Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 060258

060258

Published by ratnitcha, 2017-05-18 23:09:43

Description: 060258

Search

Read the Text Version

การคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละการคดิ นอกกรอบ (CREATIVETHINKING)โดย อาจารย์ เอนกลาภ สุทธนิ นั ท์

การคิด คือ อะไรการคิด เป็ นทกั ษะพ้นื ฐานของมนุษยท์ ่ีสามารถเรยี นรู้ ฝึกฝนและพฒั นา ไดเ้ ป็ นกระบวนการทางานของสมอง ท่ีเป็ นศูนยก์ ลางนาสญั ญาณท่ีไดร้ บั รู้ จากประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ มาประมวล วเิ คราะห์ ถอดความ ตคี วาม เพ่อื พจิ ารณาในการตอบสนอง ตดั สนิ ใจในบรบิ ทของการทางาน การคดิ หมายถงึ ความสามารถในการรบั มอื และ ตอบสนองกบั สภาพการณ์แบบตา่ ง ๆ หรอื การเผชิญหนา้ กบั การ เปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ ท่ีเป็ นสง่ิ เรา้ จากภายนอก

ความสามารถของสมองคนไทยเราในปจั จบุ นั น้ใี ชค้ วามสามารถทส่ี มองตนเองมไี มเ่ กิน 10%ของ ความสามารถของสมองเท่านน้ั อกี 90%ยงั ไมไ่ ดใ้ ชเ้พราะไมไ่ ดร้ บั การฝึก ศกั ยภาพของสมอง คนเราถา้ หากไดร้ บั การฝึกใชส้ มองใหเ้ต็มทจ่ี ะทาใหเ้ราใช้ ความสามารถของสมองของเราใหเ้ป็นประโยชนไ์ ดม้ ากข้นึ การฝึกเทคนิคการคดิ หลายๆแบบเช่น การคดิ สรา้ งสรรค์ การคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ การคิดแบบวิ พากย์ การคดิ เชงิ บวก การคดิ แบบบูรณาการ การคดิ เป็นระบบ การคดิ เชงิ ประยุกต์ การคดิ เชงิ กลยุทธแ์ ละอน่ื ๆ จะทาใหส้ มองของเรามศี กั ยภาพมากข้นึ ทา ใหเ้ราทางานไดบ้ รรลเุ ป้าหมายไดม้ ากข้นึ และแกไ้ ขปญั หาต่างๆในชวี ติ ไดส้ าเร็จ คนทค่ี ดิ เป็น ปฏบิ ตั ไิ ด้ แกป้ ญั หาไดแ้ ละพฒั นาผลงานใหด้ กี วา่ เดมิ ไดท้ กุ คนนน้ั ตอ้ งผ่านการฝึกทกั ษะการคดิ มาแลว้ ทง้ั นน้ั เร่อื งน้เี ราทกุ คนสามารถฝึกไดไ้ มใ่ ช่ พรสวรรคแ์ ต่เป็นพรแสวง ขอใหเ้รามาฝึกทกั ษะการคดิ กนั ตง้ั แต่บดั น้เี ถดิ

คนเรามวี ธิ กี ารคดิ ไดก้ ่แี บบ การคดิ เชงิ วพิ ากย์ Critical Thinking การคิดเชงิ ประยุกต์การคดิ เชิงบวก Applicative Thinking ความคิดรเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ositive Thinking CreatiTvehinkin การgคดิ อย่างเป็นระบบ Systematic Thinkingการคดิ เชงิ กลยุทธ์ Strategic การคดิ แบบบูรณาการ Thinkingการคดิ อปุ มาอปุ มยั Integrative ThinkingInductive Thinking การคดิ เชงิ อนาคต การคดิ เชงิ เปรยี บเทยี บ การคดิ วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์FUTURIST (Comparative Analysis and Synthesiz IC Thinking)THINKING

การคดิ สรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) เป็นการคดิ ท่กี อ่ ใหเ้ กดิ สง่ิ แปลกใหม่ ท่สี ามารถนาไปใช้ ประโยชนไ์ ด้ เป็นการขยายขอบเขตความคดิ เดิมออกไปนอกกรอบ ความคดิ เดมิ ท่มี ีอยู่ เป็นการนาเอาความรูค้ วามสามารถและประสบการณ์ท่ี สงั่ สมไวม้ าพฒั นา คน้ หาวธิ ีการท่แี ปลกใหม่ในการแกไ้ ข ปญั หา

 ความคดิ สรา้ งสรรค์ เป็นความสามารถของมนุษยท์ ่ี จะนาไปสู่สง่ิ ใหมๆ่ เกดิ ผลผลติ ใหม่ ทางเทคโนโลยี รวมทงั้ ความสามารถในการประดษิ ฐค์ ดิ คน้ สง่ิ แปลก ใหม่ เช่น โทมสั เอดสิ นั คน้ พบหลอดไฟฟ้า และ เคร่อื งไฟฟ้านานาชนิด สง่ิ ประดษิ ฐข์ องเขาก็เป็น ความคดิ สรา้ งสรรค์ คอื แปลกใหม่ แตกต่างจากท่ี เคยปรากฏและยงั เป็นประโยชนอ์ ยา่ งมากมายต่อ ชาวโลก

ความหมายของความคดิ สรา้ งสรรค์ กลิ ฟอรด์  เป็นความสามารถทางสมองทจ่ี ะคดิ ไดห้ ลายทศิ  ความคลอ่ งตวั ในการคดิ (Fluency)  ความคดิ ยดื หยุ่น (Flexibility)  ความคดิ ไมซ่ า้ แบบ (Originality)  ความคดิ ทแ่ี ตกต่าง (elaboration)

ความสาคญั ของการคดิ สรา้ งสรรค์สุภาษติ สเปนกส็ อนไว้ว่า \"If you cannot build a castle in the air , you cannot build it any where\" แปล ทานองว่า ถ้าคุณไม่กล้าคดิ สร้างวมิ านในอากาศก่อน คุณกไ็ ม่สามารถสร้างความสาเร็จทไ่ี หนได้เลย หมายความว่าคุณต้องกล้า คดิ กล้าฝันก่อนว่าเป็ นไปได้ จงึ จะเป็ นไปได้ในชีวติ จริง

ประโยชนข์ องการคดิ สรา้ งสรรค์

ความคดิ สรา้ งสรรค์ เกดิ ข้นึ ไดอ้ ย่างไร1. เรม่ิ จากจนิ ตนาการแลว้ ยอ้ นกลบั สู่สภาพ ความเป็นจรงิ

มาฝึกการใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคก์ นั เถอะเมอ่ื ท่านดูรูปน้ีแลว้ กรุณาเขยี นคาอธบิ ายตามความคดิ ของท่าน คาอธบิ ายของท่านคอื ........................................................................................................................................................................................................

ความคิดสรา้ งสรรค์ เกดิ ข้นึ ไดอ้ ย่างไร2. เร่มิ จากความรู้ แลว้ คดิ ต่อยอดสูส่ ง่ิ ใหม่

มาฝึกการใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคก์ นั เถอะหลงั จากดูภาพน้ีแลว้ ใหท้ ่านอธบิ ายตามความรู้ ความเขา้ ใจของท่านทม่ี ตี ่อภาพคาอธบิ ายของท่านคอื ..............................................................................................................................................................................................

แบบฝึกหดั ฝึกความคดิ สรา้ งสรรค์

?????????

Do you see the face orEskimo ?

ท่านเหน็ ผูห้ ญงิ คนน้หี มนุ ตามเขม็ นาฬกิ าหรอื หมนุ ทวนเขม็นาฬกิ า

 ถงึ : ผูจ้ ดั การฝ่ายบคุ คล เร่อื ง: รายงานการประเมนิ ผลงานนายวนั เฉลมิในช่วงระหวา่ งทดลองงาน นายวนั เฉลมิ เป็นพนกั งานทเ่ี อาแต่ ทางาน เขาสามารถทางานอยา่ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ ไมเ่ คย ใชเ้วลางานไปทาเร่อื งสว่ นตวั และพดู คยุ โทรศพั ท์ เขาไมเ่ คย ลงั เลทจ่ี ะช่วยเหลอื งานเพอ่ื นร่วมงาน ในขณะทย่ี งั สามารถ ทางานทต่ี นเองไดร้ บั มอบหมายไดท้ นั เวลา เขาจะใชเ้วลาเกนิ เวลา งานเพอ่ื ทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายใหเ้สร็จส้นิ โดยถงึ กบั จะไมไ่ ป พกั ทานขา้ วกลางวนั อยู่บอ่ ยครงั้ นายวนั เฉลมิ เป็นพนกั งานทไ่ี มม่ ี ความเย่อหยง่ิ ถอื ตวั ถงึ แมว้ า่ เขาจะมมี าตรฐานทส่ี ูงมากใน ความรูใ้ นสาขาทเ่ี ขาไดร้ า่ เรยี นมา ผมเช่อื วา่ นายวนั เฉลมิ ไมม่ ี จดุ ดอ้ ยใดๆ บคุ คลทม่ี คี ณุ สมบตั คิ รบถว้ นเช่นน้จี ะเป็น ประโยชนต์ ่อบรษิ ทั ของเรา ผมขอแนะนาวา่ เราควรจะ เลอ่ื นขน้ั ใหเ้ขาเป็นผูบ้ รหิ าร ทง้ั น้กี ารดาเนนิ การนนั้ ควร จดั การใหเ้ร็วทส่ี ุดครบั

 ถงึ :ผูจ้ ดั การฝ่ายบคุ คล เร่อื ง:รายงานการประเมนิ ผลงานนายวนั เฉลมิ (เพม่ิ เตมิ ) ตอนผมเขยี นรายงานการประเมนิ นายวนั เฉลมิ มายนื อยู่หลงั ผม ไลย่ งั ไงกไ็ มไ่ ป รายงานการประเมินขอให้ อา่ นเฉพาะบรรทดั เวน้ บรรทดั นะครบั

การคิดดา้ นขวาง(LATERAL THINKING SKILL)หมายถงึ การคดิ ทห่ี าวธิ ใี หมๆ่ ดว้ ยการมงุ่ มองไปทป่ี ญั หา มากกวา่ ทจ่ี ะดาเนินการตามขนั้ ตอนต่างๆทเ่ี คยปฏบิ ตั กิ นั มา ซง่ึ มนุษยส์ ่วนมากมกั ทางานตามตรรกะทต่ี นเองมี ความคนุ้ เคยโดยไมม่ องหาตรรกะใหมท่ ด่ี กี วา่ เดมิ การสรา้ ง นวตั กรรมกค็ อื การสรา้ งใหเ้กดิ สง่ิ ใหมๆ่ ทไ่ี มเ่ คยมมี าก่อนแต่ ตรงกบั ความตอ้ งการของลูกคา้ และเป็นการพฒั นาความคดิ ของบคุ ลากรในองคก์ รนน้ั ๆ ไมใ่ ช่การซ้อื เทคโนโลยที ่ี สาเรจ็ รูปมาใช้

ดร.เอด็ เวร์ดิ เดอ โบโน ผูเ้ขยี นตาราการคดิ แนวขา้ ง

ปรศิ นาเร่อื งการคดิ แนวขา้ ง (Lateral Thinking) ชายคนหน่งึ อาศยั บนชนั้ 10 ของตกึ อพารท์ เมนทต์ กึ หน่งึ ทกุ วนั เขาตอ้ งใชล้ ฟิ ตล์ งมาชนั้ ลา่ งเพอ่ื ไปทางานหรอื ไปซ้อื ของ เมอ่ื เขา กลบั มาจากทางานหรอื ซ้อื ของทกุ ครง้ั เขาตอ้ งเขา้ ลฟิ ตแ์ ละกดลฟิ ต์ ไปทช่ี น้ั 7 เสมอและเดนิ ข้นึ บนั ไดไปทห่ี อ้ งพกั ของเขาทช่ี นั้ 10 เขา เกลยี ดการเดนิ ข้นึ บนั ไดไปอกี 3ชนั้ แต่ทาไมเขาจงึ ทาอย่างนน้ั

การคิดในสง่ิ ทค่ี นทวั่ ไปไมค่ ดิคดิ ฟอสบูร่ี นกั กระโดดสูงหนุ่มชาวอเมรกิ นั ไดค้ ดิ วธิ ใี หมใ่ นการกระโดดสูงท่ี นกั กฬี าทวั่ ไปไมค่ ดิ คอื การกระโดดสูงโดยหนั หลงั ใหก้ บั เคร่อื งกดี ขวางและ หงายหนา้ ข้นึ ซง่ึ เป็นเทคนคิ ทไ่ี ม่มใี ครคิดมาก่อน เพราะในอดตี นกั กฬี า กระโดดสูงทกุ คนมว้ ยตวั ขา้ มเคร่อื งกดี ขวางดว้ ยการควา่ หนา้ ตนเอง ฟอสบรู ่ี สามารถกระโดดไดถ้ งึ 2.24เมตรและไดเ้หรยี ญทองโอลมิ ปิคทแ่ี มก็ ซโิ ก ปีค.ศ. 1968

แบบฝึกหดั ฝึกความคดิ สรา้ งสรรค์ ขอใหท้ า่ นพจิ ารณาหาขน้ั ตอนการทางานของทา่ นในเร่อื งใดเร่อื งหน่ึงทท่ี า่ นทาอยู่ เป็นประจาโดยทาตามขน้ั ตอนของกฎระเบยี บหรอื คู่มอื การทางาน เป็นงานใน ลกั ษณะ ROUTINE 1-2 เร่อื ง โดยใหท้ ่านทาดงั น้ี 1.เขยี นขนั้ ตอนของงานนนั้ ออกมาวา่ มขี นั้ ตอนทง้ั หมดก่ขี นั้ ตอน มขี น้ั ตอน อะไรบา้ ง 2.หาวตั ถปุ ระสงคข์ องงานในแต่ละขน้ั ตอนวา่ แต่ละขน้ั ตอนทาเพอ่ื อะไร 3.หาปญั หาของการทางานในแต่ละขนั้ ตอนวา่ มหี รอื ไม่ มปี ญั หาอะไร กรุณาระบุ 4. หาวธิ แี กไ้ ขปรบั ปรงุ ขนั้ ตอนการทางานทม่ี ปี ญั หาโดยเสนอความคดิ สรา้ งสรรค์ ทจ่ี ะทาใหผ้ ลงานดขี ้นึ หรอื แกป้ ญั หาทม่ี อี ยู่แลว้

แบบฝึกหดั ฝึกความคดิ สรา้ งสรรค์ขน้ั ตอนการทางาน วตั ถปุ ระสงคข์ องแต่ ระบปุ ญั หาท่ีเกดิ ข้ึน ขอ้ เสนอแนะท่ี ผลลพั ธท์ ่ีไดร้ บั จาก สรา้ งสรรค์ ขอ้ เสนอแนะ1. ละขน้ั ตอน (ถา้ มี)2.3.

กจิ กรรมการฝึกใหน้ ิสติ มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ กจิ กรรมขอใหน้ ิสติ ลากเสน้ เพยี ง4 เสน้ ตรงใหผ้ ่านจดุ 9 จดุ โดยไมย่ กปากกา ... ... ...

คากลา่ วของ อลั เบร์ติ ไอนส์ ไสตน์“ เราเป็นส่วนประกอบหน่งึ ใน ปญั หาของเรา และเราไม่ สามารถแกไ้ ขมนั ไดด้ ว้ ยระดบั ความคดิ เดยี วกนั กบั ระดบั ความคดิ ทส่ี รา้ งปญั หานน้ั ข้นึ มา”

หลกั ของการคดิ แบบเช่อื มโยง1.ตง้ั ปญั หาข้นึ มาก่อนวา่ ปญั หาคอื อะไร จะแกป้ ญั หาอะไร2.หาสุ่มหาคาหรอื รูปภาพจากพจนานุกรมหรอื จากทอ่ี น่ื ๆทลี ะคา3.เมอ่ื ไดค้ าหรอื รูปภาพทส่ี ุม่ ข้นึ มาไดแ้ ลว้ ใหห้ าสว่ นทจ่ี ะเชอ่ื มโยงกบัวธิ แี กไ้ ขปญั หาและจดบนั ทกึ วธิ แี กไ้ ขไวก้ ่อน

หลกั ของการคิดแบบเช่อื มโยง4.ใหส้ ุ่มคาหรอื รูปภาพไปเร่อื ยๆจนกวา่ จะไดว้ ธิ แี กไ้ ขปญั หาทค่ี ิด วา่ พอแลว้5.พจิ ารณาวธิ แี กไ้ ขปญั หาทไ่ี ดม้ าทง้ั หมดวา่ มขี อ้ ไหนทค่ี วรตดั ออกและมขี อ้ ไหนทค่ี วรนาไปใชแ้ ละทาการสรุปวธิ แี กไ้ ขทจ่ี ะ นาไปใช ้6.จดั ลาดบั ความสาคญั และความเร่งด่วนของวธิ แี กไ้ ขปญั หา

ลองคดิ จากสง่ิ ท่อี ยู่ใกลต้ วั กอ่ น1. จะปรบั ปรุงวธิ ีการทางานใหส้ บายกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่2. ทาใหร้ วดเรว็ กวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่3. ทาใหร้ าคาถกู กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่4. ทาใหถ้ กู ตอ้ งแม่นยากวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่5. ทาใหล้ กู คา้ พอใจมากกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่6. ทาใหป้ ระหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่7. ทาใหป้ ฏบิ ตั งิ านงา่ ยกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่8. ทาใหป้ ลอดภยั กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่

หลกั การคดิ แบบ 6 w 2 hก. ทาทาไม (WHY)ข. ทาอะไร (WHAT)ค. ทาท่ไี หน (WHERE)ง. ทาเม่ือไร (WHEN)จ. ทาโดยใคร (WHO)ฉ. ทาเพอ่ื ใคร (WHOM)ช. ทาอยา่ งไร (HOW)ซ. จา่ ยเท่าไร (HOW MUCH)

MIND MAPPINGMIND MAPPING หรอื แผนทท่ี างความคดิ หมายถงึ การทาใหค้ วามคดิ เกดิ การเช่อื มโยงกนั แบบบูรณาการโดยการ กาหนดคาแก่นแกนกลางของความคดิ และการเช่อื มโยงไปยงั คาต่างๆทง้ั หมดทเ่ี ก่ยี วขอ้ งโดย ใชร้ ูปภาพและคาสาคญั ช่วยใหก้ ารหาสาเหตขุ องปญั หา แนว ทางแกไ้ ขปญั หา ความคิดรเิ ร่มิ ในการปฏบิ ตั มิ ปี ระสทิ ธผิ ลและ ทาใหเ้กดิ การจดจาทเ่ี ป็นระบบ

Mind Map คอื เคร่อื งมือท่จี ะช่วยใหเ้ ราคดิ และเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างมี ประสทิ ธภิ าพ เป็นวธิ ีการช่วยบนั ทกึ ความคดิ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ภาพความคดิ ท่หี ลากหลายมมุ มอง กวา้ งขวาง และชดั เจนกว่าการ บนั ทกึ เป็นตวั อกั ษรท่ยี งั ไมไ้ ดจ้ ดั ระบบความคิด

ความหมายและประโยชนข์ อง Mind Mappingแผนท่คี วามคิด ( Mind Map) คอื รูปจาลองทแ่ี สดงใหเ้หน็ ถงึ ความเชอ่ื งโยงของมโนภาพทส่ี มั พนั ธก์ นั ทาใหเ้หน็ ภาพความคดิ ท่ี หลากหลายมมุ มองทก่ี วา้ งและชดั เจนกวา่ การบนั ทกึ ทส่ี าคญั กค็ อื เป็นการปูแนวทางทน่ี าไปสูค่ วามคดิ ทว่ี า่ หากคนเราสามารถจดั แผนทร่ี ะบบความคดิ ได้ และจดั การดๆี ก็ จะสง่ ผลต่อประสทิ ธภิ าพในการจดจา การทาความเขา้ ใจ การต่อยอดความคดิ ตลอดจนการประยุกตใ์ ชก้ บั งานในรูปแบบ ต่างๆ ไดเ้ป็นอย่างดี

ผูค้ ดิ คน้ Mind Mapคอื ดร.โทน่ี บูซาน (DR. TONY BUZAN) นกั จติ วทิ ยา ชาวองั กฤษ

ใชไ้ ดก้ บั งานอะไรบา้ ง การจดบนั ทึก การเขียนอย่างสรา้ งสรรค์ และ การเขียนรายงาน กลวธิ ีการเรยี นอยา่ งงา่ ย การพูด

ตวั อย่างการเขยี น MIND MAP

ตวั อย่างของการเขยี น Mind Map

MIND MAPPINGMIND MAPPING หรอื แผนทท่ี างความคดิ หมายถงึ การทาใหค้ วามคดิ เกดิ การเช่อื มโยงกนั แบบบูรณาการโดยการ กาหนดคาแก่นแกนกลางของความคดิ และการเช่อื มโยงไปยงั คาต่างๆทง้ั หมดทเ่ี ก่ยี วขอ้ งโดย ใชร้ ูปภาพและคาสาคญั ช่วยใหก้ ารหาสาเหตขุ องปญั หา แนว ทางแกไ้ ขปญั หา ความคิดรเิ ร่มิ ในการปฏบิ ตั มิ ปี ระสทิ ธผิ ลและ ทาใหเ้กดิ การจดจาทเ่ี ป็นระบบ

Mind Map คอื เคร่อื งมือท่จี ะช่วยใหเ้ ราคดิ และเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างมี ประสทิ ธภิ าพ เป็นวธิ ีการช่วยบนั ทกึ ความคดิ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ภาพความคดิ ท่หี ลากหลายมมุ มอง กวา้ งขวาง และชดั เจนกว่าการ บนั ทกึ เป็นตวั อกั ษรท่ยี งั ไมไ้ ดจ้ ดั ระบบความคิด

ความหมายและประโยชนข์ อง Mind Mappingแผนท่คี วามคิด ( Mind Map) คอื รูปจาลองทแ่ี สดงใหเ้หน็ ถงึ ความเชอ่ื งโยงของมโนภาพทส่ี มั พนั ธก์ นั ทาใหเ้หน็ ภาพความคดิ ท่ี หลากหลายมมุ มองทก่ี วา้ งและชดั เจนกวา่ การบนั ทกึ ทส่ี าคญั กค็ อื เป็นการปูแนวทางทน่ี าไปสูค่ วามคดิ ทว่ี า่ หากคนเราสามารถจดั แผนทร่ี ะบบความคดิ ได้ และจดั การดๆี ก็ จะสง่ ผลต่อประสทิ ธภิ าพในการจดจา การทาความเขา้ ใจ การต่อยอดความคดิ ตลอดจนการประยุกตใ์ ชก้ บั งานในรูปแบบ ต่างๆ ไดเ้ป็นอย่างดี

โครงสรา้ งของการเขยี น Mind Map จากปรากฏการณห์ รอื โจทยต์ ่างๆ ใหค้ น้ หาใจความสาคญั หรอื Key concept ใหไ้ ดเ้ สยี ก่อนว่า มีอะไร และอยา่ งไร จากนนั้ จงึ นา Key concept มาหา Key word จาก Key concept นนั้ ๆ ซง่ึ จะได้ “คาสาคญั ” ออกมา และจะมองเห็นความสมั พนั ธ์ เชอ่ื มโยงของคาต่างๆ เหล่านนั้ จากนน้ั จงึ นา “คาสาคญั ” มาเรยี งต่อกนั ใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธ์ เชอื่ มโยงของเหตุการณ์ โดยใชเ้ สน้ และสขี องเสน้ แสดงระดบั ความสาคญั ของความสมั พนั ธ์เชอื่ มโยงเหล่านนั้

กฎของ MIND MAPPING1.เร่มิ ดว้ ยคาแก่นแกนกลางของความคดิ2.ใชเ้สน้ ในการเช่อื มโยงความสมั พนั ธข์ องคาทกุ คา2.ใชภ้ าพใหม้ ากทส่ี ุด3.เขยี นตวั อกั ษรตวั ใหญ่ๆ4.เขยี นคาเหนอื เสน้ และแต่ละเสน้ เช่อื มกบั ตวั อกั ษรตวั อน่ื ๆ5.คาควรมลี กั ษณะเป็นหน่วยคา6.ใชส้ ที แ่ี ตกต่างกนั ในแต่ละเสน้ ใหท้ วั่ MIND MAP

ประโยชนข์ อง MIND MAP1.ศูนยก์ ลางความคดิ หลกั จะถกู กาหนดข้ึนอย่างชดั เจน2.ความสมั พนั ธท์ ่สี าคญั ของแตล่ ะความคดิ เช่ือมโยงใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน3.การเช่ือมโยงคาสาคญั และลาดบั ความสาคญั จะเหน็ จากตาแหน่งใน MIND MAP อยา่ งชดั เจน4.ช่วยเพม่ิ เตมิ ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หม่ๆไดง้ า่ นข้ึน5.ทาใหฟ้ ้ื นความจาและทบทวนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

ลองคดิ จากสง่ิ ท่อี ยู่ใกลต้ วั กอ่ น1. จะปรบั ปรุงวธิ ีการทางานใหส้ บายกว่าน้ีไดห้ รอื ไม่2. ทาใหร้ วดเรว็ กวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่3. ทาใหร้ าคาถกู กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่4. ทาใหถ้ กู ตอ้ งแม่นยากวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่5. ทาใหล้ กู คา้ พอใจมากกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่6. ทาใหป้ ระหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่7. ทาใหป้ ฏบิ ตั งิ านงา่ ยกวา่ น้ีไดห้ รอื ไม่8. ทาใหป้ ลอดภยั กว่าน้ีไดห้ รอื ไม่

หลกั การคดิ แบบ 6 w 2 hก. ทาทาไม (WHY)ข. ทาอะไร (WHAT)ค. ทาท่ไี หน (WHERE)ง. ทาเม่ือไร (WHEN)จ. ทาโดยใคร (WHO)ฉ. ทาเพอ่ื ใคร (WHOM)ช. ทาอยา่ งไร (HOW)ซ. จา่ ยเท่าไร (HOW MUCH)

??????????????????????????


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook