คาว่า “การละเล่น” หมายถึง การกระทาหรือกิจกรรมใด ๆ ทีก่อให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริงบนั เทิงใจ ซ่ึงมกั มีกติกาการเล่นหรือการแข่งขนั ง่ายไม่สลบั ซบั ซ้อนมากนัก จุดประสงคส์ ่วนใหญ่ มุ่งเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพื่อออกกาลังกาย และก่อให้เกิดความสามัคคีท้ังระหว่างผเู้ ล่นและผชู้ ม กติกาอาจกาหนดข้ึนไวก้ ่อนและเคยปฏิบตั ิมาแลว้หรือ ตกลงกนั ต้งั ข้ึนขณะจะเร่ิมเล่นก็ได้ คือ ไม่ค่อยพิถีพิถนั ในเร่ืองกติกามากนกั
การละเล่นพ้ืนบา้ นจึงหมายถึง กิจกรรมที่ประชาชนร่วมกนั ทาข้ึนเพ่ือให้สนุกสนานและอื่น ๆ ในแต่ละท้องถ่ินหรื อตาบลหมู่บ้านบางอย่างอาจเหมือนกนั กบั ทอ้ งถิ่นอื่น และบางอยา่ งอาจแตกต่างกนั ไปบา้ งตามความนิยมของทอ้ งถ่ินน้นั ๆ การละเล่นต่างกบั กีฬา การละเล่นแตกต่างจากกีฬาตรงที่การละเล่น จดั ทาเพื่อมุ่งความสนุกสนานเป็นใหญ่ไม่มุ่งท่ีจะเอาชนะกนั อย่างจริงจงั ท้งั ผูเ้ ล่นก็ไม่จาเป็ นตอ้ งไดฝ้ ึ กซ้อมเตรียมตวั มาก่อนแต่อยา่ งใด คือ จะเล่นเมื่อไรก็อาจเขา้ ร่วมกิจกรรมเลยก็ได้
การละเล่นของไทยเราน้นั มีมากมายจนนึกไม่ถึง (กรมพลศึกษารวบรวม ไวไ้ ดถ้ ึง 1,200 ชนิด) แต่พอจะแบ่งคร่าว ๆ ไดเ้ ป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การละเล่นกลางแจง้ และการละเล่นในร่ม และในแต่ละประเภทก็ยงั แบ่งยอ่ ย อีกเป็นการละเล่นที่มีบทร้องประกอบ กบั ไม่มีบทร้องประกอบ 1. การละเล่นกลางแจ้ง - ท่ีมีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ โพงพาง อา้ ยเขอ้ า้ ยโขง มอญซ่อนผา้ รีรีขา้ วสาร เป็ นตน้ - ที่มีคาโตต้ อบ เช่น งูกนั หาง แม่นาคพระโขนง มะลอ็ กก๊อกแกก็ เขยง่ เกง็กอย เป็นตน้
- ไม่มีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ลอ้ ตอ๊ ก หยอดหลุม บอ้ หุน้ ลูกด่ิง ลูกขา่ ง ลูกหิน เตยหรือตาล่อง เสือขา้ มหว้ ย ตี่จบั ตาเขยง่ ยงิ หนงั สะติ๊ก ขี่มา้ กา้ นกลว้ ยกระดานกระดก ว่ิงสามขา วิง่ สวมกระสอบ เป็นตน้2. การละเล่นในร่ม- ท่ีมีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ข้ีตู่กลางนา ซกั ส้าว โยกเยก แมงมุม จบั ปูดาขยาปูนา จีจ่อเจี๊ยบ เดก็ เอ๋ยพาย จ้าจ้ี เป็นตน้- ไม่มีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ดีดเมด็ มะขามลงหลุม อีตกั เสือตกถงั เสือกินววัหมากเก็บ หมากตะเกียบ ป่ันแปะ หัวก้อย กาทายใบสน ตีไก่ เป่ ากบ พบักระดาษ ทายคาปริศนา เป็นตน้
นอกจากน้ียงั มีบทร้องเล่น เช่น จนั ทร์เอ๋ย จนั ทร์เจ้า ขอขา้ วขอแกง...และบทล้อเลียน เช่น ผมจุก คลุกน้าปลา เห็นข้ีหมาน่ังไหวก้ ระจ๊องหง่องเป็ นตน้ การละเล่นท่ีเล่นกลางแจง้ หรือในร่มก็ไดท้ ี่ไม่มีบทร้อง ไดแ้ ก่ ลิงชิงหลกั ขายแตงโม เกา้ อ้ีดนตรี แข่งเรือคน ดมดอกไมป้ ิ ดตาตีหมอ้ ปิ ดตาต่อหางโฮกปี๊ บ เป่ ายงิ ฉุบ เป็นตน้ เน่ืองจากในแต่ละภาคมีลกั ษณะเฉพาะตวั ท่ีแตกต่างกนั ท้งั ในดา้ นภาษาวฒั นธรรม ประเพณี ความเชื่อ สภาพแวดลอ้ ม ทาใหก้ ารละเล่นของเดก็ แต่ละภาคมีความแตกต่างกนั ไปบา้ งในเรื่องของบทร้องประกอบการละเล่น กติกาและอุปกรณ์การละเล่น แต่โดยรวมแลว้ ลกั ษณะการเล่นจะคลา้ ยคลึงกนั เป็นส่วนใหญ่
ความแตกต่างของบทร้องประกอบการละเล่น การละเล่นซ่ึงมีบทร้องประกอบ บางอย่างมีลกั ษณะคลา้ ยกนั หรือเหมือน ๆ กนั แต่บทร้องจะแตกต่างไปตามภาษาทอ้ งถ่ิน และเน้ือความซ่ึงเด็กเป็นผคู้ ิดข้ึน เช่น การละเล่นจ้าจ้ี หรือ ปะเปิ้ มใบพลูของภาคเหนือจ้ามู่มี่ของภาคอีสาน และจุม้ จ้ีของภาคใต้
บทร้อง ‘จ้าจ้ี’ ภาคกลางมีหลายบท แต่บทท่ีเป็นที่เดก็ ภาคกลางร้องกนั เป็นเกือบทุกคน คือ ‚จ้าจ้ีมะเขือเปราะ กะเทาะหนา้ แวน่ พายเรือออกแอน่ กระแท่นตน้ ก่มุ สาวสาวหนุ่มหนุ่ม อาบน้าท่าไหนอาบน้าท่าวดั เอาแป้งที่ไหนผดั เอากระจกที่ไหนส่อง เยย่ี ม ๆ มอง ๆ นกขนุ ทองร้องว‛ู้
‘ปะเปิ้ มใบพลู’ ของภาคหนือ เป็นการละเล่นเพ่อื เสี่ยงทาย เลือกขา้ ง ผเู้ ล่นนง่ัลอ้ มวงกนั วางฝ่ ามือคว่าลงบนพ้ืนคนละมือ คนหน่ึงในวงจะร้องวา่ ‚ปะเปิ้ มใบพลู คนใดมาจู เอากอู อกก่อน‛ หรือ ‚จาป่ ุนจาปู ป๋ัวใครมาดู เอากอู อกก่อน‛ หรือ ‚จ้าจ้ีจ้าอวด ลูกมึงไปบวช สึกออกมาเฝียะอีหลา้ ทอ้ งป่ อง‛
‘จ้ามู่ม่ี’ ของภาคอีสาน เล่นทานองเดียวกบั จ้าจ้ีของภาคกลาง แต่ถา้ คาสุดทา้ ยไปตกที่ผใู้ ดผนู้ ้นั ตอ้ งเป็นคนปิ ดตานบั หน่ึงถึงยส่ี ิบ แลว้ คนอ่ืนไปซ่อนเป็นการผนวกการละเล่นซ่อนหาเขา้ มาดว้ ย บทร้องจ้ามู่มี่มีท้งั ส้นั และยาว อย่างส้ัน ‚จ้ามู่มี่ มูหมก มูมน หกั ขาคนใส่หนา้ นกก๊ด หนา้ ลิง หนา้ ลายหนา้ ผพี ราย หนา้ หยบิ หนา้ หยอ่ ม ผอมแปะ
อย่างยาว ‚จ้ามู่มี่ มูมน หกั คอคนใส่หนา้ นกก๊ด หนา้ ลิง หนา้ ลายหนา้ ผพี ราย หนา้ จ๊ิก หนา้ ก่อ หนา้ หยอ่ มแยะ แม่ตอและ ตอหาง ตอไก่ แลว้ไปฝึก ไปฟัน ใหเ้ วียงจนั ทน์ คือแหวนขา้ งซา้ ยยา้ ยออกตอกส่ิว ลิวเปี๊ ยะ ฉี่ไก่ เป๊ี ยะ ติดหางนกจอก แม่มนั บอก ไก่นอ้ ยออกซะ‛
การละเล่นจุม้ จ้ีของเดก็ ภาคใต้ กเ็ พื่อจะเล่นซ่อนหาเช่นกนั โดยคนท่ีเหลือเป็นคนสุดทา้ ยจากการละเล่นจุม้ จ้ี จะเป็นผผู้ ดิ ตาหาเพ่อื น ๆ เพลงที่ร้องประกอบมีหลายบท แตกต่างกนั ไปแต่ละทอ้ งถิ่น จะยกตวั อยา่ งมา 2 บทดงั น้ี 1. ‚จุม้ จ้ีจุม้ ปุด จุม้ แม่สีพดุ จุม้ ใบหร้าหร้า พทุ ราเป็นดอก หมากงอก เป็นใบ พงุ้ พงิ้ ลงไป วา่ ยน้าตุกติก‛ 2. ‚จุม้ จ้ีจุมจวด จุม้ หนวดแมงวนั แมงภู่จบั จนั ทนแ์ มงวนั จบั ผลุง้ ฉีก ใบตองมารองขา้ วแขก น้าเตา้ แตกแหกดงั โผลง ชา้ งเขา้ โรง อีโมงเฉง้ แม่ไก่ฟักร้องก๊อกก๊อก ท่ิมคางคก ยกออกยกออก‛
ลกั ษณะคาประพนั ธ์ บทร้องประกอบการละเล่นของเดก็ ไทย หากไม่อยใู่ นรูปของฉนั ทลกั ษณ์ กจ็ ะมีคาคลอ้ งจองกนั อยใู่ นรูปของฉนั ลกั ษณ์ คาคลอ้ งจองกนั มีท้งั สมั ผสั นอกและสมั ผสั ใน เท่ากบั เป็นการแทรกซึมวสิ ยั ความเป็นเจา้ บทเจา้กลอนลงไป ไม่วา่ จะเป็นของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ซ่ึงในแต่ละภาคกจ็ ะสอดแทรกภาษาทอ้ งถ่ินของตนเขา้ ไปดว้ ย นอกจากน้ีมีการเลียนเสียงต่าง ๆ หรือออกเสียงแปลก ๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการละเล่น
อีกท้งั ยงั ช่วยให้เด็กไดฝ้ ึ กลิ้น เช่น การเลียนเสียงนก ‚จ้าจ้ีเม็ดขนุน...นกขุนทองร้องวู‛้ การเลียนเสียงกลอง ‚ผมเปี ยมาเลียใบตอง พระตีกลองตะลุ่มตุ่มเมง้ ‛ การเลียนเสียงร้องไห้ ‚ข้ีแย ขายดอกแค ขายไม่หมดร้องไหแ้ งแง‛ คาแปลก ๆ มกั จะปรากฎบ่อยมาก แมว้ ่าจะไม่มีความหมายแต่ฟังแลว้ ก็รู้สึกสนุกทาให้เด็กชอบ เช่น ‚เทง้ เตง้ ‛ ‚โตงเตงโตงเวา้ ‛ ‚กระจ๊องหง่อง‛‚ออระแร้ ออระชอน‛ ‚มะลอ้ กก๊อกแก๊ก‛ ‚จีจ่อเจ๊ียบ ๆ ‚ตะโลนโพนเพน‛‚ตุย๊ ตู่ ตุม๊ เดี่ยว‛ เป็นตน้
บางบทใชภ้ าพพจน์ทาให้เกิดความงามในภาษา เช่น บทร้องของทางใตบ้ ทหน่ึงว่า ‚เชโคโยย่าหนัด ฉัดหน้าแขง้ เดือนแจง้ ๆ มาเล่นเชโชค‛ บทร้องบาทบทใช้คาท่ีเป็ นสัญลกั ษณ์แฝง ความหมายในแง่เพศสัมพนั ธ์
ตวั อย่างเพลงประกอบการละเล่น เพลงประกอบการละเล่นภาคเหนือ1. โพงพางจงั หวดั : ตากสถานท่เี ล่น: สนาม,ลานกวา้ งอปุ กรณ์: ผา้ ปิ ดตาจานวนผู้เล่น: ไม่จากดั จานวนกติกา: ใครถูกจบั ได้ และบอกช่ือถูกตอ้ งเป็นโพงพางแทน
วธิ ีเล่น : หาคนที่เป็นปลาโดยการจบั ไมส้ ้นั ไมย้ าว เอาผา้ ผกู ตาคนท่ีเป็นปลา แลว้ หมุน 3 รอบ ผูเ้ ล่นคนอ่ืนๆ ลอ้ มวงจบั มือกนั เดินเป็ นวงกลมพร้อม กับร้องเพลงประกอบ เมื่อจบเพลงถามว่า ‚ปลาเป็ นหรือปลาตาย‛ ถา้ ตอบว่า ‚ปลาเป็น‛ คนท่ีอยรู่ อบวงจะขยบั เขย้อื นหนีได้ ถา้ บอก ‚ปลา ตาย‛ จะตอ้ งนงั่ อยเู่ ฉย ๆ หากคนที่ถูกปิ ดตาทายถูกว่าผูท้ ี่ตนจบั ไดเ้ ป็ น ใคร ผทู้ ่ีถูกจบั น้นั กต็ อ้ งมาเป็นปลาแทน ถา้ ทายผดิ กต็ อ้ งเป็นต่อไป
บทร้องประกอบการเล่น \"โพงพางเอ๋ย ป๋ าเขา้ ลอด ป๋ าต๋าบอด เขา้ ลอดโพงพาง โพงพางเอ๋ย นก กระยางเขา้ ลอด เสือป๋ าตาบอด เขา้ ลอดโพงพาง ก๋ินป๋ าเป็นหรือก๋ิน ป๋ าตาย\"ประโยชน์ : การละเล่นชนิดน้ีฝึกความสงั เกต ความจา และความมีไหวพริบ
คาศัพท์ภาษาท้องถิ่นภาษาถิ่น ภาษาไทยมาตรฐาน ปล๋า ปลา ต๋า ตา ก๋ิน กิน
2. เพลงสาหรับเล่นจา้ จี้ เป็นเพลงที่ใชเ้ พื่อคดั หาผมู้ าทาการบางอยา่ ง เช่น หาคนมาเพอ่ื ปิ ด ตา เป็นตน้ เช่น ‚ป่ ูพงขา้ มท่งขา้ มนา ตีกลองปูชา เอาอ่ีพาออกก่อน‛ หรือ ‚ปะเปิ้ มใบพลู คนใดมาจู เอามือออกก่อน‛ เมื่อเหลือสองคนสุดทา้ ยแลว้ กม็ กั จะร้องวา่ ‚สองฅนพนี่ อ้ ง กินเขา้ กบั เกลือ ฅนใดเหลือ ฅนน้นั ‛ไดอ้ ุ่ม‛
คาศัพท์ภาษาท้องถน่ิภาษาถ่ิน ภาษาไทยมาตรฐาน ปะเบิ้ม ใหญ่ ตน คน ไดอ้ ุม่ ไดอ้ ุม้ ท่ง ทุ่ง ปูชา บูชา ก๋ินเขา้ กินขา้ ว มาจู มาถึง
เพลงประกอบการละเล่นภาคกลาง1. เพลงจา้ จมี้ ะเขือเปราะ \"จ้าจ้ีมะเขือเปราะ กะเทาะหนา้ แวน่ พายเรืออกแอ่น กระแท่นตน้ ก่มุ สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้าท่าไหน อาบน้าท่าวดั เอาแป้งที่ไหนผดั เอากระจกที่ไหนล่อง เยยี่ มๆ มองๆ นกขนุ ทองร้องฮู‛้จานวนผู้เล่น : ประมาณ 2-3 คนข้ึนไป
วธิ ีเล่น : ผเู้ ล่นนงั่ ลอ้ มวงกนั คว่ามือท้งั สองลงบนพ้นื คนหน่ึงเป็นคนจ้ี โดยใชน้ ิ้วช้ีจิ้มไปที่นิ้วของผเู้ ล่นไล่ไปทีละนิ้วใหร้ อบวง พร้อมท้งั ร้องเพลงไปดว้ ยเมื่อร้องจบแลว้ จิ้มอยทู่ ่ีนิ้วใดคนน้นั ตอ้ งพบั นิ้วน้นั เขา้ ไป ผจู้ ิ้มกเ็ ร่ิมเล่นใหม่ไปเร่ือย ๆ ใครตอ้ งพบั นิ้วท้งั หมดเป็นคนแรกแพ้
2. เพลงงูกนิ หางพอ่ งู : ‚แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน‛แม่งู : ‚กินน้าบ่อโสกโยกไปโยกมา‛ พร้อมแสดงอาการส่ายตวั ไปมาพอ่ งู : ‚แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน‛แม่งู : ‚กินน้าบ่อหินบินไปบินมา‛ พร้อมแสดงอาการบินไปบินมาพอ่ งู : ‚แม่งูเอ๋ยกินน้าบ่อไหน‛แม่งู : ‚กินน้าบ่อทรายยา้ ยไปยา้ ยมา‛ พร้อมแสดงอาการส่ายตวั ไปมาพอ่ งู : ‚กินหวั กินหางกินกลางตลอดตวั ‛
วธิ ีการเล่น : ผูเ้ ล่นมีจานวน 8-10 คน แบ่งผูเ้ ล่นเป็ น 2 ฝ่ าย ฝ่ ายที่ 1 จะตอ้ งเป็ น ‚พ่อ งู‛ 1 คน ฝ่ ายที่ 2 มี ‚แม่งู‛ 1 คน ท่ีเหลือเป็ น ‚ลูกงู‛ ซ่ึงผูเ้ ล่นเป็ นลูกงูจะตอ้ ง เกาะเอวผูเ้ ล่นเป็ นแม่งูจากน้นั พ่องูเริ่มถามว่า ‚แม่งูเอ๋ย‛ แม่งูและลูกงูก็ร้อง ตอบวา่ ‚เอ๋ย‛ พอช่วงทา้ ยพอ่ งูถามวา่ ‚กินหวั กินหาง‛ แม่งูตอบวา่ ‚กินกลาง ตลอดตวั ‛พอ่ งูกจ็ ะไล่จบั ลูกงูจากปลายแถว ฝ่ ายแม่งูจะตอ้ งกางมือเพื่อป้องกนั ลูก หากลูกงูตวั ใดถูกพ่องูดึงจนหลุดออกจากแถวไป ก็จะตอ้ งออกจากการ เล่นผเู้ ล่นท่ีเหลือกเ็ ร่ิมเล่นกนั อีกจนกวา่ ลูกงูจะถูกจบั จนหมด
เพลงประกอบการละเล่นภาคอสี าน1. เพลง ตจี่ ับสถานทเ่ี ล่น: สนาม,ลานกวา้ งจานวนผู้เล่น: ไม่จากดั จานวนกติกา : ใครถูกจบั ได้ จะตอ้ งเป็นหนอน
วธิ ีเล่น : หาคนที่เป็ นผเู้ อาฝ่ ามือมาจบั เพื่อนโดยการเล่น ‚โออิหล่าตาแป๊ ะ‛ แลว้ ใหค้ นที่แพม้ าใชม้ ือคว่าลงประมาณศีรษะ จากน้นั ใหเ้ พ่ือนนานิ้วช้ีมาไวใ้ ตฝ้ ่ า มือของเพ่ือน แลว้ ร้องเพลงเพ่ือหาคนท่ีจะไปเป็นหนอน นิ้วช้ีของใครถูกฝ่ า มือเพื่อนจบั ไวไ้ ด้ ก็เป็ นหนอน แลว้ ไปนับเลขหน่ึงถึงสิบเพื่อให้เพ่ือนไป ซ่อนตัว เมื่อนับครบถึงสิบก็ตามหาเพ่ือน ถ้าเจอเพื่อนคนใดก็ให้บอกว่า ‚โป้ง‛ แลว้ ตามดว้ ยช่ือเพื่อน แลว้ คนน้นั กจ็ ะเป็นหนอน แต่ถา้ มีเพ่ือนมาแตะ เราไดก้ ่อนเรากจ็ ะตอ้ งเป็นหนอนต่อไป
เพลงโออิหล่าตาแป๊ ะเป็นเพลงท่ีใชเ้ พ่อื คดั หาผมู้ าทาการบางอยา่ ง เช่น หาคนแพ้ บทร้องประกอบการเล่นจจี่ บั ‚จี่มะล่ีจี่จบั ไมล้ ม้ ทบั สวสั ดีครับ ผไุ้ ด๋ถูกจบั ใหม้ ู่แล่นล้ี‛ประโยชน์ : การละเล่นชนิดน้ีจะฝึกความมีไหวพริบ รวดเร็ว การสงั เกต และ เพื่อความสนุกสนาน
2. จา้ มู่มี่ ‚จ้ามู่มี่ มูมก มูมน หกั คอคนใส่หนา้ นกก๊ด นกก๊ด หนา้ ลิง หนา้ ลาย หนา้ ผี พราย หนา้ จ๊ิก หนา้ ยอ่ หยอ่ มแยะ ไมต้ อและ หกั หางตอไก่ ตอไก่ ขอฟักขอ ฟัน ไทเวียงจนั ทน์ ถือแหวนขา้ งซา้ ยยา้ ยออกตอกสิ่ว‛อปุ กรณ์ 1. จานวนผเู้ ล่นต้งั แต่ 3-10 คน 2. สถานท่ีนิยมเล่นในท่ีร่ม
วธิ ีการเล่น : 1. จุม้ จ้ี หรือจ้าจ้ี เป็นการเล่นเสี่ยงทายคดั เลือกคนออกไปจากวงโดยการ นบั และใชน้ ิ้วช้ีไปยงั มือหรือนิ้วของผเู้ ล่น จานวนผเู้ ล่นต้งั แต่ 3-10 คน 2. ผเู้ ล่นทุกคนรวมท้งั ผจู้ ้ีดว้ ยตอ้ งนงั่ ลอ้ มเป็นวงกลม คว่าฝ่ ามือท้งั 2 ขา้ ง ลงบนพ้นื ขา้ งหนา้ คนจ้ีจะคว่าฝ่ ามือลงขา้ งเดียวเช่นกนั อีกขา้ งหน่ึงจะใช้ สาหรับจ้ีหลงั มือทุกมือท่ีวางอยใู นวง 3. โดยเร่ิมจ้ีจากมือของตนเองก่อน ขณะท่ีจ้ีผูเ้ ล่นช่วยกันร้องเพลง ประกอบการเล่น 1 พยางคต์ ่อการจ้ี 1 คร้ังหรือ 1 นิ้ว เม่ือพยางคส์ ุดทา้ ยของ เพลงตกตรงที่นิ้วไหนนิ้วน้นั หกั ลง 4. ผจู้ ้ีจะร้องเพลงประกอบและจ้ีไปเรื่อย ๆ จนเหลือผเู้ ล่นเหลือนิ้วอยใู่ น วงคนเดียวและเป็นสุดทา้ ยก็เป็นผชู้ นะ ถา้ จะเล่นต่อไปผชู้ นะกจ็ ะเป็นผจู้ ้ีแทน คนเดิม
คาศัพท์ภาษาท้องถิ่นภาษาถนิ่ ภาษาไทยมาตรฐาน ผไู้ ด๋ ใคร ใหม้ ู่ ใหพ้ วกเรา แลน่ ล้ี วงิ่ เร็วๆ นกกด๊ นกกด
เพลงประกอบการเล่นภาคใต้1. เพลงจุ้มจี้ ‚จุม้ จ้ี จุม้ จวด พาลูกไปบวช ถึงวดั ถึงวา พอสึกออกมา ตุก๊ ตาพงุ ป้อง ทาท่า ไหวก้ อ้ ง พงุ ป้องตาเหล่ ทาท่าจบั เข้ เขข้ บไขขาด ทาท่าไหวถ้ าด ถาดพลดั ใส่หวั ทาท่าไหวผ้ วั ผวั ฉดั ผลดั ได‛อุปกรณ์ 1. จานวนผเู้ ล่นต้งั แต่ 3-10 คน 2. สถานท่ีนิยมเล่นในที่ร่ม
วธิ ีการเล่น : 1. จุม้ จ้ี หรือจ้าจ้ี เป็นการเล่นเสี่ยงทายคดั เลือกคนออกไปจากวงโดยการนบั และใชน้ ิ้วช้ีไปยงั มือหรือนิ้วของผเู้ ล่น จานวนผเู้ ล่นต้งั แต่ 3-10 คน 2. ผูเ้ ล่นทุกคนรวมท้งั ผจู้ ้ีดว้ ยตอ้ งนง่ั ลอ้ มเป็ นวงกลม คว่าฝ่ ามือท้งั 2 ขา้ งลง บนพ้นื ขา้ งหนา้ คนจ้ีจะคว่าฝ่ ามือลงขา้ งเดียวเช่นกนั อีกขา้ งหน่ึงจะใชส้ าหรับ จ้ีหลงั มือทุกมือที่วางอยใู นวง 3. โดยเร่ิมจ้ีจากมือของตนเองก่อน ขณะที่จ้ีผูเ้ ล่นช่วยกนั ร้องเพลง ประกอบการเล่น 1 พยางคต์ ่อการจ้ี 1 คร้ังหรือ 1 มือ เม่ือพยางคส์ ุดทา้ ยของ เพลงตกตรงที่มือไหนมือน้นั จะตอ้ งยกออกจากวง 4. ผจู้ ้ีจะร้องเพลงประกอบและจ้ีไปเร่ือย ๆ จนเหลือผเู้ ล่นเหลือมืออยใู่ น วงคนเดียวและเป็นสุดทา้ ยกเ็ ป็นผชู้ นะ ถา้ จะเล่นต่อไปผชู้ นะกจ็ ะเป็นผจู้ ้ีแทน คนเดิม
คาศัพท์ภาษาท้องถ่ินภาษาถ่ิน ภาษาไทยมาตรฐานพงุ ป่ อง ทอ้ งป่ องไหวก้ อ้ ง ไหวป้ ่ ู ทาท่า เตรียมออกท่า จบั เข้ จบั จระเข้ ตก พลดั
ความสัมพนั ธ์กบั สังคม1. ภาคกลาง มีการละเล่นที่สอดคลอ้ งกบั การประกอบอาชีพเกษตร2. ภาคเหนือ มีการละเล่นของชาวลา้ นนาและชนกลุ่มวฒั นธรรมยอ่ ย3. ภาคอีสาน มีการละเล่นแบ่งตามกลุ่มวฒั นธรรม4. ภาคใต้ มีการละเล่นที่แบ่งตามกลุ่มวฒั นธรรมไทยพทุ ธ
ความสาคญั ด้านวฒั นธรรม 1. เสริมสร้างพลานามยั ใหส้ มบูรณ์ 2. เสริมสร้างทกั ษะต่าง ๆ ใหเ้ จริญ เช่น ทกั ษะในการใชส้ ายตา สงั เกตทกั ษะในการเคล่ือนไหวอวยั วะเป็นตน้ 3. ส่งเสริมความเจริญทางด้านจิตใจ โดยปลูกฝังให้มีคุณธรรม อัน จาเป็ นแก่การเป็ นพลเมืองท่ีดี 4. ส่งเสริมความเจริญทางสติปัญญา เช่น ฝึกใหใ้ ชค้ วามคิด ฝึกใหม้ ีไหวพริบ ฝึกการคาดคะเนเหตุการณ์ เป็นตน้
ความสาคญั ด้านสังคม 1. การละเล่นของเดก็ ไทย สะทอ้ นใหเ้ ห็นสภาพของสังคมไทยในดา้ นต่าง ๆ เช่น สภาพความเป็นอยแู่ ละอาชีพของชาวบา้ นตลอดจนความเชื่อและค่านิยมของคนไทยสมยั โบราณ 2. การละเล่นช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของเดก็ ท้งั ทางกายและ จิตใจ ฝึกใหเ้ ป็นผมู้ ีระเบียบวินยั มีความรับผดิ ชอบ มีความสามคั คีใน หมู่คณะ
ความสาคญั ด้านภาษา บทร้องประกอบการละเล่นของเด็กไทยในแต่ละภาคน้ัน มีคุณค่าดา้ นภาษาท้งั ในแง่ของวรรณศิลป์ และในแง่ของการสื่อสาร ในแง่ของวรรณศิลป์ น้ัน บทร้องมีรู ปแบบไม่จากัดตายตัว มีการใช้คาเป็ นวรรคส้นั ๆ และมีเสียงสมั ผสั คลอ้ งจองทาใหเ้ กิดความไพเราะ
แนวคดิ1. เพลงงูกนิ หาง - ฝึกใหเ้ กิดความสามคั คีในกลุ่มผเู้ ล่น - ฝึกฝนการต่อสูแ้ ละหลบหลีกภยั ท่ีจะเกิดข้ึนและการทางานในกลุ่ม2. โพงพาง - สะทอ้ นวถิ ีชีวติ ความคิด ความเชื่อของคนในทอ้ งถิ่นน้นั ๆ มาต้งั แต่ อดีตถึงปัจจุบนั3. จุ้มจี้ มู่มี่ และจา้ จี้ (ภาคเหนือ) - ทาใหเ้ กิดความสนุกสนาน มีความรักความสามคั คีในกลุ่มเพอ่ื นและการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์
4. จา้ จี้ (ภาคกลาง) - สะทอ้ นถึงสภาพความเป็ นอยู่ของผูใ้ หญ่ บทร้องจ้าจ้ีซ้ึงร้องแตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถิ่นต่าง ๆ ก็สะทอ้ นให้เป็ นชีวิตความเป็ นอยู่แบบไทยสมยั ก่อนหลายอย่าง เช่น จ้าจ้ีมะเขือเปาะ กล่าวถึงการอาบน้าของหนุ่มๆสาวๆซ่ึงนิยมไปอาบท่ีท่าวดั มีการใชเ้ รือเป็นพาหนะ5. ตีจ่ ับ - เป็ นการออกกาลงั กายในทางสนุกสนาน รื่นเริง ก่อให้เกิดความสมานสามคั คีในหมู่คณะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: