Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะเพื่อชีวิต เล่มที่ ๖๔

ธรรมะเพื่อชีวิต เล่มที่ ๖๔

Published by CCDKM, 2018-04-02 04:41:05

Description: ฉบับวันวิสาขบูชา ๒๕๕๓ ชาดกเรื่องต่างๆ (เล่ม ๘)

Search

Read the Text Version

ธรรมะเพอ่ื ชีวติ เล่มที่ ๖๔ ฉบบั วันวิสาขบชู า ๒๕๕๓ชาดกเรอ่ื งตา่ งๆ (เล่ม ๘)จัดทาโดยมลู นธิ ิพทุ ธศาสนศกึ ษา วัดบุรณศิรมิ าตยาราม

สารบัญ ๔ ๑๒ททุ ทุภายชาดก: กระตา่ ยตนื่ ตูม ๒๖จุลลกาลงิ คชาดก: ความพยายามพลิกชะตากรรม ๓๑ราโชวาทชาดก: โคจา่ ฝงู ๔๑ติลมฏุ ฐิชาดก: ไม้เรยี วสร้างพระราชาโคธชาดก: ดาบสอยากกนิ เหี้ย

ทุททุภายชาดก: กระต่ายต่ืนตมูเรยี บเรียงจาก พระสูตรและอรรถกถา (แปล) ขุททกนิกาย เล่มท่ี ๓ ภาคที่ ๔ จตุกกนิบาตชาดก กฏุ ิทูสกวรรค เรื่องที่ ๒ “ชนเหลา่ ใดมักเช่ือตามเสียงคนอื่น ยังไมท่ ันได้ถึงร่องรอยแห่ง วิญญาณเลย ชนเหล่านั้นนับว่าเป็นพาล มีความประมาทเป็น อย่างยิ่ง ดีแต่เชอื่ ผอู้ ืน่ ” “ส่วนชนเหล่าใดสมบูรณด์ ้วยศีล ด้วยปัญญายนิ ดใี นความสงบ ชนเหล่าน้ันนับว่าเป็นบัณฑิต งดเว้นความชั่วห่างไกล ย่อมไม่ เชื่อคนอนื่ เลย”พ >>>>> <<<<< ระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหารทรงปรารภ พวกอัญญเดยี รถยี ์ เรื่องมีอยู่ว่า พวกเดียรถยี ์ทั้งหลายประพฤติ มิจฉาตบะมปี ระการต่างๆ เช่น บางพวกนอนบนทน่ี อนหนามบางพวกเผาตนทาให้ร้อน เหล่าเดยี รถยี ์ประพฤติวตั รเช่นนี้อยูใ่ กล้กับพระวิหารเชตวัน ซึง่ อยู่ระหวา่ งทางที่จะมายงั พระวิหาร พระภิกษุทั้งหลายไดเ้ หน็ วัตรของเดยี รถยี เ์ หลา่ นนั้ จงึ พากนั มาเฝา้ พระพุทธเจ้าแลว้ ทลู ถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ สาระแก่นสารในการสมาทานวตั รของสมณพราหมณผ์ ูเ้ ปน็ อัญญเดียรถยี ์มีอยู่หรือ พระเจ้าขา้ ” พระศาสดาจึงตรัสวา่ “ดูก่อนภกิ ษุท้ังหลาย แกน่ สารหรอื ความวเิ ศษในการสมาทานวตั รของพวกอัญญเดียรถยี เ์ หลา่ น้ัน ยอ่ มไมม่ ีเลย เพราะวตั ร

นน้ั กเ็ ป็นเช่นกบั พ้ืนทีเ่ ตม็ ไปด้วยหยากเย่อื และเหมือนกระตา่ ยกลัวเสียงดงั กกึ ก้อง” ภิกษุเหล่านน้ั จึงทลู ออ้ นวอนวา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทัง้ หลายย่อมไม่ทราบความท่ีวัตรน้ันเป็นเสมอื นกระต่ายกลัวเสยี งดังกึกก้อง ขอพระองค์ตรสั บอกเถิด พระเจา้ ขา้ ”พระศาสดาจงึ ตรัสเรือ่ งในอดีตดังน้ีกระต่ายจอมฟงุ้ ซ่าน อดีตกาลนานแสนนานมาแลว้ พระโพธิสัตว์ถือกาเนิดเปน็ราชสีหเ์ จริญวยั อาศัยอยู่ใกล้ทะเลทางทิศตะวนั ตกของป่าแหง่ หนึง่ ป่านัน้ มีดงตาลขน้ึ ปะปนกบั ตน้ มะตูม ในดงตาลนนั้ เองมกี ระต่ายตัวหน่งึอาศัยอยู่ใต้กอตาลกอหน่ึง ซง่ึ อยู่ใกล้โคนต้นมะตูม วันหนึ่งกระต่ายตัวนน้ั ครน้ั เที่ยวหาอาหารกนิ เรยี บร้อยแล้ว ก็กลับมานอนเลน่ อยใู่ ต้ใบตาล มนั นอนคดิ เลน่ ๆ ว่า “เอ! ถา้ เกิดแผ่นดนิ ถลม่ แลว้ เราจะหนีไปท่ีไหนดีหนอ” กระตา่ ยนอนไปพลางคิดไปพลางจนกระทั่งเคลมิ้ หลบั ไปทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกผลหนง่ึ เกิดหลน่ ลงบนใบตาล กระต่ายจึงตกใจตืน่ ขนึ้ แล้วคิดวา่ “โอ! แยล่ ะสิ แผ่นดินถลม่ แนแ่ ลว้ ” มันจึงรบี ลุกขึ้นแลว้ กระโดดหนีไปโดยไม่ยอมเหลียวหลังมามองเลยเมอื่ กระตา่ ยตืน่ ตมู ด้วยความกลัวตายกระตา่ ยตื่นตมู จงึ วิ่งหนีอย่างไม่คดิ ชวี ิตกระตา่ ยตวั อนื่ ๆ เหน็ กระต่ายตน่ื ตมู ตวั น้ันกาลงั วง่ิ หนดี ้วยความต่ืน

ตระหนกจงึ ถามขึ้นวา่ “นแี่ น่ะ ท่านผู้เจริญ ท่านกลวั อะไรกนั ทาไมจงึรบี วิ่งหนี” กระตา่ ยตื่นตูมตอบโดยไมย่ อมหยดุ วง่ิ ทันทีวา่ “ทา่ นผเู้ จริญอยา่ มวั แต่ถามอยู่เลย รีบหนกี ันเถดิ เรว็ ๆ เขา้ ” กระตา่ ยตวั อ่ืนๆ จึงวิง่ ตามไปขา้ งหลังพลางร้องถามว่า “ทา่ นผู้เจริญ หยดุ ก่อน ท่านกลวั อะไรหรือ ถงึ วิง่ หนีอยา่ งไม่ยอมหยุดอยู่เช่นนี้” กระตา่ ยตน่ื ตมู ตอบโดยไม่เหลียวหลงั หันกลับมามองวา่“แผน่ ดนิ ถล่มแล้วๆ ๆ ท่ีนั่นเกดิ แผน่ ดนิ ถลม่ แล้ว” กระต่ายตวั อ่นื ๆ พอได้ยินดงั นน้ั กร็ ีบวิ่งหนีตามกระตา่ ยตืน่ ตมูกันไปเป็นขบวน พวกมนั ว่ิงไปพลางรอ้ งไปพลางอย่างต่ืนตระหนกวา่“แผ่นดินถลม่ ๆ ๆ” กระต่ายนับพนั ตวั กร็ ว่ มกันวง่ิ หนีไปข้างหนา้ อย่างไม่คิดชีวติสัตวต์ ่างๆ ก็ตื่นตูมด้วย พวกเนอ้ื เห็นพวกกระต่ายกาลังว่งิ หนดี ว้ ยความกลัวตายก็พากนั ถาม “น่เี ร่อื งอะไรกัน ?” กระต่ายกพ็ ากนั พูดว่า “รบี หนเี ร็ว แผน่ ดินถล่มๆ” พวกเนื้อพากนั ตกใจก็พากนั วง่ิ ตามกระต่ายไป ฝา่ ยกระบือเหน็ กระตา่ ยและสตั วท์ ้ังหลายกาลังวิง่ หนีดว้ ยความกลัวตายก็พากันถาม “นเ่ี รอื่ งอะไรกัน?” ก็ได้รับคาตอบว่า “รบี

หนีเรว็ แผน่ ดินถล่มๆ” พวกกระบือก็ตกใจกนั ใหญแ่ ล้วก็พากันว่ิงตามฝงู สตั วท์ ่ตี น่ื ตระหนกไป เม่ือกระตา่ ยวิง่ ผา่ นไปเจอสตั ว์อนื่ ๆ ทีใ่ ด ก็จะรอ้ งบอกวา่แผ่นดนิ ถล่มๆ บรรดาสัตว์เหลา่ นนั้ พอได้ยนิ ก็พากันตื่นตระหนกตกใจและพากันวงิ่ ตามกระต่ายไปจนหมดส้ิน แมเ้ น้ือพวกหน่งึ กระบือพวกหนง่ึ โคพวกหนึง่ แรดพวกหน่งึ เสือพวกหน่ึง สงิ โตพวกหนง่ึ ช้างพวกหนึง่ บรรดาสตั วท์ ง้ั หลายเหล่านนั้ จงึ หนไี ปดว้ ยกนั กบั กระต่าย วา่ กนั วา่เนอ้ื ท่ปี ระมาณหนึ่งโยชน์ล้วนแล้วแต่เต็มไปดว้ ยหมสู่ ัตว์ทั้งหลายทีม่ ากข้นึ ๆ โดยลาดบัแต่ราชสหี ์ไม่ตน่ื ตาม ขณะนัน้ เองราชสีห์โพธสิ ตั วเ์ ห็นพวกสัตวท์ ง้ั หลายเหล่านั้นกาลังว่งิ หนีอยา่ งโกลาหลจงึ ถามขึ้นวา่ “หยดุ ก่อนๆ น่ีมนั เร่ืองอะไรกนั ” เพราะความกลวั ตายหมู่สัตว์น้นั ไมย่ อมหยุด ยังคงวิง่ หนีไปข้างหนา้ แลว้ ตอบอยา่ งตน่ื ตระหนกว่า “แผน่ ดินถล่มๆ” ราชสีห์โพธสิ ัตวจ์ งึ คดิ วา่ “ธรรมดาแผน่ ดินถลม่ ย่อมไม่มใี นกาลไหนๆ สัตว์เหลา่ นีค้ งจะตอ้ งเห็นอะไรบางอยา่ งเป็นแน่ หากเราไมช่ ว่ ยแล้ว สัตว์เหล่านี้กจ็ ะพากนั พินาศฉิบหาย ดลี ะ วันน้เี ราจะใหช้ ีวติ แกส่ ตั ว์เหล่านนั้ ” ครั้นแล้วราชสีหจ์ งึ ว่ิงลว่ งหนา้ ไปยังเชงิ เขายนื บันลอื สหี นาทขึน้ ๓ ครงั้ ณ เชงิ ภเู ขานั่นเอง เมื่อสตั ว์ทั้งหลายได้ยนิ เสียงบันลือสหี นาทของราชสีห์ก็หยุดวิ่งแล้วถามกันเองวา่ “เฮ้ย! พวกเราจงหยุดก่อน น่เี กิดอะไรขนึ้ ” ฝา่ ย

ราชสีห์เหน็ พวกสัตว์หยดุ ว่ิงแลว้ ก็เดินเข้าไปท่ามกลางหมู่สตั ว์เหลา่ นน้ัแล้วถามขน้ึ ว่า “นพ่ี วกทา่ นหนอี ะไรกนั ” หมสู่ ัตวต์ อบ “เราหนีแผน่ ดนิ ถล่มน่ะสิ” ราชสีห์ถามตอ่ “ใครเห็นแผน่ ดินถล่ม” หมสู่ ัตวต์ อบ “ชา้ งรู้” พอราชสหี ์ถามช้าง ช้างบอกไมร่ ู้ แล้วบอกว่าพวกสงิ โตรู้ พอถามสิงโต สงิ โตก็ไม่รู้ เม่ือเหตุการณเ์ ป็นเช่นน้รี าชสหี จ์ งึ ไลถ่ ามสตั ว์ตา่ งๆ ไปทลี ะพวกจนทา้ ยทีส่ ุดมาถงึ พวกกระตา่ ย กระต่ายทง้ั หลายจงึ ช้ีไปยงั กระตา่ ยตื่นตูมตวั นั้นแล้วพูดดว้ ยเสียงส่นั ๆ วา่ “กก็ ระตา่ ยตวั น้นับอกจ้ะ” ลาดับนนั้ ราชสหี จ์ งึ ถามกระต่ายต้นเหตุวา่ “สหาย ไดย้ ินว่าทา่ นเหน็ แผน่ ดินถลม่ อย่างนั้นหรอื ” กระตา่ ยตอบ “จะ้ นาย ข้าพเจ้าเหน็ ” ราชสหี ์ “ตอนน้นั เจา้ อย่ทู ี่ไหนเจ้าจึงเหน็ ” กระตา่ ย “ตอนนนั้ ข้าพเจ้านอนอยู่ใตใ้ บตาลในกอต้นตาลใกล้ๆ โคนตน้ มะตูม ขณะน้ันขา้ พเจ้านอนคิดอยู่ว่าถา้ แผ่นดินถล่มขา้ พเจ้าจะไปทไ่ี หนดี ทนั ใดนัน้ เองข้าพเจ้ากไ็ ด้ยินเสยี งแผ่นดินถลม่ จึงรีบวง่ิ หนีไป”ราชสหี ผ์ ู้มากปญั ญา ฝ่ายราชสีหจ์ ึงพิจารณาแล้วใครค่ รวญวา่ คงเปน็ เพราะผล

มะตมู สุกหลน่ ลงมาบนใบตาล แล้วเกดิ เสยี งดังกึกก้องเปน็ แน่ กระต่ายตวั นคี้ งไดย้ ินเสียงนั้นแลว้ สาคัญผดิ วา่ แผ่นดินถลม่ จงึ รบี วงิ่ หนีไป ถ้าเชน่ นั้นเราตอ้ งไปดูให้รู้อย่างถ่องแท้ ครัน้ แล้วราชสีหจ์ ึงจบั เอากระตา่ ยตัวน้ันไว้ เสรจ็ แลว้ จึงปลอบโยนหมสู่ ัตวท์ ั้งหลายว่า “ทา่ นทง้ั หลาย เราจะไปดูให้รู้วา่ แผน่ ดินท่กี ระต่ายตวั นี้เหน็ถลม่ จรงิ หรอื ไม่ แล้วเราจะกลบั มา ขอใหพ้ วกท่านจงอยู่ตรงน้ีก่อน รอเราจนกวา่ เราจะกลบั มา” จากน้นั ราชสหี ์จึงยกกระตา่ ยขนึ้ มาไวบ้ นหลงัแลว้ ว่ิงแลน่ ออกไปดว้ ยกาลงั แห่งราชสีห์ ครัน้ ถึงท่ีหมายจึงวางกระตา่ ยลงท่ีดงตาลแลว้ กล่าวข้นึ ว่า “มาสิ เจา้ กระตา่ ย เจา้ จงพาเราไปยังที่ที่เจา้ นอนอยู่” กระตา่ ยตวั สัน่ ตอบว่า “ข้าพเจา้ ไมก่ ล้าไป ข้าพเจา้ กลวั ” ราชสหี ป์ ลอบวา่ “มาเถดิ อย่ากลวั ไปเลย เจ้าจงพาเราไปเถิด” กระต่ายจึงพาราชสหี ์ไปแต่มนั ไมก่ ล้าเข้าใกลต้ ้นมะตมู นั้น ได้แต่ยนื อยูห่ า่ งๆ แลว้ พูดวา่ “นาย ตรงนี้แหละเป็นทที่ ่ีมเี สยี งดงั กกึ ก้อง”แล้วรบี พดู ตอ่ ไปว่า “ขา้ พเจ้านอนอยู่ตรงนแ้ี ล้วมีเสียงดังกกึ ก้องขา้ พเจ้าไม่รวู้ า่ เสียงกึกก้องน้ีเป็นอะไร หรือเพราะเหตุใดจึงมีเสียงดังกึกก้อง ข้าพเจ้าไดย้ นิ แตเ่ สียงดงั เพยี งอยา่ งเดยี วเท่านน้ั ” เม่ือกระตา่ ยพดู เช่นนแ้ี ล้ว ราชสหี ์จึงเดนิ ไปยังโคนตน้ มะตูมเหน็ ที่ทก่ี ระตา่ ยนอนอยู่ ภายใตใ้ บตาลน้ันมผี ลมะตูมสกุ หล่นลงเหนือใบตาลก็รูโ้ ดยแจม่ ชดั ทนั ทวี า่ แผน่ ดินไม่ได้ถล่ม ต่อจากนนั้ ราชสหี จ์ ึงจบั กระตา่ ยวางไวบ้ นหลงั แล้วกลบั ไปยังท่ีท่ีหมู่สัตว์รออยู่

ครนั้ ถึงแลว้ ราชสีห์ก็บอกเรอ่ื งนน้ั แกส่ ัตวท์ ัง้ หลายแล้วพูดว่า“แผน่ ดนิ ไม่ไดถ้ ล่มแต่อย่างใด เสยี งนน้ั คือเสียงของผลมะตูมสุกที่หลน่บนใบตาลเท่านั้นเอง” เมอื่ พระโพธสิ ัตวท์ าหมู่สตั วใ์ หส้ บายใจแล้วก็ปลอ่ ยไป วา่ กนั วา่ หากในเวลาน้นั ไม่มพี ระโพธิสัตว์ บรรดาสัตวท์ ้ังปวงก็จะวิ่งลงส่ทู อ้ งทะเลพากนั พินาศไป แตเ่ พราะอาศัยพระโพธิสัตว์ สัตว์ท้งั ปวงจงึ ไดช้ ีวติ กลบั คนื มาดงั นแี้ ล ครัน้ แลว้ พระบรมศาสดากก็ ล่าวอภิสมั พทุ ธคาถาว่า “กระตา่ ยได้ยนิ มะตูมสุกหล่นเสียงดังครนื กว็ ่ิงหนไี ป หมู่เนื้อไดฟ้ งั ถอ้ ยคาของกระตา่ ยแล้วพากนั ตกใจวิ่งหนไี ปด้วย คนเขลาเหลา่ น้นั ยงั ไมท่ นั ถึงวญิ ญาณบทคอื ทางแหง่วิญญาณความรแู้ จ้ง มักเช่ือตามเสียงผู้อ่ืน ถือการเล่าลือเปน็ สาคัญจึงเปน็ ผู้เชอื่ คนอืน่ ส่วนชนเหลา่ ใดสมบรู ณ์ด้วยศลี ยนิ ดใี นความสงบระงับด้วยปัญญา ชนเหล่านนั้ นับว่าเป็นปราชญ์ งดเว้นความชวั่ ห่างไกล ยอ่ มไมเ่ ช่อื ผู้อื่น” อรรถกถาอธิบายว่า อันธพาลปุถุชนเหลา่ น้นั คลอ้ ยตามเสียงคนอ่นื เป็นสาคัญ การเล่าลือ กลา่ วคอื เสียงของคนอน่ื เทา่ นั้นวา่ สาคัญจึงเป็นผู้เช่ือคนอนื่ เพราะจะไมถ่ ึงวญิ ญาณบนทางแห่งความรู้แจง้ คือเชื่อถอ้ ยคาของผู้อ่ืนแลว้ กระทาตามๆ ไป

ผปู้ ระกอบด้วยศีล ประกอบดว้ ยปัญญา ยินดีในความสงบกเิ ลส เป็นบณั ฑติ งดเว้นห่างไกลจากการทาบาป ชนเหล่าน้ันคือ เปน็พระโสดาบนั มธี รรมอันรแู้ จง้ แล้วดว้ ยมรรคญาณ โดยความเป็นผูง้ ดเว้นจากบาป ยินดีในการสงบกเิ ลส ย่อมไม่เช่ือถือ แม้ต่อผู้อนื่ ทกี่ ลา่ วอยู่เพราะประจกั ษช์ ดั ดว้ ยตนเอง พระศาสดาจึงตรสั ต่อไปว่า “นรชนใดไม่เชอ่ื คณุ อนั ตนรู้แล้วด้วยถอ้ ยคาของผูอ้ ืน่ รู้จักพระนิพพานอันปัจจยั อะไรๆ ปรุงแต่งไมไ่ ด้แลว้ และตดั ท่ีตอ่ คือวัฏสงสารขาดแล้ว กาจดั โอกาสคืออบายไดแ้ ลว้ มีความหวังอนั คายแลว้ นรชนนน้ั แลชื่อว่าเป็นอุดมบรุ ุษดังน้ี” ครั้นพระธรรมเทศนาจบลงพระศาสดาทรงประชุมชาดกราชสหี ์ในครง้ั นัน้ คอื เราตถาคตน้แี ล :: :: :: :: ::

จุลลกาลงิ คชาดก: ความพยายามพลิกชะตากรรมเรยี บเรยี งจาก พระสูตรและอรรถกถา (แปล) ขทุ ทกนิกาย เล่มท่ี ๓ ภาคที่ ๔ จตุกกนิบาตชาดก กาลิงควรรค เรอ่ื งที่ ๑ “ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาท้ังหลายยังประพฤติมุสาวาทอีกหรือ พระองค์ตรัสแต่ถ้อยคาที่จริงท่ีแท้อย่างย่ิงมิใช่หรือ ข้าแต่ท้าว มัฆวานเทวราช ผู้เป็นใหญ่กว่าปวงชน พระองค์ทรงอาศัยเหตุ อะไรหรือ จึงไดต้ รัสมุสา” “ดูก่อนพราหมณ์...ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า เทวดา ท้ังหลายยอ่ มเกยี ดกนั ความพยายามของบุรุษไมไ่ ด้ ความข่มใจ ความต้ังใจแน่วแน่ ความไม่แตกสามัคคี กัน ความไม่แก่งแย่งกัน การก้าวไปในกาลอันควร ความเพียร อย่างเด็ดเด่ียว และความบากบ่ันของบุรุษ (มีอยู่ในพระเจ้า อัสสกะ) เพราะเหตุนั้นแหละชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสส กะ”เ >>>>> <<<<< มอื่ พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวนั วิหารทรงปรารภถงึ การบวชของนางปริพาชกิ าทั้ง ๔ ดงั เรอ่ื งมีอยวู่ ่า ณ เมืองเวสาลมี กี ษตั รยิ ์ลิจฉวจี านวน ๗,๗๐๗ พระองค์

บรรดากษตั ริย์ลิจฉวีเหลา่ นีล้ ้วนมคี วามชืน่ ชอบการโต้วาทะอยา่ งยง่ิ วนัหนง่ึ มีนคิ รนถผ์ ฉู้ ลาดเก่งกาจในวาทะ ๕๐๐ คนหนึง่ เดนิ ทางมาถงึ พระนครเวสาลี กษัตริยล์ จิ ฉวเี หลา่ นจ้ี งึ ใหก้ ารอุปถมั ภ์นิครนถผ์ ู้นี้ อยตู่ ่อมาไมน่ านก็มนี างนิครนถผ์ ฉู้ ลาดในวาทะ ๕๐๐ เชน่ กันนางหน่ึงมาถงึ พระนคร เหลา่ กษตั ริย์ลิจฉวีจึงให้ทั้งสองโตว้ าทะกัน คนท้ังสองล้วนเป็นคนฉลาดตา่ งมีความสามารถในการโต้วาทะกัน ดังนัน้ กษัตรยิ ล์ จิ ฉวีทัง้ หลายจึงพากนั คิดขึ้นวา่ ถ้าหากนคิ รนถ์ท้ังสองทาการววิ าห์กัน บุตรท่เี กดิ มาจะต้องเปน็ คนฉลาดหลักแหลมแนแ่ ท้ทเี ดียว ครั้นแลว้ กษตั รยิ ์ลิจฉวที ้ังหลายเหล่านน้ั จงึ จัดการกระทาววิ าหมงคลใหแ้ ก่คนทงั้ สองต่อมาไม่นาน ทั้งสองคนก็ให้กาเนิดบตุ รหญิง ๔ คน บุตรชาย ๑ คนตามลาดับ นิครนถ์ทง้ั สองตัง้ ช่ือบตุ รหญงิ ทัง้ สวี่ ่า สัจจา โสมา อธิวาทกาปฏจิ ฉรา สว่ นบตุ รชายช่อื วา่ สจั จกะ นคิ รนถท์ ้ังสองได้พรา่ สอนบตุ รดว้ ยวาทะของตนฝ่ายละ ๕๐๐ วาทะ ดังน้นั บตุ รเหล่าน้จี ึงกลายเปน็ ผู้มีวาทะ ๑๐๐๐ ขณะเดยี วกันบิดามารดาก็ให้โอวาทแก่ธดิ าทั้ง ๔ ว่า “นี่แน่ะ พวกเจา้ จงจาไวใ้ หด้ ี หากผใู้ ดสามารถทาลายวาทะของพวกเจา้ ได้ถ้าผู้นั้นเป็นคฤหัสถ์พวกเจ้าจงยอมเปน็ บาทบริจาริกาของเขา ถา้ เป็นบรรพชติ ก็จงบวชในสานกั ของบรรพชิตนั้น”นางปรพิ าชิกาทา้ โตว้ าทะ ครั้นเวลาลว่ งเลยไปนคิ รนถ์ผ้เู ปน็ บิดามารดาทากาลกิริยาตายไป น้องชายคนสดุ ทอ้ งคือสัจจกะนิครนถจ์ ึงเป็นอาจารย์ส่ังสอนศลิ ปะ

แกก่ ษัตริยล์ ิจฉวีอยูใ่ นพระนครเวสาลีน้ันเอง สว่ นพส่ี าวทงั้ ๔ ก็ถือกงิ่หว้าทอ่ งเที่ยวไปตามนครต่างๆ จากเมืองน้ีไปเมืองนัน้ เพือ่ ต้องการโต้วาทะ ซ่ึงไมม่ ีผู้ใดสามารถโตว้ าทะชนะนางเหล่านี้ได้ จนกระทงั่ วนั หนง่ึนางท้งั สไ่ี ด้มาถึงเมอื งสาวตั ถี นางจึงไดป้ ักกิ่งหวา้ ซึ่งแสดงถึงการท้าทายใหม้ าประลองปญั ญากนั ไวใ้ กลก้ บั ประตูพระนคร นางท้งั ๔ บอกเด็กๆแถวนน้ั วา่ “น่แี นะ่ ! เจา้ หนูน้อยไมว่ ่าจะเปน็ คฤหสั ถห์ รือบรรพชติ ใครกต็ ามหากต้องการสู้วาทะกับพวกเรา ก็ให้ผนู้ ั้นเอาเทา้ เกล่ียกองฝนุ่ น้ใี ห้กระจายแล้วเหยียบกง่ิ หว้านี้ด้วยเทา้ น้นั แหละ” ครน้ั พูดจบแล้วก็พากนั เข้าไปยังพระนครสาวัตถีเพ่ือกระทาภัตกิจพระสารีบตุ รรบั คาทา้ เช้าวนั นน้ั เมอื่ พระสารบี ตุ รเถระกระทาภารกิจตา่ งๆ อันมีกวาดพ้ืน ตักน้าดมื่ ใสห่ มอ้ เปล่า ปรนนิบตั ิภิกษุไขเ้ รียบร้อยแลว้ จึงเข้าไปบณิ ฑบาตในพระนครสาวตั ถี ขณะนัน้ เป็นเวลาสายท่านเหน็ กงิ่ หว้าปักอยู่หนา้ ประตูจึงเข้าไปไตถ่ าม คร้นั ได้ความแลว้ กใ็ หพ้ วกเดก็เหล่าน้นั หักกิง่ หวา้ แล้วเหยียบเสีย เสร็จแลว้ ทา่ นจึงพดู แก่เด็กๆ ว่า เมื่อพวกนางปริพาชกิ าท้ังหลายเหล่าน้นั มาถงึ จงพบเราทีซ่ ุ้มประตูพระวิหารเชตวนั ครัน้ สัง่ แล้วจึงเข้าไปยังพระนคร เมื่อพระเถระกระทาภตักิจเสรจ็ กอ็ อกมายนื อยู่ทซี่ มุ้ ประตพู ระวิหารน่นั เอง ฝ่ายนางปรพิ าชกิ าเม่ือกลับมาเห็นก่ิงหว้าถกู เหยยี บย่า ก็ถาม

ว่า “ใครเหยียบกงิ่ หวา้ น้ี” เดก็ ๆ ตอบ “พระสารีบุตรเหยียบ” แล้วเด็กๆ ก็พดู ตอ่ ไปว่า “ถ้าพวกท่านต้องการโตว้ าทะกจ็ งไปหาพระเถระท่ีซุ้มประตูพระวหิ ารเชตวนั เถอะ” นางปรพิ าชิกาเหล่าน้นั จึงใหม้ หาชนมาประชมุ กัน แลว้ พากันไปยงั ซุม้ ประตูพระวหิ าร เมือ่ พวกนางปริพาชกิ าพบพระสารีบุตรแลว้ ก็ถามวาทะ๑๐๐๐ พระเถระวิสชั นาตอบนางแลว้ จงึ ถามกลบั วา่ “พวกท่านรอู้ ะไรอย่างอื่นอีกหรอื ไม่” พวกนางตอบ “ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจา้ ไมร่ ู้อย่างอ่ืน” พระเถระจึงพดู ขน้ึ ว่า “ถ้าเชน่ นน้ั เราจะถามพวกท่านบ้าง” พวกนางกลา่ ว “ถามเถิดท่าน ถ้าพวกขา้ พเจ้ารู้ จกั กล่าวแกเ้ อง” พระเถระจงึ ถามว่า “เอ กํ นาม กึ อะไรช่ือวา่ หนง่ึ ?” พวกนางปรพิ าชกิ าเหลา่ น้ันไมร่ ู้ พระเถระจึงวิสัชนาให้ฟัง ครั้นแลว้ นางทงั้ ๔ จึงพูดว่า “ขา้ แต่ทา่ น พวกขา้ พเจ้าแพ้แลว้ทา่ นชนะ” พระเถระถาม “บดั น้ี พวกท่านจะทาอยา่ งไร” นางปริพาชิกาตอบ “บิดามารดาของพวกเราสง่ั ไวว้ า่ ถ้าคฤหัสถ์ทาลายวาทะของเราได้ เราก็จะยอมเป็นบาทบริจารกิ าของเขา แต่ถ้าเปน็ บรรพชติ พวกเรากจ็ ะบวชในสานักนนั้ ดงั นั้นขอทา่ นจงบวชใหพ้ วกเราดว้ ยเถิด” พระเถระจึงใหน้ างปรพิ าชิกาท้งั ๔ บวชในสานกั ของพระนางอบุ ลวรรณาเถรี พวกนางบวชได้ไม่นานก็บรรลอุ รหัตผล วนั หน่งึ ในธรรมสภา บรรดาพระภิกษุทั้งหลายพากนั ประชมุสนทนาถงึ เร่อื งนี้วา่ “อาวโุ สทง้ั หลาย พระสารีบตุ รเถระเป็นทีพ่ ่งึ อาศยัของนางปริพาชกิ าท้ัง ๔ ให้ทกุ นางบรรลุเป็นพระอรหันต์” ลาดับน้ัน

เมื่อพระพทุ ธองคเ์ สด็จมา จึงตรสั ถามแลว้ กล่าวข้นึ ว่า “ดูก่อนภิกษุทัง้ หลาย ไม่ใชแ่ ต่ในบัดนี้เทา่ น้นั แม้ในกาลก่อนสารบี ตุ รก็ได้เปน็ ที่พงึ่อาศัยของนางปรพิ าชิกาเหลา่ น้ี ในบัดนี้ไดใ้ ห้บรรพชาภิเษก ส่วนในปางกอ่ นไดต้ ้งั ไวใ้ นตาแหนง่ มเหสขี องพระราชา” คร้ันแล้วพระองค์ทรงนาเรอ่ื งในอดตี มาสาธกดังน้ีพระเจา้ กาลิงคราชผกู้ ระหายสงคราม อดตี กาลนานมาแล้ว แคว้นกาลงิ ครัฐมพี ระเจ้ากาลิงคราชเสวยราชสมบัตอิ ยู่ในพระนครทันตปุระ พระเจ้ากาลิงคทรงเปน็ กษัตริย์ผู้มพี ละกาลัง มรี ่างกายแข็งแรง กาลงั ดุจชา้ งสาร อีกท้ังพระองค์ยังสมบรู ณ์ดว้ ยกาลงั กองทพั และยานพาหนะ จนไมม่ ใี ครในแผน่ ดนิ จะสู้ได้ ด้วยเหตดุ ังน้พี ระองค์จงึ มีความประสงค์อยากจะทาการรบ กระหายที่จะทาสงครามสูร้ บอยเู่ สมอๆ วันหน่ึงพระองค์บอกแก่เหลา่ เสนาอามาตยว์ า่ “เราตอ้ งการรบ เราอยากจะรบ แต่ไม่เหน็ ผใู้ ดที่จะรบแข่งกบั เราได้เลย เราจะทาอย่างไรดี” พวกอามาตยจ์ ึงกราบทูลว่า “ข้าแตม่ หาราช พวกข้าพระองค์มีอบุ ายอยปู่ ระการหนงึ่ ขอพระองค์จงให้พระราชธดิ าทั้ง ๔ ผู้ทรงงดงามเลอโฉม ใหป้ ระดบั ตกแตง่ พระราชธดิ าเหล่าน้ัน แล้วใหน้ ง่ั ไปในราชยานอันมดิ ชิด แวดลอ้ มด้วยไพรพ่ ล แลว้ ใหเ้ ดนิ ทางไปยังเมืองและราชธานีทงั้ หลายพร้อมทัง้ ปา่ วประกาศรอ้ งวา่ หากพระราชาพระองค์ใดมีพระราชประสงค์รับพระราชธดิ าไวเ้ พอ่ื ตนแล้วไซร้ เรากจ็ ักทาการ

รบกับพระราชาพระองคน์ ั้น” ฝา่ ยพระเจ้ากาลงิ คราชทรงเหน็ ด้วยในอบุ ายนัน้ จึงสง่ั ใหพ้ ระราชธิดาเท่ยี วเสดจ็ ไปยังเมืองต่างๆ จากเมืองโนน้ ส่เู มืองนก้ี ็ปรากฏว่าไมมีพระราชาพระองค์ใดเลยทีจ่ ะรับพระราชธิดาเหลา่ น้ันใหเ้ ข้าสูพ่ ระนคร ด้วยเหตุว่าพระราชาทั้งหลายเหล่าน้นั ลว้ นกลวั ตอ่ ภัยทีจ่ ะมาถึงตน กใ็ ห้ปิดประตูพระนครแลว้ ทรงส่งเครอ่ื งราชบรรณาการออกไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชแทน พระราชธิดาเหล่านัน้ ตอ้ งรอนแรมไปตามท่ีต่างๆ จนกระทัง่ วันหนึ่งได้มาถึงพระนครโปตละ แคว้นอัสสกรฐันันทเสนบณั ฑติ พระเจ้าอสั สกะผ้คู รองนครโปตละทรงทราบเรื่องนั้นกใ็ ห้ปดิประตูและส่งเคร่อื งบรรณาการไปถวาย กใ็ นพระนครนั้นยังมีอามาตย์คนหนึ่งชอ่ื นันทเสนเปน็ บัณฑิตผเู้ ฉลยี วฉลาดสามารถในอบุ ายตา่ งๆนันทเสนอามาตยค์ ิดขนึ้ ว่า “ขา่ วทพ่ี ระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชเที่ยวเสดจ็ ไปทว่ั ชมพูทวีป แล้วยังไมม่ ีผ้ใู ดคิดสรู้ บกบั พระเจ้ากาลงิคราช แมเ้ มื่อเปน็ เช่นน้ี เหน็ ทชี มพูทวปี จะไดช้ ื่อว่า วา่ งจากนักรบ ไมม่ ีผู้กลา้ อือม์! ถา้ เชน่ นัน้ เราจะทาการรบกับพระเจ้ากาลิงคราชนเ้ี อง” คร้ันแล้วนนั ทเสนบัณฑติ จึงไปยังประตูพระนคร เรยี กคนรกั ษาประตูมาแล้วกลา่ วว่า “ขา้ พเจา้ นันทเสนผ้เู ป็นอามาตย์เป็นบุรุษดจุ ราชสหี ์ของพระเจา้ อสั สกะ ผู้ทอ่ี าจารยท์ ้ังหลายสัง่ สอนไวด้ ีแลว้ ขอทา่ นจงเปิดประตูถวายพระราชธิดาเหล่าน้นั ให้เสด็จเข้ามาในพระนครน้ีเถิด” จากนั้นนนั ทเสนอามาตย์ให้เปดิ ประตูรับพระราชธดิ าทั้ง ๔ ไป

ถวายพระเจา้ อัสสกะแล้วกราบทลู ว่า “ข้าแตม่ หาราช ขอพระองค์อย่าเกรงกลวั เลย เม่อื มีการรบเกิดข้ึน ข้าพระองค์ขอรับอาสาทาการรบเองขอพระองค์ทรงตั้งพระราชธดิ าผู้ทรงพระสริ ิโฉมอนั เลอเสิศทงั้ หลายเหลา่ น้ีไวใ้ หเ้ ป็นพระอัครมเหสีเถิด” เสรจ็ แลว้ นันทเสนอามาตย์จึงส่งราชบุรุษผมู้ ากับพระราชธิดาเหลา่ นั้นให้กลับไปพร้อมท้งั กล่าวว่า “ท่านทงั้ หลายจงไปกราบทูลพระราชาของทา่ นด้วยว่า พระเจา้ อัสสกะทรงต้ังพระราชธดิ าทัง้ ๔ ไว้ในตาแหน่งอัครมเหสี”สงครามเกิดข้ึน ฝ่ายพระเจา้ กาลิงคราชเม่ือรเู้ รือ่ งนัน้ แลว้ ก็ดาริวา่ “ฮึม่ ! พระเจ้าอสั สกะนน้ั เห็นทจี ะไมร่ ู้กาลังของเรา” พระองค์ทรงสั่งการแล้วเสด็จออกทาการรบดว้ ยกองทัพกองใหญท่ ันที สว่ นนันทเสนอามาตย์เม่ือรูถ้ ึงการเสดจ็ ออกรบของพระเจ้ากาลงิ คราชจงึ ส่งสาสน์ไปว่า “ขา้ แต่พระเจา้ กาลงิ คราช ขอให้พระองค์ทรงอยแู่ ตเ่ ฉพาะในรัฐสมี าของพระองค์เองเทา่ น้นั อยา่ ลว่ งล้าเขา้ มาในรฐัสีมาแหง่ พระเจา้ อสั สกะของข้าพระองค์ มิฉะนนั้ การสู้รบจกั ต้องมีระหว่างแควน้ เราทั้งสอง” เม่อื พระเจ้ากาลิงคราชทรงสดับสาสนน์ ัน้เพื่อจะรอดูเชิงกันก็ใหห้ ยดุ ทัพไว้เฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองค์ ฝา่ ยพระเจา้ อสั สกะก็ทรงหยุดทัพไว้เฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองคเ์ ชน่ กนั

ฤาษสี หายพระอินทร์ในคร้ังนน้ั พระโพธสิ ัตว์ออกบวชเปน็ ฤาษอี าศัยอยู่ในปา่ระหว่างอาณาเขตของท้งั สองเมือง พระเจ้ากาลิงคราชทรงรู้วา่ ทีต่ รงน้ันมีฤาษีอาศัยอยู่ก็ทรงดาริวา่ “ธรรมดาสมณะท้งั หลายยอ่ มร้อู ะไรดีๆเราจะถามพระฤาษดี วู า่ ผใู้ ดจะเป็นฝา่ ยชนะ”พระเจา้ กาลิงคราชจึงปลอมพระองค์ แล้วเสด็จไปยังบรรณศาลา ทรงไหวแ้ ลว้ น่ังลงกระทาปฏิสนั ถาร แลว้ ค่อยถามวา่“ท่านผูเ้ จรญิ ไดย้ ินวา่ พระเจา้ กาลิงคราชกบั พระเจา้ อสั สกะจะทาการรบกนั ขณะน้ีพากนั ต้งั ทัพยันกันอยู่เฉพาะเขตของตน ทงั้ สองฝ่ายนีใ้ ครจะแพ้ ใครจะชนะ” พระฤาษจี งึ ตอบไปวา่ “ท่านผู้มบี ญุ มาก อาตมภาพไมร่ ูห้ รอกว่าใครแพ้ใครชนะ แตท่ ่านทา้ วสักกเทวราชเสด็จมาท่นี ่ีอาตมภาพจะถามท้าวสักกะแล้วบอกใหท้ า่ นทราบ วนั พรุ่งน้ีทา่ นจงมาฟังเอาเถิด”เมื่อถึงเวลาท้าวสักกเทวราชเสดจ็ มาสู่ที่บารงุ พระฤาษแี ล้วประทบั น่งั ฝ่ายพระฤาษจี งึ ถามความนั้นแก่ทา้ วเธอ ท้าวสักกะตรสัทานายว่า “ขา้ แตท่ า่ นผูเ้ จริญ! พระเจ้ากาลงิ คราชจะมชี ัยชนะ พระเจ้าอสั สกะจะพ่ายแพ้ บุพนิมติ นจี้ ักปรากฏ”วนั รงุ่ ขน้ึ พระเจา้ กาลิงคราชเสดจ็ มาถามปัญหานน้ั พระฤาษีทลู ตอบแกพ่ ระองค์ พระราชานั้นไม่ตรสั ถามเลยว่า บพุ นิมิตอยา่ งไรจะปรากฏ ครั้นฟังคาทานายเสร็จแล้วทรงลากลบั ไปด้วยพระทัยยินดีว่าพระองคจ์ ะชนะ เร่ืองคาทานายดงั กล่าวนไ้ี ด้แพร่สะพัดไปทั่ว ฝ่ายพระ

เจ้าอัสสกะไดย้ ินเร่ืองนน้ั จึงตรัสเรยี กนันทเสนอามาตย์มาแลว้ พดู วา่“เขาว่าพระเจ้ากาลงิ คราชจะชนะ เราจะแพ้ เราควรทาอยา่ งไรดี”นันทเสนบณั ฑิตกราบทูลวา่ “ขา้ แต่มหาราช! ใครจะทราบเรอ่ื งน้ไี ดว้ า่ชยั ชนะหรือความปราชัยน้นั จะเป็นของใคร ขอพระองค์ทรงอยา่ กังวลไปเลย” ครัน้ กราบทลู ปลอบพระทัยพระราชาแลว้ จึงเขา้ ไปหาพระฤาษี เมอื่ นนั ทเสนอามาตยไ์ หว้พระฤาษแี ล้วนง่ั ณ สว่ นข้างหนึ่งก็ถามวา่ “ท่านผู้เจริญ ใครจะแพ้ ใครจะชนะ” พระฤาษตี อบ “พระเจา้กาลิงคราชจะชนะ พระเจา้ อัสสกะจะแพ้” นันทเสนจึงถามต่อไปว่า“ท่านผูเ้ จรญิ แลว้ บุพนมิ ิตอะไรจะมีแก่ผชู้ นะ บพุ นิมิตอะไรจะมแี ก่ผู้แพ้” พระฤาษตี อบ “ท่านผู้มบี ญุ มาก อารักขเทวดาของผชู้ นะจะเป็นโคตัวผู้สขี าวปลอด สว่ นของผูแ้ พ้จะเปน็ โคตัวผูส้ ีดาปลอด เมื่ออารกั ขเทวดาท้ังสองฝา่ ยรบกันจะทาความชนะและแพ้ใหเ้ กิดขึน้ ” นันทเสนได้ยนิ แล้วกล็ กุ ข้นึ ลากลับไปผจู้ ะแพ้ต่อจากนัน้ นันทเสนอามาตย์จงึ พาทหารใหญ่ผเู้ ปน็ สหายของพระราชาจานวนหนงึ่ พนั คนขึ้นไปบนภเู ขา แล้วถามดว้ ยเสียงอนั ดงั ว่า“ท่านผู้เจริญทง้ั หลาย พวกทา่ นสามารถยอมตายถวายชวี ิตแก่พระราชาของพวกเราได้หรือไม่” ทหารเหล่านนั้ ต่างตอบพรอ้ มเพรยี งกันว่า “ได้” นันทเสนอามาตย์กล่าวตอ่ วา่ “ถา้ เช่นนน้ั พวกทา่ นจงกระโดดลงไปในเหวนี้” เมือ่ พวกทหารเหล่าน้ันเตรยี มพร้อมท่จี ะ

กระโดดลงเหว นนั ทเสนจึงห้ามแล้วกลา่ วขึ้นว่า “อยา่ โดดลงเหวน้ีเลยทา่ นทง้ั หลายเป็นผมู้ ีขวัญดี กลา้ หาญไม่ถอยหลัง พวกเราจงมาช่วยกันทาการรบเพื่อถวายชีวิตแกพ่ ระราชาของพวกเรากันเถดิ ” พวกทหารรบั คานนั้ผ้จู ะชนะ กล่าวถึงฝ่ายพระเจา้ กาลิงคราช เมื่อรู้วา่ พวกตนจะชนะ กพ็ ากันปล่อยปละละเลย ประมาทนิ่งนอนใจ แม้แต่พระเจา้ กาลงิ คราชเองกท็ รงวางพระทัยคิดแตเ่ พยี งว่า “เราจะชนะ” บรรดาพลนิกายของพระองค์ก็เช่นกนั พากนั วางใจเหมือนกนั ว่าพวกเราจะชนะ จึงไม่ทาการซอ้ มรบ ในเวลาที่ควรจะกระทาความเพยี รพยายามก็ไมท่ า ไม่ตระเตรียมการรบอะไรเลย ต่างฝา่ ยตา่ งแบ่งกันเปน็ พรรคเป็นพวกแล้วพากันหลบหลีกไปตามความชอบใจโคดา โคขาว เม่ือสงครามเริม่ ขน้ึ พระราชาทงั้ สองพระองคเ์ สด็จขึน้ ทรงมา้เข้าหากันด้วยหมายมั่นวา่ จะต่อยทุ ธ อารักขเทวดาของทง้ั สองออกไปขา้ งหน้า อารักขเทวดาของพระเจา้ กาลิงคราชเป็นโคผู้สขี าวปลอดส่วนอารักขเทวดาของพระเจา้ อสั สกะเป็นโคผู้สดี าปลอด โคทัง้ สองต่างแสดงอาการต่อสเู้ ข้าหากนั และกัน กโ็ คทัง้ สองเหลา่ นีย้ ่อมปรากฏแก่พระราชาทั้งสองเทา่ น้นั คนอ่ืนไม่อาจเหน็ ได้ ลาดับนั้นเอง นันทเสนอามาตยเ์ ข้าไปทลู ถามพระราชาของตน

วา่ “ขา้ แตม่ หาราช อารักขเทวดาปรากฏแก่พระองคแ์ ลว้ หรอื ยงั ”พระราชา “เออ! ปรากฏแลว้ ” นันทเสนทลู ถามวา่ “ปรากฏอย่างไรพระเจ้าข้า” พระราชาตรสั วา่ “อารักขเทวดาของพระเจา้ กาลิงคราชเป็นโคผ้สู ขี าวปลอด ส่วนของเราเป็นโคผสู้ ดี าปลอด” นันทเสนกล่าวต่อไปว่า “ดีละ ขา้ แตม่ หาราช พระองค์ทรงอยา่ เกรงกลวั เลย พวกเราจะชนะ พระเจ้ากาลงิ คราชจะแพ้ ขอพระองค์จงเสด็จลงจากหลงั ม้าถือพระแสงหอกนี้ เอาพระหัตถซ์ ้ายแตะดา้ นทอ้ งม้าสินธพทฝ่ี ึกดีแล้ว และรบี ไปพรอ้ มกบั ทหารพันคนเสร็จแล้วเอาหอกประหารอารักขเทวดาของพระเจา้ กาลงิ คราชให้ลม้ ลงต่อจากน้นั พวกข้าพระองค์อกี หนง่ึ พันจะประหารดว้ ยหอกพันเล่ม ครนั้ทาดังน้อี ารกั ขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคราชจะฉบิ หาย จากนนั้ พระเจา้กาลิงคราชจะเปน็ ฝา่ ยแพ้ พวกเราจะชนะ”ผแู้ พก้ ลายเปน็ ผู้ชนะ พระราชารับคานั้น “ตกลง” แลว้ พระองคจ์ งึ รีบเสดจ็ ไปทาตามคาบอกของนนั ทเสนอามาตยเ์ อาหอกแทงตามคาแนะนาน้นั ส่วนอามาตย์ทัง้ หลายก็แทงดว้ ยหอกพันเลม่ ทันใดนัน้ อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคราชกถ็ งึ แก่ความตาย ณ ทน่ี นั้ นั่นเอง เมอ่ื พระเจา้ กาลงิคราชทรงพ่ายแพ้ก็รบี เสดจ็ หนีไป อามาตยเ์ หลา่ นัน้ เหน็ พระเจ้ากาลิงคราชเสด็จหนีไป ก็พากนั ตะโกนโห่รอ้ งขน้ึ วา่ “พระเจ้ากาลงิ คราช

เสด็จหนไี ปแล้วๆ” ฝ่ายพระเจา้ กาลงิ คราชผู้ทรงกลัวต่อมรณภัย เม่ือเสดจ็ ผ่านหน้าอาศรมพระฤาษีก็ตะโกนดา่ พระฤาษีวา่ “แนะ่ ! ดาบสโกง ทา่ นได้พดู ไวว้ ่า ชยั ชนะจะมแี กพ่ ระเจา้ กาลงิ คราชผู้สามารถย่ายบี ุคคลท่ใี ครๆกย็ ่ายไี ม่ได้ ความปราชัยจะมแี ก่พระเจา้ อัสสกะ ชนท้งั หลายเหลา่ ใดเป็นผู้ซ่ือตรงดว้ ยกาย วาจา ใจ ชนเหลา่ นนั้ ยอ่ มไม่พูดเทจ็ อยา่ งนี้ ท่านเป็นฤาษีออกบวช ยังพูดโปป้ ดมดเทจ็ อีกหรือ” พระเจ้ากาลิงคราชเมอ่ืดา่ พระฤาษีอย่างน้ีแล้ว ก็เสดจ็ หนกี ลบั ไปยงั พระนครของตน โดยไม่อาจท่ีจะเหลยี วกลบั มามองดูได้เลยความพยายามของมนษุ ย์ เทวดาฤาจะหา้ มได้ คร้นั เวลาผา่ นไป ๒ - ๓ วนั ทา้ วสักกะก็เสด็จมายังบรรณศาลา พระฤาษีจงึ กลา่ ววา่ “ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาทัง้ หลายยงั พดู มสุ าอกี หรือ พระองค์ควรตรัสแตค่ าจริงมิใชห่ รือ พระองค์ควรตรัสแตค่ าจริงมิใช่หรือ ขา้ แต่ทา้ วมัฆวานผเู้ ปน็ ใหญใ่ นแผน่ ดนิ พระองค์อาศัยเหตุอะไรหรอื จึงได้ตรสั มสุ า” ทา้ วสกั กะได้ยินดังน้นั จงึ ตอบกลับไปว่า “ดกู ่อนพระคุณเจา้ท่านไม่เคยไดย้ ินคานีห้ รือว่า เทวดาท้ังหลายย่อมเกียดกนั ความพยายามของมนุษย์ไมไ่ ด้ ไม่รษิ ยาความบากบ่นั ของมนุษย์ ความข่มใจคือความทรมานตน เชน่ การทาความเพียรพยายามของพระเจา้อสั สกะ ความสามัคคีความมีใจไม่แตกแยกกัน ความตั้งใจแน่วแน่คอื ความมีใจต้งั มนั่ ไม่แตกแยก ความไม่แกง่ แย่งกนั ในเวลาทาความ

เพียรแห่งพวกสหายของพระเจา้ อสั สกะ ความไม่ย่อท้อเหมือนคนของพวกพระเจ้ากาลิคะทแ่ี ยกเปน็ พวกๆ ย่นย่อฉะนน้ั อน่งึ ความเพียรมัน่ คงคือความเพียรพยายามและความบากบั่นแห่งมนษุ ย์ที่มีอยู่ในพวกพระเจ้าอัสสกะ ไดเ้ ปน็ คุณธรรมอนั มัน่ คงเพราะความเป็นผมู้ ีความสมัครสมานกัน เพราะเหตนุ น้ั แหละ ชัยชนะจึงได้มแี กพ่ วกพระเจา้ อัสสกะ” เมอ่ื พระเจ้ากาลงิ คราชไดฟ้ ังคาทานายวา่ ฝา่ ยตนจะชนะ จงึ ทาใหก้ ลายเปน็ คนประมาท มัวแตห่ ลงระเรงิ ดีใจในชัยชนะท่ยี งั มาไมถ่ ึงไมท่ าความเพียรพยายามอะไรเลย มวั แต่นิง่ นอนใจ เมื่อไม่มีการซ้อมรบกองทัพกย็ ่อหย่อน ไม่มีความสามคั คกี นั เพราะตา่ งก็ต้องการสบายทาให้เกียจครา้ น เมอื่ พระเจ้ากาลงิ คราชประมาทบรวิ ารทั้งหลายก็ประมาทตาม เมื่อรบกนั ฝีมือกต็ กจงึ กลับกลายเป็นผ้แู พ้ ส่วนฝ่ายพระเจา้ อสั สกะท่ีไดร้ ับคาทานายว่าจะพ่ายแพ้ ไม่ยอมจานนต่อคาทานาย กลับลุกขนึ้ สู้ ปลุกปลอบขวัญกาลังใจของเหล่าทหารหาญให้ฮึกเหมิ ทาการซักซ้อมเตรยี มการรบอย่างหนัก เมอ่ื ไม่ยอมจานนต่อคาทานายนัน้ เป็นผู้ไมป่ ระมาท ท้ายท่สี ุดก็สามารถพลิกคาทานายกลบั กลายเป็นผู้ชนะได้ พระเจ้าอัสสกะใหก้ วาดต้อนเชลยและอาวธุ ต่างๆ แล้วเสดจ็กลบั ไปยังพระนครของตน นันทเสนอามาตย์สง่ สาสนไ์ ปถวายพระเจา้กาลงิ คราชขอให้พระองคส์ ่งทรพั ย์มรดกในส่วนของพระราชธดิ าทง้ั ๔

มาให้พระราชธดิ าเหลา่ นน้ั หากไม่สง่ กจ็ ะยกทัพมา พระเจ้ากาลิงคราชได้ฟงั ดังนน้ั ก็ทรงสะดุ้งหวาดกลวั รีบส่งพระราชทรัพย์ไป จากนน้ั เปน็ต้นมาท้งั สองแคว้นกอ็ ยู่อยา่ งสงบ ครั้นจบพระธรรมเทศนาพระศาสดาทรงประชุมชาดก ทรงสืบอนุสนธิว่า ในครั้งน้ันพระราชธิดาทั้ง ๔ คือ ภิกษุณีท้ัง ๔ นันทเสนอามาตย์คือพระสารีบุตร ส่วนพระฤาษคี ือเราตถาคตนี้แล :: :: :: :: ::

ราโชวาทชาดก: โคจา่ ฝูงเรียบเรยี งจาก พระสูตรและอรรถกถา (แปล) ขุททกนิกาย เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๔ จตุกกนบิ าตชาดก โกกิลวรรค เรอื่ งที่ ๔ “เม่ือโคท้ังหลายว่ายข้ามแม่น้าไป ถ้าโคจ่าฝูงว่ายคด โค ทง้ั หมดกย็ ่อมวา่ ยคดไปตามกนั ” “ในมนุษย์ท้ังหลายก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติแต่งต้ังให้เป็น ใหญ่ ถ้าผู้นน้ั ประพฤตไิ มเ่ ป็นธรรม ประชาชนนอกนกี้ ็ประพฤติ ไม่เป็นธรรมโดยแท้ ถ้าพระราชาผู้เป็นใหญ่ไม่ต้ังอยู่ในธรรม รัฐกย็ อ่ มอยู่เปน็ ทุกขท์ ่วั กัน”พ >>>>> <<<<< ระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวนั วิหารทรงปรารภ ราโชวาทจึงตรัสวา่ “ดูกอ่ นมหาบพิตร แม้พระราชาคร้ังแต่ ก่อน ทรงสดบั ถอ้ ยคาของบัณฑิตทงั้ หลายแล้ว ครองราชสมบตั ิโดยธรรม บาเพญ็ ทางไปสวรรค์ใหบ้ รบิ ูรณ์ คร้ันพระราชาทรงอาราธนาแลว้ จงึ นาเรื่องในอดีตมาแสดงดงั น้ีฤาษโี พธิสตั ว์ อดตี กาลพระโพธสิ ตั วเ์ กดิ ในสกุลพราหมณ์ เม่ือเจริญวยั แลว้ ได้ศกึ ษาศิลปศาสตร์ทั้งปวงจนสาเรจ็ แล้วบวชเป็นฤาษี กระทาอภิญญาสมาบัติให้เกิดข้ึนแล้วอาศยั อยูใ่ นปา่ นั้นเอง เล้ียงชพี ดว้ ยรากไม้และ

ผลไมอ้ ย่ใู นหิมวนั ตประเทศอันน่ารน่ื รมยเ์ ร่อื ยมาพระราชาประพฤติธรรม เมอ่ื พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบตั ิในเมืองพาราณสี ทรงปกครองบ้านเมืองดว้ ยทศพธิ ราชธรรม ประชาชนล้วนมีความผาสกุเพราะพระองคท์ รงรงั เกยี จความชวั่ ทรงสรรเสรญิ และบาเพ็ญแต่คุณความดี วนั หนึ่งพระเจ้าพรหมทตั ดาริว่า “เอ! จะมใี ครบา้ งไหมทจี่ ะกล่าวถึงโทษของเรา ถงึ ความไม่ดีของเรา” เมอื่ พระองค์คิดดงั นีแ้ ล้วทรงพจิ ารณาเหน็ ว่า ผู้คนทง้ั หลายท้งั ในและนอกพระนครลว้ นกล่าวช่นืชมสรรเสริญคุณของพระองค์ทงั้ ส้นิ สว่ นชนบทท่ีอยู่ห่างไกลพระนครจะคิดอย่างไรกับพระองค์บ้าง ครัน้ แล้วพระเจา้ พรหมทตั จงึ ปลอมตัวเป็นสามัญชนคนธรรมดา เท่ียวไปตามชนบทอันหา่ งไกล แมใ้ นชนบทก็ไมม่ ีใครเลยสักคนท่ีจะกล่าวตเิ ตยี นพระราชา ประชาชนทั้งหลายลว้ นกล่าวสรรเสริญคุณของพระองค์เท่าน้นั พระเจา้ พรหมทตั เหน็ ดังน้ันจึงเท่ียวตอ่ ไปยังหิมวนั ตประเทศผลนโิ ครธก็หวาน เมื่อพระราชาเสด็จเดินทางมาถงึ อาศรมของพระโพธสิ ตั ว์พระองค์ทรงไหว้พระดาบสทาปฏิสันถารแล้วน่งั ลงบนศาลานนั้ เองพระดาบสก็นาผลนิโครธสุกทีเ่ ก็บมาจากป่าเพ่ือนามาไว้บรโิ ภคออกมาตอ้ นรบั แลว้ กลา่ ววา่ “ท่านผมู้ ีบญุ มาก เชิญท่านบรโิ ภคผลนโิ ครธสกุ นี้

แล้วดืม่ น้าก่อนเถิด” พระราชาบริโภคแล้วพลนั กล่าวขึ้นว่า “โอ้! ผลไม้น้มี ีรสหวานเหมอื นน้าตาลกรวด รสชาดของมันชา่ งหวานโอชะยงิ่ นกั ”พระองค์กถ็ ามว่า “ทา่ นผทู้ รงศลี เพราะอะไรผลนิโครธสุกจึงมรี สหวานอรอ่ ยเช่นนี้” พระดาบสตอบ “เจรญิ พร ท่านผมู้ บี ญุ มาก เหตุท่ผี ลนิโครธมีรสหวาน ก็เพราะพระราชาทรงปกครองบา้ นเมอื งโดยธรรม อย่างสม่าเสมอเปน็ แนแ่ ท้” พระราชา “ทา่ นผทู้ รงศีล ถ้าพระราชาไมต่ งั้ อยู่ในธรรม แลว้ผลนโิ ครธสุกนี้ยอ่ มไม่มีรสหวานใชห่ รอื ไม่?” พระดาบส “ใชแ่ ล้ว ทา่ นผู้มีบญุ มาก เมื่อพระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรม เปน็ ตน้ ว่านาํ้ มนั ก็ดี นํ้าผ้งึ ก็ดี นํ้าอ้อยกด็ ี แมแ้ ต่รากไม้และผลไม้ในป่า ก็ย่อมหมดรสหวาน หมดโอชะ อีกประการหนึ่งมใิ ช่แต่เพียงเท่าน้ี แม้แตป่ ระเทศกห็ มดความสขุ ไรค้ ่า หากเมือ่ ใดท่ีพระราชาทรงต้ังม่ันอยใู่ นธรรม แมส้ ่ิงเหลา่ นี้ก็ยอ่ มกลับมามีรสหวานมีโอชะ ประเทศก็ยอ่ มมคี วามสุขเหมอื นกนั ” พระราชาจงึ พดู ว่า “ท่านผทู้ รงศลี กค็ งเป็นเช่นนน้ั กระมงั ” พระราชาทรงปกปิดไม่ให้พระดาบสรวู้ า่ พระองค์ทรงเปน็พระราชาเลย ครน้ั สมควรแกเ่ วลาแล้วพระราชาก็ลาพระดาบสเสดจ็กลบั ยังเมืองพาราณสีเม่ือพระราชาไมป่ ระพฤติธรรม

ไมน่ านนกั หลังจากทพ่ี ระเจา้ พรหมทตั เสดจ็ กลบั ถึงเมืองพระองค์ทดลองทาตามคาบอกเลา่ ของพระดาบส ทรงปกครองราชสมบตั ดิ ว้ ยความไม่เป็นธรรม ทรงประพฤติตรงขา้ มกบั ที่เคยประพฤติมา ประชาชนตา่ งไดร้ ับความเดือดร้อน จนเวลาลว่ งเลยไประยะหน่ึงพระองค์ก็ดารวิ า่ “ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้รคู้ วามจริงว่า คากลา่ วของพระฤาษีนนั้ จะเป็นจริงหรือเท็จประการใด” พระองคท์ รงปลอมตัวแลว้เสด็จไปยงั อาศรมของพระโพธสิ ัตว์ผลไม้กม็ รี สขม เมอ่ื พระราชามาถงึ อาศรมทรงไหวพ้ ระดาบสแลว้ น่งั ลงบนศาลานนั้ ทง้ั สองฝ่ายกลา่ วทักทายปราศรยั กนั ครนั้ แล้วพระดาบสก็เชอ้ื เชิญพระราชาบรโิ ภคผลนิโครธสุก พระราชาเสวยผลนโิ ครธนั้นได้คาหนง่ึ แล้วต้องถม่ ทิ้งพลนั พูดว่า “นีท่ ่านผู้เจรญิ ทาไมผลนิโครธสุกช่างมรี สขมอะไรเช่นนี้” พระโพธสิ ัตว์จึงตอบว่า “ท่านผู้มีบญุ มาก เหน็ ทีพระราชาคงไม่ประพฤตธิ รรมเป็นแน่ เพราะในเวลาท่ีพระราชาไม่ประพฤตธิ รรม สง่ิ ทง้ั หมดตัง้ ต้นแตผ่ ลไมใ้ นปา่ กย็ อ่ มหารสหวาน หารสโอชะไม่ได้เลย” พระโพธสิ ตั ว์จงึ กลา่ วตอ่ ไปอีกว่าผนู้ าเปรยี บเสมือนโคจ่าฝูง “เม่อื โคท้ังหลายว่ายข้ามแม่น้าไป ถา้ โคจ่าฝูงว่ายคด โคท้งั หมดก็ย่อมว่ายคดไปตามกนั ในมนุษยท์ ้ังหลายกเ็ หมือนกัน ผ้ใู ดไดร้ บั สมมติแต่งตั้งให้

เปน็ ใหญ่ ถ้าผู้นั้นประพฤตไิ มเ่ ปน็ ธรรม ประชาชนนอกนี้กป็ ระพฤติไม่เป็นธรรมโดยแท้ ถา้ พระราชาผูเ้ ป็นใหญ่ไม่ต้งั อย่ใู นธรรม รฐั ก็ยอ่ มอยู่เป็นทกุ ข์ท่วั กัน เม่อื โคทง้ั หลายว่ายข้ามแม่นา้ ไป ถา้ โคจา่ ฝงู วา่ ยข้ามไปตรงโคทัง้ หมดก็ย่อมว่ายขา้ มไปตรงตามกัน ในมนษุ ย์ทั้งหลายกเ็ หมือนกัน ผ้ใู ดไดร้ บั สมมตแิ ตง่ ตั้งให้เปน็ ใหญ่ ถา้ ผนู้ ั้นประพฤตเิ ป็นธรรม ประชาชนนอกนก้ี ็ยอ่ มประพฤติเปน็ ธรรมโดยแท้ ถา้ พระราชาเป็นผู้ต้ังอยูใ่ นธรรม รัฐก็ย่อมอยเู่ ป็นสขุ ท่ัวกนั ” ฝา่ ยพระราชาเมื่อทรงสดับธรรมกถาของพระโพธสิ ตั ว์แลว้ จงึทรงแสดงตนให้รู้ว่าพระองค์คือพระราชาแลว้ กล่าวว่า “ข้าแต่ทา่ นดาบสผู้เจรญิ เมือ่ กอ่ นขา้ พเจ้าเองกระทาผลนิโครธสุกใหห้ วานแลว้กลับทาใหข้ มเสีย มาบัดนี้ขา้ พเจ้าจะกระทาให้ผลนโิ ครธสกุ นนั้ มีรสหวานดังเดมิ ” พระราชากลา่ วแล้วทรงลาพระดาบสเสด็จกลบั ยังพระนคร พระองค์ทรงปกครองแผน่ ดนิ โดยธรรมดังเดิม ทรงกระทาสรรพส่ิงทงั้ ปวงให้กลับเปน็ ปกตติ ามเช่นเดมิ เมอ่ื พระธรรมเทศนาจบลง พระศาสดาทรงประชุมชาดก ทรงสบื อนสุ นธิว่าพระราชาในครั้งนัน้ คอื พระอานนท์ สว่ นดาบสคอื เราตถาคตนีแ้ ล :: :: :: :: ::

ตลิ มุฏฐชิ าดก: ไมเ้ รียวสร้างพระราชาเรยี บเรยี งจาก พระสูตรและอรรถกถา (แปล) ขทุ ทกนิกาย เล่มท่ี ๓ ภาคท่ี ๔ จตุกกนิบาตชาดก สงั กปั ปวรรค เร่ืองที่ ๒ “การท่ีท่านให้จับแขนเราไว้ แล้วเฆี่ยนตีเราด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเหตุเมล็ดงากามือหนึ่งนั้น ยังฝังอยู่ในใจของเราจนทุก วันน้ี” “ดูก่อนพราหมณ์! ชะรอยท่านจะไม่ยินดีในชีวิตของตนแล้ว สินะ จึงได้มาจับแขนแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ คร้ัง วันน้ีท่านจะได้ เสวยผลของกรรมนน้ั ”ข >>>>> <<<<< ณะเม่ือพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหารทรง ปรารภภิกษผุ ู้มักโกรธรูปหนึง่ ดังเรอื่ งมีอย่วู ่า มีภกิ ษุรูปหนึง่ เปน็ ผมู้ ักโกรธ เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกใครว่าอะไรแม้เพียงนิดเดียวก็โกรธ ขดั เคืองใจ มักแสดงความโกรธ ความประทษุ ร้าย ความน้อยใจออกมา วันหนึง่ ภกิ ษุทงั้ หลายในธรรมสภาสนทนาถึงภิกษุรูปน้ีว่า เปน็ คนโกรธง่าย เตม็ ไปด้วยความคบัแค้นใจ เอะอะโวยวายเหมอื นเกลือทีเ่ ขาใส่ในเตาไฟ แม้บวชในศาสนาทีส่ อนมิให้โกรธ แม้แตค่ วามโกรธเท่านี้กย็ งั ไม่สามารถข่มใจได้ เมอ่ื พระทศพลได้ยินถ้อยคาเหลา่ น้ี ทรงรับส่ังใหพ้ ระภิกษรุ ูปหนึ่งไปเรยี กภกิ ษุมกั โกรธรูปนม้ี า แล้วตรัสถามว่า “ข่าวว่าเธอเป็นผโู้ กรธง่ายจรงิ หรอื ?”

ภกิ ษุรับคานั้น พระพุทธองคจ์ งึ ตรสั วา่ “ภกิ ษทุ ้งั หลายมิใช่ในบดั น้ีเทา่ น้ัน แมใ้ นกาลก่อนภกิ ษนุ ก้ี ็เปน็ คนมกั โกรธเหมือนกัน” ภกิ ษุทั้งหลายจึงกราบทลู อาราธนาให้เลา่ เรอื่ งในอดตี นั้น พระพุทธองค์จงึ นาเรอื่ งนนั้ มาแสดงดังนี้พระเจ้าพรหมทัต นานมาแล้ว เม่อื พระเจ้าพรหมทัตครองสิริราชสมบัติอยูใ่ นเมืองพาราณสี ทรงมีพระราชโอรสพระนามวา่ พรหมทัตกุมาร ต่อมาพระกมุ ารเจริญวยั มีพระชนมายุ ๑๖ ปี พระราชาจงึ ทรงส่งพระราชโอรสน้ันใหไ้ ปศึกษาทส่ี านกั ตักกศลิ า เหตทุ ่ีพระราชาให้พระราชกุมารไปศึกษาศิลปะหา่ งไกลจากบา้ นเมืองของตน กด็ ว้ ยเหตุผล ๓ ประการคอื๑. พระโอรสน้นั จะเป็นผขู้ จดั ความเย่อหยิง่ มานะ๒. พระโอรสน้ันจะเป็นผู้อดทนต่อความหนาวและความร้อน๓. พระโอรสนน้ั จะได้ร้จู ักจารตี ประเพณขี องชาวโลก ด้วยเหตุน้ี พระราชาจงึ ปรารถนาใหพ้ ระราชกมุ ารไปยงั สานกัตกั กศิลา พระองค์พระราชทานฉลองพระบาทชน้ั เดียว ๑ คู่ ร่มใบไม้ ๑คัน และทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ

อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ ครน้ั พระกุมารมาถงึ สานักตกั กศลิ าเห็นอาจารย์น่ังอยู่ จึงถอดรองเท้า ลดร่ม ไหว้แล้วยนื อยู่ เมอื่ อาจารย์เห็นพระกุมารนั้นเหน็ดเหนอื่ ยก็กระทาอาคันตุกะสงเคราะห์ พระกุมารเสวยอาหารเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ พักผ่อนสกั คร่หู นง่ึ จึงเขา้ ไปหาอาจารย์ไหวแ้ ล้วยืนอยู่อาจารยถ์ ามว่า “แน่ะ!พอ่ หนุ่ม เธอมาจากไหน” พระกุมาร “ขา้ พเจ้ามาจากเมืองพาราณสีขอรับ” อาจารย์ “เธอเปน็ ลกู ใคร” พระกุมาร “ข้าพเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี” อาจารย์ “พระองคเ์ สด็จมาดว้ ยเรอ่ื งอะไร” พระกุมาร “ข้าพเจา้ มาเรียนวิชา” อาจารย์ “พระองค์นาทรัพย์สว่ นของอาจารยม์ าด้วยหรือเปล่า” พระกมุ าร “นามาขอรบั ” พอพระกมุ ารกลา่ วจบ ก็นาทรัพยน์ ัน้ มาวางไว้ท่ีใกลเ้ ทา้ ของอาจารย์ แลว้ ไหว้อาจารย์ ในสมัยนนั้ ศิษย์ที่ศกึ ษาเล่าเรียนมี ๒ ประเภท ประเภทหน่ึงเรียกว่าศษิ ย์ธมั มันเตวาสิก คือ กลางวนั ต้องทางานให้อาจารย์ กลางคนืถงึ จะไดเ้ ล่าเรียน สว่ นประเภทที่ ๒ คือ ศิษย์ทีจ่ ่ายคา่ เลา่ เรียน ซึ่งถอืเปน็ เสมือนบุตรคนโต เรยี นศิลปะอย่างเดยี วเทา่ นัน้ ไม่ต้องทางานให้อาจารย์

ดังนัน้ เม่อื ถงึ ฤกษ์งามยามดี อาจารย์จงึ ได้เรมิ่ สอนวิชาให้แก่พระกุมาร ส่วนพระกุมารก็ตง้ั ใจศกึ ษาเลา่ เรียนศลิ ปศาสตรเ์ ป็นอยา่ งดีพระกมุ ารขโมยกนิ งา วนั หนงึ่ พระกุมารไปอาบน้าพร้อมกับอาจารย์ ซึ่งในบริเวณนั้นมหี ญงิ ชราอยู่คนหน่ึง นางขัดสีเมล็ดงาใหห้ มดเปลือกแลว้ เอามาแผต่ ากไว้ เสร็จแล้วนางกน็ ัง่ เฝ้าเมล็ดงาเหลา่ นน้ั เมือ่ พระกุมารเห็นเมลด็ งาท่ีตากไว้ก็นึกอยากจะกิน จงึ หยบิ เมล็ดงานั้นมาหนง่ึ กามือแลว้ เคี้ยวกินเสยี ฝ่ายหญงิ ชราเห็นดงั นั้นก็คดิ วา่ พ่อหนมุ่ คนนี้คงอยากกินแล้วกน็ ่ิงเสียไม่พดู อะไร ตอ่ มาในวนั รุ่งขนึ้ พระกมุ ารกไ็ ด้กระทาเช่นนัน้ อีก ทรงหยิบเมล็ดงามากามือหนึ่ง แล้วกเ็ ค้ยี วกิน ส่วนหญิงชรานั้นกน็ ิ่งเสียมิได้กล่าวอะไรเลย ถัดมาในวันที่ ๓ พระกมุ ารก็ได้ทาเชน่ เดิมอีก คราวนีห้ ญิงชราเหน็ เข้าจงึ ประคองแขนท้งั สองขา้ งข้ึน แลว้ รอ้ งไห้ครา่ ครวญดว้ ยเสยี งอันดงั วา่ “ฮือๆ ๆ อาจารย์ทศิ าปาโมกขใ์ ช้ให้พวกลูกศิษยม์ าปลน้ เราฮอื ๆ ๆ” ครั้นอาจารย์ได้ยินเชน่ น้นั กห็ ันกลับมาถามทนั ทวี ่า “นี่มันเรอื่ งอะไรกนั แม่” หญิงชราจึงพูดขน้ึ วา่ “ข้าแต่นาย ศิษย์ของท่านเค้ียวกินเมล็ดงาร่อนท่ีข้าพเจ้าทาไว้ วันนก้ี ามอื หนึ่ง เม่ือวานก็กามือหนึ่ง เมอ่ื วานซืน

ก็อีกกามือหนึง่ กเ็ มอ่ื ศษิ ยข์ องทา่ นเค้ียวกนิ อยู่อย่างนี้เมล็ดงาของดฉิ นัท่มี ีอยูน่ ้นั ก็จะหมดสนิ้ ไปมิใช่หรอื ”พระกมุ ารถกู เฆ่ียนตี อาจารยจ์ งึ กล่าววา่ “น่แี น่ะ! แม่อย่าร้องไห้ไปเลย ฉนั จะชดใช้จา่ ยคา่ เมลด็ งานั้นให้” หญิงชรากลับพูดวา่ “ขา้ แต่นาย ฉนั ไม่ต้องการคา่ เมล็ดงาเหลา่ นน้ั ดอกนาย แต่ฉันต้องการให้ทา่ นส่ังสอนอยา่ ให้ศิษยข์ องท่านกระทาเชน่ นอ้ี กี ต่อไป” อาจารย์จงึ พูดวา่ “ถา้ เชน่ น้ัน จงคอยดูนะแม่” ครน้ั แลว้ จึงใหม้ าณพหน่มุ ๒ คน จับทแี่ ขนท้งั สองขา้ งของพระกมุ ารนั้นไว้ เสร็จแลว้ อาจารย์จงึ เอาซีกไม้ไผ่มาเฆ่ยี นตีท่ีกลางหลงั ของพระกุมาร ๓ ครง้ั พร้อมกบั สอนวา่ “ตั้งแต่นตี้ ่อไป เธออย่าไดท้ าอยา่ งนี้อกี ” ดว้ ยความโกรธพระกมุ ารมนี ยั นต์ าแดงกา่ หันมามองดูอาจารย์ตง้ั แตห่ ลงั เทา้ จรดปลายผม แม้นตวั อาจารย์เองก็รวู้ า่ พระกุมารมองดูตนด้วยความโกรธแคน้ เวลาผ่านไปจนกระทง่ั พระราชกุมารเรยี นจบศลิ ปศาสตร์ในสานักอาจารย์ จงึ ตง้ั ใจจะเดินทางกลบั ส่พู ระนครพาราณสี พระกุมารเขา้ ไปลาอาจารย์ แลว้ เสแสรง้ ทาท่าทีเสนห่ าอย่างสดุ ซ้ึงเพื่อให้อาจารย์รบั คาสัญญา พระกมุ ารพูดวา่ “ท่านอาจารย์ เม่ือใดท่ขี า้ พเจ้าเป็นใหญ่ขึน้

ครองราชสมบัติแล้วสง่ ขา่ วมาถงึ ท่าน เม่ือนัน้ ขอให้ท่านจงมาหาขา้ พเจา้ ดว้ ยเถิด” ครั้นกลา่ วเชน่ นี้แลว้ จงึ ลาอาจารยก์ ลบั ส่พู ระนครรอยเฆ่ียนฝงั จิต ครนั้ ถึงเมืองพาราณสีแลว้ พระกมุ ารจงึ เข้าเฝา้ พระราชบิดาและพระราชมารดา และทรงแสดงศิลปะที่ร่าเรยี นมาให้ทอดพระเนตรพระราชาทรงช่นื ชมแลว้ ตรัสว่า “เรามีชีวติ อยู่ทันเห็นลูกของเราขณะทม่ี ีชวี ิตอยู่ เราจะไดเ้ หน็ ความสง่างามในราชสมบัตแิ ห่งบุตรเรา” พระราชาจงึ สถาปนาพระราชโอรสไวใ้ นเศวตฉตั ร ครน้ั พระกมุ ารไดข้ น้ึ ครองราชสมบัตแิ ล้ว ก็หวนระลึกถึงโทษของอาจารย์ท่ีได้กระทาไว้แก่ตน ฉับพลันก็ทรงพระพิโรธข้นึ มาทนั ที พระองค์จึงสง่ ฑูตไปหาอาจารย์ เพ่ือให้อาจารย์มาเขา้ เฝ้าด้วยตัง้ พระทัยไว้วา่ “เราจะฆ่าอาจารย์นน้ั ให้จงได้” เมอื่ ราชฑตู นั้นมาถึงสานักผูเ้ ป็นอาจารย์ อาจารย์ก็คดิ ข้นึ วา่“ในเวลาท่ีพระราชายงั หนุ่มยังแนน่ เราไม่สามารถทาให้พระราชาน้ันเขา้ พระทยั ได้” อาจารย์จึงไม่ไปเข้าเฝ้า จวบจนเวลาลว่ งไปเม่ือพระราชาเขา้ สมู่ ัชฌิมวัย อาจารยจ์ งึ คดิขนึ้ ว่า บัดน้ีถงึ เวลาแล้ว เมอ่ื พระองคเ์ ข้าสู่มัชฌิมวัย เราสามารถทาให้พระองค์เขา้ พระทัยได้ อาจารยจ์ ึงเดนิ ทาไปยังพระนครพาราณสี ครัน้มาถึงพระนครก็ยืนอยู่ทปี่ ระตูพระราชวัง แล้วใหท้ หารเข้าไปกราบทลูพระราชาวา่ อาจารยท์ ิศาปาโมกขจ์ ากเมืองตกั กศลิ ามาขอเฝ้า ฝา่ ย

พระราชาเมื่อไดย้ นิ ดงั นน้ั ทรงโสมนสั ดีใจรับส่ังเรียกอาจารย์ให้มาเขา้เฝา้ แตท่ ันทีที่เหน็ หน้าอาจารยพ์ ระราชาก็ทรงพระพิโรธจนพระเนตรทง้ั สองแดงกา่ ข้ึนมา พระองค์ทรงเรียกเหลา่ อามาตย์ท้งั หลายมาแลว้ตรสั ว่าแค้นน้ฝี งั ใจ “แน่ะ! ทา่ นผูเ้ จรญิ อาจารย์เฆย่ี นท่ีหลังของเรา บาดแผลนน้ัมนั ยงั เสยี ดแทงเราอยู่จนถึงทุกวันน้ี อาจารย์ทา่ นบากหน้ามาหาความตายโดยไม่รตู้ ัวเสยี แลว้ วันนีจ้ ะเปน็ วันตายของทา่ น ทา่ นจะไม่มชี วี ิตอกี แลว้ ” พระราชาก็พดู ขน้ึ ดว้ ยความโกรธแค้นอกี ว่า “การที่ทา่ นให้คนมาจับแขนเราไว้ แล้วเฆ่ียนตเี ราดว้ ยซีกไมไ้ ผ่ดว้ ยเหตุเพยี งเมล็ดงาหน่ึงกามือนน้ั มันยังฝงั แน่นตดิ ใจเราอยจู่ นถึงทุกวันน้ี ดูก่อน! พราหมณ์ ท่านเห็นจะไมย่ ินดใี นชวี ิตของตนแลว้ จงึไดม้ าหาเราถึงท่ีน่ี การที่ทา่ นให้จบั แขนทง้ั สองของเราแล้วเฆีย่ นตีดว้ ยซีกไมไ้ ผถ่ งึ ๓ ครัง้ นั้น วันนแี้ หละ ทา่ นจะไดร้ ับผลแห่งการเฆี่ยนตีเรา”การเฆี่ยนคอื การสัง่ สอน ฝ่ายอาจารยไ์ ด้ยนิ จึงพดู ขน้ึ ว่า “อรยิ ชนใดย่อมเกยี ดกันอนารยชนผกู้ ระทาชวั่ ด้วยการลงโทษ กรรมของอริยชนน้นั เปน็ การสง่ั สอน หาใชเ่ ป็นเวรไม่บัณฑิตทั้งหลายย่อมรชู้ ดั ข้อนัน้ อย่างนั้น”

อรรถกถาขยายความว่า อริยชนมี ๔ ประเภท คอื๑. อาจารอรยิ ชน คือ อรยิ ชนผ้มู อี าจาระ มคี วามประพฤติอันดงี าม เปน็ ผู้ต้ังอยใู่ นมารยาทอันประเสรฐิ๒. ทสั สนอรยิ ชน คือ อรยิ ชนผู้ควรแลดู ผู้มีรปู มีอิริยบถนา่ เลือ่ มใส น่าดู๓. ลงิ คอรยิ ชน คอื อริยชนผู้ถอื เพศ คล้ายสมณะโดยถือเพศด้วยการ น่งุ ห่ม เทยี่ วไปอยู่ แม้ทุศลี กย็ ังจัดวา่ เปน็ ลิงคอรยิ ชน๔. ปฏเิ วธอรยิ ชน คือ อริยชนผ้รู ูแ้ จ้งแทงตลอด ไดแ้ ก่ พระ อริยบุคคลทัง้ หลาย มพี ระพุทธเจ้า เป็นต้น ดว้ ยเหตุนนั้ พระพทุ ธเจา้ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ และพระพุทธสาวกทั้งหลายจงึ เรียกว่า อรยิ ะ ในบรรดาอริยชนทั้ง ๔ เหล่านี้ อาจารยท์ ิศาปาโมกข์หมายเอาอาจารอริยชนเพยี งอย่างเดยี ว ส่วนอนารยชนน้นั ไดแ้ ก่ ผ้ทู ุศลี มีการทาปาณาติบาต เป็นต้นหรอื บุคคลผู้กระทากรรมอนั เป็นเวรและภยั ๕เป็นพระราชาได้ เพราะไม้เรยี ว ฝา่ ยอาจารย์ทิศาปาโมกขก์ ลา่ วตอ่ ไปว่า “ขา้ แต่มหาราช การเฆย่ี นตีกีดกันบุตรธิดาหรือศิษย์ผกู้ ระทาส่งิ ทไ่ี มค่ วรทาในโลกน้ี ถอื ว่าเปน็ การส่ังสอน คอื เป็นการพรา่ สอน เป็นโอวาท ไม่ใช่เป็นการกอ่ เวร บัณฑิตท้งั หลายย่อมรู้

เห็นชัดในเหตุนี้ ขา้ แตม่ หาราช แม้พระองคก์ ็โปรดทราบอย่างนี้ พระองค์ไม่ควรกอ่ เวรเชน่ นี้ ถา้ หากแม้ข้าพระองค์ไม่ได้ทาใหพ้ ระองค์สาเหนยี กตระหนกั อยา่ งนี้แล้ว ต่อไปภายหนา้ พระองค์ลกั ขนม ลักนา้ ตาลกรวดผลไม้ และของอืน่ ๆ เป็นต้น แลว้ เกิดตดิ ใจในโจรกรรมท้งั หลายนั้นพระองค์กจ็ ะทาการตดั ชอ่ งย่องเบา ฆ่าคนในหนทาง ฆา่ ชาวบา้ น เป็นตน้ เมอ่ื พระองค์ถูกเขาจบั ได้พร้อมของกลางแล้วกลา่ วโทษวา่ โจรผู้กระทาผิดต่อพระราชา พระองค์จักไดร้ ับโทษอาญา ราชสมบตั อิ ันเหน็ ปานน้จี ะเกดิ ข้นึ แก่พระองค์ได้อยา่ งไร ความเปน็ ใหญ่ ความเปน็พระราชาของพระองค์เป็นเพราะขา้ พเจ้ามิใชห่ รือ?” เมอ่ื อาจารย์ทาให้พระราชายินยอมด้วยประการเช่นน้แี ล้วเหลา่ อามาตย์ท้งั หลายผู้ยนื ห้อมลอ้ มอยู่ ฟงั ถ้อยคาของอาจารยน์ ้ันแลว้ก็กราบทูลวา่ “ขอเดชะฝา่ พระบาท คาทอี่ าจารย์กล่าวนน้ั เป็นความจริงความเป็นใหญ่นเ้ี ป็นของทา่ นอาจารย์ของพระองค์ พระเจ้าข้า” ลาดับน้นั เองเมื่อพระราชาทรงกาหนดตาม ก็ระลึกได้ถงึ คณุของอาจารย์จึงกล่าวขนึ้ วา่ “ทา่ นอาจารย์ ข้าพเจ้าใหค้ วามเปน็ ใหญน่ ี้แกท่ า่ น ขอท่านจงรบั ราชสมบตั ินีเ้ ถิด” อาจารย์ปฏเิ สธแลว้ กลา่ ววา่ “ขา้ พระองค์ไมต่ ้องการราชสมบตั ิใดๆ” พระราชาก็ให้ส่งข่าวไปยงั เมืองตักกศิลา แล้วใหน้ าบตุ รและ

ภรรยาของอาจารย์มา ทรงประทานอสิ สริยยศใหญ่ ทรงแต่งตั้งอาจารย์เป็นปุโรหติ ตั้งไวใ้ นฐานะเปน็ บิดา ส่วนพระราชาน้ันกด็ ารงอยู่ในโอวาทของอาจารย์ ทรงบาเพ็ญบญุ ทง้ั หลายมีทานเปน็ ต้น แลว้ มีสวรรคเ์ ป็นทางไปในเบ้อื งหน้า ครั้นพระบรมศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาน้ีเสร็จแลว้ ทรงประกาศอริยสจั ๔ ในเวลาที่จบอรยิ สัจ ภกิ ษมุ ักโกรธบรรลอุ นาคามผิ ลคนอน่ื ๆ บรรลุโสดาปตั ตผิ ลและสกิทาคามผิ ล พระศาสดาทรงประชมุชาดก ทรงสบื อนสุ นธิว่า พระราชาในครงั้ นั้นคือภกิ ษุมักโกรธรูปนี้ สว่ นอาจารย์ทิศาปาโมกขค์ ือเราตถาคตนน่ั เอง :: :: :: :: ::

โคธชาดก: ดาบสอยากกินเหีย้เรียบเรียงจาก พระสูตรและอรรถกถา (แปล) ขุททกนิกาย เล่มท่ี ๓ ภาคท่ี ๔ จตุกกนบิ าตชาดก กฏุ ิทูสกวรรค เรอ่ื งที่ ๕ “เราสาคัญว่าท่านเป็นสมณะ จึงได้เข้ามาหาท่านผู้ไม่สารวม ทา่ นไดข้ วา้ งเราดว้ ยทอ่ นไมเ้ หมือนไม่ใช่สมณะ” “แน่ะ! ท่านผู้โง่เขลา ประโยชน์อะไรด้วยชฎาแก่ท่าน ประโยชน์อะไรด้วยหนังเสือแก่ท่าน ภายในของท่านรกรุงรัง เกลีย้ งเกลาแตภ่ ายนอก”พ >>>>> <<<<< ระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวนั วิหารทรงปรารภถึง ภกิ ษุผโู้ กหกรปู หนงึ่ ทรงกล่าวว่า “ดูกอ่ นภกิ ษุทั้งหลาย ไมใ่ ช่ แตใ่ นเวลานี้เทา่ น้ัน แม้ในอดีตภิกษนุ กี้ ็เป็นผโู้ กหกเหมือนกัน”คร้นั แล้วกน็ าเร่ืองในอดีตมาตรัสเล่าดงั นี้ดาบสล้มิ รสเหยี้ ในอดีตกาลพระโพธิสตั ว์ถือกาเนิดเกดิ เปน็ เหีย้ มีร่างกายแขง็ แรงสมบรู ณ์อาศยั อย่ใู นป่าใหญ่ ใกลๆ้ กบั ที่พระโพธสิ ตั วอ์ ยู่ ยงั มีดาบสทศุ ลี คนหนึ่งสร้างศาลาอยู่ ณ ท่ีตรงนั้นด้วย วันหนึ่งพระโพธิสตั ว์เที่ยวหาเหยือ่ เหน็ บรรณศาลานั้นกค็ ิดขึ้นว่า “สงสยั คงจะเป็นท่ีอย่ขู องดาบสผู้มีศีล” คร้นั แลว้ ก็เดินเขา้ ไปท่ีศาลาน้ัน ไหว้ดาบสแล้วกลับไปยังท่อี ย่ขู องตน

วนั หนึ่ง ดาบสไดก้ นิ เน้อื ทร่ี สชาดอร่อยมากจากตระกูลอุปัฏฐาก ก็ถามวา่ เนื้ออะไร พอทราบว่า “เนื้อเหย้ี ” ดาบสก็ถูกกเิ ลสคือความตดิ ในรสอาหารครอบงา กลายเปน็ ผกู้ ระหายอยากกนิ เน้อื เหย้ีก็พลนั คิดวา่ “เราจะฆ่าเหี้ยท่ีมาหาเราเปน็ ประจา แลว้ แทงกินเน้อื ของมัน” ครน้ั แลว้ จงึ ถือเอาเนยใส เนยขน้ และภณั ฑะเครอื่ งเผด็ ร้อนไปสู่อาศรม ดาบสซ่อนไมฆ้ ้อนไว้ใต้ผา้ กาสาวะ แล้วทาทีเป็นนง่ั คอยรอการมาของเหยี้ อยู่ทป่ี ระตบู รรณศาลานัน้ เองพระยาเห้ียผูฉ้ ลาด เม่ือพระโพธิสัตว์มาถึง ก็สงั เกตเหน็ ดาบสมีท่าทีแปลกๆ ส่อพริ ุธก็คดิ วา่ “ชะรอยดาบสน้ีคงได้ลมิ้ รสเนื้อเหย้ี เขา้ ให้แล้ว” พระโพธสิ ัตวจ์ ึงไม่ผลผี ลามเข้าไปหาดังเชน่ เคย “เอ! ดทู ่าทางมพี ิรุธนา่ สงสัยถา้ อย่างไรเราควรไปยืนอยู่ใต้ลมกอ่ นจะดกี ว่า” ครั้นไปยืนอยูข่ ้างใต้ลมแลว้ กไ็ ด้กลนิ่ ตัวของดาบสทศุ ีลนนั้ พระโพธสิ ัตวจ์ ึงแนใ่ จวา่ ดาบสน้ันได้กินเนอื้ เห้ียแลว้ พระโพธิสตั วก์ ็ถอยออกไปไม่เขา้ ไปหาดาบสเหมือนดังกอ่ น ฝา่ ยดาบสเห็นกิริยาของเหย้ี ดังน้ีแลว้ จงึ รบี ขวา้ งไม้ฆ้อนออกไปทนั ที ฆ้อนไม้พลาดไปถกู ปลายหางพระโพธสิ ัตว์ ดาบสจงึ พดู วา่“เจ้าไปเสียเถอะ เราปาพลาดเสียแล้ว” พระโพธิสตั ว์กลับพูดว่า“เบอ้ื งต้นทา่ นเปน็ ผพู้ ลาดเรา แตเ่ หน็ ทจี ะไม่พลาดจากอบายท้ัง ๔แน”่ เม่ือพูดจบ ก็รีบหนีเข้าไปในจอมปลวกท่ีอยูท่ า้ ยทจ่ี งกรม แต่หวั

ออกมาทางช่องช่องหน่งึ แลว้ พูดขนึ้ ว่า “ข้าพเจา้ คิดว่าท่านเป็นสมณะเปน็ ผู้สงบระวงั บาป จงึ ได้เขา้ ไปหา ท่านผู้ไม่สารวม ท่านกลบั ขวา้ งเราด้วยทอ่ นไม้ ท่านจงึ ไมเ่ ป็นสมณะ” “ท่านผู้โงเ่ ขลา ชฎาและหนงั เสือจะมีประโยชน์อะไรสาหรับท่าน ภายในร่างกายของทา่ นรกรงุ รงั เตม็ ไปด้วยกเิ ลส เหมอื นน้าเตา้เต็มไปด้วยยาพษิ เหมอื นหลุมเตม็ ไปด้วยคถู เหมือนจอมปลวกเตม็ ไปดว้ ยอสรพษิ ภายนอกรา่ งกายเท่านน้ั ทีเ่ กลี้ยงเกลา” ดาบสได้ฟังเชน่ น้ันจึงพดู ว่า “มาเถดิ เห้ีย! ทา่ นจงกลับมากนิขา้ วสาลีสกุ เถิด นา้ มนั เกลอื ดีปลขี องเรากม็ ีอยูจ่ านวนมาก ท่านจงมากินข้าวสาลสี กุ ทป่ี รงุ ด้วยเครอ่ื งเทศนัน้ เถิด” พระโพธิสตั ว์ “เราจะเขา้ ไปในจอมปลวกลึกร้อยชว่ั บรุ ษุน้ามนั เกลอื เคร่ืองเทศของท่านไม่มปี ระโยชน์สาหรับเราเลย” แลว้ พระโพธิสัตว์ก็กล่าวต่อไปอีกว่า “เจ้าชฏลิ โกงเจ้าจงรีบไปเสยี จากที่นี่ ถ้าเจ้ายังอยูต่ ่อไป ขา้ จะให้พวกคนในถ่ินนีจ้ ับเจา้ ผูเ้ ปน็ โจรแลว้ ให้เจ้าถึงความพิการ ไป! เจ้าจงรีบหนีไปเสีย” ดาบสถูกไลแ่ ลว้ ดว้ ยความละอายจงึ หนีไปจากทน่ี ั่นทนั ที เม่ือพระธรรมเทศนาจบลง พระศาสดาทรงประชุมชาดก ทรงสืบอนุสนธิว่าดาบสในคร้ังนั้นก็คือภิกษุโกหกรูปน้ี ส่วนพระยาเหี้ยคือเราตถาคตนีแ้ ล :: :: :: :: ::


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook