Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยบทที่ 1-3

วิจัยบทที่ 1-3

Published by dueannapa.nan, 2020-02-23 21:02:45

Description: วิจัยบทที่ 1-3

Search

Read the Text Version

บทท่ี 1 บทนา ท่ีมาและความสาคัญของปัญหา ในการทากจิ วตั รประจาวันต่างๆ ของคนเรา ไมว่ า่ จะอยใู่ นทา่ นั่ง นอน ยืน หรอื เดนิ จาเปน็ ต้องอาศัย การทรงตัว เพอื่ ไมใ่ หต้ วั เราเสยี หลักหรือลม้ ลง การท่คี นเราสามารถทรงตวั อย่ไู ด้ เน่อื งจากมีการประสานงาน ระหว่างสมองกับอวัยวะทรงตั วในหู การมองเห็น และการตอบสนองแบบเฉียบพลนั ของข้อตอ่ และกลา้ มเนอื้ แต่ในกล่มุ เด็กทม่ี ภี าวะสมองพกิ าร (Cerebral palsy : CP) นน้ั มกั มปี ญั หาเกย่ี วกบั การเคลือ่ นไหวและ การทรงทา่ ซ่งึ ทาใหส้ ญู เสียการควบคุมกล้ามเน้ือและการทรงตวั รวมไปถงึ การตอบสนองแบบเฉียบพลันข อง ขอ้ ตอ่ และกลา้ มเนอ้ื ซง่ึ เป็นปญั หาอยา่ งมากสาหรับการพฒั นาความสามารถของเด็กนกั เรยี น ไม่วา่ จะเรอ่ื งการ ดารงชวี ติ การช่วยเหลือตนเอง หรอื แมก้ ระทัง่ ด้านการเรียน ทีพ่ บวา่ การทีผ่ ู้ เรยี นมกี ารทรงตวั ในท่า ทางตา่ งๆ ทีไ่ ม่ดีนัน้ ส่งผลตอ่ ความสามารถในการเรียนร้ขู องผู้เรียนและเปน็ ตวั ขดั ขวางพฒั นาการของผเู้ รยี นในการพฒั นา ในลาดบั ข้ันต่อไป และทาใหไ้ มส่ ามารถสง่ เสรมิ ได้อยา่ งเตม็ ศักยภาพ นอกจากน้ีการท่ีกลา้ มเนอ้ื ไมไ่ ด้ถูกใชง้ าน เป็นระยะเวลานานก็มักจะส่งผลใหเ้ ด็กกลมุ่ นข้ี าดความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อ ยิ่งสง่ เสรมิ ใหก้ ารทรงทา่ อยู่ใน ท่าทางตา่ งๆไดอ้ ย่างยากลาบากมากยงิ่ ข้ึนดว้ ย จากการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนในห้องใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือ ระยะแรกเรม่ิ และเตรียมความพร้อม (ห้องสงิ ห์ ๑) พบวา่ เดก็ ชายวรวรรธน์ ถาวร มพี ัฒนาการในทกั ษะกล้ามเนอื้ มัดใหญไ่ มเ่ ปน็ ไปตามวยั ไม่สามารถยืนทรงตัวไดด้ ว้ ยตนเอง แ ละเมอื่ จับยืนพบว่าไมส่ ามารถทรงท่าทางนัน้ ไว้ ได้ เนื่องจากมีกาลงั กลา้ มเนอ้ื สะโพก และขาอ่อนแรง ซง่ึ มาสาเหตุมาจากการใชง้ านเปน็ เวลานาน ขาดประสบการณใ์ นพัฒนาการ ขัน้ นัน้ และขาดการเรียนรู้ในเร่อื งการถา่ ยน้าหนกั ท่สี มั พันธก์ บั การทรงตัว ดงั น้ันผทู้ าการวจิ ัยคดิ ว่าการแก้ ไข สาเหตุดังกลา่ วน่าจะช่ วยใหผ้ เู้ รียน สามารถดาเนนิ ชวี ติ ได้งา่ ยมากยงิ่ ขึน้ สามารถเรยี นรู้และพฒั นาผู้เรยี นได้ อยา่ งเต็มศักยภาพเพราะการยืนท่ีดีเป็นพน้ื ฐานที่สาคญั ของพฒั นาการในระดบั ต่อไป วัตถปุ ระสงค์ หรอื 1.เพอ่ื พัฒนาความสามารถในการยนื ทรงตัวบนพน้ื ของ เด็กชายวรวรรธน์ ถาวร 2.เพือ่ พัฒนาสื่อ นวัตกรรมในการฝึกยืน ทรงตัว สาหรับเดก็ ทีค่ วามบกพรอ่ งทางด้านร่างกาย สขุ ภาพหรือการเคล่อื นไหว สมมตฐิ านของการวิจัย เมอ่ื ไดร้ บั การฝึกการยนื ทรงตัวตามโปรแกรมทตี่ งั้ ไว้ เดก็ ชายวรวรรธน์ ถาวร สามารถยนื ทมรงตวั บนพื้นไดด้ ีมากยิง่ ขึ้น โดยสามารถถา่ ยน้าหนักซา้ ย-ขวาได้

ตวั อยา่ งที่ใช้ในการศกึ ษา เด็กชายวรวรรธน์ ถาวร เดก็ ทมี่ ีภาวะสมองพกิ ารชนดิ เกร็งคร่ึงท่อนล่าง (Spastic diplegia) เพศชาย อายุ 5 ปี เปน็ ผู้ เรียนห้องใหบ้ รกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ และเตรียมความพร้อม (หอ้ งสิงห์ ๑) ของ ศูนยก์ า รศกึ ษาพเิ ศษประจาจงั หวัดสิงห์บรุ ี อ .เมอื งสงิ ห์บรุ ี จ .สิงหบ์ ุรี โดยใชก้ ารเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเฉพาะเจาะจง และได้รบั การยินยอมจากผ้ปู กครองของผเู้ รียนเป็นทเ่ี รยี บร้อยแล้ว ตัวแปรทศ่ี กึ ษา กลอ่ งฝกึ ยนื ตวั แปรตน้ ความสามารถในการยืนทรงตวั โดยสามารถถ่ายนา้ หนักซา้ ย-ขวาได้ ตวั แปรตาม ระยะเวลาในการทาวิจัย พฤศจิกายน 2562 – เมษายน 2563 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ สมองพกิ าร หมายถึง ความบกพร่องของส มองสวนทใ่ี ช้ควบคมุ กล้ามเนือ้ ทา ใหม้ ีความผดิ ปกติ เกยี่ วกบั ท่าทาง การทรงตัว และการเคลื่อนไหว ความแขง็ แรง หมายถงึ ความสามารถใ นการคงทา่ ทางในท่ายืนในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งใน เคลือ่ นไหว 1 ครง้ั การทรงตัว หมายถงึ ความสามารถในการรักษาความสมดุลรา่ งกายในขณะอยู่กับท่หี รือขณะเคลือ่ นท่ี แบบประเมิน GMFM-66 หมายถงึ แบบประเมินทางกายภาพบาบัดสาหรับเดก็ สมองพิการโดยเฉพาะ ใช้เปรยี บเทยี บความสามารถของผู้เรยี นก่อนและหลงั การพัฒนา ซง่ึ ในงานวจิ ัยน้ใี ชแ้ บบประเมิน 2 ตอน ได้แก่ ตอน C การคลานและการยืนเข่า และตอน D การยืน ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ 1. การใช้กล่องฝกึ ยนื สามารถทาให้เดก็ ทม่ี ีความบกพรอ่ งทางร่างกายหรือสุขภาพหรือการ เคลื่อนไหว ยนื ทรงตัวบนพื้น และถ่ายน้าหนักซา้ ย-ขวาได้ 2. ได้พัฒนาส่ือ นวัตกรรมในการฝึกยนื ทรงตัวสาหรบั เดก็ ท่ีความบกพรอ่ งทางด้านรา่ งกายหรอื สุขภาพหรอื การเคลื่อนไหว

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง การวจิ ยั คร้งั นี้มวี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื พฒั นาความสามารถในการยนื ทรงตัวบนพ้ืน ของเดก็ ชายวรวรรธ น์ ถาวร ให้สามารถยนื ทรงตวั บนพนื้ โดยไมล่ ม้ และสามารถปรับเปลย่ี นท่าทางขณะ ยืนอยูบ่ นพื้นได้ โดยทาการ เปรยี บเทยี บผลก่อนและหลงั ที่ไดร้ ับการฝกึ ผู้วิจยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วข้องพรอ้ มทง้ั รายละเอียดตา่ งๆ ดังต่อไปนี้ 1. ความแขง็ แรง 1.1 ความหมายความแข็งแรง 1.2 แนวความคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกบั ความแข็งแรง 2. การทรงตวั 2.1 ความหมายของการทรงตวั 2.2 แนวความคิด ทฤษฎเี กยี่ วกับการทรงตัว 3. เดก็ สมองพกิ าร 3.1 ความหมายเด็กสมองพิการ 3.2 ประเภทของเด็กสมองพิการ 4. แบบประเมิน Modified Gross Motor Function Measurement-66 (GMFM-66) ฉบับ ภาษาไทย 5. งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง

1. ความแข็งแรง 1.1 ความหมายความแข็งแรง จากการศกึ ษาความหมายของความแขง็ แรง พบวา่ มีความหมายทหี่ ลากหลาย ดงั น้ี ความแข็งแรง หมายถึงความสามารถกลา้ มเนือ้ ทหี่ ดตัวกระทาต่อ แรงต้านใหไ้ ด้สงู สดุ เชน่ การยก น้าหนกั การผลกั การดัน(วิศรตุ ,2559) ความแข็งแรงของกล้ามเนือ้ หมายถึง แรงสงู สุดทเ่ี กิดขนึ้ จากการหดตวั หรอื เกร็งของกลา้ มเนอ้ื มัดหนง่ึ มัดใดหรือกลมุ่ กล้ามเนอ้ื ซ่งึ จาเปน็ ในการออกแรงดึง ดัน ยก หิ้ ว แบกหามสิ่งของ สว่ นความทนทานของ กลา้ มเนื้อเป็นความสามารถทจ่ี ะหดตัวซ้าๆกันเปน็ ระยะเวลานานช่วงหนงึ่ (https://fitnessridgetelluride.com 20 มีนาคม 2561) ความแข็งแรงของกล้ามเนือ้ (Muscular Strength) หมายถงึ ปรมิ าณสงู สุดของแรงท่ีกลา้ มเนอื้ มัดใด มัดหนงึ่ หรอื กลุ่มกล้ามเน้อื สามารถออกแรงต้านทานได้ ในชว่ งการหดตวั 1 คร้งั (https://www.mwit.ac.th20 มีนาคม 2561) 1.2 แนวความคิด ทฤษฎีเกย่ี วกบั ความแข็งแรง ความแข็งแรง เป็นความสามารถกลา้ มเน้ือท่ีหดตัวกระทาต่อแรงตา้ นให้ไดส้ งู สดุ เชน่ การยกนา้ หนกั การผลกั การดนั เป็นตน้ มีความสาคัญในการเลน่ กีฬาทุกชนิดทุกเพส ทกุ วยั ความรนุ แรงของการหดตัวจะ ขึน้ อยูก่ ั บกระแสประสาทท่ีมากระตนุ้ ถา้ กระแสประสาทหลั่งมากระตนุ้ เซลลก์ ล้ามเนื้อมากการหดตวั ของ กลา้ มเนื้อก็จะเกิดได้แรงมากตามไปดว้ ย ความแขง็ แรงประกอบด้วย 1. ความแข็งแรงสูสดุ (Maximum Strength) เปน็ ความสามารถของกลา้ มเน้อื ที่หดตวั กระทาตอ่ แรง ต้านไดแ้ รงสูงสุดใน 1 ครั้ง เช่นการยกนา้ หนกั ได้นา้ หนกั มากท่สี ุดเท่าทจ่ี ะสามารถยกไดเ้ ป็นต้น 2. ความแขง็ แรงแบบอิลาสติก (Elastic Strength) เป็นความสามารถของกลา้ มเน้อื ทีห่ ดตวั กระทาตอ่ แรงตา้ นดว้ ยความรวดเร็ว เช่นการทุ่ม การขวา้ ง การกระโดด เป็นต้น 3. ความแขง็ แรงแบบทนทาน (Strength Endurance) เปน็ ความสามารถของกลา้ มเนื้อที่หดตวั ระทา ต่อแรงตา้ นซ้าๆกนั ไดน้ านทสี่ ุดเช่น การดึง การปลา้ ในมวลปลา้ เป็นตน้ การพัฒนาความแขง็ แรง (Strength Development) การฝกึ เพ่ือพฒั นาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือมวี ธิ ีการมากมาย การฝกึ ดว้ ยน้าหนักหรือการฝกึ ด้วย แรงต้านเปน็ อกี วิธกี ารหน่ึงที่พัฒนาความแข็งแรงไดเ้ ป็นอย่างดี เนอ่ื งจากสามารถกาหนดความหนกั ในการฝึก ได้ถกู ตอ้ งชัดเจนมากกว่าวิธกี ารอ่นื น้าหนักจากการฝกึ จะกระต้นุ เซลล์กล้ามเนือ้ ใหเ้ กดิ การพฒั นาให้มีขนาดท่ี ใหญข่ ้ึน(hypertrophy) ทาให้การหดตัวของกล้ามเน้ือแต่ละครัง้ ไดแ้ รงมากยิง่ ขึ้น ท้ังนค้ี วามหนกั ทใ่ี ชใ้ นการฝกึ จะเป็นตัวกาหนดขาดของเสน้ ใยกลา้ มเนอ้ื เช่นเดยี วกนั การฝกึ ความแข็งแรงแบบทนทานของกลา้ มเน้ือขนาด ของกล้ามเน้ือจะมขี นาดเลก็ กวา่ การฝกึ ความแข็งแรงสูงสดุ การฝกึ เพ่อื พฒั นาความแข็งแรงควรพิจารณาดังนี้

1. Resistance หมายถึง ความหนักหรือแ รงต้านท่ใี ชใ้ นการ ฝกึ จะตอ้ งเหมาะสมกับการฝึกความ แข็งแรงแตล่ ะแบบ 2. Repetitions หมายถงึ จานวนคร้งั ของการฝกึ การฝึกความแขง็ แรงแต่ละแบบจะใชจ้ านวนครัง้ ใน การฝึกท่แี ตกตา่ งกัน การฝกึ ความแข็งแรงสงู สดุ จะใชน้ า้ หนักมากการฝกึ ความแขง็ แรงแบบทนทานจะใช้ น้าหนักน้อย 3. Set หมายถงึ จานวนเวทหรอื จานวนยกที่ฝกึ แต่ละวนั หากความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเน้อื ไม่เพียงพอ จะทาให้การทากิจวัตรประจาวัน (Activities of Daily Living)ไม่เป็นไปตามความต้องการ แม้จะไม่ทาใหเ้ สียชีวิตดังโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ก็ทาใหเ้ กิดภาวะทพุ พลภาพ และบ่ันทอนคณุ ภ าพชีวติ นอกจากน้ใี นผูส้ งู อายุจะทาใหพ้ ลัดล้มไดง้ ่าย เสียสมดุล เกิดภาวะกระดกู พรุนและแตกหกั ง่ายเมอื่ ลม้ ดงั นัน้ การเสริมสร้างความแขง็ แรงและทนทานของ กล้ามเนอื้ ก็เปน็ ส่ิงทสี่ าคัญ (สถาบนั การพละศกึ ษา วิทยาเขตชุมพร) 2. การทรงตัว 2.1 ความหมายของการทรงตัว ในส่วนของรายละเอียดเกย่ี วกบั การทรง และ เดก็ สมองพิการ พบวา่ ผ้เู ชี่ยวชาญ ทา่ นไดก้ ล่าวถงึ ความหมายไวด้ ังน้ี การทรงตวั (balance) หมายถงึ ความสามารถในการทาให้จุดศูนยถ์ ว่ งของรา่ งกาย (center of gravity) อยู่ภายใน base of support มีการใช้ระบบรับความรูส้ กึ และระบบส่ังการใ นการทาให้ทรงตวั อยไู่ ด้ ในท่า upright ระหว่างการทากจิ กรรมต่างๆ บางครง้ั เรยี ก postural control (อารีรตั น์,2552) การทรงตวั หมายถงึ ความสามารถในการรกั ษาความสมดุลรา่ งกายในขณะอยู่กบั ที่หรือขณะเคล่ือนท่ี (วฒั นา,2553) การทรงตวั ( Balance) หมายถึง ความสามารถในการรกั ษาดุลของรา่ งกายเอาไว้ไดท้ งั้ ในขณะอยู่กบั ท่ี และเคลื่อนท่ี (บรรจง,2555) 2.2 แนวความคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกบั การทรงตวั การทรงตัวหรือการรักษาสมดลุ ของการทรงตวั ทาใหค้ นเราสามารถนงั่ นอน ยนื เดนิ ว่งิ ปฏิบัติ กิจวตั รประจาวัน และปฏบิ ตั กิ ิจกรรมนอกเหนือจากกจิ วัตรประจาวัน เชน่ การเล่นกฬี า วา่ ยนา้ ขบั รถและ กิจกรรมอื่น ๆ ท่ีเป็นเร่อื งเฉพาะตวั ไดอ้ ย่างปกติน้ัน ต้องอาศัยกลไกของการทรงตัวห ลายอย่างทางานร่วมกัน ได้แก่ (1) การรับรสู้ ภาพแวดล้อมดว้ ยสายตา (Vision), (2) การรบั รูต้ าแหนง่ ของร่างกายผ่านกลา้ มเน้อื ของแขนขาและกระดูกสนั หลัง (Kinesthetic Sense) และ (3) การรับรกู้ ารเปล่ยี นแปลงตาแหน่งของศีรษะ ผา่ นทางประสาททรงตัวในหูชน้ั ในท้งั สองขา้ ง (Vestibular End-Organ) โดยการทางานของการรบั รูท้ ้งั สามน้ี จะต้องประสานกันอยา่ งสมดุล และส่งสญั ญาณไปสศู่ นู ยร์ ับและประมวลผลทร่ี ะบบประสาทสว่ นกลาง มีการ ติดตอ่ ไปยงั สมองสว่ น Cerebrum เพอ่ื การรบั ร้คู วามรู้สึกและการควบคุมการทรงตัวในสถานการณต์ ่ างๆ ได้อย่างสมดลุ โดยไมเ่ กิดอันตรายตอ่ รา่ งกาย ในส่วนของสมองสว่ นทา้ ย (Cerebellum) จะมีการส่งข้อมลู มายงั ศนู ย์กลางการทรงตวั ในกา้ นสมองด้วย ทาใหค้ นเราสามารถทรงตวั ในสภาพแวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งเป็นปกติ

การผดิ ปกตขิ องการทรงตัวจะทาใหเ้ กดิ อาการ และอาการแสดงทางคลินิกท่ีแยกไดว้ า่ เป็นการผิดปกติข อง ระบบปลายทางของประสาทหรอื ระบบกลไกปรับตัวของสมอง 3. เดก็ สมองพิการ 3.1 ความหมายเด็กสมองพกิ าร สมองพกิ าร หมายถึง ความบกพรอ่ งของสมองสวนทีใ่ ช้ควบคุมกลา้ มเนื้อ ทาใหม้ คี วามผดิ ปกติเก่ยี วกบั ทา่ ทาง การทรงตวั และ การเคลอ่ื นไหว (สมพร,2554) เดก็ สมองพกิ ารหรือเด็กซีพี คือ เดก็ ทม่ี คี วามผดิ ปกติหรอื ความยากลาบากในการเคลอ่ื นไหวส วนตางๆ ของรางกาย อนั เนื่องมาจากพยาธิสภาพของสมองในทารกทีย่ งั เจริญเตบิ โตไมเตม็ ท่ี (สุรีรตั น,2555) สมองพิการ (Cerebral Palsy) หรือคายอ่ ท่นี ยิ มเรยี ก คอื ซี พี (C.P.) ไมใ่ ชเ่ ป็นโรคเฉพาะ แตเ่ ป็ นคา รวมของกลุ่มอาการของผู้ปว่ ยเด็กท่มี คี วามพิการอยา่ งถาวรของสมอง ความพกิ ารน้ีจะคงทแี่ ละไมล่ ุกลามต่อไป ซงึ่ มผี ลใหก้ ารประสานงานของการทางานของกล้ามเนอื้ บกพรอ่ ง สง่ ผลใหร้ า่ งกายมีการเคลอ่ื นไหวและการทรง ทา่ ที่ผดิ ปกติ (เรอื นแก้ว,2556) 3.2 ประเภทของเดก็ สมองพกิ าร แบง่ เป็น 3 กล่มุ ดังนี้ 1. กล่มุ แขง็ เกร็ง (สปาสติก : spastic) เป็นชนิดทพี่ บมากทีส่ ดุ โดยกลา้ มเน้ือจะมีความตึงตวั มากผดิ ปกติ ทาให้ มีอาการเกร็งรว่ มกับมลี ักษณะท่าทางท่ีผิดปกติของร่างกายปรากฏใหเ้ หน็ ได้หลายแบบ ดงั ต่อไปนี้ 1.1 แบบคร่งึ ซีก จะมีอาการเกรง็ ของแขนและขาข้ างเดียวกนั (spastic hemiplegia) โดยมักพบวา่ แขนมีอาการมากกวา่ ขา และเห็นลักษณะผิดปกติของแขนชัดเจน คอื มีการเกร็งงอของข้อศอก ข้อมอื และน้วิ มือกา สว่ นขาพบมเี ทา้ เกร็งจกิ ลง ลักษณะท่พี บจะคล้ายในผใู้ หญ่ท่เี ปน็ อมั พาตครง่ึ ซกี 1.2 แบบครง่ึ ท่อน จะมอี าการเกร็งของขาและแขนทง้ั สองข้าง (spastic diplegia) พบว่ามอี าการเกร็ง ในสว่ นของขามากกวา่ แขนมากอยา่ งเหน็ ไดช้ ัด 1.3 แบบท้ังตวั จะมอี าการเกร็งมากท้ังแขนและขาทัง้ สองขา้ ง (spastic quadriplegia) พบว่ามี อาการเกรง็ ของส่วนของแขนและขาใกลเ้ คียงกัน หรอื บางคร้งั อาจพบวา่ มีส่วนของแขนมากกว่าขา 2. กลมุ่ ทีม่ กี ารเคลื่อนไหวที่เกิดข้นึ เอง (อะธีตอยด์ : athetoid ; อะแทกเซีย : ataxia) แบ่งไดด้ งั น้ี 2.1. อะธตี อยด์(athetoid) ความตงึ ตัวของกล้ามเนอ้ื จะเปล่ียนแปลงตลอดเวลา และไม่แน่นอน ทาให้ ควบคมุ การเคลอ่ื นไหวไม่ได้ มกี ารเคล่อื นไหวมากทีม่ ือและเทา้ บางรายอาจมคี อเอยี ง ปากเบีย้ วรว่ มดว้ ย 2.2 อะแทกเซีย(ataxia) ความตงึ ตวั ของกลา้ มเนื้อจะนอ้ ยจนถงึ ปกติ ทาใหม้ ีปัญหาการทรงตวั มคี วาม ผิดปกตใิ นการทรงตัวของรา่ งกาย กล้ามเน้อื ทางานไมป่ ระสานกัน และอาจเกดิ อาการสนั่ ขณะเคลอ่ื นไหว รา่ งกายร่วมด้วย 3.กลุ่มอาการผสมกัน (mixed type) พบมากโดยเฉพาะกลมุ่ แขง็ เกรง็ ร่วมกบั กลมุ่ ทม่ี กี ารเคลือ่ นไหวเกดิ ได้เอง

4. แบบประเมนิ Modified Gross Motor Function Measurement-66 (GMFM-66) ฉบับภาษาไทย แบบประเมนิ GMFM เปน็ แบบประเมนิ มาตรฐานที่ได้รบั การออกแบบให้ใช้ในการสังเกต การทางาน ของกลา้ มเนื้อมัดใหญ่ในเด็กสมองพกิ าร รายการประเมนิ ทัง้ หมดมคี าอธิบายเฉพาะสาหรับแต่หัวขอ้ และจาเปน็ ท่จี ะตอ้ งใช้หลักเกณฑท์ ี่มีอยู่ในคมู่ อื เพ่ือใหค้ ะแนนแตล่ ะรายการ ดงั นี้ 0 = ทาไม่ได้ 1 = เริม่ ทาไดใ้ นชว่ งแรก 2 = ทาไดค้ รึ่งหน่งึ ของการเคล่อื นไหว 3 = ทาได้เองตลอดการเคลือ่ นไหว Not tested (NT) = ทาการตรวจไม่ได้ หรอื มีขอ้ จากดั 5. งานวจิ ัยที่เกยี่ วขอ้ ง แดน เนาวรัตน์ (2548) ไดศ้ กึ ษาเร่อื งการทรงตัวและหกลมในผู้สงู อายุไทย โดยได นาภาวะความกลวั การหกลมมาเปน็ ปัจจยั ในการศึกษา ศกึ ษาระดับการทรงตวั ความสมพนั ธระหวางความกลั วการหกล้มกั บการ ทรงตัวในผู สงู อายุ และอิทธิพลความแข็งแรงของกล ามเนอ้ื ทีค่ วบคุมข อเข าและข อเท ากับการทรงท่า ผลการศึกษาพบว่า กล่มุ ทไ่ี มก่ ลวั การหกลม้ เพศชายมีความสามารถในการโน มตวั มาดานหนาไดระยะทางที่ เคลือ่ นไปไดมากท่ีสดุ มากกวาโดยมีความแตกต่างกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ p<0.05 สรุปไดว้ า่ ภาวะความ กลวั การหกล มเป็นปจั จยั หนึง่ ทที่ า ใหการเคล่อื นไหวลดลงประสิทธิภาพ ทางกายลดลงส งผลให เกิดภาวะ กลามเน้ือออนแรง อนั เป นสาเหตใุ หการทรงตวั ลดลง และเกดิ การหกล มไดงายขึ้น การแกไขหรอื ปองกันการ หกลม้ คอื การออกกาลั งกายเพ่อื เพ่ิ มความแขง็ แรงของ กล ามเนื้อที่ควบคุมข อเข าและข อเท าและเพ่ิม ประสิทธิภาพในการทรงตวั วมิ ลวรรณ (2552) ได้ทาการวิจัยการฝึกยืนทรงตัวบนไมก้ ระดานทีพ่ ลิกไปมา พบว่าชว่ ยให้รา่ งกายมี การปรับตวั เพ่อื ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ปอ้ งกนั และตอบสนองได้ดเี มอ่ื เกดิ การสูญเสียการทรงตวั ซ่ึ งการฝึกดังกลา่ ว ทาให้รา่ งกายเกดิ กลไกของการ Feed back และ Feed forward ตอบสนองต่อการล้มได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผ้ทู ่ีมปี ัญหาการบาดเจบ็ ที่ข้อเทา้ การฝกึ บนกระดานฝึกการทรงตัวจะช่วยส่งเสริมการเรยี นรขู้ อง ระบบประสาทภายในข้อตอ่ อนั เป็นผลให้การทรงตวั ของร่างกาย ดขี ึน้ ทาใหเ้ กดิ การพลิกของขอ้ เทา้ ซ้าลดลง และทาให้ความแขง็ แรงและความมนั่ คงของข้อเทา้ เพิ่มมากขึ้นในการประเมินระดับความสามารถของการทรง ตัวน้ัน สามารถวัดไดโ้ ดยใช้เครื่องมือช่วยในการวดั หรอื ใชแ้ บบสอบถามในการวัดการทรงตัว ซง่ึ ตวั แปรทีใ่ ชว้ ัด ระดับ การทรงตัวมหี ลากหลายตัวแปร ท้งั เวลาทีส่ ามารถทรงตัวได้ ความเรว็ ในการแกว่งตัวขณะวดั วรรณศิ า (2553) การศึกษาก่งึ การทดลองนีม้ วี ัตถปุ ระสง คเ์ พือ่ ศึกษาผลของงานทม่ี คี วามจา เพาะคอื การฝกึ ลกุ ข้นึ ยนื จากเก้าอ้ีตอ่ ความสามารถในการทรงท่าขณะเคลื่อนไหวในเด็กสมองพิการอาสาสมคั รเปน็ เดก็ สมองพกิ า รอายุ 6-15ปี ทมี่ รี ะดบั คว ามสามารถในการเคลื่อนไหวตามเกณฑ์ Gross Motor Function Classification System-Expanded and Revised (GMFCS-E&R) ระดบั ที่1–3 จานวน 10 คนอาสาสมคั ร ได้รับการฝึกลกุ ข้ึนยนื จากเกา้ อเ้ี ป็นเวลา 20 นาที/คร้ัง จานวน 3 คร้ัง/สัปดาห์ เป็นเวลาทัง้ หมด 6 สัปดาห์ อาสาสมคั รไดร้ ับการประเมินความสามารถในการลุกขึน้ ยืนโดยใช้ Motor Assessment Scale(MAS) และ

ความสามารถในการทรงทา่ โดยใช้ Pediatric Balance Scale(PBS) Functional Reach Test (FRT) ในทา่ น่ังและ Five Times Sitto Stand (FTSST) กอ่ นการฝกึ หลังการฝกึ และ 6 สปั ดาหห์ ลงั การฝึก วเิ คราะห์ ข้อมูลโดยใช้ สถิติ Wilcoxon Signed Rank test (P<0.05) เพอื่ ประเมินความแตกตา่ งของตวั แปรระหว่าง กอ่ นและหลังการฝกึ งานลกุ ขึ้นยนื จากเก้าอี้ และความแตกตา่ งของตวั แปรระหว่างหลังการฝกึ และชว่ งตดิ ตาม ผลหลงั จากฝึกอีก 6 สัปดาห์ผลการศกึ ษาน้ี บอกเป็นนยั ไดว้ า่ การฝึกงานลกุ ขึน้ ยนื จากเกา้ อี้มผี ลช่วยเพมิ่ ความสามารถในการลุกข้ึนยนื และความสามารถในการทรงทา่ ในเด็กสมองพิการได้

บทท่ี 3 วิธีการดาเนนิ งานวิจัย 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง เดก็ ชายวรวรรธน์ ถาวร เด็กทีม่ ภี าวะสมองพิการ ชนดิ เกร็งครึง่ ทอ่ นลา่ ง (Spastic diplegia) เพศชาย อายุ 5 ปี เปน็ ผูเ้ รยี นหอ้ งใหบ้ ริการช่วยเหลือระยะแรกเรม่ิ และเตรียมความพรอ้ ม (ห้องสงิ ห์ ๑) ของศูนย์ การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั สงิ หบ์ ุรี อ .เมอื งสงิ ห์บรุ ี จ .สิงห์บุรี โดยใช้การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบ เฉพาะเจาะจง และได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองของผู้เรียนเปน็ ที่เรียบรอ้ ยแล้ว 2. เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั 1.แบบประเมิน GMFM-66 2.กลอ่ งฝึกยนื 3. แบบแผนการวิจัย การวิจัยครงั้ น้ีเปน็ การวิจยั เชงิ ทดลอง (Experimental Design) โดยใชก้ ารทดลองแบบ Single Subject Design ทาการทดสอบก่อนและหลังการพัฒนาลงในแบบประเมนิ GMFM-66 แลว้ นามาหาคา่ เฉล่ยี และร้อยละ 4. วธิ ีดาเนนิ การทดลอง 1. กาหนดปญั หาการวิจัย 2. สืบคน้ เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง 3. กาหนดแบบแผน เครอ่ื งมือ และวธิ กี ารวิจัย 4. กอ่ นเริม่ งานวิจัย ผสู้ อนทดสอบผู้เรยี นโดยใช้แบบประเมนิ GMFM-66 แลว้ บันทกึ ผล 5. ทาการพัฒนาโดยใชก้ ลอ่ งฝกึ ยนื ให้ผู้เรยี นทากจิ กรรมตามโปรแกรม โดยกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นทา กิจกรรมลกุ น่ังภายในกล่องฝกึ ยนื วันละ 50 ครง้ั /วัน 3 วนั /สปั ดาห์ เปน็ เวลา 8 สปั ดาห์ 6. ผสู้ อนทดสอบผ้เู รียนหลังการพฒั นาโดยใช้แบบประเมิน GMFM-66 แล้วบันทกึ ผล 7. ทาการวิเคราะหข์ อ้ มูล ค่าเฉล่ีย และรอ้ ยละ 5. การวเิ คราะห์ข้อมลู วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบ ค่าเฉลยี่ และร้อยละ ของขอ้ มูลก่อนและหลังการพัฒนาโดยใชแ้ บบประเมนิ GMFM-66

6. สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล 1. ค่าเฉล่ีย (Mean) (ศรีพรรณ สทิ ธพิ งค์. 2537) X= X N X แทน คา่ เฉลีย่ X แทน ผลรวมคะแนนที่ได้ N แทน จานวนครัง้ ที่ทาการทดสอบ 2. คา่ ร้อยละ (Percentage) (ศรีพรรณ สทิ ธิพงค์. 2537) P= X x 100 P= N X = N= รอ้ ยละ คะแนนทไ่ี ด้ คะแนนเต็ม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook