตกต่างกนั หรือพฤติกรรม เปล่ียนแปลงไป ข้นึ อยูก่ ับความแตกตา่ งในคุณค่า (Values) ของสิ่งจูงใจ ถ้าคดิ ว่าการกระทาอย่างใด อย่างหน่งึ จะได้รับผลคุ้มคา่ ก็จะมีแรงจงู ใจให้บคุ คลกระทาอยา่ งน้ัน ปจั จยั พ้นื ฐานดา้ นสงั คมวทิ ยา พ้ืนฐานทางชวี วิทยาหรือทางประสาทวทิ ยา เน้นที่พฤติกรรมของเอกัตบุคคล คือ พฤติกรรม ของคนคนหนึ่ง ท่ี ไม่สัมพันธ์กับผอู้ น่ื แต่มนุษยเ์ ปน็ สัตวส์ งั คม มีความต้องการอยู่รว่ มกบั ผอู้ ืน่ และบางกรณีกจ็ าเป็น ต้องอยู่ รวมกัน เป็นกลุ่ม เปน็ ชมุ ชน เปน็ สังคม กระบวนการของกลมุ่ กระบวนการ ทางสงั คม และสิ่งแวดล้อม หรือ วฒั นธรรม จึงมสี ว่ นสาคัญใน การกาหนดลักษณะ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ให้เป็นไปตามสภาพของสังคมได้ 1. อิทธิพลของส่งิ แวดล้อม บรอนเฟนเบนเนอร์ (Bronfenbrener cited by Sigelman & Shaffer, 1995, 86) ให้คานิยามของ สิง่ แวดล้อม ไว้ดงั นี้ \"ส่ิงแวดล้อมได้แกเ่ หตุการณห์ รือสภาวะใดๆ ท่ีอยู่นอกอินทรยี ์ท่ีมีผลตอ่ หรอื ได้รบั ผลจาก การกระทา และ พัฒนาการของมนุษย\"์ ส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ คอื ทุกสง่ิ ตงั้ แตโ่ มเลกุลเลก็ ๆ ทส่ี ามารถซึมสู่ กระแสเลือด ของตัวอ่อน ในครรภ์ จนถงึ รปู แบบ สถาปัตยกรรม ของอาคาร ที่อยู่อาศยั เม่ือเตบิ โตขึ้น และ สภาวะแวดล้อมโดยรอบ สิง่ แวดลอ้ มทางสังคม จะหมายถงึ คนอ่ืนๆ ทุกคนท่ีมสี ่วนเกีย่ วข้อง กับตวั เรา และ ไดร้ ับ อทิ ธิพล บางอยา่ งจาก ตัวเรา ดว้ ย บรอนเฟนเบนเนอร์ ไดเ้ สนอแนวคิดในการเข้าใจความสัมพันธร์ ะหวา่ งพฤติกรรมของมนุษยก์ ับส่ิงแวดล้อมไว้ เรยี กว่า Ecological Approach ในแนวคดิ นไ้ี ด้แบง่ สิ่งแวดล้อมออกเป็นระบบต่อเนื่องกัน แตล่ ะระบบ มี ปฏิสมั พนั ธ์ กบั บคุ คลและ มปี ฏิสัมพนั ธ์ตอ่ กันดว้ ย ดังนี้ 1.1 ระบบจุลภาค เป็นสง่ิ แวดลอ้ มท่ีใกล้ชดิ กบั ตวั ท่สี ดุ และใหป้ ระสบการณโ์ ดยตรง หนว่ ยแรกท่สี ดุ คือ ครอบครัว ท่ีพอ่ แม่และลูก มีปฏิสัมพนั ธ์กนั นอกจากน้ียงั มีหนว่ ยอ่นื อกี เช่น ครอบครวั ของญาติ ศนู ย์เลย้ี งดแู ล เดก็ หอ้ งเรียน ท่โี รงเรียน เป็นต้น ในแต่ละระบบจลุ ภาคนี้พฤติกรรมของเด็กจะกระทบต่อคนอ่นื ๆ ซ่ึงเขา เหลา่ นั้น จะส่งผลกระทบต่อเด็กในรปู ใหม่ได้แมแ้ ตท่ ารกในครรภ์กอ็ าจมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมของมารดา แล้ว สง่ ผล ยอ้ นกลบั ต่อ อนาคตของทารกได้ ส่งิ แวดล้อมใดที่คนทุกคนในนั้น สามารถมีปฏสิ ัมพันธ์ตอ่ กนั ได้ท่วั ถงึ จดั เป็นระบบจลุ ภาค 1.2 ระบบปฏสิ ัมพันธ์ เปน็ ระบบส่งิ แวดล้อมท่ีเชื่อมโยงระบบจลุ ภาคตา่ งๆ ใหส้ มั พนั ธ์กนั เช่น ความสัมพนั ธ์ ระหว่าง ญาติพ่นี ้อง ระหวา่ ง ครอบครัวและโรงเรียน เด็กที่มีปญั หาที่บา้ นจะไปสร้างปัญหาทโี่ รงเรยี น เดก็ จาก ครอบครัวอุน่ มกั จะเป็นเด็กเรียบรอ้ ย ทีโ่ รงเรียน เปน็ ต้น 1.3 ระบบภายนอก เป็นสภาพทางสงั คมที่คนเราไมไ่ ด้รบั ประสบการณโ์ ดยตรง แต่มผี ลกระทบต่อพฤติกรรม หรอื พฒั นาการของบคุ คลได้ เชน่ ทกั ษะทางสังคม ความสาเรจ็ ในหน้าท่ีการงานของพ่อแม่ มีสว่ นใน การจดั
9 ประสบการณ์ที่เหมาะสมให้ลูกได้มากหรือน้อยหรือนโยบายของรฐั บาล ข้อกาหนด และเครอื ข่ายทางสังคม ระหว่างกลมุ่ คน เป็นสง่ิ แวดล้อมประเภทนี้ 1.4 ระบบมหภาค คือ ระบบใหญท่ ่ีสุดของสังคม ซ่ึงเปน็ ทรี่ วมทกุ ระบบท่กี ลา่ วมาให้เกี่ยวเน่ืองกนั เป็น วฒั นธรรมใหญ่ และ วัฒนธรรมย่อยของสงั คม วัฒนธรรมเปน็ การปฏิบตั แิ ละแนวดาเนินชีวิต ซึ่งยอมรับกนั ใน สงั คม และ สืบทอดจาก คนรุ่นหนง่ึ ไปยังอีกรุน่ หน่งึ ได้แก่ ทัศนะเกยี่ วกับ ธรรมชาตขิ องมนุษยใ์ นแต่ละวยั วา่ ควรสอนอะไรให้เดก็ เพื่อทาหนา้ ทใี่ นสังคม เมื่อเตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ควรมี ความรับผิดชอบอยา่ งไรบ้าง แต่ วฒั นธรรมกม็ กี ารพัฒนา ไปตามกาลเวลา มเี หตกุ ารณ์สาคัญใน ประวตั ศิ าสตร์ของสังคม เชน่ ภาวะสงคราม สภาพเศรษฐกจิ ภัยพิบตั ิ จากธรรมชาติ การเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยี เราไม่ สามารถสรปุ ได้ว่า คนในสงั คม เดียวกัน จะมีพฤติกรรม เหมือนกนั หมด เพราะคนทเี่ กดิ และมผี ่าน ประสบการณต์ ่างยุคสมยั กันจะไดร้ ับ อทิ ธิพลจากสิง่ แวดล้อม ระดับมหภาคทแ่ี ตกต่างกัน 1.5 ระบบเหตกุ ารณแ์ วดลอ้ ม เป็นระบบทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั รูปแบบของสง่ิ แวดล้อมและ การเปลีย่ นไปของ ส่งิ แวดล้อม ตลอดชว่ งชีวติ ของบุคคล และรวมถึงเหตกุ ารณซ์ ่งึ เป็น ประวัติของบุคคล ผู้นน้ั ดว้ ย เช่น อิทธพิ ล ของการหย่ารา้ ง ท่ีมตี อ่ เด็ก ซึ่งนักวิจยั พบว่า การหย่ารา้ งน้ันจะเกดิ ผล ทางลบมากทสี่ ุดต่อเด็กในปีแรก มีผลต่อ เด็กชาย มากกวา่ เด็กหญงิ แต่หลังจากการหยา่ ไปแลว้ ประมาณ 2 ปี เด็กจะเรม่ิ ปรับตวั ได้ (Bronfenbrener cited by Santrock, 1996) ระบบของสิ่งแวดลอ้ มทเี่ สนอโดย บรอนเฟนเบนเนอร์ แต่ละระบบมสี ่วนสรา้ ง พฤติกรรม ของบุคคล และอาจถูกเปลย่ี นแปลงได้จากคนในระบบน้ันๆ ด้วย มนษุ ยท์ ี่พฒั นาหรอื เตบิ โตมาจาก ส่งิ แวดลอ้ มทีแ่ ตกต่างกันย่อมมพี ฤติกรรมและลักษณะนิสยั ที่แตกต่างกนั ไปด้วย 2. กระบวนการสงั คมประกิต กระบวนการสังคมประกิต (Socialization) เปน็ กระบวนการที่สถาบันตา่ งๆ ในสังคมได้ กลอ่ มเกลา อบรมหรือ ให้การเรียนรแู้ ก่สมาชิกในสงั คมวา่ อะไรควรทา อะไรเปน็ ข้อหา้ ม ทาให้เกดิ ปทสั ถาน ระเบยี บ และวัฒนธรรม ของกลุม่ ท่ีทุกคนต้องคานึงถึงในการเป็นสมาชิกท่ีดขี องสงั คมนน้ั สถาบนั ทางสงั คมที่สาคัญได้แก่ สถาบนั ครอบครัว สถาบนั การศึกษา สถาบันศาสนา สถาบัน การปกครอง เพ่ือนและส่ือมวลชน เปน็ ต้น ในกระบวนการสงั คมประกิต ครอบครวั เป็นสถาบันแรกทางสงั คมท่ีอบรมบุคคล ดา้ นเจตคติ แบบพฤตกิ รรม วฒั นธรรม ระเบยี บแบบแผนทางสงั คมที่เป็นอยใู่ นขณะน้นั พ่อแมใ่ หก้ ารอบรมเลี้ยงดแู ก่ลูกแบบใดมีผลต่อ พฤติกรรมและนสิ ัยของเดก็ เมื่อเติบโตขนึ้ วิธีการอบรมเล้ยี งดขู องพ่อแม่พจิ ารณาไดจ้ ากสองมิติ คือ ความรัก- ความชงิ ชัง และ การให้อสิ ระ-การเข้มงวด จึงมีพ่อแม่ทรี่ กั ลูก พอ่ แม่ท่ี ชงิ ชังลูก พ่อแม่ที่ให้อสิ ระแก่ลูก และพ่อ แมท่ ีเ่ ข้มงวดกับลูก เมอื่ นาสองมติ ินีม้ าประกอบกันจะได้ แบบพนื้ ฐานการเลีย้ งดลู ูกส่แี บบ ได้แก่ ให้ความรักแต่ เขม้ งวด ให้ความรักและความอสิ ระ ชงิ ชงั และเข้มงวด ชงิ ชงั และปลอ่ ยอิสระ ในมิติแรกเรื่อง ความรกั -ความชิงชัง เป็นที่ยอมรบั กันวา่ เด็กซง่ึ เกิดในครอบครวั ท่ีพอ่ แมใ่ ห้ความรักความอบอุ่น จะไดร้ บั ประสบการณท์ สี่ ่งเสริมพฒั นาการในด้านต่างๆ และปรับตวั ในสงั คมไดด้ ี ส่วนในมิติ ความเข้มงวด-การ ให้อสิ ระ ยงั ต้องมีการพจิ ารณาวา่ พอ่ แมค่ วรเข้มงวดหรือให้ความอิสระและลูกในระดบั ใดจึงเหมาะสม บอมรินด์ (Baumrind, 1991 อา้ งถงึ ในวนิ ยั เพชรช่วยและคณะ, 2543) เสนอไว้ 3 แบบ ดงั น้ี
10 2.1 แบบเขม้ งวด เปน็ แบบการเลย้ี งดทู ีเ่ ข้มงวดกับลกู สูงมาก ต้งั กฎเกณฑ์และระเบยี บ มากมาย และคาดหวัง วา่ ต้องไดร้ บั การปฏบิ ัติตามทุกอยา่ งโดยไมต่ ้องทราบเหตุผล พ่อแม่แบบนีจ้ ะไม่อธบิ ายเหตผุ ลในกฎเหล่านน้ั ดว้ ย หากไม่ทาตามจะใช้อานาจบงั คบั ลงโทษทางกายหรือด้วยวิธตี า่ งๆ 2.2 แบบยึดหยุน่ ในเกณฑ์ เป็นแบบการเลย้ี งดูทย่ี ดื หย่นุ ได้ ใหล้ ูกมีอสิ ระตามสมควร กาหนดกฎระเบยี บที่ ชดั เจนและอธบิ ายเหตผุ ลว่าทาไมต้องเข้มงวด ตอบสนองความตอ้ งการและรับฟงั ความคิดเหน็ ของลูก แต่ลกู ยงั ต้องปฏบิ ัตติ ามกฎท่ีกาหนดไว้ 2.3 แบบผอ่ นปรน เป็นแบบการเลยี้ งดูทผ่ี ่อนคลายมาก พ่อแมไ่ ม่ตง้ั กฎเกณฑ์หรือคาดหวังในลกู มากนัก ปล่อย ให้ลูกแสดงอารมณ์และการกระทาตามตอ้ งการได้ ไม่เข้มงวดหรอื ควบคมุ พฤติกรรมของลกู ใหอ้ สิ ระในตัวลูก คอ่ นข้างมาก การเลยี้ งดูแบบยดึ หยนุ่ ในเกณฑ์ ถ้าประกอบดว้ ยความรักความอบอนุ่ จากพอ่ แม่ จะเป็นแบบการ เลี้ยงดลู กู ท่ีส่งผลใหเ้ ด็กเตบิ เป็นสมาชิกทด่ี ใี นสังคม แสดงพฤติกรรมท่มี ีเหตผุ ล มีนสิ ยั เอ้ือเฟือ้ เผื่อแผ่ รว่ มมือ กับผูอ้ ื่น เคารพกตกิ า และมวี ินัยในตนเอง ส่วนการเลยี้ งดูแบบเขม้ งวด ถ้าหากประกอบด้วยความชิงชัง ทาให้ เดก็ ทเ่ี ติบโตขึ้นเป็นพวกต่อตา้ นสังคมชอบกอ่ เหตุรนุ แรง 3. อิทธิพลของกลุ่ม กลุม่ เปน็ การรวมตัวกนั ของบุคคล เพ่ือทากิจกรรมรว่ มกนั โดยมีวตั ถุประสงค์เฉพาะอย่างใดอยา่ งหนง่ึ มขี นาด แตกตา่ งกนั คนคนหน่ึงอาจเป็น สมาชิกของกลมุ่ หลายกลุ่ม ในขณะเดยี ว พฤติกรรม ของเขา ในฐานะสมาชิก ของกลุ่มต้องสอดคล้อง กับลักษณะของกลมุ่ นั้น กลุม่ ทุกกลุ่มย่อม มีคณุ ลกั ษณะเฉพาะของตนเอง ลกั ษณะท่ี สาคญั ได้แก่ บทบาท (Roles) ปทสั ถาน (Norms) สถานะภาพ (Status) 3.1 บทบาท เป็นพฤติกรรมท่ีคาดหวังต่อสมาชิก อาจกาหนดไว้ชัดเจนเปน็ บนั ทกึ อยา่ งเปิดเผยว่า สมาชิกคน ไหน ควรมีบทบาทอยา่ งไร แมจ้ ะไม่ครอบคลมุ ทกุ อยา่ ง แต่เป็นกรอบสาคัญใหส้ มาชิกในกล่มุ ไดป้ ฏบิ ัติ ในกรณี ทีบ่ คุ คลหนง่ึ เป็นสมาชิกของหลายกล่มุ ท่ีมี บทบาท ขัดแย้งกนั อาจทาให้ พฤติกรรมของคนนน้ั มีปัญหา เรื่อง ความขดั แย้ง ในบทบาทได้ 3.2 ปทสั ถาน เป็นกฎกติกาของกลุ่มเกย่ี วกบั พฤติกรรม หรือการปฏบิ ัติทส่ี มาชกิ สว่ นใหญย่ อมรับว่าอะไรควร ปฏบิ ัติ อะไรเปน็ ข้อหา้ มจะเป็นเรอ่ื งท่ัวไปทีม่ ผี ลกระทบกบั ส่วนใหญข่ องกลมุ่ มากกว่าเรื่องส่วนบุคคล สมาชกิ ของกลุ่มทุกคนต้องยดึ ถอื ปทัสถานนี้ 3.3 สถานภาพ เปน็ การกาหนดระดบั ชนั้ ของสมาชิกกลมุ่ ในสังคม เป็นการให้ความสาคัญหรือยกย่องกนั สถานภาพจึงเปน็ การเปรียบเทียบฐานะทางสงั คมว่า ใครสูงกว่าใคร ซง่ึ การได้สถานภาพ บางอยา่ งกจ็ ะมี บทบาทที่กาหนดในการครองสถานภาพน้นั ด้วย สถานภาพของบคุ คล อาจไดม้ าจากหลายทาง ได้แก่ สถานภาพโดยกาเนดิ เช่น เกิดในราชตระกูล ตระกูลท่ีรา่ รวย มีชื่อเสยี ง ตระกูลชาวนา สถานภาพจากการ ทางาน พิจารณาจากตาแหน่งงาน ประเภทของงานความชานาญงานหรือสถานภาพจากบุคลิกภาพสว่ นตวั เช่น คนที่มมี นุษย์สัมพนั ธ์ดเี ข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ วางตนไดเ้ หมาะสม จะไดร้ บั ยกย่อง การพิจารณาว่าอยา่ งไหนสงู กว่าย่อมข้นึ อยู่กบั วา่ กลุ่มใดเป็นผ้พู จิ ารณาเชน่ ในวงวิชาการ อาจถือวา่ ศาสตราจารย์ มีสถานภาพสูงทส่ี ดุ แตพ่ นักงานธนาคารเห็นวา่ ศาสตราจารยค์ นน้ี มีสถานภาพต่ากวา่ ประธาน กรรมการธนาคาร ของเขา เป็นต้น
11 สรปุ ปจั จยั พื้นฐานสาหรบั พฤติกรรมมนุษย์ คือ หลักการ หรอื ความรู้ซึ่งชว่ ยใหเ้ ข้าใจ พฤติกรรมมนษุ ย์ ไดถ้ ่องแท้ ยงิ่ ข้ึน ปจั จยั พืน้ ฐานของพฤติกรรม ท่สี าคญั ได้แก่ ปัจจัยทางชีวภาพ ซงึ่ กลา่ วถึง อิทธพิ ลของพนั ธกุ รรม และ การทางานของ ระบบประสาท สมอง ต่อมไร้ทอ่ และกลา้ มเนือ้ ที่มีตอ่ พฤติกรรม ปจั จยั จิตวทิ ยา ซึ่งกลา่ วถึง แรงจูงใจ และ การเรียนรู้ ทม่ี ีอทิ ธพิ ลต่อ พฤตกิ รรม และปัจจยั ทางสงั คม ที่กล่าวถึงระบบของสง่ิ แวดล้อม กระบวนการสังคมประกิตในครอบครวั และกลุม่ ท่ีมีอิทธพิ ลต่อ พฤติกรรม กระบวนการทางานของปจั จัย เหล่านท้ี าให้มนษุ ย์มีความ แตกต่าง ระหวา่ งบุคคล และอาจแสดงพฤตกิ รรม ที่แตกต่างกัน ภายใตส้ ถานการณ์ เดยี วกนั ความหมายของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ หมายถึง เคร่อื งมอื หรืออปุ กรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ ท่มี คี วามสามารถในการคานวณ อตั โนมตั ิตามคาสั่ง สว่ นทใี่ ชป้ ระมวลผลเรยี กวา่ หนว่ ยประมวลผล ชดุ ของคาส่ัง ทีร่ ะบขุ ้ันตอนการคานวณ เรยี กวา่ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ผลลัพธท์ ีไ่ ดอ้ อกมาน้ันอาจเป็นไดท้ งั้ ตวั เลข ขอ้ ความ รูปภาพ เสยี ง หรอื อยูใ่ นรูปอ่นื ๆ ความสาคัญของคอมพิวเตอร์ ปัจจบุ ันเทคโนโลยแี ละการสอ่ื สารได้เจริญก้าวหน้าอยา่ งรวดเรว็ ในการดาเนนิ ชวี ิตประจาวนั ของมนุษยอ์ ปุ กรณ์ สอ่ื สารและคอมพิวเตอร์ไดเ้ ข้ามามบี ทบาทสาคญั ตอ่ การดาเนินกิจกรรมตา่ งๆ โดยเฉพาะอย่างย่งิ การศึกษา ค้นควา้ และการทาธุรกจิ ด้วยความกา้ วหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทาใหอ้ งค์กรตา่ งๆ นาเทคโนโลยเี หลา่ น้ี เข้ามาช่วยในการดาเนนิ งานขององคก์ รให้มีประสิทธภิ าพมากย่งิ ข้ึน ไม่วา่ จะเปน็ การรบั -ส่งขอ้ มูลข่าวสาร อิเลก็ ทรอนกิ ส์ การทาธุรกิจและให้บริการบนอินเตอร์เน็ต ตลอดจนการใชเ้ ป็นเคร่ืองมอื ช่วยในการทางาน ไม่ เพียงแต่ในองค์กรตา่ งๆ เท่านั้นท่ีนาคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาใชง้ าน ผู้ใชต้ ามบ้านโดยท่วั ไป ก็ไดจ้ ัดหาคอมพวิ เตอร์ เข้ามาใช้สว่ นตวั กนั มากขน้ึ เนื่องจากคอมพวิ เตอรใ์ นปจั จุบันมรี าคาถูก แตม่ ปี ระสิทธภิ าพสงู รวมทงั้ สามารถใช้ งานได้ง่ายกว่าในอดตี มาก จนมกี ารประมาณการกันวา่ ในอนาคตคอมพวิ เตอรจ์ ะเปน็ อปุ กรณพ์ ้นื ฐานในทุกๆ ครวั เรือนเหมือนกบั เครอ่ื งรบั โทรทศั น์ ด้วยสถานการณด์ ังกล่าว การเรยี นรูก้ ารใชง้ านคอมพิวเตอร์ในระดับเบื้องตน้ จงึ เป็นสิ่งที่มคี วามจาเป็นอย่างยง่ิ ในการดาเนนิ กิจกรรมต่างๆ ไมว่ ่าจะเปน็ ในการทางาน, การศึกษาหรือเพื่อความบันเทิง ใหม้ ีประสทิ ธิภาพและ ความสะดวกเพ่มิ มากขึ้น คุณสมบัติพ้นื ฐานของคอมพิวเตอร์ มีอยู่ 5 ประการที่สาคัญดงั น้ี 1. ทางานดว้ ยระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (electronic machine) คอมพวิ เตอรเ์ ปน็ อปุ กรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการบนั ทึกข้อมลู ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ การจัดเก็บข้อมูลท่ี บันทกึ ผ่านทางแป้นพิมพห์ รืออุปกรณ์อื่นๆ ข้อมลู เหล่านีจ้ ะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพอื่ ใหค้ อมพิวเตอร์ เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอรป์ ระมวลผลเรียบรอ้ ยแล้ว ขอ้ มลู ท่ีเปน็ สัญญาณไฟฟ้าจะ ถูกแปลงกลับให้เปน็ รปู แบบที่มนษุ ยส์ ามารถเขา้ ใจได้ 2. การทางานดว้ ยความเรว็ สงู (speed)
12 เนอ่ื งจากการทางานของคอมพวิ เตอร์เป็นระบบอิเลก็ ทรอนิกส์ ดังน้ันการดาเนินงานต่างๆ จึงสามารถกระทาได้ อยา่ งรวดเรว็ (มากกว่าพนั ลา้ นคาสั่งในหนง่ึ วินาท)ี 3. ความถกู ต้องแม่นยาเช่อื ถอื ได้ (accuracy and reliability) คอมพวิ เตอร์จะทางานตามคาสงั่ ท่ีมนษุ ย์เขยี นโปรแกรมหรือคาสัง่ ไว้ ถ้าผใู้ ช้ปอ้ นขอ้ มูลและชุดคาสั่งมคี วาม ถูกต้อง ผลลัพธท์ ่ีไดจ้ ากการประมวลผลกจ็ ะมีความถูกต้องเช่อื ถอื ได้ 4. การเก็บข้อมูลได้ในปรมิ าณมาก (storage) คอมพวิ เตอร์มีหนว่ ยความจาทที่ าหนา้ ที่เกบ็ ข้อมูลทบ่ี นั ทกึ เขา้ ไป ความสามารถในการจดั เก็บข้อมลู นจี้ ะขน้ึ อยู่ กับขนาดของคอมพิวเตอร์ เชน่ เคร่อื งไมโครคอมพวิ เตอรใ์ นปัจจุบนั จะมหี น่วยเกบ็ ขอ้ มลู สารองทีส่ ามารถ บนั ทกึ ข้อมลู ได้มากกวา่ หนงึ่ ล้านตวั อักษร 5. การส่ือสารเช่อื มโยงข้อมลู (communication) คอมพวิ เตอร์สามารถตดิ ตอ่ กับเคร่ืองคอมพิวเตอรเ์ ครื่องอื่นๆ และสามารถทางานท่ีหลากหลายมากข้นึ กวา่ การ ใช้คอมพิวเตอร์แบบระบบเด่ยี ว ตัวอยา่ งเช่น การนาคอมพวิ เตอร์เชอ่ื มตอ่ ระบบอินเตอร์เนต็ เพ่ือการสบื คน้ ข้อมลู จากเครื่องคอมพวิ เตอร์อืน่ (remote computer) จากคุณสมบัตขิ องคอมพวิ เตอร์เราจะเห็นได้ว่า คอมพวิ เตอรส์ ามารถทางานหลายๆ อย่างทีม่ นษุ ย์ไมส่ ามารถทา ได้ หรอื ถ้ามนุษย์ทาได้ ก็จะใช้เวลามากและมีข้อผิดพลาดมากมาย เช่น การคานวณตัวเลขหลายหลกั เปน็ จานวนมากภายในเวลาจากดั , การทางานในแบบเดยี วกนั ซ้าๆ หลายล้านครั้ง หรอื การจดจาข้อมลู ตัวเลขและ ตัวหนงั สอื หลายหมนื่ หนา้ โดยไมม่ ีการลมื งานที่น่าเบ่ือและยงุ่ ยากเหลา่ นีเ้ ราสามารถใชค้ อมพิวเตอรท์ างานแทน ได้ โดยเรามีหนา้ ทเี่ พยี งเปน็ ผู้ส่ังการเทา่ นัน้ เหตุผลที่นาคอมพวิ เตอร์มาใช้งาน 1. สามารถบนั ทกึ ข้อมลู ตา่ งๆ ได้รวดเรว็ เชน่ การใช้เครอ่ื งอา่ นรหัสแทง่ (Bar-code) อา่ นเวลาเข้า-ออก ของ พนักงาน และคิดราคาสนิ คา้ ในห้างสรรพสนิ คา้ 2. สามารถเก็บข้อมลู จานวนมากๆ ไว้ในฐานข้อมลู (Database) เพ่ือใชง้ านไดท้ ันที 3. สามารถนาข้อมลู ทีเ่ ก็บไว้มาคานวณทางสถติ ิ แยกประเภท จดั กลมุ่ ทารายงานลกั ษณะตา่ งๆ ได้ โดยระบบ ประมวลผลข้อมูล (Data Processing) 4. สามารถสง่ ขอ้ มูลจากท่ีหนึ่ง ไปยังอีกทหี่ นึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศยั เทคโนโลยีสื่อสารขอ้ มลู (Data Communication) 5. สามารถจดั ทาเอกสารตา่ งๆ ได้อยา่ งรวดเรว็ ด้วยระบบประมวลผลคา (Word Processing) ซ่งึ เป็นสว่ นหน่งึ ของ ระบบสานักงานอัตโนมัติ (Office Automation) 6. การนามาใชง้ านทั้งด้านการศึกษา การวจิ ัย 7. การใชง้ านธุรกจิ งานการเงิน ธนาคาร และงานของภาครัฐตา่ งๆ เชน่ การนาคอมพวิ เตอรม์ าใช้กบั งานบัญชี งานบรหิ ารสานกั งาน งานเอกสาร งานการเงิน การจองตัว๋ เครือ่ งบิน รถไฟ 8. การควบคุมระบบอัตโนมัติตา่ งๆ เช่น ระบบจราจร, ระบบเปดิ /ปดิ น้าของเข่ือน 9. การใช้เพือ่ งานวิเคราะห์ตา่ งๆ เชน่ การวเิ คราะห์สภาวะดินฟ้าอากาศ สภาพของดิน น้า เพื่อการเกษตร 10. การใชค้ อมพวิ เตอรเ์ พื่อจาลองรูปแบบ เช่น การจาลองในงานวทิ ยาศาสตร์ จาลองโมเลกลุ จาลองรูปแบบ
13 การฝกึ ขับเครอื่ งบิน 11. การใชค้ อมพวิ เตอร์นันทนาการ เช่นการเลน่ เกม การดูหนงั ฟังเพลง 12. การใช้คอมพิวเตอรร์ ว่ มกับเทคโนโลยีลา้ สมัยอน่ื ๆ เทคโนโลยสี ่ือสารขอ้ มลู เกดิ เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต เป็นต้น ประวตั คิ อมพวิ เตอร์ ในระยะ 5,000 ปที ผี่ ่านมา มนุษยเ์ ริ่มรู้จักการใช้น้วิ มือและนิ้วเท้าของตนเพื่อชว่ ยในการคานวณ และพฒั นามา ใชอ้ ุปกรณ์อนื่ ๆ เชน่ ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด ตอ่ มาประมาณ 2,600 ปกี ่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ ประดิษฐ์เครื่องมือเพือ่ ใชใ้ นการ คานวณขน้ึ มาชนิดหน่ึง เรียกวา่ ลกู คดิ ซึ่งถือได้ว่า เปน็ อปุ กรณ์ใชช้ ว่ ยการ คานวณทเี่ ก่าแก่ทส่ี ดุ ในโลกและคงยงั ใช้งานมาจนถึงปัจจบุ ัน ลกู คิดของชาวจีนประกอบดว้ ยลกู ปดั รอ้ ยอยู่ใน ราวเป็นแถวตามแนวต้งั โดยแตล่ ะแถวแบ่งเปน็ ครึง่ บนและลา่ ง คร่งึ บนมลี ูกปดั 2 ลกู ครึ่งลา่ งมีลูกปดั 5 ลูก แตล่ ะแถวแทนหลกั ของตัวเลข พ.ศ. 2158 นักคณติ ศาสตรช์ าวสก็อตแลนด์ชือ่ John Napier ได้ประดิษฐ์อปุ กรณ์ใช้ ช่วยการคานวณขนึ้ มา เรียกวา่ Napier’s Bones เปน็ อปุ กรณ์ที่ลักษณะคลา้ ยกับตารางสูตรคูณในปจั จบุ นั เครื่องมือชนดิ นี้ชว่ ยให้ สามารถ ทาการคูณและหาร ไดง้ า่ ยเหมือนกบั ทาการบวก หรอื ลบโดยตรง พ.ศ. 2185 นกั คณิตศาสตร์ชาวฝร่ังเศสชือ่ Blaise Pascal ซง่ึ ในขณะน้ันมีอายเุ พียง 19 ปี ได้ออกแบบ เครื่องมือในการคานวณโดย ใช้หลกั การหมนุ ของฟันเฟืองหนึง่ อันถูกหมนุ ครบ 1 รอบ ฟันเฟอื งอีกอนั หน่ึงซึ่งอยู่ ทางดา้ นซา้ ยจะถูกหมุนไปด้วยในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เครอื่ งมือของปาสคาลน้ถี กู เผยแพร่ออกสสู่ าธารณะชน เมอื่ พ.ศ. 2188 แต่ไมป่ ระสบความสาเร็จเทา่ ท่ีควรเน่อื งจากราคาแพง และเม่ือใช้งานจริงจะเกดิ เหตุการณ์ท่ี ฟนั เฟืองตดิ ขัดบ่อยๆ ทาให้ผลลัพธท์ ี่ไดไ้ มค่ ่อยถูกตอ้ งตรงความเป็นจรงิ เครอ่ื งมอื ของปาสคาล สามารถใชไ้ ด้ดใี นการคานวณการบวกและลบ ส่วนการคูณและหารยงั ไมด่ ีเท่าทคี่ วร ดังนั้นในปี พ.ศ. 2216 นักปราชญาชาวเยอรมนั ชื่อ Gottfriend von Leibnitz ได้ปรับปรงุ เคร่ืองคานวณของ ปาสคาลให้สามารถทาการคูณและหารไดโ้ ดยตรง โดยท่ีการคูณใชห้ ลักการบวกกันหลายๆ ครั้ง และการหาร ก็ คือการลบกนั หลายๆ ครง้ั แต่เครือ่ งมอื ของ Leibnitz ยังคงอาศัยการหมุนวงล้อ ของเครื่องเองอตั โนมัติ นับวา่ เป็นเครอื่ งมอื ท่ชี ่วยใหก้ ารคานวณทางคณติ ศาสตรท์ ่ีดยู ่งุ ยากกลับเปน็ เรื่องทีง่ ่ายขึ้น พ.ศ. 2344 นักประดิษฐช์ าวฝรั่งเศสช่อื Joseph Marie Jacquard ไดพ้ ยายามพฒั นาเครื่องทอผา้ โดยใช้ บตั รเจาะรูในการบันทึกคาสัง่ ควบคุมเคร่ืองทอผ้าให้ทาตามแบบที่กาหนดไว้ และแบบดงั กลา่ วสามารถนามา สร้างซ้าๆ ได้อกี หลายคร้ัง ความพยายามของ Jacquard สาเร็จลงใน พ.ศ. 2348 เครอ่ื งทอผา้ น้ีถือวา่ เปน็ เครอื่ งทางานตามโปรแกรมคาส่ังเป็นเคร่ืองแรก พ.ศ. 2373 Charles Babbage ถือกาเนดิ ทปี่ ระเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2334 จบการศึกษาทางด้านคณติ ศาสตร์ จากมหาวทิ ยาลัยแคมบริดจ์ และไดร้ บั ตาแหนง่ Lucasian Professor ซง่ึ เป็นตาแหนง่ ที่ Isaac Newton เคย ได้รบั มาก่อน ในขณะที่กาลังศึกษาอยนู่ น้ั Babbage ได้สร้างเครื่อง หาผลตา่ ง (Difference Engine) ซึง่ เปน็ เครอื่ งท่ใี ชค้ านวณ และพิมพ์ตารางทางคณิตศาสตร์อย่างอตั โนมัติ จนกระทง่ั ปี พ.ศ. 2373 เขาได้รับความ ช่วยเหลอื จากรฐั บาลองั กฤษเพ่ือสรา้ งเครอื่ ง Difference Engine ขึ้นมาจริงๆ แต่ในขณะที่ Babbage ทาการ สรา้ งเครอ่ื ง Difference Engine อยนู่ นั้ ได้พฒั นาความคิดไปถงึ เคร่ืองมือในการคานวณท่ีมคี วามสามารถสงู กวา่ น้ี ซ่งึ กค็ ือเครื่องท่ีเรยี กวา่ เคร่ืองวิเคราะห์ (Analytical Engine) และไดย้ กเลิกโครงการสรา้ ง
14 เครื่อง Difference Engine ลงแล้วเริม่ ตน้ งานใหม่ คือ งานสร้างเครื่องวเิ คราะห์ ในความคิดของเขา โดยท่ี เครือ่ งดังกลา่ วประกอบไปด้วยชิน้ ส่วนทส่ี าคัญ 4 สว่ น คือ ส่วนเกบ็ ข้อมลู เป็นสว่ นที่ใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู นาเข้าและผลลัพธท์ ไ่ี ดจ้ ากการคานวณ ส่วนประมวลผล เปน็ ส่วนทใ่ี ชใ้ นการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ ส่วนควบคมุ เป็นสว่ นที่ใชใ้ นการเคลอ่ื นยา้ ยข้อมลู ระหวา่ งส่วนเกบ็ ขอ้ มูล และสว่ นประมวลผล ส่วนรับข้อมูลเข้าและแสดงผลลัพธ์ เปน็ สว่ นทใี่ ช้รับทราบข้อมลู จากภายนอกเคร่ืองเข้าสู่ส่วนเก็บ และแสดง ผลลัพธท์ ่ีได้จากการคานวณให้ผู้ใช้ได้รับทราบ เป็นทนี่ า่ สังเกตว่าส่วนประกอบตา่ งๆ ของเคร่ือง Analytical Engine มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั สว่ นประกอบ ของ ระบบคอมพวิ เตอร์ ในปัจจบุ ัน แต่นา่ เสียดายท่เี คร่ือง Analytical Engine ของ Babbage นน้ั ไม่สามารถ สรา้ ง ให้สาเร็จขึ้นมาได้ ทงั้ น้เี น่ืองจากเทคโนโลยี สมัยน้ันไม่สามารถสรา้ งสว่ นประกอบตา่ งๆ ดังกล่าว และอีก ประการหนงึ่ ก็คือ สมยั น้นั ไม่มคี วามจาเปน็ ต้องใชเ้ ครื่องท่ีมีความสามารถสูงขนาดนัน้ ดังนัน้ รฐั บาล อังกฤษจงึ หยดุ ใหค้ วามสนบั สนุนโครงการของ Babbage ในปี พ.ศ. 2385 ทาใหไ้ ม่มที ุนที่จะทาการวจิ ยั ต่อไป สบื เน่ืองมาจากแนวความคดิ ของ Analytical Engineเช่นนจี้ งึ ทาให้ Charles Babbage ไดร้ ับการยกย่อง ใหเ้ ป็น บิดาของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2385 ชาวอังกฤษ ชื่อ Lady Auqusta Ada Byron ได้ทาการแปลเรื่องราวเก่ียวกับเครอื่ ง Analytical Engine จากภาษาฝรง่ั เศสเป็นภาษาอังกฤษ ในระหว่างการแปลทาให้ Lady Ada เขา้ ใจถึงหลกั การทางาน ของเครือ่ ง Analytical Engine และได้เขยี นรายละเอยี ดขัน้ ตอนของคาสัง่ ให้เครื่องนีท้ าการคานวณทยี่ ุง่ ยาก ซับซ้อนไวใ้ นหนังสอื ทางคณิตศาสตรเ์ ล่มหนง่ึ ซึ่งถือว่าเปน็ โปรแกรมคอมพิวเตอรโ์ ปรแกรมแรกของโลก และ จากจดุ นี้จึงถือว่า Lady Ada เป็นโปรแกรมเมอรค์ นแรกของโลก (มภี าษาทใ่ี ชเ้ ขยี นโปรแกรมทเี่ ก่าแก่ อยู่หน่งึ ภาษาคือภาษา Ada มาจาก ช่อื ของ Lady Ada)นอกจากนี้ Lady Ada ยังค้นพบอีกว่าชดุ บตั รเจาะรู ทบ่ี รรจุ คาสงั่ ไว้สามารถนากลับมาทางานซ้าได้ถ้าต้องการ นัน่ คอื หลกั ของการทางานวนซา้ หรือ เรียกว่า Loop เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการคานวณท่ีถูกพฒั นาขน้ึ ในศตวรรษที่ 19 นัน้ ทางานกับเลขฐานสิบ (Decimal Number) แตเ่ มือ่ เรมิ่ ต้นของศตวรรษที่ 20 ระบบคอมพวิ เตอร์ได้ถูกพัฒนาข้นึ จงึ ทาให้มีการ เปลีย่ นแปลงมาใช้ เลขฐานสอง (Binary Number) กับระบบคอมพวิ เตอร์ ที่เปน็ ผลสืบเน่ืองมาจากหลักของ พชี คณิต พ.ศ. 2397 นักคณิตศาสตร์ชาวองั กฤษ George Boole ได้ใชห้ ลกั พชี คณติ เผยแพร่กฎ ของ Boolean Algebra ซ่งึ เป็นคณิตศาสตร์ทใ่ี ช้อธิบายเหตผุ ลของตรรกวิทยาท่ตี วั แปรมคี า่ ไดเ้ พยี ง “จริง” หรอื “เทจ็ ” เท่าน้นั (ใชส้ ภาวะเพยี งสองอย่างคือ 0 กบั 1 ร่วมกับเครื่องหมายในเชิงตรรกะพื้นฐาน คือAND, OR และ NOT) สงิ่ ท่ี George Boole คดิ ค้นข้ึน นับว่ามปี ระโยชนต์ อ่ ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจบุ นั อยา่ งยิง่ เนอื่ งจากเป็น การ ยากทจ่ี ะใชก้ ระแสไฟฟ้า ซ่ึงมเี พียง 2 สภาวะ คอื เปิด กับ ปิด ในการแทน เลขฐานสบิ ซึ่งมีอยถู่ งึ 10 ตวั คือ 0 ถึง 9 แต่เปน็ การง่ายกว่าเราแทนด้วยเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 จงึ ถอื วา่ สง่ิ นเี้ ปน็ รากฐานที่สาคญั ของการ ออกแบบวงจรระบบคอมพวิ เตอร์ในปจั จบุ ัน
15 พ.ศ. 2423 Dr. Herman Hollerith นกั สถติ ิชาวอเมรกิ นั ไดป้ ระดษิ ฐเ์ ครื่องประมวลผลทางสถติ ิซง่ึ ใช้กับ บัตรเจาะรู เคร่ืองนไี้ ดร้ ับการพฒั นา ใหด้ ียิ่งข้ึนและมาใชง้ านสารวจสามะโนประชากร ของสหรฐั อเมริกา ในปี พ.ศ. 2433 และช่วยให้การสรุปผลสามะโนประชากรเสรจ็ สิ้นภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง (โดยกอ่ นหนา้ นัน้ ต้อง ใชเ้ วลาถงึ 7 ปคี รง่ึ ) เรียกบัตรเจาะรนู ้ีวา่ บตั รฮอลเลอริธ และช่อื อืน่ ๆ ทใี่ ช้เรยี กบตั รน้ี ก็คือ บัตร ไอบเี อ็ม หรอื บตั ร 80 คอลมั น์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ฮอลเลอรชิ ได้จดทะเบยี นก่อตัง้ บรษิ ทั เพ่ือผลติ จาหน่ายเคร่อื งจักรชว่ ย ในการคานวณ ช่ือ บรษิ ัท คอมพวิ ตงิ เทบบูลาติง เรดคอสดิงหลังจากน้นั ในปี พ.ศ. 2467 ไดเ้ ปลย่ี นมาเป็นช่ือ บรษิ ัทไอบเี อ็ม (International Business Machine : IBM) พ.ศ. 2480 ศาสตราจารย์ Howard Aiken แห่งมหาลัยวทิ ยาลัยฮาวาร์ด ได้พัฒนาเคร่ืองคานวณ ตาม แนวคดิ ของ Babbage ร่วมกบั วศิ วกรของบริษัท IBM สรา้ งเคร่อื งคานวณตามความคิดของ Babbage ได้ สาเร็จ โดย เครอ่ื งดังกล่าวทางานแบบเครื่องจักรกลปนไฟฟา้ และใช้บตั รเจาะรูเป็นสือ่ ในการนาเข้าข้อมลู สู่ เครื่องเพ่ือทา การประมวลผล การพัฒนาดงั กลา่ วมาเสรจ็ ส้ินในปี พ.ศ. 2487 โดยเครื่องมอื นี้มชี ่ือว่า MARK 1 และเนอ่ื งจาก เคร่อื งนสี้ าเรจ็ ไดจ้ ากการสนบั สนุน ดา้ นการเงนิ และบุคลากรจากบริษัท IBM ดังนนั้ จงึ มีอีกชือ่ หนึ่งว่า IBM Automatic Sequence Controlled Calculator และนับเปน็ เครอ่ื งคานวณแบบอัตโนมตั เิ คร่อื งแรกของโลก พ.ศ. 2486 ซง่ึ เป็นช่วงสงครามโลกครั้งท่ี 2 ศนู ย์วจิ ัยของกองทัพบกสหรัฐอเมริกามคี วามจาเป็นท่ีจะตอ้ ง คิดคน้ เครอ่ื งช่วยคานวณ เพอ่ื ใช้คานวณหาทศิ ทางและระยะทางในการส่งขปี นาวธุ ซึง่ ถ้าใช้เคร่ืองคานวณทม่ี ี อยู่ใน สมัยนัน้ จะตอ้ งใชเ้ วลาถึง 12 ช่วั โมงในการคานวณ การยงิ 1 ครัง้ ดังนน้ั กองทัพจึงให้กองทุนอุดหนุนแก่ John W. Mauchly และ Persper Eckert จากหมาวิทยาลยั เพนซิลวาเนีย ในการสร้างคอมพวิ เตอร์ จากอุปกรณ์ อิเล็กทรอนกิ ส์ขึ้นมา โดยนาหลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) จานวน 18,000 หลอด มาใช้ในการสร้าง ซ่ึงมี ขอ้ ดีคอื ทาให้เครื่องมีความเร็ว และมีความถูกต้องแม่นยาในการคานวณมากขน้ึ ในด้านของความเร็วนั้น เครือ่ งจักรกลมีความเฉื่อยของการเคล่ือนทขี่ องช้ินส่วนประกอบ แต่คอมพวิ เตอร์อิเล็กทรอนกิ ส์ จะใช้ อเิ ลก็ ตรอนเปน็ ตัวเคล่ือนที่ ทาให้สามารถส่งข้อมูลด้วยกระแสไฟฟา้ ได้ ดว้ ยความเรว็ ใกล้เคียงกบั ความเรว็ ของ แสง ส่วนความถกู ต้องแมน่ ยาในการทางานของเครื่องจกั รกลอาศัยฟันเฟือง รอก คาน ในการทางาน ทาให้ ทางานไดช้ า้ และเกดิ ความผดิ พลาดได้ง่าย พ.ศ. 2489 เคร่อื งคอมพิวเตอรท์ ่ี Mauchly และ Eckert คิดค้นขึ้นไดม้ ชี ่อื วา่ ENIAC ยอ่ มาจาก (Electronic Numerical Integrator and Calculator) ประสบความสาเร็จในปี พ.ศ. 2489 ถึงแม้ว่าจะไม่ทนั ใช้ใน สงครามโลกครั้งที่สอง แต่ความเรว็ ในการคานวณของ ENIAC ทาใหว้ งการคอมพวิ เตอร์ขณะน้ัน ยอมรับ ความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนกิ ส์ และจัดได้ว่าเปน็ เครื่องคอมพวิ เตอร์ทใ่ี ชง้ านทว่ั ไปเคร่ือง แรกของโลก แต่อย่างไรก็ตาม ENIAC ทางานด้วยไฟฟา้ ท้งั หมดทาใหใ้ นการทางานแต่ละครง้ั จึงทาใหเ้ กิดความ ร้อนสูงมาก จาเป็นตอ้ งติดตงั้ ไวใ้ นหอ้ งที่มเี ครื่องปรับอากาศด้วย นอกจากนี้ ENIAC ยงั เก็บได้เฉพาะข้อมูลที่ เปน็ ตวั เลขขนาด 10 หลกั และเก็บได้เพยี ง 20 จานวน เท่าน้นั ส่วนชุดคาสั่งน้ัน ยังไม่สามารถเก็บไว้ในเคร่ือง ได้ การส่งชุดคาสง่ั เขา้ เครื่องจะต้องใชว้ ิธีการเดนิ สายไฟสรา้ งวงจร ถ้ามีการแก้ไขโปรแกรม กต็ อ้ งมีการเดนิ สายไฟกนั ใหม่ ซึ่งใชเ้ วลาเปน็ วัน ความคิดต่อมาในการพัฒนาเครือ่ งคอมพิวเตอร์ให้ดีขึ้นก็คือ การค้นหาวิธกี ารเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่อง เพ่ือลด ความยุ่งยาก ของขน้ั ตอนการป้อนคาส่ังเขา้ เคร่ือง มนี ักคณิตศาสตร์เช้ือสายฮังกาเรียนชื่อ Dr.John Von
16 Neumann ได้พบวธิ กี ารเก็บโปรแกรมไว้ ในหน่วยความจาของเคร่ืองเช่นเดียวกับการเก็บขอ้ มูลและต่อ วงจรไฟฟ้า สาหรับการคานวณ และการปฏิบัติการพ้นื ฐาน ไวใ้ หเ้ รียบร้อยภายในเคร่ือง แลว้ เรยี กวงจรเหล่านี้ ดว้ ยรหัสตัวเลขที่กาหนดไว้ เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ท่ถี ูกพัฒนาข้ึนตามแนวความคิดน้ีได้แก่ EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) ซง่ึ สรา้ งเสร็จใน พ.ศ. 2492 และนามาใช้งานจรงิ ในปี พ.ศ. 2494 ซง่ึ ถือวา่ เป็นเครอื่ งคอมพิวเตอรเ์ คร่ืองแรกท่สี ามารถเกบ็ โปรแกรมไวใ้ นเคร่ืองได้ และในเวลาใกล้เคียงกนั ทมี่ หาวิทยาลยั เคมบริดส์ ประเทศอังกฤษ ได้มีการสร้างคอมพวิ เตอร์มีลักษณะคล้ายกับเคร่อื ง EDVAC และให้ ช่อื วา่ EDSAC (Electronic Delay Storage Automatic Calculator) ในปี พ.ศ. 2497 Mauchly และ Eckert ไดร้ ว่ มกนั สรา้ งคอมพวิ เตอร์ขึน้ มาใหม่ ชอ่ื ยนู ิแวก (UNIVAC) ย่อมา จาก Universal Automatic Computer ซึ่งนบั วา่ เปน็ คอมพิวเตอรเ์ ครื่องแรกในท้องตลาด สามารถใชเ้ ทป แม่เหล็กเปน็ สอ่ื เก็บข้อมูลได้ สาหรับในปจั จุบันน้จี ะเหน็ ได้ว่าคอมพิวเตอร์ไดร้ บั ความสนใจในการทางาน คอ่ นข้างมาก จงึ ทาให้มผี ูค้ ิดพัฒนาให้คอมพวิ เตอรม์ ีขนาดเลก็ ลงมาจากเดิม อีกทง้ั ยงั เพิ่มความเร็วในการทางาน ให้สามารถทางานไดร้ วดเรว็ ข้ึน มขี อ้ บกพร่องในการทางานนอ้ ย และทสี่ าคัญคือราคาตอ้ งถูกด้วย ยคุ ของคอมพวิ เตอร์ สาหรับความเปน็ มาของคอมพิวเตอร์นน้ั มีผแู้ บ่งยคุ ของคอมพิวเตอร์ตามวิวฒั นาการทางคอมพิวเตอร์ออกเป็น 4 ยุคด้วยกัน ดงั น้ี 1. ยคุ ที่หนงึ่ (First Generation) ยุคน้เี รม่ิ ตัง้ แต่ ค.ศ. 1944 เป็นต้นมา หรือประมาณปี พ.ศ. 2494-2502 เทคโนโลยที ่ใี ชส้ ร้างคอมพวิ เตอร์ในยคุ นจี้ ะใชห้ ลอดสญุ ญากาศ และวงจรไฟฟ้า ซงึ่ ต้องใช้พลังความรอ้ นในขณะทางานสงู ดังนั้นเครอ่ื งคอมพิวเตอรใ์ น ยุคน้จี ึงมขี นาดใหญแ่ ละต้องใช้เครอ่ื งปรบั อากาศมาชว่ ยในการระบายความร้อน นอกจากนยี้ งั มกี ารใชเ้ ทป กระดาษหรอื บัตรเจาะรใู นการรบั ส่งข้อมูล สาหรับปัญหาท่ีเกดิ ในยุคน้ีจะเป็นปัญหาในด้านการบารงุ รักษา และ การซอ่ มแซมเคร่ืองเพ่ือให้เคร่ืองสามารถทางานได้ นอกจากนั้นการใช้คาส่งั ในการสัง่ งานก็ค่อนขา้ งยุ่งยาก เพราะสว่ นมากแล้วในการทางานตอ้ งสั่งงานโดยใช้ภาษาเครือ่ ง (Machine Language) ซึง่ จะถือเป็น ภาษาระดับตา่ รหสั คาส่ังตา่ งๆ จะจดจาค่อนขา้ งยาก การใช้งานคอมพวิ เตอร์ในยคุ นี้ส่วนใหญ่จะเป็นงาน ทางด้านวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ ส่วนงานทางด้านธรุ กิจมีการเริ่มใชใ้ นยคุ น้เี ช่นกนั แต่มกี ารใช้ทค่ี ่อนข้าง นอ้ ย 2. ยุคท่ีสอง (Second Generation) ยุคนีเ้ รม่ิ ในปี ค.ศ. 1957 หรือประมาณปี พ.ศ. 2502-2507 ในยคุ นไี้ ดม้ ีการริเริม่ นาเอาทรานซิสเตอร์ (Transistor) และไดโอด (Diodes) มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ ซ่งึ มขี นาดเล็ก มีราคาถกู ลงและทางานได้เร็ว ขึน้ ขนาดของเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์จงึ เลก็ ตามลงไปด้วย ในการทางานจะใชว้ งแหวนแมเ่ หล็กสาหรบั เกบ็ ข้อมูล และใชเ้ ทปแมเ่ หล็ก จานแม่เหล็กเป็นสือ่ ในการรับส่งข้อมูล นอกจากนน้ั ยังมกี ารเพิ่มอุปกรณใ์ นการรับข้อมูล และอปุ กรณใ์ นการแสดงผลลัพธ์อีกมากมาย มีการใช้เครือ่ งพิมพ์ จานแม่เหล็ก บัตรเจาะรู จอภาพ และ แป้นพมิ พเ์ ปน็ เคร่ืองปลายทาง ในยุคนไ้ี ด้เปลี่ยนจากการสงั่ งานด้วยภาษาเครื่องเปน็ การใชส้ ัญลกั ษณ์แทน จึง ทาใหก้ ารส่งั งานง่ายขึ้น และมีภาษาระดับสงู บางภาษาเกิดขึ้นในยคุ นี้เช่นกัน 3. ยุคทสี่ าม (Third Generation)
17 เร่ิมในปี ค.ศ. 1965 ในยคุ นีม้ ีการนาเอาวงจรรวม (Integrated Circuit : IC) มาใชแ้ ทนทรานซิสเตอร์ ทาให้ คอมพวิ เตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็กลงไปอกี ความเร็วก็สงู ขน้ึ และราคาก็ลดลงไปอกี มีการพัฒนาโปรแกรม กวา้ งขวางขึน้ และมีการใชภ้ าษาระดับสูงมาช่วยในการเขียนโปรแกรม จึงมหี ลายบริษัทเร่ิมผลติ โปรแกรม สาเร็จรูปมาใช้ในการทางาน 4. ยคุ ที่ส่ี (Fourth Generation) เรม่ิ ตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1976 มกี ารนาเอาแผงวงจรรวม (Very Large Scale Integration : VLSI) มาใช้ และมีการ ปรบั ปรงุ อุปกรณอ์ ืน่ ๆ ให้มคี วามสามารถสงู ข้ึน จงึ ทาให้คอมพวิ เตอร์สามารถทางานไดเ้ ร็วข้นึ นอกจากน้ันยังมี การเปลี่ยนหน่วยความจาจากวงแหวนแม่เหลก็ มาเปน็ หนว่ ยความจาสารก่ึงตวั นา มีการผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ ข้ึนทาให้มีการสรา้ งคอมพวิ เตอร์ขนาดกลาง (Minicomputer) และขนาดเล็ก (Microcomputer) ข้ึนมาขาย เพ่อื ความเหมาะสมในการใชง้ านในแต่ละประเภท ในยคุ น้ีมีประชาชนสนใจคอมพวิ เตอร์มากขึ้น ทาให้มีการใช้ อย่างแพรห่ ลายในหมปู่ ระชาชนท่วั ไป ไม่วา่ จะเป็นนักเรยี น นกั ศกึ ษา ครอู าจารย์ นายแพทย์ นกั ธุรกจิ เป็นตน้ 5. ยคุ ท่หี า้ (Fifth Generation) คอมพวิ เตอรย์ ุคทหี่ ้า เป็นคอมพวิ เตอร์ท่ีมนษุ ย์พยายามนามาเพอื่ ช่วยในการตดั สนิ ใจและแกป้ ัญหาใหด้ ยี ่ิงขึ้น โดยจะมีการเก็บความรู้ต่างๆ เขา้ ไว้ในเครือ่ ง สามารถเรยี กคน้ และดงึ ความรู้ทีส่ ะสมไวม้ าใชง้ านใหเ้ ป็น ประโยชน์ คอมพวิ เตอร์ยุคน้ีเปน็ ผลจากวชิ าการด้านปัญญาประดิษฐ์ (ArtificialIntelligence : AI) ประเทศ ต่างๆ ทั่วโลกไมว่ ่าจะเป็นสหรัฐอเมรกิ า ญ่ปี ุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกาลังสนใจค้นควา้ และพัฒนาทางดา้ นน้ี กันอย่างจรงิ จัง บทบาทของคอมพวิ เตอร์ 1. บทบาทคอมพวิ เตอรต์ ่องานดา้ นการศึกษา ในสถานศึกษาต่างๆ ไดม้ กี ารนาคอมพิวเตอรม์ าใชง้ าน 3 ลกั ษณะ คอื – ใชส้ าหรับผ้เู รียน เพือ่ ค้นหาความรูห้ รือข้อมูลที่สนใจจากแหลง่ ความรู้ต่างๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์- ช่วยสอน และ E-Learning – ใช้สาหรับผสู้ อน เพ่ือเปน็ สื่อในการถ่ายทอดความรูใ้ หแ้ ก่ผู้เรียน เช่น การนาคอมพวิ เตอร์เชื่อมต่อกบั โปรเจคเตอร์เพ่ือนาเสนอข้อมูล – ใช้สาหรบั งานด้านการบริหาร เพื่อช่วยในการตัดสนิ ใจของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา เชน่ การจัดเก็บขอ้ มลู เก่ยี วกับสถานศึกษาและผ้เู รยี น การประมวลผลคะแนนของผเู้ รยี น 2. บทบาทคอมพิวเตอรใ์ นงานด้านการส่ือสาร ในปจั จุบันนิยมเชือ่ มต่อคอมพวิ เตอร์เพอ่ื ใช้ร่วมกัน หลาย ๆเคร่อื งจนเกดิ เปน็ เครือขา่ ย โดยเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรท์ ี่ใหญ่ทีส่ ุดมีพืน้ ท่ีครอบคลมุ ท่ัวโลกเรยี กวา่ อินเตอร์เน็ต ทาใหค้ อมพวิ เตอรม์ ีความสารถในการทางานมากยิ่งข้นึ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความสามารถทางด้าน การตดิ ต่อส่อื สารซ่ึงไมจ่ ากดั เฉพาะข้อมลู ทเี่ ปน็ ขอ้ ความเพียงอยา่ งเดยี วเท่านนั้ แตส่ ามารถสง่ ข้อมลู ในรปู แบบ ตา่ งๆ ได้อยา่ งหลากหลายในรูปแบบของมลั ติมเี ดยี เช่น การดาวนโ์ หลดขอ้ มูลตา่ งๆ 3. บทบาทคอมพิวเตอรใ์ นงานด้านการบริหารประเทศ รัฐบาลมนี โยบายที่จะนา เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วย ในการบริหารประเทศในดา้ นต่างๆ เพ่ือใหเ้ กิดการบรหิ ารงานท่ีมีลักษณะเปน็ รฐั บาล อิเลก็ ทรอนิกส์ เพอ่ื อานวยความสะดวก เพ่ิมความโปร่งใส และลดปัญหาการคอรัปชันของหน่วยงานทางราชการ
18 โดยสามารถแบ่งลกั ษณะของการทางานเป็นการบริการประชาชน การรับและเผยแพร่ข้อมูลระหว่างประชาชน กับรัฐบาล และการติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหนว่ ยงานของรฐั บาล เชน่ การชาระภาษีกบั กรมสรรพากรผ่านทางเวบ็ ไซต์ 4. บทบาทคอมพวิ เตอร์ในงานด้านสงั คมศาสตร์ มกี ารใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเก็บข้อมูลและชว่ ย ทาการวิจัยเกยี่ วกับผลกระทบทางสังคมศาสตร์ในด้านต่างๆ ช่วยใหเ้ ราทราบขอ้ มูลเกีย่ วกบั ชีวติ และความ เปน็ อย่ใู นสังคมได้งา่ ยยง่ิ ขึน้ เชน่ การจัดทาสถติ ใิ นรปู แบบของกราฟประชากร 5. บทบาทของคอมพวิ เตอร์ในงานด้านวศิ วกรรม มกี ารนาคอมพวิ เตอร์มาใชด้ ้านวิศวกรรมในเกือบ ทุกข้ันตอนของการทางาน เพ่อื ช่วยสง่ เสริมการทางานที่ได้มาตรฐานระดับสากลและสง่ เสริมความคิด สรา้ งสรรค์ของผู้สร้างสรรค์งานด้านวิศวกรรม 6. บทบาทคอมพิวเตอร์ในงานด้านวทิ ยาศาสตร์ มีการประยกุ ต์ใช้คอมพิวเตอร์รว่ มกบั เครอ่ื งมือทาง วทิ ยาศาสตร์ เพอ่ื ใช้เกบ็ ข้อมูลและส่งเสรมิ การทางานใหแ้ มน่ ยาและรวดเร็วมากยิ่งขน้ึ เช่น การใช้ คอมพิวเตอร์ชว่ ยในการตรวจสอบสว่ นประกอบของธาตุ 7. บทบาทคอมพวิ เตอรใ์ นงานด้านการแพทย์ การทแี่ พทย์มเี ครื่องมือท่ที ันสมยั สามารถวางแผน การรกั ษาได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ และชว่ ยลดความเส่ยี งในการรกั ษาผู้ปว่ ยแล้ว บทบาทของคอมพวิ เตอร์ใน งานด้านการแพทย์ยังชว่ ยใหข้ ้อมลู และช่วยวินจิ ฉัยโรคเบ้ืองต้นผ่านทางเครือขา่ ยได้อีกด้วย 8. บทบาทคอมพิวเตอรใ์ นงานดา้ นอตุ สาหกรรม มีการใช้คอมพวิ เตอรช์ ่วยในการทางานของ เครื่องจักร การ คานวณวัตถุดิบ เวลาทีใ่ ชใ้ นการผลติ และผลผลติ ท่ีได้จากการผลติ มีคณุ ภาพและมาตรฐาน ท่ีแน่นอนตรงต่อ ความตอ้ งการของผ้บู ริโภคมากยิ่งขึ้น และยังชว่ ยใหม้ นุษย์ไม่ต้องทางานทเ่ี ส่ยี งต่ออนั ตราย อีกดว้ ย 9. บทบาทคอมพวิ เตอร์ในงานดา้ นธุรกิจ จะเห็นได้ว่ามีการส่งเสรมิ บทบาทของคอมพิวเตอรใ์ นงานด้านธุรกจิ ในรปู แบบพาณิชย์อเิ ลก็ ทรอนิกสจ์ ากรฐั บาลอย่างต่อเน่ือง มกี ารใช้คอมพวิ เตอร์ในการช่วยวางแผน ด้านธรุ กิจ การประเมนิ สถานการณท์ างเศรษฐกจิ และชว่ ยนาเสนอสินค้าในรูปแบบของเวบ็ ไซต์ ผ่านทางเครือขา่ ย อินเตอรเ์ น็ต 10. บทบาทคอมพวิ เตอร์ในงานดา้ นธนาคาร มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการด้านงาน สานักงานของ ธนาคาร การใช้คอมพิวเตอร์ในการเกบ็ ขอ้ มลู ลกู ค้า ประมวลผล การฝากเงิน การถอนเงิน และอตั ราดอกเบยี้ ซึง่ จาเปน็ ตอ้ งมีการประมวลผลแบบทนั ที เพื่อให้เกดิ ความถูกตอ้ งและแม่นยา 11. บทบาทคอมพวิ เตอร์ในงานดา้ นสานกั งาน เพือ่ จดั ทาเอกสารงานพิมพ์ งานนาเสนอข้อมูล การเกบ็ ขอ้ มูล การคานวณและการจัดการข้อมลู ท่ใี ช้ชว่ ยในการตดั สนิ ใจของผู้บรหิ าร ซง่ึ ชว่ ยให้การจัดการ งานต่างๆในสานักงานมีคุณภาพ ประหยัดเวลา และประหยัดทรัพยากร 12. บทบาทของคอมพิวเตอรใ์ นงานด้านความบันเทิง แบง่ ได้ 2 ประเภท ดงั นี้ -เพลงและภาพยนตร์ ปจั จุบันผูใ้ ช้นิยมฟังเพลงและดภู าพยนตรผ์ า่ นทางคอมพิวเตอร์ เนอื่ งจากสะดวก ประหยัด ภาพและเสียงมคี ุณภาพเทยี บเทา่ กบั สอื่ อ่นื ๆ มีการให้บริการดาวนโ์ หลดเพลงและตัวอย่างภาพยนตร์ จากระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และคอมพวิ เตอรย์ งั มีความสามารถสรา้ งภาพยนตร์แอนเิ มชนั – เกมคอมพิวเตอร์ มกี ารติดตั้งเกมไว้ในคอมพิวเตอรเ์ พ่ือเล่นคนเดยี วและการเล่นผ่านเครอื ขา่ ย คอมพิวเตอร์หรือเกมออนไลน์ซง่ึ กาลงั เปน็ ท่ีแพรห่ ลาย เนือ่ งจากสามารถเลน่ พร้อม ๆ กันได้หลายคน
19 ประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ 1. ดา้ นการศึกษา – ชว่ ยนาเสนอขอ้ มลู ได้หลากหลายรูปแบบ – ช่วยรวบรวมข้อมลู ตา่ งๆ ไว้ในแหลง่ ข้อมลู เดียวกัน – ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนสามารถศกึ ษาหาความรไู้ ดด้ ้วยตนเอง – ช่วยแลกเปล่ียนและนาเสนอแนวความคิดของผ้เู รียนและผู้อื่น 2. ด้านการสอ่ื สาร – ชว่ ยประหยัดเวลาและคา่ ใช้จ่ายในการติดต่อสอ่ื สาร – เปน็ สอ่ื กลางในรับและสง่ ข้อมูลจากทห่ี นง่ึ ไปยังอีกที่หนง่ึ – ช่วยกระจายข้อมูลจากแหล่งขอ้ มูลหนึง่ ไปยังผใู้ ชท้ ุกคน 3. ดา้ นการบรหิ ารประเทศ – เปน็ ช่องทางการรบั รขู้ ้อมูลจากประชาชน – เป็นชอ่ งทางการนาเสนอขอ้ มูลไปสู่ประชาชน – สง่ เสรมิ การแสดงออกซึง่ ประชาธิปไตย – เพ่ิมทัศนคติทเ่ี ก่ยี วกับการบรหิ ารประเทศด้านบวกใหแ้ กป่ ระชาชน 4. ดา้ นสังคมศาสตร์ – ชว่ ยเก็บข้อมูลสถิติด้านสังคมศาสตร์ – ชว่ ยคานวณแนวโนม้ ปัญหาทอี่ าจเกดิ ข้ึนในอนาคต – ชว่ ยนาเสนอข้อมูลในรูปแบบของกราฟ แผนภูมิ หรอื ภาพ 3 มติ ิ ทาให้สามารถเปรยี บเทยี บข้อมลู ตา่ งๆ ไดง้ ่ายยิ่งขน้ึ 5. ดา้ นวิศวกรรม – ชว่ ยออกแบบและคานวณโครงสร้างบ้านและอาคาร – สรา้ งโมเดลจาลองก่อนการสรา้ งโมเดลจรงิ – ควบคุมการทางานด้านก่อสร้างที่มีความละเอียดอ่อน – ชว่ ยประมวลผลและประเมินสถานการณ์ทีอ่ าจเกิดปญั หาขน้ึ ในอนาคต 6. ดา้ นวิทยาศาสตร์ – ชว่ ยเก็บและประมวลผลขอ้ มลู ในงานวจิ ยั และการทดลองตา่ งๆ – เชื่อมตอ่ กับอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อเพ่ิมประสิทธิภาพของอปุ กรณน์ นั้ – ช่วยทางานวจิ ัยหรืองานทดลองท่ีมีความละเอยี ดและมีขนาดทเี่ ลก็ ๆ ได้ – สร้างแบบจาลองงานทดลองเพื่อลดความผดิ พลาดจากการทดลองกับของจริง 7. ดา้ นการแพทย์ – ลดความผดิ พลาดและเพิ่มความแม่นยาในการวินิจฉัยและรกั ษาโรค – เผยแพรข่ อ้ มลู เกยี่ วกับการดูแลรกั ษาสขุ ภาพ – ชว่ ยลดเวลาในการกั ษาโรค
20 8. ดา้ นอตุ สาหกรรม – ชว่ ยควบคุมการผลิตชิ้นงานให้ได้ปรมิ าณและคุณภาพตามต้องการ – ชว่ ยทางานในพน้ื ท่เี สีย่ งภยั หรอื งานที่มนุษย์ไม่สามารถทาได้ – ชว่ ยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน – ชว่ ยคานวณปริมาณวตั ถดุ บิ สินคา้ และกาไร 9. ด้านธุรกจิ – เปน็ ชอ่ งทางในการนาเสนอสนิ คา้ – ชว่ ยตรวจสอบและสงั่ ซอื้ สินคา้ ตา่ งๆ – ขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผูท้ ม่ี ีเงินทุนตา่ – ช่วยคานวณตวั เลขทางธุรกิจไดอ้ ย่างแมน่ ยา – เพม่ิ ความสะดวกในการซื้อและขายสนิ ค้าจากทัว่ โลก 10. ด้านธนาคาร – ลดขัน้ ตอนในการดาเนนิ งาน – ชว่ ยอานวยความสะดวกให้แกผ่ ใู้ ช้บรกิ ารธนาคาร ทาให้สามารถจัดการด้านการเงนิ ได้ทุกทตี่ ลอดเวลา – ชว่ ยเกบ็ ข้อมลู ลูกคา้ ไวใ้ นสว่ นกลาง ทาใหส้ ามารถตรวจสอบข้อมูลของลกู ค้าได้จากทุกธนาคาร 11. ด้านสานกั งาน – ใช้สร้างงานนาเสนอในรูปแบบท่ีนา่ สนใจ – ช่วยประหยดั ค่าใชจ้ ่ายในการพิมพเ์ อกสาร – ช่วยเก็บข้อมูลท่ีเป็นประโยชนต์ อ่ การตดั สินใจของผบู้ ริหาร 12. ด้านความบนั เทงิ – ช่วยใหเ้ กิดความสนกุ สนานและทาให้รู้สึกผ่อนคลาย – เพิม่ ทักษะการใช้คอมพวิ เตอร์ – ส่งเสรมิ ความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ – สง่ เสรมิ พัฒนาการทางด้านสมอง ความหมายของอินเทอร์เนต็ อนิ เตอร์เน็ตหรืออินเทอร์เน็ต (Internet) ย่อมาจากคาว่า “International network” หรือ “Inter Connection network” ซึ่งหมายถงึ เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทีเ่ ช่อื มโยงเครือข่ายคอมพิวเตอรท์ ่ัว โลกเขา้ ไว้ดว้ ยกนั เพอื่ ให้เกิดการสอื่ สารและการแลกเปลีย่ นขอ้ มูลโดยอาศยั ตวั เช่อื มเครือขา่ ยภายใต้มาตรฐาน การเชือ่ มโยงเดียวกัน อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) หมายถึง เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ท่ีมขี นาดใหญ่มกี ารเช่ือมต่อระหวา่ งเครือขา่ ยหลายๆ เครือข่ายท่ัวโลก โดยใช้ภาษาที่ใชส้ ื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทีเ่ รียกวา่ โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้ เครือข่ายนส้ี ามารถสื่อสารถึงกนั ได้
21 ประวัตคิ วามเปน็ มาของอนิ เตอรเ์ นต็ เครอื ข่ายอินเตอร์เนต็ ถอื กาเนิดมาในยุคสงครามเยน็ ระหวา่ งสหรัฐกับรัฐเซีย ในปี ค.ศ. 1960 ซง่ึ กระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นวา่ ระบบคอมพิวเตอรส์ าหรบั สั่งการต้องเปน็ ระบบเครือขา่ ยทีใ่ ช้ งานไดต้ ลอดเวลา หากมกี ารโจมตีด้วยระเบดิ ปรมาณทู ี่เมอื งใดเมืองหน่งึ ระบบคอมพวิ เตอรบ์ างสว่ นอาจถกู ทาลาย แต่ส่วนท่เี หลอื ทางานได้ เปา้ หมายการวิจยั และการพฒั นาเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรด์ ังกล่าวจึงกลายเปน็ โครงการช่อื ARPAnet หรอื Advance Research Project Agency net โดยมอบหมายให้กลุ่มมหาวทิ ยาลัย ในสหรฐั อเมริกาเป็นผู้ทาการวจิ ยั และเชอ่ื มโยงเครือข่าย ในปี ค.ศ. 1983 ได้มีการนา TCP/IP Protocol หรอื Transmission Control Protocol มาใช้กับ คอมพิวเตอร์ทุกเครอื่ งในระบบเป็นครงั้ แรก จนกรทง่ั ได้กลายเปน็ มาตรฐานในการติดต่อในระบบเครือข่าย อนิ เตอรเ์ น็ตมาจนถึงปจั จบุ นั ในปี ค.ศ. 1986 มีการกาหนดช่ือโดเมน (Domain name System) เพื่อสร้างฐานขอ้ มลู ในแตล่ ะ เครือข่าย และใช้ ISP (Internet Service Provider) ในการจัดทาฐานข้อมลู ของตนเอง ปจั จบุ นั คอมพวิ เตอร์ท่วั โลกล้วนแตเ่ ชอื่ มตอ่ กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถติดตอ่ แลกเปลย่ี นข้อมลู กันได้ อย่างกว้างขวางและท่ัวถงึ กวา่ เดมิ ประโยชนข์ องอินเทอรเ์ น็ต ใช้เปน็ ระบบการส่ือสารสว่ นบุคคล เป็นระบบท่ีทาให้การสอื่ สารระหว่างกันเกิดขน้ึ ได้ง่าย เชน่ อิเลก็ ทรอนิกส์ เมล์หรอื เรียกย่อๆ ว่า อีเมล์ (E-mail) ใช้เปน็ แหล่งคน้ คว้าหาข้อมลู ทง้ั ข้อมลู ทางวิชาการ ข้อมลู ดา้ นการบนั เทงิ ด้านการแพทย์ และอน่ื ๆ ทีน่ ่าสนใจ สามารถซ้ือขายสนิ ค้า ผา่ นระบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตได้ ทาให้สะดวกสบายและทาธุรกิจได้ทุกท่ที ี่มีเครอื ข่าย อินเทอรเ์ น็ต เป็นประโยชนต์ ่อการศึกษา นกั ศกึ ษาในมหาวิทยาลยั สามารถใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ตดิ ต่อกับมหาวทิ ยาลัยอื่นๆ เพื่อ คน้ หาข้อมูลทก่ี าลงั ศึกษาอยูไ่ ด้ ท้ังที่ข้อมลู ที่เปน็ ขอ้ ความ เสยี ง ภาพเคล่ือนไหวต่างๆ ค้นหาขอ้ มูลตา่ งๆ เพอ่ื ชว่ ยในการตดั สนิ ใจทางธรุ กจิ การพักผอ่ นหย่อนใจ สนทนาการ เช่น การคน้ หาวารสาร ตา่ งๆ การเลน่ เกม หรือดูหนงั ฟงั เพลง เป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนการสอนผ่านอนิ เตอรเ์ นต็ เป็นแหล่งข้อมูล ความรู้ในทุกๆเรื่อง ทาใหค้ ้นหาได้สะดวกรวดเรว็ ไม่ตอ้ งเสียเวลาและสิ้นเปลอื งเงนิ ในการซ้ือตารา โดยสรปุ อินเทอร์เน็ต เปน็ เครื่องมือสาคญั และจาเป็นในการตดิ ต่อสือ่ สาร และทาให้เกดิ ช่องทางในการเข้าถึง ขอ้ มูลได้อย่างรวดเรว็ ช่วยในการตดั สินใจและอานวยความสะดวก ทัง้ ในด้านการศกึ ษา การค้นคว้าหาข้อมูล ความบนั เทงิ และการติดตอ่ ส่ือสาร งำนวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง ชเนตตี สยนานนท์ (2555) ไดท้ าวจิ ยั เรือ่ ง พฤติกรรมและปัญหาการใช้อินเทอรเ์ น็ตของนักศกึ ษา ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฎบา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา ผลการวจิ ยั สรปุ ได้ดังน้ี 1. การศึกษาพฤตกิ รรมการใช้อนิ เทอร์เนต็ ของนักศกึ ษา พบว่า นกั ศกึ ษามีพฤตกิ รรมการใชอ้ ินเทอร์เนต็ ท้งั โดยรวมและเป็นรายด้านอยู่ในระดับมาก
22 2. การเปรียบเทียบพฤตกิ รรมการใชอ้ ินเทอร์เน็ตของนักศึกษา โดยรวมและเปน็ รายด้าน 3 ด้าน จาแนกตาม เพศ ระดบั ช้นั ปี คณะวชิ า และผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น สรุปไดด้ งั น้ี 2.1 นักศกึ ษาชายและนักศึกษาหญงิ มพี ฤติกรรมการใช้อนิ เทอร์เน็ตโดยรวมและเป็นรายด้าน ทุกด้าน ไม่แตกต่างกัน 2.2 นกั ศกึ ษาที่กาลงั ศึกษาอยู่ในชนั้ ปีต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต โดยรวมไม่แตกตา่ งกนั เม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า นกั ศึกษาที่กาลงั ศกึ ษาอยู่ในช้ันปตี ่างกนั มพี ฤติกรรมการใช้อนิ เทอรเ์ น็ตใน ด้านการตดิ ต่อส่อื สารแตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .05 สว่ นดา้ นอนื่ ๆ พบว่าไม่แตกต่างกนั 2.3 นกั ศกึ ษาท่ีกาลงั ศึกษาอยู่ในคณะวิชาต่างกนั มีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต โดยรวมแตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05 เมือ่ พิจารณาเปน็ รายด้าน พบว่า นกั ศึกษาที่กาลังศึกษาอย่ใู นคณะวชิ า ตา่ งกนั มีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต ด้านการตดิ ต่อสอื่ สารแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 สว่ นดา้ นอนื่ ๆ พบว่าไม่แตกต่างกัน 2.4 นักศกึ ษาท่ีมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแตกตา่ งกนั มพี ฤติกรรมการใชอ้ ินเทอร์เนต็ โดยรวมแตกตา่ ง กัน อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .05 เม่ือพจิ ารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนแตกตา่ งกนั มีพฤติกรรมการใช้อนิ เทอร์เนต็ ต่างกัน ในด้านการศึกษาและด้านความบันเทิงอย่างมี นัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 สว่ นด้านการติดต่อส่ือสาร พบวา่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั 3. การศกึ ษาระดับปัญหาการใช้อินเทอร์เนต็ ของนกั ศึกษา พบว่า นักศึกษามีปัญหาการใช้อนิ เทอร์เน็ต โย รวมอยู่ในระดับปานกลาง 4. การเปรยี บเทยี บระดับปัญหาการใช้อินเทอรเ์ น็ตของนกั ศึกษา จาแนกตามเพศ ระดับชนั้ ปี คณะวชิ า และ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น สรปุ ได้ดงั น้ี 4.1 นกั ศึกษาชายและนักศึกษาหญิง มปี ัญหาการใชอ้ นิ เทอร์เน็ต โดยรวมแตกต่างกัน อยา่ งมีนยั สาคัญ ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 4.2 นกั ศึกษาท่ีกาลงั ศึกษาอยู่ในชน้ั ปตี ่างกันมปี ัญหาการใช้อนิ เทอรเ์ น็ตโดยรวมไม่แตกต่างกนั 4.3 นักศกึ ษาท่ีกาลังศึกษาอยู่ในคณะวิชาตา่ งกัน มีปัญหาการใช้อินเทอรเ์ นต็ โดยรวมไม่แตกต่างกนั 4.4 นักศึกษาทีม่ ผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นตา่ งกนั มีปญั หาการใช้อนิ เทอรเ์ นต็ โดยรวมไม่แตกต่างกนั วฒุ ิชัย เหมดี (2548:บทคดั ย่อ) ได้ทาการศึกษาวจิ ยั เรือ่ ง การศกึ ษาต้องการในการใชค้ อมพวิ เตอรต์ าม ความเห็นของนักศกึ ษา ขอ้ ท่ีมคี วามต้องการสงู สุดทีส่ ดุ คือ นักศึกษาสว่ นใหญ่มีความตอ้ งการใช้คอมพวิ เตอร์ สงู ทส่ี ุดอยูใ่ นระดับมาก รองลงมาคือมีความต้องการในการใชค้ อมพวิ เตอร์ในการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ต่าทีส่ ดุ คือ มีความตอ้ งการในการใช้ระบบปฏิบัติการ Linux อยู่ในระดับมาก ข้อท่มี ปี ระโยชน์สงู สดุ คอื ได้รบั ความ สนุกสนานในการใชเ้ คร่ืองคอมพวิ เตอร์อย่ใู นระดับมาก สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างเต็มท่ี อยูใ่ นระดบั มากและนักศึกษาส่วนใหญม่ คี วามต้องการในการใชเ้ คร่อื งคอมพิวเตอร์ท่ีมีประสทิ ธิภาพและมคี วามเรว็ สงู คุณภาพดี ราคาถูก ประหยดั รูปลกั ษณ์มสี สี นั ทนั สมัยงา่ ยต่อการใช้งาน รูปแบบคาสงั่ เป็นภาษาไทยท้งั หมด เพอื่ ความสะดวกในการใชง้ าน
23 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ กำรวิจัย การวจิ ัยเรือ่ ง การศกึ ษาพฤติกรรมในการใชค้ อมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ น็ตของนักเรยี นระดับ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ผวู้ ิจัยไดด้ าเนนิ การวจิ ยั ดังนี้ ประชำกร นกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 118 คน กลุ่มตวั อยำ่ ง นักเรียนระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 60 คน เครอื่ งมอื ในกำรวจิ ัย แบบสอบถามการศึกษาพฤติกรรมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 กำรรวบรวมขอ้ มูล 1. ศกึ ษาวธิ ีการสร้างแบบสอบถามพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอร์เนต็ แลว้ จงึ ออกแบบ แบบสอบถาม 2. สร้างแบบสอบถาม โดยแบง่ ออกเปน็ 3 หวั ขอ้ หลัก ดงั นี้ สถานท่ีท่นี ักเรยี นใชบ้ ริการคอมพวิ เตอร์และ อินเทอร์เนต็ ชว่ งเวลาที่นกั เรยี นใชบ้ รกิ ารคอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ น็ตของโรงเรียน บริการทางอนิ เทอรเ์ นต็ ทนี่ ักเรยี นนยิ มใช้ จานวน 60 ชุด 3. แจกแบบสอบถามใหน้ กั เรียนกรอก และเก็บรวบรวมมาวเิ คราะหข์ ้อมูล
24 บทที่ 4 ผลกำรวิจัย การวิจยั คร้ังน้ีมวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการใช้คอมพวิ เตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ตของนกั เรยี น ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบา้ นทงุ่ กราด ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 จากการศึกษาพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ตของนกั เรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 สรปุ ได้ดังตารางต่อไปน้ี ตำรำง ผลการประเมนิ พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เน็ต ของนกั เรียนระดับช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 รายการประเมนิ ระดับพฤตกิ รรม X S.D. การใช้บริการ 1. สถานทท่ี น่ี ักเรยี นใชบ้ ริการคอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ น็ต 1.1 โรงเรียน 3.50 .89 มาก 1.2 บา้ น 2.98 1.57 ปานกลาง 1.3 รา้ นอนิ เทอร์เนต็ 2.81 1.38 ปานกลาง 2. ช่วงเวลาทนี่ ักเรยี นใชบ้ ริการคอมพวิ เตอรแ์ ละ อินเทอร์เน็ตของโรงเรียน 2.1 ในชวั่ โมงเรียนคอมพิวเตอร์ 3.50 .70 มาก 2.2 ชว่ งเชา้ 1.65 .84 นอ้ ย 2.3 ช่วงพกั กลางวัน 1.81 .93 น้อย 2.4 ช่วงเย็น 1.65 1.09 นอ้ ย 3. บรกิ ารทางอินเทอรเ์ นต็ ทนี่ กั เรยี นนยิ มใช้ 3.93 .86 มาก 3.1 เฟสบคุ๊ 2.35 1.09 นอ้ ย 3.2 จดหมายอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 3.3 ค้นหาข้อมลู 2.98 1.44 ปานกลาง 3.4 เกมสอ์ อนไลน์ 3.65 1.17 มาก 3.5 ดูหนัง ฟงั เพลง ภาพยนต์ ละคร 3.35 1.41 ปานกลาง 3.6 บรกิ ารข่าวสาร และหนังสอื พมิ พต์ ่าง ๆ 2.51 1.28 ปานกลาง 3.7 ธุรกิจซ้ือขายบนอนิ เทอรเ์ นต็ 1.40 .93 น้อยท่สี ุด จากตาราง จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ของนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ในส่วนของสถานที่ที่นักเรียนใช้บริการคอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ตพบว่า นักเรียนใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตท่ีโรงเรียนมากท่ีสุด มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.50 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.89 แสดงวา่ นกั เรียนมพี ฤตกิ รรมการใชบ้ ริการอยใู่ นเกณฑร์ ะดับมาก
25 ในส่วนของช่วงเวลาที่นักเรียนใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของโรงเรียน พบว่านักเรียนใช้ บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในช่วั โมงเรยี นคอมพิวเตอร์มากทสี่ ุด มีค่าเฉล่ยี เท่ากับ 3.50 ส่วนเบยี่ งเบน มาตรฐานเท่ากบั 0.70 แสดงว่านกั เรยี นมีพฤตกิ รรมการใชบ้ ริการอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก ในส่วนของบริการทางอินเทอร์เน็ตท่ีนักเรียนนิยมใช้พบว่า นักเรียนใช้บริการเฟสบุ๊คมากท่ีสุด มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.86 รองลงมาคือ เกมส์ออนไลน์ มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.65 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.17 แสดงว่านกั เรยี นมีพฤตกิ รรมการใชบ้ รกิ ารอยใู่ นเกณฑ์ระดบั มาก
26 บทที่ 5 สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ การวิจยั ครั้งนเ้ี ป็นการวจิ ัยศึกษา มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื ศกึ ษาพฤตกิ รรมในการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละ อินเทอร์เนต็ วตั ถุประสงคข์ องกำรวจิ ัย เพอ่ื ศึกษาพฤติกรรมการใช้คอมพวิ เตอร์และอินเทอร์เนต็ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นบา้ นทุ่งกราด ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 ประชำกร ประชากรของการวิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรยี นระดบั ช้นั ปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 118 คน กลุ่มตัวอยำ่ ง กล่มุ ตัวอยา่ งคอื นักเรียนระดับช้ันปีที่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จานวน 60 คน สรุปผลกำรวจิ ัย จากผลการวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่นิยมการใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่โรงเรียนใน ระดับมาก ช่วงเวลาที่นักเรียนใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนในชั่วโมงเรียนรายวิชา คอมพวิ เตอรอ์ ยใู่ นระดับมาก บรกิ ารทางอนิ เทอรเ์ น็ตท่นี ักเรยี นนิยมใช้คือเฟสบคุ๊ และเกมสอ์ อนไลน์ อยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะ ผลจากการวิจัยนักเรียนใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่มากท่ีสุดคือ เฟสบุ๊คและเกมส์ออนไลน์ จึงควรมี การศึกษาเว็บไซต์หรือเกมส์เกีย่ วกับอะไรที่นักเรียนสนใจ เพ่ือจะได้นาข้อมูลท่ีได้มาเฝ้าระวังภัยที่เข้ามากับเฟสบุ๊ค และเกมส์ จากการเล่นเกมส์ และแนะนาให้นกั เรียนใช้เฟสบุ๊คในการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์ นอกจากน้ันยัง ใช้วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และแนะนาเว็บไซต์เกมส์ท่ีน่าสนใจเป็นประโยชน์ในการการสร้าง เสรมิ ความรู้ใหน้ กั เรียนต่อไป
27 บรรณำนกุ รม https://www.novabizz.com/NovaAce/Behavior https://lovemaisiriwan16.wordpress.com https://sites.google.com/site/pennapa1810/khxmphiwtexr-ni-chiwit-praca-wan https://www.im2market.com/2016/10/27/3655 http://computer.bcnnv.ac.th/hnwy-kar-reiyn-ru2
28 ภำคผนวก
แบบสอบถามการศึกษาพฤติกรรมในการใชค้ อมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ น็ตของนักเรียน ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 ……………………………………………………………………………………………………………………… คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนตอบแบบสอบถามให้ตรงตามเป็นจริงมากท่ีสดุ ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลสว่ นตวั 1. ช้ัน/ห้อง ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1/1 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1/2 ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1/3 2. เพศ เพศชาย เพศหญิง ตอนท่ี 2 รายการประเมิน ระดบั ความพึงพอใจ รายการประเมิน มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย กลาง ทสี่ ุด 1.สถานที่ที่นกั เรียนใช้บรกิ ารคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เนต็ 1.1 โรงเรยี น 1.2 บา้ น 1.3 ร้านอินเทอร์เน็ต 2. ช่วงเวลาทนี่ กั เรยี นใช้บริการคอมพวิ เตอร์และอินเทอร์เนต็ ของโรงเรยี น 2.1 ในชว่ั โมงเรียนคอมพวิ เตอร์ 2.2 ช่วงเชา้ 2.3 ช่วงพกั กลางวนั 2.4 ช่วงเย็น 3. บรกิ ารทางอินเทอรเ์ น็ตที่นักเรยี นนิยมใช้ 3.1 เฟสบ๊คุ 3.2 จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 3.3 ค้นหาข้อมูล 3.4 เกมส์ออนไลน์ 3.5 ดูหนัง ฟังเพลง ภาพยนต์ ละคร 3.6 บริการขา่ วสาร และหนงั สือพิมพ์ตา่ งๆ 3.7 ธรุ กจิ ซอื้ ขายบนอินเทอร์เนต็
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: