ชอ่ื เรอื่ ง วาระพฒั นาที่ 1 : การพฒั นาดานการทองเที่ยว เลขประจาํ หนังสือ ปท ี่พมิ พ ISBN : 978-616-399-007-5 จาํ นวนหนา จาํ นวนพมิ พ สิงหาคม ๒๕๕๘ จดั ทําโดย ๗๓ หนา พมิ พท ี่ ๒,๐๐๐ เลม สํานกั งานเลขาธิการสภาผแู ทนราษฎร ปฏิบัตหิ นาทีส่ ํานกั งานเลขาธิการสภาปฏิรปู แหงชาติ ถนนอทู องใน เขตดสุ ิต กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๐๐ โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๖๙๓-๔ โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๖๙๓ สํานักการพมิ พ สํานักงานเลขาธิการสภาผแู ทนราษฎร ถนนประดิพทั ธ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ๑๐๔๐๐ โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๑๑๗ โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๑๒๒
คาํ นํา สภาปฏริ ปู แหง ชาตไิ ดป ฏบิ ัตภิ ารกิจตามทกี่ าํ หนดในมาตรา๒๗ ของรัฐธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทย ฉบับชัว่ คราว พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ กลา วคอื “...ศึกษาและเสนอแนะเพอื่ ใหเกิดการปฏิรปู ในดานตา ง ๆ ...” นอกจากการวเิ คราะหและกาํ หนด “วิสัยทศั นและอนาคตประเทศไทย” สําหรับระยะเวลาประมาณ ๒๐ ป ในอนาคต เพอื่ ใชเปน กรอบแนวทางการกําหนดประเดน็ และแนวทางการปฏริ ปู ในดา นตา ง ๆ แลว สภาปฏริ ูป แหงชาตยิ งั ไดศ ึกษาคนควา และวเิ คราะหข อสนเทศ ตลอดจนประมวลความรู ความคิดเห็นจากผทู รงคุณวฒุ ิ และผมู ปี ระสบการณในดา นตาง ๆ รวมถงึ ประชาชนผเู ปนเจาของประเทศ โดยไดด าํ เนนิ การตอ เนื่อง ทงั้ โดยทางตรงและทางออม หยบิ ยกข้ึนกาํ หนดเปนวาระปฏริ ูปที่สาํ คัญ ๆ รวม ๓๗ วาระปฏิรปู และเปน วาระ พฒั นาท่ตี อ งดําเนินการตอ เนือ่ งภายหลังจากการปฏิรปู แลว อีก ๖ วาระพัฒนา วาระปฏิรปู และวาระพัฒนาทงั้ หมด ไดผา นความเห็นชอบของสภาปฏิรูปแหง ชาติ และไดนาํ เสนอไปยงั คณะรฐั มนตรีเพ่อื พจิ ารณาดําเนินการตามสมควรตอไปแลว เอกสารฉบับน้เี ปนประมวลรายงานวาระพฒั นาที่ ๑ เร่ือง การพฒั นาดานการทองเทย่ี ว ดาํ เนินการโดย คณะกรรมาธกิ ารปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณชิ ย การทองเทีย่ วและบริการ ซ่ึงสภาปฏริ ปู แหง ชาติได จัดรวบรวมเพ่ือเผยแพรสาํ หรับประโยชนส าธารณะสืบไป สภาปฏริ ูปแหง ชาติ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘
สารบญั ๑ ๔ คาํ นํา ๔ รายงานสรุปวาระพฒั นา : การพฒั นาดา นการทอ งเท่ยี ว ๔ ๖ ๑. หลักการและเหตุผล ๑๒ ๒. ประเดน็ ปฏิรปู และพัฒนา ๑๒ ๓. วิธกี ารพิจารณาศกึ ษาวเิ คราะห ๔. สรปุ ผลการศกึ ษาวเิ คราะห ๑๔ ๕. ขอเสนอปฏิรูปและพัฒนา และแนวทางดําเนินการ ๒๘ ๖. ผลลพั ธทค่ี าดวาจะไดรับ ๔๐ ๗. ตวั ชว้ี ัดความสาํ เร็จ ๔๔ รายงานวาระพฒั นา : การพฒั นาดา นการทอ งเท่ยี ว ๕๔ - สถานการณและปญหาการทอ งเทย่ี ว ๕๖ - ประเดน็ การปฏริ ปู และพัฒนา ๖๐ - ความคดิ รวบยอด ขอบเขตการปฏริ ูปและพัฒนา เครือขา ยพันธมติ ร ตัวชีว้ ดั ๖๖ และผลกระทบเชงิ บวก ๗๑ ขอเสนอการปฏริ ปู การบริหารจดั การการทอ งเท่ยี วในพ้นื ทอ่ี นุรักษเ พ่อื ความยัง่ ยืน ภาคผนวก ภาคผนวก ก คณะกรรมาธกิ ารปฏริ ูปการเกษตร อตุ สาหกรรม พาณชิ ย การทอ งเทย่ี วและบรกิ าร ภาคผนวก ข จาํ นวนนักทอ งเทย่ี วชาวไทย และชาวตางชาติรายจังหวดั ป พ.ศ. ๒๕๕๖ ภาคผนวก ค ตารางเปรยี บเทยี บขดี ความสามารถในการแขงขันดานการทอ งเทย่ี วของไทย เปรียบเทยี บกบั ประเทศอื่น ๆ ภาคผนวก ง ตารางเปรยี บเทยี บราคาโรงแรมในประเทศตาง ๆ ท่นี กั ทอ งเท่ยี วองั กฤษ จายท่วั โลก ป ๒๕๕๖ ภาคผนวก จ คาตอบแทนเฉลยี่ ตอเดอื นของพนกั งานประจาํ ๒๕๕๖
รายงานสรปุ วาระพัฒนา: การพฒั นาด้านการทอ่ งเท่ียว* ------------------------------------------------- ๑. หลกั การและเหตุผล อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นสาขาเศรษฐกิจท่ีสาคัญย่ิงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยอัตราการ เจริญเติบโตเฉลี่ยร้อยละ ๑๒ ต่อปี (พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๕๗) ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และ ยังเป็นประโยชน์ทางอ้อมอกี หลายด้าน เช่น การเผยแพร่ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมไทยและทาให้คนไทย มีความรักในชาติ ทาให้เกิดการลงทุนด้านอ่ืนๆ ตามมาอีกมากอุตสาหกรรมท่องเท่ียวจึงเป็นอุตสาหกรรมหนึ่ง ทีส่ าคัญอยา่ งมากของประเทศ ซ่ึงสามารถอธิบายได้ ดงั น้ี ๑.๑ ความสาคญั และสถานการณ์ปจั จุบัน (๑) ความสาคญั ตอ่ ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมในประเทศ (GDP) ปี ๒๕๕๖ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ๒๖.๕ ล้านคน เป็นอันดับที่ ๑๐ ของโลก และเปน็ อันดับที่ ๒ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรองจากประเทศจีน ทารายได้ให้ประเทศสูงถึง ๑.๑๗ ล้านล้านบาท เป็นอันดับที่ ๗ ของโลก และเป็นอันดับท่ี ๓ ของภูมิภาค คิดเป็นสัดส่วนรายได้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศ (GDP) ร้อยละ ๑๐ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยมีการเดินทางท่องเที่ยวกว่า ๑๖๑ ล้านคนครั้ง มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ๖.๖๑ แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ต่อ GDP ร้อยละ ๔ รวมรายได้จากนักท่องเท่ียว ชาวไทยและต่างชาติมีสดั ส่วนสูงถงึ ร้อยละ ๑๔ เม่ือเทยี บกบั GDP รายได้นี้มีการรั่วไหลออกจากระบบเศรษฐกิจน้อย เน่ืองจากมีสัดส่วนจากวัตถุดิบนาเข้า (Import Content) ตา่ และก่อให้เกดิ การลงทนุ ในอตุ สาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเท่ียวอีกมาก ซึ่งจากการ ประมาณการของ World Travel & Tourism Council (๒๐๑๔) พบว่าในปี ๒๕๕๖ การท่องเท่ียวไทยมีส่วน ใน GDP ถึงร้อยละ ๒๐.๒ โดยเป็นทางตรงร้อยละ ๙.๐ และทางอ้อมร้อยละ ๑๑.๒ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น รอ้ ยละ ๒๒.๗ ในปี ๒๕๖๗ นอกจากน้ี UNWTO คาดการณ์ว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคท่ีมีอัตราการ เจรญิ เติบโตของการท่องเทยี่ วสูงที่สุดในโลกในช่วง ๑๕ ปีข้างหน้า ทั้งน้ีหากประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของ นกั ท่องเที่ยวตา่ งชาตทิ ีร่ ้อยละ ๗.๕ ต่อปี จะทาให้ประเทศมีนักทอ่ งเทีย่ วเกนิ ๑๐๐ ล้านคน ในอีกไม่เกิน ๒๐ ปี ข้างหน้า * รายงานนี้จัดทาโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเท่ียวและ บริการ โดยได้ผ่านความเห็นชอบของสภาปฏริ ปู แหง่ ชาติเมอื่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และได้จัดส่งคณะรัฐมนตรี เม่อื ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘
-๒- (๒) ความสาคัญตอ่ การจ้างงาน (Employment) ในปี ๒๕๕๖ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีการจ้างงานโดยตรงประมาณ ๒.๖ ล้านอัตรา และ การจ้างงานทางออ้ มในอตุ สาหกรรมทีเ่ กยี่ วเน่อื งอกี ๔.๓ ล้านอตั รา รวมเปน็ การจา้ งงานกว่า ๖ ล้านอัตรา หรือ คดิ เป็นร้อยละ ๑๕.๔ ของการจ้างงานทง้ั ประเทศ (๓) การทอ่ งเทีย่ วกับการกระจายรายได้ (Income Distribution) อุตสาหกรรมท่องเท่ียวสรา้ งการกระจายรายไดท้ ่ดี ี เนอ่ื งจากนักท่องเท่ียวจะจับจ่ายใช้สอย ยังพ้ืนทท่ี อ่ งเท่ยี วน้นั ๆ โดยตรง สง่ ผลให้ประชาชนในพ้ืนที่มีความอยู่ดีกินดีมากข้ึน อย่างไรก็ตามการท่องเท่ียว ยังมีการกระจุกตัว โดย ๑๐ จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ สงขลา กระบี่ อยุธยา พังงา และประจวบคีรีขันธ์ ซ่ึงจังหวัดเหล่าน้ีมีนักท่องเที่ยว รวมกันถึงกว่าร้อยละ ๘๕ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติท้ังหมด และพบว่ามีเพียง ๑๐ จังหวัดท่ีมีรายได้จากการ ท่องเท่ียวมากกว่า ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี สงขลา ประจวบคีรีขันธ์ ระยอง และเชียงราย โดยมีรายได้รวมถึงร้อยละ ๘๓.๕ ของรายได้จากการท่องเที่ยว ทัง้ ประเทศ (๔) ผลดกี ารทอ่ งเท่ยี วไทยในดา้ นอื่นๆ (Soft Power) อุตสาหกรรมท่องเท่ียวนอกจากจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลดีทางอ้อม อีกหลายประการ อาทิ การทาให้คนไทยเกิดความรักชาติ หวงแหนทรัพยากรต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึง การเผยแพร่ประวตั ศิ าสตร์ ศิลปะ วฒั นธรรม อนั เป็นมรดกท่ลี า้ ค่าของไทยไปสู่ชาวตา่ งประเทศ (๕) ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเท่ยี ว (Competitiveness) ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยยังอยู่ในระดับต่า แม้ว่าการเติบโต ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม โดยในปี ๒๕๕๘ ไทยถูกจัดอันดับความสามารถในการ แข่งขันด้านการท่องเที่ยวอยู่ในอันดับท่ี ๓๕ จาก ๑๔๑ ประเทศท่ัวโลกเป็นอันดับที่ ๑๐ ของภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และเป็นอันดับที่ ๓ ของภูมิภาคอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยด้านที่มีขีดความสามารถ ในการแข่งขันต่า ได้แก่ ด้านความปลอดภัย (อันดับที่ ๑๓๒) ด้านความย่ังยืนของส่ิงแวดล้อม (อันดับท่ี ๑๑๖) และด้านการเดินทางภาคพื้นดิน (อันดับท่ี ๗๑) อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีจุดแข็งอีกหลายประการ โดยมี ระดับความสามารถด้านการท่องเที่ยวในระดับสูง อาทิ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ (อันดับท่ี ๑๖) ด้านการ ให้บริการ (อันดับท่ี ๒๑) ด้านทรัพยากรทางศิลปวัฒนธรรม (อันดับที่ ๓๔) และด้านราคาสินค้าและบริการ ทางการท่องเทีย่ ว (อนั ดับที่ ๓๖) เปน็ ตน้ ๑.๒ ปญั หาของอตุ สาหกรรมทอ่ งเทย่ี ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเน่ือง แต่พบว่าอุตสาหกรรมท่องเท่ียว ยังประสบกบั ปัญหาหลายประการตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาซ่ึงสามารถสรุปเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ทีส่ าคญั ได้ ๖ ประการ ดังนี้
-๓- (๑) แหลง่ ท่องเที่ยวไมเ่ พยี งพอ ขาดประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจัดการและเสื่อมโทรม จากการเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็วของจานวนนักท่องเที่ยว รวมทั้งการกระจุกตัวของ นักท่องเที่ยวในหัวเมืองหลัก ในขณะที่จานวนแหล่งท่องเท่ียวเพิ่มข้ึนเพียงเล็กน้อยทาให้แหล่งท่องเท่ียว ไม่เพียงพอ นอกจากนี้การบริหารจัดการแหล่งท่องเท่ียวขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้แหล่งท่องเที่ยวเส่ือมโทรม โดยเฉพาะแหล่งท่องเทีย่ วอนุรกั ษ์ ซง่ึ พบว่า ปี ๒๕๕๘ คะแนนความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืนของ สภาพแวดลอ้ มของไทยได้คะแนนเพยี ง ๓.๕ จากคะแนนเต็ม ๗ จัดอยใู่ นอนั ดบั ท่ี ๑๑๖ จาก ๑๔๑ ประเทศ (๒) การคมนาคมและการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวขาดคุณภาพและมาตรฐาน และมี ไม่เพียงพอ ความสามารถในการแข่งขันทางการท่องเที่ยวด้านการคมนาคมทางบกและทางน้าอยู่ใน ระดับตา่ โดยประเทศไทยไดค้ ะแนน ๓.๔๑ เปน็ อันดับท่ี ๗๑ ของโลก และคุณภาพของเครือข่ายการขนส่งทาง บกอยู่ในระดับต่ามาก เป็นอันดับที่ ๙๔ ของโลกตามลาดับ เห็นได้ชัดจากการขนส่งสาธารณะในหัวเมือง ท่องเท่ียวหลักท่ีมีไม่เพียงพอและขาดมาตรฐาน ท้ังนี้ จากการสารวจความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว โดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปี ๒๕๕๗ พบว่าการคมนาคมเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวมีความ พอใจตา่ ท่ีสดุ (๓) สิ่งอานวยความสะดวกพ้ืนฐานทางการท่องเที่ยวมีไมเ่ พียงพอ ส่ิงอานวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว ได้แก่ ห้องน้าสะอาด ป้ายบอกทาง ข้อมูลการ ท่องเที่ยว รวมท้ังโครงสร้างพื้นฐานที่จาเป็นต่อการท่องเท่ียว มีไม่เพียงพอต่อจานวนนักท่องเที่ยว รวมไปถึง การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ืออานวยความสะดวกในการท่องเท่ียวและการจัดทาระบบฐานข้อมูล แหล่งท่องเท่ียวและธุรกิจท่ีเกี่ยวเนื่องกับการท่องเท่ียวยังขาดประสิทธิภาพ ซ่ึงจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือก เดินทางของนักทอ่ งเท่ยี ว (๔) บรกิ ารด้านการทอ่ งเทีย่ วขาดมาตรฐาน ผดิ กฎหมาย และประสบปัญหากับดักราคา บริการด้านการทอ่ งเท่ยี ว อาทิ โรงแรมและท่ีพัก ร้านอาหาร ขาดการกากับดูแลมาตรฐาน การให้บริการที่ดี แม้ว่าจะมีการกาหนด “มาตรฐานการท่องเท่ียวไทย”ซ่ึงจัดทาโดยกรมการท่องเท่ียว แล้วก็ตาม แต่โดยโครงสร้างการทางานท่ีทั้งเป็นผู้กากับมาตรฐาน (Regulator) และผู้ตรวจรับรองมาตรฐาน (Operator) เอง ก่อให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์อันนามาซ่ึงการไม่ยอมรับในมาตรฐานคล้ายกับกรณี มาตรฐานการบินพลเรือนท่ีองคก์ ารการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กาหนดให้ต้องแยกหน้าที่ทั้งสองนี้ ออกจากกัน นอกจากนี้ยังพบปัญหาการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการเพื่อเล่ียงภาระ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากข้อกาหนดของรัฐ ทาให้การกากับดูแลมาตรฐาน และการควบคุมอุปทานของบริการ ดา้ นการท่องเท่ียวเป็นไปไดย้ าก เกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรงจนกลายเป็นกับดักราคา ส่งผลย้อนกลับให้ไม่มี การพัฒนาคุณภาพ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและที่พักท่ีผิดกฎหมาย ซึ่งยืนยันได้จากผลการสารวจข้อมูลราคา โรงแรมเปรียบเทียบ ๖๘ ประเทศทั่วโลกในปี ๒๕๕๖ โดยอัตราค่าที่พักต่อคืนของประเทศอยู่ในลาดับท่ี ๕๙
-๔- ต่ากว่าประเทศคู่แข่งทางการท่องเท่ียวในภูมิภาค เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน และ อนิ เดยี และมีราคาเทา่ กับประเทศฟลิ ปิ ปินส์ (๕) บคุ ลากรทางการท่องเทยี่ วไมเ่ พยี งพอท้งั เชิงคุณภาพ ปริมาณ และมรี ายไดต้ ่า บุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเท่ียวของไทยขาดประสบการณ์และทักษะท่ีจาเป็นต่อการ พัฒนาการท่องเทย่ี ว โดยเฉพาะทักษะทางดา้ นภาษาและการให้บริการ นอกจากน้ีจานวนบุคลากรยังมีแนวโน้ม ลดลงและอาจขาดแคลนในอนาคตอันส้ัน สาเหตุสาคัญส่วนหน่ึงมาจากค่าตอบแทนเฉล่ียของพนักงานในสาขา ท่ีพกั แรมและบรกิ ารดา้ นอาหารอยู่ในระดับต่าท่ีสุดเม่ือเทียบกับค่าตอบแทนของพนักงานในสาขาเศรษฐกิจอื่น ในทุกระดับตาแหน่งงาน (๖) ปัญหาความไม่ปลอดภัยในการท่องเทยี่ วและการหลอกลวงนกั ท่องเที่ยว ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเท่ียวและการหลอกลวง นักท่องเท่ียว อาทิ การหลอกลวงซ้ือสินค้าท่ีไม่ได้มาตรฐาน การคิดราคาสินค้าและบริการเกินจริง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดข้ึนบ่อยคร้ังแต่ยังไม่มีกลไกในการดูแลความปลอดภัยและการตอบสนองช่วยเหลือ นักท่องเท่ียวท่ีชัดเจนและทันท่วงที รวมถึงขาดความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแล ความปลอดภยั สง่ ผลตอ่ ความเชอื่ มั่นดา้ นความปลอดภัยในการท่องเทย่ี ว ๒. ประเดน็ ปฏิรปู และพัฒนา ๒.๑ เพื่อให้การทอ่ งเท่ยี วของไทยมีคุณภาพและย่งั ยืน ๒.๒ เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการท่องเท่ียวของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคชุมชน ซึง่ จะสง่ ผลตอ่ การพฒั นาการท่องเทีย่ ว ๒.๓ เพอ่ื เพมิ่ ขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ด้านการท่องเท่ยี วให้กบั ประเทศ ๓. วธิ กี ารพจิ ารณาศกึ ษาวิเคราะห์ ๓.๑ จากการพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยข้อมูลทุติยภูมิท้ังจากแหล่งข้อมูล ภายในประเทศและตา่ งประเทศ ๓.๒ จากการพิจารณาโครงสร้างการทางานของหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ชมุ ชน ๓.๓ จากการเชญิ กลุม่ ตวั อย่างมาใหข้ อ้ มูลและข้อคดิ เห็น ๔. สรปุ ผลการศกึ ษาวเิ คราะห์ จากการศึกษาพบว่า ปัญหาโครงสร้างของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยมีสาเหตุหลักจาก (๑) วิสัยทัศน์ในการพัฒนาการท่องเท่ียวที่เน้นเป้าหมายด้านคุณภาพยังไม่สัมฤทธิ์ผล และ (๒) โครงสร้าง การบรหิ ารจัดการด้านการท่องเท่ยี วขาดการประสานงานกันอย่างมีระบบโดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
-๕- ๔.๑ วสิ ยั ทศั นใ์ นการพัฒนาการท่องเที่ยวท่เี นน้ เป้าหมายด้านคุณภาพยงั ไม่สัมฤทธิ์ผล การพัฒนาการท่องเท่ียวของประเทศเน้นมุ่งเป้าหมายไปที่การเติบโตเชิงปริมาณจากจานวน นักท่องเท่ียวและรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทาให้ขาดคุณภาพ และมีประเด็นสาคัญทางการท่องเท่ียว บางดา้ นท่ไี มไ่ ดถ้ กู ใหค้ วามสาคัญอย่างเพียงพอ หรือมีอยู่ในแผนแต่ขาดการดาเนินงาน เช่นการกาหนดทิศทาง ในการพฒั นาและกาหนดกล่มุ เปา้ หมายนักท่องเทย่ี วอยา่ งชัดเจน การคานึงถึงการกระจายรายได้ท่ีเกิดจากการ ท่องเที่ยวไปยังพ้ืนที่ต่างๆ และการคานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวต่อท้ังสังคมและส่ิงแวดล้อม อยา่ งรอบคอบ ๔.๒ การบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐในอุตสาหกรรมท่องเท่ียว การส่งเสริมภาคเอกชน ให้เข้มแข็ง และการมสี ่วนรว่ มของชุมชนในการจัดการท่องเท่ียว มปี ระสทิ ธิภาพไมเ่ พยี งพอ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าท่ีดูแลการพัฒนาการท่องเท่ียว โดย ทางานร่วมกบั หนว่ ยงานทม่ี สี ว่ นเกย่ี วข้องอื่นๆ แต่ยังไมส่ ามารถทางานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ เนอ่ื งจาก (๑) ปัญหาการบูรณาการการทางานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับการกาหนดแผน และการนาแผนสู่การปฏิบัติ (๒) การจัดการแหล่งท่องเท่ียวขาดประสิทธิภาพ เน่ืองจากแหล่งท่องเท่ียวของประเทศมีความ หลากหลาย อยู่ภายใต้การกากับดูแลและความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน ทาให้การบริหารจัดการแหล่ง ทอ่ งเท่ยี วทาไดย้ ากและขาดการบูรณาการทด่ี รี ะหว่างหน่วยงาน (๓) ปัญหาการทับซ้อนของภารกิจและอานาจหน้าท่ีระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคส่วนท่ี เกีย่ วข้องกับการทอ่ งเที่ยวทั้งทอ่ี ยู่และท่ีไมไ่ ด้อยู่ภายใต้การกากับดูแลของกระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา เช่น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นท่ีพิเศษเพ่ือการท่องเท่ียวอย่างย่ังยืน (อพท.) สานักงานส่งเสริมการจัดประชุม และนทิ รรศการ (สสปน.) และบรษิ ทั ไทยแลนด์ พรวิ เิ ลจคารด์ จากัด (ดแู ล Thailand Elite) เป็นต้น (๔) บทบาทการดาเนินงานของหน่วยงานในการกากับดูแลมาตรฐานไม่ชัดเจน ไม่มีการแยก หน้าที่การกาหนดและกากับมาตรฐาน (Regulator) และการตรวจรับรอง (Operator) ออกจากกัน ทาให้การ ดาเนินงานและกากับตรวจสอบไม่มีประสิทธิภาพและไมเ่ ปน็ ท่ยี อมรับตามมาตรฐานสากล (๕) การดาเนินงานของหน่วยงานด้านการท่องเทีย่ วไมส่ ัมพันธ์กัน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการ ทอ่ งเทยี่ วส่วนใหญ่ที่ม่งุ เนน้ ทกี่ ารเพิ่มจานวนนกั ท่องเทีย่ วหรือเพมิ่ อุปสงค์ โดยไม่สัมพันธ์กับการดาเนินงานของ หน่วยงานการพัฒนาด้านอุปทานการท่องเที่ยว อาทิ มีการประชาสัมพันธ์ที่ไม่สอดคล้องข้อจากัดของ แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง ทาให้การพัฒนาด้านอุปทานเติบโตไม่ทันกับการเพิ่มข้ึนของอุปสงค์ เป็นปัญหาต่อ แหล่งท่องเท่ยี วทไ่ี มเ่ พยี งพอและเสื่อมโทรมเร็ว (๖) ขาดหน่วยงานท่ีทาหน้าที่อีกหลายด้าน โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ที่จาเป็นในการ พัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศ ซ่ึงมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการกาหนดแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว การดาเนนิ งานของภาคส่วนตา่ ง ๆ และการตดิ ตามตรวจสอบให้เป็นไปตามนโยบายและแผนทกี่ าหนด
-๖- (๗) ขาดหน่วยงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ ท้ังภาคเอกชนและภาคชุมชน เพือ่ พฒั นาอุปทานการท่องเท่ียวอย่างเป็นรูปธรรม (๘) หน่วยงานภาครัฐด้านการท่องเท่ียวขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อาทิ บุคลากรขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หน่วยงานเจ้าของแหล่งท่องเท่ียวจานวนมาก ยังไม่ได้รับการ สนับสนนุ และให้องค์ความรูด้ ้านการบรหิ ารจดั การการทอ่ งเทีย่ วอย่างเพยี งพอ (๙) การจัดสรรบคุ ลากรของหน่วยงานตา่ งๆ ขาดความสมดุล (๑๐) ชุมชนขาดการมีส่วนร่วมและบทบาทในการจัดการการท่องเที่ยวในระดับพ้ืนที่แบบ ลา่ งข้นึ บน (Bottom-up) ๕. ข้อเสนอปฏริ ปู และพฒั นา และแนวทางดาเนินการ เพ่ือให้สามารถบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาการท่องเท่ียว เห็นควรเสนอประเด็นการปฏิรูปและ พฒั นา ๓ ประเด็น ดงั น้ี ๕.๑ ปฏริ ูปวิสัยทศั นข์ องการพฒั นาการทอ่ งเทีย่ ว(Vision) (๑) เน้นเป้าหมายรายได้และนักท่องเที่ยวคุณภาพ คือนักท่องเท่ียวท่ีท่องเที่ยวสอดคล้อง กับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของพื้นท่ี ไม่สร้างผลกระทบทางลบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพ่ิม ใหก้ บั ประเทศไดม้ ากข้นึ (๒)จัดการแหล่งท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืน ไม่สร้างความเส่ือมโทรมให้ส่ิงแวดล้อม และ กาหนดแนวทางการดูแลควบคุมผลกระทบดังกล่าวอย่างชัดเจน เช่น กาหนดให้ต้องมีการศึกษาข้อจากัดของ แหล่งท่องเท่ียว มีการกาหนดความสามารถในการรองรับนักท่องเท่ียวสูงสุดในแหล่งท่องเท่ียว โดยเฉพาะพื้นที่ เปราะบางทางนิเวศ รวมถงึ การกาหนดมาตรการควบคมุ จานวนนักท่องเทย่ี วและบทลงโทษ (๓) จัดให้มีบริการทางการท่องเที่ยวท่ีได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพของการ บรกิ ารด้านการท่องเที่ยวของประเทศ (๔) กระจายผลประโยชน์จากการท่องเท่ียวอย่างท่ัวถึงและเป็นธรรม ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ในพื้นท่ีการท่องเที่ยวนั้น ๆ โดยให้มีนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนการดาเนินงานอย่างชัดเจน เพื่อลดปัญหา การกระจกุ ตวั ของรายได้ นอกจากน้ีควรสนับสนุนการดาเนินงานของชุมชนในการพัฒนาการท่องเที่ยวในพ้ืนท่ี ในลกั ษณะต่างๆ เช่น วิสาหกิจชมุ ชน และวิสาหกจิ เพอื่ สงั คม ๕.๒ การปรบั โครงสร้างการบรหิ ารจดั การดา้ นการทอ่ งเทย่ี ว (Restructuring) (๑) การปรับโครงสร้างองค์กรภาครัฐ โดยจัดโครงสร้างบริหารราชการด้านการท่องเที่ยวใหม่ ภายใตข้ ้อจากัดไมเ่ พิม่ จานวนบคุ ลากรภาครฐั ดา้ นการท่องเท่ยี วท่ีมอี ยู่ในปัจจุบนั ดังน้ี (๑.๑) ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ที่มีอยู่แล้วตาม พระราชบัญญัตินโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๑เป็นองค์กรกลางทาหน้าท่ีบริหารจัดการด้านการ ทอ่ งเทีย่ วทั้งระบบ และใหม้ กี ารปรบั ปรุงบทบาท หน้าท่ี และองคป์ ระกอบของ ท.ท.ช. โดย
-๗- (ก) ปรับปรุงองค์ประกอบของ ท.ท.ช. ให้มีความเหมาะสมมากข้ึน โดยพิจารณา ลดจานวนกรรมการลงเพ่อื ใหม้ ีความคลอ่ งตวั และเพิ่มชอ่ งทางการมสี ่วนร่วมของชุมชนอย่างเป็นทางการในการ เสนอความเห็นต่อ ท.ท.ช. (ข) กาหนดนโยบาย ทิศทาง และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการท่องเที่ยว ให้มี ความสมดลุ ระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสงิ่ แวดล้อม และกระจายผลประโยชน์อยา่ งทวั่ ถึงและเป็นธรรม (ค) ขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปตามนโยบายที่วางไว้ โดยมีการติดตาม ประเมินผล การดาเนนิ งานใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมายทต่ี ง้ั ไว้ (ง) บรู ณาการการจดั ทาแผนงบประมาณโครงการทงั้ หมดท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อส่งต่อให้ สานักงบประมาณเพ่อื ใช้กากบั ดแู ลการดาเนินงานใหส้ อดคล้องกบั นโยบายที่กาหนดไว้ (จ) สนับสนุนให้มีคณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวในระดับพื้นที่ โดยทางาน ในรูปแบบเดียวกับ ท.ท.ช. ประกอบด้วยตัวแทนจาก ภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และผู้ทรงคุณวุฒิและ นกั วิชาการ ใหม้ อี านาจในการกาหนดนโยบายการทอ่ งเทยี่ วในพืน้ ท่ีและประสานความร่วมมือกับพื้นที่ใกล้เคียง ให้สอดคล้องกบั นโยบายการท่องเทีย่ วในระดับชาติ (๑.๒) จัดตั้งสานักงานคณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติเป็นหน่วยราชการ ในสังกัดสานักนายกรัฐมนตรี โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการฯ เป็นหัวหน้าส่วนราชการ ที่มีตาแหน่งเทียบเท่า ระดบั ปลดั กระทรวง ปฏิบัตหิ นา้ ทสี่ นบั สนนุ ภารกิจของ ท.ท.ช. โดยมีเหตุผลดังนี้ (ก) เป็นหน่วยงานกลางประสานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในแนวราบ (ระดับ กระทรวง ทบวง กรม) และแนวด่ิงท้ังในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานภายใต้การกากับ อีกหลายหน่วย (ข) เป็นหน่วยประสานงานและปฏิบัติตามข้อตกลงด้านการท่องเท่ียวตามความ ตกลงระหว่างประเทศทั้งระดับทวภิ าคีและพหภุ าคี (ค) การบริหารงานต้องมีลักษณะเฉพาะและต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วทันต่อ เหตุการณ์ เนือ่ งจากอตุ สาหกรรมการท่องเที่ยวมีความอ่อนไหวต่อการเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ สงู สานักงานคณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ จะมีหน่วยงานภายใต้ สังกดั ๔ หนว่ ยงาน ได้แก่ (๑.๒.๑) หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ (สานักยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว) ทาหน้าที่ สนบั สนุนงานประชุมของ ท.ท.ช. กาหนดยุทธศาสตร์ของประเทศตามนโยบายที่กาหนดไว้ และเป็นศูนย์กลาง ข้อมูลข่าวสารที่เก่ียวข้องกับการท่องเที่ยว โดยอาจมีการถ่ายโอนบุคลากรท่ีมีความเชี่ยวชาญส่วนหน่ึงมาจาก การท่องเทีย่ วแห่งประเทศไทย (๑.๒.๒) หน่วยงานด้านการพัฒนา (สานักพัฒนาการท่องเท่ียว) โดยปรับปรุง ขอบเขตภารกิจจากกรมการทอ่ งเทย่ี ว มีหนา้ ที่ในการสง่ เสรมิ การพัฒนาเพ่ือเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ ฟื้นฟูแหล่งท่องเท่ียวท่ีเสื่อมโทรม ส่งเสริมการดาเนินงานของภาคเอกชน องค์กรปกครอง
-๘- ส่วนท้องถ่ินและภาคชุมชน จัดทามาตรฐานการบริการประเภทต่าง ๆ และพิจารณาความเป็นไปได้ในการ ลงทนุ และร่วมลงทนุ ในการพฒั นาแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วโดยให้มีรายละเอยี ดหน้าทด่ี งั นี้ (ก) เป็นผู้ประสานงาน (Coordinator) ในการผลักดันแผนพัฒนา ในระดบั นโยบายส่วนกลางลงส่รู ะดบั พ้นื ที่ (ข) เป็นผู้กาหนดและกากับดูแล (Regulator) มาตรฐานต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง กับการท่องเที่ยว ให้ภาคเอกชนคือสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคชุมชน เข้ามา มีบทบาทหลักในการดาเนินงานตรวจรับรองมาตรฐานท่ีเก่ียวข้อง (Operator) โดยมาตรฐานท่ีต้องมีการกากับ ดูแล เช่น มาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว สิ่งเอ้ืออานวยความสะดวก มาตรฐานความปลอดภัย กลไก การแก้ปัญหาให้กับนักท่องเท่ียวกรณีท่ีเกิดปัญหาเฉพาะหน้า และมาตรฐานการให้บริการด้านการท่องเท่ียว ประเภทต่าง ๆ ทั้งน้ี ให้กาหนดให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องมีส่วนในการดูแลรับผิดชอบ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น เช่น กาหนดให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการทาประกันภัยให้กับ นกั ทอ่ งเทยี่ ว (ค) เป็นผู้ดาเนินงาน ในการบรหิ ารกองทนุ การทอ่ งเทยี่ ว (ง) สง่ เสรมิ การดาเนินงานของผู้ประกอบการทั้งภาคเอกชน ท้องถิ่นและ ชมุ ชน โดยเฉพาะการดาเนนิ งานทสี่ อดคลอ้ งกบั อตั ลกั ษณ์ของชุมชนหรือจดุ เด่นเฉพาะของท้องถ่ิน (จ) บูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนอ่ืน ๆ ท่ีมีหน้าท่ีในการ พัฒนาการทอ่ งเท่ียวของประเทศ เพ่อื ลดความซา้ ซ้อนของภารกิจ (๑.๒.๓) หน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยปรับปรุง พระราชบัญญัติการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ เพื่อกาหนดขอบเขตภารกิจของการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ทาหน้าที่เฉพาะการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาด ทั้งภายในและ ต่างประเทศ การสร้างความเช่ือม่ันให้นักท่องเท่ียว และการประสานงานกับต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับ นโยบายของชาตทิ กี่ าหนดโดย ท.ท.ช. โดยไม่มภี ารกจิ ดา้ นการพัฒนาหรือร่วมลงทุนในการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี (ก) ให้ ททท.เป็นองค์กรพิเศษของรัฐที่มี พระราชบัญญัติจัดต้ังเป็นการ เฉพาะ และไม่เป็นรัฐวสิ าหกิจ (ข) ดาเนินงานให้ครอบคลุมตามลักษณะการท่องเท่ียวให้มากขึ้น เช่น มีหน่วยงานภายในทาหน้าท่ีส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงสุขภาพ เชิงศาสนาและวัฒนธรรม การจัดประชุมสัมมนา เพ่ิมเติมจากการดาเนนิ งานรายพ้นื ที่เปน็ รายจังหวดั หรอื ภาคในปัจจุบัน (ค) สรา้ งความเช่ือมนั่ ดา้ นความปลอดภัยใหก้ ับนักท่องเท่ียว (ง) บูรณาการหน่วยงานของภาครัฐที่ทาหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้านการ ทอ่ งเท่ียว เชน่ สานักงานสง่ เสริมการจดั ประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และยกเลิกบรษิ ทั ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จากัด
-๙- (๑.๒.๔) หน่วยงานด้านการวิจัย ทาหน้าที่สร้างองค์ความรู้ เพ่ือเสนอแนะต่อการ กาหนดนโยบาย สร้างตัวชี้วัดแบบนาหน้าเพ่ือให้หน่วยงานต่างๆ สามารถปรับตัวได้ทันการณ์ และพัฒนา องค์ความรู้ให้ตอบสนองความต้องการของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถ่ินและภาคชุมชนให้มีความสอดคล้อง กับยทุ ธศาสตร์การท่องเทย่ี วของประเทศและมีแผนแม่บทท่ชี ัดเจน โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ (ก) ดาเนินงานในลักษณะมูลนิธิหรือสถาบันในลักษณะเดียวกับมูลนิธิ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง โดยให้เป็นนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากาไร และดาเนินงานร่วมกับ สถาบันการศึกษาเพ่ือความคล่องตัว เปน็ กลาง และมีประสิทธิภาพ โดยร่วมมอื กบั หน่วยงานที่สนับสนุนทุนวิจัย อ่นื ๆ เชน่ สานักงานกองทุนสนับสนนุ การวิจัย (สกว.) (ข) อาจมีการถ่ายโอนบุคลากรบางส่วนที่มีความเช่ียวชาญด้านการวิจัย มาจากการทอ่ งเทีย่ วแห่งประเทศไทย (ค) สนับสนุนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในพ้ืนท่ีโดยส่งเสริมการดาเนินงาน ด้านการสรา้ งและสงั เคราะห์องคค์ วามรขู้ องชุมชน (๒) การสนับสนุนภาคเอกชน - ให้มีการรวมกลุ่มเพ่ือสร้างความเข้มแข็งและ เพิม่ ประสทิ ธภิ าพ เพอื่ เป็นส่วนสาคัญในการขบั เคล่ือนการพฒั นาการท่องเท่ียวของประเทศร่วมกับภาครัฐและ ชุมชน โดยให้ภาครฐั ดาเนินการ ดงั น้ี (๒.๑) สนับสนุนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้เป็นองค์กรกลางของ ผู้ประกอบการอตุ สาหกรรมท่องเที่ยวอย่างแท้จริงในการประสานงานกับภาครัฐ และดาเนินการส่งเสริมให้เกิด การรวมกลุ่มยอ่ ยท้งั รายสาขาและรายพนื้ ทีท่ ค่ี รอบคลมุ ทุกภาคส่วนของผ้ปู ระกอบการ (๒.๒) สนับสนุนการดาเนินงานของสภาอุตสาหกรรมท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเท่ียวของประเทศ โดยสามารถใช้เงินจากกองทุนส่งเสริม การทอ่ งเทยี่ วทม่ี ีอย่เู ดิมได้ (๒.๓) สนับสนุนการสร้างฐานข้อมูลและเพ่ิมองค์ความรู้ (Knowledge Creation) ให้กับ องคก์ รภาคเอกชนและทอ้ งถ่ิน (๒.๔) สนบั สนุน ส่งเสรมิ ความเขม้ แขง็ ของผูป้ ระกอบการโดยการประสานงานอย่างใกล้ชิด กับสภาอุตสาหกรรมท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย มีการพัฒนาทักษะท่ีจาเป็นให้แก่บุคลากรทุกภาคส่วน ได้แก่ ทักษะด้านภาษา ทักษะในการบริหารธุรกิจ และกากับให้ผู้ประกอบการมีการดาเนินการอย่างมีธรรมาภิบาล และปฏิบตั ติ ามข้อกฎหมายอยา่ งเคร่งครัดมีการเสียภาษีประกอบการตามท่ีเป็นจริงและเช่ือมโยงกับฐานข้อมูล ผปู้ ระกอบการ (๒.๕) สง่ เสรมิ ให้องคก์ รภาคเอกชนมีบทบาทหลักในการดาเนินงานตรวจรับรองมาตรฐาน ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั บรกิ ารดา้ นการท่องเทีย่ วของผู้ประกอบการ ภายใต้การกากับดูแลของภาครฐั
- ๑๐ - (๓) การสนับสนุนภาคชมุ ชน - ใหม้ ีสว่ นรว่ มในการบริหารจัดการการทอ่ งเทยี่ วในพน้ื ที่ โดย (๓.๑) ส่งเสริมการรวมตัวของชุมชนในรูปแบบต่างๆ เช่น การท่องเท่ียวโดยชุมชน (Community-based tourism) สหกรณ์การท่องเที่ยวในชุมชน โดยให้คนในชุมชนเป็นผู้ถือหุ้นและบริหาร จดั การ หรือวสิ าหกิจเพื่อสงั คมซ่ึงมีจุดประสงค์หลักในการนาเงินไปพัฒนาชุมชนในองค์รวม โดยภาครัฐทาการ ส่งเสรมิ การถ่ายทอดองค์ความรู้ อานวยความสะดวกในการจัดตั้งและดาเนินงานสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร ในระดบั พน้ื ที่ และสนับสนุนดา้ นเงนิ ทนุ ตามความจาเปน็ (๓.๒) ส่งเสริมให้ชุมชนมีอานาจและบทบาทในการจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่ ต้ังแต่ การกาหนดทิศทางนโยบายการท่องเท่ียวของพื้นที่ การสร้างข้อกาหนดต่าง ๆ การรักษาผลประโยชน์ของคน ในพ้ืนที่ รวมถึงการกากับดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวโดยรัฐมีหน้าที่ในการให้การ สนบั สนนุ ด้านงบประมาณและดา้ นอื่น ๆ เพ่ือให้ชมุ ชนมีศกั ยภาพเพียงพอทจ่ี ะดาเนนิ งานได้อยา่ งสัมฤทธิ์ผล (๓.๓) ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายระหว่างชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้เกิด ความเชอื่ มโยงในดา้ นต่าง ๆ เช่น การตลาด การพฒั นา ให้เปน็ ไปในทศิ ทางเดียวกัน ๕.๓ การพฒั นาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขนั (๑) การป้องกันและแก้ไขปัญหาความเส่ือมโทรมของแหล่งท่องเท่ียว โดยเฉพาะพื้นท่ี อนุรกั ษ์ เช่น อทุ ยานแห่งชาติทางทะเล และพ้นื ทอ่ี ่อนไหว เชน่ หม่บู า้ นกะเหร่ียงคอยาว ตลาดน้าอมั พวา ดังน้ี (๑.๑) บงั คับใชก้ ฎหมายอยา่ งเขม้ งวด (๑.๒) จัดต้งั คณะกรรมการบรหิ ารจัดการในระดับพ้ืนที่ โดยให้มีส่วนร่วมแบบ ๓ ประสาน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน เพื่อทาหน้าท่ีกาหนดแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นท่ีอนุรักษ์ ตา่ ง ๆ ให้มีความเหมาะสม กาหนดจานวนนักท่องเท่ียวหรือจานวนยานพาหนะสูงสุดท่ีรองรับได้ กาหนดอัตรา ค่าธรรมเนียมและจัดสรรส่วนแบ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมและกาหนดข้อบังคับเพิ่มเติมสาหรับพื้นที่อนุรักษ์ ไดอ้ ย่างทนั ทว่ งทตี ามความจาเปน็ และเหมาะสม (๑.๓) พัฒนาการบรหิ ารจัดการแหล่งท่องเทย่ี ว โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม อาทิ การจดทะเบียนเรือ การใช้เรดาห์ ดาวเทียม เพื่อติดตามเรือท่ีนานักท่องเท่ียวไปยังเกาะต่าง ๆ การกาหนดให้นักท่องเท่ียวต้องจองและจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าพื้นที่ล่วงหน้าผ่านช่องทาง Online ตามขีด ความสามารถในการรองรับนกั ทอ่ งเทยี่ วในแต่ละวันหรอื ช่วงเวลาอย่างเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ (๒) ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวใหม่ เพื่อรองรับปริมาณนักท่องเท่ียวที่เพ่ิมสูงข้ึน อย่างตอ่ เนอื่ ง โดย (๒.๑) ให้แบ่งระดับความสาคัญของแหล่งท่องเท่ียวออกเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับโลก (Global) ระดับภมู ภิ าค (Regional) และระดับพื้นท่ี (Local) โดยรัฐสนับสนุนให้มีแหล่งท่องเท่ียวอย่างน้อย ๑ ระดับในแต่ละอาเภอท่ัวประเทศ และสนับสนุนให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวไปสู่ระดับท่ีสูงขึ้นตามศักยภาพ ของแต่ละเขตพ้ืนที่ ซึ่งจะส่งผลต่อการกระจายตัวของนักท่องเท่ียว รวมถึงกระจายรายได้ไปยังพื้นท่ีต่าง ๆ อย่างมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน
- ๑๑ - (๒.๒) การรวมกลุ่มท่องเที่ยวเป็นคลัสเตอร์ (Cluster) ตามอัตลักษณ์ วัฒนธรรมของพ้ืนที่ เพ่ือสร้างความเข้มแข็งและยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสร้างความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยว โดยสนับสนุนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ท่ีได้กาหนดแนวทางในการพัฒนา ยกระดับคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ตามกลุ่มจังหวัดท่ีมีศักยภาพ ท้ังสิ้น ๘ กลุ่ม ได้แก่ ๑.กลุ่มอารยธรรม ล้านนาและภาคเหนือตอนบน ๒.กลุ่มมรดกโลกเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ๓.กลุ่มอารยธรรมอีสานใต้ ๔.กลุ่มวิถีชีวิตลุ่มแม่น้าโขง ๕.กลุ่มวิถีชีวิตลุ่มแม่น้าภาคกลาง ๖.กลุ่ม Active Beach ๗.กลุ่ม Royal Coast และ ๘.กลุ่มมหัศจรรย์สองสมุทรท้ังนี้ภาครัฐควรสนับสนุนให้มีการประกาศกลุ่มพื้นที่คลัสเตอร์ท่องเท่ียว ให้ครอบคลมุ ท้ังประเทศ โดยมขี ้อเสนอเพม่ิ เตมิ ดังนี้ (ก) สนับสนุนอัตลักษณ์ของพื้นที่ให้โดดเด่นมากข้ึน โดยรัฐควรลงทุนด้านการ ศึกษาวิจยั และพฒั นาในการนาอตั ลกั ษณ์และวฒั นธรรมมาใช้ในการพฒั นาการท่องเที่ยวของพน้ื ท่ี (ข) ศึกษา จัดทา และเผยแพร่ ปูมประวัติ ตานาน หรือเร่ืองเล่าต่าง ๆ ของแหล่ง ท่องเที่ยวให้ครอบคลุมมากขนึ้ และเชอื่ มโยงเร่ืองราวระหว่างพื้นท่ีใหเ้ ป็นเส้นทางท่องเทยี่ วใหม่ (ค) เชื่อมโยงการจัดทาแผนพัฒนาคลัสเตอร์ท่องเที่ยวให้สอดรับกับการ รวมกลุ่มคลัสเตอร์ด้านปกครองของกระทรวงมหาดไทยท่ีแบ่งออกเป็น ๑๘ คลัสเตอร์ เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ของจงั หวดั มากยิ่งข้นึ (ง) ส่งเสริมผู้ประกอบการท่ีลงทุนและดาเนินงานสอดคล้องกับอัตลักษณ์และ วัฒนธรรม หรือนาเอาอัตลักษณ์ของพ้ืนที่มาใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวและ สรา้ งมูลค่าเพิ่มให้กับผลติ ภณั ฑ์ โดยให้การสนบั สนนุ ผ่านมาตรการสง่ เสรมิ การลงทุนหรือมาตรการดา้ นภาษี (๒.๓) ส่งเสริมให้มีแหล่งท่องเที่ยวประเภทมนุษย์สร้างขึ้นด้วยการส่งเสริมการลงทุนด้วย แรงจูงใจและสทิ ธปิ ระโยชนด์ า้ นการลงทุน โดยเฉพาะพน้ื ท่ีท่มี นี กั ทอ่ งเทีย่ วนอ้ ย (๒.๔) ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ตามลักษณะเด่นเฉพาะของ พ้ืนท่ี อาทิ การท่องเที่ยวฮาลาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเท่ียวเชิงเกษตร การท่องเท่ียวเชิงนิเวศ สญั จรและการท่องเท่ียวดา้ นศาสนา ศลิ ปะ วัฒนธรรม เปน็ ตน้ (๓) การพฒั นาเขตเศรษฐกิจการทอ่ งเท่ียวพเิ ศษรว่ มกบั ประเทศเพอื่ นบา้ น สร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่หรือเช่ือมโยงแหล่งท่องเท่ียวระหว่างประเทศสมาชิกในอาเซียน ร่วมกันในรูปของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจการท่องเที่ยวพิเศษระหว่างประเทศ เช่น พม่า-ลาวเหนือ-ภาคเหนือ กัมพูชา-ลาวใต้-ภาคอีสานใต้ หรือ พม่า-ภาคตะวันตก เป็นต้น เพ่ือสร้างความเข้มแข็งของการท่องเที่ยว ในภูมิภาค ซ่ึงจะได้รับประโยชน์ทั้งด้านการกระจายรายได้และรายได้การท่องเที่ยว โดยตั้งคณะกรรมการร่วม ระหว่างประเทศเพ่ือศึกษาความเป็นไปได้และศึกษาในประเด็นต่างๆ อาทิ โอกาสในการร่วมลงทุนพัฒนา แหล่งท่องเที่ยวและส่ิงอานวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวร่วมกัน หรือการอานวยความสะดวกในการ เดนิ ทางโดยไม่ตอ้ งใชว้ ีซา่
- ๑๒ - (๔) การส่งเสริมการขยายธรุ กจิ ด้านการทอ่ งเท่ยี วของไทยไปในตา่ งประเทศ โดยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท่ีมีศักยภาพและความสามารถไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสาขาการท่องเท่ียวที่ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง เช่น ธุรกิจโรงแรมและที่พัก ธุรกิจร้านอาหาร ธรุ กิจสปา รวมถึงสนบั สนนุ ให้ผู้ประกอบการไทยไปใช้ประโยชน์ในประเทศทมี่ ีนักทอ่ งเท่ียวชาวไทยไปท่องเท่ียว เปน็ จานวนมาก โดยรัฐควรให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการให้คาแนะนา เรื่องแหล่งเงินทุนต่าง ๆ นอกจากน้ีรัฐควรสนับสนุนการจัดสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ (Network) และ การสรา้ งตราสนิ คา้ (Brand) เพ่อื สรา้ งความเข้มแข็งและเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ไทย ๖. ผลลพั ธ์ทคี่ าดวา่ จะได้รบั ๖.๑ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยง่ั ยืน ๖.๒ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมทเี่ กิดข้นึ จากการพฒั นาการทอ่ งเท่ียวในแบบปจั จบุ นั ๖.๓ เปน็ เคร่ืองมอื ในการกระจายรายได้และการพฒั นา ลดความเหล่ือมลา้ ๖.๔ สร้างความเขม้ แข็งใหส้ งั คมและลดความขัดแย้งจากการเรียนร้แู ละพฒั นารว่ มกัน ๗. ตัวชีว้ ัดความสาเร็จ ๗.๑ การทอ่ งเทยี่ วทมี่ คี ณุ ภาพและยงั่ ยืน (๑) การท่องเท่ียวเตบิ โตขึ้นอยา่ งยง่ั ยืนวัดจาก (๑.๑) สดั ส่วนรายได้จากการทอ่ งเท่ียวตอ่ GDP มากกวา่ ร้อยละ ๑๕ (๑.๒) สดั ส่วนของการท่องเท่ยี วรวมใน GDP มากกว่าร้อยละ ๒๐ (๑.๓) อัตราการเตบิ โตของรายได้จากการทอ่ งเทย่ี วไม่ตา่ กว่าอตั ราเติบโตเฉลี่ยของภูมิภาค เอเชยี แปซิฟกิ (๒) การท่องเที่ยวมีการกระจายมากขึ้น วัดจากจานวนจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเท่ียว มากกว่าคา่ เฉลี่ยของทกุ จังหวัดมเี พิ่มขนึ้ มากกว่า ๑๐ จังหวัด (๓) การควบคุมผลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ มวดั จาก (๓.๑) จานวนแหลง่ ทอ่ งเทีย่ วทม่ี ีการกาหนดขีดความสามารถในการรองรับนกั ทอ่ งเทีย่ วเพ่ิมข้นึ (๓.๒) จานวนแหลง่ ทอ่ งเที่ยวทม่ี ีนกั ท่องเท่ยี วเข้าไปเกนิ กาหนดลดลง (๓.๓) มีระบบการจองและจ่ายคา่ ธรรมเนยี มลว่ งหน้าในแหลง่ ท่องเทีย่ วเพม่ิ ข้นึ
- ๑๓ - ๗.๒ โครงสร้างการบรหิ ารจัดการท่มี ีประสิทธิภาพมากขน้ึ (๑) ภาครัฐ (๑.๑) มีการแก้กฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัตินโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ พระราชบญั ญัติการทอ่ งเที่ยวแหง่ ประเทศไทย และการออกกฎหมายใหมท่ จ่ี าเปน็ เพื่อปรับโครงสรา้ ง (๑.๒) มีการจัดตงั้ หน่วยงานตามโครงสรา้ งการบรหิ ารจดั การใหม่ (๒) ภาคเอกชน วัดจากมีการสนับสนุนและกาหนดบทบาทหน้าท่ีองค์กรภาคเอกชนท่ีรวมตัว กันอย่างถูกกฎหมายมากขึ้น (๓) ภาคชมุ ชน วัดจากจานวนชมุ ชนทม่ี ีส่วนร่วมในการบริหารจัดการการทอ่ งเทีย่ วเพม่ิ ขนึ้ ๗.๓ ขีดความสามารถในการแขง่ ขนั ดา้ นการทอ่ งเท่ียวเพม่ิ ข้ึน (๑) ขีดความสามารถในการแขง่ ขนั ดา้ นการท่องเทยี่ วอยใู่ น ๒๕ อันดับแรกของโลก จากอันดับ ท่ี ๓๕ ในปัจจบุ ัน (๒) อย่ใู น ๗ อันดบั แรกของภมู ิภาคเอเชียแปซิฟกิ จากอันดับท่ี ๑๐ ในปัจจุบนั
รายงาน วาระพัฒนา : การพฒั นาด้านการท่องเทีย่ ว* สถานการณ์และปญั หาการทอ่ งเที่ยว ๑. สถานการณ์และความสาคญั ของอุตสาหกรรมท่องเทยี่ ว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหน่ึงในตัวขับเคลื่อนที่สาคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยสามารถสรุปสถานการณ์และ ความสาคัญของอุตสาหกรรมทอ่ งเทีย่ วไทยได้ ดงั นี้ ๑.๑ ประเทศความสาคญั ต่อผลิตภณั ฑ์มวลรวมใน (Gross Domestic Product; GDP) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มนี กั ท่องเทย่ี วเดินทางท่องเท่ียวระหว่างประเทศท่ัวโลกสูงถึง ๑,๐๘๗ ล้านคน เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า ๑ ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพ่ิมขึ้นร้อยละ ๕ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งน้ี การทอ่ งเทย่ี วในภูมภิ าคเอเชียแปซิฟิกสร้างรายได้คิดเป็นร้อยละ ๓๑ ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั่วโลก เป็น รองเพียงทวีปยุโรป (ร้อยละ ๔๒.๒) เท่านั้น อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในแง่การเติบโตแล้ว ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเปน็ ภมู ิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีอัตราการเติบโตของจานวนนักท่องเท่ียวและรายได้จากการท่องเท่ียวถึงร้อยละ ๖.๒ และ ๘.๒ ตามลาดับ (UNWTO ๒๐๑๔) จากการจัดอันดับในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเทศไทยมีนักท่องเท่ียวต่างชาติเดินทางมาเท่ียวมาก เป็นอันดับที่ ๑๐ ของโลก และเป็นอันดับท่ี ๒ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรองจากประเทศจีน มีอัตราการ เติบโตร้อยละ ๑๘.๘ และมีรายได้จากการท่องเท่ียวมากเป็นอันดับท่ี ๗ ของโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๓.๑ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเปน็ อันดับท่ี ๓ ของภมู ภิ าคเอเชียแปซิฟิกรองจากประเทศจีนและมาเก๊าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของนักท่องเท่ียวและรายได้จากการท่องเที่ยวสูงท่ีสุดในกลุ่ม ๑๐ อันดบั แรกดงั กล่าวท้งั น้ี (UNWTO ๒๐๑๔) * รายงานนี้จัดทาโดยคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยวและ บริการ โดยได้ผา่ นความเห็นชอบของสภาปฏริ ปู แห่งชาติเมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และได้จัดส่งคณะรัฐมนตรี เม่ือ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๘
- ๑๕ - ตารางที่ ๑ ประเทศที่มีจานวนนกั ท่องเที่ยว และรายได้จากนักทอ่ งเท่ียวต่างชาตมิ ากท่ีสุดในโลก ๑๐ อนั ดบั ที่มา: UNWTO (๒๐๑๔) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย ๒๖.๕๕ ล้านคน สร้าง รายได้ใหก้ ับประเทศเป็นจานวนถงึ ๑.๑๗ ล้านล้านบาท ในขณะเดยี วกัน มคี นไทยเดนิ ทางท่องเท่ียวในประเทศ กว่า ๑๖๑.๗๒ ล้านคร้ัง คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดข้ึนกว่า ๖.๖๑ แสนล้านบาท และในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีนักท่องเท่ียวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย ๒๔.๗๘ ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศไทยกว่า ๑.๑๕ ล้านล้านบาท (กรมการท่องเท่ียว ๒๕๕๘ก) นับเป็นภาคเศรษฐกิจท่ีมีสัดส่วนและความสาคัญของไทยเป็น อย่างมาก โดยรายได้จากนักท่องเท่ียวต่างชาติมีสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ ๑๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศ (GDP) ในขณะท่ีรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ ๔ ของ GDP ซ่ึงรายได้ที่เกิด จากการท่องเที่ยวน้ีมีการรั่วไหลออกจากระบบเศรษฐกิจน้อย เน่ืองจากมีสัดส่วนจากวัตถุดิบนาเข้า (Import Content) ต่าและก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมท่ีเก่ียวเนื่องกับการท่องเที่ยวอีกมาก จากการประมาณ การของ World Travel & Tourism Council (๒๐๑๔) พบว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การท่องเท่ียวมีส่วนใน ผลติ ภัณฑ์มวลรวมของประเทศคดิ เปน็ ถึงร้อยละ ๒๐.๒ (ทางตรงรอ้ ยละ ๙.๐ และทางอ้อมร้อยละ ๑๑.๒) และ คาดวา่ จะเพมิ่ เปน็ ร้อยละ ๒๒.๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๗
- ๑๖ - รปู ที่ ๑ สัดส่วนมูลคา่ ที่เกิดจากภาคการทอ่ งเทย่ี วต่อผลิตภณั ฑ์มวลรวมของประเทศ ที่มา World Travel & Tourism Council (๒๐๑๔) นอกจากนี้ จากการคาดการณ์ของ UNWTO (๒๐๑๔) แสดงให้เห็นว่า ในช่วง ๑๕ ปีข้างหน้านี้ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคท่ีมีอัตราการเติบโตของการท่องเท่ียวสูงท่ีสุดในโลก โดยเฉพาะภูมิภาค เอเชยี ตะวนั ออกและเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ทงั้ น้ี หากประเทศไทยมีอตั ราการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทรี่ อ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี๑ ประเทศไทยจะมนี ักทอ่ งเทยี่ วต่างชาติเกนิ ๑๐๐ ลา้ นคน ในอกี ไม่เกิน ๒๐ ปขี า้ งหนา้ รูปท่ี ๒ คาดการณ์จานวนนกั ท่องเท่ยี วในภมู ิภาคตา่ ง ๆ ทัว่ โลก ท่มี า: UNWTO (๒๐๑๔) ๑ ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๕๗ ประเทศไทยมีอตั ราการเตบิ โตของจานวนนักท่องเทยี่ วตา่ งชาติรอ้ ย ละ ๑๕ ตอ่ ปี
- ๑๗ - ๑.๒ ความสาคญั ต่อการจ้างงาน (Employment) ปัจจุบันอุตสาหกรรมท่องเท่ียวสร้างการจ้างงานโดยตรงให้กับธุรกิจท่องเที่ยวประมาณ ๒.๖ ล้านอัตรา และการจา้ งงานทางอ้อมในอุตสาหกรรมที่เก่ยี วเน่อื งอีก ๓.๔ ลา้ นอตั รา รวมเป็นการจ้างงานท้ังหมด ถึงกว่า ๖ ล้านอัตรา คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๔ ของการจ้างงานท้ังหมดในประเทศ และคาดว่าจะเพ่ิมเป็นร้อยละ ๒๐.๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ รูปท่ี ๓ การจ้างงานและสัดส่วนการจา้ งงานในด้านการทอ่ งเท่ียวต่อการจ้างงานท้งั ประเทศ ทีม่ า World Travel & Tourism Council (๒๐๑๔) ๑.๓ สถานการณก์ ารท่องเท่ียวกบั การกระจายรายได้ (Income Distribution) อุตสาหกรรมท่องเท่ียวเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างการกระจายรายได้ที่ดี เน่ืองจาก นกั ท่องเท่ยี วจะจับจ่ายใช้สอยยังพื้นท่ีท่องเที่ยวน้ัน ๆ โดยตรง ส่งผลให้ประชาชนในพ้ืนที่มีความอยู่ดีกินดีมาก ขึ้น อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงการกระจายตัวของนักท่องเท่ียวไปยังจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยจะพบว่า การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดและแหล่งท่องเท่ียวท่ีสาคัญเท่านั้น โดยเฉพาะการ กระจุกตัวของนักท่องเท่ียวชาวต่างชาติ จากข้อมูลนักท่องเท่ียวรายจังหวัดในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ พบว่า มีเพียง ๙ จงั หวดั ที่มนี ักทอ่ งเที่ยวตา่ งชาตเิ กิน ๑ ล้านคน ได้แก่ กรุงเทพ ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ สงขลา กระบี่ อยุธยา และพังงา และจงั หวัดท่ีมนี ักท่องเท่ยี วตา่ งชาติมากทสี่ ดุ ๑๐ อันดบั แรก มีนักท่องเที่ยวรวมกันถึง กวา่ ร้อยละ ๘๕ ของนักท่องเที่ยวตา่ งชาติทง้ั ประเทศ และในขณะทคี่ ่าเฉล่ยี นักท่องเท่ียวต่างชาติของทุกจังหวัด ทั่วประเทศมีประมาณ ๗ แสนคน แต่มีเพียง ๑๑ จังหวัดแรกที่มีนักท่องเท่ียวมากกว่า ๗ แสนคน (กรมการท่องเท่ียว ๒๕๕๘ก) (ภาคผนวก ข) ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยแม้ว่าจะมีการเดินทางถึงกว่า ๑๖๑ ล้านครั้ง แต่เป็นการ ท่องเที่ยวอยู่ใน ๑๐ จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยสูงสุดเท่านั้นถึงประมาณ ๗๖ ล้านครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๙๓ ของการท่องเที่ยวในประเทศ และมีเพียง ๒๒ จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวสูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อจังหวัดของ นักทอ่ งเท่ยี วชาวไทยท้งั ประเทศท่ีเท่ากับ ๒.๑ ล้านคร้ังต่อจังหวัด (กรมการท่องเที่ยว ๒๕๕๘ก) การกระจุกตัว
- ๑๘ - ของนักท่องเที่ยวน้ีส่งผลกระทบให้แหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรมและเกิดปัญหาต่าง ๆ ท้ังปัญหาสิ่งแวดล้อมและ ปัญหาสังคมตามมามากมาย ตารางที่ ๒ จงั หวัดท่ีมนี ักท่องเทีย่ วต่างชาติและนักท่องเท่ยี วชาวไทยสูงที่สุด ๑๐ อนั ดบั แรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นกั ทอ่ งเทยี่ วตา่ งชาติ นักท่องเทีย่ วชาวไทย จังหวดั จานวน สดั ส่วน จงั หวดั จานวน สดั ส่วน (ร้อยละ) (ร้อยละ) ๑๙.๗๘ กรุงเทพ ๑๘,๕๘๐,๘๕๕ ๓๓.๕๕ กรงุ เทพ ๓๑,๙๘๘,๐๔๗ ๔.๑๓ นครราชสมี า ๖,๖๗๗,๑๔๒ ๓.๗๔ ภูเก็ต ๘,๓๙๕,๙๒๑ ๑๕.๑๖ กาญจนบรุ ี ๖,๐๔๙,๔๖๒ ๓.๒๐ ระยอง ๕,๑๖๙,๙๑๙ ๓.๐๖ ชลบุรี ๗,๒๑๖,๑๐๕ ๑๓.๐๓ เพชรบรุ ี ๔,๙๔๗,๘๔๔ ๒.๙๔ เชยี งใหม่ ๔,๗๔๗,๘๘๗ ๒.๘๓ สุราษฏรธ์ านี ๒,๗๐๘,๑๑๐ ๔.๘๙ อยุธยา ๔,๕๖๙,๗๘๕ ๒.๘๐ ชลบุรี ๔,๕๒๐,๓๘๓ ๒.๒๖ เชยี งใหม่ ๒,๓๔๑,๙๐๕ ๔.๒๓ สระบรุ ี ๓,๖๕๘,๐๘๗ ๒.๒๐ ภูเกต็ ๓,๕๖๔,๑๒๓ ๔๖๙๓. สงขลา ๒,๒๑๒,๒๔๘ ๓.๙๙ รวมอนั ดับ ๑๑๐- ๗๕๖๗๙,๘๙๒, ๑๐๐๐๐. รวมทง้ั ประเทศ ๑๖๑๖๘๘,๗๒๔, กระบ่ี ๑,๙๙๕,๙๙๑ ๓.๖๐ อยธุ ยา ๑,๖๕๖,๖๓๙ ๒.๙๙ พังงา ๑,๓๒๔,๗๗๒ ๒.๓๙ ประจวบ ๙๑๖,๕๒๖ ๑.๖๕ รวมอนั ดบั ๑๑๐- ๔๗๐๗๒,๓๔๙, ๘๕๔๙. รวมทงั้ ประเทศ ๕๕๗๕๒,๓๘๗, ๑๐๐๐๐. ทีม่ า: ปรบั ปรงุ จากกรมการทอ่ งเท่ียว (ก๒๕๕๘) นอกจากการกระจกุ ตัวของนักท่องเที่ยวจะทาให้เกิดความเส่ือมโทรมของส่ิงแวดล้อมและความ แออัดแลว้ ผลประโยชน์ท่ีเกิดจากการท่องเที่ยวก็กระจุกตัวอยู่ในบางพ้ืนที่เท่านั้น จากข้อมูลในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเทศไทยมรี ายไดจ้ ากการทอ่ งเท่ียวจากทง้ั ชาวไทยและตา่ งชาติ ๑.๕ ลา้ นลา้ นบาท คิดเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ ๒ หม่ืนล้านบาท/จังหวัด แต่หากพิจารณาการกระจายตัวของรายได้จากการท่องเท่ียวในแต่ละจังหวัด แล้วพบว่ามีเพียง ๑๐ จังหวัดท่ีมีรายได้จากการท่องเท่ียวมากกว่า ๒ หมื่นล้านบาทเท่าน้ัน โดย ๑๐ จังหวัด ที่มีรายได้สูงสุด มีรายได้ถึงร้อยละ ๘๓.๕๔ ของรายได้จากการท่องเท่ียวทั้งประเทศ (กรมการท่องเท่ียว ๒๕๕๘ก) การกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวแสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวไม่ได้ถูกใช้ เป็นเครอื่ งมอื ในการกระจายรายได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
- ๑๙ - ตารางท่ี ๓ จงั หวัดที่มรี ายได้จากการท่องเท่ียวสูงท่ีสดุ ๑๐ อนั ดับแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จังหวัด รายไดจ้ ากการท่องเทย่ี ว (ลา้ นบาท) สดั ส่วนต่อทงั้ ประเทศ (รอ้ ยละ) ๔๐.๙๒ กรุงเทพ ๖๒๖,๕๓๕ ๑๗.๐๑ ๗.๒๖ ภเู ก็ต ๒๖๐,๔๔๒ ๔.๒๔ ๓.๘๒ ชลบรุ ี ๑๑๑,๑๐๙ ๓.๓๗ ๒.๔๓ กระบ่ี ๖๔,๙๗๙ ๑.๕๙ ๑.๕๔ เชียงใหม่ ๕๘,๕๕๑ ๑.๓๕ ๘๓๕๔. สุราษฏรธ์ านี ๕๑,๕๕๐ ๑๐๐๐๐. สงขลา ๓๗,๒๗๖ ประจวบ ๒๔,๓๑๗ ระยอง ๒๓,๕๔๒ เชียงราย ๒๐,๗๒๙ รวม -๑อันดับ )๑๐( ๑๐๒๘,๒๗๙, รวมทั้งประเทศ ๑๐๙๒,๕๓๑, ท่ีมา: ปรบั ปรุงจากกรมการทอ่ งเทย่ี ว (ก๒๕๕๘) ๑.๔ ผลดกี ารท่องเทีย่ วไทยในด้านอน่ื ๆ (Soft Power) อุตสาหกรรมท่องเท่ียวนอกจากจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลดีทางอ้อมอีกหลาย ประการ อาทิ การทาให้คนไทยเกิดความรักชาติ หวงแหนทรัพยากรต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึงการเผยแพร่ ประวัติศาสตร์ ศลิ ปะ วัฒนธรรม อันเป็นมรดกทีล่ ้าคา่ ของไทยไปสู่ชาวตา่ งประเทศ ๑.๕ ความสามารถในการแข่งขนั ดา้ นการท่องเทยี่ วของไทย แม้ว่าอุตสาหกรรมท่องเท่ียวของไทยจะเติบโตอย่างต่อเน่ือง มีจานวนนักท่องเท่ียวจานวน หลายล้านคนและสร้างรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศเป็นจานวนมาก แต่ขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้านการทอ่ งเท่ยี วของไทยยังคงอยู่ในระดับที่ต่า โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประเทศไทยถูกจัดอันดับความสามารถ ในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวอยู่ในอันดับที่ ๓๕ ของโลก จากทั้งหมด ๑๔๑ ประเทศ และเป็นอันดับที่ ๑๐ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และอันดับที่ ๓ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเป็นรองสิงคโปร์และมาเลเซีย (World Economic Forum, ๒๐๑๕) (ภาคผนวก ค) ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวมักจะเลือกเดินทางมาเท่ียวประเทศไทย เพราะมีราคาถูก แต่การพัฒนาการท่องเท่ียวในประเทศเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันจริงยัง มีไม่เพียงพอ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเท่ียว การพัฒนาส่ิงอานวยความสะดวก การพัฒนาด้านการดูแลความ ปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว การสร้างบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการสนับสนุนภาคเอกชนและ ภาคชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เห็นได้จากขีดความสามารถในการแข่งขันด้านความปลอดภัยอยู่อันดับท่ี ๑๓๒ ด้านความย่ังยืนของสิ่งแวดล้อมอยู่อันดับที่ ๑๑๖ ด้านการเดินทางภาคพ้ืนดินอยู่อันดับท่ี ๗๑ เป็นต้น (ภาคผนวก ค)
- ๒๐ - ตารางท่ี ๔ เปรยี บเทียบความสามารถในการแขง่ ขัน ด้านการท่องเท่ยี วของประเทศไทย ๒๕๕๖-๒๕๕๘ Thailand ๒๕๕๖ ๒๕๕๘ ๔.๗๘ Business Environment* ๔.๔๐ ๓.๗๕ ๔.๘๗ Safety and Security ๔.๔๐ ๔.๙๘ ๔.๓๔ Health and Hygiene ๔.๓๐ ๔.๙๕ ๓.๗๐ Human Resources and Labour Market ๔.๙๐ ๕.๐๖ ๓.๔๖ ICT Readiness ๒.๙๐ ๔.๕๗ ๓.๔๑ Prioritization of Travel and Tourism ๕.๐๐ ๕.๗๐ ๔.๔๗ International Openness* ๕.๔๐ ๒.๗๙ Price Competitiveness ๕.๐๐ Environmental Sustainability ๔.๓๐ Air Transport Infrastruction ๔.๖๐ Ground and Port Infrastruction ๓.๘๐ Tourist Service Infrastruction ๕.๒๐ Natural Resources ๔.๙๐ Cultural Resources and Business Travel ๓.๖๐ หมายเหตุ * หมายถงึ การตัง้ ชื่อและแบ่งหวั ข้อใน ๒ ปที ่ไี ม่ตรงกัน แตเ่ นอ้ื หาหลักแสดงสิ่งเดียวกัน ทม่ี า: ปรับปรงุ จากข้อมลู ของ WEF (๒๐๑๕, ๒๐๑๓)
- ๒๑ - รปู ท่ี ๔ ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย เมอ่ื เทียบกับสิงคโปรแ์ ละมาเลเซีย Cultural Resources and Business Environment Business Travel 7 Safety and Security 6 Natural Resources 5 Health and Hygiene 4 Tourist Service Infrastruction 3 Human Resources and Thailand 2 Labour Market Singapore 1 Malaysia 0 Ground and Port ICT Readiness Infrastruction Air Transport Infrastruction Prioritization of Travel and Tourism Environmental Sustainability International Openness Price Competitiveness ทมี่ า: ปรับปรุงข้อมลู ของ WEF (2015) ๒. ปญั หาโครงสรา้ งอุตสาหกรรมทอ่ งเท่ียว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยัง ประสบกับปัญหาหลายประการตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ซ่ึงสามารถสรุปเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ทีส่ าคญั ได้ ๖ ประการ ดังนี้ ๒.๑ แหลง่ ทอ่ งเท่ยี วไมเ่ พยี งพอ ขาดประสิทธิภาพการบรหิ ารจัดการ และเสือ่ มโทรม (๑) จานวนแหล่งท่องเที่ยวไม่เพียงพอ จากการเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็วของจานวนนักท่องเที่ยว รวมท้ังยังเกิดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในหัวเมืองท่องเท่ียวหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ โดยช่วง ๕ ปีท่ีผ่านมา ๕ จังหวัดดังกล่าวมีอัตราเติบโตเฉล่ียร้อยละ ๑๖.๒ ต่อปี ในขณะทจี่ านวนแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วมีการเพิ่มขนึ้ เพียงเล็กนอ้ ยเท่านั้น (๒) การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวขาดประสิทธิภาพ จากการขาดการวางแผน กากับ ดูแล การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว และการกาหนดขีดความสามารถในการรองรับ (Carrying Capacity) รวมถึง การบังคับใช้มาตรการในการกากับดูแล และการลงโทษตามข้อกาหนด โดยเฉพาะในแหล่งท่องเท่ียวอนุรักษ์ ทาให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยวตามมา ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีนักท่องเท่ียวเข้าอุทยานแห่งชาติอินทนนท์ถึงกว่า ๘ หม่ืนคน ในขณะที่อุทยานฯสามารถรองรับนักท่องเท่ียว ไปกลับได้เพียง ๒,๕๐๐ คน และค้างคืนได้ ๘๐๐ คนเท่านั้น และอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีนักท่องเที่ยว
- ๒๒ - เกินกว่าขีดความสามารถในการรองรับ ซึ่งเห็นได้ชัดจากความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการังและระบบนิเวศ บนเกาะทลี่ ดลง (๓) ความเส่อื มโทรมของแหลง่ ทอ่ งเทีย่ ว จากการสารวจสถานภาพของแหล่งท่องเที่ยว ๒,๑๕๔ แห่ง จาแนกตามมาตรฐานของแหล่งท่องเท่ียว โดยกรมการท่องเท่ียวในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ พบว่า มีแหล่ง ทอ่ งเทย่ี วเสอื่ มโทรมท่ตี ้องเรง่ พัฒนาอย่างเรง่ ดว่ นถึง ๑๓๘ แหล่ง เปน็ แหล่งท่องเท่ียวธรรมชาติ ๕๐ แห่ง แหล่ง ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ ๓๘ แห่ง และแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม ๒๑ แห่ง (กรมการท่องเท่ียว ๒๕๕๒) และ จากการจดั อันดบั ขดี ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวด้านต่างๆ โดย World Economic Forum ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘๒ คะแนนความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืนของสภาพแวดล้อมของไทยได้คะแนน เพยี ง ๓.๕ (จาก ๗) และถูกจัดอยใู่ นอันดบั ท่ี ๑๑๖ ของโลก (ภาคผนวก ค) ๒.๒ การคมนาคมและการเข้าถึงแหลง่ ทอ่ งเที่ยวขาดคณุ ภาพและมาตรฐานและมีไมเ่ พยี งพอ (๑) ความสามารถในการแข่งขันการคมนาคมทางบกและทางน้าอยู่ในระดับต่า โดยประเทศ ได้คะแนนเพียง ๓.๔๑ จากคะแนนเต็ม ๗ เป็นอันดับที่ ๗๑ จาก ๑๔๑ ประเทศท่ัวโลก (ภาคผนวก๒) แม้ว่า การคมนาคมภายในประเทศโดยรวมจะมีความสะดวกสบายข้ึนมาก โดยเฉพาะการเติบโตของสายการบิน ต้นทุนต่าก็ตาม นอกจากนี้ความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพของเครือข่ายการขนส่งทางบกก็ยังอยู่ใน ระดบั ต่ามาก คือ ลาดบั ที่ ๙๔ ของโลก (๒) การคมนาคมภายในแหล่งท่องเที่ยวไม่เพียงพอและขาดการกากับดูแลมาตรฐาน เห็นได้ชัด จากระบบขนส่งสาธารณะในหัวเมืองท่องเท่ียวหลัก เช่น ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่ระบบไม่มีมาตรฐานและ เพียงพอตอ่ จานวนนกั ท่องเทย่ี ว ซึง่ เป็นปัจจยั หนง่ึ ทที่ าใหเ้ กิดการหลอกลวงนักทอ่ งเทยี่ วตามมา จากการสารวจความพอใจของนักท่องเท่ียวต่างชาติของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ พบว่า การคมนาคมในประเทศเป็นด้านที่นักท่องเท่ียวมีความพอใจน้อยท่ีสุด และเป็นด้านเดียว ทม่ี ีคะแนนตา่ กว่า ๓ (จาก ๕) ในทุกไตรมาส ๒.๓ ส่งิ อานวยความสะดวกพ้ืนฐานทางการทอ่ งเท่ียวไมเ่ พียงพอ ส่ิงอานวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว ได้แก่ ห้องน้าสะอาด ป้ายบอกทาง ข้อมูลการ ทอ่ งเทีย่ ว รวมทงั้ โครงสรา้ งพ้ืนฐานท่ีจาเป็นตอ่ การทอ่ งเท่ียวมีไม่เพียงพอต่อจานวนนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการ พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีจะช่วยอานวยความสะดวกในการท่องเที่ยวต่างๆ ยังขาดประสิทธิภาพในการ จดั ทาระบบฐานข้อมูลแหล่งท่องเท่ียวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวให้นักท่องเท่ียวได้รับรู้ ซึ่งจะมีผล ตอ่ การตัดสินใจเลอื กเดินทางของนักท่องเท่ยี ว ๒ คะแนนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวท่ีอ้างถึงในรายงายฉบับน้ีเป็นข้อมูลท่ี จัดทาโดย World Economic Forum ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ (รายละเอียดในภาคผนวก ค)
- ๒๓ - ๒.๔ บรกิ ารดา้ นการท่องเทย่ี วขาดมาตรฐาน ผดิ กฎหมาย และประสบปญั หากบั ดักราคา (๑) ขาดการกากบั ดูแลมาตรฐานการให้บริการ อาทิ ด้านโรงแรมและทพ่ี กั ด้านร้านอาหาร และ ด้านการขนส่ง แม้ว่ากรมการท่องเที่ยวได้จัดทามาตรฐานการให้บริการประเภทต่างๆ เช่น โรงแรมและรีสอร์ท เรือภัตตาคาร บริการอาหารฮาลาล ศูนย์การค้า ภายใต้ “มาตรฐานการท่องเที่ยวไทย” แต่โดยโครงสร้าง การทางานที่กรมการท่องเที่ยวทาหน้าที่ท้ังเป็นผู้กาหนดและกากับมาตรฐาน (Regulator) และผู้ตรวจรับรอง มาตรฐาน (Operator) เอง ก่อให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์อันนามาซ่ึงการไม่ยอมรับในมาตรฐาน คล้ายคลึงกับกรณีมาตรฐานการบินพลเรือนท่ีประเทศไทยกาลังประสบปัญหาโดนสั่งห้ามเท่ียวบินตรงบินไป บางประเทศ (๒) การหลีกเลีย่ งกฎหมายของผู้ประกอบการ เพอ่ื หลีกเลยี่ งภาระคา่ ใช้จา่ ยท่ีเกิดจากข้อกาหนด ของรัฐ ทาให้การกากับดูแลมาตรฐานและการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นไปได้ยาก และไม่สามารถ ควบคุมอุปทานของบริการด้านการท่องเที่ยวได้ โดยในปัจจุบันมีโรงแรมผิดกฎหมายจานวนมากทั่วประเทศ โดยเฉพาะในแหล่งท่องเท่ียวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา เกาะสมุย หัวหิน-ชะอา และเชียงใหม่ ซึ่งมี สัดส่วนหอ้ งพักท่ีไม่ไดจ้ ดทะเบยี นถกู ต้องตามกฎหมายที่สูงมาก (๓) การแข่งขันดา้ นราคาของสินค้าทางการท่องเที่ยว ทาให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว ของประเทศติดกับดักราคา โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรมและท่ีพัก ซึ่งยืนยันได้จากผลการสารวจข้อมูลราคา โรงแรมเปรียบเทียบ ๖๘ ประเทศทั่วโลก จากการเข้าพักของนักท่องเที่ยวอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ พบว่า ประเทศไทยอยู่ในลาดับที่ ๕๙ โดยมีอัตราค่าที่พักต่อคืนเพียง ๖๘ ปอนด์ ต่ากว่าประเทศคู่แข่งทางการ ท่องเที่ยวในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ (๙๗ ปอนด์) ญี่ปุ่น (๙๔ ปอนด์) ไต้หวัน (๙๓ ปอนด์) อินโดนีเซีย (๙๑ ปอนด์) มาเลเซีย (๘๔ ปอนด์) จีน (๗๘ ปอนด์) อินเดีย (๗๖ ปอนด์) และมีราคาเท่ากับฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะราคาสาหรับโรงแรม ๔ ดาวนั้นต่าเพียงแค่ ๗๐ ปอนด์ ซ่ึงเกือบจะต่าท่ีสุดเม่ือเทียบกับทั่วโลก ส่วนราคาโรงแรม ๓ ดาว และ ๒ ดาว เท่ากับ ๓๕ ปอนด์ และ ๒๒ ปอนด์ ตามลาดับ นอกจากนี้ยังพบว่า ราคาโรงแรมและท่ีพักในเชียงใหม่ลดลงถึงร้อยละ ๑๒ นับเป็นเมืองที่มีอัตราลดลงสูงสุดเป็นอันดับ ๔ อีกด้วย (Hotel.com ๒๐๑๔) (ภาคผนวก ง) ๒.๕ บคุ ลากรทางการทอ่ งเทยี่ วไมเ่ พยี งพอทั้งเชิงคุณภาพ ปริมาณ และมรี ายได้ต่า (๑) บุคลากรขาดประสบการณ์และทักษะท่ีจาเป็นต่อการพัฒนาการท่องเท่ียว เช่น ทักษะ ทางดา้ นภาษาและการให้บรกิ าร โดยมีคะแนนความสามารถในการแข่งขันด้านบุคลากร ๕.๐ คะแนน (จาก ๗) และอยู่ในอันดับที่ ๒๙ ของโลก ทั้งนี้ได้มีทาข้อตกลงรวมกันในการกาหนดมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานของ บุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวภายในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ ASEAN MRA on Tourism Professionals จะเป็นปัจจัยสาคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาแรงงานและความสามารถในการแข่งขันด้านแรงงานของประเทศ ในอนาคตอนั ใกล้ ทาใหบ้ ุคลากรท่ีผา่ นมาตรฐานสามารถทางานภายในประเทศสมาชกิ อนื่ ๆ ได้ (๒) บุคลากรมแี นวโน้มขาดแคลน เช่น มัคคเุ ทศก์ พนกั งานขับรถ โดยในปีพ.ศ.๒๕๕๔ ประเทศ ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ ๑๙ ล้านคน มีมัคคุเทศก์ท้ังหมดประมาณ ๕๕,๐๐๐ คน แต่ในปัจจุบัน
- ๒๔ - มมี คั คุเทศกจ์ นี กลางประมาณ ๙,๘๐๐ คน เพ่ิมข้นึ ร้อยละ ๕๐ ในขณะท่ีนักท่องเท่ียวชาวจีนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ ๒๐๐ ในชว่ งเวลาเดียวกนั (กรมการทอ่ งเที่ยว ๒๕๕๘ข) นอกจากน้ี การท่ีประเทศไทยกาลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีกาลังแรงงานลดลงในขณะท่ีการท่องเท่ียวเติบโตข้ึนอย่างรวดเร็ว ย่ิงจะทาให้ปัญหาการขาดแคลน บุคลากรมีความสาคญั มากยิ่งข้นึ ในอนาคต (๓) รายได้ของบุคลากรด้านการท่องเท่ียวอยู่ในระดับต่า เม่ือเปรียบเทียบกับสาขาพาณิชย์ กรรมอ่ืน ๆ เน่ืองจากผู้ประกอบการประสบปัญหากับดักราคา เช่น ราคาห้องพักต่า ซึ่งเกิดจากการแข่งขัน อย่างรุนแรงในการให้บริการการท่องเที่ยว ทาให้ไม่เกิดแรงจูงใจให้แรงงานเข้ามาทางานในสาขาท่องเที่ย ว อย่างเพยี งพอ โดยจากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ (๒๕๕๗) พบว่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อ เดือนของพนักงานประจาในสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารอยู่ในระดับต่าที่สุดเมื่อเทียบกับ ภาคเศรษฐกจิ อ่ืนๆ และเปน็ ภาคเศรษฐกจิ ทม่ี คี า่ ตอบแทนต่ากวา่ ภาคอนื่ ๆ ในทกุ ระดบั ตาแหนง่ (ภาคผนวก จ) ๒.๖ ปัญหาความปลอดภยั ในการท่องเทยี่ ว และการหลอกลวงนกั ท่องเทย่ี ว (๑) ปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยว เช่น ผู้ให้เช่าสคู้ตเตอร์บริเวณชายหาด มัคคุเทศก์ หลอกลวงไปซื้อของ หรอื สินคา้ ทีไ่ ม่ได้มาตรฐาน เชน่ เครื่องประดับ (๒) กลไกในการดูแลความปลอดภัยและการตอบสนองช่วยเหลือนักท่องเท่ียวท่ีไม่ชัดเจนและ ไม่ทันทว่ งที และความหละหลวมของการบังคบั ใชก้ ฎหมายตา่ งๆ ท่เี กี่ยวข้องกบั การดแู ลความปลอดภัย (๓) ปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว เน่ืองจากภัยธรรมชาติ และ ความไม่มนั่ คงทางการเมืองของประเทศ ๓. สาเหตุของปญั หา ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยมีสาเหตุหลักจาก (๑) วิสัยทัศน์ในการ พฒั นาการทอ่ งเที่ยวท่เี น้นเปา้ หมายดา้ นคุณภาพยงั ไม่สมั ฤทธผ์ิ ล และ (๒) โครงสร้างการบริหารจัดการด้านการ ท่องเท่ียว โดยมรี ายละเอียดดงั นี้ ๓.๑ วสิ ยั ทัศนใ์ นการพัฒนาการท่องเทย่ี วทเ่ี นน้ เปา้ หมายดา้ นคุณภาพยงั ไม่สมั ฤทธ์ผิ ล การพัฒนาการท่องเท่ียวของประเทศเน้นมุ่งเป้าหมายไปที่การเติบโตของจานวนนั กท่องเท่ียว และรายได้จากการท่องเทย่ี วเป็นหลัก ซง่ึ เปน็ การเตบิ โตทเ่ี น้นปรมิ าณเป็นหลัก ทาให้การท่องเท่ียวของประเทศ ขาดคณุ ภาพ และมปี ระเด็นสาคัญทางการท่องเทย่ี วบางด้านทีไ่ ม่ได้ถูกให้ความสาคัญอย่างเพียงพอ หรืออาจจะ มอี ยใู่ นแผนแต่ขาดการดาเนนิ งาน เช่น (๑) การกาหนดทศิ ทางในการพัฒนาและกาหนดกลุ่มเป้าหมายนกั ท่องเทยี่ วอยา่ งชัดเจน (๒) การคานึงถงึ การกระจายรายได้ท่เี กดิ จากการทอ่ งเที่ยวไปยังพน้ื ที่ต่าง ๆ (๓) การคานึงถึงผลกระทบที่เกิดข้ึนจากการท่องเที่ยวต่อทั้งสังคมและส่ิงแวดล้อม อย่างรอบคอบ โดยแม้ว่าประเด็นผลกระทบเหล่านี้จะปรากฏในแผนต่างๆ แต่ยังได้รับความสาคัญน้อยกว่า การเพม่ิ จานวนและรายได้นกั ทอ่ งเทีย่ ว และยังขาดการผลกั ดันไปสู่การดาเนนิ งานจริง
- ๒๕ - ท้ังน้ี การพัฒนาโดยเน้นจานวนนักท่องเที่ยวดังที่เคยเป็นมาทาให้เกิดการกระจุกตัวของ นักท่องเท่ียวส่งผลให้แหลง่ ทอ่ งเท่ียวทีม่ ีอยู่เสอ่ื มโทรม และยงั มผี ลต่อทง้ั สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในประเทศ เป็นอย่างมาก ทาให้การพัฒนาการท่องเที่ยวไม่ได้ถูกใช้เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืนและทั่วถึง ตามทีค่ วรจะเปน็ ๓.๒ การบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การส่งเสริมเอกชนและ ภาคเอกชนใหเ้ ขม้ แข็ง และการมสี ว่ นร่วมของชุมชนในการจดั การท่องเท่ียวมีประสิทธภิ าพไม่เพียงพอ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักท่ีมีหน้าท่ีดูแลการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยมี การทางานร่วมกับหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องอ่ืน แต่ยังไม่สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถ สรปุ ปญั หาหลกั ๆ คอื (๑) ปัญหาบูรณาการการทางานร่วมกันระหว่างหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับการกาหนดแผนและ การนาแผนไปปฏิบัติ ปัจจุบันมีการต้ังคณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ตามพระราชบญั ญัตินโยบายการท่องเทยี่ วแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ เพือ่ กาหนดนโยบายการท่องเท่ียวให้เป็นไปใน ทิศทางเดียวกัน แต่ ท.ท.ช. ยังขาดอานาจและบทบาทอย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถเช่ือมโยงนโยบาย ใหไ้ ปสแู่ ผนและการปฏบิ ัติ โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ได้ (๒) การจัดการการแหล่งท่องเที่ยวขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ มีความหลากหลายและอยู่ภายใต้การกากับดูแลของหลายหน่วยงาน และบางแหล่งท่องเท่ียวมีหน่วยงาน ท่ีมีอานาจในการดูแลรับผิดชอบหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น ทาให้การบริหารจัดการแหล่งท่องเท่ียวทาได้ ยาก (๓) ปัญหาการทับซ้อนของภารกิจระหว่างหน่วยงานภาครัฐ การท่องเที่ยวเป็นภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วย ท้ังที่อยู่และที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกากับดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา เช่น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเท่ียวอย่างยั่งยืน (อพท.) สานักงานส่งเสริม การจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จากัด (ดูแล Thailand Elite) เป็นต้น ซึ่งพบว่าการกาหนดภารกิจตลอดจนอานาจหน้าท่ีของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวยังมีความไม่ชัดเจน และมีลักษณะที่ทับซ้อนกัน ทาให้ผู้ที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเกิดความสับสน เช่น ททท. และ สสปน. ที่มีภารกิจหน้าที่ทบั ซ้อนกนั ในดา้ นการตลาด หรือระหว่าง กรมการท่องเที่ยว และ อพท. ท่ีมีหน้าที่ในด้านการ พัฒนา เป็นต้น (๔) บทบาทการดาเนินงานของหน่วยงานในการกากับดูแลมาตรฐานไม่ชัดเจน จากการไม่แยก หน้าที่การกาหนดและกากับมาตรฐาน (Regulator) และการตรวจรับรอง (Operator) ออกจากกัน ทาให้การ ดาเนินงานและกากับตรวจสอบไม่มปี ระสทิ ธิภาพ และไม่เป็นทีย่ อมรบั ตามมาตรฐานสากล (๕) ขาดการพัฒนาดา้ นอุปทานให้เพียงพอกับการเติบโตของอุปสงค์ หากพิจารณางานด้านการ ท่องเที่ยวโดยแบ่งเป็นงานด้านอุปสงค์ เช่น การเพ่ิมจานวนนักท่องเท่ียว การตลาด การประชาสัมพันธ์ และ
- ๒๖ - ด้านอปุ ทาน เชน่ การพัฒนาแหลง่ ทอ่ งเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐาน การให้บริการ การบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ จะพบว่าการดาเนินงานของหน่วยงานด้านการท่องเท่ียวส่วนใหญ่มุ่งไปที่เพิ่มอุปสงค์ แต่ ขาดการพัฒนาด้านอุปทานให้ทันกับการเติบโตของอุปสงค์ท่ีเพิ่มข้ึน เช่น การประชาสัมพันธ์ท่ีไม่สอดคล้องกับ ความเหมาะสมและข้อจากัดของแหล่งท่องเที่ยวท่ีมี ทาให้เกิดปัญหาแหล่งท่องเที่ยวมีไม่เพียงพอและมีสภาพ เส่อื มโทรม ซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ ความสามารถในการแขง่ ขนั ของประเทศในระยะยาว (๖) ขาดหน่วยงานที่ทาหน้าที่อีกหลายด้าน โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ที่จาเป็นในการ พัฒนาการทอ่ งเทย่ี วของประเทศ ซ่ึงองคค์ วามรูใ้ นด้านการท่องเที่ยวน้ีมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการกาหนด แนวทางการพัฒนาการท่องเท่ียว การดาเนินงานของภาคส่วนต่างๆ และการติดตามตรวจสอบให้เป็นไปอย่าง เหมาะสม (๗) ขาดหน่วยงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งภาคเอกชนและภาคชุมชน เพอ่ื พัฒนาอุปทานการท่องเท่ยี วอย่างจรงิ จงั (๘) หน่วยงานภาครัฐด้านการท่องเที่ยวขาดบุคลากรที่มีความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน เพราะใน ช่วงแรกของการก่อต้ังกระทรวงฯ เน้นเร่ืองโครงสร้างมากกว่าเร่ืองบุคลากร ในการปฏิรูประบบราชการช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้กาหนดบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (อปท.) มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการท่องเท่ียว ด้วย แต่บคุ ลากรของ อปท. ในหลายพื้นที่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนและให้องค์ความรู้ในการบริหารจัดการด้าน การท่องเท่ียวอย่างเพยี งพอ (๙) การจัดสรรบุคลากรของหน่วยงานต่าง ๆ ขาดความสมดุล เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ททท. ซึ่งทาหน้าท่ีด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาดมีกาลังคนประมาณ ๑,๐๐๐ คน ในขณะที่กระทรวง การท่องเท่ียวและกีฬาซ่ึงดูแลด้านการพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว สินค้าและบริการ และบุคลากรด้านการ ท่องเทย่ี วเป็นหลักมีกาลงั คนด้านการทอ่ งเท่ียวเพียงประมาณ ๕๐๐ คน (๑๐) ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยว การพัฒนาการท่องเที่ยวของ ประเทศไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาแบบบนลงล่าง (Top-down) แต่ยังขาดการมีส่วนร่วมและการ จัดการการท่องเที่ยวในระดับพื้นท่ีแบบล่างขึ้นบน (Bottom-up) อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการมีส่วน ร่วมของภาคเอกชนและชมุ ชนที่ยังขาดบทบาทอยา่ งเปน็ รปู ธรรม ปัญหาการบริหารจัดการเชิงโครงสร้างเหล่าน้ี ทาให้การทางานด้านการท่องเที่ยวไม่มี ประสิทธิภาพ ขาดความคลอ่ งตัวและความยืดหยุ่น ทาให้ไม่สามารถตอบสนองการทางานและปรับตัวเพ่ือตอบ รับกับสถานการณ์การท่องเที่ยวท่ีเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที จึงมีความจาเป็นที่จะต้องได้รับการปฏิรูป โครงสร้างการบรหิ ารจัดการหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ย่งิ ข้ึน สามารถรองรบั และปรับตัวตอ่ การเปล่ียนแปลงทเี่ กิดข้ึนได้อยา่ งทนั ทว่ งที จากปัญหาและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากไม่มีการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลง แนวทางในการพัฒนาการท่องเท่ียวของไทยให้มีความพร้อมและเหมาะสม จะส่งผลกระทบต่อการท่องเท่ียว ในระยะยาว แทนที่การท่องเท่ียวจะเป็นกลจักรสาคัญในการพัฒนาประเทศและมีบทบาทในการสร้างและ
- ๒๗ - กระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น การท่องเท่ียวกลับกลายเป็นภาคเศรษฐกิจท่ีขาดความสามารถในการแข่งขันกับ ตา่ งประเทศ รวมถึงสร้างผลกระทบทางลบตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม สงั คม ชมุ ชน และประชาชนในประเทศอีกดว้ ย
- ๒๘ - ประเดน็ การปฏิรปู และพัฒนา ๑. เป้าหมายในการปฏิรปู และพัฒนา จากสถานภาพและสภาพปัญหาของอุตสาหกรรมท่องเท่ียวไทยในปัจจุบัน สามารถกาหนด แนวทางในการปฏิรูปการท่องเท่ยี วของประเทศไทย โดยมีเปา้ หมายการพัฒนาตามที่ระบุไว้ตามร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... มาตรา ๒๙๓ (๖) กาหนดให้รฐั ตอ้ งปฏิรูปเศรษฐกิจ ความว่า “ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งท่องเท่ียวคุณภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อ สิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับอัตลักษณ์และวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มรายได้แก่ประเทศและกระจายรายได้ สู่ประชาชนอย่างท่ัวถึง โดยดาเนินการอย่างมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน และบูรณาการการ ทางานรว่ มกันทง้ั ด้านแผนงานและงบประมาณ” ๒. วตั ถุประสงค์ในการปฏิรูปและพฒั นา ๒.๑ เพอื่ ใหก้ ารท่องเทีย่ วของไทยมีคุณภาพและย่ังยืน ๒.๒ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการท่องเท่ียวของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคชุมชน ซ่ึงจะส่งผลต่อการพฒั นาการท่องเท่ยี ว ๒.๓ เพื่อเพม่ิ ขดี ความสามารถในการแข่งขนั ด้านการท่องเทย่ี วให้กบั ประเทศ ๓. ประเด็นการปฏริ ูปและพัฒนา จากเป้าหมายและวัตถุประสงค์การพัฒนาข้างต้น สามารถกาหนดกรอบการปฏิรูปได้เป็น ๓ ประเดน็ ได้แก่ ๑) การปฏริ ปู วิสยั ทัศน์ของการพฒั นาการทอ่ งเท่ยี ว (Vision) ๒) การปฏิรปู การบริหารจดั การเชิงโครงสรา้ ง (Restructuring) ๓) การพฒั นาเพอื่ เพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขนั (Competitiveness) โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๓.๑. การปฏิรปู วสิ ยั ทศั น์ของการพัฒนาการทอ่ งเทย่ี ว (Vision) การปฏิรูปวิสัยทัศน์ต้องให้ความสาคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวท่ีมุ่งเน้นการท่องเท่ียว เชงิ คณุ ภาพ มมี าตรฐาน เพ่อื ให้เกดิ การเติบโตท่ยี ั่งยืนและเปน็ ธรรม โดยอธิบายไดด้ ังน้ี (๑) เน้นเป้าหมายรายได้และนักท่องเท่ียวคุณภาพ คือ นักท่องเที่ยวที่ท่องเท่ียวโดย สอดคล้องกับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของพ้ืนที่ ไม่สร้างผลกระทบทางลบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม และ สร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับประเทศได้มากขึ้น โดยให้มีการกาหนดเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวและเป้าหมาย การเพ่ิมจานวนนักท่องเท่ยี วคุณภาพ (๒) จัดการแหล่งท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืน ไม่สร้างความเส่ือมโทรมให้กับสิ่งแวดล้อม สามารถกาหนดและควบคุมจานวนนักท่องเท่ียวไม่ให้เกินขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวในแต่ละ แห่งได้ โดยให้มีการคานึงถึงผลกระทบที่เกิดจากการท่องเท่ียวต่อด้านต่างๆ เช่น สังคม และส่ิงแวดล้อม และ กาหนดแนวทางการดูแลควบคุมผลกระทบดังกล่าวอย่างชัดเจน เช่น กาหนดให้ต้องมีการศึกษาข้อจากัดของ
- ๒๙ - แหล่งท่องเที่ยว กาหนดจานวนนักท่องเท่ียวสูงสุดที่แหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งสามารถรองรับได้ โดยเฉพาะ ในพ้นื ทที่ มี่ ีความเปราะบางทางนเิ วศที่ต้องดาเนินการอย่างเร่งด่วนและเคร่งครัด และกาหนดมาตรการควบคุม จานวนนกั ท่องเทีย่ วและบทลงโทษเพือ่ ใหเ้ ป็นไปตามข้อกาหนดที่ตั้งไว้ (๓) จัดให้มีบริการทางการท่องเที่ยวท่ีได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพของการ บรกิ ารดา้ นการทอ่ งเท่ยี วของประเทศ (๔) กระจายผลประโยชน์จากการท่องเท่ียวอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ให้ผู้มีส่วนร่วม ทุกคนที่ในพื้นท่ีการท่องเที่ยวนั้นๆ โดยให้มีนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนการดาเนินงาน อย่างชัดเจน เพ่ือกระจายการท่องเที่ยวไปยังพ้ืนที่ต่างๆ ท้ังน้ี ในปัจจุบันได้เริ่มมีการจัดทาคลัสเตอร์การท่องเท่ียวอยู่แล้ว แต่ยังต้องมีการสร้างจุดเด่นและภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแหล่งให้ชัดเจนและสอดคล้องกับ อัตลักษณ์ของสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่ การสนับสนุนการดาเนินงานของชุมชนในการพัฒนาการท่องเที่ยว ในพ้ืนท่ีของตนเองในลักษณะต่าง ๆ เช่น วิสาหกิจชุมชน และวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมท้ังการเช่ือมโยงการ ท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเพ่ิมความน่าสนใจของแหล่งท่องเท่ียวให้กับนักท่องเท่ียวทั้งชาวไทยและ ต่างชาติ ๓.๒. การปฏริ ปู โครงสรา้ งการบรหิ ารจัดการด้านการท่องเท่ียว (Restructuring) ในการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นและการพัฒนาการท่องเท่ียวในอนาคต ควรเพิ่มบทบาทและ การมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ในลักษณะความร่วมมือแบบ ๓ ประสานทั้งในระดับ สว่ นกลางและระดับพนื้ ท่ี และจะต้องมีการเพม่ิ ความเขม้ แข็งและขีดความสามารถให้กับทั้ง ๓ ภาคส่วน เพื่อให้ การมีสว่ นร่วมในการพัฒนาเปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ทั้งนี้ ให้ภาครัฐมีบทบาทในการเป็นผู้กาหนดนโยบาย อานวยความสะดวก สนับสนุน ดาเนินการ และกากับดูแลการดาเนินงานของภาคเอกชนและชุมชน ส่วนภาคเอกชนให้มีบทบาทหลักในการ ขบั เคลือ่ นทางธุรกิจ โดยมรี ฐั เปน็ ผู้ให้การสนบั สนนุ และภาคชมุ ชนในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากการ ท่องเท่ียวในพื้นท่ีให้มีบทบาทในการกาหนดทิศทางและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในขั้นตอนต่าง ๆ ในการ พัฒนาการท่องเทย่ี วในพน้ื ท่ีของตนเอง โดยในการปฏิรปู โครงสร้างใหม้ ีแนวทางในการดาเนินงานดังน้ี (๑) การปฏริ ปู โครงสรา้ งองคก์ รภาครัฐ จัดโครงสร้างบรหิ ารราชการดา้ นทอ่ งเทย่ี วใหม่ ดังนี้ (๑.๑) คณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ (ท.ท.ช) ท่ีจั ดตั้งข้ึนตาม พระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นองค์กรกลางทาหน้าท่ีบริหารจัดการด้านการ ทอ่ งเท่ียวท้ังระบบ และให้มกี ารปรบั ปรุงบทบาท หน้าที่ และองค์ประกอบของ ท.ท.ช. โดย (ก) ปรับปรุงองค์ประกอบของ ท.ท.ช. ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยพิจารณา ลดจานวนกรรมการลงเพื่อให้มีความคล่องตวั มากขน้ึ (ข) เพ่ิมช่องทางการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างเป็นทางการในการเสนอความเห็น ตอ่ ท.ท.ช.
- ๓๐ - (ค) ดาเนินงานในการกาหนดนโยบาย ทิศทาง และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการ ท่องเท่ียว ในภาพรวมของประเทศ ให้มีความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และกระจาย ผลประโยชนไ์ ปยงั ภาคสว่ นตา่ งๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ งอย่างทว่ั ถึงและเปน็ ธรรม (ง) ดาเนินงานในด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้เป็นไปตามนโยบายท่ีวางไว้ โดย มกี ารติดตาม ประเมินผล การดาเนินงานให้เปน็ ไปตามเปา้ หมายทีต่ งั้ ไว้ (จ) เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทางานร่วมกันท้ังด้านแผนงานและงบประมาณ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... มาตรา ๒๙๓ (๖) จึงควรให้ ท.ท.ช. มีอานาจหน้าท่ีในการบูรณาการการจัดทาแผน งบประมาณโครงการท้ังหมดท่ีเกี่ยวข้องกับการท่องเท่ียวเพ่ือส่งต่อให้สานักงบประมาณ เพื่อเป็นเครื่องมือ ในการดูแลการดาเนินงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การท่องเท่ียวของหน่วยงานต่างๆ ใหส้ อดคล้องกบั นโยบายในภาพรวม (ฉ) สนบั สนุนให้มีคณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวในระดับพ้ืนท่ี ประกอบด้วย ตัวแทนจาก ภาครัฐ (ส่วนกลางและท้องถิ่น) ภาคเอกชน ชุมชน และผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการ ให้มีอานาจ ในการกาหนดนโยบายการท่องเที่ยวในพ้ืนที่และประสานความร่วมมือกับพ้ืนท่ีใกล้เคียง โดยให้สอดคล้องกับ นโยบายการทอ่ งเท่ยี วในระดับชาติ และให้ทางานในรูปแบบเดียวกนั กบั ท.ท.ช. (๑.๒) จัดตง้ั สานกั งานคณะกรรมการนโยบายการท่องเทย่ี วแหง่ ชาติ ซง่ึ เปน็ หน่วยราชการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการฯเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ที่มีตาแหน่งเทียบเท่าระดับปลัดกระทรวง และอยู่ใน สงั กัดสานักนายกรฐั มนตรี เพอ่ื ปฏบิ ัติหน้าท่ีสนับสนุนภารกจิ ของ ท.ท.ช. ท่ีกาหนดไว้ตามกฎหมาย (ภาคผนวก ๖) โดยมีเหตผุ ลทเี่ ป็นลักษณะเฉพาะดังต่อไปน้ี (ก) เป็นหน่วยกลางประสานกับหน่วยงานต่างๆ ท้ังในแนวราบ (ระดับกระทรวง ทบวง กรม) และแนวดงิ่ ทั้งในระดบั ภูมภิ าคและระดับทอ้ งถ่ิน รวมท้ังหนว่ ยงานภายใตก้ ารกากับอกี หลายหนว่ ย (ข) เป็นหน่วยประสานงานและปฏิบัติตามข้อตกลงด้านการท่องเท่ียวตามความตก ลงระหวา่ งประเทศทงั้ ระดับทวภิ าคี พหุภาคี (ค) เลขาธิการเป็นผู้รักษาการและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อตกลงต่าง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้องกบั การท่องเทยี่ วหลายฉบับ (ง) เป็นหน่วยงานสาคัญท่ีต้องสนับสนุนและปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับ นายกรัฐมนตรี และคณะรฐั มนตรี เน่อื งจากเปน็ ภาคเศรษฐกจิ ท่ีสาคัญของประเทศ (จ) การท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ จึงเป็นการบริหารงานที่มีลักษณะเฉพาะและต้องการการตัดสินใจ ทร่ี วดเร็วและทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ โดยให้มีหน่วยงานภายใต้สานักงานคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ รวม ๔ หนว่ ยงาน ไดแ้ ก่ หน่วยยุทธศาสตร์ หนว่ ยพฒั นา หน่วยการตลาดและประชาสัมพนั ธ์ และหนว่ ยวจิ ัย (๑.๓) หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ (สานักยุทธศาสตร์การท่องเท่ียว) ให้ทาหน้าที่ในการ สนับสนุนงานประชุมของ ท.ท.ช. กาหนดยุทธศาสตร์ของประเทศตามนโยบายท่ีกาหนดไว้ และเป็นศูนย์กลาง
- ๓๑ - ข้อมูลข่าวสารที่เก่ียวข้องกับการท่องเท่ียว โดยควรถ่ายโอนบุคลากรท่ีมีความเชี่ยวชาญส่วนหน่ึงมาจากการ ท่องเทีย่ วแหง่ ประเทศไทย (๑.๔) หน่วยงานด้านการพัฒนา (สานักพัฒนาการท่องเท่ียว) โดยปรับปรุงขอบเขต ภารกิจจากกรมการท่องเท่ียว มีหน้าท่ีในการส่งเสริมการพัฒนาเพ่ือเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ เช่น พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ส่ิงอานวยความสะดวก ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวท่ีเสื่อมโทรม ส่งเสริมการ ดาเนินงานของภาคเอกชนและองค์กรเอกชน ส่งเสริมการดาเนินงานของชุมชน จัดทามาตรฐานการบริการ ประเภทต่างๆ และพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุนและร่วมลงทุนในการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียว โดยให้มี รายละเอียดหน้าท่ดี งั นี้ (ก) เป็นผู้ประสานงาน (Coordinator) ในการผลักดันแผนพัฒนาในระดับ นโยบายส่วนกลางลงสู่ระดับพื้นท่ี โดยในขั้นตอนการดาเนินงานให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยตรง (ข) เป็นผูก้ าหนดและกากับดแู ล (Regulator) มาตรฐานตา่ ง ๆ ทเี่ กี่ยวข้องกับการ ท่องเท่ียว ให้ภาคเอกชนคือสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคชุมชน เข้ามามีบทบาทหลัก ในการดาเนินงานตรวจรับรองมาตรฐานท่ีเก่ียวข้อง (Operator) โดยมาตรฐานท่ีต้องมีการกากับดูแล เช่น มาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว ส่ิงอานวยความสะดวก มาตรฐานความปลอดภัย กลไกในการแก้ปัญหากรณี ที่เกิดปัญหากับนักท่องเท่ียว และมาตรฐานการให้บริการทางการท่องเท่ียวประเภทต่าง ๆ เช่น การกาหนด มาตรฐานในการดูแลนักท่องเที่ยวของภาคเอกชนและให้ภาคเอกชนท่ีเก่ียวข้องมีความรับผิดชอบในการดูแล นกั ทอ่ งเท่ยี ว เชน่ การทาประกนั ภัยใหก้ ับนักทอ่ งเทย่ี ว เปน็ ต้น (ค) เป็นผู้ดาเนินงาน (Operator) ในการบริหารกองทุนการท่องเที่ยว พิจารณา ความเหมาะสมในการเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวจากผู้ประกอบการโดยไม่เก็บจากนักท่องเท่ียวโ ดยตรง เพ่ือนาเงินไปใช้ในการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเท่ียวหรือการดาเนินงานด้านอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการ ทอ่ งเท่ียว (ง) สง่ เสรมิ การดาเนนิ งานของผ้ปู ระกอบการท้งั ภาคเอกชนและชุมชน โดยเฉพาะ การสนับสนุนการสร้างหรอื พฒั นาแหลง่ ท่องเท่ียวท่ีสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชุมชน การสนับสนุนการพัฒนา สินค้าท่ีมีจุดเด่นเฉพาะท้องถ่ิน เช่น ดาเนินงานร่วมกับ อปท. และหน่วยงานในพื้นท่ีในการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยวและสินค้าใหม่ โดยให้สิทธิพิเศษต่างๆ กับภาคเอกชนและชุมชนที่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสินค้า ใหมท่ ส่ี อดคลอ้ งกับอตั ลักษณห์ รอื แนวคดิ กลุ่มคลัสเตอรก์ ารท่องเที่ยว ทั้งนี้ การสนับสนุนผู้ประกอบการเอกชน ให้ดาเนินงานผ่านองคก์ รภาคเอกชนตามกฎหมาย เพือ่ ให้สามารถทางานได้อย่างเปน็ ระบบมากข้นึ (จ) บรู ณาการหน่วยงานของรัฐท่มี หี น้าทใ่ี นการพัฒนาการท่องเท่ียวการท่องเท่ียว เช่น กรมการท่องเท่ียว องค์การบริหารการพัฒนาพ้ืนท่ีพิเศษเพ่ือการท่องเที่ยวอย่างย่ังยืน (อพท.) และ สานกั งานพัฒนาพิงคนคร (องคก์ ารมหาชน) เพอ่ื ลดความซ้าซ้อนของภารกจิ ระหว่างหน่วยงาน
- ๓๒ - (๑.๕) หนว่ ยงานด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยปรับปรุงขอบเขตภารกิจของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ทาหน้าที่เฉพาะการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดท้ังในและ ต่างประเทศ สร้างความเช่ือม่ันให้นักท่องเท่ียว และประสานงานกับต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับนโยบายของ ชาติที่กาหนดโดย ท.ท.ช. เช่น การกาหนดกลุ่มเป้าหมายนักท่องเท่ียวและกิจกรรม โดยไม่มีภารกิจด้านการ พัฒนาหรือรว่ มลงทนุ ในการพฒั นาการทอ่ งเทีย่ ว โดยให้มลี ักษณะ ดังนี้ (ก) เป็นองค์กรของรัฐที่มี พระราชบัญญัติ จัดต้ังเป็นการเฉพาะ และไม่เป็น รฐั วสิ าหกจิ (ข) เน้นการดาเนินงานให้ครอบคลุมตามลักษณะการท่องเท่ียวให้มากข้ึน เช่น มีหน่วยงานภายในที่ทาหน้าที่ส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงสุขภาพ การจัดประชุมและสัมมนา การท่องเท่ียว เชิงวฒั นธรรม การท่องเทยี่ วเชิงศาสนา เพิม่ เตมิ จากการดาเนินงานรายพ้ืนที่ เช่น แบ่งเป็นรายจังหวัดหรือภาค ท่ไี ด้ดาเนินการอยใู่ นปัจจบุ ัน (ค) ให้ความสาคัญกับการสร้างความเชื่อม่ันด้านความปลอดภัยให้กับ นักท่องเท่ียวมากข้ึน โดยจะต้องให้นักท่องเท่ียวเห็นว่าการเท่ียวประเทศไทยมีจุดเด่นคือเร่ืองความปลอดภัย ด้วย มากกวา่ ท่จี ะเน้นเฉพาะเรอื่ งคา่ ใช้จ่ายและราคาสินคา้ และบริการทถ่ี ูก (ง) บูรณาการหน่วยงานของรัฐที่ทาหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเท่ียว เช่น การทอ่ งเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย (ททท.) สานกั งานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) เพ่ือลดความ ซา้ ซ้อนของภารกิจระหวา่ งหนว่ ยงาน และยกเลิกบรษิ ทั ไทยแลนด์ พริวเิ ลจ คารด์ จากดั (๑.๖) หน่วยงานด้านการวิจัย ทาหน้าที่สร้างองค์ความรู้เพื่อเสนอแนะต่อการวาง นโยบาย สร้างตัวช้ีวัดแบบนาหน้าเพ่ือให้หน่วยงานต่างๆ สามารถปรับตัวได้ทันการณ์ และพัฒนาองค์ความรู้ ใหม้ คี วามสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเท่ียวของประเทศให้ตอบสนองความต้องการของทั้งในภาครัฐ เช่น การทาการตลาดต่างประเทศ และการบริหารจัดการ ในภาคเอกชน เช่น ทิศทางการท่องเที่ยว การตลาด และ ในภาคชุมชน เช่น การส่งเสริมการสร้างอัตลักษณ์ สินค้า และองค์ความรู้สาหรับการดาเนินงานในท้องถ่ิน โดยมลี ักษณะองคก์ รดงั นี้ (ก) ดาเนินงานในลักษณะเป็นมูลนิธิหรือสถาบัน เช่น จัดต้ังมูลนิธิสถาบันวิจัย นโยบายการท่องเท่ียวในลักษณะเดียวกับมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ให้เป็นนิติบุคคล ทไ่ี มแ่ สวงหากาไร รวมทง้ั ให้ดาเนนิ งานกับสถาบันการศกึ ษา เพอื่ ให้ความคล่องตัว เป็นกลาง และประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกับหน่วยงานท่ีสนับสนุนทุนวิจัยอ่ืน ๆ เช่น สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สานักงาน คณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (วช.) (ข) ถ่ายโอนบุคลากรบางส่วนที่มีความเช่ียวชาญเหมาะสมมาจากการท่องเท่ียว แหง่ ประเทศไทย
- ๓๓ - (ค) สนับสนุนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในพื้นท่ีโดยส่งเสริมการดาเนินงานด้านการ สรา้ งและสงั เคราะหอ์ งค์ความรขู้ องชุมชนเพ่ือสร้างความเข้มแขง็ ของชมุ ชนในพื้นท่ี (ง) แบ่งการดาเนนิ งานทง้ั ในระดับพน้ื ท่ี และแบง่ ตามประเด็นตา่ งๆ รปู ท่ี ๕ โครงสร้างใหม่การบรหิ ารจัดการของภาครัฐ (๒) ภาคเอกชน – สนับสนุนการรวมกลุ่มเพ่ือสรา้ งความเขม้ แขง็ และเพิม่ ประสิทธิภาพ สนับสนุนให้การรวมกลุ่มขององค์กรภาคเอกชนมีความเข้มแข็งและเป็นส่วนสาคัญ ในการขบั เคลื่อนการพฒั นาการทอ่ งเทยี่ วของประเทศร่วมกบั ภาครัฐและชุมชน โดย (๒.๑) สนับสนุนสภาอุตสาหกรรมทอ่ งเท่ียวแห่งประเทศไทย (สทท.) ซึ่งจัดต้ังขึ้นตาม พระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ ให้เป็นองค์กรกลางของ ผู้ประกอบการอตุ สาหกรรมท่องเท่ียวในการประสานงานกับภาครัฐ และให้สทท.ดาเนินการส่งเสริมให้เกิดการ รวมกลมุ่ ย่อยท้ังรายสาขาและรายพน้ื ทท่ี ค่ี รอบคลมุ ทุกภาคส่วนของผ้ปู ระกอบการ (๒.๒) ให้รฐั สนบั สนุนการดาเนนิ งานของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ท่ีสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยให้สามารถใช้เงินจาก กองทุนส่งเสริมการทอ่ งเทีย่ วที่มีอยูเ่ ดมิ ได้ (๒.๓) สนบั สนนุ การสรา้ งฐานข้อมูลและองค์ความรู้ให้กับองค์กรภาคเอกชน (๒.๔) ให้รัฐสนับสนุน ส่งเสริมความเข้มแข็งของผู้ประกอบการโดยการประสานงาน อยา่ งใกล้ชดิ กับสภาอุตสาหกรรมท่องเท่ียวแหง่ ประเทศไทย พัฒนาทกั ษะที่จาเป็น เช่น ทักษะทางภาษา ทักษะ ในการบรหิ ารธรุ กิจ ให้กับบุคลากรในภาคเอกชน และกากับให้ผู้ประกอบการมีการดาเนินการอย่างมีธรรมาภิบาล
- ๓๔ - และปฏิบัติตามกฎหมาย มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพ่ือเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ถูกต้องกับการ ขอรับความช่วยเหลือสนับสนุนจากภาครฐั (๒.๕) สง่ เสริมใหภ้ าคเอกชน คอื สภาอตุ สาหกรรมทอ่ งเที่ยว แห่งประเทศไทย เข้ามา มีบทบาทหลักในการดาเนินงานตรวจรับรองมาตรฐานท่ีเก่ียวข้องกับบริการด้านการท่องเท่ียวของภาคเอกชน ภายใต้การกากบั ดแู ลของภาครฐั (๓) ภาคชุมชน - ให้มีส่วนรว่ มในการบรหิ ารจัดการการทอ่ งเทีย่ วในพ้ืนท่ี สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดการการ ท่องเท่ียวในพนื้ ท่ี โดย (๓.๑) ส่งเสริมการรวมตัวของชุมชนในรูปแบบต่างๆ เช่น การท่องเท่ียวโดยชุมชน (Community-based tourism)๓ สหกรณ์การท่องเที่ยวในชุมชน โดยให้คนในชุมชนเป็นผู้ถือหุ้นและบริหาร จัดการ หรือวิสาหกิจเพื่อสังคมซ่ึงมีจุดประสงค์หลักในการนาเงินไปพัฒนาชุมชนในองค์รวม โดยภาครัฐควร เข้ามาส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ อานวยความสะดวกในการจัดต้ังและดาเนินงาน สนับสนุนการพัฒนา บุคลากรในระดับพ้ืนที่ เช่น ทักษะทางภาษาและทักษะอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง และสนับสนุนด้านเงินทุนตาม ความจาเป็น (๓.๒) ส่งเสริมให้ชุมชนมีอานาจและบทบาทในการจัดการการท่องเท่ียวในพื้นท่ี ในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การกาหนดทิศทางและนโยบายการท่องเที่ยวของพ้ืนท่ีร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน การกาหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเท่ียวของแหล่งท่องเที่ยวในพ้ืนท่ี การสร้างอัตลักษณ์ ท่ีเหมาะสมและสินค้าท่ีมีจุดเด่นของพื้นท่ี การจัดการการท่องเท่ียวในพื้นที่ของตนเองให้มีธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วมในการกากับดูแลมาตรฐานและความปลอดภัยของนักท่องเท่ียว เช่น การจัดตั้งอาสาสมัครของ ชุมชนเพ่ือช่วยเหลือนักท่องเที่ยว โดยรัฐมีหน้าท่ีในการให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ เพ่ือให้ชุมชนมีศักยภาพ เพียงพอท่จี ะดาเนินงานได้อย่างสมั ฤทธ์ผิ ล (๓.๓) สง่ เสริมการสร้างเครือข่ายระหว่างชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทาให้เกิด ความเช่อื มโยงในด้านต่างๆ เชน่ การตลาด การพัฒนา ระหว่างพน้ื ทีใ่ หเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกัน ๓ การท่องเทีย่ วที่คานงึ ถึงความย่งั ยนื ของส่ิงแวดลอ้ ม สงั คม และวัฒนธรรม กาหนดทศิ ทางโดยชมุ ชน จดั การโดยชมุ ชนเพ่อื ชุมชน และชุมชนมบี ทบาทเป็นเจ้าของ มีสิทธิในการจัดการดแู ลเพ่ือให้เกดิ การเรียนรแู้ กผ่ ู้ มาเยอื น ซึง่ ในปจั จบุ ันมสี ถาบันการท่องเทยี่ วโดยชุมชนทาหนา้ ท่ีประสานงานและสง่ เสรมิ สนับสนนุ การสรา้ ง ความเขม้ แขง็ ใหช้ มุ ชนในการจดั การการท่องเท่ยี ว โดยในมีชมุ ชนเขา้ ร่วมกวา่ ๑๐๐ แหง่ ทั่วประเทศ (สถาบนั การท่องเทีย่ วโดยชุมชน
- ๓๕ - ๓.๓. การพัฒนาเพ่ิมขีดความสามารถในการแขง่ ขัน ควรมีการกาหนดแนวทางในการพัฒนาเพ่ือเพ่ิมขีดความสามารถให้สอดคล้องกัน ควบคู่ไป กับการปรับวสิ ยั ทศั น์และโครงสร้างการบริหารจัดการแล้ว เพื่อเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานในระดับต่าง ๆ ใน การดาเนินงาน ตวั อย่างในการกาหนดแนวทางเพ่มิ ขีดความสามารถในการแข่งขนั เชน่ (๑) การป้องกันและแก้ไขปัญหาความเส่ือมโทรมของแหล่งท่องเท่ียว โดยเฉพาะพื้นที่ อนุรักษ์ และพ้นื ทอี่ ่อนไหว (รายละเอยี ดในขอ้ เสนอในส่วนท้ายของรายงาน) ประเทศไทยมที รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมสมบูรณ์และมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่ ละปีจะมีนักท่องเท่ียวต่างชาติและชาวไทยเดินทางไปท่องเท่ียวตามแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและทาง วัฒนธรรมเป็นจานวนมาก อย่างไรก็ตาม การกระจุกตัวของนักท่องเท่ียวในแหล่งท่องเท่ียวที่ได้รับความนิยม ผนวกกับการบริหารจัดการท่ีไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทาให้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งเกิดความเส่ือมโทรม โดยเฉพาะแหลง่ ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รบั ความนยิ มสงู จากคะแนนความสามารถในการแข่งขันในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่า ประเทศไทยมีคะแนนด้าน ทรัพยากรธรรมชาติถึง ๔.๔๗ คะแนน (เต็ม ๗) คิดเป็นอันดับท่ี ๑๖ ของโลก แสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบ ในด้านทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีคะแนนด้านความย่ังยืนของ สง่ิ แวดลอ้ มเพียง ๓.๕ คะแนน คดิ เป็นอนั ดบั ที่ ๑๑๖ ของโลก โดยพบวา่ มปี ัญหาทั้งทเ่ี กี่ยวกับภาวะคุกคามชนิด พันธุ์ต่างๆ (อันดับท่ี ๑๐๙) ความเข้มงวดของกฎระเบียบเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม (อันดับที่ ๑๐๓) การบังคับใช้ กฎระเบยี บเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม (อันดับที่ ๙๒) ทรัพยากรทางทะเล (อันดับที่ ๙๓) การจัดการน้าเสีย (อันดับท่ี ๖๓) การสูญเสียพ้ืนท่ีป่า (อันดับที่ ๖๑) การที่คะแนนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมต่าแสดงให้เห็นถึงปัญหา ความเสอ่ื มโทรมของสิง่ แวดลอ้ มของไทย ซงึ่ จาเปน็ ทจ่ี ะต้องได้รบั การแก้ไขอยา่ งเรง่ ดว่ น (๑.๑) การท่องเที่ยวในพ้ืนที่อนุรักษ์ แม้ว่าการจัดต้ังพื้นที่อนุรักษ์ประเภทต่าง ๆ เช่น อุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จะมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือการอนุรักษ์และศึกษาทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม แต่ก็มีการใช้พ้ืนที่อนุรักษ์เพ่ือการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน จากรายงานของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวในอุทยานถึงกว่า ๑๑ ล้านคน และแออัดอยู่ในบางพ้ืนที่ท่ีได้รับ ความนิยมมาก เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติเกาะช้าง อุทยานแห่งชาติเอราวัณ และอุทยาน แห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นต้น โดยอุทยานแห่งชาติที่ได้รับความนิยม ๕ อันดับแรกนี้รองรับนักท่องเที่ยว ถึงกว่าร้อยละ ๓๐ ของนักท่องเที่ยวในอุทยานท้ังประเทศ (๑๔๗ แห่ง) ในขณะเดียวกันก็ยังมีข้อสังเกตว่า จานวนนักท่องเท่ียวท่ีเดินทางเข้าไปเที่ยวในอุทยาน โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติทางทะเล น่าจะมีจานวน มากกว่าทที่ างการรายงานมาก เชน่ ในปงี บประมาณ ๒๕๕๗ อทุ ยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันมีนักท่องเที่ยวตาม รายงาน ๙๙,๒๔๓ คน คิดเป็นประมาณ ๕๕๐ คนต่อวัน และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์มีนักท่องเที่ยว ตามรายงานเพยี ง ๑๑,๐๐๐ คน หรือคิดเป็นประมาณไม่ถึง ๖๐ คนต่อวันเท่านั้น (คิดเฉพาะช่วง ๖ เดือนที่เปิด เกาะสาหรับการท่องเทยี่ ว)
- ๓๖ - จะเห็นได้ว่า การท่องเท่ียวนับเป็นสาเหตุสาคัญประการหนึ่งท่ีทาให้เกิดปัญหาความเส่ือม โทรมของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในบางพ้ืนที่ โดยเฉพาะในพ้ืนที่ท่ีมีความอ่อนไหวทางระบบนิเวศ สูงและมีนักท่องเที่ยวจานวนมาก โดยสามารถแบ่งสาเหตุหลักของความเสื่อมโทรมท่ีเกิดข้ึนได้เป็น ๑) ความ แออัดของนักท่องเที่ยว ๒) การขาดการจัดการท่ีดีและบุคลากรที่มีความรู้ด้านการท่องเท่ียวในการจัดการพ้ืนท่ี อนุรักษ์ และ ๓) การขาดการมีส่วนร่วมในการดูแลของภาคเอกชนและชุมชนในพื้นท่ี โดยมีข้อเสนอในการ ปฏิรูปการท่องเท่ียวในพ้นื ท่อี นรุ ักษ์ ไดแ้ ก่ (ก) บังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดและให้ทั้ง ๓ ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคชุมชน มสี ว่ นร่วมในการบริหารจดั การมากยิ่งข้ึน เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการท่องเที่ยวในพ้ืนที่ อนุรักษ์ โดยให้ยังคงยึดเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในพ้ืนที่ ส่วนการท่องเท่ียวเป็น เปา้ หมายรองลงไป ทงั้ น้ี หากมีการบริหารจัดการท่ีดีและเหมาะสม การท่องเท่ียวก็สามารถถูกใช้เป็นเคร่ืองมือ ในการอนุรักษท์ รพั ยากรและสร้างจติ สานกึ ต่อสง่ิ แวดลอ้ มได้เช่นกนั (ข) จัดต้ังคณะกรรมการบริหารจัดการในระดับพ้ืนท่ี โดยให้มีส่วนร่วมแบบ ๓ ประสาน ได้แก่ รัฐ เอกชน และชุมชน ซึ่งจะต้องมีการเพ่ิมบทบาทและอานาจของภาคเอกชนและชุมชนให้มากย่ิงขึ้น เชน่ - กาหนดแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นท่ีอนุรักษ์ต่างๆ ให้มีความเหมาะสม เช่น การจัดพื้นทร่ี องรับนักทอ่ งเท่ียวบริเวณรอบ ๆ โดยไม่จาเป็นตอ้ งใหน้ กั ทอ่ งเท่ียวเข้าไปค้างแรมในเขตอุทยาน - กาหนดจานวนนักท่องเท่ียวหรือจานวนยานพาหนะสูงสุดที่รองรับได้ในทุกพื้นที่ โดยปัจจบุ นั มีการกาหนดในบางพืน้ ท่ี แต่ยังไมค่ รอบคลุมทุกพืน้ ท่ีและยงั ไมม่ ีการบังคับใช้ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ - กาหนดอัตราค่าธรรมเนียมและจัดสรรส่วนแบ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมเพื่อใช้ในการ บรหิ ารจดั การและพัฒนาพื้นท่ี - สามารถกาหนดข้อบังคับเพิ่มเติมสาหรับพ้ืนท่ีอนุรักษ์ในแต่ละพ้ืนที่ได้อย่างทันท่วงที ตามความจาเป็นและเหมาะสม เช่น การห้ามยานพาหนะบางประเภทท่ีอาจจะส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม เข้าในพืน้ ที่ (ค) พัฒนาการบริหารจัดการให้ดีข้ึน โดยใช้เคร่ืองมือและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาช่วย ควบคุมจานวนนกั ท่องเที่ยว เชน่ - กาหนดใหน้ กั ทอ่ งเท่ียวต้องจองและจ่ายคา่ ธรรมเนียมเข้าพ้ืนท่ีล่วงหน้าผ่านช่องทางต่างๆ เชน่ ทางอนิ เตอรเ์ น็ต หรือธนาคาร โดยสร้างความเข้าใจท่ีถูกต้องว่านักท่องเที่ยวต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น และ เปิดให้จองไม่เกินขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเท่ียวในแต่ละวันหรือช่วงเวลา โดยมีหน่วยงานกลาง ในการจัดการด้านการจองและจ่ายค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเท่ียวท้ังหมดเพียงหน่วยงานเดียวและ ให้แยกจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูแลพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการและความโปร่งใส ในการดาเนินงาน แล้วจัดสรรรายได้ท่ีได้รับกลับไปยังแหล่งท่องเที่ยวตามความเหมาะสม เพื่อใช้เป็น งบประมาณในการดแู ล รกั ษา และพัฒนาแหล่งทอ่ งเที่ยวนน้ั ต่อไป
- ๓๗ - - ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยติดตามและตรวจสอบ เช่น การจดทะเบียน เรือ การใชเ้ รดาห์ ดาวเทียม เพือ่ ติดตามเรือท่นี านกั ทอ่ งเทยี่ วไปยังเกาะตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ้ (๑.๒) การท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวท่ีมีความอ่อนไหว นอกจากการท่องเท่ียวในพ้ืนที่ อนุรักษ์แล้ว ยังมีแหล่งท่องเท่ียวที่มีความอ่อนไหวอื่นๆ อีกจานวนมากท่ีเกิดปัญหาความเสื่อมโทรมจากการ ท่องเท่ียว เช่น ตลาดน้าอัมพวา ตลาดน้าดาเนินสะดวก หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ โบราณสถานอีกหลายแห่ง ซ่ึงต้องมีการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเส่ือมโทรมที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยให้ ดาเนินการโดยยดึ แนวทางเดียวกนั กับข้อเสนอการบรหิ ารจัดการการท่องเท่ียวในพื้นท่ีอนุรักษ์ในเร่ืองการจัดต้ัง คณะกรรมการบริหารแหล่งท่องเที่ยวในลักษณะ ๓ ประสาน โดยให้มีอานาจหน้าท่ีในการกาหนดแผนพัฒนา การท่องเที่ยวในพ้ืนที่ การกาหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวและมาตรการในการควบคุม จานวนนักทอ่ งเทย่ี ว และการจดั ระเบยี บการท่องเท่ยี วในพ้นื ทีต่ นเอง (๒) ส่งเสรมิ การพฒั นาแหล่งท่องเทยี่ วใหม่ การสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่มีความจาเป็น เนื่องจากต้องรองรับปริมาณนักท่องเที่ยว ที่เพม่ิ สงู ขน้ึ อยา่ งตอ่ เน่ือง และเพือ่ สนับสนนุ ให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว รวมถึงกระจายรายได้ไปยัง พื้นท่ีต่างๆ มากข้ึน โดยให้รัฐสนับสนุนให้มีแหล่งท่องเท่ียวขนาดใหญ่เพ่ิมข้ึนทุกปี และสนับสนุนให้มีแหล่ง ท่องเทีย่ วไปยังระดบั อาเภอ ใหค้ รอบคลุมท่วั ประเทศ (๒.๑) ให้แบ่งระดับความสาคัญของแหล่งท่องเที่ยวออกเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับโลก (Global) ระดับภูมิภาค (Regional) และระดับพื้นที่ (Local) โดยรัฐสนับสนุนให้มีแหล่งท่องเท่ียวอย่างน้อย ๑ ระดับในแต่ละอาเภอท่ัวประเทศ และสนับสนุนให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวไปสู่ระดับท่ีสูงข้ึนตาม ศักยภาพของแต่ละเขตพื้นท่ี ซ่ึงจะส่งผลต่อการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว รวมถึงกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ ต่างๆ อย่างมีประสทิ ธภิ าพมากขึน้ (๒.๒) การรวมกลุ่มแหล่งท่องเท่ียวเป็นคลัสเตอร์ (Cluster) ตามอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ของพน้ื ที่ รัฐควรสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์ (Cluster) ตามอตั ลกั ษณ์ วฒั นธรรมของแต่ละพืน้ ที่ เพ่อื สร้างความเข้มแขง็ และยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และ สร้างความน่าสนใจของแหล่งท่องเท่ียว เพ่ือให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเท่ียวไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มากข้นึ ทั้งนี้ สบื เน่อื งจากในแผนพฒั นาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ได้กาหนด แนวทางในการพัฒนายกระดับคุณภาพแหล่งท่องเท่ียวใหม่ในเชิงกลุ่มพื้นที่ท่ีมีศักยภาพ โดยแบ่งเป็นกลุ่ม ท่องเท่ียวที่มีศักยภาพ ๘ กลุ่ม ได้แก่ ๑) กลุ่มท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนาและภาคเหนือตอนบน ๒) กลุ่มท่องเท่ียวมรดกโลกเชื่อมโยงการท่องเท่ียวเชิงนิเวศ ๓) กลุ่มท่องเท่ียวอารยธรรมอีสานใต้ ๔) กลุ่มท่องเท่ียววิถีชีวิตลุ่มแม่น้าโขง ๕) กลุ่มท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้าภาคกลาง ๖) กลุ่มท่องเที่ยว Active Beach ๗) กลุ่มท่องเท่ียว Royal Coast และ ๘) กลมุ่ ทอ่ งเท่ียวมหศั จรรย์สองสมทุ ร
- ๓๘ - ล่าสุดในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ได้มีการประกาศกฎกระทรวงในการกาหนดเขต พัฒนาการท่องเท่ียว โดยแบ่งออกเป็น ๕ พ้ืนท่ี ได้แก่ ๑) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝ่ังทะเลตะวันตก ๒) เขตพัฒนาการท่องเท่ียวฝั่งทะเลตะวันออก ๓) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน ๔) เขตพัฒนาการ ทอ่ งเท่ยี วอารยธรรมลา้ นนา และ ๕) เขตพัฒนาการท่องเทีย่ วอีสานใต้ เพ่ือให้การดาเนินงานดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากข้ึน ภาครัฐควรสนับสนุนให้มีการ ประกาศกลุ่มพ้นื ทคี่ ลัสเตอรท์ ่องเทย่ี วให้ครอบคลมุ ทั้งประเทศ และควรมกี าร (ก) สนับสนุนอัตลักษณ์ของพ้ืนที่ให้โดดเด่นมากข้ึน โดยรัฐควรลงทุนด้าน การศึกษาวจิ ยั และพัฒนาในการนาอตั ลกั ษณแ์ ละวัฒนธรรมมาใชใ้ นการพัฒนาการท่องเที่ยวของพื้นที่ (ข) ศึกษา จัดทา และเผยแพร่ ปูมประวัติ ตานาน หรือเร่ืองเล่าต่าง ๆ ของแหล่ง ท่องเทย่ี วให้ครอบคลุมมากยิ่งข้นึ และเช่อื มโยงเรอ่ื งราวระหวา่ งพ้นื ทีเ่ พอื่ ให้เกดิ เสน้ ทางท่องเท่ียวใหม่ (ค) สร้างบรรยากาศการท่องเท่ียวในพื้นท่ีให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์และวัฒนธรรม ของพืน้ ที่ (ง) ส่งเสริมผู้ประกอบการที่ลงทุนและดาเนินงานอย่างสอดคล้องกับอัตลักษณ์และ วฒั นธรรม หรอื นาเอาอตั ลกั ษณข์ องพน้ื ที่มาใชใ้ นการพฒั นาสินคา้ และบรกิ ารทางการทอ่ งเท่ียว หรือพัฒนาการ ท่องเท่ียวเชื่อมโยงกับภาคเกษตรในพ้ืนท่ี โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เช่น การสนับสนุนผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนหรือมาตรการด้านภาษีให้กับผู้ประกอบการต่าง ๆ ท่ีดาเนินงาน ตามหลกั เกณฑท์ ก่ี าหนด (๒.๓) สง่ เสรมิ ใหม้ แี หล่งท่องเที่ยวประเภทมนษุ ย์สร้างข้ึน (Man-made Attraction) ให้รัฐส่งเสริมการลงทุนการสร้างแหล่งท่องเท่ียวท้ังสถานที่ท่องเท่ียว หรือกิจกรรม ต่างๆ เช่น การพัฒนากิจกรรมกีฬาหรือกิจกรรมบันเทิงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยการสร้างแรงจูงใจ (Incentive) และใหส้ ทิ ธิประโยชนด์ า้ นการลงทนุ โดยเฉพาะพื้นท่ที ่ีมนี ักทอ่ งเท่ียวน้อย เพื่อกระตุ้นการกระจาย ตัวของนกั ทอ่ งเที่ยว (๒.๔) ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวตามลักษณะกิจกรรมท่ีมี ศักยภาพ เชน่ การท่องเที่ยวฮาลาล การท่องเทยี่ วเชงิ สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม เปน็ ต้น (๓) การพฒั นาเขตเศรษฐกจิ การทอ่ งเทยี่ วพเิ ศษรว่ มกบั ประเทศเพ่อื นบ้าน การทอ่ งเที่ยวภูมิภาคอาเซียนกาลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เน่ืองจากเป็นภูมิภาคท่ีมีแหล่ง ท่องเที่ยวน่าสนใจเป็นจานวนมากและมีค่าใช้จ่ายไม่สูง โดยสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติในภูมิภาคอาเซียนต่อ นักท่องเท่ียวต่างชาติทั้งโลกได้เพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็วจากร้อยละ ๕.๕๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นร้อยละ ๘.๒๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การรวมกลุม่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะมีผลในปี ๒๕๕๘ เป็นการเปลี่ยนแปลง สาคัญท่ีเกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในภูมิภาคจะเปิดเสรีมากขึ้น จึงควรใช้ โอกาสน้ใี นการสร้างแหล่งท่องเท่ยี วใหมห่ รือเช่ือมโยงแหลง่ ท่องเท่ียวร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในอาเซียน
- ๓๙ - ในรูปแบบของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจการท่องเท่ียวพิเศษระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของการ ท่องเท่ียวในภูมิภาค โดยประเทศไทยจะได้ประโยชน์หลายด้าน ท้ังจากการสร้างแหล่งท่องเท่ียวใหม่ท่ีมีความ น่าสนใจทาให้สามารถดึงดูดนักท่องเท่ียวจากท้ังในและต่างประเทศได้ดีย่ิงข้ึน และเกิดการกระจายการ ท่องเที่ยวและรายได้ไปยังพื้นที่ชายแดนบางพื้นที่ท่ีเป็นเหมือนทางตัน รวมท้ังยังสามารถลดข้อจากัดในการ ลงทุนและข้อขัดแยง่ ทางอาณาเขตในบางพื้นที่ได้ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจการท่องเท่ียวพิเศษ จะอยู่ในรูปแบบการทาข้อตกลงกับ ประเทศเพ่ือนบ้านที่มีความใกล้เคียงทางอัตลักษณ์ โดยกาหนดพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพ เช่น อีสานใต้-ลาว ใต-้ กมั พชู า ภาคเหนือพม่า ให้เป็นเขตเศรษฐกิจการท่องเที่ยวพิเศษ โดยให้-พม่า หรือภาคตะวันตก-ลาวเหนอื - รัฐตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเพ่ือศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจการท่องเที่ยว พเิ ศษ และศกึ ษาในประเดน็ ต่างๆ ไดแ้ ก่ (ก) โอกาสในการร่วมลงทุนพัฒนาแหล่งท่องเทย่ี วและสงิ่ อานวยความสะดวกต่าง ๆ ใน พน้ื ท่ีรว่ มกัน (ข) การอานวยความสะดวกในการเดินทาง เช่น ให้นักท่องเท่ียวต่างชาติเดินทางข้าม แดนในเขตเศรษฐกจิ การทอ่ งเท่ยี วพเิ ศษไดโ้ ดยไม่ต้องใชว้ ีซ่า และสามารถใชย้ านพาหนะขา้ มประเทศในพน้ื ที่ได้ (ค) การกาหนดบางพ้ืนที่เป็นการพัฒนาเพ่ือวัตถุประสงค์พิเศษ เช่น เขตการค้า ปลอดภาษี (Shopping paradise) เป็นตน้ (๔) การสง่ เสรมิ การขยายธรุ กิจด้านการท่องเทย่ี วของไทยไปในตา่ งประเทศ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ป็ น ป ร ะ เ ท ศ ท่ี มี ผู้ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ที่ มี ศั ก ย ภ า พ ใ น ก า ร ด า เ นิ น ธุ ร กิ จ ในต่างประเทศได้มาก จึงควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เช่น การเปิดสาขา บริษัทนาเที่ยวในต่างประเทศมากข้ึนเพื่อหาลูกค้ามาเท่ียวไทย การใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ในการ บริหารโรงแรมไปทางานในต่างประเทศ ท้ังน้ี เพื่อเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศนอกเหนือไปจากการ ทอ่ งเทย่ี วในประเทศเอง โดยได้ประโยชน์ ๒ ด้าน ได้แก่ ประการแรก การเพิ่มรายได้จากการท่องเท่ียวท้ังจาก นักท่องเที่ยวไทยที่ไปเท่ียวต่างประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศอ่ืนๆ เอง เป็นการหารายได้จาก องค์ความรู้และเอกลักษณ์ไทยโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรในประเทศ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีนักท่องเท่ียวไทย เดนิ ทางไปเท่ยี วต่างประเทศ ๖ ลา้ นคน มีคา่ ใช้จา่ ย ๑.๕ แสนล้านบาท มกี ารเติบโตในช่วง ๑๐ ปที ผี่ ่านมาเฉล่ีย ถึงร้อยละ ๑๕ ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการท่องเที่ยวในอาเซียนประมาณร้อยละ ๔๕ และในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่นประมาณร้อยละ ๒๕ และประการท่ีสอง การสร้างชื่อเสียงและประชาสัมพันธ์ การทอ่ งเทยี่ วไทยใหม้ ากขึ้น
- ๔๐ - ความคดิ รวบยอด ขอบเขตการปฏริ ปู และพัฒนา เครอื ข่ายพนั ธมิตร ตวั ชีว้ ดั และผลกระทบเชิงบวก ๑. กรอบความคดิ รวบยอด จากสถานภาพและปัญหาของอตุ สาหกรรมทอ่ งเทย่ี วท่เี ป็นปัญหามาอย่างยาวนานสามารถแก้ไข โดยการปฏิรูปและพฒั นา ๓ ด้าน ไดแ้ ก่ (๑) การปฏิรปู วสิ ยั ทศั น์ ที่มงุ่ เน้นการท่องเท่ยี วคณุ ภาพและย่งั ยืน (๒) การปฏิรปู โครงสรา้ งการบริหารจดั การ ที่มุ่งเน้นการมีสว่ นร่วมของภาครฐั ภาคเอกชน และชมุ ชน และ (๓) การพัฒนาเพื่อเพม่ิ ขดี ความสามารถ ดังสรปุ ได้ตามผงั ดังนี้ ๑. เน้นเป้ารายได้และ ปฏิรูปวิสยั ทัศน์ ปฎิรูปโครงสรา้ ง ๓ ประสาน นกั ทอ่ งเท่ียวคุณภาพ การบรหิ ารจดั การ ๑. ภาครัฐ ๒. จดั การแหล่งท่องเที่ยวให้มี - ปรบั โครงสรา้ งสว่ นกลาง ความยั่งยนื และระดับพื้นที่ ๓. จดั ให้มบี รกิ ารทางการ - บูรณาการการดาเนินงาน ทอ่ งเทีย่ วที่ได้มาตรฐาน - นาแผนไปสูก่ ารปฏิบตั ิ ๒. ภาคเอกชน ๔. กระจายผลประโยชนอ์ ยา่ ง - สนบั สนนุ ใหม้ กี ารรวมกลุ่ม ทั่วถงึ และเปน็ ธรรม สร้างความเขม้ แขง็ เป็น พัฒนาเพ่ือเพมิ่ ขดี เอกภาพ ภายใตส้ ทท. ความสามารถ - เพ่มิ บทบาทองคก์ ร ภาคเอกชนในการสนับสนุน ผปู้ ระกอบการ ๓. ภาคชมุ ชน - สนับสนนุ การรวมกลุ่ม - สง่ เสริมการมีสว่ นรว่ มใน การบรหิ ารจัดการทอ่ งเที่ยว ในพื้นท่ี ๑. การป้องกันและแก้ไขปญั หาความเสอื่ มโทรมของแหลง่ ท่องเทีย่ ว ๒. สง่ เสรมิ การพัฒนาแหล่งทอ่ งเทีย่ วใหม่ ๓. พฒั นาเขตเศรษฐกจิ การทอ่ งเที่ยวพเิ ศษ ๔. การสง่ เสรมิ การขยายธุรกจิ ด้านการท่องเทยี่ วของไทยไปในตา่ งประเทศ
- ๔๑ - ๒. ขอบเขตงานปฏริ ูป ๒.๑ การแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายเดิมที่เก่ียวข้องให้มีความทันสมัยและเหมาะสมมากข้ึน และเอือ้ ตอ่ การพฒั นาการทอ่ งเท่ยี วอย่างบูรณาการมากยิ่งข้ึน โดยกฎหมายที่เกีย่ วข้อง ได้แก่ (๑) พระราชบญั ญัตินโยบายการทอ่ งเที่ยวแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ (๒) พระราชบญั ญัติปรับปรงุ กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ (๓) พระราชบญั ญัติการทอ่ งเทย่ี วแหง่ ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ (๔) พรฎ.จัดตั้งสานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๕ (๕) พรฎ.จัดตง้ั องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพ่ือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การ มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ (๖) พรฎ. จัดตั้งสานกั งานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ การออกกฎหมายใหม่ เพ่ือรองรบั การดาเนินงานของหนว่ ยงานใหม่ (ในลกั ษณะเป็นองค์กร ในกากบั ของรฐั ) ๓. เครอื ข่ายพันธมิตร ๓.๑ คณะกรรมาธกิ ารในสภาปฎิรูปแหง่ ชาติ ได้แก่ (๑) คณะกรรมาธิการปฏริ ปู การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ (๒) คณะกรรมาธกิ ารปฏิรูปเศรษฐกจิ การเงนิ และการคลงั (๓) คณะกรรมาธกิ ารปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม (๔) คณะกรรมาธิการปฏริ ูปค่านยิ ม ศิลปะ วฒั นธรรม จริยธรรมและการศาสนา ๓.๒ หนว่ ยงานตา่ งๆ ไดแ้ ก่ (๑) กระทรวงการท่องเทยี่ วและกฬี า (๒) กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม (๓) กระทรวงมหาดไทย (๔) กระทรวงคมนาคม (๕) กระทรวงวัฒนธรรม (๖) กระทรวงการคลัง (๗) กระทรวงพาณิชย์ (๘) กระทรวงศึกษาธิการ (๙) สานกั งานตารวจแห่งชาติ (๑๐) องค์กรตา่ งๆ ท่ีเก่ยี วข้อง เชน่ ททท. สสปน. อพท. สานักงานพฒั นาพงิ คนคร (องค์การ มหาชน) และบริษัท ไทยแลนด์ พริวเิ ลจ คารด์ จากัด
- ๔๒ - (๑๑) ภาคเอกชนทเี่ กย่ี วข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรมทอ่ งเท่ียวแห่งประเทศไทย สมาคม วิชาชพี ต่างๆ ที่เกย่ี วข้องกับการท่องเที่ยว (๑๒) ภาคชมุ ชน เช่น เครอื ขา่ ยการทอ่ งเทยี่ วโดยชมุ ชน ๔. ตัวบง่ ช้ีผลสัมฤทธิ์ ๔.๑ การทอ่ งเที่ยวที่มีคุณภาพและยงั่ ยนื (๑) การท่องเทย่ี วเติบโตข้ึนอยา่ งย่ังยนื วดั จาก (๑.๑) สัดส่วนรายไดจ้ ากการท่องเทย่ี วในประเทศต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศเพิ่มข้ึน กว่าในปัจจุบัน (ปี ๒๕๕๖ ประมาณร้อยละ ๑๕ แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร้อยละ ๑๐ และ รายไดจ้ ากนกั ท่องเท่ยี วไทยร้อยละ ๕) หรือ (๑.๒) สัดส่วนของการท่องเที่ยวในผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเพ่ิมข้ึน (Total contribution of travel and tourism to GDP ในปี ๒๕๕๖ คิดเปน็ ร้อยละ ๒๐.๒) หรือ (๑.๓) อัตราการเติบโตของรายได้จากการท่องเท่ียวไม่ต่ากว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของ ภูมภิ าคเอเชยี แปซิฟกิ (๒) ผลประโยชนจ์ ากการท่องเที่ยวมกี ารกระจายมากขน้ึ วัดจาก จานวนจงั หวัดที่มรี ายได้ จากการท่องเทย่ี วมากกว่าค่าเฉล่ียของทุกจงั หวดั มีเพมิ่ ขนึ้ (ในปี ๒๕๕๖ มีเพยี ง ๑๐ จังหวัดทม่ี รี ายได้จากการ ทอ่ งเทย่ี วสงู กว่าคา่ เฉล่ยี ท่ี ๒ หมื่นล้านบาท) (๓) ความสามารถในการควบคุมผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อม วัดจาก (๓.๑.) จานวนแหล่งท่องเทยี่ วที่มกี ารกาหนดขดี ความสามารถในการรองรบั นักทอ่ งเทย่ี ว (จานวนนกั ท่องเทย่ี วสูงสุดที่สามารถไปเท่ยี วได)้ เพ่ิมขนึ้ (๓.๒.) จานวนแหล่งท่องเทีย่ วที่มนี ักท่องเที่ยวเข้าไปเกินกาหนดลดลง (๓.๓.) มีระบบการจองและจ่ายคา่ ธรรมเนยี มล่วงหน้าในการทอ่ งเทยี่ วในพนื้ ท่ีอนุรักษ์ ๔.๒ โครงสร้างการบริหารจดั การทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพมากขึ้น (๑) ภาครัฐ (๑.๑.) มีการแก้กฎหมายท่ีเก่ียวข้อง เช่น พระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยว แหง่ ชาติ พระราชบัญญัติการท่องเทีย่ วแห่งประเทศไทย และการออกกฎหมายใหม่ท่ีจาเป็นเพื่อปรับโครงสร้าง การบรหิ ารจดั การ (๑.๒.) มกี ารจดั ต้งั หน่วยงานตามโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ (๒) ภาคเอกชน มกี ารสนับสนนุ และกาหนดบทบาทหนา้ ที่องคก์ รภาคเอกชนที่รวมตวั กันอยา่ งถกู กฎหมายให้มากยิ่งขน้ึ (๓) ภาคชุมชน วัดจากจานวนชมุ ชนท่มี สี ่วนรว่ มในการบรหิ ารจดั การการท่องเทย่ี วเพมิ่ ข้ึน
Search