Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง

หมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง

Published by namhom aunchana, 2021-11-10 06:30:26

Description: หมุนเวียนเลือดและระบบน้ำเหลือง

Search

Read the Text Version

ระบบนา้ เหลืองและระบบภูมคิ ุ้มกนั ต่อมน้าเหลือง • จะพบต่อมนา้ เหลืองอยู่ระหว่างจดุ รวมของหลอดนา้ เหลืองทวั่ ไปใน ร่างกาย เช่น บริเวณทรี่ ักแร้และขาหนีบ • ลกั ษณะเป็ นก้อนรูปไข่มขี นาดต่างกนั • ภายในต่อมนา้ เหลืองมลี มิ โฟไซต์อยู่รวมกนั เป็ นกระจุก • ต่อมนา้ เหลืองบริเวณคอ เรียกว่าทอนซิล(tonsil) ทาหน้าทดี่ กั จบั และทาลายจุลนิ ทรีย์ทผี่ ่านมาในอาหารไม่ให้ผ่านเข้าสู่หลอดอาหาร และกล่องเสียง

ระบบนา้ เหลืองและระบบภูมคิ ุ้มกนั ต่อมไทมัส เป็ นต่อมไร้ท่อมตี าแหน่งอยู่ตรงทรวงอก เนื้อเยื่อส่วนใหญ่ของต่อมไทมสั ทาหน้าทพ่ี ฒั นาลมิ โฟไซต์ชนิดเซลล์ที ม้าม มตี าแหน่งอยู่ใต้กะบังลมด้านซ้ายตดิ กบั ด้านหลงั ของกระเพาะอาหาร ในระยะเอม็ บริโอ ม้ามเป็ นแหล่งผลติ เซลล์เมด็ เลือดแดง แต่เม่ือหลงั การคลอดแล้วม้ามจะเป็ นทอี่ ยู่ของลมิ โฟไซต์ ทาลายเซลล์เมด็ เลือดแดงและเพลตเลตทห่ี มดอายุแล้ว

basophil eosinophil lymphocyte monocyte neutrophil

เมด็ เลือดขาว(White Blood Cell: WBC) เมด็ เลือดขาวมรี ูปร่างกลมมนี ิวเคลยี สตลอดชีวติ ถูกสร้างมาจาก ไขกระดูก (Bone marrow) แต่จะไปเจริญทร่ี ะบบนา้ เหลืองและบางชนิด จะเจริญทไี่ ขกระดูก มขี นาด 7-25 ไมครอน มอี ายปุ ระมาณ 7 วนั พบประมาณ 7300 เซลล์/ลบ.ซม เมด็ เลือดขาวทาหน้าทาลายเชื้อโรคท้งั แบบจาเพาะโดยการสร้าง เอนติบอดแี ละแบบไม่จาเพาะโดยการฟาโกไซโตซิส

การแบ่งเมด็ เลือดขาว(White Blood Cell: WBC) 1. แบ่งตามการมีแกรนูล (Granulocyte) การมแี กรนูล แกรนูล (Granule) ทาหน้าที่ในการ ย่อยสลายสิ่งแปลกปลอม ภายในมี เอนไซม์ มแี กรนูล ไม่มแี กรนูล Granulocyte Agranulocyte Neutrophil Basophil Eosinophil Monocyte Lymphocyte

การแบ่งเมด็ เลือดขาว(White Blood Cell: WBC) 2. แบ่งตามการทาลายเชื้อโรค (Defense Mechanisms) การทาลายเชือ้ โรค ไมจ่ าเพาะ จาเพาะ Neutrophil Basophil Eosinophil Monocyte Lymphocyte

เมด็ เลือดขาว (Leukocyte, White Blood Cell: WBC) Neutrophil พบมากทสี่ ุดประมาณ 60-75% ของ เมด็ เลือดขาว มนี ิวเคลยี ส 3-5 ทาลายโดยการฟาโกไซโตซิส Basophil พบน้อยกว่า 1% นิวเคลยี สรูปร่าง ไม่แน่นอนมแี กรนูลชัดและมกั ปิ ดนิวเคลยี ส เอาไว้ ทาลายโดยฟาโกไซโตซิส เกย่ี วข้องกบั การอกั เสบ การหลงั่ ฮิสตามนี

เมด็ เลือดขาว (Leukocyte, White Blood Cell: WBC) Eosinophil พบประมาณ 4% ของเมด็ เลือด ขาว มนี ิวเคลยี ส 2พู มแี กรนูล ทาลายโดย การฟาโกไซโตซิส ติดสีที่เป็ นกลาง เก่ียวข้อง กบั กริ กาจดั ปรสิตในร่างกาย เช่น พยาธิ Monocyte/Macrophage นิวเคลยี สรูปร่าง คล้ายเมด็ ถั่วไม่มีแกรนูล ขนาด 25 ไมครอน ทาลายโดยฟาโกไซโตซิส ตอนเร่ิมสร้างเรียก Monocyte และเม่ือพฒั นาแล้วเรียก Macrophage

เมด็ เลือดขาว (Leukocyte, White Blood Cell: WBC) Lymphocyte พบประมาณ 25% ของเมด็ เลือด ขาว มนี ิวเคลยี สกลมเกือบเต็มเซลล์ ไม่มแี กรนูล ทาลายโดยการสร้างแอนตบิ อด(ี Antibody) แบบ จาเพาะลมิ โฟไซต์มสี องชนิด คือ T cell พบ 3 ชนิด T-Helper ประสานงาน T-Cytotoxic ทาลายเชื้อโรค T-Subpresser กดภูมคิ ุ้มกนั B cell Memory cell จาเชื้อโรค Plasma cell สร้าง antibody จาเพาะต่อ antigen

กลไกการสร้างภูมคิ ุ้มกนั เม่ือมสี ่ิงแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค จลุ นิ ทรีย์ สารเคมตี ่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ซ่ึงอาจจะเข้าทางผวิ หนังทางเดนิ หายใจ ทางเดนิ อาหารหรือเข้าทางเดนิ ระบบหมนุ เวยี นเลือดร่างกายจาเป็ นต้องมกี ลไกต่อต้านหรือทาลายส่ิง แปลกปลอมเหล่าน้ัน เพื่อไม่ให้เกดิ อนั ตรายต่อร่างกายซึ่งแบ่งได้เป็ น แบบไม่จาเพาะ(nonspecific defense) แบบจาเพาะ(specific defense)

กลไกการสร้างภูมคิ ุ้มกนั กลไกการต่อต้านและทาลายส่ิงแปลกปลอมแบบไม่จาเพาะ • ผวิ หนัง • ทางเดนิ อาหาร ทางเดนิ หายใจ ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด • นา้ ตา นา้ ลาย มไี ลโซไซม์ทช่ี ่วยทาลายเชื้อโรคบางชนิดได้ • กระเพาะอาหารมสี ภาพเป็ นกรดและมเี อนไซม์ช่วยย่อยและทาลาย จุลนิ ทรีย์บางชนิดได้ • กระบวนการฟาโกไซโทซิสของเซลล์เมด็ เลือดขาวพวกโมโนไซต์ • การอกั เสบ

กลไกการสร้างภูมคิ ุ้มกนั กลไกการต่อต้านและทาลายสิ่งแปลกปลอมแบบจาเพาะ จะเกย่ี วข้องกบั การทางานของเซลล์เมด็ เลือดขาวชนิดลมิ โฟไซต์ ได้แก่ เซลล์บแี ละเซลล์ที



กลไกการสร้างภูมคิ ุ้มกนั การทางานของเซลล์บี เมื่อแอนตเิ จนถูกทาลายด้วยวธิ ีฟาโกไซโทซิลชิ้นส่วนทถี่ ูกทาลาย จะไปกระตุ้นให้เซลล์บเี พมิ่ จานวน เซลล์บีบางเซลล์จะขยายขนาดและ เปลยี่ นแปลงไปทาหน้าทส่ี ร้างแอนตบิ อดจี าเพาะต่อแอนตเิ จนเรียกว่า เซลล์พลาสมา(plasma cell) เซลล์ทีไ่ ด้จากเซลล์บแี บ่งตวั บางเซลล์จะทา หน้าทเ่ี ป็ นเซลล์เมมเมอรี(memory cell) คือจะจดจาแอนตเิ จนน้ันๆ ไว้ ถ้าแอนตเิ จนนีเ้ ข้าสู่ร่างกายอกี เซลล์เมมเมอรีกจ็ ะแบ่งตวั อย่างรวดเร็ว และเจริญเป็ นเซลล์พลาสมาสร้างแอนตบิ อดอี อกมาทาลายแอนตเิ จน

กลไกการสร้างภูมคิ ุ้มกนั การทางานของเซลล์ที เซลล์ทีตวั แรกทต่ี รวจจบั แอนตเิ จนเรียกว่า เซลล์ทผี ู้ช่วย(helper T-cell หรือ CD4+) จะไปทาหน้าทก่ี ระตุ้นเซลล์บใี ห้สร้างแอนตบิ อดหี รือ กระตุ้นการทางานของเซลล์ทอี ื่น เช่น เซลล์ทีทท่ี าลายส่ิงแปลกปลอม (cytotoxic T-cell หรือ CD8+) เซลล์ทีชนิดนีจ้ ะทาลายเซลล์แปลกปลอม เซลล์ทบี างเซลล์ทาหน้าทคี่ วบคุมการตอบสนองทางภูมคิ ุ้มกนั เรียกว่า เซลล์ทก่ี ดภูมคิ ุมกนั (suppressor T-cell) โดยสร้างไปกดการทางานของ เซลล์บแี ละเซลล์ทีอ่ืนๆ



การสร้างภูมคิ ุ้มกนั 1. แบบสร้างเอง (Active immunity) SERUM Antibody จาเพาะต่อเชื้อโรค Antigen ฉีดเข้าร่างกาย 2. แบบรับมา (Passive immunity) Serum จาเพาะ ฉีดเข้าร่างกาย → Antigen+ Antibody

ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมคิ ุ้มกนั • โรคภูมแิ พ้ (allergy หรือ hypersensitive) เป็ นอาการท่ีเกิดข้ึนเน่ืองจากร่ างกายมีปฏิกิริ ยาต่อแอนติเจนบางชนิด รุนแรง และก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อร่างกาย เช่น การแพส้ ารเคมีในบา้ น ฝ่ นุ ละออง เกสรดอกไม้ อาหารทะเล และอากาศ เป็นตน้ แมบ้ างโรคไม่รุนแรง มากแต่กม็ ีอาการต่อเน่ืองตอ้ งรับการรักษาตลอดเวลาทาใหเ้ สียค่าใชจ้ ่ายในการ รักษา จากการศึกษาทางแพทยพ์ บวา่ โรคภมู ิแพต้ ่อสารบางชนิดเก่ียวขอ้ งทาง พนั ธุกรรมดว้ ย

ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมคิ ุ้มกนั • โรคเอดส์ (AIDS : Acquired Immuno Deficiency Syndrome) เป็นโรคท่ีมีอาการของภูมิคุม้ กนั บกพร่อง อนั เกิดจากเช้ือไวรัสชนิด HIV เขา้ ไปเจริญเพ่ิมจานวนในเซลลท์ ี่ผชู้ ่วยและทาลายเซลลท์ ีในเวลาต่อมา ซ่ึงมีผลทา ใหร้ ะบบภมู ิคุม้ กนั ของร่างกายเส่ือมหรือบกพร่องลง ร่างกายจึงออ่ นแอและติด เช้ือโรคต่างๆ รวมท้งั เป็นโรคมะเร็งบางชนิดไดง้ ่าย ไวรัสเมื่อเขา้ สู่ร่างกายจะ แพร่กระจายไปตามอวยั วะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไขกระดูก สมอง ปอด ไต และ ดวงตา เป็นตน้ นอกจากน้ี ไวรัส HIV ยงั พบในสารคดั หลงั่ ต่างๆ ของร่างกาย เช่น เลือด อสุจิ น้านม น้าตา และน้าลาย เป็นตน้

ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมคิ ุ้มกนั • เช้ือ HIV จะทาลายเซลลท์ ีผชู้ ่วยจึงทาใหไ้ มม่ ีสารที่จะไปกระตุน้ เซลล์ บี • เช้ือ HIV เพิม่ จานวนและมีการกลายพนั ธุ์ไดง้ ่าย • เช้ือ HIV เจริญและเพิ่มจานวนอยใู่ นเซลลท์ ีผชู้ ่วย และใชอ้ งคป์ ระกอบ ต่างๆ ในเซลลเ์ มด็ เลือดขาวในการเพ่ิมปริมาณเช้ือ HIV และแพร่กระจาย ไปสู่เซลลเ์ มด็ เลือดขาวชนิดอ่ืนต่อไป • เช้ือ HIV มีสารพนั ธุกรรมเป็น RNA ซ่ึงเม่ือเขา้ สู่เซลลจ์ ะสร้างสาร พนั ธุกรรมในรูป DNA และแทรกเขา้ ไปอยใู่ น DNA ของเซลล์

ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมคิ ุ้มกนั • การสร้างภูมิคุ้มกนั ต่อเนื้อเย่ือตนเอง เช่น กรณีเป็นโรคเอสแอลอี เป็นความผิดปกติที่ร่างกายสร้าง ภูมิคุม้ กนั ข้ึนมาต่อตา้ นเซลลข์ องตนเอง ซ่ึงโดยปกติแลว้ ภูมิคุม้ กนั ในร่างกาย สามารถแยกความแตกต่างไดว้ า่ แอนติเจนใดเป็นแอนติเจนของตนเอง และ แอนติเจนใดเป็นส่ิงแปลกปลอม จึงสร้างแอนติบอดีจาเพาะมาทาลาย แอนติเจนเท่าน้นั จะไม่ทาลายเซลลข์ องตนเอง แต่ในบางกรณีเกิดภาวะ ผดิ ปกติข้ึน กลไกการควบคุมเสียไปทาใหร้ ่างกายสร้างแอนติบอดมี าต่อตา้ น แอนติเจนของตนเอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook