ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา โรงเรียนสงวนหญิง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
ชิ้นงาน E-BOOK เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้าง ถวายฎีกา จัดทำโดย ๑. น.ส. กาญจนา พงศ์เพ็ง เลขที่ ๔ ๒. น.ส. จิตรา นันทโกศลศักดิ์ เลขที่ ๕ ๓. น.ส. ทวาราวดี มณีอินทร์ เลขที่ ๘ ๔. น.ส. วศินี อ่วมมณี เลขที่ ๑๖ ๕. น.ส. วัชลาวลี ทาสีรงค์ เลขที่ ๑๗ ๖. น.ส. วาริศา โพธิ์แก้ว เลขที่ ๑๘ ๗. น.ส. ชลิตา ทองฤทธิ์ เลขที่ ๒๙ ๘. น.ส. ณัฏฐ์ณิชา มาโสมพันธ์ เลขที่ ๓๒ ๙. น.ส. นพวรัทย์ เกิดสุข เลขที่ ๓๔ ๑๐. น.ส. รัตนา ขวัญเมือง เลขที่ ๓๘ ๑๑. น.ส. อภิชญา แก้วปาน เลขที่ ๔๐ ๑๒. น.ส. มันตาสินี รุจจนเวท เลขที่ ๔๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๔ เสนอ คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน ชิ้นงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานวิชาภาษาไทย ๖ ท๓๓๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๙
ก คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภาษาไทยพื้นฐาน ๖ ท๓๓๑๐๒ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัด ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ ความเป็นมา ประวัติผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ เนื้อเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เนื้องเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฏีกา เพื่อ วิเคราะห์คุณค่าทางด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์และด้านสังคม และ ได้ศึกษาอย่างละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนในระดับสูงขึ้น คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E- BOOK) เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลในเรื่องขุน ช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาด ประการใดทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ ๒ กรกฏาคม ๒๕๖๕
สารบัญ ข เรื่อง หน้า คำนำ สารบัญ ก ความเป็นมาของขุนช้างขุนแผน ข จุดประสงค์ของการแต่งขุนช้างขุนแผน ๑ ผู้แต่งขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ๒ ลักษณะคำประพันธ์ ๒ เนื้อเรื่องขุนช้างขุนแผน แบบย่อ ๒ เนื้อเรื่องเต็มขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา ๓ คุณค่าด้านเนื้อหา ๗ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑๘ คุณค่าด้านสังคม ๑๙ บรรณานุกรม ๒๑ ภาคผนวก ๒๒ ๒๓
ความเป็นมาของขุนช้างขุนแผน ๑ เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้ เป็นนิยายพื้นบ้านของสุพรรณบุรี ที่แต่งขึ้นจากเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งมีหลักฐานอยู่มีเนื้อความปรากฎใน หนังสือคำในให้การชาวกรุงเก่าซึ่งนับเป็นเรื่อง ในพระราชพงศาวดารโดยแต่งเป็น บทกลอนสำหรับขับเสภาให้ประชาชนฟังเมื่อมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ที่มีผู้แต่งไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น เหลืออยู่เพีงบางตอนนั้น เพราะถูกไฟไหม้และสูญหายไป เมื่อครั้งเสียกรุงกับพม่า พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัยฯ ให้กวีหลายท่าน เช่น พระองค์กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ( รัชกาลที่ ๓ ) สุนทรภู่ ครูแจ้ง เป็นต้นให้ช่วยกันแต่งเพิ่มเติมขึ้น โดยแบ่งกันแต่งเป็นตอนๆไป จนจบเรื่อง ขุนช้างขุนแผนเป็นเรื่องที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่าเป็นยอดของหนังสือประเภทกลอนเสภา มีสำนวนโวหารที่ไพเราะคมคาย มีคติ เตือนใจ สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตและสังคมความเป็นอยู่ของคนไทยให้ความรู้ เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทยและยังให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินอีกด้วย เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนฉบับที่รวบรวมในปัจจุบันมีทั้งหมด ๔๓ ตอน แต่มีอยู่ ๘ ตอนที่วรรณคดีสมาคม ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นประธานได้ลงมติไว้ใน พ.ศ.๒๔๗๔ ว่าแต่งดีเป็นยอดเยี่ยม ได้แก่ ๑.ตอนพลายแก้วเป็นชู้นางพิม ๕.ตอนกำเนิดพลายงาม ๒.ตอนขุนช้างขอนางพิม ๖.ตอนขุนช้างถวายฎีกา ๓.ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ๗.ตอนฆ่าวันทอง ๔.ตอนขุนแผนพาวันทองหนี ๘.ตอนพระไวยถูกเสน่ห์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดการฟังขับเสภามากพระองค์จึง โปรดเกล้าฯให้กวีในราชสำนักช่วยกันรวบรวมเรื่องขุนช้างขุนแผนและช่วยกันแต่ง เสภาตอนที่ขาดไปตามที่กวีแต่ละคนถนัดพระองค์ก็ทรงพระราชนิพนธ์บทเสภาขุน ช้างขุนแผนและช่วยกันแต่งเสภาตอนที่ขาดไปตามที่กวีแต่ละคนถนัดองค์ก็ทรง พระราชนิพนธ์บทเสภาขุนช้างขุนแผนทั้งหมด ๔ ตอนคือ ตอนที่ ๔ พลายแก้มเป็นชู้กับนางพิม ตอนที่ ๑๓ วันทองหึงลาวทอง ตอนที่ ๑๗ ขุนแผนขึ้นเรื่องขุนช้างได้นางแก้วกริยา ตอนที่ ๑๘ ขุนแผนพาวันทองหนี
๒ จุดประสงค์ของการแต่งขุนช้างขุนแผน เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเกี่ยกับวิถีชีวิตของสังคมไทยในอดีต สมัยกรุงศรีอยุธยา ผู้แต่งขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ไม่ปรากฎนามผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพเสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่าง เล่านิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟังและมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไป ยังคำใดคำหนึ่งใน ๕ คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบท เหมือนกลอนสุภาพ ตัวอย่าง ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม
เนื้อเรื่องขุนช้างขุนแผน แบบย่อ ๓ ณ เมืองสุพรรณบุรี กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของ ขุนไกรพลพ่าย รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชาย ด้วยกันชื่อพลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมือง สุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อนางเทพทอง มีลูกชายชื่อขุนช้่าง ซึ่งหัวล้านมาแต่กำหนิด และครอบครัวของพันศร โยธาเป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ พิมพิลาไลย วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุน ไกรปลูกพลับพลาและต้อนควายเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้ันแตกตื่น ไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่รอชีวิตก็ หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่เมืองกาญจนบุรี ทางเมือง สุพรรณบุรีมีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัย ตาย ส่วนพันศร โยธาเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พอกลับมาถึงบ้านก็ เป็นไข้ป่าตาย เมื่อพลายแก้วอายุได้ 15 ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้าย ไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยต่อมาที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ เณร พลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมพิลาไลยเลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็น เช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิมพิลาไลย อธิ ฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมพิลาไลยโกรธมาก ต่อมาเณรพลพลายแก้วก็สึก แล้วให้นาง ทองประศรีมาสู่ขอนางพิมพิลาไลยและแต่งงานกัน
๔ ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระพันวษาจึงถามหาเชื้อสาย ของขุนไกร ขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้า สามารถของพลายแก้วเพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ไกลนางพิมพิลา ไลย สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมา แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบ กับเมืองเชียงใหม่และได้รับชัยชนะ นายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทองเห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหาร ไม่ได้เบียดเบียนให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลูกสางของตนให้ เป็นภรรยาของพลายแก้ว ส่วนนางพิมพิลาไลยเมื่อสามีไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่ หายขรัวตาจูวัดป่าเลไลยแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย ขุนช้างทำอุบายนำหม้อใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่า พลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวง ตามกฏหมายนางวันทองไม่เชื่อแต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับ เห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง นางวัน ทองจำต้องตามใจแม่ แต่นางไม่ยอมเข้าหอ ขณะนั้นพลายแก้วกลับมาถึง กรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็พานาง ลาวทองกลับสุพรรณบุรี นางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วยก็ โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็น ภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจ ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับการอบรมในวังและได้เป็นมหาดเล็กเวร ทั้ง 2 คน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเช้า สมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผนขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนี ไปหาภรรยา สมเด็จพระพันวษาโกรธตรัสให้ขุนแผนตระเวนด่านที่ กาญจนบุรี ห้ามเข้าเฝ้าและริบนางลาวทองเข้าเป็นม่ายหลวง
ขุนแผนได้ทราบเรื่องก็โกรธขุนช้าง คิดจะแก้แค้นแต่ยังมีกำลังไม่พอ ๕ จึงออกตระเวนป่าไปโดยลำพัง คิดจะหาอาวุธ ม้า และ กุมารทอง สำหรับป้องกันตัว ได้ตระเวนไปจนถึงถิ่นของหมื่นหาญนักเลงใหญ่ ได้ เข้าสมัครเข้าไปอยู่ด้วย เพราะหวังจะได้บัวคลี่ลูกสาวของหมื่นหาญ ได้ ทำตัวนอบน้อมและตั้งใจทำงานเป็นอย่างดีจนเป็นที่รักใคร่ของหมื่น หาญถึงกับออกปากยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย พอได้แต่งงานกับบัวคลี่ แล้ว ขุนแผนก็ไม่ยอมทำงานร่วมกับหมื่นหาญ ทำให้หมื่นหาญโกรธคิด ฆ่าขุนแผน เพราะขุนแผนอยู่ยงคงกระพันจึงให้บัวคลี่ใส่ยาพิษลงใน อาหารให้ขุนแผนกิน แต่ผีพรายมาบอกให้รู้ตัว ขุนแผนจึงทำอุบายเป็น ไข้ไม่ยอมกินอาหารแล้วออกปากขอลูกจากบัวคลี่ นางไม่รู้ความหมาย ก็ออกปากยกลูกให้ขุนแผน พอกลางคืนขณะที่บัวคลี่นอนหลับขุนแผน ก็ผ่าท้องนางแล้วนำลูกไปทำพิธีตอนเช้าหมื่นหาญและภรรยารู้ว่า ลูกสาวถูกผ่าท้องตายก็ติดตามขุนแผนไป แต่ก็สู้ขุนแผนไม่ได้ ขุนแผน เสกกุมารทองสำเร็จ จึงออกเดินทางต่อไป แล้วไปหาช่างตีดาบ หา เหล็ก และเครื่องใช้ต่าง ๆเตรียมไว้ตั้งพิธีตีดาบจนสำเร็จ ดาบนี้ให้ชื่อ ว่า ดาบฟ้าฟื้ น ใช้เป็นอาวุธต่อไป หลังจากนั้นเดินทางไปหาม้า ได้ไปพบคณะจัดซื้อม้าหลวง ได้เห็นลูก ม้าลูกม้าตัวหนึ่งมีลักษณะถูกต้องตามตำราก็ชอบใจ ได้ออกปากซื้อ เจ้าหน้าที่ก็ขายให้ในราคาถูก ขุนแผนจึงเสกหญ้าให้ม้ากิน และนำมา ฝึกจนเป็นม้าแสนรู้ให้ชื่อว่า ม้าสีหมอก เมื่อได้กุมารทอง ดาบฟ้าฟื้ นและม้าสีหมอกครบตามความตั้งใจแล้วก็ เดินทางกลับบ้าน คิดจะไปแก้แค้นขุนช้าง นางทองประศรีมารดาห้าม ปรามก็ไม่ฟัง ได้เดินทางออกจากกาญจนบุรีไปยังสุพรรณบุรีขึ้นเรือน ขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยาลูกสาวพระยาสุโขทัยที่นำมาเป็นตัวจำนำไว้ ในบ้านขุนช้างเป็นภรรยา แล้วพาวันทองหนีออกจากบ้าน ขุนช้างตื่น ได้ออกติดตามแต่ตามไม่ทัน ได้ไปทูลฟ้องสมเด็จพระพันวษาให้ กองทัพออกติดตามขุนแผน ขุนแผนไม่ยอมกลับได้ต่อสู้กับกองทัพ ทำให้ขุนเพชร ขุนรามถึงแก่ความตาย กองทัพต้องถอยกลับกรุง ขุนแผนจึงกลายเป็นกบฏ ต้องเที่ยวเร่ร่อนอยู่ในป่า จนนางวันทองตั้ง ท้องแก่ใกล้คลอด ขุนแผนสงสารกลัวนางจะเป็นอันตรายจึงยอมเข้า มอบตัวกับพระพิจิตร พระพิจิตรได้ส่งตัวเข้าสู้คดีในกรุง ขุนแผนชนะ คดีและได้นางวันทองคืน ขุนแผนมีความคิดถึงลาวทอง ได้ขอให้จมื่น ศรีช่วยขอให้ ขุนแผนถูกกริ้ว และถูกจำคุก แก้วกิริยาจึงตามไป ปรนนิบัติในคุก
๖ วันหนึ่งขณะที่นางวันทองมาเยี่ยมขุนแผน ขุนช้างได้มาฉุดนางวัน ทองไปจนนางวันทองคลอดลูกให้ชื่อว่า พลายงาม เมื่อขุนช้างรู้ว่า ไม่ใช่ลูกของตัวเองจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า แต่ผีพรายของ ขุนแผนช่วยไว้ นางวันทองบอกความจริงและได้ให้พลายงามเดิน ทางไปอยู่กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามอยู่กับย่าจนโต ได้บวชเป็นเณรและเล่าเรียนวิชาความรู้เก่งกล้าทั้งเวทมนตร์ คาถา และการสงคราม เมื่อมีโอกาสขุนแผนได้ให้จมื่นศรีนำพลายงามเข้า ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อมีศึกเชียงใหม่ พลายงามได้อาสาออกรบและทูลขอประทาน อภัยโทษให้พ่อเพื่อไปรบ ขุนแผนและนางลาวทองจึงพ้นโทษ ขณะ ที่เดินทางไปทำสงครามนั้นผ่านเมืองพิจิตร ขุนแผนจึงแวะเยี่ยมพระ พิจิตร เมื่อพลายงามได้พบนางศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรก็หลงรัก จึงได้ลอบเข้าหานาง ขุนแผนจึงทำการหมั้นหมายไว้ เมื่อชนะศึก พระเจ้าเชียงใหม่ได้ส่งสร้อยทอง และสร้อยฟ้ามาถวาย พระพันวษา ได้แต่งตั้งขุนแผนเป็นพระสุรินทรลือไชยมไหสูรย์ภักดี ไปรั้งเมือง กาญจนบุรี และได้แต่งตั้งพลายงามเป็น จมื่นไวยวรนาถ และ ประทานสร้อยฟ้าให้แก่พลายงาม จากนั้นก็ทรงจัดงานแต่งงานให้ กับพลายงาม ขณะที่ทำพิธีแต่งงานขุนช้างได้วิวาทกับพลายงาม ขุนช้างได้ทูลฟ้อง จึงโปรดให้มีการชำระความโดนการดำน้ำพิสูจน์ ขุนช้างแพ้ความ พระพันวษาโปรดให้ประหารชีวิต แต่พระไวยขอชีวิตไว้ ต่อมาพระ ไวยมีความคิดถึงแม่จึงไปรับนางวันทองมาอยู่ด้วย ขุนช้างติดตามไป แต่พระไวยไม่ยอมให้ขุนช้างจึงถวายฎีกา พระพันวษาจึงตรัสให้นาง วันทองเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางมีความลังเล เลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับ ใคร พระพันวษาทรงโกรธจึงรับสั่งให้ประหารชีวิต แม้พระไวยจะ ขออภัยโทษได้แล้ว แต่ด้วยเคราะห์ของนางวันทอง ทำให้เพชรฆาต เข้าใจผิดจึงประหารนางเสียก่อน
๗ เมื่อจัดงานศพนางวันทองแล้ว ขุนแผนได้เลื่อนเป็นพระ กาญจนบุรี นางสร้อยฟ้าได้ให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวย หลงใหลนางและเกลียดชังนางศรีมาลา พระกาญจนบุรีมาเตือน พระไวยโกรธลำเลิกบุญคุณกับพ่อ ทำให้พระกาญจนบุรีโกรธ คบคิดกับพลายชุมพลลูกชายซึ่งเกิดจากนางแก้วกิริยาปลอมเป็น มอญยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา หวังจะให้พระไวยออกต่อสู้ จะได้ แก้แค้นได้สำเร็จ พระไวยรู้ตัวเพราะผีเปรตนางวันทองมาบอก พระพันวษาทรงทราบเรื่องโปรดให้มีการไต่สวน พลายชุมพล พิสูจน์ได้ว่า นางสร้อยฟ้ากับเถรขวาดได้ทำเสน่ห์จริงแต่นาง สร้อยฟ้าไม่รับ จึงมีการพิสูจน์โดยการลุยไฟ สร้อยฟ้าแพ้ พระ พันวษาสั่งให้ประหาร แต่นางศรีมาลาทูลขอไว้ นางสร้อยฟ้าจึง ถูกเนรเทศกลับไปเชียงใหม่ และคลอดลูกชื่อ พลายยง ต่อมานางศรีมาลาก็คลอดลูกชาย ขุนแผนจึงตั้งชื่อให้ว่า พลาย เพชร เถรขวาดมีความแค้นพลายชุมพล จึงปลอมเป็นจระเข้ไล่ กัดกินคนมาจากทางเหนือหวังจะแก้แค้นพลายชุมพล พระพัน วษาโปรดให้พลายชุมพลไปปราบ จระเข้เถรขวาดสู้ไม่ได้ถูกจับ ตัวมาถวายพระพันวษา และถูกประหารในที่สุด พลายชุมพลได้ รับแต่งตั้งเป็นหลวงนายฤทธิ์ เหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไป ทุกคนก็ อยู่อย่างมีความสุข
๘ เนื้อเรื่องเต็ม ตอน ขุนช้างขุนแผนถวายฎีกา ๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมมานำผิด น่าอายมิตรหมองใจไม่หาย หมาง ฝ่ายพ่อมีบุญเป็นขุนนาง แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้ ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้
แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้ ๙ หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี อย่าเลยจะรับแม่กลับมา พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท เมื่อไรตะวันจะลับหล้า น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข คะเนนับย่ำยามได้สามครา สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง ลอยลมล่องดังถึงเคหา จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน ลงยันต์ราชะเอาปะอก จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ ๑๐ ลงจากเรือนไปมิได้ช้า เสร็จครบบริกรรมพระคาถา ๏ เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน ฯ กองไฟสว่างดังกลางวัน ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น จึงร่ายมนตรามหาสะกด หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู เสื่อมหมดอาถรรพ์ที่ฝังอยู่ ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ ย่างเท้าก้าวไปในทันที โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี กลับไปที่หนม้าีวแาระตก่าหรปรละัชุบม เพ้อมะเมอฝัน รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่ ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน มิได้มีใครทักแต่สักคน จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ทั้งไฟกองป้องกันทุกแห่งหน สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
๑๑ หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม ข้าไทนอนหลับลงทับกัน กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง พลางนั่งลงนอบนบอภิวันท์ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น นไปฉุดมารดาเอามาไว้ สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ เป่าลงด้วยพระเวทวิทยา มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา อ้ายหัวใสข่มเหงไม่เกรงหน้า ขอษมาแม่แล้วก็ขับพราย มารดาก็ฟื้ นตื่นโดยง่าย
๑๒ ดาบใส่ฝักไว้ไม่เคลื่อนคลาย วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว ต้องมนต์มัวหมองเป็นหนักหนา ซวนซบหลบลงมาหมอบเมียง อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน จะร้องไยใช่โจรผู้ร้ายมา เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง ๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา ลุกออกมาพลันด้วยทันใด กอดผัวร้องดิ้นจนสิ้นเสียง วันทองประคองสอดกอดลูกรัก เจ้ามาไยปานนี้นี่ลูกอา พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา ขุนช้างตื่นขึ้นมิเป็นการ สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ ฯ ครั้นรู้ว่าลูกยาหากลัวไม่ พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้า เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน พ่อช่างลอบเข้ามากะไรได้ นี่พ่อใช้ฤๅว่าเจ้ามาเอง เขาจะรุกรานพาลข่มเหง จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็นการ
มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า ๑๓ พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ ฯ มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่ ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง ๏ จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง พี่น้องข้างพ่อก็บริบูรณ์ รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป เป็นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน ทุกวันนี้ลูกชายสบายยศ ประการใดก็ตามแต่เวรา แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม มาเกลือกกลั้วปทุมาลย์ที่หวานหอม ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน ลูกมาหมายว่าจะมารับ แม้นจะบังเกิดเหตุเภทพาล มาอยู่ไยกับไอ้หินชาติ ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่
จะคิดถึงลูกบ้างฤๅอย่างไร ๑๔ ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย ฤๅหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา ฯ ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ เมื่อคราวตัวแม่เป็นคนกลาง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน เจ้าเป็นถึงหัวหมื่นมหาดเล็ก จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง ท่านก็วางบทคืนให้บิดา มิใช่เด็กดอกจงฟังคำแม่ว่า ฟ้องหากราบทูลพระทรงธรรม์
พระองค์คงจะโปรดประทานให้ ๑๕ อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ ฯ ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่ คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป เพราะรักไอ้ขุนช้างกว่าบิดา จึงว่าอนิจจาลูกมารับ แม่ยังกลับทัดทานเป็นหนักหนา อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้ เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่ จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป ฯ แม่อย่าเจรจาให้ช้าที เห็นลูกยากัดฟันมันไส้ ๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟัน ถือดาบฟ้าฟื้ นยืนแกว่งไกว อย่าฮึกฮักว้าวุ่นทำหุนหัน จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ เห็นเบื้องหน้าจะอึงแม่จึงห้าม ด้วยเป็นข้าลักไปไทลักมา
๑๖ ถ้าเห็นเจ้าเป็นสุขไม่ลุกลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล พระหมื่นไวยก็พามารดาไป พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน ฯ ๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้ อน อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น หาหมอมารักษายาเข้าปรอท มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน ฟันฟางก็หักจากปากตัว ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่ ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น อีอุ่นอีอิ่
ถ้าเห็นเจ้าเป็นสุขไม่ลุกลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล ๑๗ ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล พระหมื่นไวยก็พามารดาไป พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน ฯ ๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้ อน อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น หาหมอมารักษายาเข้าปรอท มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน ฟันฟางก็หักจากปากตัว ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่ ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น อีอุ่นอีอิ่
๑๘ คุณค่าทางเนื้อหา สะท้อนความเชื่อของคนในสังคม ความเชื่อซึ่งมีอยู่คู่ กับวิถีชีวิต ของคนไทย โดย ตลอด จะปรากฏในวรรณคดี ส่วนใหญ่ของไทย โดยเฉพาะเสภาเรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน เป็นเรื่องเต็มไป ด้วยความเชื่อ ในด้านต่างๆ ของคนในสังคม นักเรียนจะ เห็นได้จากขุนช้างถวายฎีกานี้ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ความเชื่อเกี่ยว กับความฝัน ความเชื่อเรื่องกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ตอนที่พลายงามคิดที่จะขึ้นเรือนขุนช้าง เพื่อพานางวันทองมาอยู่ด้วย พลายงามต้องเตรียมตัวหลายประการ เริ่มจากดู เวลาฤกษ์ยาม เซ่นพลาย เสกขมิ้น ลงยันต์ ใส่มงคล เป่ามนตร์ และบริกรรม คาถาก่อนที่จะลงเรือนของตน ความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ก่อนที่นางวันทองจะถูกตัดสินประหารชีวิต นางวันทองฝันว่าตนพลัดหลงเข้าป่าและหาทางกลับไม่ได้ จนกระทั่งมีเสือสองตัว ตะครุบพานางเข้าไปในป่านางจึงตกใจตื่นผวากอดขุนแผน ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องกรรม ตัวละครในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเมื่อ ประสบชะตากรรมที่ทำให้ตนเองพบกับความทุกข์ มักลงความเห็นว่า เป็นเรื่อง ของเวรกรรม ดังเช่น พลายงามที่เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้นางวันทองต้องไปครองคู่ กับขุนช้างเป็นเพราะเคราะห์กรรม สะท้อนค่านิยมของคนในสังคม เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน สะท้อน นิยม ของสังคม ไทยหลายประการ เช่น ค่านิยมเกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะ พลายงามรู้จัก แสดงความเคารพ นบ น้อมมีสัมมาคารวะ แม้จะอยู่ใน สถานการณ์ที่ทำให้ ขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อมา เห็น มารดาก็ยังระลึกถึง พระคุณเข้า ไปกราบไหว้ ค่านิยมเกี่ยวกับผู้หญิงต้องมีสามีคนเดียว ไม่นิยมผู้หญิงที่มี พฤติกรรมเยี่ยง นางวันทองคือสามีสองคน ในเวลา เดียวกัน แม้โดยจริง แท้แล้วการ ที่นางต้องมี สามีสองคน นั้นมิใช่เกิด จากความปรารถนาของนางเอง แต่ในจุดนี้สังคม ก็มอง ข้ามเห็นได้ แต่เพียงผิวเผิน ว่านางเป็น คนที่ ไม่น่านิยม น่ารังเกียจ คำพิพากษา ให้ได้รับพระราชอาญา ถึงประหารย่อมเป็นยืนยันถึงผลของค่านิยมด้านนี้ของ สังคมไทย
๑๙ คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑. สะท้อนถึงอารมณ์โกรธแค้นและสะเทือนใจ (พิโรธวาทัง) ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ ฉวยได้กระดานชนวนมา ร่างฟ้องท่องเทียบให้เรียบร้อย ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็นหนักหนา ๒. มีการพรรณนาถึงเรื่องฝันร้าย ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็นหนักหนา มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา กอดเมียเมินหน้าน้ำตากระเด็น ๓. ใช้ถ้อยคำเกิดความเศร้าสะเทือนใจสงสารในชะตากรรมของตัว ละคร (สัลลาปังคพิสัย) วันนี้แม่จะลาพ่อพลายแล้ว จะจำจากลูกแก้วไปสูญสิ้น พอบ่ายก็จะตายลงถมดิน ผินหน้ามาแม่จะขอชม เกิดมาไม่เหมือนกับเขาอื่น มิได้ชื่นเชยชิดสนิทสนม ๔. การบรรยายโวหาร (เสาวรจนีย์) ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดมฆสิ้น จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว ๕. การพรรณนาโวหาร (นารีปราโมทย์) จะเป็นตายง่ายยากไม่จากรัก จะฟูมฟักเหมือนเมื่ออยู่ใน กลางเถื่อน ขอโทษที่พี่ผิดอย่าบิดเบือน เจ้าเพื่อนเสน่หาจงอาลัย
๒๐ ๖. เชิงเปรียบเทียบ (อุปมาโวหาร) ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้ อีวันทองตัวมันเหมือนแก้ว ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว ๗. กวีแทรกอารมณ์ขันในการแต่ง (หาสยรส) ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้ ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังกา ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว ยายจันงันงกยกมือไหว้ นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ
คุณค่าด้านสังคม ๑. ลักษณะทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น ตอนขุนช้างถวายฎีกา เป็นตอนที่ ๒๑ ชะตาชีวิตของนางวันทองตกต่ำถึงที่สุด คือ ถูกพระพันวษาพิพากษาให้ ประหารชีวิต ซึ่งจะเป็นตอนที่มีหลากหลายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ใน สถานภาพใดในสังคม กษัตริย์ สามี ภรรยา มารดา บุตร ตัวละครในตอนนี้ แทบทุกคัวมีบทบาทสำคัญ แต่ที่เด่นที่สุดมี ๒ ตัว คือ สมเด็จพระพันวษา และนางวันทองจากเนื้อเรื่องผู้ที่น่ารเห็นใจไม่เพียงแต่นางวันทองเท่านั้น สมเด็จพระพันวษาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่น่าเห็นใจ เนื่องจากฝ่ายหนึ่งถูกสั่ง ประหารและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายสั่งประหารชีวิต ๒.แนวคิดเกี่ยวกับสังคม ๒.๑ ฐานะและบทบาทของสตรีในสังคม นางวันทองเป็นตัวอย่างของสตรี ไทยสมัยโบราณโดยแท้ คือเกิดมาเพื่อรับบทของบุตรี ภรรยาและมารดาตาม ที่ธรรมชาติและสังคมเป็นผู้กำหนด และเมื่อต้องรับบทพลเมืองก็เป็น พลเมืองตามที่ผู้ปกครองพึงปรารถนาให้เป็น เนื่องจากนางวันทองไม่มีโอกาส เลือก อาจได้แต่เพียงคิดแต่ไม่เคยได้ปฏิบัติตามที่คิด นางวันทองถูกกำหนด เส้นทางของชีวิตให้เป็นไปตามความต้องการของคนอื่นทั้งสิ้น ความเคยชิน จากการเป็นผู้ปฏิบัติตาม เมื่อสมเด็จพระพันวษาทรง เปิดโอกาสให้นาง เลือกทางเดินของชีวิตตนเอง นางก็ว้าวุ่นใจไม่อาจตัดสินใจได้ จึงก่อให้เกิด เหตุการณือันเสร้าสะเทือนใจในที่สุด ๒.๒ บทบาทของกษัตริย์ต่อประชาชนในสังคมไทย สมเด็จพระพันวษานั้น ถ้าจะพิจารณาอย่างละเอียด ก็จะเห็นได้ว่าแม้จะทรงเป็นเจ้าชีวิต มีพระราช อำนาจอันล้นพ้น แต่ก็มิได้ทรงใช้อำนาจอย่างปราศจากเหตุผลหรือด้วยพระ อารมณ์ หากได้ ทรงปฏิบัติอย่างเหมาะสม และทรงมีพฤติกรรมไปในทางที่ สมเหตุสมผลที่สุด เนื่องจากต้องแก้ไขปัญหาระดับประเทศแล้วยังต้องแก้ไข ปัญหาระดับครอบครัวของประชาชน เปรียบเหมือนพ่อหรือผู้ใหญ่ใน ครอบครัว เวลาคนในครอบครัวมีเรื่องเดือดร้อนหรือ เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย และมาฟ้อง ก็ต้องทรงเป็นราชธุระ ๒.๓ ค่านิยมและความเชื่อเกี่ยวกับสตรี สังคมไทยไม่นิยมสตรีเยี่ยงนางวัน ทอง คือมีสามีสองคน ในเวลาเดียวกัน แม้โดยแท้จริงแล้วการที่มีสามีสอง คนนั้นมิใช่เกิดจากความปรารถนาของนางเอง แต่จุกนี้สังคมกลับมองข้าม เห็นแต่เพียงผิวเผินว่านางน่ารังเกียจ ในทางตรงกันข้าม ค่านิยมเกี่ยวกับการ มีภรรยาหลายคนในเวลาเดียวกัน กลับปรากฎในหมู่คนชั้นสูง โดยฌฉพาะ ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ของไทย แต่สังคมไม่รังเกียจ กลับนิยมยกย่อง เพราะ ค่านิยมกำหนดว่าลักษระเช่นนี้เป็นเครื่องเสริมบารมีและความเป็นบุรุษ อาชาไนยให้มากยิ่งขึ้น
๒๒ บรรณานุกรม ไม่ปรากฏผู้แต่ง (๒๕๕๗).ความเป็นมา ตอนขุนช้างถวายฎีกา ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6.สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม๒๕๖๕ จาก https://sites.google.com อภิญญา อุ่นจากวาง (๒๕๕๔).วัตถุประสงค์ในการประพันธ์ ตอนขุนช้าง ถวายฎีกา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6.สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จาก gotoknow.org ไม่ปรากฏผู้แต่ง(๒๕๕๙).ผู้ประพันธ์ สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จากdigitalschool.club ไม่ปรากฏผู้แต่ง(๒๕๕๘).ลักษณะคำประพันธ์ สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จาก thai.ac ศรีสวาสดิ์ บุนนาค(๒๕๕๒)เนื้อเรื่องย่อ สืบค้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ จาก http://www.thaigoodview.com.
๒๓ ภาคผนวก ภาพการประชุมกลุ่ม แจกแจงงานและหน้าที่
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: