1. อะตอม2. วงโคจรของอเิ ล็กตรอน3. คุณสมบัตทิ างไฟฟาของสสาร4. สารกง่ึ ตวั นํา5. ไดโอด6. การไบอัสไดโอด7. ลักษณะสมบตั ิทางไฟฟา ของไดโอด8. การวัดและทดสอบไดโอด1. อธิบายโครงสรา งของอะตอมได2. อธิบายวงโคจรของอิเลก็ ตรอนได3. อธบิ ายคณุ สมบตั ิทางไฟฟาของสสารได4. อธิบายลกั ษณะของสารกงึ่ ตวั นาํ ได5. อธิบายโครงสรางของไดโอดได6. บอกสญั ลกั ษณของไดโอดได7. อธบิ ายวิธกี ารไบอสั ไดโอดได8. อธบิ ายลกั ษณะสมบตั ทิ างไฟฟา ของไดโอดได9. อธบิ ายวิธกี ารวดั และทดสอบไดโอดได
2อะตอม สสารหรอื ธาตุตา งๆ ทัง้ ท่ีอยูในสภาวะของแข็ง ของเหลว และกาซ จะประกอบดว ยโมเลกลุ หลายๆ ตัวรวมกัน โดยแตละโมเลกลุ จะประกอบดวย อะตอมหลายๆ ตัวรวมกัน ซ่งึ อะตอม จะประกอบดว ยอนภุ าคยอ ยๆ อีกชนั้ หนง่ึ โครงสรางของอะตอม อะตอม จะประกอบดวยนิวเคลียส ซง่ึ จะอยูเปนแกนกลางของอะตอม และมอี เิ ล็กตรอนวงิ่ โคจรรอบๆนิวเคลียส โดยปกตอิ ะตอมของธาตตุ า งๆจะเปน กลางทางไฟฟา ในธาตุเดียวกัน ภายในนิวเคลียส จะประกอบดว ยโปรตรอนและนวิ ตรอน ซึง่ จะมจี าํ นวนเทา ๆ กัน อยรู วมกัน โดยโปรตรอนจะมปี ระจุเปน บวกสว นนิวตรอน จะมสี ภาวะเปน กลางทางไฟฟา สว นอิเล็กตรอน จะมจี าํ นวนเทา กบั โปรตรอนและนวิ ตรอน โดยมปี ระจเุ ปนลบ ซง่ึ จะว่งิ โคจรรอบๆนวิ เคลยี ส ภาพท่ี 1-1 แสดงโครงสรา งของอะตอมทมี่ าของภาพ: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000068868วงโคจรของอิเลก็ ตรอน วงโคจรของอเิ ลก็ ตรอนทอี่ ยหู างจากนวิ เคลยี ส จะกาํ กบั ดวยตวั อกั ษรภาษาองั กฤษ ซง่ึ วงในสุดท่ตี ดิ กบั
3นวิ เคลยี ส จะนับเปนวงแรก คือ วง K และวงโคจรท่ีอยหู า งออกไปเรื่อยๆวงโคจรถัดไปจะเปน วง L , M , N , O , Pและ Q ตามลาํ ดบั ซ่งึ สสารหรอื ธาตุตา งๆ จะมจี าํ นวนวงโคจรแตกตา งกนั ดังตารางธาตุ อเิ ล็กตรอนทีว่ งิ่ โคจรรอบๆ นวิ เคลียสจะวิ่งเปนวงๆโดยในแตละวงจะมจี าํ นวนอิเล็กตรอนบรรจอุ ยูไมเทากัน เรยี งลําดบั จากนอ ย (วงในสดุ ) ไปหามากแตละวงสามารถบรรจุจาํ นวนอเิ ลก็ ตรอนได ตามสูตร 2N2 โดย N คอื ลําดับของวงโคจรที่หางจากนวิ เคลียส ภาพท่ี 1-2 แสดงตารางธาตุ
4ทม่ี าของภาพ: http://www.vcharkarn.com/varticle/500208 ดังนนั้ จาํ นวนวาเลนเซลลและวาเลนซอ เิ ลก็ ตรอนในธาตแุ ตละชนดิ จะมจี ํานวนไมเทา กนั เนอื่ งจากอะตอมของธาตุแตล ะชนิด มจี ํานวนอิเลก็ ตรอนมากนอยแตกตา งกัน และมีขอจํากัดในการบรรจอุ เิ ลก็ ตรอนในวงโคจร วงนอกสุดได ไมเกนิ 8 ตัว แตอ ิเล็กตรอนวงนอกสุดจะอยูวงใดกไ็ ด ไมจ ําเปน ตอ งอยทู ่วี ง Q เทานนั้ วงที่ถูกบรรจุอเิ ลก็ ตรอนวงสดุ ทายของธาตนุ ัน้ เรยี กวา วาเลนซเซลล สว นอิเล็กตรอนทบ่ี รรจุอยบู นวงนอกสุด เรียกวา วาเลนซอ เิ ลก็ ตรอนซง่ึ สามารถสรุปจาํ นวนในแตละวง ดงั นี้ วง K (วงท่ี 1) จะมีจํานวนอเิ ลก็ ตรอนสงู สุดเทากับ 2N2 = 2(1)2 = 2 ตัว วง L (วงที่ 2) จะมจี าํ นวนอเิ ลก็ ตรอนสงู สุดเทา กับ 2N2 = 2(2)2 = 8 ตวั วง M (วงที่ 3) จะมจี ํานวนอเิ ลก็ ตรอนสูงสดุ เทากับ 2N2 = 2(3)2 = 18 ตัว วง N (วงท่ี 4) จะมจี าํ นวนอิเลก็ ตรอนสงู สดุ เทากบั 2N2 = 2(4)2 = 32 ตวั วง O (วงท่ี 5) จะมจี าํ นวนอเิ ล็กตรอนสงู สดุ เทา กับ 2N2 = 2(5)2 = 50 ตัว โดยต้งั แต วงท่ี 5 (วง O) เปนตนไปจะมจี าํ นวนอิเล็กตรอนทบ่ี รรจลุ งไปจะไมเ ตม็ จํานวนตามสูตรท่ีคาํ นวณได ภาพที่ 1-3 แสดงวงโคจรของอเิ ลก็ ตรอนทมี่ าของภาพ: http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/metalswu/lesson2-16.htm ตวั อยา ง การจดั เรียงโครงสรา งอเิ ลก็ ตรอนของอะตอมโซเดยี ม (Na) ซง่ึ มจี าํ นวนอเิ ล็กตรอน ทัง้ หมด11 ตวั โดยอเิ ล็กตรอนจะถกู บรรจุอยทู ่ีชนั้ ที่ 1 จํานวน 2 ตัว ชน้ั ท่ี 2 จาํ นวน 8 ตัว และช้นั ที่ 3 จํานวน 1 ตวั ดังน้ันโซเดียมจะมจี าํ นวนวงโคจรทัง้ หมด 3 วง
5 ภาพที่ 1-4 แสดงการจดั โครงสรางอิเลก็ ตรอนของอะตอมโซเดียมทีม่ าของภาพ: http://ccg4sodium.weebly.com/electron-configuration.htmlคุณสมบตั ิทางไฟฟา ของธาตหุ รอื สสาร วาเลนซอ ิเล็กตรอนหรอื อเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ยบู นวงนอกสดุ เปน ตวั ทีบ่ ง บอกคณุ สมบตั ทิ างไฟฟา ของสสารหรอื ธาตุตางๆ ซงึ่ สามารถแบง ออกได 3 ชนิด คือ ตัวนาํ ไฟฟา กง่ึ ตวั นํา และฉนวนไฟฟา โดยจะกาํ หนดจากสสารหรอื ธาตทุ มี่ จี ํานวนวาเลนซอเิ ล็กตรอน ดงั น้ี 1. ตวั นําไฟฟา (Conductor) จะมวี าเลนซอ ิเลก็ ตรอน 1–3 ตวั 2. กงึ่ ตัวนาํ (Semi Conductor) จะมีวาเลนซอ เิ ลก็ ตรอน 4 ตวั 3. ฉนวนไฟฟา (Insulator) จะมวี าเลนซอ ิเล็กตรอน 5–8 ตัว ตัวนําไฟฟา (Conductor) ตวั นําไฟฟา คือ ธาตุทมี่ จี ํานวนวาเลนซอ ิเลก็ ตรอน 1–3 ตวั ซ่ึงอเิ ล็กตรอนจะสามารถหลุดออกจากอะตอมไดงาย เมอ่ื มีพลังงานหรอื แรงมากระทาํ เพยี งเลก็ นอ ย คุณสมบตั ิของตัวนาํ ไฟฟา คือ สามารถนาํ กระแสไฟฟาไดด ี ซ่ึงธาตุทเ่ี ปนตวั นําไฟฟา ไดแ ก เงนิ ทองแดง ทองคาํ อลมู เิ นยี ม เหล็ก สงั กะสี ก่งึ ตวั นําไฟฟา (Semi-Conductor) กงึ่ ตัวนําไฟฟา คอื ธาตทุ ีม่ จี ํานวนวาเลนซอ เิ ล็กตรอน 4 ตวั พอดี ซ่ึงมีคุณสมบตั กิ ง่ึ กลางระหวา งตัวนาํ ไฟฟา และฉนวนไฟฟา ธาตทุ เี่ ปน กง่ึ ตัวนาํ ไฟฟา ไดแก คารบอน ตะกั่ว ดีบุก แตธาตบุ างชนิดทนี่ ยิ มนาํ ไปผลิตเปน อปุ กรณอเิ ลก็ ทรอนิกสต า งๆ มี 2 ชนิด ไดแก ซิลกิ อน (Si) และเยอรมันเนย่ี ม (Ge)
6 Si Ge ภาพที่ 1-5 แสดงโครงสรางอะตอมของซลิ ิกอนและเยอรมนั เนี่ยม ฉนวนไฟฟา (Insulator) ฉนวนไฟฟา คอื ธาตุที่มจี ํานวนวาเลนซอ เิ ลก็ ตรอน 5–8 ตัว ซง่ึ อิเลก็ ตรอนจะหลดุ ออกจากอะตอมไดย าก จะตอ งใชพ ลงั งานสงู มากๆ มากระทาํ เพ่ือใหอ ิเล็กตรอนหลุดออกจากวงโคจรได คณุ สมบตั ิของฉนวนไฟฟาคอื กระแสไฟฟาไหลผานไดยาก มคี า ความตานทานไฟฟา สูงมาก ธาตุทเี่ ปน ฉนวนไฟฟา ไดแก ไมกา แกว พลาสติกไมแ หงสารกง่ึ ตวั นาํ ธาตหุ รือสสารทมี่ คี ณุ สมบตั ิทางไฟฟาเปน กึ่งตัวนาํ ไฟฟา จะไมส ามารถนํามาเปนตวั นาํ ไฟฟาท่ดี ไี ดและไมสามารถนําไปเปนฉนวนไฟฟา ทีด่ ีดว ยเชน กนั แตสามารถนําไปใชป ระโยชนเปน อปุ กรณส ารกง่ึ ตัวนาํ ได โดยผานกระบวนการโดป สารหรอื การเจือปนสาร (Doping) เพื่อใหเ กดิ สารกงึ่ ตัวนําชนิดใหมขึน้ มา ไดแ ก สารกง่ึ ตวั นาํ ชนดิพีและสารกงึ่ ตวั นําชนิดเอ็น สารก่งึ ตัวนาํ บรสิ ุทธ์ิ สารกง่ึ ตวั นาํ บรสิ ุทธิ์ คอื ธาตุกงึ่ ตวั นําที่ยงั ไมไ ดเ ติมสารเจอื ปนใดๆ ลงไป ธาตุก่งึ ตวั นาํ ที่นยิ มนาํ มาทําเปน สารกึ่งตวั นาํ ในการผลิตอปุ กรณอ เิ ลก็ ทรอนกิ ส ไดแ ก ซลิ ิกอน (Si) และเยอรมันเนีย่ ม (Ge) ซง่ึ ธาตุทัง้ 2 ชนิดจะมีวาเลนซอ เิ ลก็ ตรอน 4 ตวั แตจาํ นวนอิเล็กตรอนทงั้ หมด จะไมเ ทา กนั สารกง่ึ ตัวนําไมบรสิ ทุ ธิ์ สารกง่ึ ตัวนําไมบรสิ ุทธิ์ คอื การนําธาตุกึ่งตวั นาํ ซิลิกอนหรอื เยอรมนั เนีย่ มมาเติมธาตเุ จอื ปนลงไปโดยใชธาตเุ จือปนทม่ี วี าเลนซอ ิเล็กตรอน 3 ตวั หรือ 5 ตัว ในอตั ราสวน 108 : 1 ซึ่ง หมายถึง ธาตกุ ึง่ ตวั นําบรสิ ุทธิ์108 สวน ตอ สารเจอื ปน 1 สวน จะทําใหไ ดส ารกงึ่ ตัวนาํ ชนดิ ใหม คือ สารกงึ่ ตวั นําชนดิ เอน็ (N-type) กบั สารกง่ึตัวนาํ ชนดิ พี (P-type) สารกึง่ ตวั นาํ ชนิดเอ็น สารก่ึงตัวนาํ ชนิดเอ็น คือ สารก่ึงตัวนําทไี่ ดจ าการนาํ ธาตุกึ่งตวั นําซลิ กิ อนหรอื เยอรมันเน่ียมมาเตมิ
7สารเจอื ปนทีม่ ีวาเลนซอ เิ ล็กตรอน 5 ตวั เชน ฟอสฟอรสั (P) และ อาเซนคิ (As) อยา งใดอยางหน่ึงลงไป จะทําใหวาเลนซอเิ ลก็ ตรอนแตล ะอะตอม แลกเปลี่ยนอิเลก็ ตรอนซง่ึ กนั และกนั หรอื ใชอเิ ลก็ ตรอนรว มกนั ไดค รบท้ัง 8 ตวั สงผลใหเ หลือจํานวนอิเล็กตรอน อีก 1 ตัว ทไ่ี มสามารถจบั ตัวกับอเิ ล็กตรอนในอะตอมขางเคยี งได เรยี กอเิ ลก็ ตรอนตัวนว้ี า อเิ ล็กตรอนอิสระ (Free Electron) โดยจะแสดงประจลุ บออกมา ภาพที่ 1-6 แสดงโครงสรา งการจับตวั ของอิเล็กตรอนวงนอกสดุ ระหวางซิลกิ อนกับฟอสฟอรสั สารกงึ่ ตัวนาํ ชนดิ พี สารกึง่ ตวั นําชนดิ พี คือ สารก่ึงตัวนําท่ไี ดจาการนําธาตุกึง่ ตัวนําซลิ กิ อนหรือเยอรมนั เนย่ี มมาเตมิสารเจอื ปนท่มี วี าเลนซอ เิ ล็กตรอน 3 ตัว เชน โบรอน (Br) , อนิ เดียม (In) , แกลเลยี ม (Ge) และ อลมู เิ นยี ม (Al)อยา งใดอยา งหนง่ึ ลงไป จะทาํ ใหวาเลนซอ เิ ล็กตรอนแตล ะอะตอมไดแ ลกเปลย่ี นอิเลก็ ตรอนซงึ่ กนั และกันหรือใชอิเลก็ ตรอนรว มกนั ไดค รบ 8 ตัว ทาํ ใหอะตอมของธาตุเจอื ปนขาดจํานวนอิเลก็ ตรอน อีก 1 ตวั เรยี กอเิ ลก็ ตรอนท่ีขาดไปวา โฮล (Hole) ซ่งึ แปลวา หลุมหรอื รู โดยจะแสดงประจบุ วกออกมา
8 ภาพท่ี 1-7 แสดงโครงสรางการจบั ตวั ของอิเลก็ ตรอนวงนอกสดุ ระหวา งซลิ กิ อนกับโบรอนไดโอด ไดโอด (Diode) เปน อปุ กรณสารก่งึ ตัวนาํ ท่ียอมใหก ระแสไฟฟาไหลผา นไดท ศิ ทางเดียว ทาํ หนา ทีเ่ รียงกระแสและตัดสญั ญาณ ไดโอดมหี ลากหลายขนาดและหลากหลายชนิด ดังนนั้ จงึ พบเห็นรปู รางภายนอกของไดโอดที่แตกตางกัน ภาพท่ี 1-8 แสดงรูปรา งของไดโอดที่มาของภาพ: https://www.arduinoall.com/category/52/electronic-component/%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%94 ชนิดของไดโอด ไดโอด สามารถแบง ตามเนอื้ สารทใ่ี ชผลิตเปนอปุ กรณอ เิ ลก็ ทรอนิกสได 2 ชนิด คือ 1) เยอรมนั เนีย่ มไดโอด ซึง่ สารเยอรมันเนย่ี มเปนเนอ้ื สารที่ไมน ยิ มนาํ มาผลิตเปนอปุ กรณอิเลก็ ทรอนิกส เน่อื งจากมกี ระแสร่วั ไหลมากกวา สารซลิ กิ อน
9 2) ซลิ กิ อนไดโอด ซึ่งสารซิลกิ อนเปนเนื้อสารท่นี าํ มาผลิตเปนอปุ กรณอ เิ ลก็ ทรอนิกสทุกชนดิในปจ จบุ นั ไดโอด สามารถแบง ตามลักษณะกรรมวธิ ที ่ีผลิตได 2 ชนิด คอื 1) ไดโอดชนดิ จุดสมั ผสั (Point contact diode) เกิดจากการนาํ สารเยอรมันเน่ยี มชนดิ เอ็นมาอัดเปนเสนลวดพลาตนิ ่ัม (Platinum) เรยี กวา หนวดแมว ใสเขา ไปในหลอดแกวตอเขากบั ผลกึ ซงึ่ เปน สารชนดิ เอน็เม่อื ใหก ระแสคา สงู ๆ ไหลผานรอยตอระหวางสายและผลึก จะทาํ ใหเ กิดสารชนดิ พี ขึน้ รอบๆ รอยสัมผสั ในผลึกเยอรมันเนี่ยม ภาพที่ 1-9 แสดงรูปรา งของไดโอดชนดิ จุดสมั ผสัท่มี าของภาพ: http://allowtech.blogspot.com/2011/11/diode.html 2) ไดโอดชนิดหัวตอ พี-เอน็ (P-N junction diode) เกดิ จากการนาํ สารกง่ึ ตัวนําชนิดเอน็ มาแพรอนุภาคอะตอมของสารบางชนิดเขา ไปในเนือ้ สารกงึ่ ตัวนําชนิดพขี นึ้ บางสวน แลวจงึ ตอ ข้ัวออกใชงาน ไดโอดชนดิ น้ีมบี ทบาทมากในวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ สแ ละใชงานกนั อยา งแพรห ลาย ภาพที่ 1-10 แสดงรูปรา งของไดโอดชนิดหวั ตอ พ-ี เอ็นทม่ี าของภาพ: https://www.alibaba.com/product-detail/Hot-selling-t2d-diode-2a-rectifier_60465581171.html โครงสรา งของไดโอด ไดโอด ประกอบจากสารกง่ึ ตวั นาํ ชนดิ พแี ละสารกงึ่ ตัวนําชนดิ เอน็ นํามาตอชนกันดว ยวธิ ีการปลูก
10ผลกึ หรอื วิธีการแพรก ระจายสารเจอื ปนลงไปในสารกงึ่ ตัวนําบรสิ ทุ ธท์ิ ําใหม ีรอยตอ (Junction) ระหวางสารกง่ึ ตวั นาํ1 รอยตอ มขี าใชงาน 2 ขา คอื ขาอาโนด (Anode) เรียกยอ ๆ วาขา A ซ่ึงจะตอเขากับสารก่งึ ตัวนําชนิดพี และขาแคโถด (Kathode) เรียกยอ ๆ วา ขา K ซึง่ จะตอเขา กบั สารก่ึงตัวนาํ ชนิดเอน็ ภาพท่ี 1-11 แสดงโครงสรา งของไดโอดชนิดจดุ สัมผสัทีม่ าของภาพ: http://mte.kmutt.ac.th/elearning/Electronic_Fuel_Injection_System/unit1-1-14.htmlอาโนด P แคโถดA : Anode N K : Kathod ภาพท่ี 1-12 แสดงโครงสรางของไดโอดชนิดหัวตอ พ-ี เอน็ สารก่ึงตัวนําชนิดพี ซ่ึงมีโฮลเปนพาหะสวนใหญมาเช่ือมตอกับสารก่ึงตัวนําชนิดเอ็น ซ่ึงมีอเิ ลก็ ตรอนเปน พาหะสวนใหญ (พาหะ หมายถึง อเิ ล็กตรอนหรือโฮลที่เคลือ่ นที่) ทําใหอิเลก็ ตรอนของสารกึง่ ตวั นําชนิดเอ็นเคล่ือนที่ผานรอยตอเขาไปหาโฮลในสารกึ่งตัวนําชนิดพี ในทางเดียวกันโฮลในสารกึ่งตัวนําชนิดพี จะเคลือ่ นท่ขี ามรอยตอเขา ไปหาสารกงึ่ ตวั นําชนิดเอ็น ซ่งึ การเคล่อื นทข่ี องพาหะสว นใหญจ ะเกดิ ข้ึนบรเิ วณใกลร อยตอ พีเอ็น ทําใหเกิดสนาม ไฟฟาข้ึน สนามไฟฟานี้จะตานทานการเคล่ือนท่ีของพาหะสวนใหญของสารก่ึงตัวนําทั้งสองไมใหเคล่ือนท่ีผานรอยตอ เรียกสภาวะนี้วา สภาวะสมดุล ในภาวะสมดุลท่ีรอยตอสารกึ่งตัวนําชนิดซิลิกอน จะมีความตางศักยท่ีบรเิ วณปลอดพาหะประมาณ 0.6-0.7 โวลท และสารกง่ึ ตวั นําชนิดเยอรมันเนียม จะมีความตา งศักยทบ่ี ริเวณปลอดพาหะประมาณ 0.2-0.3 โวลท ศักยไฟฟานจ้ี ะมีคา ลดลงเร่อื ยๆ เมื่ออุณหภูมิสงู ขน้ึ สญั ลกั ษณของไดโอด ดานหัวลกู ศร จะเปน ขาอาโนด (Anode) หรอื ขา A และอีกดา นหนงึ่ เปน ขาแคโถด (Kathod)หรือขา K หวั ลกู ศร จะแสดงทิศทางการไหลของกระแสโฮลจากขาอาโนดไปยงั ขาแคโถด (เม่อื ไดร บั ไบอสั ตรง) อาโนด แคโถด A : Anode K : Kathod ภาพท่ี 1-13 แสดงสัญลักษณของไดโอดการไบอสั ไดโอด การจะนําไดโอดไปใชง าน จะตอ งมกี ารจา ยไบอัสหรือจัดแรงดนั ไฟใหกับไดโอด เพ่อื ใหไดโอดนํากระแสหรือหยุดนํากระแส ซึง่ การไบอสั ไดโอด สามารถทําได 2 วธิ ี คอื การไบอัสตรง (Forword Bias) กบั การไบอสั กลับ(Reverse Bias)
11 การไบอสั ตรง (Forword Bias) คือ การจายแรงดนั ไฟทีม่ ีศกั ยบ วกใหก บั สารกงึ่ ตวั นาํ ชนิดพหี รอื ขาอาโนด และจา ยแรงดนั ไฟทม่ี ีศักยลบใหก ับสารก่ึงตวั นําชนิดเอน็ หรือขาแคโถด AK IT ภาพท่ี 1-14 แสดงการจา ยไบอัสตรงใหกบั ไดโอด เมื่อไดโอดไดรบั ไบอสั ตรง โดยตอศกั ยบ วกของแหลง จา ยไฟฟา เขากบั ขาอาโนดและตอ ศกั ยล บเขากบั ขาแคโถด ไฟลบจะไดผ ลักอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระในสารชนดิ เอน็ ใหเ คลอ่ื นทไี่ ด ในเวลาเดยี วกันไฟบวกทจ่ี ายใหส ารชนิดพจี ะดึงดูด อเิ ลก็ ตรอนใหเ คลอ่ื นทเ่ี ขามาหา และจะผลกั โฮลใหเ คลือ่ นทไี่ ปขา งหนา อเิ ล็กตรอนจะเคลอ่ื นทผี่ านสารชนดิ พเี ขา กบั ศกั ยไ ฟบวกของแหลงจาย และเคลอื่ นทผ่ี า นแหลงจายไปยงั ขาแคโถดของสารชนิดเอ็นเกดิ กระแสไหลผานไดโอดได แรงดันไบอสั ตรงที่จายใหไ ดโอด จะตอ งจา ยแรงดนั ไบอสั มากกวาศกั ยไฟฟา ท่ีตกครอ มรอยตอ ซ่งึคา แรงดนั จะมากหรอื นอ ยข้ึนอยกู ับชนดิ ของสารท่ีใชผ ลติ ไดโอดไดโอดทผี่ ลิตจากสารเยอรมันเน่ียมจะมแี รงดัน 0.2-0.3 โวลท สวนไดโอดท่ีผลิตจากสารซลิ ิกอน จะมแี รงดัน 0.6-0.7 โวลท ดงั นนั้ การจายแรงดนั ไบอัสตรง จะตองจายใหมากกวาศักยไฟฟา ทีต่ กครอ มรอยตอซง่ึ เม่อื ไดโอดเกดิ การนํากระแสจะมแี รงดนั ตกครอ มรอยตอ ของไดโอดเทากับ0.3 โวลท ในไดโอดชนดิ เยอรมนั เน่ียม (Ge) และ เทา กบั 0.7 โวลท ในไดโอดชนิดซิลกิ อน (Si) การไบอสั กลับ (Reverse Bias) คือ การจา ยแรงดันไฟฟา ใหก ับไดโอดแบบกลบั ข้ัว คอื จา ยศักยไ ฟบวกใหส ารชนิดเอน็ หรือขาแคโถด (K) และจายศักยไ ฟลบใหส ารชนิดพหี รอื ขาอาโนด (A) KA IT = 0 ภาพที่ 1-15 แสดงการจายไบอสั กลบั ใหกบั ไดโอด ศกั ยไฟบวก (+) ท่จี ายใหก ับขาแคโถด (K) จะดงึ ดูดอเิ ล็กตรอนอสิ ระในสารกึ่งตัวนาํ ชนดิ เอน็ ใหเคลอ่ื นตวั ออกหางรอยตอ สว นศักยไฟลบ (-) ที่จา ยใหก บั ขาอาโนด (A) จะดงึ ดดู โฮลจากสารก่ึงตัวนําชนิดพเี คลอ่ื นตวัออกหางรอยตอเชนกันทําใหรอยตอกวางมากข้ึนอิเล็กตรอนว่ิงไมครบวงจรไมมีกระแสไฟฟาไหลในตัวไดโอดแต
12อาจจะ มีกระแสร่ัวไหล (Leak Current) บางเล็กนอย โดยคากระแสรั่วไหลท่ีเกิดขึ้นในไดโอดท่ีผลิตจากสารเยอรมนั เนีย่ มจะมากกวาไดโอดท่ผี ลติ จากสารซิลิกอนลักษณะสมบัตทิ างไฟฟา ของไดโอด ไดโอดในอดุ มคติ จะมลี กั ษณะคลายกบั สวิทชท างไฟฟา คอื เมอื่ ใหไบอสั แบบตรง จะเหมอื นกับสวทิ ชปดวงจร (ON) แตถ า ใหไบอสั กลบั จะเหมือนกบั สวิทชเปดวงจร (OFF) ซึ่งไดโอดเมอื่ ไดรบั ไบอสั ตรง จะมกี ระแสไหลผา นไดโอดไดส ูงและมแี รงดันตกครอ มไดโอดอยเู ลก็ นอยประมาณ 0.2-0.3 โวลท หรือ 0.6-0.7 โวลท (ขนึ้ อยกู บั ชนดิของไดโอด) สว นขณะทไ่ี บอสั กลับจะมกี ระแสไหลผา นนอยมากเพยี งไมก ไ่ี มโครแอมป (A) เม่ือจายแรงดนั ไบอสั ตรงใหกบั ไดโอด จะเกิดกระแสไหลผานไดโอดไดในทิศทางจากสารกงึ่ ตวั นาํ ชนิดพีไปยงั สารกงึ่ ตัวนาํ ชนดิ เอ็น (กระแสนิยม) เรยี กวา กระแสไบอัสตรง โดยในชวงแรกไดโอดจะยังไมน ํากระแสเพราะแรงดันไบอสั ตรงยังไมส ามารถทาํ ลายโพเทนเชีย่ ล (Potentialหรอื ศกั ยไ ฟตรงรอยตอ PN) ตอ งใหแรงดันไฟฟาไบอสัตรงใหก ับไดโอดจนถึงคาแรงดนั คัทอิน (Cut in Voltage) จงึ จะทําใหโ พเทนเช่ียลลดลง จนทาํ ใหไดโอดนาํ กระแสไดเชน เยอรมันเน่ยี มไดโอด จะตอ งใหแรงดันคัทอนิ ประมาณ 0.2-0.3 โวลท และซลิ กิ อนไดโอด ตองใหแรงดันคทั อนิประมาณ 0.6-0.7 โวลท ดงั น้นั ถาจา ยแรงดันไบอสั ตรงใหก บั ไดโอดมากกวาแรงดันคัทอนิ ขน้ึ ไป ไดโอดจะสามารถนาํ กระแสได โดยมกี ระแส IF ไหลผานไดโอด เมื่อจายแรงดันไบอสั กลบั ใหก บั ไดโอดจะไมม กี ระแสไหลในวงจรมเี พียงกระแสรั่วไหลเลก็ นอ ยไหลผานไดโอดมีจํานวนนอยมากเปนไมโครแอมป (A) เปรียบไดว า ไดโอดไมมกี ระแสไหลผา นหรอื ไมนาํ กระแสแตถ าเพมิ่แรงดันไบอสั กลบั ใหสงู มากขึ้นจนถงึ แรงดนั คา หนงึ่ เรยี กวาแรงดันพงั ทลาย (Breakdown Voltage) ซึ่งไดโอดนาํกระแสไดใ นสภาวะนจ้ี ะสง ผลใหร อยตอ PN ของไดโอดจะทะลแุ ละมีกระแสไหลผา นรอยตอ จํานวนมาก การใชงานโดยทัว่ ไปจะไมจ ายแรงดนั ไบอสั กลบั แกไดโอดเกนิ กวาคา แรงดนั พังทลายของไดโอด
13 ภาพท่ี 1-16 แสดงกราฟคณุ สมบัตขิ องไดโอดทีม่ าของภาพ: https://wiki.stjohn.ac.th/groups/poly1/wiki/d24e0/_.htmlการวัดและทดสอบไดโอด การทดสอบไดโอดดว ยมลั ติมิเตอรแบบอนาลอ็ ก สามารถทาํ ได โดยตง้ั ยานวดั ความตา นทาน R10 เพ่ือวัดความตานทานขณะไบอสั ตรง โดยตอขว้ั ไฟบวกของมัลติมเิ ตอร (มเิ ตอรต ระกูล Sanwa ขัว้ บวกจะจายไฟลบและข้ัวลบจะจายไฟบวก) เขากบั ขาแคโถดและตอ ขว้ั ไฟลบเขา กับขาอาโนด จะเหน็ วา เข็มของมลั ตมิ เิ ตอรจ ะชี้ทค่ี า ความตานทานตา่ํ ประมาณ 70 จากนน้ั ใหปรบั ยา นวดั ความตานทานไปที่ R10K เพื่อวัดความตา นทานขณะไบอัสกลับ โดยตอ ขวั้ ของมลั ติมเิ ตอรก ลบั จากเดิม คือ ตอข้วั ไฟบวกเขา กับขาอาโนดและตอขัว้ ไฟลบเขา กบั ขาแคโถด เข็มของมัลตมิ ิเตอรจะชท้ี ี่คา ความตานทานสูงมากหรือคา อนันต () (เข็มมเิ ตอรไมก ระดิก) ในไดโอดชนิดซิลกิ อน และประมาณ 500K ในไดโอดชนดิเยอรมนั เนยี่ ม ซงึ่ ไดโอดปกติ เม่อื วดั แลว เข็มจะข้ึน 1 ครัง้ และจะไมขนึ้ 1 คร้ัง
14 ภาพที่ 1-17 แสดงการทดสอบไดโอดดว ยมลั ติมเิ ตอรแบบอนาล็อก การทดสอบไดโอดดวยมลั ตมิ เิ ตอรแ บบดิจติ อล ใหต้งั ยานวดั ไดโอด โดยวัดข้วั ทั้งสองของไดโอดดว ยไบอัสตรง คือ ใหข ้ัวไฟลบ (มเิ ตอรด จิ ติ อล ข้วัไฟลบจะออกจากขัว้ ลบของมเิ ตอร) ของมเิ ตอรต อ กบั แคโถดและขัว้ ไฟบวกของมเิ ตอรต อ เขากบั ขาอาโนด มเิ ตอรจะแสดงคา แรงดันตกครอมรอยตอ ของไดโอด (แรงดันคัทอนิ ) โดยแสดงคา แรงดนั ประมาณ 0.6-0.7 โวลท ในไดโอดชนดิ ซลิ กิ อน และแสดงคา ประมาณ 0.2-0.3 โวลท ในไดโอดชนิดเยอรมนั เน่ียม ภาพที่ 1-18 แสดงการทดสอบไดโอดดวยมลั ตมิ เิ ตอรแ บบดจิ ติ อล การวดั หาขัว้ ของไดโอด สวนใหญ บนตวั ไดโอดจะมีเครอ่ื งหมายกาํ กบั ไว เพอ่ื บอกวาเปน ขาแคโถดหรืออาโนด โดยถาหากแถบสขี าวบนตวั ถงั ของไดโอดสดี าํ หรือแถบสีดําขาวบนตวั ถงั ของไดโอดสีขาว คอ นไปทางขาใด ขาน้นั คอื แคโถด(K) สว นขาท่ีเหลือ คอื อาโนด (A)
15 ภาพท่ี 1-19 แสดงรูปรางและเครอื่ งหมายกาํ กบั ขัว้ ของไดโอด หากขั้วหรอื แถบเครอ่ื งท่แี สดงขาของไดโอดจางหายหรอื ไดโอดเกดิ การไหมห รือระเบิดทะลอุ ยา งรนุ แรงจะสง ใหไ มส ามารถบอกถึงข้วั ของไดโอด ดงั น้นั จึงตองใชม เิ ตอร เปน เครอื่ งมือในการทดสอบ ขัน้ ตอนในการทดสอบ เพ่ือหาขัว้ ของไดโอด 1) ปรบั มลั ติมเิ ตอรไปทีย่ า นความตา นทาน Rx10 2) ปรบั ซโี รโ อหม 3) นาํ สายวัดแตะที่ขาของไดโอด โดยสายบวกของมลั ตมิ เิ ตอรแ ตะขาไดโอดขา งท่ีมแี ถบสีเงินสว นสายลบของมเิ ตอรแ ตะขาไดโอดขา งทีไ่ มม ีแถบ ผลการทดสอบ ถา หากเข็มมเิ ตอร เบย่ี งเบนไปทางขวาและอา นคาไดป ระมาณ 7 แสดงวา ขาทแ่ี ตะกบั สายลบของมิเตอร( สายลบของมเิ ตอรมศี กั ยบ วก) คอื ขาแอโนด (A) และขาที่แตะกบั สายบวกของมิเตอร (สายบวกของมเิ ตอรม ีศักยล บ) คือ ขาแคโถด (K) การเสียของไดโอด 1) ไดโอดขาด (Open) หมายถงึ รอยตอ ระหวางสารกงึ่ ตวั นาํ พเี อ็นเปดออกจากกัน ทําใหไ ดโอดไมสามารถนาํ กระแสได ทงั้ กรณไี บอสั ตรงและไบอสั กลบั (เขม็ มิเตอรก ็ไมก ระดกิ ทงั้ 2 ครัง้ ) 2) ไดโอดลัดวงจร (Short) หมายถงึ รอยตอ ระหวา งสารก่งึ ตัวนําพเี อน็ เกิดการพงั พลายเขาหากนัไดโอดจะนาํ กระแสท้งั กรณไี บอสั ตรงและไบอัสกลบั (เขม็ มเิ ตอรขน้ึ ท้ัง 2 ครง้ั ) 3) ไดโอดร่วั ไหล (Leakage) หมายถึง การวัดไดโอดในลักษณะไบอสั กลบั โดยใชค า แรงดันจากโอหมมเิ ตอร ซึง่ มีคาแรงดนั ตํา่ กวา แรงดันพังทลายของไดโอด ก็มกี ระแสไหลแลว ไดโอดชนดิ เยอรมันเนย่ี ม เมอื่ ถกูไบอัสกลบั จะมคี า ความตานทาน ประมาณ 400K-500K ซึ่งมีกระแสรัว่ ไหลมากกวาไดโอดชนดิ ซลิ ิกอน โดยไดโอดชนดิ ซลิ ิคอนเมอื่ ถกู ไบอสั กลับจะมีคาความตานทานเปน อนนั ต (เขม็ มเิ ตอรไ มกระดกิ )
16 อะตอม ประกอบดว ย นวิ เคลยี สทอ่ี ยเู ปนแกนกลางของอะตอม ซึง่ ภายในนวิ เคลียส ประกอบดวยโปรตรอน มปี ระจุไฟฟา เปน บวก และนิวตรอน จะมสี ภาวะเปน กลาง และมอี เิ ล็กตรอนโคจรรอบๆ นิวเคลยี ส โดยมีจาํ นวนอเิ ลก็ ตรอนในแตล ะวงโคจรไมเ ทา กัน วงโคจรที่อยูนอกสุด เรยี กวา วาเลนซเ ซลล อเิ ล็กตรอนมปี ระจุไฟฟาเปน ลบ อเิ ล็กตรอนทอี่ ยบู นวงโคจรนอกสุด เรยี กวา วาเลนซอ ิเลก็ ตรอน จะมจี ํานวนไดไ มเกนิ 8 ตวั ซึง่ จะบง บอกคุณสมบัตทิ างไฟฟาได 3 ชนิด คอื ตวั นําไฟฟาก่งึ ตัวนาํ และฉนวนไฟฟา สารก่ึงตัวนาํ ไฟฟา จะไมสามารถนาํ มาเปน ตวั นาํ ไฟฟา ที่ดไี ดแ ละไมส ามารถนําไปเปน ฉนวนไฟฟาทดี่ ีดว ยเชน กนั แตส ามารถนําไปใชประโยชนเ ปน อปุ กรณส ารกง่ึ ตวั นําได โดยผา นกระบวนการโดปสารหรือการเจือปนเพ่อื ใหเ กดิ สารกงึ่ ตวั นาํ ตัวใหมข น้ึ มา ไดแก สารกง่ึ ตัวนําชนิดพีและสารกง่ึ ตัวนําชนิดเอ็น ไดโอดเปนอุปกรณส ารกงึ่ ตวั นาํ ที่ไดจ ากการนาํ สารกง่ึ ตวั นําชนดิ พแี ละสารกง่ึ ตัวนาํ ชนิดพีมาตอ ชนกนัไดโอดจะมขี าตอใชง าน 2 ขาคือขาอาโนดเปนขาทตี่ อ กบั สารก่ึงตวั นําชนิดพีกับขาแคโถดเปน ขาที่ตอกบั สารก่ึงตัวนาํชนิดเอ็นวธิ กี ารไบอัสไดโอดมี 2 วธิ คี อื การไบอัสตรงเปนวธิ ที ่ที าํ ใหไ ดโอดนาํ กระแส และการไบอสั กลบั เปนวิธกี ารที่ไดโอดจะไมนาํ กระแสไมมกี ระแสไฟฟา ไหลผา นในวงจรแตจ ะมเี พยี งกระแสร่ัวไหลการวัดและตรวจสอบไดโอดสามารถทาํ ไดโ ดยการใชโอหม มเิ ตอร ท้งั แบบอนาลอ็ กและดจิ ิตอล โดยต้ังยานวัด Rx10วัดคา ความตานทานของไดโอดถาหากคา ความตานทานทวี่ ดั ไดม คี วามตา นทานตํา่ หรอื เข็มมิเตอร1 คร้ังและมคี วามตานทานสงู หรอื เข็มมเิ ตอรไ มข ้นึ 1 ครงั้ แสดงวา ไดโอดอยใู นสภาพปกติการเสยี ของไดโอดมหี ลายแบบเชน ไดโอดชอรท คาความตา นทานของไดโอดจะต่ําหรอื เข็มมเิ ตอรจะขนึ้ ทั้ง 2 ครัง้ไดโอดขาดคาความตา นทานจะสงู หรอื เข็มมเิ ตอรไ มข นึ้ ทั้ง 2 ครั้งและถาหากคา ความตานทานตา่ํ หรือเข็มมเิ ตอรขึน้1 คร้งั และคาความตานทานคอ นขา งสงู หรือเขม็ มเิ ตอรขึน้ เลก็ นอ ยแสดงวาไดโอดร่วั
17ตอนที่ 1 จงทําเคร่อื งหมายกากบาท () ลงบนตวั เลือกที่ถกู ตอ ง1. สารก่ึงตัวนําชนิดใดนิยมนํามาสรางอปุ กรณ 6. เม่ือไดโอดชนิดซลิ กิ อนนาํ กระแส จะเกิดความตา งอิเลก็ ทรอนกิ ส ศักยกโ่ี วลท ก. เงิน ก. 0.3 โวลท ข. ซลิ กิ อน ข. 0.5 โวลท ค. ทองแดง ค. 0.7 โวลท ง. คารบ อน ง. 0.9 โวลท2. สสารมีคุณสมบตั ทิ างไฟฟา ก่ชี นดิ 7. ไดโอดมโี ครงสรางกรี่ อยตอ ก. 2 ชนดิ ก. 1 รอยตอ ข. 3 ชนิด ข. 2 รอยตอ ค. 4 ชนิด ค. 3 รอยตอ ง. 5 ชนิด ง. 4 รอยตอ3. วงจรโคจรชน้ั ท่ี 4 มีอเิ ล็กตรอนกต่ี ัว 8. การไบอัสไดโอดมกี วี่ ธิ ี ก. 2 ตวั ก. 2 วธิ ี ข. 8 ตัว ข. 3 วธิ ี ค. 18 ตวั ค. 4 วิธี ง. 32 ตวั ง. 5 วธิ ี4. ธาตทุ ีม่ อี ิเลก็ ตรอน จาํ นวน 64 ตัว มชี น้ั วงโคจร 9. การเสยี ของไดโอดมกี ่กี รณีก่ีชน้ั ก. 2 กรณี ก. 3 ช้ัน ข. 4 ชน้ั ข. 3 กรณี ค. 5 ชนั้ ค. 4 กรณี ง. 5 กรณี ง. 6 ช้นั5. วาเลนซอ ิเล็กตรอน มีไดไ มเกนิ ก่ีตวั 10. ดา นท่ีมีแถบสีขาวหรอื ดําบนตัวถงั ของไดโอดคือ ขาใด ก. 2 ตวั ก. เกต ข. 8 ตัว ค. 18 ตวั ข. เบส ง. 32 ตวั ค. อาโนด ง. แคโถด
18ตอนท่ี 2 จงเติมคาํ ลงในชองวา งใหส มบรู ณ1. สารกง่ึ ตัวนําชนิดเอน็ คอื .........................................................................................................................................2. สสารมคี ุณสมบตั ทิ างไฟฟา ……………..ชนดิ คือ …………………………………………..……………………………………………...3. วงโคจรชนั้ ที่ 3 มีอิเล็กตรอน …………… ตัว4. ธาตุทม่ี ีอเิ ลก็ ตรอน จาํ นวน 72 ตวั มีชัน้ วงโคจร ……………ชนั้5. วงโคจรทีอ่ ยวู งนอกสดุ เรยี กวา ...............................................................……………..6. เมื่อไดโอดชนดิ เยอรมันเน่ียมนํากระแส จะเกดิ ความตา งศักย ……………………. โวลท7. ไดโอด มี ……. ขา คอื ……………………………………………………………….…………………..8. ไดโอดมีรอยตอ …………………. รอยตอ9. จุดท่ีทําใหไ ดโอดพงั เสยี หาย เรยี กวา ……………………………………………………………….10. การไบอสั แบบ ……………………………. จะทาํ ใหไ ดโอดนาํ กระแสตอนท่ี 3จงตอบคาํ ถามใหไ ดใ จความสมบรู ณ1. สารกึ่งตวั นําชนิดใดทีน่ ิยมนาํ มาสรา งอุปกรณอเิ ลก็ ทรอนกิ ส2. จงบอกความหมายของสารกึง่ ตัวนาํ ชนดิ เอ็น (N-type)3. โครงสรา งของอะตอมมีลกั ษณะอยางไร4. จงบอกความหมายและคุณสมบัตขิ องฉนวนไฟฟา5. ธาตุที่มคี ุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟา มอี ะไรบา ง (3 ชนดิ )6. จงอธบิ ายโครงสรา งของไดโอด7. การไบอสั ไดโอดมกี ี่วธิ ีอะไรบา ง8. จุดที่ทําใหไดโอดนํากระแส เรียกวาอะไร9. การเสยี ของไดโอดมกี ก่ี รณี แตละกรณมี ลี ักษณะการเสยี อยา งไร10. จงบอกวธิ ีการหาขาของไดโอด
19“การใชแ ละอา นคูมืออปุ กรณอ เิ ลก็ ทรอนกิ ส ECG”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ทม่ี า http://www.bspc. ac.th/files/1104271616302995_1104280882528.pdf สืบคน เมื่อ 14 กนั ยายน 2558.“การทดสอบไดโอดดวยมัลตมิ เิ ตอรแบบดจิ ติ อล”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลงทมี่ า http://www.bloggang. com/viewblog.php?id=zol&group=24&page=2. สบื คน เม่ือ 14 กนั ยายน 2558.“การทดสอบไดโอดดวยมัลตมิ เิ ตอรแบบอนาลอ็ ก”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ทม่ี า http://auto.thaime board.com/index.php?topic=482.0. สบื คน เมอ่ื 14 กนั ยายน 2558.“คุณสมบัตขิ องไดโอด”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลงท่มี า http://www.repair-rectifier.com/en_diode. htm. สบื คน เมือ่ 14 กนั ยายน 2558.“โครงสรางไดโอดชนดิ จดุ สมั ผสั ”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ทม่ี า http://mte.kmutt.ac.th/ elearning/Electronic_Fuel_Injection_System/unit1-1-14.html. สบื คน เม่ือ 14 กนั ยายน 2558.“โครงสรา งอะตอม”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลงท่มี า http://www.pbj.ac.th/web/studentProjects/ physics/physics1/atom%20structure.html. สืบคน เมอื่ 12 สงิ หาคม 2558.“ชนดิ ของไดโอด”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ทมี่ า http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet7/diode_1. htm. สืบคน เมือ่ 12 สงิ หาคม 2558.“ไดโอด”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลงท่ีมา http://www.slideshare.net/vatsalshah2210/report- automatic-led-emergency-light. สบื คน เมือ่ 14 กนั ยายน 2558.“ไดโอดชนิดจดุ สมั ผสั ”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ทม่ี า http://en.academic.ru/dic.nsf/enwiki/146981 สบื คน เมื่อ 14 กนั ยายน 2558.“ไดโอดชนิดหัวตอ P-N”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ที่มา http://www.sahakhun.com/product/ index.php?id_menu=85. สืบคน เมอ่ื 14 กันยายน 2558.“ตารางธาต”ุ . ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ท่ีมา https://shawaphon.files.wordpress.com/2011/ 08/e0b895e0b8b2e0b8a3e0b8b2e0b887e0b898e0b8b2e0b895e0b8b8-f1.jpg. สบื คน เมอ่ื 12 สิงหาคม 2558.ธนกร คีรพี ิทกั ษ. 2537. สารกง่ึ ตัวนําและวงจร. ปทมุ ธานี : สกายบคุ .ประพนั ธ พพิ ฒั นสขุ และคณะ. ม.ป.ป.. ปฏิบัตอิ ปุ กรณอ เิ ล็กทรอนกิ สและวงจร 2. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พ ศนู ยส งเสริมอาชีวะ.พุทธารกั ษ แสงกงิ่ . ม.ป.ป.. อุปกรณอ เิ ล็กทรอนกิ ส. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พ ศูนยส ง เสรมิ อาชีวะ.พนั ธศ ักดิ์ พุฒิมานติ พงศ. ม.ป.ป.. ทฤษฎีอิเลก็ ทรอนกิ สเ บ้อื งตน. กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพศ นู ยสงเสรมิ วชิ าการ._______. 2557. อุปกรณอเิ ล็กทรอนิกสและวงจร. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พศ ูนยส ง เสริมวิชาการ.
20_______. ม.ป.ป.. อุปกรณอิเล็กทรอนกิ สและวงจร. กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พศ ูนยสง เสรมิ วชิ าการ._______. ม.ป.ป.. อปุ กรณอเิ ล็กทรอนกิ สแ ละวงจร. กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พศูนยส ง เสรมิ อาชีวะ.“วงโคจรของอเิ ลก็ ตรอน”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ท่ีมา http://www.rmutphysics.com/ charud/scibook/metalswu/lesson2-16.htm.ไวพจน ศรีธัญ. 2546. อุปกรณอ เิ ล็กทรอนกิ ส. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พว ังอกั ษร.“สญั ลักษณของไดโอด”. ม.ป.ป.. [ระบบออนไลน] . แหลง ทีม่ า http://www.neutron.rmutphysics.com/ science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=2153&Itemid=4. สบื คน เมอ่ื 14 กนั ยายน 2558.อดลุ ย กลั ยาแกว. ม.ป.ป.. อุปกรณอเิ ล็กทรอนกิ สแ ละวงจร (อุปกรณอ เิ ล็กทรอนกิ ส) . กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พ ศนู ยส งเสรมิ อาชีวะ,________. 2556. อุปกรณอ เิ ลก็ ทรอนิกสและวงจร. กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พศ นู ยสง เสรมิ อาชวี ะ.
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: