จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศกึ ษา ๔๘ ๒. เมื่ออธิษฐานจิตแน่วแน่แล้วเขาต้องขอรับความช่วยเหลือจากกัลยาณมิตร เช่น ขอรับการบำบัดรักษาด้วยยาจากแพทย์ ในกรณีของคนติดยาเสพติด ขอคำแนะนำจากพระสงฆ์ หรือ การปลุกปลอบให้กำลังใจจากสมาชกิ ในครอบครวั นักบรหิ ารทปี่ ลอดอบายมุขจะไมม่ ีรูรว่ั ในชวี ิต และไมม่ คี วามจำเป็นท่เี ขาจะตอ้ งทุจรติ คอรปั ชนั่ เมื่อตัวเอง เปน็ คนซ่อื มอื สะอาด เขาย่อมสามารถควบคุมคนอ่นื ให้สุจริตต่อหน้าที่นกั บริหารท่ีมแี ผลเต็มตัวจะไม่กล้า ตำหนีหรอื ลงโทษใคร เขา้ ทำนองวา่ “ไกเ่ ห็นตนี งู งเู ห็นนมไก่” เหตุนั้นนักบริหารต้องถนอมตัวไว้อย่าให้มีประวัติด่างพร้อยด้วยการรักษาศีล ๕ และ หลีกเวน้ จากอบายมุข นกั บรหิ ารผปู้ ระกอบพฤติธรรมดำรงมนั่ ในความสุจริตเช่นนั้น ย่อมเป็นแบบอย่างที่ ดสี ำหรับผรู้ ว่ มงาน เมื่อมผี ู้นำท่ีดี คนดีอื่น ๆ ในองค์กรย่อมมีกำลังใจ และคนชวั่ ก็ไมก่ ลา้ ทำชั่ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า คุนฺนญฺเจตรมานานํ อุชํคจฺฉติ ปุงฺคโว แปลความว่า เมื่อฝูงโดข้าม แมน่ ้ำ ถา้ โคหวั โจกขา้ มไปตรง ลกู ฝูงกจ็ ะข้ามไปตรงตาม ถา้ โคหวั โจกขา้ มคดไปคดมา ลูกฝงู กจ็ ะข้ามคดไป คดมา เชน่ เดยี วกบั สงั คมหรือประเทศชาติ ถา้ ผ้นู ำประพฤติธรรมผตู้ ามก็จะประพฤติธรรมตาม ถ้าผู้นำไม่ ประพฤติธรรม ผตู้ ามกจ็ ะไม่ประพฤตธิ รรม ยามฝงู โคขา้ มฟาก นที โคโจกไปตรงดี ไปเ่ ค้ียว ฝูงโคลอ่ งวารี รบี เรง่ ทั้งหมดไปล่ ดเล้ียว ไตเ่ ตา้ ตามกัน นักบริหารผู้สุจริตย่อมเป็นทีเ่ คารพยำเกรงของคนร่วมงานก็จริง แต่เขาจะนั่งอยู่ในหัวใจของคน ร่วมงานไม่ได้ ถา้ ขาดกำลังที่ ๔ คอื สงั คหพละ ๔. สงั คหพละ : กำลังแหง่ การสงเคราะห์ สงั คหพละ แปลว่า กำลงั แหง่ การสงเคราะห์ หรอื มนษุ ยสมั พนั ธ์ ซึง่ เป็นธรรมที่สำคัญมากสำหรับ นักบริหาร ผทู้ ำงานให้สำเรจ็ โดยอาศัยคนอ่นื ถ้านักบริหารบกพร่องเรื่องมนุษยสัมพันธ์ ก็จะไม่มีคนมาช่วยทำงาน เมื่อไม่มีใครช่วยทำงานเขาก็เป็น นกั บริหารไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักการสร้างมนุษยสัมพันธ์ไว้เรียกว่าสังคหวัตถุ หมายถึงวิธีผูกใจคน พระองค์ตรสั ว่า รถม้าแล่นไปได้เพราะมีลิ่มสลักคอยตรึงส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถม้าเข้าด้วยกันฉนั ใด คนในสังคมก็ฉันนั้น คือทำหน้าที่เป็นกาวใจเชื่อมประสานคนทั้งหลายเข้าด้วยกัน ลิ่มสลักดังกล่าวน้ัน คอื สงั คหวตั ถุ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บริหารสถานศึกษา ๔๙ นกั บรหิ ารจะสามารถผูกใจเพอ่ื นร่วมงาน และผใู้ ต้บงั คับบัญชาไวไ้ ด้ ถา้ มีสังคหวัตถุ ๔ ประการ สงั คหวัตถุ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. ทาน หมายถงึ การให้ (โอบอ้อมอาร)ี นักบริหารทดี่ ีต้องมนี ำ้ ใจรู้จักเอ้อื เฟอ้ื เผื่อแผ่ ให้ทานแกเ่ พ่ือนร่วมงานและผู้ใตบ้ งั คับบัญชา การให้ทางจะช่วยให้ผกู คนอน่ื ไวไ้ ด้ ดงั พุทธพจนท์ ีว่ า่ “ทโท คนถฺ ตมิ ติ ฺตานิ ผู้ใหย้ อ่มผกู ใจมติ รไว้ได้” นักบริหารอาจให้ทานได้ ๓ วิธี คือ ก. อามิสทาน หมายถึง การใหส้ ง่ิ ของแก่เพ่ือนร่วมงานและผูใ้ ต้บังคับบญั ชา โดยเฉพาะ การให้เพอื่ ผูกใจนส้ี ำคญั มาก ในยามท่ีเขาตกต่ำหรอื มคี วามเดือดร้อน ดงั ภาษติ องั กฤษทีว่ ่า “เพื่อนแท้ คือ เพ่อื นทชี่ ่วยเหลอื ในยามตกยาก”การใหร้ างวัลหรอื ขน้ึ เงนิ เดือนก็จดั เขา้ ในอามสิ ทาน ข. วิทยาทาน คือ ธรรมทาน หมายถึง การให้คำแนะนำหรือสอนวิธีทำงานที่ถูกต้อง รวมถึงการจดั หลักสูตรพฒั นาบคุ ลากรหรือสง่ ไปศึกษาและดงู าน ค. อภัยทาน หมายถึง การให้อภยั เมอ่ื เกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน หรอื ล่วงเกินซ่ึงกัน และกัน การใหอ้ ภัยไมท่ ำใหผ้ ู้ให้ตอ้ งสูญเสยี อะไร เปน็ การลงทนุ ราคาถกู แต่ไดผ้ ลตอบแทนราคาสูง น่ันคือ ได้มิตรภาพกลับคนื มา และมคี นสนองงานเพม่ิ ขึ้นอีกคนหน่ึง มภี าษิตจนี ท่วี ่า “มมี ติ ร ๕๐๐ คน นบั ว่ายงั น้อยเกินไป มีศัตรู ๑ คน นับวา่ มากเกนิ ไป” อบั ราฮมั ลนิ คอล์น กลา่ ววา่ “วธิ ที ำลายศัตรูที่ดีท่ีสุด คอื เปลยี่ นศัตรูให้เป็นมิตร” เราจะทำอย่างนั้นได้ก็ ตอ่ เมื่อเรารูจ้ กั ใหอ้ ภัย ๒. ปยิ วาจา หมายถึง การพดู ถอ้ ยคำไพเราะออ่ นหวาน (วจไี พเราะ) นักบรหิ ารทด่ี ีจะรู้จักผูกใจคนดว้ ยคำพูดอ่อนหวาน คำพูดหยาบกระด้างผูกใจใครไม่ได้ ตามปกติ คนเราจะมัดสิ่งของต้องใช้ของอ่อน เช่น เชื่อก หรือลวดมัด ในทำนองเดียวกันเราจะมัดใจคนได้ก็ด้วย ถ้อยคำอ่อนหวาน ดังโคลงโลกนิติที่วา่ อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลอื หลาย หยาบบ่มเี กลอราย เกล่อื นใกล้ ดจุ ดวงศศฉิ าย ดาวดาษ ประดบั นา สุรยิ ส่องดาราไร้ เมอ่ื รอ้ นแรงแสง ๓. อัตถจริยา หมายถงึ การทำตัวให้เปน็ ประโยชน์แกผ่ ้อู นื่ (สงเคราะห์ประชาชน) ตรงกับคำพังเพยทวี่ า่ “อย่บู า้ นท่านอยา่ นง่ิ ดดู าย ปนั้ ววั ปนั้ ควายให้ลูกทา่ นเลน่ ” นักบริหารทำอัตถจริยาได้หลายวิธี เช่น บริการช่วยเหลือยามเขาปว่ ยไข้ หรือเป็นประธานในงาน พธิ ีของผู้ใต้บงั คบั บญั ชา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๕๐ อาศัยเรอื นทา่ นให้ วิจารณ์ เห็นท่านทำการงาน ชว่ ยพร้อง แม้มีกจิ โดยสาร นาเวศ พายค่อยช่วยคำ้ จ้วง จรดใหจ้ นถงึ ๔. สมานัตตา หมายถงึ การวางตวั สม่ำเสมอ (วางตนพอด)ี เมื่อนักบริหารไม่ทอดท้ิงผู้ร่วมงานท้ังหลาย เขาจึงจะสามารถสร้างทีมงานข้ึนมาได้ นั่นคือถือคติ วา่ “มที ุกข์รว่ มทุกข์ มีสุขรร่วมเสพ” นักบริหารต้องกล้ารับผิดชอบในผลการตัดสินใจของตนเอง ถ้าผลเสียตกมาถึงผูป้ ฏิบัติตามคำสง่ั ของตน นกั บรหิ ารต้องออกมาปกปอ้ งคนนน้ั ไมใ่ ชห่ นเี อาตวั รอดตามลำพัง ตวั อยา่ งคนทีม่ ีสมานตั ตากค็ อื คนทีเ่ ปน็ “เพ่ือนตาย” ในโคลงบทน้ี เพื่อนกนิ ส้ินทรัพย์แล้ว แหนงหนี หาง่าย หลายหมื่นปี มากได้ เพื่อนตาย ถา่ ยแทนชี- วาวาตม์ หายาก ฝากผไึ ข้ ยากแทจ้ กั หา ธรรมะสำหรับผู้เปน็ ใหญ่ เม่อื นกั บริหารมสี ังคหวตั ถุทงั้ ๔ ประการ คอื โอบอ้อมอารี วจไี พเราะ สงเคราะห์ประชาชน และ วางตนพอดี เขามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถผูกใจคนไว้ได้ แต่สังคหวัตถุเหล่านี้เป็นเรื่องพฤติกรรม ภายนอกทแ่ี สดงออกมา เพอื่ ใหแ้ สดงพฤติกรรมเหลา่ นนั้ มาโดยไม่ต้องฝืนใจ นกั บรหิ ารต้องมีพรหมวิหาร ธรรม คือ ธรรมสำหรบั ผ้ใู หญ่ ๔ ประการ คอื ๑. เมตตา ไดแ้ ก่ ความรกั ความหวังดี ทีป่ รารถนาให้ผอู้ ่ืนมคี วามสุข นักบริหารต้องมีความรกั และความหวังดแี กเ่ พอื่ นรว่ มงาน ความรกั จะเกดิ ได้ถ้านกั บริหารร้จู ักมองแง่ดี หรือสว่ นทีด่ ขี องเพ่ือนร่วมงาน ถ้าพบส่วนเสียในตัวเขา นักบริหารตอ้ งรู้จกั มองขา้ มและให้อภยั เมอ่ื พบสว่ นดกี ็จดจำไว้ เพ่ือจะได้ใช้คนให้ เหมาะสมกับลักษณะที่ดีของเขา ดงั นนั้ เมตตาหรือความรักจึงเกิดจากการมองแง่ดขี องคนอ่นื ทา่ นพทุ ธทาสภิกขุประพันธ์ไว้วา่ ... มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๕๑ เขามสี ว่ น เลวบ้าง ช่างหวั เขา จงเลอื กเอา ส่วนดี เขามอี ยู่ เปน็ ประโยชน์ โลกบ้าง ยงั น่าดู สว่ นที่ช่วั อย่าไปรู ของเขาเลย จะหา คนมดี ี โดยสว่ นเดียว อยา่ มัวเทยี่ ว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมือนมองหา หนวดเต่า ตายเปลา่ เอย ฝกึ ใหเ้ คย มองแตด่ ี มคี ณุ จรงิ ๒. กรณุ า คอื ความสงสารเหน็ ใจ ปรารถนาใหผ้ อู้ ืน่ พน้ ทกุ ข์ เมือ่ เพ่ือนร่วมงานประสบเคราะห์ กรรม นักบริหารต้องมีความสงสาร เหน็ ใจ และคดิ หาทางชว่ ยให้เขาพ้นทุกขน์ นั้ ความสงสารจะเกิดข้ึน ได้กต็ ่อเมือ่ นกั บรหิ ารเปิดใจกว้าง รบั ฟังปัญหาของคนอ่นื กรณุ าต่างจากเมตตาตรงท่ีวา่ กรณุ าเกิดขึ้นเมื่อมองจดุ ดอ้ ยของคนอื่น ส่วนเมตตาเกิดขึน้ เม่อื มองจุดดีของ เขา เชน่ เราเหน็ เด็กนอ้ ยหนา้ ตาน่ารกั เดนิ มา เรามีจิตเมตตาเขา เมื่อเด็กนั้นหกล้มปากแตก เรามจี ิตกรุณา เขา ๓. มทุ ิตา คอื ความรู้สกึ พลอยชื่นชมยินดเี ม่อื ผอู้ นื่ ไดด้ ีมีสขุ นักบริหารต้องส่งเสริมให้คนทำงานมีโอกาสพัฒนาความรู้ ความสามารถจนได้เลื่อนตำแหน่ง สูงขึ้น โดยไม่กลัวว่าลูกน้องจะขึ้นมาทาบรัศมี เขาไม่กีดกันใคร แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำงานแสดง ความสามารถเตม็ ท่ี และพลอยชืน่ ชมยินดีในความกา้ วหน้าของคนร่วมงาน มุทิตาจะทำลายความริษยาใน ใจนกั บริหาร ถ้านักบริหารมีจิตริษยาลูกน้องเสียแล้ว ลูกน้องจะรับรู้ความริษยานั้นและจะไม่ทุ่มเททำงานให้ ดังคำ กลอนที่วา่ อนั เพอื่ นดมี หี น่ึงถงึ จะนอ้ ย ดีกวา่ ร้อยเพอื่ นคดิ รษิ ยา แมเ้ กลือหยิบหนึ่งน้อยด้วยราคา ยังดีกวา่ นำ้ เค็มเต็มทะเล มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศกึ ษา ๕๒ ๕. อุเบกขา คอื ความรู้สกึ วางเฉยเป็นกลาง ไม่ลำเอียงเขา้ ขา้ งคนใดคนหน่งึ นั่นคือมีความยุติธรรมในการให้รางวัลและลงโทษ ข้อสำคัญก็คือนักบริหารต้องรู้เท่าทันคน ร่วมงานทุกคน นักบริหารที่ไม่รู้เท่าทันผู้ร่วมงาน ไม่รู้เท่าทันสถานการณ์อาจวางเฉยได้เหมือนกัน แต่ การวางเฉยเช่นน้นั เรยี กว่า “อญั ญณุเบกขา” คือวางเฉยเพราะโง่ ซึ่งไม่ใชส่ ่งิ ทดี่ ี นักบริหารต้องวางเฉยด้วยปัญญา คือ มีอุเบกขาอย่างรู้เท่าทันคน เมื่อทึกคนทำงานในหน้าที่อย่าง ขยันขันแข็ง นกั บรหิ ารก็มองดพู วกเขาเฉย ๆ ถึงคราวใหบ้ ำเหนจ็ รางวัล ก็เฉล่ยี ให้แก่ทุกคนอย่างถ้วนหน้า ถ้ามีการทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น นักบริหารต้องลงไปห้ามทัพทันที และจัดการลงโทษคนผิดตาม ความเหมาะสม นักบริหารตอ้ งไม่น่ังดูลูกนอ้ งทะเลาะกนั แลว้ เอาตวั รอดคนเดยี ว ดังนั้น ถ้าท่านคิดว่าทฤษฎีที่นำเสนอมาทั้งหมด จะทำให้การบริหารนั้นประสบความสำเร็จแล้ว ไซร้ ท่านจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยเพราะหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ดีแล้วนัน้ รอการพิสูจน์จาก ท่านทง้ั หลาย เมอื่ ใดทที่ า่ นลงมือปฏบิ ัตไิ ด้แล้ว เม่ือนนั้ ท่านจะเป็นผูบ้ รหิ ารทีด่ ที ่ีสดุ เพราะจะได้หัวใจของ ผู้ตาม เพราะผู้มีธรรมอยูใ่ นหัวใจย่อมเป็นศูนย์รวมใจของคนร่วมงานและสามารถจัดการให้งานในหน้าท่ี สำเร็จลุลว่ งไปดว้ ยดี พุทธวิธีสำหรับผ้บู ริหารสถานศึกษาในการบริหารตน บรหิ ารคน และบรหิ ารงาน โดยทั่วไปผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องรับผิดชอบและดูแลและบริหารงานในหลายด้าน ซึ่งเมื่อ ประมวลแล้ว อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญ คือ การบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน หากผู้บริหารสามารถดำเนินการใน ๓ เรื่องนี้ได้อย่างดี ย่อมหมายถึงการบริหารที่ประสบความสำเร็จ ดงั นน้ั ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาสามารถนำแนวพทุ ธวธิ หี รอื แนวทางของพระพุทธศาสนา มาใชใ้ นการบริหารท้ัง ๓ ด้านไดด้ ังตอ่ ไปน้ี ๑. การบริหารตน พระธรรมปิฏก ป.อ. ปยตุ โฺ ต(๒๕๔๖) ได้กล่าวถงึ การนำหลกั พทุ ธธรรมมาใช้ในการบริหารตนของ ผู้บริหารการศึกษาที่ต้องทำงานกับคนจำนวนมากไว้ว่า การทำงานให้มีความสุขทั้งตนเองและเพื่อน รว่ มงานยอ่ มสง่ ผลดีตอ่ คุณภาพการศกึ ษา ดังนัน้ ผบู้ ริหารการศกึ ษาต้องเป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม เพ่ือไป ใช้ในการปกครองตน หลักพุทธธรรมดังกลา่ วประกอบดว้ ย ธรรมทม่ี ีอปุ การะมาก (สติ สัมปชัญญะ) ธรรม ที่คมุ้ คครองโลก (หริ ิ ตตัปปะ) อริ ยสจั ๔ ศลี ๕ กัลยาณมติ ร ๗ และสัปปรุ ิสธรรม บท ๗ ซึ่งธรรมในหมวด นนี้ บั วา่ มคี วามสำคญั อย่างยิ่งในการครองตนใหอ้ ยใู่ นสังคมไดอ้ ย่างรม่ เย็นเปน็ สขุ สัปปุริสธรรม ๗ หมายถึง ธรรมของคนดีที่ผู้บริหารหรือผู้นำที่ดตี ้องยึดเป็นหลักในการครองตน มีรายละเอยี ดดังน้ี มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บริหารสถานศึกษา ๕๓ ๑. การเป็นผู้รู้จักเหตุ คือ รูเ้ รอื่ งของงานในองค์การวา่ จะตอ้ งทำอะไร ดว้ ยหลกั การอะไร ควบคุม วัดผลอยา่ งไรเพ่ือใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายท่ีต้ังไว้ ๒. การเป็นผู้รู้จักผล คือ การรู้วัตถุประสงค์ขององค์การ เช่น วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย จุดมุง่ หมายขององค์การ ๓. การรู้จักตน คือ ผู้บริหารต้องเป็นผู้รู้ทั้งในเชิงรูปแบบและเชิงลุ่มลึก การรู้จักตนเองในเชิง รูปธรรม คือ รู้ถึงความต้องการของตน เป้าหมายและหลักการในการทำงานหรือการดำรงชีวิตรู้จดุ แขง็ จดุ ออ่ น ขอ้ ดี ข้อดอ้ ยของตน การรู้จกั ตนเองอย่างลุ่มลึก คือ ต้องมสี ตริ ูเ้ ท่าทันการกระทำ ความคิด และ อารมณ์ของตนอย่ตู ลอดเวลาส่งผลให้เกิดปญั ญาในการพิจารณาสง่ิ ต่างๆ ตามความเป็นจริงโดยไม่มีความ ลำเอยี ง ๔. การรจู้ กั ประมาณ เป็นกุศโลบายท่ผี บู้ ริหารตอ้ งบริหารจดั การทรัพยากรตา่ งๆ ขององคก์ ร (คน เงิน วสั ดุอปุ กรณ์) ทม่ี อี ยอู่ ยา่ งจำกดั ใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลอยา่ งสงู สุด ๕. การรู้จักกาละ ผู้บริหารต้องพิจารณาว่าเวลาไหนควรทำอะไร คือ รู้จักเหตุรู้จักผล นั่นเองท่ี สำคัญ ตวั ผู้บรหิ ารเองตอ้ งเปน็ ผู้เช่ียวชาญในการบรหิ ารเวลาของตนอีกด้วย ๖.การเป็นผู้รู้จักชุมชน ผู้บริหารต้องรู้ว่าองค์การมีจุดแข็ง ( strengths) และจุดอ่อน (weaknesses) เพียงใด ตอ้ งรู้ถึงวา่ มีปจั จยั สภาพแวดลอ้ มภายนอกอะไรบา้ งทีม่ ีผลกระทบต่อองคก์ ร เช่น โอกาส (Opportunities) หรือความทา้ ทายตา่ งๆ (Threats) เรียกวา่ เปน็ การวเิ คราะห์ SWOT ANALYSIS เพอ่ื เป็นองค์ประกอบในการ กำหนดทิศทางการดำเนนิ งานขององค์การตอ่ ไป ๗. การเป็นผู้จักบุคคล คือ ผู้บริหารต้องรู้รายละเอียดผู้ร่วมงานในทีมว่าเป็นอย่างไร โดยต้องรู้ ละเอียดเป็นรายบุคคล ทั้งด้านความรู้ความสามารถของเขาเพื่อจะได้จัดสรรคนให้เหมาะกับงาน เพราะองค์การ จะประสบความสำเร็จหรือประสบความล้มเหลว ย่อมขึ้นอยู่กับบุคลากรในองค์การเปน็ สำคัญ สอดคล้องกับพระเทพวิสุทธิเมธี (ปัญญานันทภิกขุ,๒๕๔๖) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของคนดี ในทาง พระพุทธศาสนาน้นั ต้องประกอบด้วยหลกั ธรรม ๗ การ คอื ๑. ธัมมัญญตุ า ความเป็นผรู้ ู้จักเหตุ ๒. อัตถญั ญุตา ความเปน็ ผู้รจู้ กั ผล ๓. อัตตัญญตุ า ความเปน็ ผู้รู้จกั ตน ๔. มตั ตัญญุตา ความเป็นผ้รู ู้จกั ประมาณ ๕. กาลัญญุตา ความเปน็ ผู้รจู้ ักกาล ๖. ปรสิ ญั ญตุ า ความเป็นผูร้ จู้ กั ประชุมชน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๕๔ ๗. ปคุ คลปโรปรัญญุตา ความเป็นผูร้ ูจ้ ักเลอื กบคุ คล นอกจากนั้น วิทย์ วิศทเวทย์ และเสถียรพงษ์ วรรณปก (๒๕๔๔) ได้กล่าวถึงธรรมในการพัฒนา ตนให้ เป็นคนเก่งมคี วามสามารถไว้ว่า ต้องประกอบดว้ ยหลักธรรม ๒ หลัก คอื ๑.หลกั อิทธบิ าทธรรม และ ๒.หลักพลธรรมเฉพาะหลักพลธรรมนั้น เป็นการเสริมแรงในการทำหน้าที่ของผู้บริหารและผู้นำ อัน ประกอบดว้ ย หลักพละ ๕ คอื หลกั ธรรมทช่ี ่วยทำใหง้ านลลุ ่วงสำเรจ็ ๕ ประการ คอื ๑. สัทธา มีความเช่อื ม่นั ในสง่ิ ทีต่ นกำลังทำ ๒. วิรยิ ะ มีความเพียร ๓. สติ มคี วามระลกึ ได้ ไม่ประมาท ๔. สมาธิ มจี ิตตัง้ มนั่ ๕. ปญั ญา มคี วามรชู้ ัดเจนเก่ียวกบั เรอื่ งที่กระทำ จากความหมายของหลักสัปปุริสธรรม ๗ ตามแนวทางที่พระเถระผู้มีคุณธรรมขั้นสูงและมี ความรอบรู้ ในทางโลกด้านการบริหารได้กล่าวไว้ สามารถสรุปได้ว่า สัปปุริสธรรม คือธรรมของสัตบุรษุ หรือคนดี เมื่อต้องการ เป็นผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี จำเป็นต้องยึดหลักสัปปุริสธรรมนี้ไว้ในการบรหิ ารงาน ซึ่งมที ัง้ หมด ๗ ประการ คอื เปน็ ผรู้ จู้ กั เหตุ รู้จกั ผล ร้จู ักตน รู้จักประมาณ รจู้ กั กาล รูจ้ กั ชุมชน และเปน็ ผู้รู้ จักบุคคล นอกจากนี้ยังมีหลักพละ ๕ เป็นหลักธรรมที่เสริมแรงในการทำหน้าที่ของผู้นำเพื่อไม่ให้เกิด การท้อถอย โดยการทำงานั้นต้องประกอบด้วย สัทธา (ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ) วิริยะ (ความพากเพียร) สติ (ระลึกได้ไม่ประมาท) สมาธิ (มีจิตตั้งมั่น) และปัญญา (มีความรู้ชัดเจนในเรื่องที่ทำ) หากผู้บริหาร ประพฤติปฏบิ ัติในหวั ขอ้ ธรรมดงั ท่ีกล่าวมาหมดได้ ย่อมข้นึ ชื่อวา่ เป็นผ้นู ำหรอื ผบู้ ริหารที่ดีที่สังคมควรยก ยอ่ ง ๒. การบรหิ ารคน การบริหารคนเป็นการทำงานของผู้บริหารที่ต้องเกี่ยวข้องกับบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องใช้กุศโลบาย หลายอย่างมาเป็นตัวช่วยในการบริหาร อาจจำเป็นต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เข้ามาตามความเหมาะสม เพื่อจะนำองค์กรไปสู่เป้าหมายให้ได้ในที่สุด สำหรับในทางพระพุทธศาสนา การนำพุทธวิธีมาใช้ใน การบริหารคน คือ การนำหลักพุทธธรรมมาปรับปรุงคน พัฒนาคน และเป็นเครื่องมือกำกับการทำงาน ของคนในองค์การ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต,๒๕๔๖: ๑๒๐-๑๒๓) ไดแ้ บ่งหลักพทุ ธธรรมที่เหมาะสมในการบริหาร คน หรือการครองคนไว้ ดังนี้ กัลยาณมิตตถา โยนิโสมนสิการ พรหมวิหารธรรม ๔ สังคหวัตถุธรรม ๔ พละ ๔ ฆราวาสธรรม ๔ หลกั ธรรมท่กี ลา่ วมานีล้ ว้ นมสี ว่ นสนบั สนนุ ในการครองคน แต่ธรรมท่ีเป็นกำลังใน มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๕๕ การบริหารคน นับว่าเป็นธรรมทีส่ ำคัญที่สุดในการครองคน คือ หลักแห่งพลธรรม ๔ ซึ่งต้องประกอบไป ดว้ ยหลกั การทพี่ ระพุทธองค์วางไว้ ๔ แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ ๑ ปัญญาพละ คือการเป็นผู้นำหรือผู้บริหารนั้น จะต้องอาศัยปัญญาพละ หมายถึง กำลังแห่งปัญญา แต่เมื่อใช้ในวงการศึกษาย่อมหมายความว่า การบริหารที่ต้องอาศัยความรู้และ ความสามารถ แนวทางที่ ๒ วิริยพละ คือกำลังแห่งความเพียรพยายาม หมายถึง การดำเนินกิจการงานต่าง ๆ ทกุ วงการตอ้ งอาศัยก าลังแห่งความเพยี รพยายามจึงจะประสบความสำเร็จ แนวทางที่ ๓ อนวัชชพละ คือกำลังแห่งความสุจริต อันหมายถึง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสทุ ธิ์ แนวทางที่ ๔ สังคหพละ คือกำลังแห่งความสามคั คแี ห่งความมีมนษุ ย์สมั พันธ์ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติสำหรับริหารคน วา่ “พุทธธรรม” ไว้ ในหัวข้อ ธรรมท่ีว่าดว้ ย สงั คหวตั ถุ ๔ คือ หลักการสงเคราะห์เพื่อยดึ เหนี่ยวใจคนและประสานสงั คมไว้ในสามัคคี ซงึ่ เป็นหลักธรรมสำหรับแสดงน้ำใจต่อกันระหวา่ งคนท่วั ไป โดยมหี ลกั ๔ ประการ คือ ๑) ทาน คือการเผื่อแผ่ แบง่ ปนั ๒) ปยิ วาจา คือการพูดอย่างรกั กนั ๓)อตั ถจริยา คอื การทำประโยชนแ์ กเ่ ขา และ ๔) สมานตั ตตา คือการเอาตัวเข้าสมานหรือความเป็นผู้มีตนเสมอ หมายถึง การทำให้เข้ากับเขาได้ไม่ถือตัว ร่วมสุขร่วม ทกุ ข์กันนับว่า เป็นคุณธรรมสำคญั ยง่ิ สำหรับผบู้ รหิ ารพงึ ยดึ ถือไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเก่ียวกับการ บรหิ ารคนในองค์กรของตน สอดคล้องกับ บรรเทิง พิจิตรพา (๒๕๔๘) ได้กล่าวถึงหลักธรรมอันเป็นธรรมสำหรับใช้เป็นฐาน ทางการบริหาร ๔ ประการ คอื ๑. ปญั ญาพละ คือ กำลังแห่งปัญญา ๒. วริ ยิ ะพละ คือ กำลังแหง่ ความเพียรพยายาม ๓. อนวชั ชพละ คือ กำลังแห่งความสุจริต ๔. สังคหพละ คือ กำลังแหง่ ความสามัคคี จากการศึกษาแนวคิดของพระเถระผู้มีคุณธรรมขั้นสงู และนกั การศึกษาที่ไดก้ ลา่ วมาแล้วขา้ งต้น สามารถสรุปได้ว่า การบริหารคนตามแนวพทุ ธวิธีทีใ่ ช้หลักพลธรรมนั้น มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้คนนำ หลักพลธรรม ไปใช้ในการปฏิบตั ิงาน เพื่อให้งานนั้นบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซ่ึงจะต้องอาศัยหลกั แห่งปัญญา ความรอบรู้รอบคอบในการทำงาน ความเพียรพยายามมุ่งมั่นเพื่อที่จะบริหารงานให้สำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคนานัปการก็ตาม และต้องอาศัยการประพฤติที่สุจริต ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นอกจากนย้ี ังต้องอาศัยหลักแห่งการ สงเคราะห์เอื้ออารซี ึง่ กนั และกันอีกด้วย มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๕๖ ๓. การบรหิ ารงาน การบริหารงาน หมายถึง การส่งเสริมผู้ปฏิบตั ิงานให้ได้ทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถหรอื ตาม ศกั ยภาพของตนเอง ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาสมควรที่จะประยุกต์ใชห้ ลกั คุณธรรมในการบริหารงาน ซ่ึง จะส่งผลไปถึง ผูเ้ รยี น จะชว่ ยสง่ เสริมให้ผู้เรยี นมีคุณภาพ มคี วามซ่อื สตั ย์ ขยัน อดทน มรี ะเบยี บวินัย สารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข (บุญสืบ โพธิ์ศรี และธีระวัฒน์ จันทึก,๒๕๕๙: ๒๒๑) พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต,๒๕๔๖) ได้กล่าวถึง คุณธรรมที่ใช้เป็นหลักในการทำงานที่สำคัญที่สุด คือหลักแห่งฆราวาส ธรรม และ หลักแห่งอทิ ธิบาทธรรม ซ่งึ สอดคลอ้ งกับคณาจารย์สำนกั พิมพ์เลี่ยงเชียง (๒๕๔๖) ได้กล่าวถึง หลักในการครองชีวิตและการบริหารว่า หลักในการครองชีวิตและครองเรือนนั้น ทางพระพุทธศาสนา เรยี กวา่ ฆราวาสธรรม มี ๔ ประการ คือ ๑. สัจจะ ความซื่อสัตยต์ อ่ กัน ๒. ทมะ ความข่มใจ ขม่ อารมณ์ไว้ ๓. ขนั ติ ความอดทนอดกลั้น ความหยดุ ย้งั ๔. จาคะ ความเสยี สละ แบง่ ปนั กบั เพ่อื น องค์กร สงั คม เช่นเดียวกับ อุดมพรอมรธรรม (๒๕๔๙) ได้กล่าวถึงคุณธรรมของผูค้ รองเรือนตามแนวพระบรม ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหา กษัตริยาธริ าชเจ้า (๕ เมษายน ๒๕๒๕) ใจความว่า คุณธรรมที่ทกุ คนควรจะศึกษาและนอ้ มนำมาปฏิบัติมี อยู่ ๔ ประการ ประการแรก คือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์ และเปน็ ธรรม ประการที่สอง คือ การรู้จกั ข่มใจตนเอง ฝกึ ใจตนเองใหป้ ระพฤติปฏิบัตอิ ยใู่ นความสจั ความดนี ั้น ประการทีส่ าม คอื ความอดทนอดกลน้ั และอดออมท่ีจะไมป่ ระพฤตลิ ่วงความสจุ ริต ไมว่ า่ ด้วยเหตุ ประการใด ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อ ประโยชนส์ ่วนใหญ่ของบ้านเมอื ง คณุ ธรรมทง้ั ๔ ข้อ ถา้ เขยี นเป็นภาษาธรรมะกไ็ ด้แก่ ๑. สจั จะ ความจรงิ ใจ ๒. ทมะ ความข่มใจ ๓. ขนั ติ ความอดทน ๔. จาคะ ความเสยี สละ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๕๗ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่สามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จและมีความสำคัญสำหรับผู้ ปฏบิ ัตทิ ่ียังตอ้ งมีหนา้ ทอี่ าชพี การงานอยู่ ในท่นี จี้ ะยกตัวอยา่ งถงึ หลักธรรมทส่ี ำคญั และนำไปสู่ความสำเร็จ นน่ั คอื หลกั ธรรมอทิ ธิบาทธรรม อนั ประกอบไปดว้ ย ๑. ฉนั ทะ มีความชอบ ความรกั ความสขุ ในงานหรอื หนา้ ท่ีนนั้ ๆ ๒. วิมงั สา มคี วามร้จู ริงเกยี่ วกบั งานหนา้ ทนี่ น้ั ๆ ทสี่ ามารถนำมาปฏบิ ตั ใิ ห้เกิดความสำเร็จ ๓. วริ ิยะ ปฏิบตั ิงานอยา่ งขยนั ๔. จิตตะ เอาใจใสจ่ ดจอ่ ตอ่ งานนนั้ ๆ ทุกขณะจติ จนเกิดสติและปญั ญาข้นึ มา สอดคลอ้ งกบั ผกา สตั ยธรรม (๒๕๔๖: ๑๐๔) ได้กล่าวถงึ การทำงานที่จะให้ประสบความสำเร็จ นัน้ ตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบตา่ งๆ มากมาย แตส่ ่ิงท่สี ำคญั และขาดไมไ่ ด้คอื คุณธรรม โดยเฉพาะหลักอิทธิ บาทธรรม ๔ ประการ (พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมฺมจติ ฺโต),๒๕๔๙) อนั ประกอบด้วย ๑. (ฉันทะ) ยนิ ดี พอใจ ต้ังใจท าการงาน ๒. (วิริยะ) เพยี รพยายาม ๓. (จติ ตะ) ประกอบกิจการงานทุกอย่างดว้ ยความตง้ั ใจจริง ๔. (วิมังสา) ปัญญา รู้รอบคอบ จะกระทำกิจการงานใดก็ตามควรทำด้วย ความระมัดระวงั โยนโิ ส มนสกิ าร ใครค่ รวญให้ดี ให้รอบคอบ เช่นเดียวกับที่ สยาม ราชวัตร (๒๕๔๘:๑๐๑) ได้กล่าวถึงเรื่องหลักการทำงาน ซึ่งเป็นคุณธรรม ภายในที่จะเกิดพลังในการทำงานให้ประสบความสำเร็จและบรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ การนำ หลกั ธรรมมาใชส้ นบั สนนุ ในการทำงาน หลักธรรมท่เี กย่ี วกบั การทำงานในพุทธศาสนา เรยี กวา่ อิทธิบาท ๔ หลกั แห่งความสำเร็จ หลักธรรมนีเ้ ป็นคุณธรรมทส่ี ง่ เสริมใหเ้ กิดความสำเรจ็ ในการทำงาน ประกอบดว้ ย ๑. ฉนั ทะ มีใจรกั คอื พอใจจะทำส่งิ นนั้ และทำดว้ ยใจรัก ตอ้ งการทำใหเ้ ปน็ ผลสำเรจ็ ๒. วริ ยิ ะ พากเพียรทำ คอื ขยนั หมนั่ ประกอบ หมัน่ กระทำส่ิงน้ันด้วยความเพียรพยายาม เข้มแข็งอดทน ๓. จิตตะ เอาจิตใจฝักใฝ่ คือตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิดไม่ฟุ้งซ่าน เลอ่ื นลอย ใช้ความคิดในเร่อื งนนั้ ๔. วิมังสา ใช้ปญั ญาสอบสวน คอื หมั่นใชป้ ญั ญาใครค่ รวญตรวจตราหาเหตผุ ล มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา ๕๘ คณุ ธรรมจริยธรรมกับหลักธรรมสำหรบั นักบริหาร ๑. คุณธรรมสำหรบั นกั บรหิ าร นกั บริหารท่ดี คี วรมคี ณุ ลักษณะความเปน็ ผนู้ ำท่ีดี ซ่ึงประกอบด้วยคุณสมบตั ิดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. เป็นผ้มู บี คุ ลกิ ภาพทีด่ ี (Good Personality) คอื เปน็ ผมู้ สี ุขภาพกาย และสุขภาพจติ ท่ีดี ๑.๑ มีสุขภาพที่ดี คือ เป็นผู้มีสุขภาพอนามัยที่ดี มีท่วงท่ากิริยา รวมทั้งการแต่งกายท่ี สุภาพ เรยี บร้อยดงี าม สะอาด และดูสงา่ งามสมฐานะ ๑.๒ มีสขุ ภาพจติ ท่ดี ี คอื เปน็ ผ้มู อี ธั ยาศัยใจคอท่ีงาม เป็นคนดี มีศลี ธรรม ได้แก่ ศรัทธา ศลี สตุ ะ จาคะ วริ ิยะ สติ สมาธิ และปัญญา กบั ทั้งมีกัลยาณมติ ตธรรม คอื มคี ณุ ธรรมของคนดี ๑.๓ เป็นผู้มีศรทั ธา หมายถึง เป็นผู้รู้จักศรัทธาบุคคล และข้อปฏิบัตทิ ี่ควรศรทั ธาไม่ลุ่ม หลงงมงายในที่ต้ังแห่งความลมุ่ หลง ๑.๔ เป็นผู้มีศีล คือ ผู้ที่รู้จักสำรวมระวัง ความประพฤติปฏิบัติ ทางกาย และวาจาให้ เรียบรอ้ ยดงี าม ไมป่ ระพฤตเิ บียดเบียนตนเองและผู้อื่น ๑.๕ เป็นผูม้ ีสตุ ะ คอื ผไู้ ดเ้ รียนรทู้ างวิชาการ และไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ในวิชาชพี ดี ๑.๖ เปน็ ผมู้ จี าคะ คือ เป็นผมู้ จี ิตใจกวา้ งขวาง ไม่คับแคบ รู้จักเสยี สละ ๑.๗ เป็นผมู้ วี ริ ิยะ คือ ผู้ขยันหมนั่ เพยี ร ในการประกอบกิจการงานงานอาชีพ และ/หรือ ในหน้าทร่ี บั ผิดชอบ ๑.๘ เปน็ ผมู้ ีสติ คือ ผ้รู ้จู กั ยับย้งั ช่ังใจ รจู้ กั คดิ ไตรต่ รองให้รอบคอบ ก่อนคิด พูด ทำ ๑.๙ เป็นผมู้ ีสมาธิ คอื ผู้มีจติ ใจตงั้ ม่นั ขม่ กิเลสนิวรณ์ ๒.๐ เปน็ ผมู้ ีปญั ญา คือ ผู้ทีร่ อบรู้กองสังขาร ผู้รอบร้สู ภาวธรรมทีป่ ระกอบดว้ ยปัจจัยปรุง แตง่ (สงั ขาร) และท่ไี มป่ ระกอบดว้ ยปัจจัยปรุงแตง่ (วสิ ังขาร คอื พระนพิ พาน) ผรู้ ู้แจ้งพระอริยสัจ ๔ รวม เปน็ ผูม้ ปี ัญญาอันเหน็ ชอบรอบรูท้ างเจรญิ ทางเสอ่ื ม แหง่ ชวี ติ ตามท่ีเป็นจริง ๒. เป็นผมู้ กี ัลยาณมติ ตธรรม คอื ผู้มคี ุณธรรมของมติ รท่ดี ี ๗ ประการ คือ ๑) เปน็ ผู้นา่ รกั (ปโิ ย) คือ เป็นผูม้ ีจิตใจประกอบด้วยเมตากรุณาพรหมวหิ าร ๒) เป็นผนู้ า่ เคราพบูชา (ครุ) คือ เป็นผู้ท่สี ามารถเอาเป็นที่พงึ่ อาศยั เปน็ ที่พ่งึ ทางใจ ๓) เป็นผู้นา่ นับถือ น่าเจริญใจ (ภาวนีโย) ด้วยว่า เป็นผู้ได้ฝึกฝนอบรมตนมาดีแล้ว ควร แก่การยอมรบั และยกย่องนบั ถือ เอาเป็นเยีย่ งอยา่ งได้ ๔) เป็นผ้รู ู้จักพูดจาโดยมเี หตุผลและหลกั การ (วัตตา) รจู้ ักชแ้ี จง แนะนำ ให้ผู้อ่ืนเขาใจดี แจม่ แจ้ง เปน็ ที่ปรกึ ษาทีด่ ี มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ๕๙ ๕) เป็นผูอ้ ดทนตอ่ ถ้อยคำท่ลี ่วงเกิน วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ ซักถาม หรือขอปรกึ ษาหารอื ขอให้ คำแนะนำต่างๆ ได้ (วจนกั ขโม) ๖) สามารถแถลงชีแ้ จงเรื่องท่ีลึกซึง้ หรือเรื่องยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจอย่างถูกตอ้ ง และ ตรงประเด็นได้ (คมั ภีรญั จะ กะถัง กัตตา) ๗) ไมช่ ักนำในอฐานะ (โน จัฏฐาเน นิโยชะเย) คือไมช่ ักจงู ไปในทางเสือ่ ม(อบายมขุ ) หรือ ไปในทางที่เหลวไหล ไร้สาระ หรอื ทีเ่ ป็นโทษ เปน็ ความทกุ ข์ เดือดรอ้ น ๒.จรยิ ธรรมสำหรบั นักบรหิ าร ๑. เปน็ ผมู้ ีหลกั ธรรมในการครองงานที่ดี ด้วยคุณธรรม คือ อิทธิบาทธรรม ไดแ้ ก่ ๑.๑ ฉันทะ ความรักงาน คือ จะต้องเป็นผู้รักงานที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ และท้ัง จะต้องเอาใจใส่กระตือรือร้นในการเรียนรูง้ าน และเพิ่มพนู วิชาความรู้ความสามารถในการทำกิจการงาน และมุ่งม่นั ท่ีจะทำงานในหน้าท่รี บั ผิดชอบหรือกจิ การงานอาชพี ของตนให้สำเร็จเรียบรอ้ ยอยู่เสมอ ๑.๒ วิรยิ ะ ความเพยี ร คอื จะต้องเปน็ ผมู้ ีความขยันหม่ันเพยี ร ประกอบดว้ ยความอดทน ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ ความยากลำบากในการประกอบกิจการงานในหนา้ ที่หรอื ในอาชพี ของตน จึงจะถึงความสำเร็จ และความเจรญิ กา้ วหน้าได้ ๑.๓ จิตตะ ความเป็นผู้มีใจจดจ่ออยู่กับการงาน ผู้ที่ทำงานได้สำเร็จด้วยดี มี ประสิทธิภาพนั้น จะต้องเป็นผู้เอาใจใส่ต่อกิจการงานที่ทำ และมุ่งกระทำงานอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะ สำเร็จ ไมท่ อดทงิ้ หรือวางธุระเสียกลางคนั ไมเ่ ป็นคนจบั จด หรอื ทำงานแบบทำๆ หยุดๆ หวั หนา้ หนว่ ยงาน หรือผู้บริหารจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ “ติดตามผลงาน และ /หรือ ตรวจงาน” หน่วยงานต่างๆ ภายใน องค์การของตน เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย ตัดสินใจ และสั่งการให้กิจการงาน ทุกหน่วยดำเนิน ตามนโยบายและแผนงาน ใหถ้ ึงความสำเร็จตามวตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดไว้ ๑.๔ วมิ ังสา ความเปน็ ผ้รู จู้ กั พิจารณาเหตุสงั เกตผลในการปฏิบัติงานของตนเองและของ ผู้น้อยหรอื ของผ้อู ยูใ่ ต้บังคับบัญชา วา่ ดำเนนิ ไปตามนโยบายและแผนงานท่วี างไว้หรือไม่ ได้ผลสำเร็จหรือ มีความคืบหน้าไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงไร มีอุปสรรคหรือปัญหาที่ควรได้รับการ ปรับปรุงแก้ไขวิธกี ารทำงาน หรอื วธิ ีการบริหารกจิ การงานน้นั ให้สำเรจ็ ตามวตั ถุประสงคไ์ ด้อย่างไรขั้นตอน น้เี ปน็ การนำข้อมลู จากท่ีได้ติดตามประเมินผลงานหรือตรวจงานนน้ั แหละมาวเิ คราะหว์ ิจยั ให้ทราบเหตุผล ของปัญหาหรืออุปสรรคขอ้ ขดั ข้องในการทำงาน แล้วพิจารณาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และปรับปรุงพฒั นา วธิ ีการทำงานให้ดำเนนิ ไปสคู่ วามสำเร็จ ให้ถงึ ความเจริญก้าวหนา้ ยิง่ ๆ ข้ึนไปได้ ั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู ริหารสถานศึกษา ๖๐ ๒. รู้จักหลักปฏิบตั ิต่อกันด้วยดี ระหว่างผู้บังคบั บัญชากับลูกน้อง หรือผู้อยู่ใต้ผูบ้ ังคับบัญชา ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ชือ่ “เหฏฐิทศิ ” มีเนื้อความว่า “เหฏฐิทิศ” คือ ทิศเบื้องตำ่ เจา้ นาย หรือ ผู้บงั คับบญั ชา พงึ บำรุงบา่ ว คอื ผู้ใตบ้ งั คับบญั ชา ด้วยสถาน ๕ คือ ๒.๑ ดว้ ยการจดั งานให้ตามกำลัง กล่าวคอื มอบหมายหนา้ ทก่ี ารงานให้ตามกำลังความรู้ สตปิ ญั ญา ความสามารถ (Put the right man on the right job – รู้จกั ใชค้ นใหถ้ กู กับงาน) ๒.๒ ดว้ ยการให้อาหารและบำเหน็จรางวลั กล่าวคอื เมอื่ ทำดี กร็ จู้ ักยกย่องชมเชยและ/ หรือ สนับสนุน อุดหนุน ใหไ้ ดร้ บั บำเหน็จรางวัล เล่อื นยศ เล่อื นตำแหน่ง ตามสมควรแกฐ่ านะ เม่ือทำไม่ดี ก็ให้คำตักเตือน แนะนำ สั่งสอน ให้พัฒนาสมรรถภาพให้ดีขึ้น ถ้าไม่ยอมแก้ไขพัฒนาตนให้ดีขึ้น ก็ต้อง ตำหนิ และมโี ทษตามกฎเกณฑ์ โดยชอบธรรม ๒.๓ ด้วยการรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ กล่าวคือ ต้องรู้จักดูแลสารทุกข์ สุกดิบของผู้ อยูใ่ ตบ้ ังคบั บัญชา ไม่เป็นผูแ้ ล้งนำ้ ใจ คอื ไมป่ ฏิบตั ิกบั ลกู น้อง หรอื ผ้อู ยู่ใต้บังคับบัญชา ๒.๔ ดว้ ยแจกของมีรสดีแปลกๆ ใหก้ ิน หมายความว่า ใหร้ ู้จักมีนำ้ ใจแบง่ ปันของกินของ ใช้ดีๆ ให้ลูกน้อง ๒.๕ ดว้ ยปล่อยในสมัย คือ รจู้ ักใหล้ กู น้อง หรอื ผู้ใต้บังคบั บัญชาไดล้ าพักผ่อนบ้าง ส่วนบา่ ว หรือลกู นอ้ งผู้อยู่ใตบ้ ังคับบัญชา เม่ือเจา้ นาย หรอื ผบู้ ังคบั บญั ชา ทำนบุ ำรงุ อย่างนแี้ ล้ว ก็ พึงปฏิบตั ิอนเุ คราะหเ์ จ้านาย ผ้บู ังคับบญั ชาดว้ ยสถาน ๕ ตอบแทนด้วยเช่นกนั คือ (๑) ลุกขึ้นทำงานก่อนนาย คือ ให้รับสนองงานผู้บังคับบัญชาด้วยความขยัน ขันแข็งควรมาทำงานก่อนนาย หรือผู้บังคับบัญชา อย่างน้อย ก็มาให้ทันเวลาทำงาน ไม่มาสายกว่านาย หรือสายกว่าเวลาทำงานตามปกติ (๒) เลิกการทำงานที่หลังนาย คือ ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง แม้เลิก ก็ควร เลกิ ทีห่ ลังนาย หรือผูบ้ ังคับบญั ชา อยา่ งน้อยกอ็ ยู่ทำงานให้เตม็ เวลา ไม่หนกี ลบั กอ่ นเวลาเลกิ งาน (๓) ถือเอาแต่ของที่นายให้ คือ มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่คดโกงนาย หรือ ผู้บังคบั บญั ชา ไม่คอรร์ ปั ชนั่ ไม่เรยี กรอ้ งต้องการโดยไมเ่ ป็นธรรม หรือเกินเหตุ (๔) ทำงานให้ดีขึ้น คือ ต้องรู้จักพัฒนาคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถ และ วสิ ยั ทัศน์ในการทำงาน ให้ไดผ้ ลดี มีประสิทธภิ าพสูง (๕) นำคุณของนายไปสรรเสริญ คือ รู้จักนำคุณความดีของเจ้านาย ผ้บู งั คับบญั ชาไป ยกยอ่ ง สรรเสรญิ ตามความเป็นจรงิ ในทแี่ ละโอกาสอนั สมควร อาจกล่าวได้ว่า ผู้บังคับบัญชา กับ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา พึงปฏิบัติต่อกัน ดังคำนักปกครอง นัก บริหารแต่โบราณ กล่าวว่า “อยู่สูงให้นอนคว่ำ อยู่ต่ำให้นอนหงาย” “อยู่สูงให้นอนคว่ำ” หมายความว่า มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๖๑ เป็นผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือเป็นผู้นำคนพึงดูแลเอาใจใส่ ทำนุบำรุง ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้อง ด้วยดี คอื ดว้ ยความเป็นธรรม ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ตามที่กลา่ วข้างตน้ น้ี เพือ่ ให้ลูกน้อง หรือผู้ อยู่ใต้บังคับบัญชา มีขวัญกำลังใจในการสนองงานได้เต็มที่ อย่าให้ลกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความรูส้ ึกทอ้ ถอย ว่าทำดีสกั เท่าใด ผูใ้ หญ่ ก็ไมเ่ หลยี วแล ดงั คำโบราณทา่ นวา่ มีปาก กม็ เี ปลา่ เหมือน เตา่ หอย เปน็ ผ้นู ้อย แม้ทำดี ไม่มีขลงั หรืออยา่ ให้ลกู น้อง หรือผู้ใตบ้ งั คับบัญชา เกิดความรู้สึกน้อยเน้ือต่ำ ใจว่า ผู้ใหญ่ไม่ยุตธิ รรม มักเลือกปฏิบัติไม่เสมอกัน ดังคำที่ว่า (เรา) ทำงานทั้งวนั ได้พันหา้ (ส่วนคนอื่น) เดินไปเดินมา ไดห้ า้ พนั “อยตู่ ่ำให้นอนหงาย” หมายความว่า ลกู น้อง หรอื ผอู้ ยใู่ ตบ้ งั คับบัญชา กพ็ ึงปฏิบัติ ตนตอ่ เจา้ นาย หรือผบู้ ังคบั บญั ชาดว้ ยดี รบั สนองงานท่านด้วยความยนิ ดี ด้วยใจจริง และทำงานด้วยความ เขม้ แขง็ ตามหลักธรรม คือ “เหฏฐมิ ทิศ” ดังกลา่ วมาแล้ว ๓. เป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation) ที่ดี ด้วยคุณธรรม คือพรหมวหิ ารธรรม และ สังคหวตั ถุ เปน็ ต้น พรหมวหิ ารธรรม คณุ ธรรมเครอื่ งอย่ขู องผ้ใู หญ่ ๔ ประการ (๑) เมตตา คือ ความรกั ปรารถนาท่ีจะให้ผ้อู ่นื อยูด่ ีมีสุข (๒) กรุณา คอื ความสงสาร ปรารถนาใหผ้ มู้ ที กุ ข์ เดือดรอ้ น ใหพ้ น้ ทกุ ข์ (๓) มุทิตา คือ ความพลอยยินดี ทผี่ ้อู ืน่ ไดด้ ี ไมค่ ดิ อิจฉารษิ ยากัน (๔) อุเบกขา คือ ความวางเฉย ไม่ยินดียินร้าย เมื่อผู้อื่นถึงซึ่งความวิบัติ โดยที่เราก็ช่วย อะไรไมไ่ ด้ ก็ต้องปล่อยวางใจของเราเองด้วยปญั ญา ตามพระพทุ ธพจนว์ า่ “สตั วโ์ ลกเป็นไปตามกรรม” สงั คหวัตถุธรรม ๔ ประการ คือ (๑) ทาน รูจ้ ักใหป้ ัน ส่งิ ของ ของตน แกผ่ อู้ ่ืนท่ีควรใหป้ ัน (๒) ปยิ วาจา รู้จกั เจรจาออ่ นหวาน คอื กล่าวแต่วาจาทีส่ ภุ าพอ่อนโยน (๓) อตั ถจริยา ร้จู ักประพฤตสิ ง่ิ ทีเ่ ป็นประโยชน์แกผ่ อู้ ืน่ (๔) สมานัตตตา เป็นผู้มีตนเสมอ คือไม่ถือตัวเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี คุณธรรม ๔ ประการน้ี เป็นเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจของผู้อน่ื ไว้ได้ และยงั ความสมคั รสมานสามัคคี ใหเ้ กิดขึ้นระหว่างกัน และกนั ดว้ ย หรือจะเรียกว่า เป็น “หลกั ธรรมมหาเสน่ห”์ กไ็ ด้ ๔. เป็นผู้มีความคิดริเริ่ม (Initiatives) ด้วยความคิดสร้างสรรค์ (Creative) โครงการใหม่ๆ ที่ เป็นประโยชน์สุขแกห่ มู่คณะ สงั คม และประเทศชาติ และวิธกี ารทำงานใหม่ๆ ใหก้ ารปกครองการบริหาร กจิ การงานได้บังเกิดผลดี มีประสิทธภิ าพสูงยง่ิ ขนึ้ ๕. มีความคิดพัฒนา (Development) คือ เป็นนักพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ล้าหลังหรือ ข้อบกพรอ่ งในการทำงานให้ดขี ึ้นอยู่เสมอ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ๖๒ ๖. เป็นผู้มีสำนึกในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ (Sense of Responsibilities) สูง คือ มีสำนึกในความรับผิดชอบต่อตนเอง โดยการศึกษาหาความรู้ เพิ่มพูนศักยภาพ และสำนึกในการสร้าง ฐานะของตน และมีสำนกึ ในหน้าทค่ี วามรับผิดชอบต่อสว่ นรวม คือต่อครอบครวั ตอ่ องค์กรและหมู่คณะที่ ตนรับผดิ ชอบอยู่ และตอ่ สงั คมประเทศชาติ ใหเ้ จรญิ สันติสุขและมนั่ คง โดยเฉพาะอย่างยงิ่ สำนึกในหน้าที่ รับผิดชอบต่อสถาบันหลักทัง้ ๓ ของประเทศชาติไทยเรา คือ สถาบันชาติ ๑ สถาบันพระพุทธศาสนา ๑ และสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ ๑ เพราะสถาบนั หลกั ทัง้ ๓ นี้ หากสถาบันใดคลอนแคลน ไม่มนั่ คง ไม่ว่าจะ เป็นเพราะถูกศัตรูภายใน และ/หรือ ศัตรูจากภายนอกรุกราน ย่อมกระทบกระเทอื นถึงสถาบันหลักอ่นื ๆ ของชาติไทยเรา ให้พลอยคลอนแคลนอ่อนแอไปด้วย ผู้นำที่ดี จึงย่อมต้องสำเหนียก และจักต้องมีความ สำนึก ในหนา้ ที่ความรับผิดชอบตอ่ สถาบันหลักทัง้ ๓ น้ี อยา่ งจรงิ ใจ และจะต้องรบั ช่วยกันดำเนินการ ให้ ความคุ้มครอง ป้องกันแก้ไข บำรุงรักษา อย่างเข้มแข็งจริงจัง และต่อเนื่อง ให้เกิดความเจริญ และความ สันติสขุ อยา่ งมัน่ คงใหไ้ ด้ ๗. มีความมั่นใจตนเอง (Self Confidence) สูง หมายถึง มีความมั่นใจโดยธรรมคือมีความ ม่นั ใจในความรู้ ความสามารถ สตปิ ญั ญาและวิสัยทศั น์ และทง้ั คุณธรรม คอื ความเปน็ ผู้มีศลี มีธรรม อันตน ไดศ้ ึกษาอบรมมาดีแล้ว มิใชม่ คี วามมนั่ ใจอย่างผดิ ๆ ลอยๆ อยา่ งหลงตัวหลงตน ทัง้ ๆท่แี ทจ้ ริง ตนเองหาได้ มีคณุ สมบัตแิ ละคณุ ธรรมดสี มจรงิ ไม่ และจักต้องรจู้ กั แสดงความมั่นใจ ในเวลา คดิ พดู ทำ ใหเ้ หมาะสมกับ กาละ เทศะ บคุ คล สถานที่ และประชุมชน ด้วย ๘. เป็นผู้ประกอบด้วย “หลักธรรมาภิบาล” คือ คุณธรรมของนักปกครอง นักบริหาร ที่ดี (Good Governance) คือ ๘.๑ หลักความถูกตอ้ ง คอื มีการพจิ ารณาวินจิ ฉยั ปัญหา การทำการตัดสนิ ใจ (Decision Making) และสั่งการ (Command) ด้วยความถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎระเบียบข้อบังคับ ขององคก์ ร ที่ออกตามกฎหมาย ถกู ตอ้ งตามหลกั ศลี ธรรมเนยี มประเพณีทดี่ ขี องสงั คม ถูกตอ้ งตามนโยบาย ของผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือ และถูกต้องตรงประเด็นตามหลักวิชาและได้รับความพึงพอใจจากชนท่ี เกย่ี วขอ้ งทุกฝ่าย ๘.๒ หลกั ความเหมาะสม คือ รู้จกั คดิ พดู ทำ กจิ การงาน และปฏิบตั งิ านไดเ้ หมาะสมถูก กาละ เทศะ บุคคล สงั คม และสถานการณ์ กลา่ วคือ เป็นผู้มสี ปั ปรุ ิสธรรม คือ คณุ ธรรมของสตั บรุ ุษคือคน ดมี ศี ีลธรรม มี ๗ ประการ คอื ๑) ธัมมญั ญตุ า รจู้ กั เหตุ ไดแ้ ก่ ปญั ญารู้เหตแุ ห่งทางเจริญ และทางเส่ือม เปน็ ตน้ ๒) อัตถัญญุตา ร้จู กั ผล ได้แก่ ปญั ญารู้ผล ท่เี ป็นมาแต่เหตุ หรอื ปัจจยั ใหเ้ กิดผลต่างๆ ตามท่ีเป็น จรงิ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ๖๓ ๓) อัตตัญญตุ า ร้จู ักตน คอื รู้ภูมิธรรม ภมู ิปญั ญา และฐานะของตน ตามท่ีเป็นจริงแล้ววางตนให้ เหมาะสมแกฐ่ านะ ๔) มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ ปฏิบัติตน วางตนให้เหมาะสมแก่ฐานะ และรู้จักประมาณในการ บรโิ ภคใช้สอนทรัพย์ท่มี ีอยู่ และตามมีตามได้ ๕) กาลัญญตุ า รู้จกั กาล คอื รจู้ กั เวลา หรือโอกาสท่ีสมควร และไมค่ วรพดู หรอื กรทำการต่างๆ ๖) ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน ว่ามีอัธยาศัยใจคอ ฐานะความเป็นอยู่ และขนบธรรมเนียมประเพณี ของหมชู่ นตา่ งๆ เพอ่ื ให้รู้จักวางตัวให้เหมาะสม ๗) ปุคลัญญุตา รู้จักบุคคล ว่ามีอัธยาศัยใจคอ มีภูมิธรรม ภูมิปัญญา และมีฐานะ อย่างไรเพื่อ ปฏิบตั ิตน หรือวางตน ให้เหมาะสมตามฐานะของเราและของเขา ๘.๓ หลกั ความบรสิ ุทธิ์ คือ มกี ารวนิ จิ ฉยั ส่ังการ กระทำกิจการงาน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คอื ดว้ ยเจตนา ความคดิ อ่าน ทีบ่ ริสทุ ธ์ิ ๘.๔ หลักความยุติธรรม คือ มีการวินิจฉัย สั่งการ และปฏิบัติต่อผู้อยู่ใต้ปกครอง และ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ด้วยความชอบธรรม บนพื้นฐานแห่งหลักธรรม หลักการ เหตุผล และข้อมูลที่ถูกต้อง เช่อื ถือได้ และตรงประเดน็ และดว้ ยความเที่ยงธรรม คือ ไมอ่ คติ หรือ ลำเอียง ดว้ ยความหลงรัก หลงชัง ดว้ ยความกลังเกรง และดว้ ยความหลง ไมร่ จู้ รงิ คอื ขาดข้อมูลที่ถูกต้องเช่ือถอื ได้ และสมบูรณ์ เป็นเคร่ือง ประกอบการวินิจฉัย ตัดสินใจ ใหค้ วามเทีย่ งธรรม คุณธรรม จรยิ ธรรม ตามแนวพระบรมราโชวาท หลัก “ธรรมาภิบาล” น้ี เมอ่ื กระจายเปน็ ข้อปฏบิ ัติดี-ปฏิบตั ิชอบ สำหรบั พระราชามหากษัตริย์ท่ี ทรงใช้ปกครองพระราชอาณาจักร ให้อาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข ชื่อว่า “ทศพิธราชธรรม” อันผู้ปกครอง/ผู้บริหารประเทศชาตทิ ุกระดบั และแม้ผู้บรหิ ารองค์กรอื่นๆ พึงใช้ประกอบการปฏิบตั ิงาน ของตน ให้บรรลุความสำเรจ็ ตามเป้าหมาย เพอื่ ประโยชน์สขุ แก่ประชาชนโดยสว่ นรวม ไดเ้ ป็นอยา่ งดี “ทศพิธราชธรรม” อันพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐของเรา ได้ทรงถอื เปน็ หลักปฏิบัติ ในการครองราชอาณาจกั ร ให้พสนิกรของพระองค์อยูเ่ ย็นเป็นสุข เป็นทีป่ ระจักษต์ า ประจักษ์ ใจแกช่ าวโลกเสมอมานน้ั มี ๑๐ ประการ ตามพระพทุ ธภาษิตดงั ตอ่ ไปนี้ คือ ๑) ทาน การให้ ๒) ศลี การสังวรระวังกายและวาจา ใหเ้ รยี บรอ้ ยดไี มม่ ีโทษ ๓) ปรจิ จาคะ การเสียสละ ๔) อาชชวะ ความซ่ือตรง ๕) มัททวะ ความสภุ าพอ่อนโยน มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา ๖๔ ๖) ตปะ ความเพยี รเพ่งเผากเิ ลส ๗) อักโกธะ ความไม่โกรธ ๘) อวิหิงสา การไมเ่ บียดเบยี นผ้อู น่ื ตลอดท้ังสัตวใ์ ห้ไดท้ กุ ขย์ าก ๙) ขันติ ความอดทน ๑๐) อวิโรธนะ ความประพฤติปฏิบัติที่ไม่ผิดทำนองคลองธรรม และดำรงอาการคงที่ ไม่ หว่ันไหว ด้วยอำนาจยินดียินร้าย การเสรมิ สรา้ งคุณธรรม จริยธรรม สำหรับนักบริหาร นักบรหิ ารทด่ี คี วรมีหลักธรรมสำหรับพัฒนาตน เพอื่ เสรมิ สรา้ งคุณธรรม ไดแ้ ก่ ๑. ศลี คือ การสำรวมระวัง ความประพฤติปฏิบตั ิ ทางกาย และทางวาจา ให้เรียบรอ้ ยดงี ามไม่ ประพฤติเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ๒. สมาธิ คือการรักษาใจให้ผอ่ งใสปราศจากกิเลสนวิ รณ์ แลว้ ให้ตั้งม่นั อยูใ่ นอารมณ์เด่ียว ๓. ปัญญา คือ การรอบรู้กองสังขาร รอบรู้สภาวธรรมที่ประกอบดว้ ยปัจจัยปรงุ แต่ง (สังขาร) และทีไ่ ม่ประกอบด้วยปัจจยั ปรุงแต่ง (สงั ขาร คอื พระนพิ าน) และรูแ้ จง้ เหน็ แจง้ พระอริยสจั ๔ รวมเป็นผู้มี ปัญญาอนั เหน็ ชอบรอบรู้ทางเจริญ ทางเสือ่ ม แหง่ ชวี ติ ตามทีเ่ ปน็ จรงิ ศลี สมาธิ และปัญญานี้ รวมเรียกวา่ ไตรสิกขา คอื หลกั ธรรมทค่ี วรศึกษาปฏบิ ัติ ๓ ประการ สรุปได้ว่า หลักธรรมท่ีเกี่ยวกับจรรยาบรรณสำหรับผู้บริหาร จะเกี่ยวข้องกับการบริหารตน การบริหารคน และการบริหารงาน ดังนั้นการบริหารจัดการองค์กร ผู้บริหารจึงมีความจำเป็นต้องใช้ หลกั การบรหิ ารผสมผสานเข้ากบั หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาและนำมาประยกุ ต์ใช้ในการบริหารจัดการ สถานศกึ ษา เพื่อใหก้ ารบริหารเกิดประสทิ ธภิ าพและเกิดประสทิ ธิผลสงู สดุ สรปุ จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ผู้บริหารถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญในการบริหารสถานศึกษา หากแต่ถ้าผู้บริหารขาดคุณธรรม จรยิ ธรรม ตลอดจนขาดจรรยาบรรณวชิ าชพี ย่อมส่งผลเสียและอาจทำใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อสถานศึกษา นั้นๆ ได้ จรรยาบรรณในวิชาชีพจึงเปรียบเสมือนประมวลมาตรฐานความประพฤติที่ผู้บริหารจะต้อง ประพฤติปฏิบัติ เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติอย่างถูกต้อง เพื่อผดุงเกียรติและสถานะของ วิชาชีพนั้น ทั้งน้ีผู้กระทำผิดจรรยาบรรณจะต้องไดร้ ับโทษตามกฎหมาย อีกทั้งจรรยาบรรณในวิชาชพี จะ เปน็ สง่ิ สำคัญในการทจ่ี ะจำแนกอาชพี ว่าเป็นวิชาชีพหรอื ไม่ อาชีพทเ่ี ปน็ “วิชาชีพ” นัน้ กำหนดให้มีองค์กร รองรบั และมีการกำหนดมาตรฐานของความประพฤติของผู้อยู่ในวงการวิชาชพี ซึ่งเรยี กว่า “จรรยาบรรณ” ส่วนลักษณะ “วิชาชีพ” ที่สำคัญคือ เป็นอาชีพที่มีศาสตร์ชั้นสูงรองรับ นอกจากนี้จะต้องมีองค์กรหรือ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ๖๕ สมาคมวิชาชีพ ตลอดจนมี“จรรยาบรรณในวิชาชีพ” เพื่อให้สมาชิกในวิชาชีพดำเนินชีวิตตามหลัก มาตรฐานดงั กล่าว ซึ่งหลกั ที่กำหนดในจรรยาบรรณวิชาชีพครู คือ แนวความประพฤติปฏิบัติที่มีต่อตนเอง ตอ่ วิชาชีพ ต่อผูเ้ รยี น ตอ่ เพ่อื นผ้รู ่วมประกอบวิชาชพี และตอ่ สังคม น่ันเอง มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ๖๖ บรรณานุกรม ครเู ชยี งรายดอทเน็ต. “ความสำคญั ของจรรยาบรรณแหง่ วชิ าชีพครู”. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่ีมา: https://www.kruchiangrai.net/๒๐๒๐/๐๒/๒๘ [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕]. ครูแมนสรวง. “จรรยาบรรณผู้บริหารสถานศกึ ษา”. [ออนไลน]์ แหลง่ ที่มา: https://mansuang ๑๙๗๘.wordpress.com [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] จรสั ตง้ั โซะ๊ . “จรรยาบรรณผ้บู ริหาร”. [ออนไลน]์ แหล่งทม่ี า: https://www.gotoknow.org/posts/ ๒๑๐๔๔๙ [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] จำเรญิ รตั น์ เจอื จันทร์.จรยิ ศาสตร:์ ทฤษฎจี รยิ ธรรมสำหรับนกั บรหิ ารการศึกษา. กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พรน้ิ ตง้ เฮา้ ส์,๒๕๔๘ ดวงเดือน พันธุมนาวิน. ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมกับพฤติกรรมการทำงานของข้าราชการไทย. มมป. เอกสารอดั สำเนา, ๒๕๓๘ ติน ปรัชญาพฤทธิ์.วิชาชีพนิยมของระบบราชการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว: วิวัฒนาการและผลกระทบต่อสังคมไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๖ ถวลิ อรญั เวศ. “พุทธวธิ กี ารบรหิ าร”. [ออนไลน์]. แหล่งทม่ี า: https://www.gotoknow .org/posts/ ๖๕๙๖๘๑ [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕]. นมิ ิต กล่นิ ดอกแกว้ . “คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม (๑)”. [ออนไลน]์ แหลง่ ที่มา: https://www.gotoknow .org/posts/300097 [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] ______________. “คุณธรรมและจรยิ ธรรม (๒)”. [ออนไลน]์ แหลง่ ทม่ี า: https://www. gotoknow.org/posts/300100 [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] บ้านจอมยุทธ. “แนวคิด หลกั การ ทฤษฎีทางคณุ ธรรมจรยิ ธรรม” [ออนไลน]์ แหลง่ ทม่ี า: https://www. baanjomyut.com/library_3/extension-2/ethics/03.html [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] ประวณี ณ นคร. “ปรัชญาและแนวคิดหลักเกี่ยวกับจรยิ ธรรม”. [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา: https://www. ocsc.go.th/node/4063 ปราชญา กลา้ ผจญั . นักบรหิ ารการศึกษามอี อาชีพ. พิมพค์ รั้งท่ี๒. กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พ์ขา้ วฟ่าง จำกัด, ๒๕๔๕. พิภพ วชงั เงนิ . พฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพฯ : อักษรพิทยา,๒๕๔๘ ไพพรรณ เกียรตโิ ชตชิ ัย. ความเปน็ ครู. กรงุ เทพฯ :สถาบนั ราชภัฏสวนดสุ ติ ,๒๕๓๖ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญต่อผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา ๖๗ มานัส ปนั หล้า. “คณุ ธรรมจริยธรรม”. [ออนไลน์] แหล่งทม่ี า: https://www.gotoknow. org/posts/395426 [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] ราชบณั ฑิตยสถาน. “ปทานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕”. [ออนไลน]์ . แหลง่ ท่มี า: https://dictionary.orst.go.th/ [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕]. ___________. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. กรงุ เทพฯ: นานมีบุ๊คพับลเิ คช่นั , ๒๕๔๖ วรยิ า ชนิ วรรโณ. บทนำ : จริยธรรมในวชิ าชพี . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ วนพิมพ์,๒๕๔๖ วีรพงษ์ ไชยหงษ์ “หลกั ธรรมผู้บรหิ าร” [ออนไลน]์ แหล่งทีม่ า: http://drweerapong .blogspot.com/2015/02/blog-post_79.html [๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] สภาการวิจยั แห่งชาติ. “จรรยาบรรณและแนวทางปฏิบัติ”. [ออนไลน]์ แหล่งท่ีมาhttps://www. nrct.go.th/[๑๐ มกราคม ๒๕๖๕] สุภัททา ปณิ ฑะแพทย์.จติ วทิ ยาพฒั นาการ. กรงุ เทพฯ: หอรตั นชัยการพมิ พ์,๒๕๒๗ อมร รกั ษาสัตย์. จริยธรรมในวิชาชพี . กรงุ เทพฯ: ศนู ยห์ นังสือจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลัย,๒๕๔๒ อรุณศรี ศาสตรานิติ. จรรยาบรรณวิชาชีพผู้ประกอบการอาชีพในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว:ศึกษากรณี อาชีพมัคคุเทศก์. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. (กรุงเทพ:จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๕ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต นครศรีธรรมราช
จรรยาบรรณและความสำคัญตอ่ ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา ๖๘ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต นครศรธี รรมราช
Search