Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือพ่อแม่พัฒนาทักษะสมอง EF-Executive Functions ตั้งแต่ปฏิสนธิ-3 ปี

คู่มือพ่อแม่พัฒนาทักษะสมอง EF-Executive Functions ตั้งแต่ปฏิสนธิ-3 ปี

Description: คู่มือพ่อแม่พัฒนาทักษะสมอง EF-Executive Functions ตั้งแต่ปฏิสนธิ-3 ปี

Keywords: คู่มือพ่อแม่พัฒนาทักษะสมองลูก,คู่มือพ่อแม่ดูแลลูก,คู่มือ,การดูแลลูก,การพัฒนาทักษะสมอง,ความรู้เรื่องสมอง,ทักษะสมอง EF,พัฒนาการเด็ก,สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็ก

Search

Read the Text Version

ส่งิ ทีแ่ ม่ต้ังครรภค์ วรปฏบิ ตั ิเพื่อใหล้ ูกมีทักษะสมอง EF ท่ดี ี 1. ดูแลการตั้งครรภ์ให้เป็นการตั้งครรภ์ที่มี คุณภาพ มีการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ ตรวจร่างกาย ฝากครรภ์ทันทีเม่ือรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ได้รับการเสริม โฟเลต ไอโอดีน ธาตุเหล็กต้ังแต่ก่อนตั้งครรภ์ ดูแล ตัวเองให้สุขภาพดีท้ังสุขภาพกายและสุขภาพจิต รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ท่ีช่วยเสริมสร้างสมอง และวติ ามนิ เกลอื แรซ่ ง่ึ จะชว่ ย ในการส่งสญั ญาณประสาท รวมทงั้ พักผ่อนใหเ้ พียงพอ 2. แม่ต้องใส่ใจดูแลตัวเองให้ดี ไม่ให้ได้รับ ผลกระทบจากปจั จัยต่างๆ ทจ่ี ะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ และลูกในครรภ์ ตระหนักว่าฮาร์ดแวร์หรือสมอง ของลกู สำ� คญั มาก หากฮาร์ดแวร์ไมด่ ี การใสซ่ อฟตแ์ วร์ หรอื การพัฒนาใดๆ ก็ท�ำได้ยาก ทำ� ใหก้ ารพฒั นาสมอง ของลกู ไมม่ ปี ระสิทธิภาพ หลกี เล่ียงความเครยี ด หาวิธี คลายเครยี ด มกี ารทดลองพบวา่ แมห่ นทู ดลองทเ่ี ครยี ด บางครงั้ จะกนิ ลกู ตวั เอง มนษุ ยก์ เ็ ชน่ กนั หากแมต่ ง้ั ครรภ์ ที่เครียดไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง แม่จะไม่รู้สึกผูกพันกับลูก มีโอกาสทจ่ี ะท้งิ ลกู ได้ 51

3. แม่สามารถสร้างความผูกพันกับลูกในครรภ์ได้ โดยสื่อ ความรู้สึกรัก ผูกพัน มีความสุขไปให้ลูกในครรภ์ ซึ่งจะท�ำให้แม่มีความ สุขไปด้วย ลูกในครรภ์สามารถรับรู้ได้จากประสาทสัมผัส โดยเฉพาะ การได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแม่ ท�ำให้ลูกรับรู้ว่าแม่ก�ำลังสงบสุขดี หรือกำ� ลงั โกรธ ตน่ื เต้น กลัว ถ้าแมม่ คี วามสขุ สงบดี ไมไ่ ด้วติ กกงั วลมาก หวั ใจไมไ่ ดเ้ ตน้ ตกึ ตกั ตมู ตาม ลกู กจ็ ะรสู้ กึ ไดถ้ งึ สภาพแวดลอ้ มทป่ี ลอดภยั หากแม่พยายามส่ือความรักความผูกพันถึงลูกในครรภ์ ความเชื่อมโยง ผูกพันกันนี้จะส่งผลต่อเน่ืองมาถึงช่วงหลังคลอดท่ีแม่เล้ียงดูลูก ซึ่งจะ เปน็ ปจั จยั พนื้ ฐานทท่ี ำ� ใหแ้ มก่ บั ลกู มคี วามสมั พนั ธท์ ด่ี ตี อ่ กนั ลกู เกดิ ความ ไว้วางใจ สมองลูกพร้อมจะเรียนรู้ แม่จะฝึกจะสอนอะไรลูกก็ท�ำได้ง่าย เป็นพื้นฐานท่ีดีที่จะพฒั นาทกั ษะสมอง EF ตอ่ ไป มีกิจกรรมที่แม่จะสื่อความรักความผูกพันกับลูกในครรภ์ และส่งเสริมทักษะ สมอง EF ท่ดี ี ดังน้ี ✿ ลบู ทอ้ ง สัมผัสทารกท่อี ยูใ่ นครรภเ์ มือ่ ทารกมกี ารเคลอ่ื นไหว ✿ พูดคุยกับทารกในครรภ์บ่อยๆ รวมไปถึงการเล่านิทาน ลองเปลี่ยนน้�ำเสียง การเลา่ หรือการพูดใหม้ จี ังหวะจะโคนหรอื มีความหลากหลาย ✿ รอ้ งเพลง ฟังเพลง ✿ สวดมนต์ ท�ำสมาธิ ใช้หลักศาสนาเพื่อให้จิตใจสงบ คลายความเครียด วิตกกังวล ถ้าอารมณ์ของแม่สงบ ไม่แปรปรวนข้ึนๆ ลงๆ ลูกจะสงบด้วย เวลาแม่ตกใจ วิตกกงั วล หัวใจแมจ่ ะเต้นแรงและเร็ว กล้ามเนื้อตึง ลูกในครรภ์ ก็รับรู้ได้ การท่ีแม่มีอารมณ์สงบ เป็นผลดีต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF ของทารกในครรภ์ 52

วธิ ีสร้างความผูกพันกบั ลกู ในครรภ์ หัวใจหลักของการสร้างความผูกพันระหว่างแม่กับลูกในครรภ์คือการพยายาม สอ่ื สารให้ลกู ในครรภ์ได้รับรู้วา่ ลูกเป็นท่ตี อ้ งการของพ่อแม่ โดย หลับตา จินตนาการถึงลูก ใช้มือลูบ นวดท้องส่งสัมผัสถึงลูก พูดคุยกับลูกในท้อง รู้สรึก้อผง่อเพนลคงลาท�ยำใหส้คบุณาแยมใจ่ ใหเป้เขิด้าเกพับลจังงทห่ีสวระ้ากงคาวารมเรตู้ส้ึนกผขอ่องหนัวคใลจาแยม่ อ่แานมห่จะนไดังใ้ฝหสึ้กลือูกออท่า่าี่จนนะเนกหิิทดรมือาาฝนฟึกใัเงหลด้ล้ว่าูกยนในิททา้องนฟัง เขียนบันทึก เขียนจดหมายถึงลูก เตรียมหาความรู้เร่ืองการให้นมแม่ต้ังแต่ต้ังครรภ์ 53

พ่อต้องมัน่ คง ส่ิงทพี่ ่อควรปฏบิ ตั ิ รับเปอ็นหาลรกัมทณ่ีจะ์ ✿ ช่วงตั้งครรภพ์ ่อต้องเขา้ ใจแมท่ ฮ่ี อร์โมนกำ� ลงั เปล่ียนแปลง และตอ้ งช่วยให้ ของแมต่ ั้งครรภ์ กำ� ลงั ใจ ใหค้ วามมน่ั ใจ ดแู ล อยู่เคยี งข้างแม่ ชว่ ยเลี้ยงลกู แบ่งเบาภาระ ท่ีเครยี ด วิตก ✿ พ่อต้องม่ันคง เป็นหลักท่ีจะรับอารมณ์ของแม่ตั้งครรภ์ท่ีเครียด วิตก หงดุ หงดิ งา่ ยกวา่ ปกติ หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ไม่สร้างความเครียดให้แม่ สร้างบรรยากาศที่ดี ในครอบครัว ✿ พ่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูก ซ่ึงอาจจะหาความรู้ จากหนังสือคู่มือ อินเทอร์เน็ต หมอที่แม่ฝากครรภ์ เข้าคอร์สอบรมที่ เก่ียวกับการต้ังครรภ์และการเล้ียงลูก เพ่ือให้เข้าใจและช่วยให้ความมั่นใจ กบั แม่ รวมท้งั จะได้ช่วยเล้ียงลูกไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม ✿ พ่อควรต้องไปฝากครรภ์กับแม่ทุกคร้ังที่หมอนัด เพื่อรับรู้ข้อมูล เข้าใจ สถานการณ์ และรวู้ ิธีดแู ลแม่ตง้ั ครรภ์ บุคคลรอบขา้ ง / สังคมชว่ ยดูแลแม่ต้ังครรภ์ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง ✿ ปยู่ ่าตายายสามารถเป็นผู้ช่วยใหแ้ มค่ ลายกังวล มีสติ ผอ่ นคลายมากขน้ึ ได้ ✿ ควรให้ความรู้แก่ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ทุกคนในเร่ืองการเตรียมตัว กอ่ นต้งั ครรภ์ ✿ โรงพยาบาล คลินิก หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ควรมีการให้ความรู้ ค�ำแนะน�ำ แกแ่ ม่ พอ่ คนรอบขา้ ง ใหเ้ ขา้ ใจถงึ สงิ่ ทจ่ี ะเปลย่ี นแปลง เชน่ อารมณข์ องแม่ การเลยี้ งลกู นมแม่ และสงิ่ ทจี่ ะสง่ ผลกระทบตอ่ โครงสรา้ งทางสมองของทารก ✿ ควรมหี น่วยงานทใ่ี ห้ความรู้ การเตรยี มความพร้อมแกค่ ู่สมรส ✿ ควรมกี ารสอื่ สารเผยแพรข่ อ้ มลู ความรเู้ กย่ี วกบั การตงั้ ครรภแ์ ละการเลย้ี งลกู โดยเฉพาะในโซเชยี ลมเี ดยี โดยผลติ องคค์ วามรใู้ หเ้ ขา้ ใจงา่ ยและมวี ธิ ปี ฏบิ ตั ิ ที่ชัดเจน สร้างแรงบันดาลใจและความตระหนักแก่แม่และสังคมให้เห็น ความส�ำคัญของการดูแลสมองเด็กเพื่อให้มีทักษะสมอง EF ที่ดีตั้งแต่ ในครรภ์ และความเข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับการดูแลสมองและการพัฒนา ทกั ษะสมอง EF 54

✿ สงั คมและคนรอบขา้ งแมต่ ง้ั ครรภต์ อ้ งตระหนกั วา่ ไมค่ วรทำ� ใหแ้ มต่ ง้ั ครรภ์ เครียด เพราะจะมีผลต่อระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์ สถานทท่ี �ำงานจดั เวลางานให้แมต่ ั้งครรภไ์ ดผ้ ่อนคลายมากขนึ้ การที่เราจะได้เด็กที่มีสมองพร้อมจะเรียนรู้ได้ดี มีทักษะสมอง EF ท่ีดี ตอ้ งอาศยั กระบวนการตงั้ แตต่ ง้ั ครรภ์ ตอ้ งดแู ลใหส้ มองลกู ในครรภไ์ ดพ้ ฒั นาไปตาม ขน้ั ตอนท่ีควรจะเปน็ โดยไม่มปี ัจจยั ด้านลบเข้ามากระทบ โดยเฉพาะต่อการพฒั นา สมองส่วน Frontal สมองส่วน Prefrontal Cortex สมองส่วน Hippocampus ซง่ึ เปน็ สมองสว่ นสำ� คญั ที่จะท�ำให้เดก็ มีพัฒนาการด้านความจ�ำ อารมณ์ สังคมทีด่ ี แม่ตั้งครรภ์ต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยด้านลบโดยเฉพาะความเครียด ซ่ึงจะ สง่ ผลกระทบตอ่ การสรา้ งสมองลกู และจะทำ� ใหล้ กู เกดิ มามปี ญั หาพฤตกิ รรม ไมพ่ รอ้ ม จะเรยี นรู้ ความจำ� ไมด่ ี วติ กกงั วลงา่ ย ขกี้ ลวั ไมก่ ลา้ สำ� รวจเรยี นรู้ แม่ต้ังครรภ์ต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ได้รับการสนับสนุนจาก คนรอบข้าง มกี ารพกั ผ่อนนอนหลับทีเ่ พยี งพอ ช่วงต้ังครรภ์ยังเป็นช่วงส�ำคัญในการสร้างความผูกพันระหว่างแม่กับลูก อีกด้วย แม่พูดคุย สัมผัสสื่อความสุขกับลูกในครรภ์ นอกจากจะทำ� ให้ทักษะสมอง EF ของลูกดีแล้ว ยังจะสรา้ งความรูส้ ึกผกู พันทต่ี อ่ เนือ่ งจนกระทง่ั คลอด เหล่าน้ีเป็นพื้นฐานส�ำคัญท่ีจะท�ำให้ทารกคลอดออกมาแล้วมีสมองที่พร้อม จะพัฒนาทักษะสมอง EF ตอ่ ไป 55

3 พัฒนาการของทักษะสมอง EF ในทารกขวบปแี รก 56

พัฒนาการของสมองเด็กวัยขวบปีแรกและทักษะสมอง EF สมองทารกขวบปแี รก ชว่ งเวลาของการแตกแขนงเชอื่ มโยงเสน้ ใยประสาท สมองของเด็กแรกเกิดเสมือนฮาร์ดแวร์ที่ยังต้องพัฒนาตกแต่งโปรแกรม ต่อไปเพ่ือให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขวบปีแรกน้ีสมองเด็กมีการพัฒนา เปลย่ี นแปลงอยา่ งมาก เปน็ ชว่ งเวลาทส่ี มองเจรญิ เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ มากเมอ่ื เทยี บ กับอวยั วะอนื่ ๆ มกี ารสรา้ งเซลล์ประสาทและมกี ารเช่ือมโยงกนั ของเซลล์ประสาท อย่างมากมาย จึงเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ควรตระหนักว่า ต้องทุ่มเทดูแลเอาใจใส่ ลูกด้วยความรักและด้วยความรู้อย่างเหมาะสม เช่น รู้ว่าการโอบกอดลูกจะสร้าง เซลลป์ ระสาทมากมาย พฒั นาการสมองของมนษุ ย์ 15.5 สัปดาห์ 22 สปั ดาห์ 23 สปั ดาห์ 24 สัปดาห์ 27 สัปดาห์ 40 สัปดาห์ วัยผู้ใหญ่ Nelson, C. A. Neuroscience of cognitive development: The role of experience and the developing brain. pp.215 (John Wiley & Sons Inc.,2006). 57

สมองทารกแรกเกิดมีขนาดเท่าก�ำปั้น หนักประมาณ 4 ขีด และจะมีขนาด เพิ่มขึ้นเป็นสองเทา่ จนหนกั ราว 1 กก. เมือ่ อายไุ ด้ 1 ขวบ ขนาดของสมองทารกแรกเกดิ ทใ่ี หญข่ นึ้ นนั้ ไมไ่ ดเ้ กดิ จากจำ� นวนเซลลป์ ระสาท เพ่ิมข้ึนเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับการท่ีเซลล์ประสาทมีขนาดโตข้ึนและมีการ แตกแขนงมากมาย มีการสร้างจุดเช่ือมต่อของเส้นใยประสาท (Synapses) ทำ� ให้ เซลล์สมองเช่ือมต่อกันดี ท�ำให้เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ติดต่อสื่อสารกัน อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ีน รวมทั้งกระบวนการสร้างไมอีลินรอบใยประสาท (Myelination) ท่ีช่วยให้เซลล์ประสาทท�ำงานอย่างมีประสิทธิภาพยังคงเกิดขึ้น อย่างตอ่ เน่อื ง แต่ช่วงเวลาของการสร้าง Synapses มากท่ีสุดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน ท่ัวทั้งสมอง เช่น เปลือกสมองใหญ่ในส่วนการมองเห็น (Visual Cortex) จะสร้าง Synapses อยา่ งมากในชว่ งอายุ 3-4 เดอื นและสรา้ งตอ่ ไปเรอื่ ยๆ จนกระทงั่ 1 ขวบ Synapses ในเปลือกสมองสว่ นนีจ้ ะมีมากถงึ 1.5 เทา่ ของผู้ใหญ่ แลว้ คอ่ ยๆ ลดลง เท่าของผใู้ หญ่เมอื่ อายุ 4-5 ขวบ แรกเกิด 1 เดอื น 9 เดอื น 2 ปี วยั ผู้ใหญ่ ภาพแสดงความหนาแน่นของเสน้ ใยประสาทในชว่ งอายตุ า่ งๆ Source: Corel, JL. The postnatal 58

ในช่วงขวบปีแรกนี้สมองของเด็กก�ำลังขยายเครือข่ายเส้นใยสมองอย่าง รวดเรว็ ท�ำให้เดก็ มีความสามารถตา่ งๆ แตก่ ารขยายเครอื ข่ายสมองไมไ่ ดเ้ กิดพร้อม กันท่ัวท้ังสมอง มีบางแห่งที่เกิดข้ึนก่อนและบางแห่งเกิดขึ้นทีหลัง ดังนั้น ความ สามารถของสมองทารกจึงค่อยๆ พัฒนาขึ้นทีละอย่าง ซึ่งในทารกแรกเกิด สมอง ส่วนการได้ยิน รับสัมผัส เคลื่อนไหว เริ่มพัฒนามาต้ังแต่อยู่ในครรภ์ หลังคลอด ในชว่ ง 3-4 เดอื น สมองสว่ นการมองเห็นพัฒนาเป็นล�ำดบั แรก และสมองส่วนอ่ืนๆ กพ็ ฒั นาตามมา ทำ� ใหล้ กู มคี วามสามารถมากขนึ้ เรอ่ื ยๆ สำ� หรบั ความสามารถทเ่ี ปน็ พน้ื ฐานทกั ษะสมอง EF ก็ค่อยๆ ปรากฏเช่นกนั ได้แก่ เด็กแรกเกิดสามารถรับรู้ได้ ควบคุมตนเองในการตอบรับกับสถานการณ์ แรกเกดิ ซ้�ำๆ (Habituate) ได้มากข้ึนๆ และควบคมุ การหลบั ตนื่ ของตัวเองได้ดว้ ย ซงึ่ การหลบั ๆ ตนื่ ๆ ของเดก็ แรกเกดิ มหี ลายระดบั เชน่ เดก็ งวั เงยี ตน่ื ขนึ้ มา ถ้าผู้ใหญ่ท�ำเฉยๆ ก็จะหลับไปใหม่ได้ หมายความว่าเด็กสามารถควบคุม การหลับได้ หากพ่อแม่ไม่เข้าใจเร่ืองนี้ พอลูกต่ืนส่งเสียงเล็กน้อยก็รีบ เอานมใหด้ ดู หรอื อมุ้ ทนั ที ทำ� ใหต้ อ้ งอมุ้ หรอื ใหน้ มทกุ ครง้ั ทตี่ นื่ เพราะฉะนน้ั ถา้ พอ่ แมเ่ ขา้ ใจเรอื่ งนด้ี ี กจ็ ะใหโ้ อกาสลกู ไดค้ วบคมุ ตวั เองกลบั ไปหลบั ใหม่ พัฒนาการมองเห็น จากท่ีมองเห็นไม่ชัดในช่วงแรกเกิด พอถึงวัยน้ี 3-4 เดือน ก็เห็นได้ชัด ของเล่นท่ีมีสีสันและเคล่ือนไหวจะช่วยพัฒนาการมองเห็น นายแพทย์บราเซลตัน (กุมารแพทย์ชาวอเมริกัน) แนะว่าเด็กวัย 4 เดือน ถ้าจะให้นมแม่ต้องไปอยู่ในที่เงียบสงบสักหน่อย เด็กจะได้จดจ่ออยู่กับ การดูดนม เพราะเด็กเร่ิมมองเห็นได้ดีข้ึน อาจวอกแวกสนใจอย่างอ่ืน 59

6 เดือน เกิดทักษะสมอง EF ที่ส�ำคัญ เด็กมีพัฒนาการในเร่ือง Stranger Anxiety เด็กเริ่มจ�ำหน้าแม่ได้ แยกแยะแม่กับคนอ่ืนๆ รู้เหตุและผล เชน่ ของตก เดก็ เรม่ิ รวู้ า่ ของหายไป แมห่ ายไป พอ่ แมส่ ามารถใชก้ ารเลน่ จะ๊ เอก๋ บั ลูกเปน็ กระบวนการพฒั นาทกั ษะสมอง EF ได้ และยงั ชว่ ยพฒั นา Working Memory เด็กจะเก็บข้อมูลภาพใบหน้าคนตรงหน้าและ ตอบสนองต่อคนคนนั้น เป็นการท�ำงานของสมองส่วน Prefrontal Cortex ซ่ึงพัฒนาในเด็ก 6 เดือนขึ้นไป ดังนั้น ถ้าจะแยกห้องนอน กับลูก ก็ควรจะแยกต้ังแต่ก่อนวัย 6 เดือน ไม่เช่นน้ันเด็กจะมีอาการ ติดแม่ (Separation Anxiety) แต่ส�ำหรับคนเอเชียที่พ่อแม่ลูกนอน ดว้ ยกนั แนะนำ� ใหแ้ ยกบรเิ วณทน่ี อนของลกู จากพอ่ แมต่ งั้ แตอ่ ายุ 6 เดอื น เมอื่ แมใ่ หน้ มเสรจ็ แลว้ คอ่ ยเอาลกู นอนในเตยี งเดก็ จะทำ� ใหแ้ มไ่ ดพ้ กั ผอ่ น มากขนึ้ 7-9 เดอื น พัฒนาการของสมองส่วน Prefrontal Cortex เร่ิมมีการพัฒนา อย่างมากควบค่ไู ปกบั ทกั ษะการมองเหน็ ทกั ษะการฟงั ทักษะดา้ นภาษา โดยมีพัฒนาการด้านการมองเห็น การฟัง ภาษา ในช่วงวัย 7 เดือน เด็กสามารถอ่านสีหน้าเบ้ืองต้นของบุคคลอ่ืนได้ และฝึกใช้ภาษามือได้ งานวิจัยของสถาบันมักซ์พลังค์ซึ่งมีความสอดคล้องกับงานวิจัย จ�ำนวนมากกล่าวว่าการจดจ�ำเพื่อน�ำไปใช้งาน (Working Memory) สามารถสังเกตพบในทารกตัง้ แต่อายุ 7-12 เดือน 60

สมองส่วน Hippocampus มีการพัฒนาเป็นอย่างมากและสัมพันธ์ 101เดขอืวนบ - กับการพัฒนาของสมองส่วน Prefrontal Cortex ทำ� ใหร้ ะบบความจำ� มีการพัฒนาที่ดีข้ึน เด็กเร่ิมจ�ำเรื่องราวที่ต่อเนื่องได้ จ�ำแม่ได้ ถ้าแม่ หายไปจะเกิดความไม่สบายใจ เด็กสามารถหาของจากต�ำแหน่งใหม่ ไดห้ ากหาในตำ� แหนง่ เดมิ ไมพ่ บ (Object Retrieval) ซง่ึ ตอนวยั 7-8 เดอื น อาจยงั ทำ� ไมไ่ ด้ เหลา่ นคี้ อื การคดิ ซบั ซอ้ นเนอ่ื งจาก Prefrontal Cortex พัฒนาดีขึ้น มีการพัฒนาอย่างมากมายเกิดข้ึนในสมองเด็ก ท้ังเรื่องความจ�ำเพ่ือ ขวปบลปาีแยรก ใชง้ าน ภาษา สมองส่วน Prefrontal Cortex ของเดก็ ในช่วงปลายปีแรก น้ีมี Dendritic Spine ลักษณะเหมือนของผู้ใหญ่และมีจ�ำนวนมากถึง 150 % ของผใู้ หญ่ ซง่ึ สมองสว่ นนต้ี อ่ ไปจะทำ� หนา้ ทใ่ี นเรอื่ งทกั ษะสมอง EF ส่วนเซลล์ประสาทประสานงาน (Interneurons) ซึ่งเป็นตัวที่ท�ำให้ การท�ำงานของเซลล์ประสาทในสมองเกิดสมดุล ไม่มากไม่น้อยเกินไป ก็พัฒนาเต็มท่ีในช่วงขวบปีแรกน้ี ท�ำให้สมองหลายส่วนเช่ือมโยงและ ท�ำงานสอดคล้องกันมากข้ึน ท�ำให้เด็กควบคุมตัวเองได้มากข้ึน สมอง มีการสรา้ ง Synapse อย่างมาก มีการสรา้ ง Myelination เพิม่ ข้ึนเร่อื ยๆ 61

ขอ้ แนะนำ� สำ� หรบั พอ่ แมใ่ นการสรา้ งเสรมิ ทกั ษะสมอง EF ใหล้ กู ขวบปแี รก 1. เล้ียงลูกด้วยนมแม่ ซ่ึงจะได้ทั้งความผูกพันและแม่ได้มีเวลาคุณภาพกับลูก 2. สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี (Positive Relationship) ระหว่างพ่อแม่ พ่อแม่ลูก รวมถึงการส่ือสารเชงิ บวก 3. จัดสภาพแวดล้อมในบ้านไม่ให้มีความเครียด และเป็นระบบระเบียบ ก�ำหนด กิจวัตรประจ�ำวันท่ีแน่นอนสม�่ำเสมอ ให้เด็ก กิน นอน ตื่น เป็นเวลา กิน นอน ถ่ายเป็นที่เป็นทาง ในวัยน้ีอาจจะสอนเร่ืองการยับย้ังชัดๆ ไม่ได้ เดก็ ยงั ต้องอาศยั พอ่ แม่ในการสรา้ งกิจวัตรประจ�ำวนั อยา่ งสม่ำ� เสมอ 4. ส่ือสาร พูดคุยกับลูก งานวิจัยช้ีว่า แม่ที่พูดเก่ง ใช้ศัพท์หลากหลาย ลูกจะ เรียนรู้ได้ดีกว่าเด็กท่ีแม่ไม่ค่อยพูด กจิ กรรมพัฒนาทกั ษะสมอง EF ของลกู วัยขวบปแี รก ✿ ขณะให้นม จะต้องมองหน้าลูก พูดคุยกับลูกมากๆ งดใช้โทรศัพท์ หรือดแู ทบ็ เล็ตและอ่ืนๆ ✿ ใช้นิ้วแสดงท่าทาง (Finger Play) ประกอบการร้องเพลง ดึงความสนใจ ของเด็ก แมแ้ ต่เดก็ ทีส่ มาธิสั้นก็สามารถจดจ่ออย่กู ับกจิ กรรมนไ้ี ด้ ✿ ใช้ภาษามือง่ายๆ เช่น ขอของจากลูก และจับมือลูกวัย 5-6 เดือน ให้ท�ำบ้าง เด็ก 7 เดือนจะเริ่มท�ำภาษามือได้เอง มีการศึกษาพบว่าเด็กท่ี ใช้ภาษามือได้ดีเมื่อเติบโตต่อไปทักษะการย้ังคิดไตร่ตรองจะดี เวลาเด็ก ต้องการอะไรเด็กจะไม่ร้องโยเย เพราะสื่อสารด้วยภาษามือได้ (เป็นภาษา ที่เด็กใช้สื่อสารซึ่งแตกต่างจากการสอนเด็กให้บ๊ายบาย ธุจ้า ขอบคุณ) เพราะฉะนน้ั เมอื่ เดก็ มคี วามตอ้ งการพนื้ ฐานในเรอื่ งอาหารหรอื ความอบอนุ่ เด็กจะสามารถควบคุมอารมณแ์ ละสือ่ ออกมาได้ เดก็ จึงอดทนรอคอยไดด้ ี ✿ ฝกึ ลูกวัย 8 เดอื นให้ทำ� สง่ิ ตา่ งๆ ด้วยตวั เอง เชน่ กนิ เอง บอกเรอื่ งขับถา่ ย หรอื ผา้ อ้อมเต็ม ใช้ภาษามือสื่อสารได้ 62

ความผูกพัน : พ้ืนฐานส�ำคัญของทักษะสมอง EF เด็กท่ีเกิดความเช่ือมน่ั ในความสัมพันธ์ ความผูกพัน คืออะไร กบั ผ้เู ล้ยี งดู เมื่อโตข้ึน หากเผชิญวิกฤต ค�ำวา่ ความผกู พนั คอื ความร้สู ึกผูกพนั แน่นแฟน้ กับคนใดคนหนงึ่ เป็นความ ในชีวิตก็จะผ่านพ้น รู้สึกม่ันใจว่าจะสามารถยึดบุคคลน้ันไว้ได้ มีความสัมพันธ์ท่ีมีความสุข ไม่ท�ำให้ ไปได้ เกดิ ความเครยี ดหรอื รสู้ กึ ถกู คกุ คาม เชน่ เมอ่ื รอ้ งแลว้ ไดร้ บั การโอบอมุ้ ปลอบประโลม ดูแลใส่ใจ พ่อแม่รู้สึกผูกพันเช่ือมโยงกับลูก ลูกรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย มีความเชื่อม่ัน (Trust) เด็กที่เกิดความเช่ือม่ันในความสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู เม่ือโตขึ้นหากเผชิญวิกฤต ในชวี ติ กจ็ ะผา่ นพน้ ไปได้ แตเ่ ดก็ ทขี่ าดความเชอ่ื มน่ั จะยอมแพ้ ความเชอื่ มนั่ ไวว้ างใจ ในวัยแรกเริ่มน้ีเป็นพื้นฐานท่ีท�ำให้ลูกเกิดความรู้สึกผูกพัน มีความสัมพันธ์ท่ีดี กับพอ่ แม่ (Positive Relationship) ท�ำให้เซลล์ประสาทของลกู เจริญพฒั นา ปฏิสัมพันธ์ที่มีความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย ความไว้เนื้อเช่ือใจกัน ระหว่างพ่อแม่ลูกน้ี ยังเป็นพื้นฐานส�ำคัญในการที่พ่อแม่จะหล่อหลอม ฝึกทักษะ สมอง EF ให้ลูก เช่นเดียวกับการฝึกลูกเร่ืองอื่นๆ ถ้าปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกกับ ผถู้ กู ฝกึ ไมด่ ี ยอ่ มฝกึ ไมไ่ ดผ้ ลดี ปฏสิ มั พนั ธท์ ด่ี ยี งั ชว่ ยปอ้ งกนั เดก็ จากความเครยี ดดว้ ย ส่วนเด็กท่ีปฏิสัมพันธ์พ่อแม่ลูกไม่ดี ขาดความผูกพัน จะจัดการความเครียด ได้ไม่ดี เครียดง่ายหายยาก จะมีปัญหาในการเรียนรู้ การเรียน ทักษะสมอง EF บกพร่อง ไม่มีสมาธิ เพราะฉะน้ัน ความสัมพันธท์ ่ีดีระหวา่ งลกู กบั พอ่ แม่ การมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ นั เข้าใจกัน ความรักความผูกพัน ความเป็นพ่อแม่ท่ีรัก ไวต่อการรับรู้และเข้าใจ พรอ้ มเคยี งขา้ งลกู จะเปน็ พนื้ ฐานสำ� คญั ใหท้ กั ษะสมอง EF ของลกู เจรญิ งอกงาม ดังนน้ั ช่วงโอกาสส�ำคญั ทีพ่ อ่ แม่จะสร้างความรสู้ กึ รกั ผูกพันกบั ลูกจงึ อย่ใู นชว่ ง วัยขวบปีแรกนี่เอง นับแต่วินาทีแรกที่ลูกคลอดออกมาดูโลก สืบต่อมาจากที่แม่ พยายามสื่อความรักความเชื่อมโยงกับลูกมาตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์ (ดังท่ีกล่าว ในบทท่ี 2) 63

สัญชาตญาณ อะไรกระตนุ้ ใหแ้ ม่มคี วามผูกพนั กบั ลูก ความเป็นแม่เกิดข้ึน เราอาจคิดว่าลูกเกิดมาก็มีความรู้สึกรักและผูกพันกับพ่อแม่ตามธรรมชาติ ในขณะแม่ต้ังครรภ์ อยู่แลว้ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งกระตนุ้ ให้เกิด เป็นความจริงว่า สัญชาตญาณความเป็นแม่ท�ำให้แม่มีความผูกพันกับลูก เกีย่ วขอ้ งกับฮอร์โมน โดยกระบวนการดังกล่าวจะค่อยๆ เกิดขึ้นในขณะแม่ต้ังครรภ์ สัญชาตญาณ ออกซิโทซิน ซึ่งมีการ ความเป็นแม่น้ีเก่ียวข้องกับสารในสมองท่ีช่ือ ออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งจะ มีการสร้างและหล่ังในปริมาณมากตอนคลอด ท�ำให้มดลูกบีบตัว น้�ำนมไหล สร้างและหลั่งมาก และเกิดความรสู้ ึกผูกพนั กบั ลกู มีการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมองของแม่ท�ำให้แม่แสดง ตอนคลอด ท�ำให้แม่ ความกา้ วรา้ วมากขน้ึ เพอื่ ปกปอ้ งลกู ทำ� ใหแ้ มม่ คี วามจำ� ดขี นึ้ อยา่ งเชน่ หนแู มล่ กู ออ่ น เกิดความรู้สึก จะรบี ออกไปหาอาหารและหาทางกลบั รงั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เพราะความจำ� เรอ่ื งทศิ ทาง ผูกพันกับลูก ดีกว่าตอนไม่ท้อง สมองหลายส่วนมีการแตกแขนงมากขึ้น และมีผลต่อพฤติกรรม ของแม่ คือท�ำให้แม่ผูกพันอยากดูแลลูก ถ้าไม่มีปัจจัยลบ เช่น การต้ังครรภ์ แบบไม่ต้ังใจ ความเครียด แม่จะรู้สึกได้ว่าลูกมีชีวิตเม่ือลูกด้ิน มีความรู้สึก เป็นเจ้าของ อยากพูดคุยสัมผัสลูก คอยสังเกตอาการของลูก เกิดเป็นความผูกพัน แต่ถ้ามีความเครียด ทุกอย่างที่ควรจะเกิดก็ไม่เกิดข้ึน เพราะฉะน้ัน การจัดการ ความเครียดเป็นเรื่องส�ำคัญที่สุด ความเครียดเป็นอุปสรรคแม้แต่ในเร่ืองการสร้าง ความรู้สกึ ผกู พนั ระหวา่ งแม่กบั ลูก ออกซิโทซิน ฮอร์โมนแห่งรักและผูกพัน ฮอรโ์ มนสำ� คญั ทสี่ รา้ งสญั ชาตญาณความเปน็ แมแ่ ละสรา้ งความผกู พนั ระหวา่ ง แม่ลูก ท่ีหล่ังในขณะคลอด คือ ออกซิโทซิน (Oxytocin) ระดับของออกซิโทซิน ในแมจ่ ะขนึ้ สงู ในชว่ งทา้ ยของการคลอดและหลงั คลอดใหมๆ่ ในชว่ งใหน้ มลกู ดแู ลลกู มีปริมาณ 20-30 เท่าของคนปกติ และคงอยู่ในตัวลูกนาน 12 ช่ัวโมงหลังคลอด การจะเกิดฮอร์โมนเหล่านไ้ี ด้ แมต่ ้องใกลช้ ดิ ลูก ไดก้ อดไดส้ ัมผสั ได้กลนิ่ ลูก ตั้งแต่แรกคลอด 64

ออกซโิ ทซินส่งผลให้ ✿ แม่มีความเป็นแม่ อยากปกปอ้ งลูก ✿ ท�ำใหแ้ มล่ ูกผกู พันตั้งแตแ่ รกเกดิ ✿ ช่วยท�ำใหป้ อดของทารกแรกคลอดหายใจได้ ปกติออกซิโทซินจะหลั่งอยู่ในสมองโดยธรรมชาติ เป็นฮอร์โมนท่ีจะท�ำให้ เกิดความรักความผูกพันระหว่างกัน ไม่ว่าเป็นความรักระหว่างแม่ลูก สามีภรรยา เพราะในสมองคนเรามีทัง้ การหลงั่ ออกซิโทซินและมีตัวรับออกซโิ ทซนิ ดว้ ย การหล่ังออกซิโทซินเกิดจากการกระตุ้นประสาทสัมผัส เม่ือแม่ลูกมองตากัน สัมผัสผิวกายกันและกัน ได้กลิ่น ได้ยินเสียง ท�ำให้เกิดความผูกพัน เพราะฉะน้ัน แมต่ งั้ ครรภส์ ามารถสรา้ งความผกู พนั กับลูกไดต้ ัง้ แตย่ งั ไม่คลอด เชน่ ดรู ูปเดก็ น่ารัก แล้วจินตนาการว่าเป็นลูกในท้อง คุยกับลูก ลูบท้องสัมผัสลูก ก็เป็นการสื่อกับลูก ให้ลกู ไดร้ ับความรกั เกิดความผกู พันได้ การผา่ คลอดท�ำให้แมข่ าดโอกาสที่จะหลงั่ ออกซิโทซนิ ในขณะคลอด อบุ ตั กิ ารณผ์ า่ คลอดของไทยขณะนม้ี ปี ระมาณรอ้ ยละ 50 ในโรงพยาบาลเอกชน บางแห่งมีมากถึงร้อยละ 70 การผ่าคลอดท�ำให้มีโอกาสท่ีต้องแยกแม่แยกลูก หลังคลอดเพราะกลัวจะมีการติดเชื้อ ในกรณีแม่ท่ีตัดสินใจผ่าคลอดโดย ไมจ่ ำ� เปน็ กจ็ ะทำ� ใหแ้ มเ่ สยี โอกาสในการหลง่ั ออกซโิ ทซนิ ทช่ี ว่ ยสรา้ งความผกู พนั กบั ลกู ฮอร์โมนส�ำคัญท่ีหลั่งในขณะให้นมแม่ ออกซิโทซิน (Oxytocin) มีบทบาทส�ำคัญท่ีสุดต่อความเป็นแม่และการสร้างความผูกพัน เด็กท่ีดูดนมแม่ ร่างกายแม่จะมีออกซิโทซินสูงกว่าปกติถึง 8 เท่า โปรแล็คติน (Prolactin) หลั่งในขณะแรกคลอดเมื่อลูกดูดนมแม่ กระตุ้นให้น้�ำนมหล่ัง ยับยง้ั การตกไข่ ท�ำให้แมผ่ ่อนคลาย นอนหลับได้ดี มีความเปน็ แม่ เบต้า-เอนโดรฟิน (Beta Endorphins) หลั่งออกมามากสุดหลังจากแม่ให้นม 20 นาที และจะลดระดับลงจนหมดใน 3 วันตอ่ มา สรา้ งภาวะผอ่ นคลาย เคลิบเคล้มิ 65

วิธีสร้างสัญชาตญาณความเป็นแม่ 1. ให้ลูกได้ดูดนมแม่จากเต้าตง้ั แต่แรกคลอด 2. ให้แม่กับลูกได้มองตากัน ออกซิโทซินจะหลงั่ ทั้งแม่และลูก ท�ำใหแ้ ม่รักลกู และลูกรักแม่ 66

3. ให้แม่ได้สัมผัสกับลูก ฟังเสียง และได้รับกล่ินของลูก มีการศึกษาในสัตว์พบว่า เพียงแม่ได้กล่ินลูก แม้แต่กล่ินของตัวอ่อนอ่ืนๆ ที่ไม่ใช่ลูกตัวเอง ออกซิโทซิน ก็หล่ัง ในคนมีการทดลองเปิดเสียงเด็กร้องไห้ แม้ไม่ใช่เสียงลูกตัวเอง แม่ก็ หล่ังออกซิโทซินเช่นกัน หรือเม่ือแม่มีความผูกพันกับลูกมาก เพียงคิดถึงลูก สมองของแม่ก็หลั่งออกซิโทซินแล้ว และพบว่าเม่ือแม่ลูกอ่อนคิดถึงลูก น�้ำนมก็หลง่ั ออกมาไดเ้ ชน่ กัน เพราะฉะนนั้ กระบวนการเหลา่ นเี้ กดิ ขนึ้ ไดจ้ ากการกระตนุ้ จากภายนอกกอ่ น เช่น การดูดนม การมองตากัน หรือแม้แต่การได้กล่ิน การสัมผัส กอด หอม โดยเฉพาะการกอดเป็นเร่ืองส�ำคัญมาก ดังน้ันต้องรณรงค์ให้แม่หลังคลอดได้อุ้ม กอดลูก ให้นมลูก เพื่อสร้าง ความผูกพนั เป็นกระบวนการทต่ี อ้ งทำ� ใหเ้ กิดขน้ึ หลังคลอดใหมๆ่ ต้องกระตุ้น ให้ทารกได้อยู่ใกล้ชิดแม่หลังคลอดให้มากท่ีสุด ซ่ึงเป็นท่ีน่าเสียดายว่าระบบ การจัดการทางการแพทย์ส่วนใหญ่ของเรามักแยกแม่แยกลูกหลังคลอดทันที หลังจากนั้นน�ำเด็กไปให้แม่ให้นมเป็นม้ือเป็นคราวแล้วน�ำกลับมายังห้องดูแล ทารก อาจด้วยเหตุผลว่าแม่ยังดูแลลูกไม่ค่อยเป็นหรือต้องการให้แม่ได้พักฟื้น มีรายงานการวิจัยชัดเจนท่ียืนยันถึงผลส�ำเร็จในการสร้างความผูกพัน ด้วยการให้ลูกกับแม่ได้สัมผัสกัน (Skin to Skin Contact) ทันทีหลังคลอด โดยยังไม่ต้องน�ำทารกไปท�ำความสะอาดและให้ทารกได้ดูดนมแม่ทันที แม้จะยังไม่ได้น�้ำนมก็ไม่ใช่ประเด็นส�ำคัญ ส�ำหรับโรงพยาบาลรัฐที่เป็น โรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก เจ้าหน้าที่จะได้รับการฝึกให้ดูแลกระบวนการ สร้างความผูกพัน โดยนาทีแรกคลอดมีการจัดการให้แม่กับลูกได้อยู่ด้วยกัน อย่างน้อย 5 นาที 4. การเลี้ยงดูลูกเชิงบวก (Positive Parenting) การเลี้ยงดูลูกด้วยความรัก ความอบอุ่น ตอบสนองพฤติกรรมลูกอย่างเหมาะสม ไม่ใช้อารมณ์ สามารถเพมิ่ ความผูกพนั กบั ลกู ไดเ้ ชน่ กัน (ดูการเลย้ี งดลู ูกเชิงบวกในบทที่ 7) 67

4 นมแม่สร้างเสรมิ ทกั ษะสมอง EF ให้ลกู 68

นมแม่ ...เครอื่ งมือในการสร้างพื้นฐานการพฒั นาทกั ษะสมอง EF ท่ีดี ความเป็นแม่เป็นเรื่องของธรรมชาติและการเรียนรู้ และการให้ลูกดูดนมแม่ เป็นเครื่องมอื ทด่ี ที ่ีสดุ ทจ่ี ะสรา้ งความรกั ความผกู พันใหเ้ กิดข้นึ ระหว่างแมก่ ับลูก มีผลดีท้ังต่อตัวลูกและแม่เอง การให้ลูกดูดนมแม่ จะส่งเสริมเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะมีพัฒนาการสมอง โดยรวมดี โดยเฉพาะสมองสว่ นหนา้ (Prefrontal Cortex) ทมี่ บี ทบาทตอ่ การพฒั นา ทักษะสมอง EF และช่วยให้กระบวนการ Myelination หรือการสร้างไขมัน เคลือบใยประสาทเกิดได้เร็วขึ้น แม้อาจไม่ได้ไปสร้างทักษะสมอง EF โดยตรง แตก่ ระบวนการใหน้ มแมจ่ ะทำ� ใหล้ กู มพี นื้ ฐานทดี่ สี ำ� หรบั การพฒั นาทกั ษะสมอง EF ต่อไป 69

ประโยชน์ของการให้นมแม่ นมแมม่ ีประโยชนท์ งั้ ในแง่เปน็ สารอาหารท่ีดี และมปี ระโยชนจ์ ากกระบวนการ ใหน้ มแม่ ✿ สรา้ งภูมคิ มุ้ กันโรค สารตา้ นอนมุ ูลอิสระ ✿ ลดโอกาสการแพ้โปรตีนนมววั ✿ ใหส้ ารอาหารท่ีดีกบั สมอง ✿ แม่กับลูกมีโอกาสใกล้ชดิ กัน สรา้ งความผกู พัน ✿ การดูดนมจากเต้า เกิดการหลั่งออกซิโทซิน ท�ำให้แม่มีสัญชาตญาณ ความเป็นแม่ รู้สึกว่าต้องปกป้องลูก รู้สึกผ่อนคลาย เกิดความรัก ความผูกพัน และสรา้ งระบบปอ้ งกันความเครยี ดขน้ึ ในตวั แม่ ✿ ส�ำหรับลูก ช่วยให้จดจ�ำใบหน้ามนุษย์ได้ โดยเฉพาะใบหน้าที่มีความสุข รู้จักจังหวะในการตอบสนองหรือปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม (Social Queue) ✿ นมแม่กับไอคิวของลูก พบว่ามีผลเกี่ยวข้องกัน แต่ยังไม่สามารถแยก ออกจากปัจจัยอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน เช่น สถานะทางสังคม การศึกษา ของแม่ วิธีการเลยี้ งดู ✿ พบว่าในเด็กคลอดก่อนกำ� หนด นมแม่ช่วยให้เด็กมไี อคิวสูงขึ้น ✿ การให้นมแม่ช่วยลูกในเร่ืองพัฒนาการด้านทักษะภาษา แม่มีโอกาส ปฏสิ มั พนั ธก์ ับลกู มากขึน้ ✿ การดูดนมแม่ เด็กได้บริหารปาก ล้ิน กล้ามเน้ือปาก ขากรรไกร เพราะ ต้องออกแรงดูดมากกว่าการดูดขวดนม ซ่ึงจะส่งผลไปยังพัฒนาการ ดา้ นการพดู การกิน การเค้ยี วตอ่ ไปในอนาคต ✿ การให้นมแม่ท่ีดีท่ีสุดต้องดูดจากเต้า เพราะสารอาหารท่ีมีคุณค่า บางอย่างจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ช่ัวโมง เช่น ออกซิโทซิน และส่ิงน้ี ไมส่ ามารถเตมิ ลงในนมกระปอ๋ งได้ 70

ช่วงเวลาแห่งโอกาสทองในการให้นมแม่ 1. ลูกหลังคลอดต้องได้น้�ำนม โคลอสตรุม (Colostrum) หรือน�้ำนมเหลือง น�้ำนมเหลืองจะหลัง่ ออกมาแค่ 3-4 วนั หลังคลอด สมยั โบราณเรยี กว่า น้�ำนมเหลือง มักบบี ท้งิ กนั คิดว่าเปน็ น�้ำเหลืองแต่ความจรงิ แล้วเป็นแหล่ง ของสารอาหารท่ีส�ำคัญมาก เป็นน้�ำนมทม่ี คี ณุ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ อดุ มดว้ ย โปรตนี ไขมนั วติ ามนิ แรธ่ าตตุ า่ งๆ ท�ำให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน ในต่างประเทศ มีการซ้ือขายน�้ำนมเหลืองนี้ในราคาแพงส�ำหรับแม่ที่ให้นมลูกไม่ได้หรือ ลกู คลอดก่อนกำ� หนด 2. ต้องให้ลูกได้ดูดนมแม่ทันทีท่ีคลอด ต้องมีการปรับวิธีการดูแลทารกหลังคลอดให้ทารกได้ดูดนมแม่ภายใน 1 ช่ัวโมงหลัง คลอด โดยปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น ระยะเวลา สถานท่ี บรรยากาศ ที่จะ ท�ำให้แม่ลูกเกิดอารมณ์ความรู้สึกผ่อนคลายเพื่อให้กระบวนการให้ลูกดูดนมแม่และการ เกิดความผูกพันเป็นไปด้วยดี ต้องปรับให้แม่กับลูกได้นอนด้วยกัน นอนเตียงเดียวกัน หลงั คลอด หรือในหอ้ งพกั รวมของโรงพยาบาลต้องจดั พน้ื ที่สว่ นตัวให้แม่ได้ให้นมลูก การใหล้ กู ดูดนมแมท่ ันที ลูกจะดดู เปน็ เร็วข้นึ ซ่งึ ตอนแรกๆ อาจจะไม่ดดู แคเ่ ลยี ๆ หรืองับหัวนม แต่ถ้าแม่สงบผ่อนคลาย ใจเย็น ให้ลูกเรียนรู้การดูดนม ในท่ีสุดลูกก็จะ ดดู นมได้ ถา้ ลกู ไมไ่ ดด้ ดู นมทนั ทหี ลงั คลอด เตา้ นมแมอ่ าจจะเกดิ อาการคดั แขง็ ลกู ดดู ยาก น�้ำนมก็ไม่มา และอาจท�ำให้นมแม่คัดเป็นฝีท่ีเต้านมได้ การให้ลูกดูดนมแม่น้ี แม่ท่ีผ่าคลอดก็สามารถให้ได้ เพราะแม่ไม่ได้สลบ ยังมีสติ หลังคลอด สามารถเอาลกู มาวางบนอกแมไ่ ด้ เนื่องจากปัจจุบันโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูกได้หายไป พ่อแม่ควร ร้องขอกระบวนการสายสัมพันธ์แม่ลูก โดยขอให้น�ำลูกวางบนอกเม่ือแรกคลอด หากโรงพยาบาลใดยังเข้มแข็งเร่ืองการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ แม่ก็จะได้สัมผัส กอดลูกเมอ่ื แรกคลอด 71

ในช่วงแรกเกดิ - กระบวนการให้นมแม่ที่สร้างเสริมทักษะสมอง EF 3 เดอื นแรก แม้ว่าน�้ำนมแม่จะดีที่สุด แต่การให้นมแม่โดยที่แม่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกเลย ซง่ึ อาหารของลูก จะท�ำให้แม่เสียโอกาสในการสร้างความผูกพันและพัฒนาสมองลูก การให้นมแม่ คือนมแม่ เปน็ โอกาส จงึ ส�ำคญั ทก่ี ระบวนการใหน้ มด้วย ซึ่งไดแ้ ก่ ที่แม่กับลูกได้อยู่ใกล้ชิด มองตากันระหว่างให้นมแม่ เวลาแมก่ ับลกู สมั ผสั กนั มองหนา้ มองตากันระหวา่ งให้นมแม่ จะไปกระต้นุ ให้ กนั ท่สี ุดเป็นโอกาส ออกซิโทซินหลั่ง และยังสร้างสัญชาตญาณแม่ ให้แม่มีความรักความผูกพันกับลูก ในการสรา้ ง ท�ำใหล้ กู มอี ารมณม์ ่นั คง รู้สึกอบอนุ่ ปลอดภยั ผูกพนั กบั แม่ ดังนั้น ในช่วงแรกเกิด - 3 เดือนแรกซ่ึงอาหารของลูกคือนมแม่ เป็นโอกาส ความรักความ ที่แม่กับลูกได้อยู่ใกล้ชิดกันท่ีสุด แม่ให้นมไป มองตามองหน้าลูก พูดคุยกับลูกไป ผูกพันและพัฒนา แมล่ กู มองตากันเป็นการกระต้นุ การพัฒนาสมองลกู ท่ดี ี การมองตากันยังท�ำให้เกิดทักษะในการเข้าใจคนอื่นด้วย เด็กท่ีมีปัญหา สมองลูก มักไม่ค่อยสบตาคนอื่น จึงไม่ค่อยเข้าใจคนอ่ืนว่ารู้สึกอย่างไร การมองตาจึงเป็น จดุ เรม่ิ ตน้ ของการเรยี นรทู้ กั ษะสงั คม เรยี นรทู้ จ่ี ะอยรู่ ว่ มกบั คนอนื่ นอกจากนน้ั ดวงตา ยังเป็นสิ่งที่เด็กชอบมองมากกว่าส่ิงอื่นด้วย การจับจ้องมองของเด็กยังบอกได้ ถึงสมาธิ ความสามารถในการจดจ่อของลูกเมื่อโตขึ้น โดยให้ดูว่าลูกหยุดสายตา จบั จอ้ งท่ีจุดใดจุดหน่งึ (ทีไ่ ม่ใชโ่ ทรทศั น์) ได้นานแคไ่ หน พูดคุยกับลูกระหว่างให้นมแม่ เสียงของแม่จะไปสร้างวงจรประสาทด้านภาษาของลูกท่ีท�ำให้ลูกรู้ภาษาแม่ เสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนโดยเฉพาะเป็นเสียงแม่ท่ีลูกคุ้นเคยตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะ ทำ� ใหล้ กู สงบไดง้ า่ ย แมอ่ าจรอ้ งเพลง อา่ นหนงั สอื ใหล้ กู ฟงั ขณะใหน้ มลกู กไ็ ดเ้ ชน่ กนั สมาคมกุมารแพทย์อเมริกันชี้ว่าการอ่านหนังสือให้เด็กฟังน้ันต้องอ่านให้ฟัง ตง้ั แต่เกิด ไม่ใชเ่ ริม่ อ่านเมื่อลูกโตแลว้ เสยี งทีพ่ อ่ แม่อ่านหนังสือซ�ำ้ ๆ จะไปสรา้ ง การเรยี นรภู้ าษาเมื่อลกู โตขึ้น ท�ำให้ลูกมพี ้ืนฐานในการสื่อสารที่ดี กระบวนการเหลา่ นี้ แมแ้ ตใ่ นพอ่ แมท่ ใี่ หน้ มผสมกค็ วรตอ้ งทำ� เชน่ เดยี วกนั เพอ่ื สร้างความผูกพันกับลกู 72

เทคนิคในการให้นมแม่ ✿ Key Success ของการให้นมแม่ได้ส�ำเร็จ คอื ทารกไดด้ ดู เรว็ (ดดู นมแมท่ นั ทหี ลงั คลอด) และดูดถูกวิธี คือ ต้องดูดให้ลึกๆ ถึงลานนม และใช้ล้ินดัน ถ้าดูดถูกวิธี ดูดบ่อยๆ น้�ำนมจะไหล ✿ จัดเวลากินนมแม่ให้เหมาะสม เป็นเรื่องส�ำคัญท่ีจะต้องจัดกิจวัตรการกินกับการนอน ของลูกให้เป็นเวลา ทารกควรจะได้กินตอนกลางวัน และนอนตอนกลางคืน เพื่อให้ ทารกไดน้ อนหลบั ตลอดคนื ถา้ เลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมต่ ามความตอ้ งการของลกู ตลอดเวลา แม่จะเหนือ่ ยมากเกินไป ✿ นมแม่คืออาหารหลักส�ำหรับลูกขวบปีแรก พสิ จู นแ์ ลว้ วา่ นมแมเ่ พยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ ของร่างกายลูก อาหารอ่ืนคืออาหารเสริม ให้กินเพ่ือฝึกกลืนจากช้อน ค่อยๆ เพ่ิม ทีละน้อย จนลูกกนิ 3 มื้อในขวบปีท่ีสอง ลกู สามารถกินนมแม่ได้ถงึ 3 ขวบ ข้นึ อยูก่ ับ แมล่ ูกแตล่ ะคู่ ถ้ามีความสุขทีก่ นิ นมแมก่ ันต่อไปก็ทำ� ได้ ✿ ควรหย่านมแม่เม่ือลูกอายุไม่เกิน 18 เดือน แม้ว่าการให้กินนมแม่จากเต้ายังเป็น เรื่องส�ำคัญในขวบปีท่ีสอง แต่ถ้าเด็กยังกินนมอยู่หลัง 18 เดือนไปแล้ว จะเลิกยาก เพราะเด็กเริ่มมีตัวตน เจ้าอารมณ์มากข้ึน เน่ืองจากมีอิสระในการเคล่ือนไหว อยากรู้ อยากเห็น ในช่วงน้ีนมแม่มีบทบาทช่วยสงบจิตสงบใจลูก แต่ก็จะท�ำให้เด็กติดนมแม่ ซ่ึงท�ำให้เด็กไม่มีการควบคุมความต้องการ (Self - Regulation) ควรปั๊มน้�ำนมให้ลูก ดื่มจากแก้วหรือช้อน และการหย่านมแม่ช้าจะเป็นปัญหาในช่วงที่เด็กเร่ิมเข้าสู่ วัยตอ่ ตา้ น ซึง่ ปจั จุบนั อาจเรม่ิ เรว็ กว่า 2 ขวบ ข้อควรตระหนัก: มีค�ำแนะน�ำส�ำหรับแม่ที่ท�ำงานนอกบ้านให้ปั๊มน�้ำนมระหว่างอยู่ที่ท�ำงานแช่เย็นหรือแช่แข็ง เก็บมาให้ลูกกินท่ีบ้าน ซึ่งก็มีแม่จ�ำนวนมากท�ำเช่นนั้นเพราะเช่ือว่านมแม่ดีต่อลูก อันท่ีจริงวัตถุประสงค์หลัก ในการแนะน�ำให้ปั๊มนมก็เพ่ือป้องกันแม่น�้ำนมแห้ง และคุณค่าส�ำคัญของการให้นมแม่ มิใช่เพียงให้ลูก ได้กินน�้ำนมแม่ ยังหมายรวมถึงการให้นมแม่ที่แม่ลูกได้สัมผัส โอบกอด มีปฏิสัมพันธ์กับลูกด้วย 73

“ไม่จำ� เป็นตอ้ งร่ำ� รวย ขอ้ คิดในการใหน้ มแม่ หรอื ใชเ้ งนิ ในการ สร้างลูกใหฉ้ ลาด “คนเราจะรกั กันได้ ต้องใกล้ชดิ การให้ลกู ดดู นมแม่ ดแู ลหว่ งใย แสดงความรัก แม่ทกุ สถานะทำ� ได้” ความคดิ ถึงกนั ถ้าไมม่ กี ระบวนเหล่านี้ ความรักความผูกพันก็ไม่เกิด เชน่ เดยี วกับกระบวนการให้นมแม่ ทีส่ ร้างความรักความผูกพัน ระหวา่ งแมล่ ูก” “ถา้ เราอยากใหล้ ูกมีสมองดี ต้นทนุ ดี ก็ตอ้ งใช้เคร่ืองมือ ทม่ี ีประสทิ ธิภาพ ต้องลงทนุ ลงแรง ...การให้ลกู ดูดนมแม่ อาจทำ� ใหแ้ มเ่ หนื่อย แต่เปน็ การ ลงทนุ ลงแรงทคี่ ุ้มคา่ และเป็นเครือ่ งมือ ทีม่ ีประสิทธิภาพมาก” 74

นมแม่ กับการพัฒนาทักษะสมอง EF ลูกขวบปีแรก Critical period สรา้ งพน้ื ฐาน ทักษะสมอง EF ❤ ต้องให้นมแม่ ทันทีหลงั คลอด ❤ สร้างวงจรประสาท ❤ ต้องใหล้ กู ได้ ด้านภาษา นำ้� นมเหลือง ดา้ นสังคม ซึ่งมีแค่ 3-4 วัน การเข้าใจคนอ่ืน ❤ ตอ้ งใหพ้ อ่ แมร่ วู้ า่ การใหน้ มแมค่ อื นาทที องทแี่ มล่ กู จะเชอื่ มโยงถงึ กนั ❤ การใหน้ มแม่ต้องเน้นที่กระบวนการ มองตา สัมผัส พูดคยุ ❤ แมท่ ่ีให้นมผสมกค็ วรต้องท�ำอยา่ งเดยี วกนั ปัญหาในการให้นมแม่ ระยะเวลาลาคลอด ในประเทศไทย ให้แม่ตั้งครรภ์ลาคลอดได้เพียง 3 เดือน แต่บริษัทบางแห่งเปิดโอกาสให้แม่เลือกที่จะกลับมาท�ำงานก่อนหน้าน้ันเพ่ือให้ได้ เงินเดือนเต็มจากบริษัท และได้จากประกันสังคมอีกคร่ึงหน่ึง ดังนั้นควรจะมี กฎหมายให้แมล่ าคลอดได้ 6 เดือน เพ่อื ใหล้ ูกได้นมแม่อย่างตอ่ เน่อื ง แม่เชื่อว่าให้นมผสมทดแทนนมแม่ได้ แม่มั่นใจในนมผสมท่ีมีการโฆษณาว่ากินแล้ว เดก็ สมองดี มสี ารอาหารครบถว้ น สะดวกสำ� หรบั แมท่ ำ� งาน แมว้ า่ ปจั จบุ นั มกี ฎหมาย ควบคุมการโฆษณานมผสมแลว้ กต็ าม 75

ส่ิงที่เด็กทุกคนต้องการเพื่อสมองพัฒนาได้ดี โดย ศ.คลินกิ นพ.วรี พงศ์ ฉัตรานนท์ 1. การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับพอ่ แม่ บคุ คล วตั ถุ เปน็ สิ่งจ�ำเปน็ ส�ำหรับเด็กพอๆ กับสารอาหาร ประสบการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย จะกระตนุ้ ใหส้ มองพฒั นาไดใ้ นแบบตา่ งๆ เพราะสมองมคี วามสามารถ เปลย่ี นแปลงได้ (Plasticity) อยแู่ ลว้ 2. การสมั ผสั ดว้ ยความรกั ความอบอนุ่ ความออ่ นโยน (Touch) โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ จากแม่ จะชว่ ยกระตนุ้ ใหส้ มองพฒั นา ในเดก็ คลอดกอ่ นกำ� หนด การนวดสัมผัสช่วยให้เติบโตเร็ว พัฒนาดี และเป็นเด็กที่สงบ ทารก ในครรภก์ ็ได้รบั การนวดการสัมผสั โดยการเคลอื่ นไหวของแม่เชน่ กัน 3. ความสัมพันธ์ที่มั่นคงสม�่ำเสมอ (Stable Relationship) ท�ำให้เด็ก รูส้ ึกอบอุ่น มน่ั ใจ ไมม่ ีความเครยี ดทจ่ี ะท�ำให้ฮอร์โมนคอร์ตซิ อลสงู ขึ้น การศึกษาพบว่าฮอร์โมนน้ีส่งผลร้ายต่อสมอง กระทบกับพัฒนาการ ด้านความจำ� อารมณด์ า้ นลบ และการควบคมุ ตนเอง การใสใ่ จจดจอ่ 4. ส่ิงแวดล้อมท่ีปลอดภัย มีสุขอนามัย (Safe, Healthy Environment) คือ ไม่มีภาวะกดดันให้เครียด สถานท่ีปลอดภัย และส่ิงแวดล้อม ปราศจากมลพิษที่อาจมีผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง เช่น มีการ ปนเป้อื นจากตะกั่ว 5. การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง (Self - Esteem) เด็กมีความภูมิใจ ในตัวเอง เห็นว่าตัวเองเป็นคนมีคา่ เป็นที่รกั 76

6. การดูแลที่ดีมีประสิทธิภาพ (Quality Care) การทุ่มเทดูแลเด็กให้ดี ต้ังแต่เล็กๆ ดีกว่าปล่อยให้เกิดปัญหาท่ีต้องมาแก้ไขในภายหลัง การดูแลเด็กท่ีมุ่งหมายให้เด็กเรียนรู้บุคคลอ่ืน ตัวเอง และเรียนรู้ ถึงการควบคมุ ตวั เอง เปน็ ส่งิ ทห่ี าคา่ มิได้ 7. ความสามารถในการสื่อสาร (Communication) การพูดเกิดจาก การได้ยิน และได้ฝึกหัดซ�้ำแล้วซ�้ำอีก วงจรสมองด้านนี้ของเด็ก มอี ยู่แลว้ รออยูเ่ พยี งท�ำใหม้ ันได้ท�ำงานครบวงจรและสมบรู ณ์ 8. การเล่น (Play) เป็นสิ่งจ�ำเป็นส�ำหรับพัฒนาการสมองและจิตใจ ของเด็ก เป็นประสบการณ์ท่ีเด็กได้รับ ส่ิงท่ีช่วยให้สมองพัฒนาไม่ใช่ ของเล่น แตอ่ ยทู่ ่กี ารเลน่ ของเล่นนั้นๆ 9. ดนตรี (Music) เด็กมีอารมณ์ดึงดูดต่อเสียงเพลงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ แลว้ พอ่ แมค่ วรจะสอนและรว่ มรอ้ งเพลงกบั ลกู ดนตรรี วมเอาสง่ิ ทเี่ ดก็ ต้องเรียนรู้หลายอย่างเข้าด้วยกัน เป็นการหัดการท�ำงานร่วมกันของ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การรู้จักจังหวะ ความจ�ำ ความนึกคิด และ ภาษา รวมทงั้ ชว่ ยสรา้ งความเชอ่ื มนั่ ในตัวเอง กระตนุ้ ความรบั ผิดชอบ ระหวา่ งพ่อแมแ่ ละลกู ท่จี ะสร้างความผูกพันซงึ่ กนั และกัน 10. การอ่าน (Reading) ให้ลูกฟังเป็นประจ�ำมีอิทธิพลต่อชีวิตอย่าง มากมาย การท่ีพ่อแม่หัดให้ลูกอ่าน จะท�ำให้วงจรสมองขยาย เพม่ิ ขนึ้ มาก การอ่านหนังสือเล่มเดมิ ซ�้ำแลว้ ซ�ำ้ อีก จะชว่ ยให้ลกู เรยี นรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างหน้าหนังสือที่มีตัวหนังสือและค�ำท่ีเปล่งเสียง ออกมา ท่สี �ำคัญอย่างยิง่ พอ่ แม่ลกู ต้องสนุกกบั การอา่ นนั้นดว้ ย 11. การนอนหลับสนิทลึกอย่างต่อเน่ืองและเพียงพอ (Sleep) ท�ำใหส้ มอง มเี วลายอ่ ยขอ้ มูลที่ได้รบั การกระตุน้ มาในขณะต่นื 77

กฎการท�ำให้สมองลูกดี โดย ศ.คลนิ ิก นพ.วรี พงศ์ ฉัตรานนท์ ✿ พัฒนาการของสมองเป็นผลการประสมประสานการท�ำงานระหว่างพันธุกรรม การเล้ียงดูและสิ่งแวดล้อม โดยท่ัวๆ ไป ระยะก่อนคลอด พันธุกรรมจะมีบทบาท มากกวา่ เมอื่ หลงั คลอดสงิ่ แวดลอ้ มและการเลย้ี งดจู ะมบี ทบาทมากขนึ้ สมองในครรภ์ มีพันธุกรรมท่ีก�ำหนดโครงสร้างสมอง หลังคลอดการเล้ียงดู อาหารที่เหมาะสม และได้รับสารท่ีจ�ำเป็นต่อการพัฒนาสมอง ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ซึ่งเร่ืองเหล่านี้นมแม่ ตอบโจทย์ได้ทั้งหมด ✿ ระยะอยู่ในครรภ์ส่วนใหญ่พันธุกรรมจะเป็นผู้ก�ำหนดให้เซลล์ท่ีแบ่งตัวจากไข่ ที่ถูก Fertilize แล้ว ให้แบ่งตัวต่อไปอีกและ Differentiate ไปเป็นส่วนสมอง ไขสันหลงั และประสาท รวมทั้งเปน็ ผ้กู ำ� หนดว่า เซลลส์ ว่ นไหนจะเคลือ่ นทไี่ ปอยทู่ ีใ่ ด และแขนงเซลล์ใดจะไปเชื่อมโยงกับเซลล์ใด ณ ต�ำแหน่งใด รวมทั้งการวางวงจร ประสาทเตรียมไว้ส�ำหรับให้ใช้งานในระยะต่อมา โดยมีภาวะแวดล้อมเกื้อหนุน ให้การด�ำเนินการน้ันๆ เป็นไปได้อย่างเรียบร้อยและสมบูรณ์ ✿ หลังคลอด พันธุกรรมก็ยังคงมีบทบาทอยู่เช่นเดิมต่อไป เพียงแต่ว่าจะไม่มี การแบ่งตัวของเซลล์สมองอีก แต่การขยายการวางวงจรประสาทออกไปอีกเป็น ล้านๆ วงจรยังด�ำเนินต่อไป โดยการเก้ือหนุนของการเล้ียงดูต้ังแต่การได้รับ สารอาหารท่ีเหมาะสมและครบถ้วน ไปจนถึงสารอื่นที่จ�ำเป็นต่อพัฒนาการ ของสมอง รวมไปถงึ การไมเ่ กิดโรคติดเชอ้ื ท่ีท�ำให้การเจรญิ เตบิ โตชะงักดว้ ย ✿ วงจรประสาทในระยะแรกจะมีการสร้างเร็วและมากเกินความจ�ำเป็นที่ต้องใช้ หรือแย่งกันไปจนผิดต�ำแหน่งท่ีควรจะไป เมื่อสิ่งแวดล้อมมีบทบาทเพิ่มมากข้ึน จากการที่ปลายประสาทท่ัวร่างกายถูกกระตุ้น วงจรที่เกี่ยวข้องเร่ิมท�ำงาน ส่วนที่สร้างมาเกินหรืออยู่ผิดต�ำแหน่งจะถูกขจัดออกไป เพ่ือให้การท�ำงาน มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น (Apoptosis) น่ีคือสภาวะ Neural Pruning หรือการตัดแต่ง ซ่ึงมีต้ังแต่ในระยะอยู่ในครรภ์ แต่จะมีมากในระยะหลังคลอด 78

✿ เป็นที่น่าเสียดายว่าวงจรประสาทที่ส�ำคัญท่ีถูกวางไว้ก่อนหน้าน้ี หากส่วนไหน ไม่ได้รับการกระตุ้นให้มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องหรือเพียงพอ ก็อาจท�ำให้ส่วนน้ัน ถูกขจัดเพ่ิมข้ึนอีกจาก Neural Pruning ได้ จึงมีค�ำท่ีกล่าวถึงพัฒนาการ ของสมองว่า “Use it or lose it” คือ ให้ใช้มันเสียมิฉะนั้นจะสูญเสียมันไป ✿ การที่สมองถูกกระตุ้นให้ได้ใช้งานอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง จะท�ำให้วงจร ทถ่ี กู เตรียมมากอ่ นนี้เป็นวงจรที่สมบรู ณ์ ทำ� งานตอ่ ไปไดอ้ ย่างถาวร ✿ ดังน้ันพ่อแม่ควรรู้ว่า สมองลูกจะพัฒนาเติบโตได้ดีจะต้องมีการกระตุ้น และ การกระตุ้นถ้ามีการฝึกซ�้ำๆ ก็จะเกิดเป็นทักษะ เช่น การรู้จักรอคิว รอคอย การที่เด็กได้รับการโอบอุ้ม พูดคุย สัมผัส ชวนให้เล่น ฯลฯ ส่ิงต่างๆ เหล่านี้ ถ้าเด็กได้รับอย่างพอเพียง จะเป็นการเสริมสร้างสมองให้ลูก ซ่ึงผู้ท่ีท�ำสิ่งต่างๆ นไ้ี ดด้ ที ่สี ดุ คือ แม่ทเี่ ลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมเ่ อง ✿ สมองคนเรายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา (Neural Plasticity) ดังนั้น การท่ีเด็กได้เรียนรู้ ได้มีประสบการณ์ต่างๆ ท่ีเหมาะสม อาจท�ำให้มีวงจรประสาท ใหมๆ่ เกิดข้นึ ได้อีก และถา้ ทำ� ซำ้� ๆ ก็จะเป็นการซมึ ซับ เชน่ การฝกึ ให้เด็กรู้จกั รอควิ รอคอย หรอื ทกั ษะอารมณด์ ี ทกั ษะจากการฟงั เพลง ทกั ษะจากการเลา่ นทิ านทอี่ บอนุ่ เหลา่ นีเ้ กดิ ขึ้นในโครงสรา้ งสมอง ✿ ถ้าการเลี้ยงดู แม่กับลูกไม่มีความผูกพัน ไม่มีการกระตุ้นที่ต่อเน่ือง การพรุนนิ่ง ในเรื่องที่เก่ียวกับความผูกพันจะหายไป แต่ถ้าเด็กได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่อย่างดี จากพ่อแม่อย่างต่อเนื่องสม�่ำเสมอ เด็กก็จะมีต้นทุนในเร่ืองพ้ืนอารมณ์ท่ีดี รู้จัก รอคอย มีทักษะทางดนตรี ทักษะทางภาษา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสร้าง ซูเปอร์บอย ซูเปอร์เกิร์ล แต่คุณลักษณะบางอย่างของคนเราต้องสร้างในช่วงเวลา ทีเ่ หมาะ เช่น เรือ่ งการปลกู ฝังวนิ ัย 79

5 พัฒนาการของทักษะสมอง EF ในเด็กวยั 1-2 ปี (13-24 เดือน) 80

การพัฒนาทักษะสมอง EF ในขวบปีที่สอง ช่วงวัยนี้เป็นพ้ืนฐาน ท่ีส�ำคัญประสบการณ์ ถ้าบอกว่าทักษะสมอง EF พฒั นามากในชว่ ง 3-6 ปี กอ็ าจท�ำให้เราละเลยการ แรกเริ่มของชีวิต พัฒนาทักษะสมอง EF ในช่วงแรกของชีวิตลูกไปได้ ช่วงวัย 1-2 ปี พัฒนาการท่ี เป็นตัวปั้นสมอง ส�ำคัญ คือ มีการพัฒนาภาษาและการท�ำงานของสมองระดับสูง (Higher ให้มีรูปแบบท่ีจะ Cognitive Function) ซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับทักษะสมอง EF แม้ดูเหมือนว่า ใช้ไปตลอดชีวิต ลูกในช่วงวัย 0-2 ปีจะมีการพัฒนาทักษะสมอง EF น้อย แต่ช่วงวัยน้ีกลับมีความ ส�ำคัญอย่างย่ิง เพราะเป็นฐานที่ส�ำคัญ ซึ่งถ้าฐานแข็งแรงกระบวนการต่อไปก็จะ เขม้ แขง็ ดว้ ย กลา่ วไดว้ า่ “Early experience shapes the brain.” ... ประสบการณ์ แรกเร่ิมของชีวิตเป็นตัวปั้นสมองให้มีรูปแบบที่จะใช้ไปตลอดชีวิต เพราะฉะน้ัน ในช่วงแรกเร่ิมน้ีเราต้องพัฒนา “การปั้นสมอง” ของลูกให้เป็นไปในทางที่ดีข้ึน หรืออย่างน้อยที่สุดไม่ผิดปกติ เช่น ถ้าเห็นลูกมีแนวโน้ม (ไฮเปอร์) แอคทีฟ อยู่ไม่สุขตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่ควรฝึกลูกให้รู้จักช้าลง สงบลง โดยหากิจกรรมที่ท�ำให้ ลูกสงบลงได้ เช่น จับลูกน่ังตักเล่านิทานให้ฟัง เป็นต้น พัฒนาการของเด็กวัย 1-2 ปี ร่างกาย โดยทวั่ ไปแลว้ เมอ่ื เดก็ อายุ 1 ปี นำ�้ หนกั จะเพม่ิ จากแรกเกิด 3 เท่า สว่ นสงู เพ่ิมข้นึ อกี 25 ซม. แตพ่ อหลังขวบปีแรกน�้ำหนักจะไมค่ อ่ ยเพ่ิมข้ึน เน่ืองจากเป็นวัย เร่ิมออกส�ำรวจเรียนรู้ พัฒนาการกล้ามเน้ือมัดใหญ่ท�ำให้เด็กยืนได้ เดินได้ และ กลา้ มเนอ้ื มดั เลก็ ทำ� ใหใ้ ชม้ อื กบั นวิ้ ไดค้ ลอ่ ง รวมทง้ั เรมิ่ เปน็ ตวั ของตวั เอง เรม่ิ ตอ่ ตา้ น ลูกจึงไม่ค่อยสนใจการกิน เป็นวัยท่ีใช้พลังไปกับกิจกรรมต่างๆ มาก เช่น การเดิน การวิง่ น�ำ้ หนกั จึงเพิ่มไมม่ าก สมอง หลายคนอาจคิดว่าเด็กช่วงขวบปีที่สองไม่ค่อยมีการเติบโต แต่ท่ีจริงแล้ว มีการเติบโตของสมองค่อนข้างมาก มีขนาดสมองใหญ่ข้ึนค่อนข้างมาก อัตราการ เติบโตอาจไม่ได้พุ่งสูงแบบขวบปีแรก แต่ก็ยังอยู่ในระดับท่ีสูงไปจนกระทั่ง 3-4 ปี มีแขนงประสาท, Dendritic Spine และ Synapses เพิ่มข้ึนอย่างมากใน เปลอื กสมองใหญห่ ลายสว่ นเชน่ สมองสว่ นของภาษา สมองสว่ นควบคมุ การเคลอื่ นไหว (Primary Motor Cortex) 81

พัฒนาการด้านต่างๆ ท่ีมีความส�ำคัญต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF 1. พัฒนาการ เป็นพัฒนาการท่ีเห็นได้ชัดเจนในขวบปีท่ีสอง คือเด็กยืนและเดินได้ซึ่งก็เป็น พัฒนาการทส่ี �ำคัญ ทำ� ใหเ้ ด็กสามารถออกไปหากิจกรรมท่ตี อ้ งการดว้ ยตัวเองได้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เด็กขวบปีแรกสามารถใชอ้ ุง้ มือและนิ้วมือในการหยบิ ของ ส่วนขวบปที ่ีสอง เดก็ เร่ิมใช้ น้วิ ในการท�ำงานทีล่ ะเอียดมากขนึ้ เชน่ เปดิ หนังสอื ทลี ะหนา้ ซงึ่ เหมาะมากต่อการให้ 2. พัฒนาการ เดก็ มีส่วนร่วมในการเลา่ นทิ านของพ่อแม่ ในขวบปีทีส่ องเด็กเริ่มใช้มอื ไดค้ ล่องในการ หยบิ จับของและอปุ กรณ์ในชวี ติ ประจ�ำวัน สามารถสอนใหเ้ ลียนแบบได้ กล้ามเนื้อมัดเล็ก 3. พัฒนาการ ในขวบปีที่สอง เด็กสามารถเข้าใจค�ำศัพท์ได้มากขึ้น เร่ิมพูดค�ำที่มีความหมายออกมา เป็นค�ำโดดๆ ได้ เด็กผู้หญิงหรือเด็กที่พูดเก่งอาจพูดผสมค�ำสองค�ำได้ พัฒนาการด้าน ทางด้านภาษา ภาษาท�ำให้เด็กสามารถแสดงความคิด กระท�ำ และโต้ตอบได้ พ่อแม่ต้องพยายาม กระตุ้นให้ลูกฝึกใช้ภาษาส่ือสารเรื่องราว ความรู้สึก ใช้หนังสือภาพช่วยในการพัฒนา 4. พัฒนาการ ภาษา และเดก็ ยงั สามารถเรยี นรูเ้ รื่องตา่ งๆ ผ่านหนงั สือไดด้ ว้ ย เริ่มรับรู้ มีทักษะทางด้านสังคม เด็กอายุขวบคร่ึงเม่ือมองเห็นตัวเองในกระจกจะเร่ิมรู้ ทางด้านสังคม ว่าคนในกระจกคือตัวเอง กระบวนรับรู้ตัวตนของตัวเองนี้ต้องอาศัยสมอง ไม่ใช่แค่ รับรู้ด้วยการมองเห็นแต่ต้องมีการประมวลผล ซ่ึงพัฒนามากขึ้นในขวบปีท่ีสอง เปน็ พน้ื ฐานการเข้าใจตัวเองและทักษะสังคมต่อไป เด็กวัยใกล้สองปีถ้ามาน่ังด้วยกัน จะต่างคนต่างเล่น ยังไม่เล่นด้วยกัน ผู้ใหญ่ควรกระตุ้นให้เด็กเล่นด้วยกัน 5. พัฒนาการ เด็กขวบปีแรกเร่ิมมีการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้แล้ว ผลตามมาในขวบปีที่สองคือ เม่ือไม่ถูกใจอะไรก็จะอาละวาดเพื่อให้พ่อแม่ท�ำตามที่ตนเองต้องการ และมีการ ทางด้านอารมณ์ แสดงอารมณ์อย่างชัดเจน รวมท้ังเร่ิมด้ือ ชอบปฏิเสธ ซึ่งจะน�ำไปสู่ภาวะ Terrible 2 ในช่วงขวบปีที่ 3 แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติพัฒนาการ แต่พ่อแม่ต้องช่วย และสอนลูกให้จดั การอารมณ์ใหไ้ ด้ 82

วิธีการพัฒนาทักษะสมอง EF ของลูกวัย1-2 ปี พอ่ แมส่ ามารถ เอรฝชึก่นอดเดสคทก็ อวนอยั นย1รใหอ-ข้คร2นู้จอักยปมไดี ้ให้ การพัฒนาการย้ังคิด ไตร่ตรอง (Inhibit) ของเลน่ ที่อยากได้ ฝึกควบคุมการเคลื่อนไหว ในเดก็ ขวบปีท่สี อง กล้ามเน้ือมดั ใหญ่ กล้ามเนือ้ มดั เล็ก และภาษาก�ำลังพฒั นา จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาส่งเสริมให้เด็กได้ยั้งคิดไตร่ตรองผ่านการสอนให้เด็กรู้จัก ควบคุมความสามารถเหล่าน้ี เช่น การเคล่ือนไหว ถ้าลูกเดินเร็วพ่อแม่ต้องสอนให้ เด็กรู้จักเดินช้าลง อาจจะบอกว่าตอนน้ีเราเป็นเต่า ถ้าลูกส่งเสียงดัง ลองบอกให้ พูดเสียงกระซิบ เหล่าน้ีเป็นการควบคุมตัวเองอย่างง่ายๆ ให้เด็กรู้ว่า มีเร็ว-ช้า เสียงดัง-เสียงเบา อาจใช้ดนตรีประกอบการฝึกและท�ำให้เป็นเรื่องสนุก เด็กจะ ท�ำตามด้วยดี การฝึกการยั้งคิดในเด็กวัยน้ี จึงเป็นการฝึกควบคุมการเคลื่อนไหว ของตนเองเปน็ ส่วนใหญ่ การทดลองของ Dr. Nancy Eisenberg ใช้วิธีนี้สังเกตทักษะการยั้งคิด ในเด็กเลก็ โดยบอกเด็กว่าตอนนี้หนเู ป็นกระต่าย หนตู ้องท�ำอย่างไร ตอนนห้ี นูเปน็ เตา่ ... เดก็ กจ็ ะชา้ ลง แลว้ ดวู า่ เดก็ แตล่ ะคนควบคมุ ตวั เองใหช้ า้ ลงไดม้ ากนอ้ ยแคไ่ หน เด็กบางคนช้าลงได้มาก บางคนช้าลงได้น้อย ถ้าเด็กสามารถช้าลงได้หลายระดับ ทั้งช้ามาก ปานกลาง หรือเร็วก็ได้ ท�ำให้เด็กคนนั้นสามารถที่จะควบคุมตัวเอง ท้งั ความคดิ และการกระท�ำได้ ฝึกการอดทนรอคอย พ่อแม่สามารถฝึกเด็กวัย 1-2 ปี ให้อดทนรอคอยได้ เช่น สอนให้รู้จักรอขนม ของเล่นที่อยากได้ ในวัยน้ีอย่าปล่อยให้ลูกควบคุมพ่อแม่ อยากได้อะไรแล้ว ลงไปร้องดิ้นกับพ้ืน ต้องฝึกลูกโดยชะลอความต้องการ เริ่มจากให้รอ 3 นาที แล้วค่อยให้ แล้วช่ืนชมลูก คร้ังต่อไปยืดเวลารอออกไปอีก ซ่ึงถ้าปล่อยปละ ไม่ฝึกจนเข้าสู่วัย 3-4-5 ปีแล้วจะฝึกได้ยาก ถ้าฝึกเด็กแบบน้ีไปเร่ือยๆ ในท่ีสุด เขาจะรู้จกั ยบั ยง้ั ตวั เองในเรอ่ื งทีย่ ากได้มากขนึ้ เมอ่ื โตข้นึ 83

สอนให้รู้จักกฎกติกา ในช่วงวัย 1-2 ปี ต้องสร้างความเข้าใจให้รู้จักการอยู่ในสังคมอย่างมีกติกา แต่เป็นกติกาที่ง่ายๆ เหมาะกับวัย และผู้ใหญ่รอบข้างก็ต้องดูแลให้เด็กปฏิบัติ เหมอื นๆ กัน เนือ่ งจากเดก็ วัยนีเ้ ริม่ พดู ได้ สื่อสารได้ พอ่ แม่สามารถบอกได้วา่ อะไร ทำ� ได้ อะไรทำ� ไมไ่ ด้ ถา้ ปลอ่ ยไปถงึ วยั 3 ปี ซง่ึ ลกู เปน็ ตวั ของตวั เอง (Self - Centered) เตม็ ทจ่ี ะฝกึ ยาก ในการฝกึ พอ่ แมค่ วรบอกกฎกตกิ าใหล้ กู รกู้ อ่ นทำ� เสมอ เพอื่ ใหม้ กี าร ควบคุมตนเอง และคอ่ ยๆ เพิ่มกฎเกณฑ์ทลี ะน้อย การพัฒนาความจ�ำเพ่ือใช้งาน (Working Memory) และการจดจ่อใส่ใจ (Focus/ Attention) จัดส่ิงแวดล้อมไม่ให้เด็กวอกแวกง่าย ไม่เปิดโทรทัศน์ วิดีโอ แท็บเล็ต สมาร์ตโฟนหรือส่ิงดึงดูดความสนใจอื่น ของเด็กในระหว่างท่ีเด็กมีกิจกรรมอยู่ เพราะเด็กจะไม่สามารถฝึกตัวเองให้จดจ่อ กับสง่ิ ทกี่ �ำลังท�ำได้ ใช้นิทาน เกม ของเล่นท่ีต้องใช้สมาธิจดจ่อ เด็กวัยนี้ความจ�ำเพ่ือใช้งาน (Working Memory) และการมีสมาธิจดจ่อ (Focus/ Attention) กำ� ลงั พฒั นามาก พอ่ แมส่ ามารถฝกึ ทกั ษะนใ้ี หล้ กู โดยใชน้ ทิ าน เกม ของเล่นที่ลูกต้องจดจ่อมากๆ นิทานบางเร่ืองมีรายละเอียดของตัวละคร มีเน้ือหาทต่ี อ้ งจ�ำ ถา้ เลอื กนิทานทเี่ หมาะสม ลกู จะได้ฝึกทง้ั การจดจ่อและจดจำ� ใช้กิจกรรมที่ลูกตอ้ งใชม้ อื ประสานกบั สายตา (Eye-hand Coordination) เป็นพื้นฐานให้เด็กมีทักษะสมอง EF ท่ีดี เพราะเวลาท่ีเด็กใช้มือกับตาท�ำงาน ประสานกนั ต้องใชส้ มาธจิ ดจอ่ ตอ้ งมีความมงุ่ มั่นพยายาม หมายเหตุ : เด็กแต่ละคนในวัยเดียวกันอาจมีพัฒนาการไม่เท่ากัน พ่อแม่ต้องสังเกตว่า ลูกมีพัฒนาการตามวัยหรือไม่ ถ้าวัยน้ีแล้วลูกยังไม่พูด หรือยังใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่มัดเล็กไม่ได้ ต้องให้ลูกได้รับการวินิจฉัยและช่วยเหลือจากแพทย์ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ทกั ษะสมอง EF เนื่องจากพอ่ แมส่ อื่ สาร พดู สอนอะไร เด็กยงั รบั ไม่ได้ และเด็กอาจจะรู้สกึ คบั ขอ้ ง หงุดหงิด 84

พฒั นาการลกู ขวบปที ีส่ อง ❤ พัฒนาการกล้ามเนอื้ มัดใหญ่ ยืนและเดินได้ ❤ พฒั นาการกลา้ มเนือ้ มัดเล็ก ใชส้ องนิว้ หยิบของ ❤ พัฒนาการทางด้านภาษา เร่ิมพดู คำ� ท่มี คี วามหมายออกมา เปน็ ค�ำโดดๆ ได้ ❤ พฒั นาการทางด้านสังคม รบั รูต้ ัวตนของสังคม ❤ พฒั นาการทางด้านอารมณ์ แสดงอารมณท์ างสีหน้าได้ การพัฒนาทกั ษะสมอง EF ลกู ขวบปที ่สี อง ย้ังคิด ไตร่ตรอง กลา้ มเน้อื มัดใหญ่ และภาษา ● ฝกึ ควบคมุ การเคลื่อนไหว เรว็ -ช้า ● ฝกึ การอดทนรอคอย ● สอนกฎกติกางา่ ยๆ จดจ่อ ความจ�ำเพ่ือใช้งานและจดจ่อใส่ใจ จดั สง่ิ แวดล้อมไม่ให้วอกแวกงา่ ย ใชน้ ทิ าน เกม ของเล่นท่ีตอ้ งใชส้ มาธิจดจ่อ 85

กิจกรรมพัฒนาทักษะสมอง EF ในเด็ก 6-18 เดือน (วยั เตาะแตะ) มหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์ แนะกจิ กรรมทช่ี ว่ ยเสรมิ ทกั ษะสมอง EF ในเดก็ วยั 6-18 เดอื น เปน็ กจิ กรรมการเล่นงา่ ยๆ เช่น จ๊ะเอ๋ เป็นการฝึกทักษะความจ�ำ (Working Memory) ท�ำให้เด็กรู้ว่าเมื่อของ ตรงหนา้ หายไป ของนัน้ ยังคงอยูแ่ มจ้ ะมองไมเ่ ห็นก็ตาม (Object Constancy) เกมซอ่ นของ เอาของซ่อนในผ้า ทำ� ให้เด็กเห็นต่อหนา้ การเลยี นแบบ เด็กยังท�ำเองไม่ได้ พ่อแม่ต้องสอนแบบง่ายๆ เช่น ธุจ้า บ๊ายบาย ส่งจูบ ฯลฯ การเลียนแบบเป็นการเรียนรู้แบบแรกๆ ของมนุษย์ เกี่ยวข้องกับเซลล์ กระจกเงา (Mirror Neuron) ทำ� ให้เด็กสามารถเลยี นแบบพอ่ แมไ่ ด้ การพูดเล่นค�ำกับลูก เชน่ ไปไหน…ไหนๆ หรอื เป่ายิงฉุ้บ การเล่นบทบาทสมมติ เชน่ กวาดบ้าน เก็บของ เลน่ ตุ๊กตา การปรบมือ สอนลกู ใหป้ รบมอื แมล้ กู ยงั ปรบมอื เขา้ จงั หวะไมไ่ ด้ การพูดคุย พ่อแม่ต้องพูดคุยกับลูกมากๆ แม้ว่าลูกยังพูดส่ือสารไม่ได้ หรือพูดได้ ออ้ ๆ แอ้ๆ ก็ตาม กจิ กรรมพฒั นาทกั ษะสมอง EF เหลา่ นบ้ี างกจิ กรรมอาจไมไ่ ดไ้ ปสรา้ งทกั ษะสมอง EF โดยตรง เช่น ทักษะการยับยั้ง การควบคุมตัวเอง แต่เป็นการสร้างพ้ืนฐานท่ีจะน�ำไปสู่ ทักษะดังกลา่ วตอ่ ไปในช่วงวัย 2-3 ปี 86

กิจกรรมพัฒนาทักษะสมอง EF ลูกวัย 6-18 เดือน จะ๊ เอ๋ เกมซ่อนของ เลียนแบบ พูดคยุ กับลกู ปรบมือ แสดงบทบาทสมมติ 87

ทักษะสมอง EF ในชีวิตประจ�ำวัน ส�ำหรับเด็กเล็กแล้ว การลงมือพฒั นาทักษะสมอง EF ลกู ในชีวติ จรงิ คอื กจิ วตั ร ประจ�ำวัน หรือ Daily life living เป็นการใช้ชีวิตอย่างปกติเป็นธรรมชาติตาม พัฒนาการของเด็ก ดังนั้น พ่อแม่จึงสามารถฝึกทักษะสมอง EF ให้ลูกได้ทุกที่ ทุกเวลา ทกุ กจิ กรรม แต่ตอ้ งอยู่ภายใตข้ อบเขตพฒั นาการที่เดก็ จะทำ� ได้ โดยบทบาทของพอ่ แม่ หลกั ๆ มี 3 ข้อ เรียกวา่ เป็นเคร่ืองมอื ทงี่ ่ายทีส่ ดุ ท่ีนำ� ไป ส่กู ารพัฒนาทกั ษะสมอง EF และตอบสนองพัฒนาการของลกู ได้แก่ 1. เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความสามารถ ได้เล่น ได้ช่วยเหลือตัวเอง ขวบปีที่สองนี้เป็นช่วงวัยท่ีเด็กก�ำลังเปล่ียนจาก “ท�ำด้วยตัวเองไม่ได้” เป็น “ท�ำด้วยตวั เองได้” เป็นช่วงที่อยากรอู้ ยากเหน็ อยากเลยี นแบบ อยากท�ำ เป็นแรง ผลักดันให้อยากลองท�ำโน่นน่ี ถ้าเด็กได้ท�ำในท่ีปลอดภัยก็จะเกิดทักษะและภูมิใจ ในตัวเอง ท้ังสองอย่างน้ีน�ำไปสู่ความส�ำเร็จในการเรียนรู้ การด�ำรงชีวิตต่อไป ในอนาคต ถา้ ในชว่ งนอ้ี ยากทำ� แลว้ ผใู้ หญห่ า้ มไมใ่ หท้ ำ� เดก็ จะกลายเปน็ เดก็ ดอ้ื เงยี บ (Passive Aggressive) พอ่ แมต่ ้องเปิดโอกาสใหล้ ูกได้มีการเลน่ ที่หลากหลาย ทง้ั ในบ้านและนอกบ้าน การเลน่ คนเดยี วและการรว่ มเลน่ กบั คนอน่ื พอ่ แมบ่ างคนไมป่ ลอ่ ยใหล้ กู เลน่ คนเดยี ว เพราะตนเองจะกระตุ้นลูกอยู่ตลอดเวลา ท�ำให้เด็กไม่รู้จักการอยู่ด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งพาใคร เม่ือปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียว สักพักเด็กจะขยับมองหาพ่อแม่ ถึงเวลาน้ันจึงค่อยส่งเสียงให้ลูกรู้ว่าแม่อยู่ด้วย นอกจากนั้นน้�ำเสียงแม่ก็ส�ำคัญ เพราะเสียงน้ันจะบ่งบอกออกมาได้ว่าแม่พูดด้วยอารมณ์ใด ตกใจ กลัวหรือเป็น ปกติดี ซ่ึงถ้าเสยี งเป็นปกติ กจ็ ะทำ� ให้ลกู เชื่อมั่นท่จี ะเลน่ โดยล�ำพังได้ พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองบ้าง เช่น ถอดผ้าอ้อมเอง หยิบ ของเอง หรือบางครั้งพ่อแม่อาจท�ำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น เด็กจะก้มเก็บของ ใต้โต๊ะ แม่เอาไม้เข่ียให้ดู ลูกก็จะเรียนรู้ แต่จะดีท่ีสุดถ้าให้โอกาสเด็กได้ท�ำเอง แก้ปญั หาเอง 88

2. จัดสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเติบโตของลูก เปิดโอกาส จัดบ้านให้เป็นระเบียบ จัดส่ิงของให้หยิบง่าย เก็บง่าย ปลอดภัย ไม่ว่าลูก จะอยกู่ บั พเ่ี ลยี้ งหรอื ปยู่ า่ ตายาย ทำ� ใหล้ กู ไดเ้ รยี นรกู้ ารจดั การ จดั ระบบ การปอ้ งกนั ให้ลูกได้แสดง อุบัติเหตุเป็นเรื่องส�ำคัญส�ำหรับเด็กวัยนี้ ซึ่งเป็นวัยอยากรู้อยากเห็นและชอบ ความสามารถ เลียนแบบ จึงมีโอกาสท่ีจะเกิดอุบัติเหตุมาก จากการศึกษาติดตามระยะยาว ตได้เนลเ่นองได้ช่วยเหลือ เดก็ วยั 1-2 ปี ท่ีล้มได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ แม้ไม่มากก็ตาม ปรากฏว่าโตข้ึน อาจจะมีปัญหาเร่อื งสมาธิและการคิดท่ซี ับซ้อน 3. สร้างกิจวัตรและชีวิตประจ�ำวันที่สะดวกท้ังกับพ่อแม่และลูก การพัฒนาทักษะสมอง EF ต้องท�ำให้เป็นเรื่องง่าย เป็นเร่ืองในชีวิตประจ�ำวัน ตามสถานะของพ่อแม่ พ่อแม่ต้องส�ำรวจว่ามีต้นทุนทักษะสมอง EF อะไรบ้าง เพ่ือถ่ายทอดไปยังลูก การใช้ชีวิตด้วยกันจะท�ำให้ลูกค่อยๆ ซึมซับการใช้ชีวิตตาม วถิ ีชีวติ ของพอ่ แม่ ควรจดั ตารางกจิ วัตรประจ�ำวันที่สบายๆ ท�ำให้เกดิ เปน็ รูปแบบ กิจกรรมด้วยความรู้สึกท่ีดี ตื่นมาพ่อแม่ลูกยิ้มให้กัน ท�ำสิ่งต่างๆ ด้วยกัน และมี กฎกติกา เชน่ การกินอาหารตอ้ งนัง่ กินที่โตะ๊ อาหาร ไม่ใช่พอ่ แมต่ ามป้อน การท่ีลูก นั่งกินอาหารพร้อมกับพ่อแม่และสมาชิกในบ้าน จะช่วยฝึกให้ลูกกินได้ด้วยตัวเอง หรอื เมอ่ื ขน้ึ รถลกู ตอ้ งนงั่ Car Seat อะไรกต็ ามทเ่ี ปน็ เรอื่ ง “ตอ้ ง” พอ่ แมต่ อ้ งยนื ยนั ชัดเจน โดยเฉพาะถ้าเกย่ี วกบั ความปลอดภยั หรือสิ่งทีก่ ตกิ าสังคมปฏบิ ตั ิ เป็น 3 ข้อส้ันๆ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองใช้เป็นหลักปฏิบัติในบ้าน ด้วยความ เอาใจใสข่ องพ่อแม่ ก็จะสามารถพัฒนาลูกได้ทั้งพัฒนาการและทักษะสมอง EF ที่ส�ำคัญท�ำแล้วต้องเกิดความสุขในบ้านด้วย 89

ลูกสื่อสารได้แล้ว การเล้ียงดูท่ีส่งเสริมการพัฒนาทักษะสมอง EF ของลูก ควรสื่อสารกับลูกว่า วัย 1-2 ปี อะไรทำ� ได้ ทำ� ไม่ได้ เนื่องจากลูกวัย 1-2 ปีส่วนใหญ่ยังอยู่ในการดูแลของพ่อแม่เป็นหลัก และ วางตารางกิจวัตร ลูกอยู่ในวัยก�ำลังเรียนรู้และส�ำรวจโลก สมองก�ำลังพัฒนามาก เพราะฉะน้ันพ่อแม่ ประจ�ำวันที่เป็นระเบียบ นอกจากมบี ทบาทในการดแู ลลกู ใหก้ นิ อมิ่ นอนหลบั แลว้ ยงั ตอ้ งมหี นา้ ทพ่ี ฒั นาสมองลกู โดยตรง โดยมขี อ้ ควรปฏบิ ตั เิ พอ่ื สง่ เสรมิ การพฒั นาทกั ษะสมอง EF ของลกู วยั น้ี ดงั นี้ ✿ พ่อแม่ควรเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่น ให้ลูกมีความรู้สึกผูกพัน มั่นคง ปลอดภยั โดยสร้างปฏิสัมพนั ธ์ทด่ี กี บั ลูก โอบกอด ใสใ่ จพดู คุยกบั ลกู บอ่ ยๆ ✿ ดูแลลูกให้มีพัฒนาการตามวัย ซึ่งเน้นว่าพ่อแม่ควรต้องมีความรู้เรื่อง พฒั นาการเด็กแตล่ ะชว่ งวัย ✿ เปดิ โอกาสใหล้ กู ไดช้ ว่ ยเหลอื ตวั เอง ทำ� อะไรๆ ดว้ ยตวั เองตามความสามารถ ของวัย โดยสอนวิธีการท�ำส่ิงต่างๆ ท�ำให้ดูเป็นตัวอย่าง ได้เล่นอิสระ และฝกึ ให้คิดเปน็ ข้นั ตอน ✿ จดั สง่ิ แวดลอ้ มใหส้ งบ สะอาด ปลอดภยั เปน็ ระเบยี บ เพอ่ื ใหล้ กู มสี มาธจิ ดจอ่ กบั กจิ กรรมทที่ ำ� และสามารถเรยี นรจู้ ากการเลน่ ลงมอื ทำ� ไดอ้ ยา่ งปลอดภยั ✿ ฝึกประสาทสัมผัสของลูกด้านต่างๆ (Sensory Integration) และการใช้ มือประสานกับสายตา (Eye-Hand Coordination) ด้วยการเปิดโอกาส ใหเ้ ล่นและท�ำสงิ่ ต่างๆ ดว้ ยตัวเองใหม้ าก ✿ เล้ียงลูกให้มีวินัย มีกฎกติกา เพราะลูกส่ือสารได้แล้ว ควรสื่อสารกับลูกว่า อะไรท�ำได้ ทำ� ไมไ่ ด้ ทถี่ ูกต้องควรทำ� อย่างไร วางตารางกจิ วัตรประจำ� วนั ที่ เป็นระบบระเบียบ ลูกวัยนี้สามารถคิดซับซ้อนข้ึนได้ ดังนั้นควรสอนเด็ก ใหร้ จู้ กั ควบคมุ ตนเองทง้ั อารมณแ์ ละการกระทำ� แบบงา่ ยๆ เชน่ ลกู ทำ� อะไร 90

เร็วไปก็ให้ช้าลง ลดเสียงให้เบาลงเม่ืออยู่ในท่ีสาธารณะ ฝึกให้รู้จักอดทน รอคอย เชน่ รอของท่ีอยากได้ ฯลฯ ✿ สอนให้เด็กรู้อารมณ์ตนเอง สื่อสาร บอกความต้องการ อารมณ์ของ ตนเองได้ ไม่ว่าจะฝึกจะสอนอะไรลูก ต้องท�ำด้วยความอ่อนโยน ไม่เคร่งเครียด เคร่งครัด ดุว่า ท�ำให้ลูกเครียด (Negative Discipline) ซึ่งแทนท่ีจะเป็นผลดี กลับกลายเป็นการท�ำร้ายสมองและพัฒนาการอ่ืนๆ ของลูก ในขณะเดียวกัน การปกป้องลูกเกินไป (Overprotection) ตามใจลูกมากไปก็เป็นการท�ำร้าย สมองและพฒั นาการของลกู เชน่ เดียวกัน อีกประการหน่ึง การฝึกลูกจะได้ผลดีหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของ คนรอบข้าง เช่น ปู่ยา่ ตายาย พ่อแม่ ต้องสอดคล้องไปในทางเดยี วกันดว้ ย กิจกรรมพัฒนาทักษะสมอง EF ลูกวัย 6-18 เดือน 1. 2. 3. เปิดโอกาสให้ลกู ไดแ้ สดง สร้างกจิ วตั รและชวี ิต จัดสภาพแวดล้อมท่เี อ้อื ความสามารถ ได้เลน่ ประจ�ำวันทีส่ ะดวกทง้ั กับ ตอ่ การเติบโตของลกู ไดช้ ว่ ยเหลือตัวเอง พ่อแม่และลูก เปน็ ระบบระเบยี บ 91

6 พัฒนาการของทกั ษะสมอง EF ในเดก็ วัย 2-3 ปี (25-36 เดอื น) 92

พัฒนาการท่ีส�ำคัญต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF เด็กวัย 2-3 ปี ของลูกวัย 2-3 ปี เปน็ เด็กทที่ �ำตาม กฎมากท่ีสดุ ลกู วยั 2-3 ปี เคลอ่ื นไหวรา่ งกายไดค้ ลอ่ งแคลว่ มากขนึ้ ทรงตวั ไดด้ ขี นึ้ ทำ� อะไรๆ ได้มากขึ้น เช่น ขว้าง รับลูกบอล เดินข้ึนลงบันได เร่ิมหัดข่ีจักรยานสามล้อได้ หากผู้ใหญ่เข้าใจและ บวกกับมีพัฒนาการท่ีส�ำคัญท่ีจะน�ำไปสู่การพัฒนาทักษะ EF คือ การตระหนัก ตอบสนองเด็กได้อย่าง รู้จักตัวเอง (Self-Awareness) ท�ำให้ลูกเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการ เหมาะสม เป็นอิสระ ต้องการจะท�ำอะไรด้วยตัวเอง และรู้ความต้องการของตัวเอง สามารถ ตอบรับหรือปฏิเสธได้ พัฒนาการที่ส�ำคัญอีกอย่าง คือ พัฒนาการด้านภาษา จะก้าวหน้ามาก สามารถเรียกช่ือส่งิ ของหรอื ส่วนตา่ งๆ ของร่างกายได้ เร่ิมท�ำตาม ค�ำสงั่ งา่ ยๆ ได้ เลยี นแบบได้ มีสมาธิจดจ่อกบั การฟงั นิทานไดน้ านข้นึ วัยด้ือ ต่อต้าน (Terrible 2) หรือ วัยดีเด่น (Terrific 2) กันแน่ เด็กวัย 2-3 ปี พูดกันว่าเป็นวัยที่เด็กดื้อ ต่อต้านพ่อแม่ เรื่องน้ีทัศนคติของ พ่อแม่และความเข้าใจเก่ียวกับพฤติกรรมเด็กส�ำคัญมาก ความจริงเด็กดื้อ (Terrible 2) น้ีอาจจะเป็นเด็กดีเด่น (Terrific 2) ที่พัฒนารุดหน้าก็ได้ หากพ่อแม่ เข้าใจว่าเด็กวัยน้ีเป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้ เด็กอยากท�ำอะไรด้วยตัวเองอยู่แล้ว พอมีโอกาสได้ท�ำ แล้วได้รับค�ำชม เด็กย่ิงท�ำมากขึ้น เราจะพบว่าเด็กวัย 2-3 ปี เปน็ เดก็ ทที่ ำ� ตามกฎมากทส่ี ดุ หากผใู้ หญเ่ ขา้ ใจและตอบสนองเดก็ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ยกตัวอย่างเด็กวัยสองปีกว่าคนหน่ึง เป็นเด็กอารมณ์ไม่มั่นคง เน่ืองจากว่า พอ่ แมก่ ำ� ลงั แยกทางกนั เมอ่ื ไดร้ บั การพฒั นาทางอารมณจ์ ากผดู้ แู ลเดก็ ในเนริ ส์ เซอรี่ ผู้ดูแลมีการตอบสนองอารมณ์เด็กอย่างเหมาะสม เด็กก็ดีข้ึน พออายุได้ 4 ขวบ เด็กสามารถบอกคุณแม่ที่ก�ำลังโมโหว่า “แม่ก�ำลังโกรธนะ แม่อารมณ์ดีแล้วค่อย มาพูดกับหนู แม่พูดเสียงแบบนี้หนูไม่ชอบ” แสดงให้เห็นว่าเด็กได้เรียนรู้ รู้จักอารมณ์และการตอบสนองอย่างเหมาะสม จากเด็กที่ผู้ใหญ่มองว่าเป็นเด็ก มปี ัญหากลายเปน็ เด็กทพ่ี ฒั นาได้ดี มีทกั ษะสมอง EF ทด่ี ไี ด้ 93

ดังนั้น ในการพัฒนาลูก พ่อแม่ต้องเริ่มจากการมีทัศนคติท่ีถูกต้อง ต้องเรียนรู้ เขา้ ใจพฤติกรรมพัฒนาการของเดก็ ไมม่ องวา่ อาการดอ้ื ต่อต้าน การแสดงอารมณ์ ของลกู เปน็ ปญั หา ถา้ พอ่ แมม่ ที ศั นคตไิ มถ่ กู ตอ้ งอาจจะตอบสนองอารมณเ์ ดก็ ในทางลบ เช่น ดุว่า ท�ำโทษ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาเรื่องการรู้จักอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ หรือสงบสตอิ ารมณ์ได้ แตก่ ลับจะท�ำให้เด็กตอ่ ตา้ นและดื้อมากข้ึน นอกจากเข้าใจ พฤติกรรมพัฒนาการของเด็กแล้ว พ่อแม่ต้องมีทักษะในการตอบสนองลูกแบบ วินัยเชิงบวก (Positive Discipline) เพื่อยังคงความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกต่อไป ซ่ึงเป็นพื้นฐานท่ีจะท�ำให้ฝึกสอน ปลูกฝังเร่ืองต่างๆ แก่ลูกได้โดยง่าย โดยเฉพาะ สมองเด็กวัยนี้มีศักยภาพพร้อมจะเรียนรู้พัฒนาอยู่แล้ว การตอบสนองที่ถูกต้อง จะท�ำให้สมองลูกพฒั นารุดหนา้ ยิง่ ข้นึ วินัยเชิงบวก (Positive Discipline) เพ่ือพัฒนาทักษะสมอง EF วินัยเชิงบวก หรือ Positive Discipline คือการสื่อสารท่ีจะโน้มน้าว ให้เด็กรู้สกึ วา่ กติกาที่เรากำ� หนดเปน็ สิ่งทีต่ อ้ งทำ� ถ้าไมท่ �ำแลว้ จะเกิดผลเสยี อย่างไร การที่เด็กได้รับการฝึกให้ท�ำอะไรได้เป็นการไปกระตุ้นทักษะสมอง EF ของเด็ก ทั้งหมด เด็กท่ีได้รับการฝึกวินัยเชิงบวกจะมีพฤติกรรมบวกโดยอัตโนมัติ มีความ ยบั ย้ังช่งั ใจ ในขณะท่คี นท่ไี มไ่ ดร้ บั การฝกึ ตงั้ แตเ่ ด็ก ตอ้ งใช้ความพยายามอย่างมาก ทจ่ี ะควบคมุ ตวั เองไมใ่ หแ้ สดงพฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม ดงั นนั้ นบั วา่ เปน็ ความคมุ้ คา่ ท่ีจะหล่อหลอมลูกให้รู้จักควบคุมตัวเอง และเป็นเร่ืองน่าเสียดายหากไม่ได้ปลูกฝัง เรือ่ งนี้ ซง่ึ การแก้ไขพฤติกรรมภายหลังท�ำไดย้ ากกวา่ มาก 94

เดก็ วยั นถ้ี า้ ดตู ามพฒั นาการแลว้ สามารถฝกึ ใหท้ ำ� สง่ิ ตา่ งๆ ในกจิ วตั รประจำ� วนั ได้ ในการฝกึ ลูก โดยพอ่ แมส่ อน มกี ฎระเบยี บใหล้ กู ปฏบิ ตั งิ า่ ยๆ เชน่ จดั ตารางเวลาใหเ้ ดก็ ทำ� กจิ วตั ร ต้องท�ำใหล้ กู ร้สู ึก ประจ�ำวัน เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่าควรต้องท�ำอะไรเม่ือไร เช่น ต่ืนมาแล้วไปอาบน้�ำ ด้วยว่าเป็นทร่ี ัก แปรงฟัน เสร็จแล้วกินข้าว แล้วปล่อยให้เล่นได้ ที่โรงเรียนหรือเนิร์สเซอร่ีอาจจะ ใช้ระฆังตี หรือใช้เสียงเพลงบอกให้เด็กรู้ว่าต้องท�ำอะไร เช่น พอเพลงนี้ข้ึนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่รัก ตอ้ งเลกิ เลน่ เกบ็ ของ ไปกนิ อาหารวา่ ง เปน็ กฎกตกิ างา่ ยๆ ทส่ี ว่ นใหญท่ ำ� กนั อยแู่ ลว้ และเข้าใจลูก แต่บางบ้านอาจจะไม่ท�ำ หรือไม่เห็นความส�ำคัญว่าลูกควรจะต่ืนหรือเข้านอน เปน็ เวลา ลกู จะเรยี นรเู้ วลาจากกจิ วตั รประจำ� วนั เหลา่ นี้ เมอ่ื ลกู ทำ� ไดแ้ ลว้ กจ็ ะทำ� ให้ การเล้ียงลูกง่ายข้ึน เด็กท�ำอะไรเป็นเวลาสม่�ำเสมอ คนเลี้ยงก็จะมีเวลาพัก ไม่เหนื่อยมาก และจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของลูกในภายภาคหน้า เป็นพื้นฐาน ให้ลกู ควบคมุ กำ� กับตวั เองได้ ในขณะเดียวกัน การฝึกวินัยลูกวัยนี้มักมีผลกระทบต่ออารมณ์ลูก ลูกอาจจะ แสดงความรู้สึก หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และเสี่ยงต่อการกระทบถึงความ สัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก เพราะฉะน้ัน ในการฝึกต้องท�ำให้ลูกรู้สึกด้วยว่า เป็นทรี่ กั พ่อแมร่ ักและเขา้ ใจลูก ในการฝึกเด็กแต่ละบ้าน ความแตกต่างอยู่ที่วิธีการสอน การดุว่าเด็กไม่ใช่ การสอน พ่อแม่ต้องให้เวลาลูกฝึกฝน เดก็ อาจจะยังทำ� ไมไ่ ด้ เพราะยังอยใู่ นวยั ทซี่ น ต้องดูธรรมชาติพัฒนาการตามวัยของเด็กด้วยว่าท�ำอะไรได้บ้างแล้ว แต่อย่างไร ก็ต้องสอน อยู่ท่ีวิธีพูด สื่อสารกับลูกอย่างไรท่ีทำ� ให้ลูกอยากควบคุมตนเองหรือว่า อยากต่อตา้ น หากพ่อแม่รู้ เข้าใจพฤติกรรมพัฒนาการของเด็ก จะไม่ต�ำหนิ ดุว่าเด็ก ค�ำว่า Terrible 2 หรือ “ด้ือ” ก็จะไม่มี เพราะคือธรรมชาติของเด็ก แล้วพ่อแม่ คงตอ้ งถามตัวเองดว้ ยวา่ เราสอนลกู ถูกต้องแล้วหรอื ยงั 95

วินัยเชิงบวก (Positive Discipline) ส�ำหรับลูกวัย 2-3 ปี ✿ แสดงความเขา้ ใจลกู บอกได้ว่าลูกรู้สึกอะไร อย่างไร ถึงมีพฤติกรรมนั้นๆ เด็กในวัยนี้อาจยังไม่รู้จักใช้ภาษาสื่อสารอารมณ์ได้ดีพอ หรือยังไม่รู้จัก อารมณค์ วามรู้สกึ ของตนเอง ✿ พดู สะทอ้ นอารมณล์ กู บอ่ ยๆ ในชวี ติ ประจำ� วนั ทำ� ใหล้ กู เรมิ่ เรยี นรอู้ ารมณต์ นเอง เริ่มเรียนรู้การจัดการอารมณ์ การแสดงออกอยา่ งเหมาะสม ✿ ให้ค�ำชม โดยเจาะจงชมท่ีพฤติกรรมแต่ละอย่างและใส่คุณลักษณะ เขา้ ไปดว้ ยเชน่ “ขอบคณุ นะทหี่ นรู อจนแมพ่ ดู เสรจ็ แบบนเี้ รยี กวา่ มมี ารยาท หรืออดทนได้” ค�ำคุณลักษณะแบบน้ีท�ำให้เด็กเกิดความจ�ำเพ่ือใช้งาน (Working Memory) ทดี่ ี และเกดิ การเหน็ คณุ คา่ ในตวั เอง (Self - Esteem) ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 อย่าง ได้แก่ 1) ความม่ันใจในตัวเอง มั่นใจว่าตัวเอง ท�ำอะไรได้ 2) รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของใครบางคน (Sense of Belonging) 3) รูค้ ุณคา่ ในตวั เอง คนท่มี ีความเชอ่ื มัน่ ในตัวเองแต่ไมร่ ู้สึกวา่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คมจะแสดงออกผดิ ๆ หรอื การไมร่ คู้ ณุ คา่ ตนเอง กท็ ำ� ให้ มีพฤตกิ รรมเสี่ยงได้ ✿ ใช้ค�ำพูดเชิงบวกเม่ือต้องการให้ลูกท�ำอะไร จะปอ้ งกนั การตอ่ ตา้ น การปฏเิ สธ “ไม่” ควรมีทางเลือกให้ลูก แต่เป็นทางเลือกที่ท�ำให้ไปถึงเป้าหมาย ท่ีเราวางไว้ เช่น จะให้ลูกท่ีไม่ชอบอาบน้�ำไปอาบน�้ำ ก็อาจให้ลูกเลือกเอา ตุ๊กตาเข้าไปอาบน�้ำด้วย บอกลูกว่าท�ำอะไรได้เม่ือไร เปล่ียนวิธีการเดิมๆ ที่ไม่ได้ผล เช่นถ้าบอกลูกว่า... กินข้าวไม่หมดไม่ต้องไปเล่น... ลูกอาจจะ บอกว่า... งัน้ หนูไมเ่ ลน่ ... พอ่ แมค่ วรบอกวา่ กนิ ข้าวเสร็จแลว้ ไปเลน่ ไดเ้ ลย ท้งั นน้ี ำ้� เสยี งและทา่ ทีของพ่อแม่ตอ้ งเป็นไปในทางบวก 96

การบรู ณาการประสาทความรสู้ กึ (Sensory Integration) ช่วงวัยน้ีการพฒั นา ประสาทสัมผัส นอกจากวนิ ยั เชงิ บวกแลว้ ในชว่ งวยั นกี้ ารพฒั นาประสาทสมั ผสั หลายสว่ นรว่ มกนั หลายส่วนร่วมกัน (Sensory Integration) ในการทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ กม็ คี วามสำ� คญั นำ� ไปสกู่ ารพฒั นา น�ำไปสู่การพัฒนา ทักษะสมอง EF เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง และการ ทกั ษะสมอง EF เล่นจะเป็นโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์มากมาย กิจกรรมส�ำหรับเด็กวัยน้ี ควรเปน็ กจิ กรรมที่ท�ำให้เด็กได้ใชป้ ระสาทสมั ผัสตา่ งๆ การบูรณาการประสาทความรู้สึก (Sensory Integration) คือ กระบวนการ รับความรู้สึกจากส่ิงกระตุ้นต่างๆ ท้ังจากภายนอกและภายในร่างกาย เข้าสู่การ ประมวลผลทสี่ มองและมีการตอบสนองไดอ้ ย่างเหมาะสม เชน่ เมอื่ เดก็ เล่น เดก็ ได้ รบั ประสบการณ์ผ่านสิง่ เรา้ ประสาทสัมผสั ทางการได้ยนิ ไดเ้ ห็น ได้กลน่ิ การสัมผัส การชิมรส พอรับสัมผัสเข้ามาก็ผ่านไปยังไขสันหลัง แล้วเข้าไปสู่สมอง Sensory Register รับข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล บูรณาการข้อมูล แปลส่ิงเร้าท่ีมากระตุ้นหรือ ทร่ี บั รเู้ ขา้ มา ออกมาเปน็ การรบั รู้ เขา้ ใจ และแสดงพฤตกิ รรมตอบสนองไดเ้ หมาะสม เช่น เด็กเดินเข้าไปในสวน เห็นดอกมะลิแล้วดม แม่บอกว่านี่คือดอกมะลิ เด็กได้ เรียนรู้ว่านี่คือดอกมะลิ สิ่งท่ีประสาทสัมผัสได้รับนี้ก็จะไปเก็บเป็นข้อมูลท่ีสมอง แตเ่ ดก็ อาจยงั พดู ออกมาไมไ่ ด้ เปน็ ประสบการณท์ ถี่ กู เกบ็ ไวแ้ ลว้ และสามารถเขา้ ใจ ช่ือของส่ิงน้ันได้ รับรู้ได้แต่ยังพูดออกมาไม่ได้ พอเด็กโต ครูถามว่าน่ีดอกอะไร เด็กดึงความจ�ำที่เก็บมาใช้ จึงตอบได้ว่านี่คือดอกมะลิ จากการท่ีเด็กได้เรียนรู้ และจดจำ� ผา่ นประสาทสัมผัส ในวัยน้ีมีการท�ำงานท่ีเช่ือมต่อกันของสมองส่วนการรับรู้สัมผัส ความรู้สึก และการเคล่ือนไหว (Sensory Motor Cortex) การรับรู้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย การรบั รขู้ องรา่ งกายซา้ ยขวา นำ� ไปสกู่ ารวางแผนการเคลอื่ นไหว เมอ่ื ลกู อายุ 1 ขวบ พ่อแม่เริ่มพาฝึกเดินจะกระตุ้นให้เด็กทรงตัว เป็นพัฒนาการน�ำไปสู่การรับรู้ การทรงตัว (Perceptual Motor Development) การประสานกันของ การมองเห็นและมือ (Eye-Hand Coordination) สมาธิจดจ่อ (Attention) น�ำไปสู่การเรียนรกู้ ารท�ำกจิ กรรมตา่ งๆ ในชวี ติ ประจ�ำวัน 97

กจิ กรรมท่ีใช้กล้ามเนือ้ มัดเลก็ เชน่ การท�ำกิจวตั รประจำ� วัน การเล่นดินนำ�้ มัน ระบายสี ผ่านประสาทสัมผัส เด็กได้ฝึกการใช้น้ิวมือ การสัมผัสวัสดุต่างชนิด ทั้งต้องฝึกทรงตัวในท่าที่ท�ำให้ปั้นได้ถนัด ฝึกตาและมือท�ำงานประสานกัน ฝกึ สมาธจิ ดจอ่ ฝกึ ความคดิ จนิ ตนาการ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความเชอื่ มนั่ ซง่ึ จะเปน็ ทกั ษะทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั การเรยี นและการควบคมุ ตวั เอง รวมถงึ เปน็ การพฒั นาทกั ษะ สมอง EF ดว้ ย ซง่ึ อาจเพม่ิ เตมิ กจิ กรรมทม่ี เี ปา้ หมาย มกี ารจดั การ มกี ตกิ างา่ ยๆ เชน่ ก�ำหนดเวลาและออกแบบกิจกรรมให้เด็กฝึกการควบคุมตัวเอง หรือยืดหยุ่น ทางความคิด เวลาทำ� กจิ กรรมหนง่ึ ๆ เดก็ ไมไ่ ดใ้ ชป้ ระสาทสมั ผสั อยา่ งเดยี ว เชน่ การขวา้ งบอล จะต้องใช้ทั้งตาดู สมองต้องคิดวางแผนว่าจะขว้างบอลไปท่ีไหน ต้องกะระยะ การจับลูกบอลต้องใช้ความรู้สึกสัมผัสข้อต่อต่างๆ ต้องทรงตัวในท่าท่ีเหมาะสม จึงจะสามารถท�ำกิจกรรมขว้างบอลไปในทิศทางที่ตัง้ ใจไว้ไดส้ ำ� เร็จ กจิ กรรมดนตรี เปน็ กจิ กรรมทพ่ี ฒั นาประสาทสมั ผสั และสมองสว่ นตา่ งๆ รวมทง้ั การเคลื่อนไหวได้ดีมาก การเล่นดนตรีนอกจากจะช่วยพัฒนาสมองส่วนหน้า (Frontal Cortex) ในการคิด วางแผน ตัดสินใจได้ด้วยแล้ว ยังช่วยให้ผ่อนคลาย ซ่ึงเกี่ยวข้องกับสมองส่วนอารมณ์หรือระบบลิมบิก (Limbic System) ท�ำให้ มีความสุข พัฒนาสมองส่วนการมองเห็น (Visual Cortex) สมองส่วนความจ�ำ (Hippocampus) สมองสว่ นการได้ยนิ (Auditory Cortex) ในเด็กเลก็ ๆ พอ่ แม่ควรจะดงึ ลกู ออกจากส่ือ เชน่ ทีวี คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แทบ็ เลต็ แลว้ ใหล้ กู ไดเ้ ลน่ อสิ ระ เลน่ กลางแจง้ ไดม้ กี จิ กรรมทก่ี ระตนุ้ ประสาทสมั ผสั ต่างๆ การเคล่ือนไหว การใชก้ ลา้ มเน้ือมัดใหญ่ มัดเลก็ การฝึกประสาทสัมผัสต่างๆ เหล่าน้ี รวมท้ังกิจกรรมในชีวิตประจ�ำวัน จะช่วยพัฒนาลูกทั้งพัฒนาการ ช่วยปรับโครงสร้างและการท�ำงานของสมอง และพัฒนาทักษะสมอง EF ซ่ึงจะเป็นพื้นฐานของความส�ำเร็จในการศึกษาต่อไป ภายภาคหน้าด้วย หากลูกไม่มีโอกาสได้เล่นได้ท�ำกิจกรรมต่างๆ จะส่งผลให้ พัฒนาการล่าช้าเพราะลูกขาดโอกาส ขาดประสบการณ์ และส่งผลกระทบถึง ทักษะสมอง EF อย่างแนน่ อน 98

กิจกรรมพัฒนาทักษะสมอง EF ในช่วงวัย 18-36 เดือน กจิ กรรมทใ่ี ชพ้ ฒั นาทกั ษะสมอง EF ของลกู วยั นี้ ควรมลี กั ษณะเปน็ Active Game เชน่ เกมปาของ เดก็ วยั น้ีชอบหยบิ ของแล้วปา พ่อแมต่ อ้ งเข้าใจวา่ การปาของของลกู วัยนี้ ไมใ่ ชก่ ารแสดงความกา้ วรา้ ว แตเ่ ปน็ ธรรมชาตพิ ฒั นาการของเดก็ พอ่ แมต่ อ้ งหาของใหล้ กู ไดจ้ บั สัมผสั หยบิ ปาอย่างเพียงพอ โดยไมเ่ กดิ อันตรายต่อเด็กและคนอนื่ การเลียนแบบ เดก็ วัยนสี้ ามารถใช้กล้ามเนอื้ มดั ใหญ่ ในการแสดงท่าทางได้ จึงเลียนแบบได้มากขนึ้ เกมให้หยุด (Freeze Game) เปน็ เกมทีท่ �ำให้เดก็ ร้จู กั หยุด ก�ำหนดค�ำหรือสัญญาณทบ่ี อกใหเ้ ดก็ หยุดและขยับได้ เกมเคล่ือนไหว ท�ำท่าทาง มีเพลงประกอบ เช่น เพลง “Head Shoulder Knee & Toe” หรือเพลง “เดินไปรอบๆ แลว้ หมนุ หมนุ ” Featured Play ร้องเพลงแลว้ ปรบมอื ตมี อื กบั แม่ การพูดคุย ไม่ใช่พ่อแม่พูดคุยฝ่ายเดียว ต้องให้เด็กโต้ตอบด้วย เช่น ให้เด็กเล่าส่ิงที่ พบเจอ ถ้าเด็กโตขึ้นอีกหน่อย พ่อแม่อาจจะซักถามต่อเน่ืองเพื่อกระตุ้นให้ลูกพูดอธิบาย ท้ังเร่ืองราว การแก้ปัญหาในสถานการณ์ท่ีลูกพบเจอ ความรู้สึก ซ่ึงเป็นท้ังการสะท้อน อารมณ์ความรู้สึก ขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาทักษะภาษาด้วย การให้ลูกได้พูดถึง อารมณค์ วามรูส้ ึกของตนเองนี้ ยังเปน็ การพฒั นาทักษะการควบคมุ อารมณ์ (Emotional Control) ซึง่ เปน็ ส่วนสำ� คัญของการควบคมุ ตัวเอง (Self - Regulation) การเล่นเกม Matching ให้เด็กจับคู่หรือจัดหมวดหมู่ของที่เหมือนกัน ท้ังในเรื่อง สี รูปร่าง รูปทรง ประเภท แล้วอาจแกล้งท�ำสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้หรือไม่สมเหตุสมผล เช่น เอาของชิ้นใหญ่ใส่ของช้ินเล็ก เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่าท�ำไม่ได้ ถ้าเด็กโตหน่อยและไม่เอา ของเขา้ ปากแลว้ อาจจะใหเ้ ล่นเกมตอ่ จิก๊ ซอว์ โดยใชข้ องเล่น ชนิ้ ทม่ี ีขนาดใหญก่ อ่ น การเล่นเชิงจินตนาการ โดยกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ พูดอธิบาย แสดงความคดิ จนิ ตนาการออกมาให้พอ่ แมฟ่ ัง 99

กิจกรรมพัฒนาทักษะสมอง EF ลูกวัย 18-36 เดือน เกมปาของ เกมเคลอื่ นไหว การเลยี นแบบ เกมให้หยดุ จบั คู่ ชวนพูดคุย ร้องเพลงแล้วปรบมอื เล่นเชิงจินตนาการ 100