ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา โรงเรียนสงวนหญิง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
ชิ้นงาน E-BOOK เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา จัดทำโดย ๑. น.ส. กาญจนา พงษ์เพ็ง เลขที่ ๔ ๒. น.ส. จิตรา นันทโกศลศักดิ์ เลขที่ ๕ ๓. น.ส. ทวาราวดี มณีอินทร์ เลขที่ ๘ ๔. น.ส. วศินี อ่วมมณี เลขที่ ๑๖ ๕. น.ส. วัชลาวลี ทาสีรงค์ เลขที่ ๑๗ ๖. น.ส. วาริศา โพธิ์แก้ว เลขที่ ๑๘ ๗. น.ส. ชลิตา ทองฤทธิ์ เลขที่ ๒๙ ๘. น.ส. ณัฏฐ์ณิชา มาโสมพันธ์ เลขที่ ๓๒ ๙. น.ส. นพวรัทย์ เกิดสุข เลขที่ ๓๔ ๑๐. น.ส. รัตนา ขวัญเมือง เลขที่ ๓๘ ๑๑. น.ส. อภิชญา แก้วปาน เลขที่ ๔๐ ๑๒. น.ส. มันตาสินี รุจจนเวท เลขที่ ๔๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๔ เสนอ คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน ชิ้นงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานวิชาภาษาไทย ๖ ท๓๓๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๙
ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาไทยพื้นฐาน ๖ ท๓๓๑๐๒ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัด ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ ความเป็นมา ประวัติผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ เนื้อเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เนื้องเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฏีกา เพื่อ วิเคราะห์คุณค่าทางด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์และด้านสังคม และ ได้ศึกษาอย่างละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนในระดับสูงขึ้น คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E- BOOK) เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลในเรื่องขุน ช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาด ประการใดทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ ๒ กรกฏาคม ๒๕๖๕
สารบัญ ข เรื่อง หน้า คำนำ สารบัญ ก ความเป็นมาของขุนช้างขุนแผน ข จุดประสงค์ของการแต่งขุนช้างขุนแผน ๑ ผู้แต่งขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ๒ ลักษณะคำประพันธ์ ๒ เนื้อเรื่องขุนช้างขุนแผน แบบย่อ ๒ เนื้อเรื่องเต็มขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ๓ วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา ๗ วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม ๑๗ วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๘ บรรณานุกรม ๑๙ ภาคผนวก ๒๒ ๒๓
ความเป็นมาของขุนช้างขุนแผน ๑ เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้ เป็นนิยายพื้นบ้านของสุพรรณบุรี ที่แต่งขึ้นจากเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งมีหลักฐานอยู่มีเนื้อความปรากฎใน หนังสือคำในให้การชาวกรุงเก่าซึ่งนับเป็นเรื่อง ในพระราชพงศาวดารโดยแต่งเป็น บทกลอนสำหรับขับเสภาให้ประชาชนฟังเมื่อมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ที่มีผู้แต่งไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น เหลืออยู่เพีงบางตอนนั้น เพราะถูกไฟไหม้และสูญหายไป เมื่อครั้งเสียกรุงกับพม่า พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัยฯ ให้กวีหลายท่าน เช่น พระองค์กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ( รัชกาลที่ ๓ ) สุนทรภู่ ครูแจ้ง เป็นต้นให้ช่วยกันแต่งเพิ่มเติมขึ้น โดยแบ่งกันแต่งเป็นตอนๆไป จนจบเรื่อง ขุนช้างขุนแผนเป็นเรื่องที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่าเป็นยอดของหนังสือประเภทกลอนเสภา มีสำนวนโวหารที่ไพเราะคมคาย มีคติ เตือนใจ สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตและสังคมความเป็นอยู่ของคนไทยให้ความรู้ เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทยและยังให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินอีกด้วย เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนฉบับที่รวบรวมในปัจจุบันมีทั้งหมด ๔๓ ตอน แต่มีอยู่ ๘ ตอนที่วรรณคดีสมาคม ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นประธานได้ลงมติไว้ใน พ.ศ.๒๔๗๔ ว่าแต่งดีเป็นยอดเยี่ยม ได้แก่ ๑.ตอนพลายแก้วเป็นชู้นางพิม ๕.ตอนกำเนิดพลายงาม ๒.ตอนขุนช้างขอนางพิม ๖.ตอนขุนช้างถวายฎีกา ๓.ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ๗.ตอนฆ่าวันทอง ๔.ตอนขุนแผนพาวันทองหนี ๘.ตอนพระไวยถูกเสน่ห์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดการฟังขับเสภามากพระองค์จึง โปรดเกล้าฯให้กวีในราชสำนักช่วยกันรวบรวมเรื่องขุนช้างขุนแผนและช่วยกันแต่ง เสภาตอนที่ขาดไปตามที่กวีแต่ละคนถนัดพระองค์ก็ทรงพระราชนิพนธ์บทเสภาขุน ช้างขุนแผนและช่วยกันแต่งเสภาตอนที่ขาดไปตามที่กวีแต่ละคนถนัดองค์ก็ทรง พระราชนิพนธ์บทเสภาขุนช้างขุนแผนทั้งหมด ๔ ตอนคือ ตอนที่ ๔ พลายแก้มเป็นชู้กับนางพิม ตอนที่ ๑๓ วันทองหึงลาวทอง ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรื่องขุนช้างได้นางแก้วกริยา ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพาวันทองหนี
๒ จุดประสงค์ของการแต่งขุนช้างขุนแผน เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเกี่ยกับวิถีชีวิตของสังคมไทยในอดีต สมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้แต่งขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ไม่ปรากฎนามผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพเสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่าง เล่านิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟังและมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไป ยังคำใดคำหนึ่งใน ๕ คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบท เหมือนกลอนสุภาพ ตัวอย่าง ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม
เนื้อเรื่องขุนช้างขุนแผน แบบย่อ ๓ ณ เมืองสุพรรณบุรี กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของ ขุนไกรพลพ่าย รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชาย ด้วยกันชื่อพลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมือง สุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อนางเทพทอง มีลูกชายชื่อขุนช้่าง ซึ่งหัวล้านมาแต่กำหนิด และครอบครัวของพันศร โยธาเป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ พิมพิลาไลย วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุน ไกรปลูกพลับพลาและต้อนควายเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้ันแตกตื่น ไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่รอชีวิตก็ หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่เมืองกาญจนบุรี ทางเมือง สุพรรณบุรีมีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัย ตาย ส่วนพันศร โยธาเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พอกลับมาถึงบ้านก็ เป็นไข้ป่าตาย เมื่อพลายแก้วอายุได้ 15 ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้าย ไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยต่อมาที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ เณร พลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมพิลาไลยเลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็น เช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิมพิลาไลย อธิ ฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมพิลาไลยโกรธมาก ต่อมาเณรพลพลายแก้วก็สึก แล้วให้นาง ทองประศรีมาสู่ขอนางพิมพิลาไลยและแต่งงานกัน
๔ ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระพันวษาจึงถามหาเชื้อสาย ของขุนไกร ขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้า สามารถของพลายแก้วเพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ไกลนางพิมพิลา ไลย สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมา แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบ กับเมืองเชียงใหม่และได้รับชัยชนะ นายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทองเห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหาร ไม่ได้เบียดเบียนให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลูกสางของตนให้ เป็นภรรยาของพลายแก้ว ส่วนนางพิมพิลาไลยเมื่อสามีไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่ หายขรัวตาจูวัดป่าเลไลยแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย ขุนช้างทำอุบายนำหม้อใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่า พลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวง ตามกฏหมายนางวันทองไม่เชื่อแต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับ เห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง นางวัน ทองจำต้องตามใจแม่ แต่นางไม่ยอมเข้าหอ ขณะนั้นพลายแก้วกลับมาถึง กรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็พานาง ลาวทองกลับสุพรรณบุรี นางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็ โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็น ภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจ ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับการอบรมในวังและได้เป็นมหาดเล็กเวร ทั้ง 2 คน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเช้า สมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผนขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนี ไปหาภรรยา สมเด็จพระพันวษาโกรธตรัสให้ขุนแผนตระเวนด่านที่ กาญจนบุรี ห้ามเข้าเฝ้าและริบนางลาวทองเข้าเป็นม่ายหลวง
ขุนแผนได้ทราบเรื่องก็โกรธขุนช้าง คิดจะแก้แค้นแต่ยังมีกำลังไม่พอ จึง ๕ ออกตระเวนป่าไปโดยลำพัง คิดจะหาอาวุธ ม้า และ กุมารทอง สำหรับ ป้องกันตัว ได้ตระเวนไปจนถึงถิ่นของหมื่นหาญนักเลงใหญ่ ได้เข้าสมัคร เข้าไปอยู่ด้วย เพราะหวังจะได้บัวคลี่ลูกสาวของหมื่นหาญ ได้ทำตัว นอบน้อมและตั้งใจทำงานเป็นอย่างดีจนเป็นที่รักใคร่ของหมื่นหาญถึงกับ ออกปากยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย พอได้แต่งงานกับบัวคลี่แล้ว ขุนแผนก็ ไม่ยอมทำงานร่วมกับหมื่นหาญ ทำให้หมื่นหาญโกรธคิดฆ่าขุนแผน เพราะ ขุนแผนอยู่ยงคงกระพันจึงให้บัวคลี่ใส่ยาพิษลงในอาหารให้ขุนแผนกิน แต่ ผีพรายมาบอกให้รู้ตัว ขุนแผนจึงทำอุบายเป็นไข้ไม่ยอมกินอาหารแล้ว ออกปากขอลูกจากบัวคลี่ นางไม่รู้ความหมายก็ออกปากยกลูกให้ขุนแผน พอกลางคืนขณะที่บัวคลี่นอนหลับขุนแผนก็ผ่าท้องนางแล้วนำลูกไปทำ พิธีตอนเช้าหมื่นหาญและภรรยารู้ว่าลูกสาวถูกผ่าท้องตายก็ติดตาม ขุนแผนไป แต่ก็สู้ขุนแผนไม่ได้ ขุนแผนเสกกุมารทองสำเร็จ จึงออกเดิน ทางต่อไป แล้วไปหาช่างตีดาบ หาเหล็ก และเครื่องใช้ต่าง ๆเตรียมไว้ตั้ง พิธีตีดาบจนสำเร็จ ดาบนี้ให้ชื่อว่า ดาบฟ้าฟื้ น ใช้เป็นอาวุธต่อไป หลังจากนั้นเดินทางไปหาม้า ได้ไปพบคณะจัดซื้อม้าหลวง ได้เห็นลูกม้าลูก ม้าตัวหนึ่งมีลักษณะถูกต้องตามตำราก็ชอบใจ ได้ออกปากซื้อ เจ้าหน้าที่ก็ ขายให้ในราคาถูก ขุนแผนจึงเสกหญ้าให้ม้ากิน และนำมาฝึกจนเป็นม้า แสนรู้ให้ชื่อว่า ม้าสีหมอก เมื่อได้กุมารทอง ดาบฟ้าฟื้ นและม้าสีหมอกครบตามความตั้งใจแล้วก็เดิน ทางกลับบ้าน คิดจะไปแก้แค้นขุนช้าง นางทองประศรีมารดาห้ามปรามก็ ไม่ฟัง ได้เดินทางออกจากกาญจนบุรีไปยังสุพรรณบุรีขึ้นเรือนขุนช้าง ได้ นางแก้วกิริยาลูกสาวพระยาสุโขทัยที่นำมาเป็นตัวจำนำไว้ในบ้านขุนช้าง เป็นภรรยา แล้วพาวันทองหนีออกจากบ้าน ขุนช้างตื่นได้ออกติดตามแต่ ตามไม่ทัน ได้ไปทูลฟ้องสมเด็จพระพันวษาให้กองทัพออกติดตามขุนแผน ขุนแผนไม่ยอมกลับได้ต่อสู้กับกองทัพทำให้ขุนเพชร ขุนรามถึงแก่ความ ตาย กองทัพต้องถอยกลับกรุง ขุนแผนจึงกลายเป็นกบฏ ต้องเที่ยวเร่ร่อน อยู่ในป่า จนนางวันทองตั้งท้องแก่ใกล้คลอด ขุนแผนสงสารกลัวนางจะ เป็นอันตรายจึงยอมเข้ามอบตัวกับพระพิจิตร พระพิจิตรได้ส่งตัวเข้าสู้คดี ในกรุง ขุนแผนชนะคดีและได้นางวันทองคืน ขุนแผนมีความคิดถึงลาว ทอง ได้ขอให้จมื่นศรีช่วยขอให้ ขุนแผนถูกกริ้ว และถูกจำคุก แก้วกิริยาจึง ตามไปปรนนิบัติในคุก
๖ วันหนึ่งขณะที่นางวันทองมาเยี่ยมขุนแผน ขุนช้างได้มาฉุดนางวัน ทองไปจนนางวันทองคลอดลูกให้ชื่อว่า พลายงาม เมื่อขุนช้างรู้ว่า ไม่ใช่ลูกของตัวเองจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า แต่ผีพรายของ ขุนแผนช่วยไว้ นางวันทองบอกความจริงและได้ให้พลายงามเดิน ทางไปอยู่กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามอยู่กับย่าจนโต ได้บวชเป็นเณรและเล่าเรียนวิชาความรู้เก่งกล้าทั้งเวทมนตร์ คาถา และการสงคราม เมื่อมีโอกาสขุนแผนได้ให้จมื่นศรีนำพลายงามเข้า ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อมีศึกเชียงใหม่ พลายงามได้อาสาออกรบและทูลขอประทาน อภัยโทษให้พ่อเพื่อไปรบ ขุนแผนและนางลาวทองจึงพ้นโทษ ขณะ ที่เดินทางไปทำสงครามนั้นผ่านเมืองพิจิตร ขุนแผนจึงแวะเยี่ยมพระ พิจิตร เมื่อพลายงามได้พบนางศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรก็หลงรัก จึงได้ลอบเข้าหานาง ขุนแผนจึงทำการหมั้นหมายไว้ เมื่อชนะศึก พระเจ้าเชียงใหม่ได้ส่งสร้อยทอง และสร้อยฟ้ามาถวาย พระพันวษา ได้แต่งตั้งขุนแผนเป็นพระสุรินทรลือไชยมไหสูรย์ภักดี ไปรั้งเมือง กาญจนบุรี และได้แต่งตั้งพลายงามเป็น จมื่นไวยวรนาถ และ ประทานสร้อยฟ้าให้แก่พลายงาม จากนั้นก็ทรงจัดงานแต่งงานให้ กับพลายงาม ขณะที่ทำพิธีแต่งงานขุนช้างได้วิวาทกับพลายงาม ขุนช้างได้ทูลฟ้อง จึงโปรดให้มีการชำระความโดนการดำน้ำพิสูจน์ ขุนช้างแพ้ความ พระพันวษาโปรดให้ประหารชีวิต แต่พระไวยขอชีวิตไว้ ต่อมาพระ ไวยมีความคิดถึงแม่จึงไปรับนางวันทองมาอยู่ด้วย ขุนช้างติดตามไป แต่พระไวยไม่ยอมให้ขุนช้างจึงถวายฎีกา พระพันวษาจึงตรัสให้นาง วันทองเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางมีความลังเล เลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับ ใคร พระพันวษาทรงโกรธจึงรับสั่งให้ประหารชีวิต แม้พระไวยจะ ขออภัยโทษได้แล้ว แต่ด้วยเคราะห์ของนางวันทอง ทำให้เพชรฆาต เข้าใจผิดจึงประหารนางเสียก่อน
๗ เมื่อจัดงานศพนางวันทองแล้ว ขุนแผนได้เลื่อนเป็นพระ กาญจนบุรี นางสร้อยฟ้าได้ให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวย หลงใหลนางและเกลียดชังนางศรีมาลา พระกาญจนบุรีมาเตือน พระไวยโกรธลำเลิกบุญคุณกับพ่อ ทำให้พระกาญจนบุรีโกรธ คบคิดกับพลายชุมพลลูกชายซึ่งเกิดจากนางแก้วกิริยาปลอมเป็น มอญยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา หวังจะให้พระไวยออกต่อสู้ จะได้ แก้แค้นได้สำเร็จ พระไวยรู้ตัวเพราะผีเปรตนางวันทองมาบอก พระพันวษาทรงทราบเรื่องโปรดให้มีการไต่สวน พลายชุมพล พิสูจน์ได้ว่า นางสร้อยฟ้ากับเถรขวาดได้ทำเสน่ห์จริงแต่นาง สร้อยฟ้าไม่รับ จึงมีการพิสูจน์โดยการลุยไฟ สร้อยฟ้าแพ้ พระ พันวษาสั่งให้ประหาร แต่นางศรีมาลาทูลขอไว้ นางสร้อยฟ้าจึง ถูกเนรเทศกลับไปเชียงใหม่ และคลอดลูกชื่อ พลายยง ต่อมานางศรีมาลาก็คลอดลูกชาย ขุนแผนจึงตั้งชื่อให้ว่า พลาย เพชร เถรขวาดมีความแค้นพลายชุมพล จึงปลอมเป็นจระเข้ไล่ กัดกินคนมาจากทางเหนือหวังจะแก้แค้นพลายชุมพล พระพัน วษาโปรดให้พลายชุมพลไปปราบ จระเข้เถรขวาดสู้ไม่ได้ถูกจับ ตัวมาถวายพระพันวษา และถูกประหารในที่สุด พลายชุมพลได้ รับแต่งตั้งเป็นหลวงนายฤทธิ์ เหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไป ทุกคนก็ อยู่อย่างมีความสุข
๘ เนื้อเรื่องเต็ม ตอน ขุนช้างขุนแผนถวายฎีกา ๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมมานำผิด น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง ฝ่ายพ่อมีบุญเป็นขุนนาง แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้ ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้
แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้ ๙ หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี อย่าเลยจะรับแม่กลับมา พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท เมื่อไรตะวันจะลับหล้า น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข คะเนนับย่ำยามได้สามครา สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง ลอยลมล่องดังถึงเคหา จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน ลงยันต์ราชะเอาปะอก จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ ๑๐ ลงจากเรือนไปมิได้ช้า เสร็จครบบริกรรมพระคาถา ๏ เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน ฯ กองไฟสว่างดังกลางวัน ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น จึงร่ายมนตรามหาสะกด หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ ย่างเท้าก้าวไปในทันที โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี กลับไปที่หนม้าีวแาระตก่าหรปรละัชุบม เพ้อมะเมอฝัน รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่ ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน มิได้มีใครทักแต่สักคน จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ทั้งไฟกองป้องกันทุกแห่งหน สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
๑๑ หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว เรณูฟูร่อนขจรใจ ข้าไทนอนหลับลงทับกัน ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา พลางนั่งลงนอบนบอภิวันท์ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ นไปฉุดมารดาเอามาไว้ มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา เป่าลงด้วยพระเวทวิทยา ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา อ้ายหัวใสข่มเหงไม่เกรงหน้า ขอษมาแม่แล้วก็ขับพราย มารดาก็ฟื้ นตื่นโดยง่าย
๑๒ ดาบใส่ฝักไว้ไม่เคลื่อนคลาย วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง ต้องมนต์มัวหมองเป็นหนักหนา ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง ซวนซบหลบลงมาหมอบเมียง อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน กอดผัวร้องดิ้นจนสิ้นเสียง จะร้องไยใช่โจรผู้ร้ายมา พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา ๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา ลุกออกมาพลันด้วยทันใด ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา วันทองประคองสอดกอดลูกรัก เจ้ามาไยปานนี้นี่ลูกอา สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ ฯ ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย ครั้นรู้ว่าลูกยาหากลัวไม่ ขุนช้างตื่นขึ้นมิเป็นการ จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้า เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน พ่อช่างลอบเข้ามากะไรได้ นี่พ่อใช้ฤๅว่าเจ้ามาเอง เขาจะรุกรานพาลข่มเหง ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็นการ
มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า ๑๓ มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ ฯ ๏ จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่ รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง ทุกวันนี้ลูกชายสบายยศ พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง พี่น้องข้างพ่อก็บริบูรณ์ ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น เป็นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ ลูกมาหมายว่าจะมารับ เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน แม้นจะบังเกิดเหตุเภทพาล ประการใดก็ตามแต่เวรา มาอยู่ไยกับไอ้หินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลั้วปทุมาลย์ที่หวานหอม ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่
๑๔ จะคิดถึงลูกบ้างฤๅอย่างไร ฤๅหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา ฯ พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม เมื่อคราวตัวแม่เป็นคนกลาง เจ้าเป็นถึงหัวหมื่นมหาดเล็ก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา จะขืนความคิดไปก็ใช่ที เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง ท่านก็วางบทคืนให้บิดา มิใช่เด็กดอกจงฟังคำแม่ว่า ฟ้องหากราบทูลพระทรงธรรม์
๑๕ พระองค์คงจะโปรดประทานให้ จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่ จึงว่าอนิจจาลูกมารับ เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา เพราะรักไอ้ขุนช้างกว่าบิดา เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ แม่ยังกลับทัดทานเป็นหนักหนา จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป แม่อย่าเจรจาให้ช้าที อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป ๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้ ถือดาบฟ้าฟื้ นยืนแกว่งไกว จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ ด้วยเป็นข้าลักไปไทลักมา ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่ จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป ฯ เห็นลูกยากัดฟันมันไส้ ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟัน อย่าฮึกฮักว้าวุ่นทำหุนหัน แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ เห็นเบื้องหน้าจะอึงแม่จึงห้าม
๑๖ ถ้าเห็นเจ้าเป็นสุขไม่ลุกลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล พระหมื่นไวยก็พามารดาไป พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน ฯ นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้ อน ๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น หาหมอมารักษายาเข้าปรอท ฟันฟางก็หักจากปากตัว ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่ ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป อีอุ่นอีอิ่ พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น
๑) รูปแบบ วิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา ฎีกา กวีเลือกใช้คำ ๑๗ กลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวาย ประพันธ์ประเภทกลอนเสภา ซึ่งมีลักษณะเหมือนกลอนสุภาพ กลอนเสภาอาจจะมีบาง วรรดที่มีจำนวนคำไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อดวามหรือกระบวนกลอนและจังหวะใน การขับเสภา ซึ่งกลอนเสภานี้เหมาะที่จะใช้ในการเล่าเรื่องและขับเป็นทำนองลำนำ คือ การขับเสภา ๒) องค์ประกอบของเรื่อง จำแนกตามหัวข้อต่างๆ ได้ ดังนี้ ๒.๑) สาระ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา เสนอข้อคิดว่าการ ตกเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความหลง ย่อมทำให้ มนุษย์ขาดสติกระทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ดำนึงถึงผลที่ตามมาว่าจะดีหรือร้ายแก่ตนหรือแก่ผู้ อื่น เมื่อเกิดความพลั้งพลาดจากการตัดสินใจก็นำไปสู่หายนะได้ เตือนเราให้ครองชีวิต ด้วยสติหลังจากที่พลายงามลอบขึ้นเรือนขุนช้างแล้วพามารดามาอยู่ด้วย ก็เกิดเกรงขุน ช้างจะเอาผิด วันรุ่งขึ้นจึงให้บ่าวใช้ไปบอกว่าตนป่วยอยากดูหน้าแม่ จะขอให้แม่มาอยู่ ด้วยสักพัก แล้วจึงจะพาไปส่งกลับ แต่ขุนช้างโกรธถวายฎีกาต่อพระพันวษาพระองค์ กล่าวโทษพลายงาม ที่ลอบขึ้นเรือนผู้อื่นโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทรงสั่งให้นางวันทอง เข้าเฝ้า แล้วตรัสถามนางวันทองว่าจะเลือกอยู่กับใคร นางวันทองตกประหม่าไม่อาจ ตัดสินใจได้เลยยกเรื่องให้พระพันวษาตัดสินใจแทนพระพันวษาเข้าใจว่านางวันทอง เลือกไม่ได้เพราะหลายใจ จึงทรงรับสั่งประหารชีวิตนางวันทอง ๒.๒) โครงเรื่อง เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวความรักของชายสองคนกับหญิงหนึ่งคนชายคน หนึ่งเป็นคนรูปงาม มีวิชาอาคมแต่เจ้าชู้ ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์แต่มี ฐานะร่ำรวย ทั้งสองคนปรารถนาผู้หญิงคนเดียวกันจึงเกิดการแย่งชิง เพราะความรัก ความใคร่จึงสร้างความทุกข์ใจให้กับทั้งสามคน ปมปัญหาของเรื่องนี้คือ นางผู้นั้นจะตก เป็นของชายใดเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกาเป็นตอนที่สำคัญที่สุด ของเรื่องเพราะเป็นตอนคลี่คลายปมปัญหาว่านางวันทองจะตกเป็นของผู้ใด ระหว่าง ขุนแผนกับขุนช้างตอน ขุนช้างถวายฎีกา เริ่มจากที่พลายงามอยากให้มารดามาอยู่ด้วย จึงได้ลอบขึ้นเรือนขุนช้าง แล้วพานางวันทองไปกับตน เมื่อขุนช้างรู้ว่านางวันทองอยู่กับพลายงามก็โกรธมากไป ถวายฎีกาพระพันวษา เรื่องได้หักมุมจบลงตรงที่นางวันทองถูกประหารชีวิต นับเป็น เรื่องน่าสลดใจและ สร้างความสะเทือนอารมณ์ให้แก่ผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง ๒.๓) ฉากและบรรยากาศ ฉากที่ปรากฎในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวาย ฎีกา คือ สภาพสังคมไทยในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นของชาวบ้าน ชาววัด และชาววัง ซึ่งผู้แต่งได้บรรยายฉากและบรรยากาศต่างๆ ได้สมจริงสอดคล้องกับเนื้อ เรื่อง เช่น เรือนของขุนช้างที่แสดงถึงความร่ำรวย ดังบทประพันธ์ ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง
วิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม ๑๘ ๑.)ความเชื่อ ๑.๑ ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ตอนที่พลายงามคิดที่จะขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อ พานางวันทองมาอยู่ด้วย พลายงามต้องเตรียมตัวหลายประการ เริ่มจากดูเวลา ฤกษ์ยาม เซ่นพลาย เสกขมิ้น ลงยันต์ ใส่มงคล เป่ามนตร์ และบริกรรมคาถา ก่อนที่จะลงเรือนของตน ๑.๒ ความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ก่อนที่นางวันทองจะถูกตัดสินประหารชีวิต นาง วันทองฝันว่าตนพลัดหลงเข้าป่าและหาทางกลับไม่ได้ จนกระทั่งมีเสือสองตัว ตะครุบพานางเข้าไปในป่านางจึงตกใจตื่นผวากอดขุนแผน ๑.๓ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องกรรม ตัวละครในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเมื่อ ประสบชะตากรรมที่ทำให้ตนเองพบกับความทุกข์ มักลงความเห็นว่า เป็นเรื่อง ของเวรกรรม ดังเช่น พลายงามที่เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้นางวันทองต้องไปครองคู่ กับขุนช้างเป็นเพราะเคราะห์กรรม ๒.)ค่านิยมของคนในสังคม ๒.๑ ค่านิยมเกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะ พลายงามรู้จัก แสดงความเคารพ นบ น้อมมีสัมมาคารวะ แม้จะอยู่ใน สถานการณ์ที่ทำให้ ขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อมา เห็น มารดาก็ยังระลึกถึง พระคุณเข้า ไปกราบไหว้ ๒.๒ ค่านิยมเกี่ยวกับผู้หญิงต้องมีสามีคนเดียว ไม่นิยมผู้หญิงที่มี พฤติกรรมเยี่ยง นางวันทองคือสามีสองคน ในเวลา เดียวกัน แม้โดยจริง แท้แล้วการ ที่นางต้องมี สามีสองคน นั้นมิใช่เกิด จากความปรารถนาของนางเอง แต่ในจุดนี้สังคม ก็มอง ข้ามเห็นได้ แต่เพียงผิวเผิน ว่านางเป็น คนที่ ไม่น่านิยม น่ารังเกียจ คำพิพากษา ให้ได้รับพระราชอาญา ถึงประหารย่อมเป็นยืนยันถึงผลของค่านิยมด้านนี้ของ สังคมไทย ๓.)ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม บทบาทของพระมหากษัตริย์ต่อประชาชนในสังคมไทย สมเด็จพระพันวษานั้น ถ้าพิจารณาวิเคราะห์อย่าง ละเอียดก็จะเห็นว่า แม้จะทรงเป็นเจ้าชีวิต มีพระ ราชอำนาจอันล้นพ้น แต่ก็มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจ อย่างปราศจากเหตุผล หรือ ด้วยอารมณ์ หากได้ทรงปฏิบัติพระองค์ อย่างเหมาะสมและทรงเมตตาครอบครัว ขุนแผน เพราะเห็นแก่ความดีความชอบ ที่เคยสร้างไว้ให้แก่บ้านเมือง นอกจากนี้ ทรงดำรงพระองค์อยู่ ในฐานะ ของกษัตริย์ ปกครองประเทศ ซึ่งจะต้องแก้ปัญหา ระดับประเทศแล้วยังต้อง แก้ ปัญหา ระดับ ครอบครัวของ ไพร่ฟ้าข้า แผ่นดินอีก ด้วย ทรงเปรียบเสมือน พ่อ หรือ ผู้ใหญ่ในครอบครัว เวลาคนในครอบครัวมีเรื่อง เดือดร้อนหรือเกิดการณ์วุ่นวายมาฟ้องร้องพระองค์ทรงมีหน้าที่ตัดสินคลี่คลาย ปัญหา เช่น ในกรณีที่ขุนช้างมาถวายฎีกา ครั้งนี้แม้ทรงกริ้ว ด้วยทรงรู้สึกว่า ขุน ช้างก่อเรื่องวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ก็มิได้ทรงละเลย ทรงนำมาพิจารณา
วิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๙ ๑) การสรรคำ กวีเลือกใช้คำในลักษณะต่างๆ เพื่อ ให้เกิดความไพเราะ สื่อความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ได้ ดังนี้ ๑.๑) การเลือกใช้คำได้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ กวีเลือกใช้คำไวพจน์ได้ ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ การใช้ดำไวพจน์แสดงให้เห็นสติปัญญาของกวีที่เลือกใช้คำได้ หลากหลายโดยไม่เสียความ และทำให้บทประพันธ์มีสัมผัสคล้องจองเกิดความไพเราะ เช่น อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไรตะวันจะลับหล้า เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร ๑.๒) การเลือกใช้คำที่เหมาะแก่เนื้อเรื่องและฐานะของยุคคลในเรื่อง เช่น ยายจันงันงกยกมือไหว้ นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ กวีเลือกใช้คำเหมาะแก่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับบ่าวที่ตกใจยกมือไหว้แล้วบอกขุนช้าง ว่าจะไปไหนทำไมไม่นุ่งผ้า ขุนช้างดูตัวเองก็ตกใจเช่นกัน ๑.๓) การเลือกใช้คำได้เหมาะแก่ลักษณะคำประพันธ์ ดำประพันธ์เรื่องขุนช้างขุนแผน คือกลอนเสภาที่ใช้ขับเสภาในงานมงคล เนื้อเรื่องแม้จะมีขนาดยาวแต่ก็ใช้คำง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นคำ ไทยแท้ ผู้อ่านหรือผู้ฟังสามารถเข้าใจดำที่กวีใช้ได้ดีโดยไม่ต้องตีความหมายอย่างลึกซึ้ง เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผนจึงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน นับว่ากวีเลือกใช้คำได้เหมาะแก่ลักษณะของคำ ประพันธ์ เช่น แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่ จะคิดถึงลูกบ้างฤอย่างไร ฤหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา ๑.๔) การเลือกใช้ดำโดยคำนึงถึงเสียง ดังนี้ (๑) การเล่นคำ กวีนำคำคำเดียวมาใช้ในที่ใกล้ๆ กัน เพื่อที่จะย้ำความหมายของ เนื้อความให้หนักแน่นมากขึ้น เช่น วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้ แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้ หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี กวีเล่นคำว่า แค้น เพื่อจะเน้นความหมายให้เห็นว่าพลายงามคิดเคืองแค้นขุนช้าง อยู่ตลอดเวลา และเป็นความแค้นที่ฝังใจ (๒) การเล่นเสียงสัมผัส คือ การสรรคำให้มีสัมผัสเสียง เพื่อให้เกิดทำนองที่ ไพเราะน่าฟังและแสดงให้เห็นความสามารถของกวี ซึ่งมีทั้งการเล่นเสียงพยัญชนะและเสียงสระ เช่น เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน สัมผัสสระ ได้แก่ สัตว์ - จัตุ(บท), สว่าง -กระจ่าง, เซ็น-เย็น,ใคร - ไม่, ย่ำ-จำ, ยาม -สาม สัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ (จัตุ)บท - (ทวิ)บาท, ดาว - ดาษ - เดือน, เย็น - เยือก, ส(งัด) - เสียง, คน - ใคร,ลอย - ลม - ล่อง, (คะ)เน - นับ, ย่ำ - ยาม
๒๐ ๒) การใช้โวหาร คือ การใช้ถ้อยดำอย่างมีชั้น เชิงในการเขียน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและรับรู้ อารมณ์ความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ หรือเรื่องที่เกิดจากจินตนาการได้ตรงตามจุดมุ่ง หมายของกวี ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีการใช้โวหารที่ก่อให้ เกิดอารมณ์สะเทือนใจหลายอารมณ์ วีใช้โวหารต่างๆ ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครทำให้ผู้ อ่านสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี ๒.๑) อุปมาโวหาร เป็นการใช้ถ้อยคำแสดงการเปรียบเทียบอย่างมีชั้นเชิง โดยการนำ สิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเทียบ ดังเหตุการณ์ตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อพานาง วันทองมาอยู่บ้านกับตน พลายงามได้กล่าวเปรียบเทียบนางวันทองกับขุนช้างว่าไม่มีความ เหมาะสมคู่ควรกัน ความว่า มาอยู่ไยกับอ้ายหินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลั้วปทุมมาลย์ที่หวานหอม ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ ๒.๒) บรรยายโวหาร เป็นกระบวนการแต่งที่มีเนื้อเรื่อง มีบทบาท ดำเนินเรื่องว่าใคร ทำอะไร ทำอย่างไร ที่ไหน และเมื่อไหร่ บรรยายโวหารใช้ในการเล่าเรื่อง เสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผนมีลักษณะเล่าเป็นเรื่องยาว จึงใช้บรรยายโวหารในการดำเนินเรื่อง ดังบทประพันธ์ ขอเดชะละอองธุลีบาท องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์ เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่ อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ ๓) การใช้ภาพพจน์ เป็นการใช้กลวิธีการเรียบเรียงถ้อยคำลักษณะคำลักษณะต่างๆ ที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจใช้ เพื่อให้เกิดผลทางจินตภาพหรือทำให้เกิดความซาบซึ้งใจได้มากกว่า การเขียนธรรมดา ๓.๑) การใช้ภาพพจน์อุปมา เป็นภาพพจน์ที่ใช้การเปรียบเทียบอธิบายลักษณะของ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยสิ่งที่นำมาใช้เป็นความเปรียบนั้นเป็นสิ่งที่รู้จักกันดี นำมาเปรียบเทียบเพื่อ ให้เห็นลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพียงด้านเดียว และจะมีดำเชื่อมแสดงการเปรียบเทียบไว้ อย่างชัดเจน เช่น คล้าย เหมือน ดัง ราว ราวกับ ดูจ เปรียบปาน เป็นต้น ดังบทประพันธ์ ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล ดับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี ๓.๒) การใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นภาพพจน์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็น อีกสิ่งหนึ่ง คำที่ใช้เปรียบ ได้แก่ คำว่า เป็น คือ เท่า เรียกให้เข้าใจง่ายว่า การเปรียบเป็น ดังบทประพันธ์ ที่นี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก
๒๑ ๔) ลีลาการประพันธ์ กระบนการแต่งคำประพ ันธ์ของกวีอย่างมีแบบแผน เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีเนื้อดวามที่พรรณนาได้งดงามอยู่หลายตอน ทั้งนี้เพราะกวีสามารถดำเนินเรื่องได้สมจริงและแทรกรสวรรณคดีต่างๆ เข้าถึงอารมณ์ได้ เป็นอย่างดี ๔.๑) เสาวรจนี เป็นบทชมความงามที่กวีเลือกใช้ถ้อยคำที่ไพเราะกล่าวถึงความงาม จากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีบทชมความงามของเรือนขุนช้าง สั้นๆในตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้าง แต่กวีก็เลือกสรรคำได้ไพเราะชวนอ่าน ดังบทประพันธ์ จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้ หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม ๔.๒) นารีปราโมทย์ เป็นบทเกี้ยว บทโอ้โลม แสดงความรักใคร่ ดังตอนที่ขุนแผน เข้าหานางวันทอง แล้วนางวันทองคิดถึงความหลังเกิดน้อยใจจึงแกล้งหลับ ขุนแผนจึง โอ้โลมแสดงความรักใคร่และยอมรับผิดเพื่อให้นางวันทองยอมพูดจาด้วย โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย เจ้าหลับใหลกระไรเลยเป็นหนักหนา ดังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา ฤขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง ความรักหนักหน่วงทรวงสวาท พี่ไม่คลาดคลายรักแต่สักสิ่ง เผอิญเป็นวิปริตพี่ผิดจริง จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ใย ๔.๓) พิโรธวาทัง คือ กระบนความตัดพ้อต่อว่า หึงหวง โกรธ ว่ากล่าวประชดประชัน กวีถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆ ของตัวละครได้อย่างกินใจ ดังเช่น เหตุการณ์ตอนที่ขุนแผน แอบมาหานางวันทอง นางกล่าวคำตัดพ้อต่อว่าขุนแผน ขุนแผนจึงพยายามขอโทษขอ คืนดี คำตัดพ้อของนางนั้นกวีใช้สำนวนโวหารที่ไพเราะคมคาย แสดงถึงความน้อยเนื้อ ต่ำใจของนางวันทองความขมขื่นใจที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาโดยตลอดก็ได้ระบายออกมา ดังบทประพันธ์ ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น ๔.๔) สัลลาปังคพิสัย เป็นบทแสดงความเศร้าโศก คร่ำครวญ เช่น เหตุการณ์ที่พลายงาม ไปหานางวันทองที่บ้านขุนช้าง ดังบทประพันธ์ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา พ่อพลายงามทรามสวาทของแม่อา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที
๒๒ บรรณานุกรม ไม่ปรากฏผู้แต่ง (๒๕๕๗).ความเป็นมา ตอนขุนช้างถวายฎีกา ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6.สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม๒๕๖๕ จาก https://sites.google.com อภิญญา อุ่นจากวาง (๒๕๕๔).วัตถุประสงค์ในการประพันธ์ ตอนขุนช้าง ถวายฎีกา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6.สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จาก gotoknow.org ไม่ปรากฏผู้แต่ง(๒๕๕๙).ผู้ประพันธ์ สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จากdigitalschool.club ไม่ปรากฏผู้แต่ง(๒๕๕๘).ลักษณะคำประพันธ์ สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จาก thai.ac ศรีสวาสดิ์ บุนนาค(๒๕๕๒)เนื้อเรื่องย่อ สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จาก http://www.thaigoodview.com.
๒๓ ภาคผนวก ภาพการประชุมกลุ่ม แจกแจงงานและหน้าที่
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: