จัดพิมพเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๗๐ ป ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
๒๗ ราชอารยรฐั 1
2
คำ� ปรารถ 3
ค�ำนำ� สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักท่ีด�ำรงยั่งยืนอยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน พระมหากษัตริย์ไทยนับตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่ทรงอุทิศพระองค์และทรงพระวิริยะอุตสาหะ ประกอบพระราชกรณียกิจ เพ่ือน�ำความร่มเย็น ผาสกุ มาสู่อาณาประชาราษฎรแ์ ละความเจริญม่ันคงของประเทศสบื มา รฐั บาลน�ำโดยพลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายก รัฐมนตรี ตระหนักในความสำ� คัญของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ จึงไดก้ ำ� หนดใหภ้ ารกิจในการปกป้อง รกั ษาและเชดิ ชสู ถาบนั พระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ นโยบายส�ำคญั ประการแรกของรัฐบาลในการบรหิ ารประเทศ ในโอกาสมหามงคลทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงครองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ ๗๐ ปี ในวนั ที่ ๙ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๙ กระทรวงวฒั นธรรมในฐานะหนว่ ยงานของรฐั ทรี่ บั สนองนโยบาย ในการดำ� เนนิ ภารกจิ ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั สถาบนั พระมหา กษัตริยม์ าอย่างตอ่ เนอ่ื ง จงึ เหน็ สมควรจัดพมิ พ์หนังสอื “๒๗ ประมุขแหง่ ราชอารยรัฐ” มเี น้ือหาเกย่ี วกับประวตั ิความเป็นมา ของสถาบนั พระมหากษตั รยิ ข์ องประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลก ทง้ั น้ี เพอื่ แสดงความสำ� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทท่ี รงมตี อ่ ปวงพสกนกิ รชาวไทย และเพอื่ เผยแพรพ่ ระเกยี รตคิ ณุ ของพระมหากษตั รยิ แ์ หง่ นานาอารยประเทศ ทุกพระองคท์ ที่ รงสถาปนาและปกครองบา้ นเมืองจนเป็นปึกแผน่ มั่นคง สง่ ผลให้สถาบันพระมหากษตั รยิ ์ ดำ� รงสถานะความ เป็นสถาบนั ทางการเมอื งการปกครองท่ีสำ� คัญของโลกสืบมาตราบจนปัจจุบนั ในนามของกระทรวงวัฒนธรรม ผมหวังเป็นอยา่ งย่ิงว่าหนังสือเลม่ นีจ้ ะสรา้ งความตระหนักรูใ้ ห้แกส่ งั คมไทย ในอนั ท่ีจะร่วมมือร่วมใจกันปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยให้ด�ำรงม่ันคงย่ังยืน เป็นสถาบันหลักของชาติและ เปน็ ศูนย์รวมจติ ใจของคนไทยทุกคน และเพอ่ื ใหพ้ สกนิกรท้งั ปวง อยู่อาศยั ดำ� รงชีพด้วยความร่มเย็นเปน็ สขุ ภายใตพ้ ระบรม โพธสิ มภารตลอดไป (นายวีระ โรจน์พจนรัตน์) รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงวัฒนธรรม 4
คำ� ช้แี จง ในโอกาสมหามงคลท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๗๐ ปี ในวันท่ี ๙ มิถุนายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๙ กรมศลิ ปากรไดร้ บั มอบหมายจากกระทรวงวฒั นธรรมใหจ้ ดั ทำ� หนงั สอื “๒๗ ประมขุ แหง่ ราชอารยรฐั ”เพอื่ เฉลมิ พระเกยี รตแิ ละนอ้ มสำ� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทที่ รงประกอบพระราชกรณยี กจิ นอ้ ย ใหญ่นานัปการน�ำความผาสกุ มาสอู่ าณาประชาราษฎร์ จวบจนปัจจุบัน เนอ้ื หาของหนงั สือเปน็ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ประเทศทีป่ กครองโดยระบอบกษัตริย์ ซึง่ ปจั จุบนั มีอยู่เพยี ง ๒๗ ประเทศที่ พระมหากษตั ริย์ยงั ทรงมบี ทบาทส�ำคญั และด�ำรงสถานะเปน็ ประมขุ ของประเทศ รวมถงึ ประเทศไทยซงึ่ เปน็ ทป่ี ระจักษช์ ัด แล้วว่า สถาบนั พระมหากษัตรยิ ย์ งั คงไว้ซ่ึงความสำ� คัญสงู สดุ และเป็นสถาบันหลกั ที่เปน็ เครอ่ื งยึดเหน่ียวจิตใจของประชาชน อย่างแท้จริง รายละเอียดของหนังสือประกอบด้วยข้อมูลโดยสังเขปของประเทศ ประวัติความเป็นมาของพระราชวงศ์ต่าง ๆ ท่ีปกครองประเทศ นน้ั ๆ สืบต่อกนั มา พระราชประวตั ิของพระประมขุ องคป์ จั จุบนั ความสมั พันธก์ บั ราชอาณาจักรไทย และการเจริญทางพระราชไมตรีระหว่างสองพระราชวงศ์ ซึง่ จะท�ำให้ผู้อา่ นไดร้ บั รแู้ ละเข้าใจถงึ ลำ� ดบั ความเป็นมาตลอดจน พฒั นาการของสถาบนั กษตั รยิ ใ์ นแตล่ ะประเทศ และตระหนกั ในพระปรชี าสามารถ ของพระมหากษตั รยิ ท์ กุ ๆ พระองคท์ ลี่ ว้ น แตท่ รงปกครองบา้ นเมอื งดว้ ยพระปรชี าญาณทา่ มกลางกระแส ความเปลยี่ นแปลงในสงั คมโลก จนสามารถน�ำพาประเทศผา่ น พน้ วกิ ฤตการณท์ างการเมอื งการปกครอง และดำ� รงสถานะความเปน็ ประเทศทย่ี งั คงปกครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ พระประมุขสบื มา ตราบจนปจั จุบัน ในการจัดทำ� หนังสอื เล่มนี้ กรมศิลปากรขอขอบคณุ กระทรวงการตา่ งประเทศ และ สถานเอกอัครราชทตู ประเทศ ต่าง ๆ ท่กี รุณาให้ความอนุเคราะหข์ อ้ มูลและภาพประกอบบางสว่ นทีน่ ำ� มาจัดพมิ พ์ในหนงั สอื สว่ นคำ� เฉพาะทเ่ี ปน็ ช่อื บุคคล สถานที่ และอื่น ๆ ในภาษาอาหรับไดร้ บั ความอนเุ คราะห์ จากสำ� นกั งานราชบัณฑติ ยสภาในการถ่ายถอดเป็นภาษาไทย ท้ายนี้ กรมศิลปากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มน้ีจะอ�ำนวยประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเร่ืองราวเก่ียวกับการ ปกครองอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ พระประมขุ โดยทั่วกัน (นายอนนั ต์ ชโู ชติ) อธิบดีกรมศิลปากร 5
สารบัญ หน้า ๙ ๒๔ คำ� ปรารภ ๒๖ ค�ำนำ� ค�ำชีแ้ จง ๒๘ สารบัญ บทน�ำ ๔๔ แผนท่แี สดงทตี่ ้งั ของประเทศท่ีปกครองโดยมีพระมหากษัตริยเ์ ปน็ ประมขุ รายพระนามพระประมุข ๒๗ พระองคแ์ หง่ ประเทศที่ปกครองโดยมพี ระมหากษัตริย์เปน็ ประมุข ๔๘ เรียงตามล�ำดับการครองราชย์ ๕๗ ๖๖ ราชอาณาจกั รไทย (Kingdom of Thailand) ๗๕ ๘๔ ราชอารยรัฐแห่งยุโรป ๙๓ ๑๐๒ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก (Kingdom of Denmark) ๑๑๑ ราชอาณาจักรนอรเ์ วย์ (Kingdom of Norway) ๑๒๐ ราชอาณาจกั รเนเธอรแ์ ลนด์ (Kingdom of Netherlands) ๑๒๙ ราชอาณาจกั รเบลเยียม (Kingdom of Belgium) ราชรฐั โมนาโก (Principality of Monaco) ราชรฐั ลกั เซมเบริ ์ก (Grand Duchy of Luxembourg) ราชรฐั ลิกเตนสไตน์ (Principality of Liechtenstein) ราชอาณาจกั รสเปน (Kingdom of Spain) ราชอาณาจกั รสวเี ดน (Kingdom of Sweden) สหราชอาณาจกั รบริเตนใหญ่และไอรแ์ ลนดเ์ หนอื (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) 6
หนา้ ราชอารยรัฐแหง่ เอเชยี ๑๓๙ ราชอาณาจักรกัมพชู า (Kingdom of Cambodia) ๑๔๒ รัฐกาตาร์ (State of Qatar) ๑๕๑ รัฐคูเวต (State of Kuwait) ๑๖๐ ราชอาณาจักรซาอดุ อี าระเบยี (Kingdom of Saudi Arabia) ๑๖๙ ญปี่ ุน่ (Japan) ๑๗๘ เนการาบรไู นดารุสซาลาม (Negara Brunei Darussalam) ๑๘๗ ราชอาณาจกั รบาห์เรน (Kingdom of Bahrain) ๑๙๖ ราชอาณาจักรภูฏาน (Kingdom of Bhutan) ๒๐๕ มาเลเซีย (Malaysia) ๒๑๔ สหรัฐอาหรบั เอมเิ รตส์ (United Arab Emirates) ๒๒๓ รัฐสุลตา่ นโอมาน (Sultanate of Oman) ๒๓๒ ราชอาณาจกั รฮัชไมต์จอร์แดน (Hashemite Kingdom of Jordan) ๒๔๑ ราชอารยรัฐแห่งแอฟริกา ๒๕๐ ราชอาณาจักรโมรอ็ กโก (Kingdom of Morocco) ๒๕๔ ราชอาณาจกั รเลโซโท (Kingdom of Lesotho) ๒๖๓ ราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ (Kingdom of Swaziland) ๒๗๒ ราชอารยรัฐแหง่ โอเชยี เนีย ๒๘๑ ราชอาณาจกั รตองกา (Kingdom of Tonga) ๒๘๔ บรรณานุกรม ๒๙๓ 7
8 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 8
บทน�ำ “ราชอารยรฐั ” หมายถงึ รฐั หรอื ประเทศทม่ี รี ปู แบบการปกครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ ์ เปน็ ประมขุ รปู แบบการ 9 ปกครองดงั กลา่ วสบื ทอดมาตง้ั แตไ่ ดถ้ อื กำ� เนดิ รฐั หรอื บา้ นเมอื งขนึ้ ในโลก โดยมพี ฒั นาการมาตามลำ� ดบั จากผนู้ ำ� ชนเผา่ ใน กลมุ่ สงั คมขนาดเลก็ พฒั นาเปน็ รฐั อาณาจกั รและจกั รวรรดิ ฉะนน้ั ระบบกษตั รยิ จ์ งึ อยคู่ กู่ บั สงั คมมนษุ ยม์ าอยา่ งยาวนาน ในประวตั ศิ าสตรก์ ารเมืองการปกครองของโลก ประเทศเกือบทกุ ประเทศในอดตี สว่ นใหญล่ ว้ นมีการปกครองใน ระบอบกษัตรยิ ม์ ากอ่ นท้งั สิน้ แตด่ ้วยปัจจยั ตา่ ง ๆ ทง้ั ทางดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนความตระหนักใน สทิ ธิเสรีภาพของผู้คน ประเทศสว่ นใหญจ่ ึงค่อย ๆ พฒั นา และเปลย่ี นแปลงรูปแบบการปกครองไปตามลำ� ดับ ปจั จบุ นั มปี ระเทศทย่ี งั คงปกครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมขุ อยเู่ พยี ง ๒๗ ประเทศ* (ไมน่ บั รวมประเทศใน เครอื จักรภพอังกฤษ ๑๖ ประเทศ ซ่งึ มีสมเดจ็ พระราชินีนาถเอลซิ าเบธที่ ๒ เปน็ ประมขุ ) จากประเทศทัว่ โลกรวม ๑๙๓ ประเทศ** ดงั นี้ กลมุ่ ประเทศในภูมภิ าคยโุ รป ไดแ้ ก่ ราชอาณาจกั รเดนมารก์ ราชอาณาจักรนอรเ์ วย์ ราชอาณาจักรเนเธอรแ์ ลนด์ ราชอาณาจกั รเบลเยยี ม ราชรฐั โมนาโก ราชรฐั ลกั เซมเบริ ก์ ราชรฐั ลกิ เตนสไตน์ ราชอาณาจกั รสเปน ราชอาณาจกั รสวเี ดน และสหราชอาณาจกั รบริเตนใหญ่และไอรแ์ ลนด์เหนอื กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา รัฐกาตาร์ รัฐคูเวต ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ญ่ปี ุ่น ไทย เนการาบรไู นดารุสซาลาม ราชอาณาจักรบาหเ์ รน ราชอาณาจักรภูฏาน มาเลเซีย สหรฐั อาหรบั เอมิเรตส์ และ ราชอาณาจกั รฮชั ไมตจ์ อรแ์ ดน กลมุ่ ประเทศในภมู ภิ าคแอฟรกิ า ไดแ้ ก่ ราชอาณาจกั รโมรอ็ กโก ราชอาณาจกั รเลโซโท ราชอาณาจกั รสวาซแิ ลนด์ กลมุ่ ประเทศในภูมิภาคโอเชียเนีย ได้แก่ ราชอาณาจกั รตองกา * ในงานพระราชพิธีฉลองสริ ิราชสมบตั ิครบ ๖๐ ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั เมื่อพทุ ธศักราช ๒๕๔๙ มีประเทศที่ปกครองโดยมีกษตั รยิ เ์ ป็นประมุขรวมท้ัง สิน้ ๒๙ ประเทศ ในจำ�นวนน้นั มี ๒ ประเทศคอื ซามวั และเนปาลทปี่ จั จุบันไดส้ นิ้ สุดการปกครองในระบอบกษตั รยิ แ์ ลว้ โดยรัฐเอกราชซามวั (Independent State of Samoa) เปลยี่ นแปลงรูปแบบการปกครองเป็นระบอบประชาธปิ ไตยแบบรัฐสภา มปี ระธานาธิบดีเปน็ ประมุขเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๐ ภายหลังสมเดจ็ พระราชาธิบดีมาลีเอตวั ตานุมาฟิลทิ ่ี ๒ เสดจ็ สวรรคตและไม่มรี ัชทายาทสบื ทอดราชบลั ลังก์ สว่ นสหพันธส์ าธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (Federal Dem- ocratic Republic of Nepal) เปลีย่ นแปลงการปกครองเปน็ ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มปี ระธานาธบิ ดเี ปน็ ประมุข เม่อื พ.ศ. ๒๕๕๑ ** จากขอ้ มลู ขององค์การสหประชาชาติ ปจั จุบนั ท่ัวโลกมีประเทศทั้งหมด ๒๐๖ ประเทศ เป็นสมาชกิ องค์การสหประชาชาติ ๑๙๓ ประเทศ สว่ นอีก ๑๖ ประเทศยงั มขี อ้ ถกเถยี งเกี่ยวกับอำ�นาจอธปิ ไตยเหนือดินแดนของตน ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 9
ระบอบการปกครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมุขในปจั จบุ นั ในปัจจุบนั การปกครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ ์เปน็ ประมขุ อาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๒ ระบอบ คือ ๑. ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ (Absolute Monarchy) เปน็ ระบอบการปกครอง ในระยะเรม่ิ แรกทร่ี ฐั ชาตไิ ด้ ถอื กำ� เนิดขนึ้ สบื ทอดรูปแบบมาจากระบบกษตั รยิ แ์ บบรฐั จารีต โดยหลกั การแล้วพระมหากษัตรยิ ท์ รงอยู่ในฐานะประมุข ของรัฐผทู้ รงไวซ้ ่งึ พระราชอำ� นาจสูงสดุ ในการปกครองประเทศ และทรงใชพ้ ระราชอ�ำนาจนัน้ ได้อยา่ งเด็ดขาดโดยไม่มีข้อ จำ� กดั แตก่ ารปกครองนนั้ กต็ อ้ งตง้ั อยบู่ นพน้ื ฐานหลกั ธรรมทางศาสนาของรฐั หรอื ประเทศนน้ั ๆ เชน่ พระมหากษตั รยิ ภ์ าย ใตพ้ ระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งยดึ หลกั ธรรม หรอื ธรรมะสำ� หรบั พระมหากษตั รยิ ใ์ นการปกครองประเทศไดแ้ ก่ ทศพธิ ราชธรรม ราชจรรยานุวตั ร และจกั รวรรดิวัตร เปน็ ต้น คณุ ธรรมเหล่านี้ล้วนเปน็ หลกั ทีพ่ ระมหากษัตริย์จะตอ้ งยึดถือปฏิบตั ิ ในขณะ ทีผ่ ้นู ำ� ของรฐั อิสลามจะต้องปฏิบัตติ ามหลักชารีอะฮ์ (Shariah) หรอื หลกั กฎหมายอสิ ลาม ดงั นั้น แม้ว่าในแต่ละประเทศ จะมกี ารปกครองในลกั ษณะรวมอ�ำนาจเบด็ เสรจ็ แตอ่ ำ� นาจนัน้ กถ็ ูกใชโ้ ดยการมหี ลักธรรมเป็นเครือ่ งยดึ เหนี่ยว และหลัก ธรรมดงั กล่าวยังเป็นทย่ี ดึ ถอื ปฏบิ ัติอย่างเครง่ ครัดของประมุขทปี่ กครองประเทศสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน อยา่ งไรกด็ ี สถานะของพระมหากษัตริยใ์ นระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ในปัจจบุ นั ไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หลายประการตามสภาพของสงั คมโลกทเ่ี ปล่ียนแปลงไป พระมหากษัตริย์มไิ ดท้ รงใชพ้ ระราชอ�ำนาจเบด็ เสร็จเหมือนเช่น ในอดตี แตล่ ะประเทศจะมรี ูปแบบการปกครองทมี่ ลี ักษณะพเิ ศษเฉพาะ ซึ่งปรบั เปลย่ี นไปตามแนวความคดิ ทางการเมอื ง การปกครองและการค�ำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชน ซึ่งเป็นแนวความคิดกระแสหลักท่ีส�ำคัญของโลกในยุคปัจจุบัน เชน่ ในประเทศซาอดุ ีอาระเบยี แม้ว่ากษตั ริย์จะยงั คงมพี ระราชอ�ำนาจสงู สุดในทางการปกครอง มพี ระราชอำ� นาจในการ แต่งตั้งและถอดถอนคณะรัฐมนตรี แตใ่ นการด�ำเนินนโยบายสำ� คัญ ๆ บางประการพระมหากษัตรยิ ์จะทรงปรกึ ษาหารอื กบั ทกุ ภาคสว่ นของสังคม หรือท่ีเรยี กวา่ National Dialogue เพอื่ ร่วมกันกำ� หนดทศิ ทางทางการเมอื งการปกครองของ ประเทศ มกี ารแตง่ ตงั้ สภาทีป่ รกึ ษา (Shura Council) เพอ่ื ทำ� หนา้ ท่ีถวายคำ� ปรึกษาและความคดิ เหน็ ตา่ ง ๆ แก่พระมหา กษัตริย์ มกี ารประกาศใชก้ ฎหมายพืน้ ฐาน (Basic Law) เป็นเสมอื นรัฐธรรมนญู ของประเทศ เป็นต้น ปัจจุบันมีประเทศท่ียังคงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่เพียง ๓ ประเทศได้แก่ ซาอดุ อี าระเบยี สวาซิแลนด์ และรัฐสลุ ต่านโอมาน ๒. ระบอบราชาธปิ ไตยภายใต้รฐั ธรรมนญู (Constitutional Monarchy) เป็นรูปแบบ การปกครองทพ่ี ระมหา กษัตริย์มีพระราชอ�ำนาจตามท่ีบัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซ่ึงแต่ละประเทศ จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่าง กันออกไป อาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๒ กล่มุ คือ ๒.๑ ประเทศทพ่ี ระมหากษัตริยย์ ังมพี ระราชอ�ำนาจในการปกครองประเทศคอ่ นข้างมาก สว่ นใหญ่คลค่ี ลายมา จากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ ประเทศท่มี กี ารปกครองในลกั ษณะดงั กล่าวสว่ นใหญจ่ ะเปน็ รัฐอิสลาม ไดแ้ ก่ บาหเ์ รน คเู วต กาตาร์ ฮัชไมตจ์ อร์แดน สหรัฐอาหรบั เอมิเรตส์ และบรไู น ดารสุ ซาลาม 10 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 10
๒.๒ ประเทศท่พี ระมหากษตั ริยท์ รงมีสถานะเปน็ ประมขุ ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยไมท่ รงเกีย่ วขอ้ งกับการบริหาร ราชการแผ่นดนิ โดยตรง เช่น มไิ ด้ทรงเป็นประมขุ ของฝา่ ยบรหิ าร เนอื่ งจากฝ่ายบรหิ ารจะมนี ายกรฐั มนตรีซึ่งมาจากการ เลือกตั้งโดยประชาชนท�ำหน้าท่ีบริหารประเทศ ได้แก่ เบลเยียม เดนมาร์ก ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โมนาโก สเปน สวีเดน สหราชอาณาจักร โมรอ็ กโก เลโซโท ตองกา ภฏู าน ญปี่ ุ่น กมั พชู า มาเลเซยี และไทย เทา่ นัน้ การปกครองรูปแบบนี้ในรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยเรยี กว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ เป็นประมขุ ” สว่ นใหญ่ประมขุ ของรฐั อย่ใู นฐานะ ทจี่ ะละเมดิ มิได้ จะถกู วพิ ากษ์วจิ ารณใ์ นทางการเมอื ง หรอื จะถกู ฟ้อง รอ้ งในคดแี พง่ และอาญามไิ ด้ อนั เปน็ ทม่ี าของหลกั สำ� คญั ของการปกครองในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยว์ า่ “The king can do no wrong” เวอร์นอน บอกดานอร์ (Vernon Bogdanor) นกั รฐั ศาสตร์ชาวองั กฤษได้ใหค้ �ำนิยามของพระมหากษตั รยิ ใ์ น ระบอบประชาธิปไตยภายใตร้ ัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) โดยอาศยั แนวความคดิ ของโทมสั แม็กเคาเลย์ (Thomas Macaulay) วา่ “องคอ์ ธปิ ัตยผ์ ูท้ รงปกเกล้าแตม่ ไิ ด้ทรงปกครอง (A sovereign who reigns but does not rule)* อนงึ่ ปัจจุบันประเทศทปี่ กครองโดยมกี ษตั ริยเ์ ป็นประมุขท้ัง ๒ รูปแบบ มี ๓ ประเทศ ทพ่ี ระมหากษัตริย์ทรง ดำ� รงสถานะเปน็ ทัง้ ประมขุ ของรัฐ (Head of State) และประมขุ ของฝา่ ยบริหาร (Head of Government) คือ ด�ำรง ตำ� แหนง่ นายกรฐั มนตรดี ว้ ยรวม ๓ ประเทศ ไดแ้ ก่ รฐั สลุ ตา่ นโอมาน สหรฐั อาหรบั เอมเิ รตส์ และเนการาบรไู นดารสุ ซาลาม การเรียกช่อื ประเทศและพระประมุขของประเทศ ในบรรดาประเทศทงั้ ๒๗ ประเทศทีป่ กครองโดยมพี ระมหากษตั รยิ ์เป็นประมุขจะมีค�ำนำ� หน้าชอ่ื ประเทศทแ่ี ตก ต่างกนั ออกไป ซง่ึ สำ� นักงานราชบัณฑิตยสภาได้บญั ญตั ิหลกั เกณฑก์ ารก�ำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครองและ เมืองหลวงของประเทศต่าง ๆ ไว้ตามลักษณะการปกครอง** ส่วนค�ำน�ำพระนามหรือค�ำประกอบพระนามพระประมุข อยา่ งเปน็ ทางการของแตล่ ะประเทศใชแ้ ตกตา่ งกนั ไปตามสถานะ ของพระประมขุ และภมู หิ ลงั ของแตล่ ะประเทศ ดงั น้ี *** ราชอาณาจักร (Kingdom) เป็นค�ำน�ำหน้าชื่อประเทศท่ีมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปัจจุบันมีด้วยกัน ๑๖ ประเทศ ไดแ้ ก่ ไทย กมั พชู า เบลเยยี ม เดนมาร์ก เนเธอรแ์ ลนด์ นอร์เวย์ สเปน สวีเดน บาหเ์ รน ฮชั ไมต์จอรแ์ ดน ซาอดุ ีอาระเบีย เลโซโท โมรอ็ กโก สวาซิแลนด์ ตองกา และภูฏาน คำ� นำ� พระนามพระประมขุ ในภาษาไทยใช้แตกตา่ งกัน ดงั นี้ * Vernon Bogdanor, The Monarchy and the Constitution (Newyork : Clarendon Press, 1997), p. 1. 11 ** ราชบณั ฑติ ยสถาน, ประกาศสำ�นกั นายกรฐั มนตรีและประกาศราชบัณฑิตยสถาน, พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒ (กรุงเทพ: อรุณการพมิ พ,์ ๒๕๔๕), หนา้ (๕). *** ไพฑูรย์ พงศะบุตร, “คำ�นำ�หนา้ ชอื่ ประเทศ”, ใน จดหมายขา่ วราชบัณฑติ ยสถาน. ปที ี่ ๕ ฉบบั ที่ ๔๘ พฤษภาคม ๒๕๓๘. ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 11
ราชอาณาจกั รไทยใชค้ �ำนำ� พระนามพระมหากษตั ริยว์ ่า “พระบาทสมเด็จ”* เชน่ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอด ฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หวั สว่ นคำ� ว่า “พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ” เป็นคำ� ที่ใช้ เม่อื กล่าวถงึ พระมหากษัตรยิ ์รชั กาลปจั จบุ นั ราชอาณาจักรกัมพูชาใช้ว่า “พระบาทสมเด็จ”** เช่นเดียวกัน แต่อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างในแต่ละ รชั กาล เช่น พระบาทสมเดจ็ พระนโรดม สหี นุ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมนุ ี สว่ น ๑๔ ประเทศทเ่ี หลอื นอกนนั้ ใชค้ ำ� นำ� พระนามพระประมขุ ในภาษาไทยเชน่ เดยี วกนั วา่ สมเดจ็ พระราชาธบิ ดี หรือในกรณที ่ผี หู้ ญงิ ด�ำรงต�ำแหน่งประมุขของประเทศใช้วา่ สมเดจ็ พระราชนิ นี าถ เช่น สมเด็จพระราชนิ นี าถเอลซิ าเบธ แหง่ สหราชอาณาจักร และสมเดจ็ พระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ ๒ แหง่ เดนมาร์ก เป็นตน้ ในสว่ นของค�ำนำ� พระนามพระประมขุ ในภาษาองั กฤษใชเ้ หมอื นกนั วา่ “His Majesty King” หรอื “Her Majesty Queen” ราชรฐั (Grand Duchy; Principality) เปน็ ค�ำนำ� หน้าชอ่ื ประเทศทีป่ ระมขุ ด�ำรงตำ� แหนง่ เปน็ เจา้ ชายหรอื พระ ราชวงศ์ (Prince หรอื Grand Duke) มี ๔ ลำ� ดับชน้ั คือ ราชรฐั ชัน้ อาร์ชดชั ชี (Archduchy) คือ เขตปกครองที่ประมุขมพี ระอิสรยิ ยศ เปน็ อารช์ ด๊กุ (Archduke) ราชรฐั ชนั้ แกรนดด์ ชั ชี (Grand Duchy) คอื เขตปกครองทปี่ ระมขุ มพี ระอสิ รยิ ยศ เปน็ แกรนดด์ กุ๊ (Grand Duke) หรือแกรนดด์ ชั เชส (Grand Duchess) ปัจจบุ นั มเี พยี งราชรัฐเดียวคอื ราชรฐั ลกั เซมเบริ ์ก (Grand Duchy of Luxem- bourg) ใช้คำ� นำ� พระนามพระประมขุ วา่ แกรนดด์ ุ๊ก (His Royal Highness Grand Duke) ปจั จุบันมแี กรนด์ดุ๊กอองรีท่ี ๑ เปน็ พระประมขุ ราชรัฐชน้ั ดัชชี (Duchy) คือเขตปกครองที่ประมุขมีพระอสิ ริยยศเป็นดุก๊ (Duke) * คำ�นำ�พระนามกษตั รยิ ์ไทยมีความแตกตา่ งกนั ในแต่ละสมยั กล่าวคือ ในสมยั สโุ ขทยั ตอนตน้ ใชว้ ่า “พอ่ ขุน” เป็นคำ�ขนึ้ ตน้ พระนามพระเจ้าแผ่นดินแหง่ อาณาจักรใหญ่ “ขุน” เป็นคำ�ขนึ้ ต้นพระนามพระเจ้าแผ่นดนิ แคว้นเลก็ ๆ สว่ น “พระ” เป็นพระนามเจา้ นายที่มีบรรดาศกั ดสิ์ ูง ต่อมาในสมัยพระมหาธรรม ราชาลไิ ทย คำ�ขน้ึ ตน้ พระนามพระเจา้ แผ่นดินเปลี่ยนเปน็ “พญา” หรอื “พระญา” ต่อมาในสมยั อยุธยาคำ�นำ�พระนามเปลี่ยนเปน็ “สมเดจ็ พระ” หรือ “พระเจ้า” ในสมัยรัตนโกสนิ ทรจ์ ึงเปล่ียนเป็น “พระบาทสมเดจ็ ” ** คำ�นำ�พระนามกษตั รยิ ์กมั พชู ามคี วามแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะสมยั เช่นเดยี วกบั คำ�นำ�พระนามกษัตรยิ ไ์ ทย สว่ นคำ�นำ�พระนามกษัตริย์กมั พูชาในภาษาไทยใชแ้ ตก ต่างจากคำ�นำ�พระนามในภาษาเขมร เชน่ ในเอกสารโบราณของไทยสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ ใชค้ ำ�ว่า “นกั องค์” “ นักพระองค์” และ “นัก” นำ�พระนามกษตั ริยก์ ัมพูชา เช่น นกั องคเ์ อง นักพระสุโท เปน็ ต้น ซึ่งคำ�ดงั กลา่ วข้างต้นเป็นคำ�นำ�พระนามพระราชวงศก์ มั พูชา ตามโบราณราช ประเพณีของกมั พูชาแบง่ ลำ�ดบั พระอสิ ริยยศเจา้ นายเปน็ “พระองค์เจ้า” “นักองคเ์ จา้ ” “นกั องค์” และ “พระวงศ”์ ตามลำ�ดับ แตใ่ นเอกสารโบราณของ ไทยเรียกพระองค์เจา้ คลาดเคลอื่ นเปน็ “นักองค์” และยงั นำ�มาใชเ้ ปน็ คำ�นำ�พระนามกษตั รยิ ์กมั พชู าอีกด้วย ซ่ึงคำ�นำ�พระนามกษตั รยิ ์กัมพูชาในชว่ งสมัยหลัง ใชค้ ำ�นำ�พระนามเชน่ เดียวกบั พระมหากษัตริย์ไทยว่า พระบาทสมเด็จ และในรชั กาลปจั จบุ นั ใชว้ า่ “พระบาทสมเดจ็ พระบรมนาถ” 12 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 12
ราชรัฐชั้นพรินซิพาลิตี (Principality)* คือ เขตปกครองท่ีประมุขมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าชาย (Prince) ได้แก่ 13 ราชรฐั ลกิ เตนสไตน์ (Principality of Lichtenstein) และราชรัฐโมนาโก (Principality of Monaco) ใช้ค�ำนำ� พระนาม พระประมขุ ว่า เจา้ ชาย (His Serene Highness Prince) รัฐสลุ ตา่ น (Sultanate) เป็นค�ำน�ำหนา้ ชอ่ื ประเทศท่ีมสี ุลตา่ นเป็นประมุข ปัจจุบนั มปี ระเทศทใ่ี ชค้ ำ� น�ำหนา้ ชือ่ น้ี เพียงประเทศเดยี ว คอื รัฐสุลต่านโอมาน (Sultanate of Oman) ใช้ค�ำน�ำ พระนามพระประมขุ ว่า สมเด็จพระราชาธิบดี สลุ ต่าน (His Majesty Sultan) สหรัฐ (United States) เป็นคำ� น�ำหนา้ ชอ่ื ประเทศที่มกี ารปกครองแบบรฐั รวม คือ แบง่ การปกครองออกเป็นรฐั ตา่ ง ๆ แต่ละรัฐมีรัฐบาลทอ้ งถนิ่ ปกครองดแู ลเป็นอิสระ โดยมีรัฐบาลกลางดแู ล การปกครองส่วนรวมของประเทศ ภายใต้ รฐั ธรรมนูญเดียวกัน ได้แก่ สหรฐั อาหรบั เอมเิ รตส์ (United Arab Emirates - UAE) ประมขุ ของสหรฐั อาหรบั เอมเิ รตสม์ ตี ำ� แหนง่ เปน็ President ซงึ่ หมายถงึ President of the Supreme Council of Rulers หรือประธานสภาสูงสุดแหง่ ผ้ปู กครองรัฐทัง้ ๗ ท่ีประกอบข้นึ เป็นสหรัฐอาหรบั เอมเิ รตส์ มีเอเมยี ร์ (Amir) หรือ เจ้าผคู้ รองรัฐเปน็ ประมขุ ประมขุ มีสถานะเป็นเชค (His Highness Sheikh)** รัฐ (State) เปน็ ค�ำนำ� หนา้ ช่อื ประเทศที่มีการปกครองแบบรฐั เดยี ว ไดแ้ ก่ รัฐกาตาร์ และ รัฐคูเวต (State of Kuwait) มีเอเมยี รห์ รอื เจา้ ผคู้ รองรฐั เปน็ ประมขุ ประมขุ มสี ถานะเปน็ เชค (His Highness Sheikh) สหราชอาณาจักร (United Kingdom) เป็นคำ� นำ� หนา้ ชอื่ ประเทศทรี่ วมเอาดนิ แดน ซึง่ เคยเป็นอิสระตอ่ กนั เขา้ มาอยภู่ ายใต้การปกครองเดียวกัน หากกษัตริยเ์ ป็นประมุขเรยี กวา่ สหราชอาณาจักร ประธานาธิบดเี ป็นประมุขเรียกว่า สหสาธารณรฐั (United Republic) ประเทศทป่ี กครองโดยระบอบกษตั รยิ ท์ ใ่ี ชค้ ำ� นำ� หนา้ ชอ่ื ประเทศวา่ สหราชอาณาจกั ร มเี พยี งประเทศเดยี วคอื สห ราชอาณาจักรบรเิ ตนใหญแ่ ละไอรแ์ ลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) ใช้คำ� นำ� พระนามพระประมขุ เชน่ เดียวกับราชอาณาจกั ร ปจั จุบนั พระประมขุ ของ สหราชอาณาจักรคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิ ซาเบธที่ ๒ (Her Majesty Queen Elizabeth II) นอกจากน้ี ในบรรดาประเทศทป่ี กครองโดยมีกษัตรยิ เ์ ป็นประมุขทั้ง ๒๗ ประเทศ มีบางประเทศใช้คำ� น�ำหนา้ * ปัจจบุ ันราชรฐั ชน้ั พรินซพิ าลติ ม้ี ี ๓ ราชรฐั คือ ราชรัฐลกิ เตนสไตน์ ราชรัฐโมนาโก และราชรัฐอนั ดอร์รา แต่เนื่องจากอันดอร์ราเปน็ ราชรฐั เลก็ ๆ ที่ประมขุ มี อสิ ริยยศเปน็ เจ้าชายแตม่ ไิ ดม้ ีการสบื ราชสันตตวิ งศ์ โดยผทู้ ไ่ี ดร้ บั เลอื กตั้ง เปน็ ประธานาธบิ ดีฝรง่ั เศส จะได้รับการสถาปนาเป็นประมุขแห่งราชรัฐอนั ดอรร์ า หรอื Prince of Andorra ด้วย จึงไมน่ บั ราชรฐั อันดอรร์ าอยู่ในประเทศทป่ี กครองโดยมกี ษตั ริย์เปน็ ประมุข ** เชค หรอื ชีค ในภาษาอาหรับหมายถึง ผู้นำ� หวั หนา้ ผูอ้ าวโุ ส หรอื ผูท้ รงความรู้ เป็นคำ�ท่ีใช้เรียกผมู้ ีฐานะสงู ทางสงั คม รวมถงึ พระราชวงศ์ของกลมุ่ รฐั อสิ ลาม ในภมู ภิ าคตะวนั ออกกลาง ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 13
ช่อื ประเทศเฉพาะ และบางประเทศไม่มคี �ำน�ำหน้าชือ่ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม ใช้คำ� นำ� หน้าชอ่ื ประเทศวา่ เนการาบรไู นดารสุ ซาลาม (Negara Brunei Darussalam) คำ� ว่า เนการา (Negara) ในภาษามลายู หมายถงึ ประเทศ ใชค้ �ำนำ� พระนามพระประมุขวา่ สมเดจ็ พระราชาธิบดี ส่วนคำ� น�ำ หนา้ พระนามภาษาอังกฤษใชว้ ่า His Majesty Sultan และประเทศทไ่ี มม่ คี ำ� นำ� หนา้ ชอ่ื อกี ๒ ประเทศคอื มาเลเซยี (Malaysia) และญป่ี นุ่ มาเลเซยี มกี ารปกครองแบบ สหพนั ธรฐั มสี มเดจ็ พระราชาธบิ ดเี ปน็ ประมขุ คำ� นำ� พระนามภาษาองั กฤษใชว้ า่ “His Majesty the King” ภาษามาเลเซยี เรยี กวา่ ยงั ด-ี เปอรต์ วน อากง (Yang di-Pertuan Agong) การสบื ทอดตำ� แหนง่ พระประมขุ ของประเทศมาเลเซยี มลี กั ษณะ เฉพาะที่แตกตา่ งไปจากประเทศอนื่ ๆ คือ ต�ำแหน่งสมเด็จพระราชาธิบดีจะคดั เลือกจากเจ้าผูค้ รองรัฐ* ซงึ่ จะผลดั เปล่ียน กันด�ำรงตำ� แหนง่ วาระละ ๕ ปี ส่วนญ่ปี นุ่ (Japan) ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมี สมเดจ็ พระจักรพรรดิ เปน็ ประมขุ ต�ำแหน่งพระประมขุ ในภาษาองั กฤษใช้วา่ His Majesty Emperor ภาษาญี่ป่นุ เรยี กว่า เทนโน เฮกะ (Tennõ Heika) ปจั จุบันมเี พียงประเทศญป่ี นุ่ ประเทศเดียวท่ปี ระมุขดำ� รงตำ� แหนง่ สมเดจ็ พระจกั รพรรดิ แมว้ ่าประมุขของประเทศท้ัง ๒๗ ประเทศจะทรงดำ� รงพระราชอิสริยยศและมสี ถานะ ท่ีแตกต่างกันตามภมู หิ ลงั และประวตั ิความเปน็ มาของแตล่ ะประเทศและของพระราชวงศ์ทปี่ กครองประเทศ นนั้ ๆ สบื ตอ่ กนั มา แตท่ ุกพระองค์ ตา่ งกท็ รงไดร้ บั การถวายพระเกยี รตยิ ศเสมอกนั ในฐานะพระประมขุ ของประเทศ และประการสำ� คญั คอื ทรงประกอบพระ ราชกรณียกิจนอ้ ยใหญ่นานปั การ เป็นทพ่ี ึง่ และท่ยี ดึ เหนีย่ วจติ ใจของประชาชน อันส่งผลให้สถาบันพระมหากษตั ริยด์ �ำรง อย่สู บื มาตราบจนถึงปจั จบุ นั * ตำ�แหน่งสมเด็จพระราชาธิบดีของมาเลเซยี จะคดั เลอื กจากเจา้ ผู้ครองรฐั ๙ รัฐ ไดแ้ ก่ เนกรเี ซมบลิ ัน สลังงอรป์ ะลสิ ตรงั กานู เกดะห์ กลนั ตัน ปะหงั ยะโฮรบ์ ารู และเประ โดยทปี่ ระชมุ เจา้ ผคู้ รองรัฐทง้ั ๙ รฐั จะลงคะแนนเลอื กต้งั สมเด็จพระราชาธบิ ดี ซ่งึ จะผลัดเปลี่ยนกนั ดำ�รงตำ�แหนง่ วาระละ ๕ ปี ส่วนอกี ๔ รัฐไดแ้ ก่ ปนี ัง มะละกา ซาบาห์ และซาราวัก ไมม่ เี จา้ ผ้คู รองรัฐ แต่สมเดจ็ พระราชาธิบดจี ะทรงแต่งตงั้ ผวู้ า่ การรฐั (Yang di-Pertuan Negiri) ตามคำ�แนะนำ�ของมขุ มนตรรี ฐั นั้น ๆ 14 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 14
Introduction Having been developed step by step from tribes’ leaders in small society groups toward a larger scale in state, kingdom and empire, monarchy haslong been an old form of government since the establishment of state or community in the world. From ancient times, the monarchy has therefore become the old concept existed in human settlement Over the pastyears inglobal administration history, it was found that almost every countrywas- ruled by their kings. But due to economic, social and cultural factors including awareness of individual right, most of the countries gradually developed and modifiedtheir form of government in later days accordingly. Without any enactment for governingstate or country, but king however, could fully exercise his authoritybased on religious righteousness of the state. For example, if he is a Buddhist king, he must adhere to the Buddhist’ dhama orprinciple for kings i.e. rajadhamma or tenfold virtue of the rulers, kings and emperor’s virtues that are supposed to follow by kings. Meanwhile, leaders in Islamic statemust follow Shariah principles or Islamic law. In consequence, no matter where the absolute centralization rests in any country, such a power must be strictly exercisedby heads of states adhering to righteousness principlethat has beenpassed down from time to timeup to the present. To date, amongst 193 countries, only the following 27 countries* are under monarchy (excluding 16 commonwealth countries that recognize Her Majesty Queen Elizabeth II as head of state). Royal Family of Europe: Belgium, Denmark, Lichtenstein, Luxembourg, Netherlands, Norway, Monaco, Spain, Sweden, and United Kingdom. * In 2006, Thailand extended an invitation to totaling 29 kings in the world as part of auspicious occasion tocelebrate the 60th year of King’s accession to the throne. 2 out of 29 kings were from Samoa and Nepal where no longer monarch now due to the change of government to be Independent State of Samoa and Federal Democratic Republic of Nepal took place in 2007 and 2008respectively. ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 15 15
Royal Family ofCentral East: Qatar, Bahrain, Kuwait, Oman, United Arab Emirates, Sultanate of Oman, and Saudi Arabia. Royal Family of Africa: Lesotho, Morocco, and Swaziland. Royal Family of Pacific: Tonga Royal Family of Asia: Thailand, Cambodia, Malaysia, Brunei Darussalam, Japan and Bhutan. Form of Government with King as Head of Stateat Present The current form of government having king as head of state could be divided into 2 following systems. 1. Absolute Monarchy. At the first phase, the emerged state nation had derived from its tra- ditional kingship state system. In principle, as head of state, the king holds supreme power in ruling country. With no limitation, the king of course, would be able to definitely exercise his absolute pow- er. Most heads of states are inviolable, not to be politically criticized or never prosecuted any civil, criminal and civil suit. Therefore, this is how the essential principle of absolute monarchy stipulated “The King can do no wrong”. There still remained the absolute monarchy in 3 countries namely Saudi Arabia, Swaziland and Sultanate of Oman. Nevertheless, frequent changes have occurred in king’s status from the past in compliance with changing global society. Unlike before, kings do not exercise their absolute power; each country has its own specific form of ruling model that varied from political concepts, administration manage- ment and individual right awareness; this era’s significant global concept. In Saudi Arabia, although the king has absolute power in governing and his rights to the cabinet appointment or impeachment but for any important policy implementation, the king will consult together with all social sectors called “National Dialogue” to identify political directions and country administration. In this connection, “Shura Council” has been appointed to provide the king with useful advice and comments. Also, the enactment of “Basic Law”isregarded as the country’s constitution. 2. Constitutional Monarchy is another form ofgovernment in which a monarch has restricted power as written in the constitution. Each country has different detailed issues. There are 2 groups of 16 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 16
this system as below. 2.1 The countries where most administrative power rests with the kings which resulted from the absolute monarchy, almostall are Islamic states such as Bahrain, Kuwait, Qatar, Oman, Hashem- iteJordan, United Arab Emirates and Brunei Darussalam. 2.2 The countries with kings act as heads of states under constitution. To elaborate, the king would have nothing to do directly with state administration; not being head of administration because the Prime Minister elected by people will take charge of the countryadministration. These countries are Belgium, Denmark, Lichtenstein, Luxembourg, Netherlands, Norway, Monaco, Spain, Sweden, United Kingdom, Lesotho, Morocco,Tonga, Bhutan, Japan, Cambodia, Malaysia and Thailand only. This form of regime is defined in the constitution of the Kingdom of Thailand as “Democratic Form of Government with the King as Head of State”. According to Vernon Bogdanor, a British Political Scientist who defined the definition of Con- stitutional Monarchy based on Thomas Macaulay’s concept that “A Sovereign who reigns but does not rule”. So far, there are 3 countries namely Sultanate of Oman, United Arab Emirates and Brunei Darussalam where both ruling systems are used with king wearing 2 hats as head of state and head of government or prime minister. How to call name of the country and head of state ? The 27 countries ruled by kings as heads of states have different prefix to the country’s name. Office of the Royal Society has identified criteria for identification of country, territory, special adminis- trative region and capitals of many countries in accordance with characteristic of administrationwhereas the prefix to royal names or terms associated with official royal names in other countries will vary as of status of heads and background of each country as follows. Kingdom will be used as theprefixto the country with king as head of state. At the moment, there are 16 countries i.e. Thailand, Cambodia, Belgium, Denmark, Netherlands, Norway, Spain, Sweden, Bahrain, Hashemite Jordan, Saudi Arabia, Lesotho, Morocco, Swaziland, Tonga and Bhutan. Different prefix to heads of state’s namesused differently in Thai are as follows. ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 17 17
In the Kingdom of Thailand, the prefix to king’s name is“Phrabat Somdej”* i.e. Phrabat Som- dej Phra Bhuddha Yodfah Chulalok Maharaj, Phrabat Somdej Phra Chulachomklao Chaoyuhua while “Phrabat Somdej Phrachaoyuhau” are the words when mentioning the present king. Kingdom of Cambodia also used the prefix “Phrabat Somdej”** but may however differ in some details during each reign i.e. Phrabat Somdej Phra Norodom Sihanouk, Phrabat Somdej Phra Boromnat Sihamoni. The rest 14 countries, the same prefix to head of state’s name used in Thai language is “Som- dej Phrarajathibodi”. In case of female head of state, the terms used are “Somdej Phra Rajininat” i.e. “Somdej Phra Rajininat Elizabeth of United Kingdom and “Somdej Phra Rajininat Magrethe II of Denmark, for instance. As for the English prefix to name of head of state, the same prefix is used “His Majesty King” or “Her Majesty Queen”. Grand Duchy; Principality is prefix to name of head of state whose title is Prince or Grand Duke in the following 4 orders. Archduchyisthe administrative region with head of state holding the title Archduke. Grand Duchy is the administrative region with head of state holding the title Grand Dukeor Grand Duchess. At this time, there is only one which is “Grand Duchy of Luxembourg”. Prefix to head of state is Grand Duke(His Royal Highness Grand Duke) with Grand Duke Henri I as head of state. Duchy is the administrative region with Duke as head of state. * It was found different terms were used for calling king. In early Sukhothai Period, “Phor Khun” was the prefix to name of king of large region while “Khun” was the prefix for king of small region and “Phra” was the prefix to high ranking royal family. Later in the reign of Phra Maha Dhammarajalithai the prefix was changed to “Phraya”. In Ayuthaya Period, the prefix became “Sodej Phra” or “Phra Chao”.Then came to “Phrabat Somdej” in Rattanakosin Period. ** Different prefix to Cambodian kings’ names was also used in each reign, the same as in Thailand. From Thai ancient evidence dis- covered in Ayuthaya Period and early Rattanakosin Period, “Nak Ong”, “Nak Phra Ong” and “Nak”were used as prefix to Cambodian kings’ name i.e. Nak Ong Eng, Nak Phra Sutho for instance. In ancient royal tradition of Cambodia, prefix to names refered to royal ranking order as “Phra Ong Chao”, “Nak Ong Chao”, “Nak Ong” and “Phra Wong” respectively. Later, the prefix to Cambodian kings’ names has been used the same one as Thai kings: “Phrabat Somdej” and the present king’s prefix is “Phrabat Somdej Phra Boromnat”. 18 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 18
Principality* is the administrative region with head of state holding the title Prince i.e. Princi- pality of Lichtenstein and Principality of Monaco and the prefix to name of head of state is His Serene Highness Prince. Sultanate is the prefix to name of the country headed by sultan. At present, the only one country that uses this prefix is Sultanate of Oman. The prefix to name of its head is His Majesty Sultan. United Statesis the prefixto name of the country with administration form as united stated. Each state runs its own local administration independently while the central government will oversee the whole country under the same constitution such as the United Arab Emirates (UAE). Head of the United Arab Emirates holds the title Presidentreferring to President of the Supreme Council of Rulers or President of the Supreme Council of 7 States’ Rulers that formed up to be the United Arab Emirates Amir. In other words, states rulers serve as heads holding status as His Highness Sheikh. State is the prefix to the country’s name with administration form as a single statesuch asState of Qatar and State of Kuwaithaving Amir or state ruler serves as head holding status as His Highness Sheikh. United Kingdom is the prefix to the country’s name of united independent regions to be un- der the same administration. If a king is head, this is called United Kingdom but if a president acts as head, it is called United Republic. The United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland is the only one country ruled by king and is called United Kingdom. The prefix to the name of head is the same as the kingdom. The present head of the United Kingdom is Her Majesty Queen Elizabeth II. Apart from this, amongst 27 countries with kings as heads of states, some country uses specific prefix to the country’s name while other countries do not have prefix to their countries’ names. For example, Brunei Darussalam uses the prefix to its country’s name as Negara Brunei Darussalam. Negara * There are 3 principalities; Principality of Lichtenstein, Principality of Monaco and Principality of Andorra. Being small principality, Principality of Andorra is headed by prince but no royal succession because the elected President of France will also be appointed as head of Principality of Andorraor Prince of Andorra as well. Thus, Principality of Andorra is not considered as the country headed by king. ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 19 19
20
21
รายพระนามประมุข ๒๗ พระองคแ์ หง่ ประเทศท่ีปกครองโดยมกี ษัตรยิ ์เปน็ ประมุข เรยี งตามลำ� ดบั การครองราชย์ ๑. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แห่งราชอาณาจักรไทย เสด็จข้ึนครองราชย์ เม่อื วนั ที่ ๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ๒. สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ เม่อื วนั ที่ ๖ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๙๕ ๓. สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ แห่งเนการาบรูไน ดารสุ ซาลาม เสดจ็ ขึ้นครองราชยเ์ มื่อวนั ที่ ๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ๔. สมเด็จพระราชาธิบดี สุลต่าน กอบูส บิน ซาอิด อัลซาอิด แห่งรัฐสุลต่านโอมาน เสด็จขึ้น ครอราชย์ เมอื่ วันท่ี ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ๕. สมเด็จพระราชาธิบดี อัลมูตัสสิมู บิลลาฮี มูฮิบบุดดิน ตวนกู อัลฮัจญ์ อับดุล ฮาลิม มูอัซซัม ชาห์ อิบนี อัลมาฮูม สุลต่าน บาดลิชาห์ แห่งมาเลเซีย ทรงครองราชย์สองคร้ัง รัชสมัยแรกคือ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๑๓ – พ.ศ. ๒๕๑๘ รัชสมัยทส่ี องตัง้ แต่วนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ – ปัจจุบนั ๖. สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอท่ี ๒ แห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก เสด็จข้ึนครองราชย์ เมอื่ วันท่ี ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ๗. สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ ๑๖ กุสตาฟ แห่งราชอาณาจักรสวีเดน เสด็จขึ้นครองราชย์ เมือ่ วนั ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖ ๘. สมเดจ็ พระราชา ๒๕๔๒ ๑๕. สมเดจ็ พระราชาธบิ ดโี มฮมั เหมด็ ท่ี ๖ แหง่ ราชอาณาจกั รโมรอ็ กโก เสดจ็ ขน้ึ ครองราชยเ์ มอื่ วนั ที่ ๒๓ กรกฎาคมพ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๖. แกรนด์ ดยกุ อองรี แห่งราชรัฐลักเซมเบิรก์ เสดจ็ ขนึ้ ครองราชยเ์ มื่อวนั ที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๗. พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เสด็จขึ้นครองราชย์ เมอื่ วนั ที่ ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๗ 22 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 22
๑๘. สมเด็จพระราชาธิบดีเชค เคาะลิฟะฮ์ บิน ซายิด อัล นะห์ยาน แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เสด็จขน้ึ ครองราชย์ เมือ่ วันท่ี ๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๗ ๑๙. เจ้าชายอัลแบรท์ ่ี ๒ แหง่ ราชรัฐโมนาโก เสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์เมือ่ วนั ท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒๐. เชค ซอบะห์ อลั อะหเ์ มด็ อลั จาบรี ์ อลั ซอบะห์ แหง่ รฐั คเู วต เสดจ็ ขนึ้ ครองราชยเ์ มอ่ื วนั ท่ี ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒๑. สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เสด็จข้ึนครองราชย์ เมอ่ื วันท่ี ๑๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒๒. สมเด็จพระราชาธิบดีอโฮเออิตู อูนัวกิโอตองกา ตูกู อาโฮ ตูปูท่ี ๖ แห่งราชอาณาจักรตองกา เสดจ็ ขึ้นครองราชยเ์ ม่ือวันท่ี ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒๓. สมเด็จพระราชาธิบดวี ลิ เลม-อเลก็ ซานเดอร์ แห่งราชอาณาจกั รเนเธอร์แลนด์ เสด็จขนึ้ ครองราชย์ เม่ือวนั ที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒๔. เชค ทามิม บิน ฮะห์มัด อัล ษานี แห่งรัฐกาตาร์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒๕. สมเดจ็ พระราชาธบิ ดฟี ลิ ปิ แหง่ ราชอาณาจกั รเบลเยยี ม เสดจ็ ขนึ้ ครองราชยเ์ มอ่ื วนั ที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒๖. สมเดจ็ พระราชาธบิ ดเี ฟลเี ปท่ี ๖ แหง่ ราชอาณาจกั รสเปน เสดจ็ ขน้ึ ครองราชยเ์ มอ่ื วนั ท่ี ๑๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒๗. สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอุด แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เสด็จขน้ึ ครองราชยเ์ ม่อื วันท่ี ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 23 23
ราชอาณาจักรไทย Kingdom of Thailand 24
KINGDOM OF THAILAND ประเทศไทย ช่ือเป็นทางการคือ ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ เป็นธงชาติสยามสืบต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ก่ึงกลางส่วนที่เป็นภาคพ้ืนทวีปของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจ้าอยหู่ วั ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๕๙ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนรปู ช้างกลางผืน พรมแดนด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือติดกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพ ธงแดงเป็นรูปช้างทรงเครื่องยืนแท่นหันหน้าเข้าข้างเสา ต่อมาทรง เมียนมาร์ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ทดลองใช้ธงร้ิวขาวสลับแดง ๕ แถบที่สนามเสือป่า จนกระทั่งใน ประชาชนลาว ทิศตะวันออกติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา และทิศใต้ พ.ศ. ๒๔๖๐ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลยี่ นแถบสแี ดงตรงกลาง ติดกับประเทศมาเลเซีย มีเนื้อที่ประมาณ ๕๑๓,๑๑๕ ตารางกิโลเมตร เป็นสีน�้ำเงิน โดยก�ำหนดความหมายว่า สีแดงหมายถึง “ชาติ” สีขาว เมืองหลวงคือ กรุงเทพมหานคร มีประชากรประมาณ ๖๖ ล้านคน หมายถงึ “ศาสนา” สนี ำ้� เงิน หมายถงึ “พระมหากษัตริย์” พระราชทาน (พ.ศ. ๒๕๕๘) ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ภาษาราชการคือ นามวา่ “ธงไตรรงค์” ภาษาไทย ราชอาณาจักรไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข พระประมุของค์ปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศ รามาธบิ ดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธริ าช บรมนาถบพติ ร ๛ ธงชาตริ าชอาณาจกั รไทย การใช้ธงเป็นเคร่ืองหมายของราช ๛ ตราแผ่นดนิ ราชอาณาจกั รไทย อาณาจักรไทย มีพัฒนาการมาจากธงประจ�ำ ตราแผน่ ดนิ ของราชอาณาจกั รไทย หรอื พระราชลญั จกรประจำ� เรือสินค้าในสมยั อยุธยา เป็นผ้าพื้นสแี ดงเกลี้ยง คร้ันถึงรัชกาลท่ี ๑ มีพระราชด�ำริว่าเรือหลวง แผ่นดิน หมายถึงตราประทับก�ำกับพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ กับเรือราษฎรควรมีเคร่ืองหมายแตกต่างกัน หรอื กำ� กบั พระนาม หรอื นามผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแทนพระองค์ ซงึ่ ลงพระนาม จึงมพี ระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เพม่ิ รูป หรือนามในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ สร้างข้ึนครั้งแรกใน จักรลงบนกลางผืนธง เป็นเครื่องหมายส�ำหรับ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ลกั ษณะเปน็ รปู วงกลม เรือหลวง ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๒ โปรดให้เพ่ิมรูปช้างเผือกไว้กลางวง ภายในเปน็ ตราพระราชลญั จกรในแตล่ ะรัชสมัย เชน่ ในสมัยรชั กาลท่ี ๕ จักรในธงของเรือหลวง คร้ันถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้ยกรูปจักรออกเสีย เป็นรูปตราอาร์ม ภายหลังโปรดให้เปลี่ยนเป็นพระราชลัญจกร คงเหลือแต่รูปช้างเผือกบนผืนแดง ให้ใช้ท่ัวไปทั้งเรือหลวงและเรือ พระครฑุ พา่ ห์ โดยมอี กั ษรพระปรมาภไิ ธยทร่ี อบขอบเปลยี่ นไปในแตร่ ชั กาล ราษฎรของชาวสยาม ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๕ โปรดให้ใช้ค�ำว่า พระราชลญั จกรประจำ� แผ่นดินรชั กาลปจั จบุ นั จึงมอี ักษรพระปรมาภิไธย “ธงชาติสยาม” เป็นครั้งแรก ซ่ึงเป็นธงท่ีใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี ๔ “พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช สยามมนิ ทราธริ าช” ส�ำหรับใช้ชักในเรือของพ่อค้า และเรือทั่วไปของชาวสยาม และได้ใช้ ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 25 25
พระบรมมหาราชวัง ๛ ประวตั คิ วามเป็นมาของพระราชวงศ์ไทย “สโุ ขทยั ” ในภาคเหนอื ตอนลา่ ง สว่ นในภาคกลางมกี ลมุ่ บา้ นเมอื งทพี่ ฒั นา ดินแดนที่เป็นราชอาณาจักรไทยปัจจุบันมีประวัติความเป็นมา ขน้ึ มาจากบา้ นเมอื งเดมิ ไดแ้ ก่ “ละโว-้ อโยธยา” มศี นู ยก์ ลางอยทู่ เ่ี มอื งละโว้ หรอื เมอื งลพบรุ ใี นปจั จบุ นั “สพุ รรณภมู ”ิ มศี นู ยก์ ลางอยทู่ เี่ มอื งสพุ รรณภมู ิ ของผคู้ นและพฒั นาการบา้ นเมอื งตดิ ตอ่ กนั มานานหลายยคุ หลายสมยั ปรากฏ หรือเมืองสุพรรณบุรีทุกวันน้ี และในภาคใต้มีศูนย์กลางส�ำคัญ ได้แก่ หลักฐานที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุและศิลปวัตถุ รวมท้ังจารึก “นครศรธี รรมราช” วา่ นบั ตงั้ แตเ่ มอ่ื ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ เปน็ ตน้ มา มพี ฒั นาการเปน็ บา้ นเมอื ง มีกษตั ริย์เป็นผ้นู ำ� ของแวน่ แควน้ ต่าง ๆ จนกระทง่ั ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ต่อมาในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ “ละโว้-อโยธยา” กับ ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญดังหลักฐานชัดเจนว่า มีบ้านเมือง “สพุ รรณภมู ”ิ ไดร้ วมกนั เปน็ “อยธุ ยา” ครนั้ ถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ อยธุ ยา ของกลุ่มคนไทยทเ่ี กดิ ขึน้ ใหม่ เชน่ “ล้านนา” ในภาคเหนอื ตอนบน และ ได้ผนวก “สุโขทยั ” ไว้ในฐานะเมอื งประเทศราช ส่วน “ล้านนา” ยงั คง 26 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 26
KINGDOM OF THAILAND พระบรมรปู สมเด็จพระบรู พมหากษัตริยาธิราชเจ้าแหง่ พระบรมราชจกั รีวงศ์ ณ ปราสาทพระเทพบดิ ร พระบรมมหาราชวงั ด�ำรงเป็นบ้านเมืองสืบมากว่า ๕๐๐ ปี จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงถูกผนวกเข้าเป็น ทรงปราบดาภเิ ษกรบั การอญั เชญิ จากเหลา่ เสนามาตย์ ราษฎร เสดจ็ เถลงิ ส่วนหนึง่ ของพระราชอาณาจกั รสยาม ถวัลยราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เม่ือวันท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี เมือ่ พ.ศ. ๒๓๑๐ อาณาจักรอยุธยาซง่ึ เป็นศนู ย์กลางการเมือง บนฝั่งตะวันออกของแม่น�้ำเจ้าพระยา โปรดให้ตั้งการพระราชพิธี การปกครองมายาวนาน ๔๑๗ ปีล่มสลายลง และในปีเดียวกันน้ัน ยกเสาหลักเมืองเมื่อวันท่ี ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และสร้าง สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงกอบกเู้ อกราชและสถาปนากรงุ ธนบรุ ี พระมณเฑยี รสถานแตพ่ อประกอบพระราชพธิ ไี ด้ตอ่ มาในวนั ท่ี๑๐มถิ นุ ายน เป็นราชธานีแห่งใหม่เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี จนกระท่ัง พ.ศ. ๒๓๒๕ พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังการพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนา ปราบดาภิเษกโดยสังเขปข้ึนเพื่อให้เป็นสวัสดิมงคลแก่บ้านเมืองและ กรุงรัตนโกสนิ ทรเ์ ป็นราชธานีแห่งใหม่ พระราชวงศเ์ ป็นเวลา ๓ วนั ครนั้ ถึงวันท่ี ๑๓ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ จึง ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 27 27
เสดจ็ โดยกระบวนพยหุ ยาตราจากกรงุ ธนบรุ มี ายงั กรงุ เทพฯ ทรงประกอบ ๒๔ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐ เสด็จเถลงิ ถวลั ยราชสมบัติเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๕๒ พระราชพิธีปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ศิลปิน ทรงพระปรีชาสามารถและทรงส่งเสริม แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ หลังจากน้ันโปรดให้สร้างพระราชนิเวศน์ ศิลปะหลายสาขา ท้ังด้านกวีนิพนธ์ ดุริยางคศิลป์ นาฎศิลป์และ มณเฑียรสถาน วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นพระอารามหลวงภายใน งานวิจิตรศิลป์ รัชสมัยน้ีจึงเป็นยุคทองของวรรณคดีและศิลปกรรม พระบรมมหาราชวัง รวมทั้งขุดคลอง ก่อก�ำแพงป้อมปราการแล้วเสร็จ พระราชกรณยี กจิ ส�ำคัญนอกจากการฟนื้ ฟศู ิลปกรรมทุกแขนง เป็นแบบ สมบูรณ์ และโปรดให้สมโภช พระราชทานนามว่า “กรุงเทพมหานคร แผนงานศลิ ปะของชาตสิ บื มาแลว้ ยงั เปน็ ยคุ สมยั ของการสรา้ งความมนั่ คง บวรรัตนโกสนิ ทร์” ในสมัยรชั กาลที่ ๔ โปรดให้แปลงนามในตอนทา้ ยว่า โดยสร้างเมืองป้อมปราการชายทะเลและเริ่มมีชาติตะวันตกเข้ามา “อมรรัตนโกสินทร์” มีพระมหากษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ทรงปกครอง เพ่อื เจริญสมั พนั ธไมตรอี กี คร้งั หลังจากเสยี กรงุ ศรีอยุธยา ตอ่ มาจนถึงปจั จุบนั ๙ รัชกาลดังนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช เมอื่ เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ พระชนมพรรษา ๕๗ พรรษา ทรงครอง สิรริ าชสมบตั ิ ๑๕ ปี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระนามเดมิ “ดว้ ง” หรอื “ทองดว้ ง” เปน็ พระราชโอรสใน “สมเดจ็ พระปฐมบรมมหา รชั กาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หวั ชนก” และพระราชชนนีชื่อ “หยก” เสด็จพระราชสมภพเมอ่ื วันที่ ๒๐ พระมหาเจษฎาราชเจา้ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ พระราชกรณียกิจส�ำคัญคือ ทรงสถาปนาความ เป็นปกึ แผน่ ของบ้านเมืองท้ังฝา่ ยราชอาณาจักรและศาสนจกั ร นับตัง้ แต่ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระนามเดมิ “หมอ่ มเจา้ ทบั ” ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร จัดการปกครอง จัดการป้องกันประเทศ เปน็ พระราขโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั และสมเดจ็ ตรวจสอบช�ำระกฎหมาย ทรงฟื้นฟูและท�ำนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนา พระศรสี ลุ าลยั (พระนามเดิม เจา้ จอมมารดาเรียม) เสด็จพระราชสมภพ โดยโปรดใหร้ วบรวมพระคมั ภรี ท์ ม่ี ใี นบา้ นเมอื ง ทำ� สงั คายนาพระไตรปฎิ ก เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๓๐ เสด็จเถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ มอ่ื วนั ที่ ฉบับท่ีสมบูรณ์เรียกว่า “ฉบับทอง” โปรดให้ตรากฎพระสงฆ์ รวมทั้ง ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ พระราชกรณยี กจิ ทส่ี ำ� คญั คอื ทรงวางรากฐาน ทรงฟน้ื ฟศู ลิ ปวฒั นธรรมของชาตทิ กุ สาขาใหร้ งุ่ เรอื งเหมอื นเมอ่ื “ครง้ั บา้ น ทางด้านการค้าโดยการส่งเสริมการค้าส�ำเภาจีนและการค้ากับตะวันตก เมอื งยงั ดสี มัยอยธุ ยา” ทเ่ี ขา้ มาเจรจาขอทำ� สญั ญาทางการคา้ โปรดใหเ้ พม่ิ พนู รายไดโ้ ดยอนญุ าต ให้มีเจ้าภาษีนายอากรผูกขาดไปจัดเก็บรายได้ท่ีเรียกว่า ระบบเจ้าภาษี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชเสดจ็ สวรรคต นายอากร ทรงท�ำนุบำ� รงุ การพระศาสนา โดยสถาปนาพระอารามหลวง เมื่อวันท่ี ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ พระชนมพรรษา ๗๓ พรรษา ใหม่ ๓ แห่ง และบูรณปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ ถึง ๓๕ วัด พระราชทาน ทรงครองสริ ิราชสมบัติ ๒๗ ปี พระบรมราชานุญาตให้พ่อค้า ขุนนางโดยเสด็จสร้างพระอารามถวาย ดา้ นการศกึ ษา โปรดเกลา้ ฯ ใหร้ วบรวมชำ� ระและแตง่ ตำ� ราตา่ ง ๆ โดยใชว้ ดั รัชกาลท่ี ๒ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย เปน็ ศนู ยก์ ลางในการศกึ ษาและเผยแพรค่ วามรู้ เปน็ การวางรากฐานทางดา้ น สังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองในช่วงท่ีประเทศก�ำลังปรับเปลี่ยน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระนามเดิม “ฉิม” เพื่อเตรยี มพรอ้ มรบั กับการเข้ามาของชาติมหาอ�ำนาจตะวันตก เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 28 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 28
KINGDOM OF THAILAND พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันท่ี ธรรมเนียมประเพณีที่พ้นสมัย เช่น การหมอบคลาน ทรงจัดการศึกษา ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ พระชนมพรรษา ๖๔ พรรษา ทรงครองสิริราช ให้ราษฎรทุกระดับมีโอกาสเล่าเรียน ทรงปฏิรูปกฎหมาย เศรษฐกิจ สมบตั ิ ๒๗ ปี ส่งเสริมการเกษตร การอนามัยและสาธารณสุข การสาธารณูปโภค และสาธารณปู การ เช่น การไฟฟ้า การประปา การสรา้ งถนน ทางรถไฟ รชั กาลที่ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว โทรเลข โทรศพั ท์ เป็นต้น ส่งผลใหป้ ระเทศเจรญิ ก้าวหน้าทัดเทยี มชาติ ตะวนั ตก และด�ำรงรกั ษาเอกราชอธปิ ไตยของชาติ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พระนามเดิม “สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ” เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั และสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรา บรมราชนิ ี เสดจ็ เมื่อวันท่ี ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา พระราชสมภพเมื่อวันท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ เสด็จเถลิงถวัลย ทรงครองสิริราชสมบัติ ๔๒ ปี พสกนิกรถวายพระราชสมัญญาว่า ราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ทรงเป็นกษัตริย์สมัยใหม่ ทรงเร่ิมปฏิรูป “สมเด็จพระปิยมหาราช” มีความหมายว่า “พระราชาผู้เป็นที่รัก บ้านเมืองให้มคี วามทันสมัย ท้ังดา้ นการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม และ แห่งราษฎร” ประเพณวี ฒั นธรรม ทดั เทยี มนานาอารยประเทศ เพอ่ื ใหท้ นั กบั การคกุ คาม ของชาติมหาอ�ำนาจท่ีเข้ามา และได้เข้าครอบครองประเทศเพื่อนบ้าน รชั กาลท่ี ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว เป็นอาณานิคมแล้ว ทรงท�ำนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ทรงสนพระราชหฤทยั และมพี ระปรชี าสามารถในศลิ ปวทิ ยาการสมยั ใหม่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว พระนามเดิม “สมเด็จ ท้ังด้านดาราศาสตร์ เทคโนโลยีการต่อเรือ อีกทั้งยังทรงเช่ียวชาญ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ ” เปน็ พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี อักษรศาสตร์และภาษาศาสตร์ ได้ทรง พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระราชนพิ นธพ์ ระบรมราชาธบิ ายทเี่ ปน็ ประโยชนใ์ นการศกึ ษาดา้ นตา่ ง ๆ เสดจ็ พระราชสมภพเมอื่ วนั ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราช สมบัตเิ มอื่ วนั ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจ็ สวรรคตเมอื่ วันท่ี ท่สี ำ� คญั คือ ดา้ นการเมอื งการปกครองและการต่างประเทศ โปรดให้ตรา ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา ทรงครองสริ ิราช พระราชบัญญัตินามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงน�ำประเทศไทยเข้าสู่สังคม สมบตั ิ ๑๗ ปี นานาชาติโดยเข้าร่วมสงครามโลกคร้ังที่ ๑ ท�ำให้ไทยเข้าสู่เวทีการเมือง โลก และมีโอกาสเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาท่ีไม่เป็นธรรมกับต่างชาติ รชั กาลท่ี ๕ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ด้านการศึกษา ทรงยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนข้ึนเป็น จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัยเม่อื พ.ศ. ๒๔๕๙ โปรดใหต้ ราพระราชบัญญัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิม โรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๖๑ และตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” เป็นพระราชโอรส ใหเ้ ปน็ การศกึ ษาภาคบงั คบั พ.ศ. ๒๔๖๔ ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทรา ทรงริเร่ิมและสนับสนุนการก่อตั้งโรงวชิรพยาบาล โรงพยาบาล บรมราชินี เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ จฬุ าลงกรณ์ ดา้ นวรรณคดแี ละหนงั สอื พมิ พ์ โปรดใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิ เสด็จเถลิงถวลั ยราชสมบตั ิ เมอ่ื วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระราช วรรณคดีสโมสร เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๗ กรณียกิจส�ำคัญในรัชสมัยคือ ทรงปฎิรูปประเทศให้มีความเจริญและ ทันสมัยในทุกด้าน เช่น ทรงยกเลิกระบบไพร่ ระบบทาส โปรดให้เลิก ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 29 29
พระบาทสมเดจ็ สมเด็จพระอมรินทรา สมเดจ็ พระศรีสรุ ิเยนทรา พระบาทสมเด็จ สมเด็จพระศรสี ลุ าลยั พระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราช บรมราชินี บรมราชินี พระพุทธเลิศหลานภาลยั รัชกาลที่ ๑ รชั กาลที่ ๒ สมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรา พระบาทสมเดจ็ สมเด็จพระปยมาวดี พระบาทสมเด็จ พระบาทสมเดจ็ บรมราชินี พระจอมเกลาเจา อยูหัว ศรพี ชั รนิ ทรมาตา พระปน เกลาเจาอยหู ัว พระนั่งเกลาเจาอยหู ัว รชั กาลที่ ๔ รัชกาลท่ี ๓ พระบาทสมเด็จ เจาจอมมารดาอว ม สมเด็จพระเจา บรมวงศเธอ หมอมใหญ เทวกลุ สมเด็จพระศรีสวรนิ ทริ า สมเดจ็ พระศรีพัชรินทรา พระจลุ จอมเกลาเจาอยูหวั พระองคเ จา เทวญั อไุ ทยวงศ บรมราชเทวี บรมราชินนี าถ กรมพระยาเทวะวงศว โรปการ รชั กาลท่ี ๕ พระพนั วัสสาอัยยิกาเจา พระบรมราชชนนีพนั ปห ลวง พระเจาบรมวงศเธอ หมอมเจาอัปษรสมาน สมเดจ็ พระมหติ ลาธเิ บศร สมเด็จพระศรีนครินทรา พระบาทสมเด็จ พระองคเ จา กติ ยิ ากรวรลกั ษณ (เทวกลุ ) กิติยากร อดุลยเดชวิกรม บรมราชชนนี พระมงกุฎเกลา เจาอยหู วั พระบรมราชชนก กรมพระจันทบรุ ีนฤนาถ รชั กาลที่ ๖ พระวรวงศเธอ หมอ มหลวงบวั พระบาทสมเด็จ พระบาทสมเด็จ สมเดจ็ พระนางเจาสิริกติ ์ิ พระบาทสมเด็จ พระองคเจา นักขัตรมงคล (สนทิ วงศ) กติ ยิ ากร พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมราชนิ ีนาถ พระปกเกลา เจา อยหู วั กรมหม่นื จันทบุรีสรุ นาถ พระอัฐมรามาธิบดนิ ทร รัชกาลท่ี ๙ รัชกาลท่ี ๘ รชั กาลท่ี ๗ ทลู กระหมอมหญิง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สมเด็จพระเจาลกู เธอ อุบลรตั นราชกญั ญา เจาฟามหาวชิราลงกรณฯ สยามบรมราชกุมารี เจาฟา จุฬาภรณวลยั ลักษณ สิรวิ ฒั นาพรรณวดี อัครราชกมุ ารี สยามมกุฎราชกุมาร
KINGDOM OF THAILAND พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต รัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล เม่อื วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระชนมพรรษา ๔๖ พรรษา พระอัฐมรามาธบิ ดนิ ทร ทรงครองสิริราชสมบัติ ๑๕ ปี ด้วยพระอัจฉริยภาพด้านวรรณกรรม ทง้ั รอ้ ยแกว้ รอ้ ยกรองโดยเฉพาะบทละครจงึ ทรงไดร้ บั การเทดิ พระเกยี รติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐม ถวายพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า” มีความหมายว่า รามาธบิ ดนิ ทร พระนามเดมิ “หมอ่ มเจา้ อานนั ทมหดิ ล” เปน็ พระราชโอรส พระมหากษัตริยผ์ เู้ ป็นปราชญ์ทยี่ งิ่ ใหญ่ ในสมเดจ็ พระมหติ ลาธเิ บศร อดลุ ยเดชวกิ รม พระบรมราชชนกและสมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี เสดจ็ พระราชสมภพ เมอื่ วนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน รชั กาลที่ ๗ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว พ.ศ. ๒๔๖๘ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๗ พระองค์ ประทับทรงศึกษาในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ อีกท้ังในช่วงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิม “สมเด็จ ประเทศไทยมกี ารปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์” เป็นพระราชโอรส ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว จึงไม่ต้องทรงรับพระราชภาระ องค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระ ในการบรหิ ารประเทศโดยตรง นอกจากน้ี ชว่ งเวลาดังกลา่ วประเทศไทย ศรพี ชั รนิ ทรา บรมราชนิ นี าถ เสดจ็ พระราชสมภพเมอ่ื วนั ที่ ๘ พฤศจกิ ายน ยังประสบปัญหาหลายอย่างท้ังทางการเมืองการปกครองและการเข้าสู่ พ.ศ. ๒๔๓๖ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน สงครามมหาเอเชียบูรพา ภายหลังสงครามโลกครัง้ ท่ี ๒ ในพ.ศ. ๒๔๘๘ พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล พระอฐั มรามาธบิ ดนิ ทร ได้เสด็จนิวัตพระนครครั้งท่ี ๒ เพื่อทรงเย่ียมเยือนปลอบขวัญชาวไทย ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ราชอาณาจกั ร และสร้างความสามัคคีในชาติ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของอาณา ไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาราษฎร์ มาเปน็ ระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริยเ์ ปน็ พระประมุข เมื่อ วันท่ี ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ทรงสละพระราชอ�ำนาจในระบอบ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร เ ม น ท ร ม ห า อ า นั น ท ม หิ ด ล สมบูรณาญาสิทธิราชย์ด�ำรงพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ พระอฐั มรามาธบิ ดนิ ทร เสดจ็ สวรรคตอยา่ งกะทนั หนั เมอ่ื วนั ที่ ๙ มถิ นุ ายน รัฐธรรมนูญ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระชนมพรรษา ๒๑ พรรษา ทรงครองสริ ิราชสมบตั ิ ๑๒ ปี สยามชวั่ คราว เมอื่ วันที่ ๒๗ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาในวนั ที่ ๑๐ นำ� ความเศรา้ โศกอย่างใหญห่ ลวงมาสปู่ วงชนชาวไทย ธนั วาคม ปเี ดยี วกนั ไดพ้ ระราชทานรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พทุ ธศักราช ๒๔๗๕ แกป่ วงชนชาวไทย ต่อมาเม่ือวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และเสด็จพระราชด�ำเนินไป ประทบั ณ ประเทศอังกฤษ จนเสดจ็ สวรรคตเม่ือวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ พระชนมพรรษา ๔๘ พรรษา ทรงครองสิริราชสมบตั ิ ๙ ปี ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 31 31
๛ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพ่อื ประโยชนส์ ขุ แห่งมหาชน (His Majesty King Bhumibol Adulyadej) ชาวสยาม” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหา พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช กษัตริย์รัชกาลท่ี ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นพระมหากษัตริยา เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ ธริ าชเจา้ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ทรงไดช้ อ่ื วา่ เปน็ กษตั รยิ ท์ ท่ี รงงานหนกั รัฐแมสสาชูเซตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ท่ี ๕ ธันวาคม ทรงท่มุ เทพระวรกายและพระสตปิ ัญญา เพือ่ ความเป็นอยทู่ ่ีดีของอาณา พ.ศ. ๒๔๗๐ พระนามเดิม พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ประชาราษฎร์ มีพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยาวัตรอันงดงาม เป็นพระราชโอรสองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม ทรงด�ำรงอยู่ในทศพิธราชธรรมตลอดระยะเวลาแห่งการครองสิริราช พ ร ะ บ ร ม ร า ช ช น ก แ ล ะ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ศ รี น ค ริ น ท ร า บ ร ม ร า ช ช น นี สมบัติ ดังพระราชปณิธานในพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธี มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จ บรมราชาภิเษก ณ พระทีน่ ง่ั ไพศาลทักษิณ ภายในพระบรมมหาราชวัง พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร์ เมอ่ื วันท่ี ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ความวา่ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามา ธบิ ดินทร เมอื่ สมเดจ็ พระบรมราชชนก สน้ิ พระชนมเ์ มอ่ื วนั ท่ี ๒๔ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ไมถ่ งึ ๒ พรรษา ไดเ้ สดจ็ เขา้ ศกึ ษาทโ่ี รงเรยี นมาแตรเ์ ดอี กรงุ เทพฯ จนกระทง่ั พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสดจ็ พระราชด�ำเนินพรอ้ มด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี พระเชษฐภคนิ ีและสมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าชไปประทบั ณเมอื งโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงเข้าศึกษาช้ันประถมศึกษาในโรงเรียน เมียร์มองต์ (Miremont) ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ จากนั้นทรงศึกษาระดับมัธยมศึกษาท่ีเอกอล นูแวล เดอ ลา ซอื อิส โรมองด์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายยี ซูร โลซาน (Chailly-sur Lausanne) พ.ศ. ๒๔๘๑ และ โรงเรยี นยมิ นาส คลาสสคิ กอ็ งโตนาล (Gymnase Classisque Cantonal) แหง่ เมอื งโลซานน์ ทรงรบั ประกาศนยี บตั รทางอกั ษรศาสตร์ จากนน้ั ทรง ศึกษาตอ่ ในแผนกวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซานน์ เม่ือสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สบื ราชสนั ตตวิ งศเ์ ปน็ พระมหากษตั รยิ ร์ ชั กาลที่ ๘ แหง่ พระบรมราชจกั รวี งศ์ ในพ.ศ. ๒๔๗๗ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงได้รับ การสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ 32 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 32
KINGDOM OF THAILAND พระบรมฉายาลกั ษณ์ และพระฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ พระราชโอรส พระราชธดิ า และสมเดจ็ พระเจ้าพี่นางเธอ เจา้ ฟ้ากัลยาณวิ ฒั นา กรมหลวง นราธวิ าสราชนครนิ ทร์ ต่อมาในวันท่ี ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช พระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ล พระอฐั มรามาธบิ ดินทร เสดจ็ สวรรคต ทรงประกอบพระราชพธิ รี าชาภเิ ษกสมรสกบั หมอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ์ิ กติ ยิ ากร รฐั บาลโดยความเหน็ ชอบของรฐั สภาจงึ อญั เชญิ สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ ณ พระต�ำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสา เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ อยั ยกิ าเจา้ วังสระปทุม เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ตอ่ มาทรง เป็นพระมหากษตั ริยร์ ชั กาลท่ี ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ได้รับการสถาปนาพระอิสริยศข้ึนเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิต์ิ สมเด็จ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ี และสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรม ในวันท่ี ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้เสด็จพระราชด�ำเนิน ราชินีนาถโดยล�ำดับ มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๔ พระองค์ กลบั ไปยงั ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ เพอื่ ทรงศกึ ษาตอ่ ทรงเลอื กศกึ ษาวชิ า คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี สมเด็จ สงั คมศาสตร์ รฐั ศาสตรแ์ ละนติ ศิ าสตร์ แทนวชิ าวทิ ยาศาสตรท์ ท่ี รงศกึ ษา พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร อยู่เดิม อนั จะเปน็ ประโยชนใ์ นการปกครองบ้านเมอื ง สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟา้ จฬุ าภรณวลัยลกั ษณ์ อัครราชกุมารี ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 33 33
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทรงเย่ยี มเยียนราษฎร พระราชกรณยี กจิ โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ทรงคิดค้นการบริหารจัดการท่ีดิน เพื่อการเกษตร ซ่ึงเป็นแนวพระราชด�ำริใหม่ในการบริหารจัดการท่ีดิน พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช ของเกษตรกรให้มีสัดส่วนในการใช้พ้ืนที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพ่ือบ�ำบัดทุกข์ บ�ำรุงสุขแก่ เป็นการแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนนำ�้ ในการเกษตร อาณาประชาราษฎร์ เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ในถิ่นทุรกันดารท่ัวทุกภูมิภาค ท�ำให้ทรงรับทราบปัญหาความทุกข์ยาก โครงการฝนหลวง เป็นแนวพระราชด�ำริ วิธีบังคับเมฆให้ตก และความต้องการของราษฎร ทรงรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจากราษฎร เป็นฝนในพ้ืนที่ที่ต้องการ พระองค์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐกับทรงสังเกตส�ำรวจสภาพทางภูมิประเทศในพื้นท่ี สว่ นพระองคร์ ว่ มเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยในการศกึ ษาวจิ ยั สำ� เรจ็ เปน็ โครงการฝนหลวง เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ซง่ึ เปน็ ทม่ี าของโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� ริ ชว่ ยบรรเทาปญั หาขาดแคลนนำ�้ ระหวา่ งฝนแลง้ หรอื ฝนทง้ิ ชว่ ง เสรมิ สรา้ ง เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ แก่ราษฎร นับต้ังแต่แรกเร่ิมจนถึงปัจจุบัน เส้นทางคมนาคมทางน�้ำ ช่วยเจือจางและบ�ำบัดน�้ำเสีย เพิ่มปริมาณน้�ำ มกี ว่า ๔,๐๐๐ โครงการ แบ่งออกเป็นด้านตา่ งๆ ดงั นี้ ในเขอื่ น แหล่งกักเกบ็ น้�ำต่าง ๆ เพือ่ ผลิตกระแสไฟฟ้า และมีส่วนสำ� คญั ในการดบั ไฟปา่ อีกดว้ ย พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรและการชลประทาน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระราชทานแนวพระราชดำ� รใิ นการแกไ้ ข โครงการน้�ำดีไล่น�้ำเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปญั หาแก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรบั ไปดำ� เนนิ การ โดยใหป้ ระชาชน ทรงคิดค้น “กังหันนำ�้ ชยั พัฒนา” เพ่อื แก้ไขปัญหานำ้� เสยี ส่ิงประดษิ ฐน์ ี้ พงึ่ ตนเองใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ จงึ ไดเ้ กดิ โครงการส�ำคญั ๆ หลายโครงการ เชน่ เป็นเคร่ืองกลส�ำหรับเพิ่มออกซิเจนในน�้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยัง มีพระราชด�ำริด้านการแก้ไขปัญหาน�้ำด้วยวิธีต่างๆ ด้วยทรงห่วงใยการ 34 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 34
KINGDOM OF THAILAND พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว และสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกมุ าร ทรง หว่านเมล็ดพนั ธ์ขุ ้าวในแปลงสาธติ โครงการส่วน พระองค์ สวนจติ รลดา เม่อื วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ขาดแคลนน้�ำส�ำหรับอุปโภค บริโภค ตลอดจนแหล่งน้�ำเพื่อการเกษตร พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการศกึ ษา พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และการผลิตกระแสไฟฟ้า รวมทั้งป้องกันอุทกภัยในอาณาบริเวณ ทรงหว่ งใยการศกึ ษาของเยาวชนทกุ ระดบั ไดพ้ ระราชทานความชว่ ยเหลอื กรงุ เทพฯ และปรมิ ณฑลอยา่ งตอ่ เน่ืองนบั ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นตน้ มา ในการจัดต้ังโรงเรียนกว่า ๒๐๐ โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น โรงเรียน เช่น โครงการแก้มลิงอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ โครงการประตูน้�ำ ร่มเกล้า โรงเรียนราชประชาสมาสัย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ คลองลัดโพธ์ิ และโครงการพัฒนาลุ่มแม่น�้ำป่าสักอันเน่ืองมาจาก โรงเรยี นจติ รลดา โรงเรยี นวงั ไกลกงั วล หวั หนิ โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ งั้ โครงการ พระราชด�ำริ เป็นตน้ พระดาบส เพ่ือฝึกอบรมวชิ าชา่ งสาขาต่าง ๆ แกป่ ระชาชนที่ขาดโอกาส ได้เข้ารับการศึกษา ซ่ึงปัจจุบันได้จดทะเบียนเป็นโรงเรียนพระดาบส “การแกล้งดิน” เป็นพระราชด�ำริในพระบาทสมเด็จ อีกท้ังยังทรงพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาตลอดชีพด้วยโครงการ พระเจ้าอยู่หวั ในการพฒั นาที่ดนิ เสอ่ื มโทรมใหก้ ลับฟน้ื คืนสภาพสามารถ สารานุกรมไทยส�ำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ รวบรวมความรู้ ใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ “การปลูก ด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านสังคม วัฒนธรรม ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์และ หญา้ แฝก” เพอื่ ปอ้ งกนั การเสอ่ื มโทรมและพงั ทลายของหนา้ ดนิ ไปพรอ้ มกนั เทคโนโลยี นอกจากนี้ ยงั มโี ครงการอนั เนอ่ื งพระราชดำ� รเิ กยี่ วกบั การเกษตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรม พระบาทสมเด็จ และชลประทานอีกเป็นจ�ำนวนมาก เช่น โครงการส่วนพระองค์ พระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในงานศิลปะแขนงต่างๆ ท้ังดนตรี สวนจิตรลดา โครงการธนาคารข้าว โครงการธนาคารโค - กระบือ การพระราชนิพนธ์เพลง งานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะการ โครงการศนู ยศ์ กึ ษาการพัฒนาอนั เนอ่ื งมาจากพระราชด�ำริ เป็นต้น ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 35 35
ถ่ายภาพ งานสถาปัตยกรรม และพระราชนิพนธ์แปล ด้วยพระปรีชา ทุนอานันทมหิดล ส�ำหรับผู้ท่ีส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต สามารถและพระอัจฉริยภาพด้านศิลปะ ทรงได้รับการถวายพระราช สาขาแพทยศาสตร์ในประเทศไทยไปศกึ ษาต่อยงั ต่างประเทศ และขยาย สมัญญา “อัครศิลปิน” การพระราชทานทนุ แกน่ กั ศกึ ษาในสาขาอน่ื ๆ อกี ดว้ ย ทง้ั ยงั พระราชทาน รางวัลสมเด็จเจา้ ฟ้ามหิดล ของมูลนธิ ิรางวลั สมเดจ็ เจ้าฟ้ามหดิ ล ซง่ึ ทรง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหฤทัยห่วงใย รับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมอบรางวัลแก่บุคคล ในศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ได้มีพระราชด�ำริให้ หรอื องคก์ รจากทว่ั โลกทม่ี ผี ลงานดเี ดน่ ทางการแพทยแ์ ละการสาธารณสขุ ฟนื้ ฟพู ระราชพิธีตา่ ง ๆ ให้เหมาะแกก่ าลสมัย เชน่ พระราชพธิ พี ืชมงคล โดยไม่จ�ำกัดเชือ้ ชาติ ศาสนา และลทั ธิการปกครอง จรดพระนงั คลั แรกนาขวญั พระราชพธิ ถี อื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาเฉพาะผไู้ ด้ รับพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ “รามาธิบดี” เป็นต้น หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั นอกจากน้ี ยังทรงห่วงใยในปัญหาการใช้ภาษาไทย ซ่ึงคนไทยส่วนมาก ได้พระราชทานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักในการด�ำเนิน ขาดความส�ำนกึ ในคณุ คา่ ของภาษาประจำ� ชาติ ได้พระราชทานพระราช ชีวิตแก่พสกนิกรไทยมาโดยตลอดยาวนานกว่า ๔๐ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิด ด�ำรัสแจกแจงปัญหาในการใช้ภาษาไทย การรักษาและทะนุบ�ำรุง วกิ ฤตกิ ารณท์ างเศรษฐกจิ และตอ่ มาไดท้ รงเนน้ ยำ้� ถงึ แนวทางในการแกไ้ ข ภาษาไทยเพ่ือให้ด�ำรงอยู่อย่างงดงามยั่งยืน เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพอื่ ใหร้ อดพน้ จากปญั หาตา่ งๆ สามารถดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมนั่ คงและยงั่ ยนื สบื ไป ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปล่ียนแปลงต่างๆ อันกล่าวได้ว่า ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งนเี้ กดิ ขนึ้ จากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระราชกรณียกิจด้านการสังคมสงเคราะห์ พระบาทสมเด็จ ทรงมองการณ์ไกลและทรงตระหนักถึงความเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ขาดโอกาส ของเศรษฐกจิ สงั คมโลกยคุ โลกาภวิ ตั น์ จงึ พระราชทานแนวทางการดำ� เนนิ ผู้ประสบสาธารณภัยและความเดือนร้อนต่างๆ ทรงรับองค์กรการกุศล ชวี ติ แกพ่ สกนกิ รไทยมาโดยตลอด ดว้ ยทรงมงุ่ หวงั ใหร้ าษฎรสามารถดำ� รง ตา่ งๆ ไวใ้ นพระบรมราชปู ถมั ภ์ อาทิ สภากาชาดไทย มลู นธิ กิ ารกศุ ลตา่ งๆ ตนไดอ้ ย่างม่นั คงและยง่ั ยนื รูจ้ ักความสมถะ พงึ่ พาตนเองทางเศรษฐกิจ เพอ่ื ชว่ ยเหลือคนพิการ ตาบอด หูหนวก ผู้ป่วยโรคเรอื้ นและครอบครวั สังคม และรู้จักใช้ทรพั ยากรอยา่ งคุ้มค่า บนพน้ื ฐานของหลักเศรษฐกิจ ผปู้ ระสบสาธารณภัย ทหารผ่านศึกพกิ าร พอเพยี ง ๖ ประการ คอื ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล การมภี มู คิ มุ้ กนั ที่ดี มีคณุ ธรรม ใช้หลักวิชาความรู้ และด�ำเนินชีวติ ด้วยความเพยี ร นอกจากนี้ ยังมีพระบรมราชานุญาตให้จัดต้ังมูลนิธิต่างๆ เพื่ออนุเคราะห์บุคคลทุกสาขาอาชีพ เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ๛ ความสัมพนั ธ์ระหว่างราชอาณาจกั รไทยกับนานาประเทศ มูลนิธิราชประชาสมาสัย มูลนิธิอานันทมหิดล มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิ ราชอาณาจักรไทยมีความสัมพันธ์กับนานาประเทศทั้งประเทศ สายใจไทย มูลนธิ ภิ ูมพิ โลภิกขุ มลู นธิ ินวฤกษ์ ทนุ ภูมิพล เป็นตน้ เพื่อนบา้ นใกล้เคียงในภมู ิภาคเดยี วกันและต่างภูมิภาค เช่น จนี อินเดยี พ ร ะ ร า ช ก ร ณี ย กิ จ ด ้ า น ก า ร แ พ ท ย ์ แ ล ะ ส า ธ า ร ณ สุ ข เปอร์เซีย และยุโรป ซึ่งเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารบ้าง มาเจริญทาง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงดำ� เนนิ ตามรอยสมเดจ็ พระมหติ ลาธเิ บศร พระราชไมตรบี า้ ง เขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขายบา้ ง ในสมยั อยธุ ยาพระมหากษตั รยิ ์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา ไดส้ ง่ ราชทตู ไปเจรญิ พระราชไมตรกี บั ประเทศตา่ งๆ ทง้ั ในเอเชยี และยโุ รป บรมราชชนนี ด้วยการพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพ่ือการพัฒนา เพอ่ื ประโยชนท์ างดา้ นการคา้ เปน็ สำ� คญั เชน่ การเจรญิ ทางพระราชไมตรี ทางการแพทย์ อีกทั้งยังทรงเห็นความส�ำคัญของการพัฒนาบุคลากร ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับราชส�ำนักเปอร์เซีย และ ทางการแพทย์ของไทยให้ก้าวหน้าย่ิงข้ึน จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน กับประเทศต่างๆ มพี ระเจ้าหลุยสท์ ี่ ๑๔ แห่งกรุงฝรงั่ เศส เป็นต้น 36 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 36
KINGDOM OF THAILAND พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ทรงฉายพระรปู กับพระเจา้ ซารน์ โิ คลาสท่ี ๒ แหง่ รัสเชีย ในคราว เสดจ็ ประพาสยุโรปครัง้ ที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๔๐ ในสมยั รตั นโกสนิ ทรช์ าวตะวนั ตกชาตแิ รกทเี่ ขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขาย ได้อนุญาตให้บรรดาประเทศต่าง ๆ จัดตั้งสถานกงสุลและแต่งตั้ง กับไทยคือ โปรตุเกส ต่อมาคอื องั กฤษ และสหรฐั อเมรกิ า ตามลำ� ดบั ซึ่ง ทูตหรือตัวแทนอยู่ประจ�ำในประเทศไทย เช่น สถานกงสุลอเมริกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้พระราชทาน ตั้งข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๙ และสถานทูตอังกฤษด้วยในปีเดียวกัน ท่ีดินริมแม่น้�ำเจ้าพระยาเพ่ือจัดต้ังโรงสินค้าโปรตุเกสและที่พักของทูต หลังจากนั้น ไทยเร่ิมมีการส่งทูตไปต่างประเทศ นับเป็นช่วงเวลาส�ำคัญ คร้ันต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งการสร้างความสัมพันธไมตรีระหว่างสยามกับนานาประเทศ ซึ่งได้ ไดท้ ำ� สนธสิ ญั ญาเบอรน์ ยี ก์ บั องั กฤษเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๖๙ และทำ� สนธสิ ญั ญา เริ่มส่งคณะทูตเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ไปยังต่างประเทศ คือ การคา้ กับสหรฐั อเมรกิ าเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๖ ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งต้ังพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูต ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาล ไปเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ณ กรุงลอนดอน ท่ี ๔ ไทยได้ท�ำสัญญาเบาริงกับอังกฤษอีกคร้ังหนึ่ง เม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๘ เพื่อเป็นการตอบแทนท่ีรัฐบาลอังกฤษส่งเซอร์ จอห์น เบาริง หลังจากนั้นประเทศต่างๆ ได้ส่งทูตเข้ามาเจรจาเพ่ือท�ำสนธิสัญญาเช่น เป็นอัครราชทูตมาจากราชส�ำนักโดยตรง ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๔ เดยี วกบั องั กฤษ ไทยจงึ ไดล้ งนามในสนธสิ ญั ญาไมตรกี ารพาณชิ ยแ์ ละการ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ง่ คณะทตู เชญิ พระราชาสาสน์ และเครอ่ื งราชบรรณาการ เดินเรือกับประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยใช้สนธิสัญญาเบาริงเป็นต้นแบบ อาทิ ฝรงั่ เศส สหรฐั อเมรกิ า เดนมารก์ เนเธอรแ์ ลนด์ ปรสั เซยี หลงั จากนน้ั ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 37 37
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสใหค้ ณะทูตานุทูตและกงสลุ ต่างประเทศเฝ้าทลู ละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล ณ ทอ้ งพระโรงกลาง พระทนี่ ง่ั จกั รีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวงั เน่ืองในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ไปถวายแด่พระเจา้ นโปเลียนที่ ๓ แหง่ ฝร่งั เศส ช่วงเวลาที่เร่ิมมีการติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไทยได้ท�ำ อย่างกว้างขวางเป็นคร้ังแรก ในคร้ังน้ันได้เสด็จประพาสสิงคโปร์ และปัตตาเวยี อยา่ งเป็นทางการ ระหว่างวนั ท่ี ๙ มนี าคม – ๑๕ เมษายน สญั ญาทางไมตรกี บั ประเทศอนื่ ๆ เพม่ิ อกี หลายประเทศ ไดแ้ ก่ ออสเตรยี พ.ศ. ๒๔๑๓ ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๑๔ ได้เสด็จประพาส ฮังการี สเปน ญ่ีปุ่น รัสเซีย เป็นต้น นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จ อนิ เดยี หลงั จากนน้ั จงึ เสดจ็ ประพาสยโุ รป ซงึ่ เปน็ กษตั รยิ เ์ อเชยี ตะวนั ออก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงรัชกาลปัจจุบัน เฉียงใต้พระองค์แรกทเ่ี สดจ็ ประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๐ ไทยไดม้ กี ารตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ างการทตู กบั นานาประเทศอยา่ งกวา้ งขวาง และ พ.ศ. ๒๔๕๐ ๛ การเจริญทางพระราชไมตรีระหว่างพระราชวงศ์ไทย การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า และพระราชวงศป์ ระเทศต่างๆ เจ้าอยู่หัว นับเป็นรูปแบบใหม่ของการเจริญทางพระราชไมตรีระหว่าง ประเทศไทยกับนานาอารยประเทศ ในคร้ังนั้นพระองค์ได้เสด็จฯ ไป ในอดีตพระมหากษัตริย์ไทยเสด็จพระราชด�ำเนินออกนอก ในฐานะพระประมุขของประเทศท่ีเป็นเอกราช ท�ำให้ไทยเป็นท่ีรู้จัก พระราขอาณาเขตไปในราชการสงครามเป็นส�ำคัญ จนถึงรัชสมัย ในประชาคมโลก ผลจากการเสด็จประพาสนอกจากทรงสร้างสัมพันธ์ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั จงึ เสดจ็ ประพาสต่างประเทศ กับราชส�ำนักกษัตริย์แห่งยุโรปแล้ว ยังได้ทอดพระเนตรความเจริญ เพ่ือทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมืองตามแบบตะวันตก นับเป็น 38 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 38
KINGDOM OF THAILAND พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั ทรงฉายพระรูปร่วมกบั สมเด็จพระราชาธิบดี พระราชนิ ี และพระประมุข ทเี่ สด็จฯ มาทรงรว่ มงานฉลองสริ ริ าชสมบัติครบ ๖๐ ปี กา้ วหนา้ นำ� มาปรบั ปรงุ และพฒั นาประเทศ อกี ทงั้ ยงั คลายปญั หาตงึ เครยี ด กันท้งั ในระดับประมุข ผู้นำ� รัฐ และประชาชน อีกท้งั สง่ เสริมชอื่ เสียงและ ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ช่วยเหลือในกิจการ เกียรตภิ ูมิ ทำ� ใหป้ ระเทศไทยเปน็ ทีร่ ้จู กั กันอยา่ งกวา้ งไกล สังคมของประเทศทั้งหลาย เช่น ห้องสมุดและโรงพยาบาล ทรงปฏิบัติ พระองคอ์ ยา่ งสมพระเกยี รตทิ า่ มกลางหมกู่ ษตั รยิ ์ ขา้ ราชส�ำนกั และบคุ คล ประเทศเพอ่ื นบา้ นประเทศแรกทเี่ สดจ็ ฯ เยอื นอยา่ งเปน็ ทางการ ที่มีบทบาทส�ำคัญทางวิชาการสาขาต่างๆ พระองค์ทรงได้รับการถวาย คือ ประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม ระหวา่ งวันท่ี ๑๘ – ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. พระเกียรติยศอย่างสูงสุดในทุกประเทศที่เสด็จพระราชด�ำเนินไปเจริญ ๒๕๐๒ หลงั จากนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ ทางพระราชไมตรี พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินเยือนประเทศต่างๆ ในทวีป เอเชีย ดังนี้ ระหว่างวันท่ี ๘ – ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓ เสด็จฯ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล เยือนประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๒ – ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ อดุลยเดช ทรงปฏิบัติเป็นพระราชภารกิจส�ำคัญในการเสด็จ เสด็จฯ เยอื นสหภาพพมา่ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๑ – ๒๒ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พระราชด�ำเนนิ เยอื นประเทศตา่ ง ๆ ในฐานะองค์พระประมขุ เพือ่ เจริญ เสดจ็ ฯ เยือนสาธารณรัฐปากสี ถาน ระหว่างวนั ท่ี ๒๐ – ๒๗ มิถนุ ายน ทางพระราชไมตรรี ะหวา่ งราชอาณาจกั รไทย กบั บรรดามติ รประเทศตา่ งๆ พ.ศ. ๒๕๐๕ เสดจ็ ฯ เยอื นสหพนั ธรฐั มลายา ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม เปน็ การสง่ เสรมิ ความสมั พนั ธ์ ความรว่ มมอื และความเขา้ ใจอนั ดรี ะหวา่ ง - ๘ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๐๖ เสดจ็ ฯ เยอื นญปี่ นุ่ และสาธารณรฐั จนี ระหวา่ ง ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไ ท ย 39 39
วันที่ ๙ – ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ เสด็จฯ เยอื นสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นอกจากพระประมุขและพระราชวงศ์แห่งราชอาณาจักรไทย และระหว่างวนั ท่ี ๒๓ – ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๐ เสดจ็ ฯ เยือนอหิ ร่าน เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรต่างๆ แล้ว พระประมุขและพระราชวงศ์ และระหวา่ งวันท่ี ๘ – ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๗ เสดจ็ ฯ เยือนสาธารณรัฐ ประเทศต่าง ๆ ได้เสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยทั้งในฐานะ ประชาธิปไตยประชาชนลาว พระราชอาคันตุกะและเสด็จฯ ส่วนพระองค์เช่นกัน เช่น ในรัชสมัย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว มีพระราชวงศแ์ ห่งรัสเซยี คอื ส่วนการเสด็จพระราชด�ำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและบรรดา พระเจา้ ซารน์ โิ คลาสที่ ๒ เมอ่ื ครง้ั ยงั ดำ� รงตำ� แหนง่ มกฎุ ราชกมุ ารไดเ้ สดจ็ ฯ ประเทศในทวีปยุโรป ประกอบด้วยการเสด็จพระราชด�ำเนินเยือน เยือนราชอาณาจกั รสยามระหว่างวันท่ี ๒๐ – ๒๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๓๓ อย่างเปน็ ทางการและเปน็ การสว่ นพระองค์ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๔ มิถนุ ายน หลงั จากนนั้ มพี ระประมขุ และพระราชวงศข์ องประเทศตา่ ง ๆ เสดจ็ ฯ เยอื น พ.ศ. ๒๕๐๓ – ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยเสด็จฯ เยือนสหรัฐ ราชอาณาจกั รไทยเพ่อื เจริญสัมพันธไมตรีสบื มาจนถึงปัจจุบัน อเมรกิ าระหว่าง วนั ที่ ๑๔ มถิ นุ ายน - ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ จาก นั้นเสด็จพระราชด�ำเนินเยือนประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปจ�ำนวน ๑๔ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประเทศ คือ อังกฤษ เยอรมนี โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก พระประมุขต่างประเทศท่ีเสด็จฯ เยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็น นอร์เวย์ สวเี ดน อิตาลี เบลเยยี ม นครรัฐวาตกิ นั ฝรงั่ เศส ลกั เซมเบริ ์ก ทางการเปน็ พระองคแ์ รกคอื พระบาทสมเดจ็ พระนโรดม สหี นุ พรอ้ มดว้ ย เนเธอรแ์ ลนด์ และสเปน ระหวา่ งวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ - สมเดจ็ พระปิตุจฉารัศมีโสภณ กรมหลวงศรสี วสั ดิมณพี งศ์ ระหวา่ งวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ๑๕ – ๒๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตอ่ มาพระประมขุ ของประเทศต่าง ๆ ไดเ้ สด็จฯ เยอื นราชอาณาจกั รไทย อาทิ สมเด็จพระเจา้ เฟรเดอริคท่ี ๙ อนง่ึ นบั ตงั้ แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ และสมเดจ็ พระราชนิ อี นิ กรดิ แหง่ เดนมารก์ สมเดจ็ พระราชนิ นี าถจเู ลยี นา เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันท่ี ๘ – ๙ แห่งเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยเจ้าชายเบอร์นฮาร์ด พระราชสวามี และ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๗ แล้ว ทรงตัง้ พระราชหฤทยั จะไมเ่ สด็จฯ ออกนอก เจ้าหญิงเบียทริกซ์ มกุฎราชกุมารี สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งราช ประเทศ ดังท่ีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีพระราชบันทึก อาณาจกั รเบลเยยี ม และสมเดจ็ พระราชนิ ฟี าบโิ อลา สมเดจ็ พระราชาธบิ ดี ว่า โดยจะเสดจ็ ฯ ตามค�ำกราบบังคมทูลเชิญของประเทศต่าง ๆ เท่านั้น แห่งมาเลเซีย และสมเด็จพระราชินี สมเด็จพระเจ้าโอลาฟที่ ๕ แห่ง ความว่า นอร์เวย์ และสมเดจ็ พระราชินนี าถเอลิซาเบธที่ ๒ แห่งอังกฤษ เป็นต้น “...พระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระทัยไว้อย่างแน่วแน่ว่า จะไม่เสด็จ การเสด็จพระราชด�ำเนินเยือนราชอาณาจักรไทยของ ออกนอกประเทศ ถ้าไม่ทรงมีเหตุท่ีส�ำคัญพอในฐานะที่ทรงเป็น พระประมุขและราชวงศจ์ ากประเทศต่าง ๆ ครั้งส�ำคัญในประวัติศาสตร์ พระประมุขของชาวไทย สมควรที่จะประทับอยู่ในบ้านเมืองเพื่ออยู่ คือ การเสด็จฯ มาทรงร่วมยินดีในโอกาสพระราชพิธีฉลองสิริราช ใกล้ชดิ กบั ราษฎรของทา่ นมากที่สดุ ....” สมบัติครบ ๖๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๙ มพี ระประมขุ และผแู้ ทนพระราชวงศจ์ ากประเทศตา่ ง ๆ ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์ไทยและ ๒๙ ประเทศเสดจ็ ฯ มาทรงรว่ มงานเฉลมิ ฉลองในครงั้ นน้ั พระราชวงศ์ของบรรดาประเทศท่ีมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดน้ัน พระราชวงศไ์ ทยเสดจ็ ฯ เยอื นประเทศตา่ ง ๆ โดยเสดจ็ ฯ แทนพระองคบ์ า้ ง เสด็จเป็นการส่วนพระองค์บ้าง ทั้งในฐานะพระราชอาคันตุกะ ของพระประมขุ ผนู้ �ำรัฐบาล หรอื องค์กรตา่ ง ๆ เปน็ ต้น 40 ๒ ๗ ร า ช อ า ร ย รั ฐ 40
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: