Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชาดก เรื่อง ปัญญา

ชาดก เรื่อง ปัญญา

Description: ชาดก เรื่อง ปัญญา

Search

Read the Text Version

ชาดก เร่อื ง ปญั ญา ISBN : 978-616-8103-02-9 เรยี บเรียง : สิรปิ ณุ โฺ ณ ภาพประกอบ : ธนรตั น์ ไทยพานชิ ออกแบบปก : ศิริรัตน์ ทบั สุวรรณ์ รูปเลม่ /จดั อาร์ต : สุกญั ญา บญุ ทนั พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑ : พ.ศ. ๒๕๖๐ ลิขสทิ ธแิ์ ละจดั พมิ พ์โดย : สมาคมสมาธิเพื่อการพฒั นาศีลธรรมโลก โทร. ๐๓๘-๔๒๐๐๔๓ พมิ พท์ ี่ : บรษิ ัท พิมพ์ดี จำ� กดั โทร. ๐-๒๔๐๑-๙๔๐๑ ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของสำ� นกั หอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloguing in Publication Data สิริ ปุณฺ โณ. ชาดกเรื่องปัญญา.-- นนทบุรี : สมาคมสมาธิเพือ่ การพฒั นา ศีลธรรมโลก, 2560. 96 หนา้ 1. ชาดก 2. เรื่องยอ่ . I. สิริปุณโณ เรียบเรียง. II. ช่ือเร่ือง. 294.30921

ค�ำ นำ� หนังสือ “ชาดกเรื่องปัญญา” เล่มนี้เป็นการขยายความต่อ จากเล่มแรกทช่ี ่อื ว่า “ปัญญาบารมี หนทางแหง่ การสร้างปัญญา” เล่มน้ีมี ๘ เรื่อง ท่ีพระศาสดาทรงปรารภพระปัญญาบารมีของ พระองค์ มพี ระชาตทิ ี่เปน็ พญาวานร ๑ เรอ่ื ง แถมอกี ๑ เร่อื ง ท่ีมี เน้อื หาต่อจาก ตจสารชาดก ชอ่ื “สาลยิ ชาดก” ไว้ท่ีท้ายเรอื่ งด้วย พระชาตทิ เ่ี ปน็ เดก็ ฉลาดมปี ญั ญามอี ยู่ ๕ เรอื่ ง สมั ภวชาดก, มโหสถชาดก (เร่อื งท่ี ๒, ๓ ในหนังสือปญั ญาบารม)ี อกี ๓ เรื่อง ได้แก่ ตจสารชาดก, (รวมสาลิยชาดก), คามณิจันทชาดก (เร่อื งที่ ๗, ๘ ในเลม่ นี้) การนำ� เสนอจะเปน็ แบบเนอื้ เรอ่ื งชาดกยอ่ ซงึ่ การคน้ หาอา่ น ต้นฉบับในยุคนี้ คงไม่ยากเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องการน�ำเน้ือหา มาเขียนวิเคราะห์ เพือ่ ใหเ้ หน็ แนวทางในการสรา้ งปัญญา เป็นชาดกท่ีน่าศึกษาและจดจ�ำน�ำไปเป็นแบบอย่างในการ สร้างปญั ญาบารมขี องตวั เราเอง ขอแสงสว่างแห่งธรรมะของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ จงบงั เกดิ ในดวงใจของทุกๆ ทา่ นเทอญ สิริปณุ ฺโณ พ.ศ.๒๕๖๐ ไลน์ไอดี Line ID : Siripunno แฟนเพจ Facebook: Siripunno อีเมล์ E-mail : [email protected]

สารบญั ๑) มหาโพธิชาดก วา่ ดว้ ยปฏิปทาของผนู้ ำ� ๗ ๒) ทูตชาดก วา่ ด้วยการบอกทกุ ข์แก่ผคู้ วรบอก ๑๗ ๓) ปณุ ณนทีชาดก วา่ ดว้ ยการไม่ระลึกถึง ๒๗ ๔) สจู ชิ าดก ว่าดว้ ยเข็ม ๓๕ ๕) สปุ ปารกชาดก วา่ ดว้ ยทะเล ๖ ประการ ๔๓

๖) ตินทุกชาดก ว่าดว้ ยอบุ ายเอาตัวรอด ๕๕ ๗) ตจสารชาดก วา่ ดว้ ยคนฉลาดยอ่ มไม่แสดงอาการใหศ้ ตั รูเห็น (สาลยิ ชาดก วา่ ด้วยใหท้ ุกขแ์ กท่ า่ นทุกข์นนั้ ถงึ ตวั ) ๖๑ ๘) คามณิจนั ทชาดก ว่าดว้ ยลงิ เปน็ สตั ว์ไม่รจู้ กั เหตุ ๗๕ บทสรปุ ๙๐ e-book Free download ๙๔



๑) มหาโพธชิ าดก๑ วา่ ด้วย ปฏิปทาของผู้นำ� สถานท่ตี รสั พระวหิ ารเชตวนั ทรงปรารภ พระปัญญาบารมี ตน้ เร่อื ง คร้ังนั้น พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย มิใช่แต่ในกาล บดั นเ้ี ท่านนั้ ถงึ ในกาลก่อน ตถาคตกเ็ ปน็ ผู้มีปัญญาสามารถย�่ำยีวาทะของคนอ่ืน ได้เหมือนกัน.” ดงั นี้ จึงทรงนำ� เอาอดตี นทิ านมาตรสั ดงั น้วี า่ เนือ้ หาชาดกย่อ ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัตทรงเสวยราชย์ สมบัติในเมืองพาราณสี มีชายคนหน่ึงบังเกิดในตระกูล พราหมณ์มหาศาล ในแควน้ กาสมี ีช่อื วา่ โพธิกมุ าร ครั้นเจริญวัยได้ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปศาสตร์ ใน เมืองตักกศิลา เม่ือส�ำเร็จการศึกษาได้กลับมาประกอบ ๑ นต้น.๘ฉ๕บ,บั มมชรา.ตกัฏฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนิกาย ชาดก, ล.๖๒, มหาโพธิ 7

อาชีพเล้ียงครอบครัว ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายในกาม จงึ ไดล้ ะกามสขุ ออกไปบวชเปน็ พระดาบสอยทู่ ปี่ า่ หมิ พานต์ ครั้นถึงฤดูฝน ท่านได้ออกจากป่าเท่ียวจาริกไป จนถึงกรุงพาราณสี พระราชาได้พบท่านแล้ว เกิดความ เล่ือมใสในพระดาบส จึงโปรดอาราธนาให้ท่านจ�ำพรรษา อยู่ในพระราชอุทยานภายในพระนคร ท่านอาศัยอยู่ ณ ที่น้ันเป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี เมอ่ื มาฉนั ในวงั ทา่ นจะเอาอาหารทเี่ หลอื เลยี้ งสนุ ขั จนมนั รกั ใคร่สนทิ สนมในตัวทา่ น พระราชามีอ�ำมาตย์ ๕ คน คอยถวายค�ำแนะน�ำ ราชการ ดงั น้ี ๑. อ�ำมาตย์ช่ือ ‘อเหตุกวาที’ ผู้ถือว่าไม่มีเหตุอะไร ทจ่ี ะท�ำให้คนดหี รือคนช่ัวได้เลย ๒. อ�ำมาตย์ช่ือ ‘อิสรกรณวาที’ ผู้ถือว่าโลกน้ี มพี ระเจ้าเปน็ ผสู้ รา้ ง ๓. อ�ำมาตย์ช่ือว่า ‘ปุพเพกตวาที’ ผู้ถือว่าความสุข หรอื ความทุกขม์ าจากเหตุท่ีเคยทำ� ไวใ้ นชาตกิ ่อน ๔. อำ� มาตยช์ ือ่ วา่ ‘อุจเฉทวาท’ี ผู้ถือวา่ เมอ่ื ตายแลว้ ยอ่ มขาดสูญ ไม่มีการเกดิ อกี ตอ่ ไป ๕. อ�ำมาตย์ชื่อว่า ‘ขัตตวิชชวาที’ ผู้ถือว่าควรฆ่า แมม้ ารดาบิดาเพื่อประโยชน์ของตนเอง 8

อำ� มาตยท์ ง้ั ๕ คนนนั้ ดำ� รงอยใู่ นตำ� แหนง่ ผพู้ พิ ากษา อรรถคดแี ทนพระราชา แตก่ ลบั พากนั กนิ สนิ บาทคาดสนิ บน สร้างความเดือดรอ้ นใหแ้ กผ่ ู้บรสิ ทุ ธิ์ไปทวั่ วันหน่ึง เมื่อเจ้าทุกข์ทนความทุกข์ไม่ไหว จึงน�ำ ความไปร้องเรียนพระดาบส ด้วยความสงสารท่านจึงไป ตดั สินคดีความใหม่ทำ� ให้เกิดความยตุ ธิ รรม เม่ือพระราชาทราบเร่ือง จึงขอร้องให้ท่านช่วย รับต�ำแหน่งผู้พิพากษา เพ่ือสงเคราะห์ประชาชนอีก ต�ำแหนง่ หนึ่ง บรรดาอ�ำมาตย์ผู้พิพากษาเหล่าน้ัน เม่ือเสีย ประโยชน์จึงไปทูลมุสาต่อพระราชาว่า “พระฤาษีจะก่อ การกบฏ” พระราชาจึงหลงเช่ือจึงมีรับส่ังให้ลดการบ�ำรุง อปุ ัฎฐากพระดาบสตามล�ำดับ ในที่สุด พระองค์พระราชทานดาบแก่อ�ำมาตย์ เพื่อให้ประหารพระดาบส ขณะนั้น สุนัขตัวสีเหลือง ช่ือ ‘โกไลยกะ’ ได้ทราบเรื่อง จึงไปดักที่หน้าวังและเห่า ขวางทางไม่ยอมใหท้ า่ นเข้าไปบณิ ฑบาตในวัง ตอ่ มา พระราชาไดเ้ สดจ็ ไปหาพระดาบสเพอื่ สอบถาม เรอื่ งราวความจรงิ ทง้ั หมด พระดาบสจงึ ถวายพระพรชแ้ี จง ใหท้ รงทราบถึงความบริสุทธ์ขิ องตนเอง มหาโพธิ 9

ฝา่ ยพระราชาเมอ่ื ทราบวา่ ‘พระดาบสเปน็ ผบู้ รสิ ทุ ธ’์ิ พระองคไ์ ดท้ รงขอขมาทา่ นและนมิ นตใ์ หท้ า่ นอยจู่ ำ� พรรษา ต่อไป แต่ท่านเห็นโทษของการอยู่ในเมือง จึงไม่ยอมรับ นิมนต์ ทูลอ�ำลากลับไปอยู่ปา่ ทนั ที เมื่อพระดาบสจากไปแล้ว บรรดาอ�ำมาตย์ก็ยัง ไมไ่ วว้ างใจจงึ ไปกราบทลู ยยุ งวา่ “พระมเหสแี ละพระดาบส ลอบเป็นชู้กัน ขณะน้ีก�ำลังร่วมมือเพื่อสังหารพระราชา” ท�ำให้พระราชาขาดพระสติจึงมีรับส่ังให้ประหารชีวิต พระอคั รมเหสีผ้บู ริสทุ ธิ์ทันที เม่ือพระราชโอรสท้ัง ๔ พระองค์ทรงทราบเรื่อง จงึ เตรียมการยดึ อำ� นาจกอ่ รัฐประหาร ฝา่ ยพระดาบสเมอ่ื ทราบเรอ่ื ง จงึ รบี ไปชว่ ยพระราชา และปลดเปล้อื งเหลา่ พระราชกุมารจากบาป รุ่งขึ้น ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน มีชาวบ้าน น�ำเน้ือลิงไปถวาย เมื่อท่านฉันเสร็จ คร้ันทราบว่าเป็น เนอื้ ลิง จึงไดบ้ ิณฑบาตขอหนังวานรจากญาตโิ ยม น�ำมา นงุ่ ห่ม พาดบา่ จากนนั้ พระดาบสไดไ้ ปสอนใหบ้ รรดาพระราชโอรส ไดร้ ู้บาปบุญคณุ โทษ เมือ่ สอนพระราชกมุ ารทั้งหลายแล้ว ไดไ้ ปพระราชอทุ ยานนงั่ อยบู่ นแผน่ หนิ ทลี่ าดหนงั วานรเอาไว้ 10

พระราชาและอ�ำมาตย์ทั้งหมดทราบว่า ‘พระดาบส มา’ จึงรีบไปนมัสการพระดาบสทันที พระดาบสไม่ได้ ทูลอะไรเลยเอาแต่นงั่ ลูบคลำ� หนังวานรอยอู่ ยา่ งเดยี ว เม่ือพระราชาตรัสถามถึงเหตุผลท่ีท่านท�ำดังน้ัน ท่านจึงทลู ใหพ้ ระราชาทราบว่า “วานรตวั น้ีมอี ปุ การะมาก ถึงกระนั้น ท่านกย็ ังฉันเนื้อและเอาหนังของมันมาใช้.” ท่านกล่าวเช่นน้ันโดยมีจุดประสงค์เพ่ือต้องการจะ ท�ำลายแนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของอ�ำมาตย์ทั้ง ๕ คน เหลา่ นนั้ พวกอำ� มาตยเ์ หลา่ นน้ั คดิ วา่ ‘ทา่ นทำ� ปาณาตบิ าต ฆา่ วานรกินเน้อื จริง ๆ’ จึงพากนั ปรบมอื หัวเราะเยาะเย้ย แล้วท�ำการพูดถากถางท่านทันที เมอื่ เหน็ วา่ ทกุ อยา่ งเปน็ ไปตามแผนทท่ี า่ นวางเอาไว้ ท่านจึงเรียกอ�ำมาตย์เหล่าน้ันมาท�ำลายแนวด้วยคาถา เหลา่ นเี้ ปน็ ตน้ ว่า ...ถา้ พระผเู้ ปน็ เจา้ สรา้ งชวี ติ ...สรา้ งความพนิ าศ...ให้ แกช่ าวโลกทงั้ หมดจรงิ ๆ ไซร้ บรุ ษุ ผกู้ ระทำ� ตามคำ� สง่ั ของ พระเจ้าก็ย่อมท�ำบาปได้ ตัวพระเจ้าน่ันแหละย่อมเป็น ผู้เปอ้ื นบาปน้ันเอง... ถา้ ถอ้ ยค�ำของท่านถกู ตอ้ ง ลงิ กเ็ ปน็ อันเราฆ่าดีแล้ว ถ้าท่านรู้ความผิดแห่งค�ำพูดของตนเอง กจ็ ะไม่ต�ำหนเิ ราเลย เพราะเราท�ำตามคำ� พดู ของทา่ น... มหาโพธิ 11

พระฤาษตี อ้ งการอธบิ ายวา่ ถา้ พระเจา้ เปน็ ผสู้ รา้ งโลก และบญั ชาการทกุ อย่าง พระเจา้ น้ันแหละจะต้องเปน็ ฝ่าย รบั ผดิ ชอบความผดิ ทเ่ี กดิ จากการทำ� บาปของมนษุ ย์ ทงั้ น้ี เพราะมนษุ ยเ์ กดิ มาจากการบญั ชาการของพระเจา้ นนั่ เอง จากน้ัน ท่านได้แสดงธรรมเพ่ือท�ำลายแนวคิดของ อ�ำมาตยท์ งั้ หมด ดังนี้ ๑. ท�ำลายแนวคิดอเหตุกวาที ถ้าสัตว์ท้ังหลาย เป็นสุขและทุกข์โดยไม่มีเหตุปัจจัย เราก็ไม่มีความผิด ท่ีฆ่าลิง ท้ังน้ีเพราะเราท�ำตามความคิดของท่าน เราจึง ไมต่ อ้ งเปือ้ นบาปแต่ประการใด ๒. ทำ� ลายแนวคดิ อสิ รกรณวาที ถา้ พระเจา้ สรา้ งโลก และควบคมุ สุขทกุ ขจ์ รงิ ๆ มนษุ ยฆ์ ่าลิงกไ็ ม่ต้องเปน็ บาป ทั้งนี้เพราะทุกอย่างเป็นไปตามบัญชาพระเจ้า รวมท้ัง การทเ่ี ราฆ่าลงิ เพื่อเอามาเป็นอาหารด้วย ๓. ทำ� ลายแนวคดิ ปพุ เพกตวาที ทกุ อยา่ งถกู กำ� หนด มาแล้วจากกรรมเก่า เมื่อเราฆ่าลิงก็เป็นเพราะลิงเคยฆ่า เรามาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นการตอบแทนกลับเพ่ือความ ยุตธิ รรม ดังนน้ั การฆา่ ลงิ จงึ ไม่บาป ๔. ท�ำลายแนวคิดอุจเฉทวาที ถ้าทุกอย่างขาด สญู หมด ทำ� บญุ และบาปกไ็ ม่มปี ระโยชนอ์ ะไร เพราะเม่ือ 12

ทุกคนตายไปแล้ว ก็ไม่ต้องเกิดมารับกรรมอะไรอีกแล้ว ดังนน้ั เมือ่ ฆ่าลิงกไ็ ม่ต้องไดร้ บั บาปอะไร ๕. ท�ำลายแนวคิดขัตตวิชชวาที เพ่ือประโยชน์แก่ ตนเอง ควรท�ำได้แม้แต่ฆ่าบิดามารดา เมื่อเป็นเช่นนั้น การฆ่าลิงก็ย่อมไม่บาป เพราะท�ำไปเพ่ือให้เราได้รับ ประโยชน์จากมัน จากนั้น พระดาบสได้ต�ำหนิพระราชาที่โง่เขลาและ แสดงให้เห็นโทษของอ�ำมาตย์เหล่านี้ ตั้งแต่ต้นจนถึง ปัจจุบัน ให้คนไปกราบทูลเชิญพระราชโอรสทั้งหมดมา สงั่ สอน ฝ่ายพระราชาเมื่อทราบความจริง ก็มีรับส่ังให้ ประหารอ�ำมาตย์ทั้ง ๕ ทันที พระดาบสได้ทูลขอโทษ ตายไว้ พระราชาจึงรับส่ังให้ลงโทษและให้ขับไล่ออกไป จากแวน่ แคว้นทนั ที พระดาบสคร้ันถวายโอวาทแด่พระราชาให้เป็น ผู้ไม่ประมาทแล้วถวายพระพรลากลับป่า ท�ำฌานและ อภิญญาให้บังเกิด เจริญพรหมวิหาร เมื่อมรณภาพแล้ว ได้ไปเกิดในพรหมโลก มหาโพธิ 13

ประชุมชาดกวา่ อำ� มาตย์เจ้าความเหน็ ทัง้ ๕ คน ในกาลนั้น ได้เปน็ ปรู ณกสั สปะ, มกั ขลโิ คสาละ, ปกธุ กจั จานะ, อชติ เกสกมั พล และนคิ รนถ์นาฏบตุ รในกาลนี้ สนุ ัขสเี หลือง ได้เปน็ พระอานนท์ ส่วนพระมหาโพธปิ รพิ าชก ก็คือ เราตถาคต ข้อคดิ จากชาดก ชาดกเรื่องนแี้ สดงให้เหน็ เร่อื ง ๔ ประเดน็ ดังน้ี ๑. ความโลภเปน็ เหตุ ต้นเหตุของโศกนาฎกรรมในชาดกเร่ืองนี้ มาจาก ความโลภเป็นหลัก ท่ีอ�ำมาตย์ทั้ง ๕ คนไม่ซื่อสัตย์ต่อ หน้าที่เป็นถึงผู้พิพากษา แต่กับกินสินบน จึงท�ำให้ บรรพชิตต้องเข้าไปเก่ียวข้องตัดสินคดีความ ส่วนพวก ตนเองก็ถูกถอดออกจากต�ำแหน่ง เม่ือเหตุการณ์เป็น เช่นนี้ แทนที่จะสำ� นกึ ถึงความผิด กลับเพด็ ทลู หลอกลวง เบอ้ื งสูง หาวา่ พระดาบสท่ีเคารพของพระราชาจะชงิ ราช- สมบัติ พระดาบสลอบเป็นชู้กับพระมเหสี จนพระมเหสี ตอ้ งถกู สง่ั ประหารชีวติ 14

๒. ผนู้ ำ� ต้องหนักแน่นและฉลาด ชาดกเรอื่ งนตี้ อ้ งการชใี้ หเ้ หน็ วา่ การเปน็ ผนู้ ำ� ถา้ เชอ่ื คนงา่ ยและไมฉ่ ลาดกจ็ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาทนี่ า่ เศรา้ เหมอื น ในเร่ืองน้ี ในชาดกทุกที่ เม่ือตักเตือนผู้น�ำจะมีข้อความ ที่ปรากฏเหมือนกันหลายที่ ให้หนักแน่น อย่าวู่วาม พิจารณาให้รอบคอบ เน่ืองจากถ้าผิดพลาดไปแล้วแก้ไข ใหก้ ลับมาดีอยา่ งเดมิ ทำ� ได้ยาก ๓. อภยั คือการให้ทีด่ ที ่ีสดุ ชาดกเรื่องน้ีได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ให้อภัย เป็นการแก้ปัญหาท่ีดีท่ีสุด ตั้งแต่ให้เหล่าพระราชโอรสท่ี กำ� ลงั จะกอ่ รฐั ประหารเพราะโกรธพระราชบดิ าผสู้ ง่ั ประหาร พระชนนีผู้ไม่ทรงผิด ให้อภัยพระราชบิดา ท้ังน้ีเพราะ การประหารพระราชบิดาเป็นบาปที่หนักอย่างยิ่งเรียกว่า ‘อนันตริยกรรม’ ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั ตน้ ตอแหง่ ปญั หาคอื อำ� มาตยท์ ง้ั ๕ คน กใ็ หล้ ะโทษตาย เพยี งแตใ่ หเ้ นรเทศออกไปจากแวน่ แควน้ หวงั วา่ อำ� มาตยเ์ หลา่ นน้ั จะสำ� นกึ ผดิ ไมค่ ดิ ทรยศพาพระราชา จากเมืองอื่นมายดึ เมืองของตน มหาโพธิ 15

๔. มิจฉาทฎิ ฐิมีโทษหนักทส่ี ดุ พระพทุ ธเจา้ ตอ้ งการชใี้ หเ้ หน็ ความคดิ ทอ่ี นั ตรายคอื ความคดิ ทเ่ี ปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ในโลกนไ้ี มม่ คี วามเลวรา้ ยอนั ใด ท่ีจะเลวร้ายยิ่งไปกว่าอนันตริยกรรม แต่มิจฉาทิฎฐิกลับ มีโทษหนักกว่านั้น เพราะความคิดแบบนี้ก่อให้เกิด ความเสียหายแกต่ นเองและสังคม ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั ทำ� ใหเ้ วยี นวา่ ยตายเกดิ ไมจ่ บสนิ้ ถอื วา่ เป็นตอในวัฎฎะ คือไม่สามารถจะพาต้นหลุดพ้นจากการ เวียนว่ายตายเกิดได้เลย ตนเองก็เป็นเหมือนคนตาบอด และยังพาคนอื่นท่ีเชื่อในความคิดของตนให้เป็นเหมือน คนตาบอดท่เี ดินจบั กนั ไปตกเหวตายหมดน่นั เอง ฯ 16

๒) ทตู ชาดก๒ วา่ ดว้ ย การบอกทุกขแ์ ก่ผคู้ วรบอก สถานทีต่ รสั พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ การสรรเสริญปัญญาของพระองค์ ต้นเร่อื ง ภิกษุท้ังหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า “ท่าน ทง้ั หลายจงดคู วามเปน็ ผฉู้ ลาดในกศุ โลบาย (อบุ ายอนั เปน็ กุศล) ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ทรงให้พระนันทะ เห็นนางอัปสรแล้วเปลี่ยนใจ ปฏิบัติธรรมจนส�ำเร็จ พระอรหันตไ์ ด้ หรอื ทรงประทานผา้ เกา่ แก่พระจุลปนั ถกะ ให้พิจารณาจนบรรลุธรรม หรือทรงให้พระที่เคยเป็น นายชา่ งทองพจิ ารณาดอกบวั กระทงั่ หมดกเิ ลส สน้ิ เกลยี้ ง ได้ พระองคท์ รงแนะน�ำชนทงั้ หลายดว้ ยกศุ โลบายต่างๆ” พระศาสดาเสด็จมาถึง เมื่อทรงทราบเรื่องที่ภิกษุ ทัง้ หลายสนทนากนั แล้ว จงึ ตรัสวา่ ๒ ต้นฉบับ ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย ชาดก, ล.๖๐, น.๒๕๗, มมร. ทตู 17

18

“มิใช่บัดน้ีเท่านั้น ที่เราเป็นผู้ฉลาดในกุศโลบาย แม้ในกาลก่อน เราก็เป็นผู้ฉลาดในอุบาย อันแยบคาย มาแลว้ ” แลว้ ทรงนำ� เร่ืองราวนนั้ มาตรัสเล่า เนื้อหาชาดกยอ่ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี บ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนล�ำบาก ชาวบ้าน ชาวเมือง ขัดสนเงินทอง เพราะพระราชาทรง เรยี กเก็บทรัพย์จากมหาชนเสมอ ๆ เพื่อเอาเข้าพระคลัง หลวง ประชนชนจงึ ไม่ค่อยมเี งินทองเก็บไว้ใชส้ อย ณ กาสกิ คาม มมี าณพคนหนง่ึ อยใู่ นตระกลู พราหมณ์ ที่ยากจน เมื่อเจริญวัยมากพอแล้ว ได้ไปร�่ำเรียนวิชาท่ี เมอื งตกั สลิ า โดยกลา่ วขอรอ้ งกบั อาจารยว์ า่ “ขา้ พเจา้ ขดั สน เงินทองในตอนน้ี จึงมิได้มีทรัพย์มามอบให้ เป็นค่าสอน วิชาของอาจารย์ แต่จะแสวงหาทรัพย์มามอบให้อาจารย์ ในภายหลงั ขออาจารย์โปรดเมตตาข้าพเจา้ ดว้ ยเถดิ ” อาจารย์ก็เห็นใจสงสาร จึงรับไว้เป็นศิษย์ สอน ศิลปศาสตร์ท้ังหมดให้แก่เขา จนกระท่ังเรียนส�ำเร็จ เขาเข้ามากล่าวลาอาจารย์ “ข้าแต่อาจารย์ผู้มีพระคุณ กระผมจะใชว้ ชิ าของอาจารยไ์ ปแสวงหาทรพั ยโ์ ดยชอบธรรม ทูต 19

แล้วจะน�ำทรัพย์กลับมาตอบแทนคุณการสอนวิชาของ อาจารย์ กระผมจงึ มากราบลา” เขาท่องเทยี่ วไปตามหมบู่ ้านชนบทต่าง ๆ ใช้วชิ าท่ี ร�่ำเรียนหาทรัพย์ จนกระทั่งเก็บสะสมทรัพย์ไว้ได้เป็น ทองค�ำ ๗ แท่ง จึงหมายใจไว้ว่า ‘จะน�ำกลับไปมอบให้ อาจารย์’ แต่ในระหว่างการเดินทาง ต้องข้ามแม่น�้ำคงคา ขณะลงเรือข้ามแม่น�้ำนั่นเอง มีคล่ืนลมแรง ท�ำให้เรือ โคลงไปมา เขาเซถลาไปทางน้นั ที เซมาทางน้ีที ในที่สดุ ห่อทองค�ำท่ีพกติดตัวไว้ ก็กระเด็นหลุดออกแล้วตกหล่น ลงในแม่น้�ำจมหายไป เขาไม่อาจจะคว้าเอาไว้ได้ทัน ตอ้ งน่งั เศร้าอยใู่ นเรอื น้ัน เม่อื เรอื มาถึงฝ่ังแล้ว เขาคิดขึน้ ว่า ‘เงินทองของเรา สญู ไปหมดสน้ิ เกลยี้ ง และกวา่ จะหามาใหมอ่ กี กย็ ากยงิ่ นกั จะช้านานเกินไป กว่าจะไปมอบให้อาจารย์ได้ เห็นทีเรา จะต้องใช้อุบายอันแยบคายหาทรพั ยม์ าโดยเรว็ เสยี แลว้ ’ คิดแล้วกน็ ุ่งหม่ ผา้ เฉวยี งบา่ นำ� เอาสายสิญจน์มาวง รอบส่ีมุมเป็นมงคล แล้วนั่งอยู่ในวงสายสิญจน์ ณ รมิ ฝ่ัง แมน่ ำ้� คงคานน่ั เอง นง่ั สงบนง่ิ ไมด่ มื่ กนิ อะไร เสมอื นรปู ปน้ั พระปฏมิ าทองค�ำอยู่บนพนื้ ทรายสีเงิน ฉะน้ัน 20

ประชาชนทผี่ า่ นไปมา เห็นมาณพนี้มานงั่ อดอาหาร อยู่อย่างลำ� บาก ต่างพากนั สงสาร ถามว่า “ท่านมานั่งบ�ำเพ็ญอะไร หรือท�ำเพ่ือพิธีกรรมใด กันเล่า หรอื ทกุ ข์ร้อนเร่ืองใดมา” แม้จะสงสัยไต่ถามอย่างไร ๆ แต่เขาก็ไม่ยอม ปริปากเอ่ยค�ำพูดใด ๆ เลย เหตุการณ์จึงร่�ำลือกันไป ใหญ่โต จากนอกเมืองก็เข้าสู่ภายในเมือง จากชาวบ้าน ก็ไปถึงชาววัง ผู้คนพากันไปดู และถามไถ่มาณพนั้น แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมตอบใด ๆ ทั้งส้ิน นั่งอดอาหาร นง่ิ เฉยอยู่ อดอาหารในวันแรก เป็นพวกชาวชนบทพากันมา ถามไถ่เขาเปน็ ส่วนมาก อดอาหารในวันที่สอง พวกชาวบ้านริมประตูเมือง มาถามเขา อดอาหารในวนั ที่สาม คนในเมืองทราบข่าว กม็ าดู เขาทร่ี มิ ฝ่ังแมน่ �ำ้ นัน้ อดอาหารในวนั ทสี่ ่ี เหลา่ พอ่ คา้ ทที่ ำ� มาหากนิ ในเมอื ง มากัน ตามเสยี งกล่าวขาน อดอาหารในวันท่ีห้า ราชบุรุษพากันมาสอบถาม เพ่ือต้องการรู้ความจรงิ แต่เขายงั ไม่พดู จาใด ๆ เลย ทตู 21

อดอาหารในวันที่หก พระราชาทรงสั่งให้อ�ำมาตย์ เป็นทูตมาหาค�ำตอบ แต่ก็ยังคงไม่มีค�ำตอบใด ๆ ให้แก่ พระราชา เมื่อถึงวันท่ีเจ็ด พระราชาทรงอดความสงสัยไม่ได้ ท้ังปรารถนาค�ำตอบทชี่ ัดเจน และตอ้ งการให้สถานการณ์ สงบเรียบร้อย ไม่ก่อเกิดเหตุเภทภัยใด ๆ ขึ้น จึงเสด็จ ไปยังริมฝั่งแม่น�้ำคงคา แล้วตรัสถามมาณพนั้นด้วย พระองคเ์ อง “ดกู อ่ นพราหมณห์ นมุ่ เราสง่ ทตู ทงั้ หลาย มาพบทา่ น ผู้ซึ่งเพ่งฌาณ (สภาวะสงบ อันประณีตยิ่ง) อยู่ท่ีริมฝั่ง แมน่ �้ำคงคานี้ ทตู เหล่านน้ั ถามทา่ น แต่ทา่ นกม็ ิได้โต้ตอบ ทา่ นมคี วามทกุ ขใ์ ดเกดิ ขน้ึ หรอื ไม่? แลว้ จะอดอาหารจนตาย เชียวหรอื ?” พราหมณม์ าณพ ตงั้ แตไ่ ดเ้ หน็ พระราชาเสดจ็ มาเอง ก็ให้ดีใจนักคิดอยู่ว่า ‘กุศโลบายส�ำเร็จสมใจที่มุ่งหมาย ได้พบปะสนทนากับพระราชา’ ดงั นนั้ จงึ ได้กราบทลู ว่า “ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้บ�ำรุงรฐั กาสีใหเ้ จรญิ ถา้ ความทกุ ข์ เกิดแก่พระองค์ หากผู้ใดเปลื้องทุกข์ให้พระองค์ไม่ได้ พระองค์ก็อย่าได้ตรัสบอกความทุกข์แก่ผู้นั้น แต่ถ้าผู้ใด 22

เปลื้องทุกข์ให้ได้โดยธรรมแน่แท้ พระองค์พึงบอกเล่า ความทุกขแ์ กผ่ นู้ ้ัน ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ตาม เสียง ของนกกต็ าม รไู้ ดง้ า่ ย แตเ่ สยี งของมนษุ ย์ รไู้ ดย้ ากกวา่ นน้ั เพราะบางคนเบื้องต้น เป็นคนใจดี ย่อมนับถือกันว่า เป็นญาติ เป็นมิตรสหาย แต่ภายหลังกลับกลายไปเป็น ศตั รกู ็ได้ ใจของมนษุ ยร์ ู้ไดย้ ากอยา่ งนี้ ผูใ้ ดถูกเขาถามเนือง ๆ ถงึ ทุกข์ของตน แล้วบอกไป ในเวลาไมส่ มควร ผู้น้ันจะพบแตผ่ ูท้ ่ไี มย่ ินดรี ่วมทุกขด์ ้วย เพราะเขาเปน็ มติ รท่ีแสวงหาแตป่ ระโยชน์ตน ส่วนผู้ใดรู้เวลาอันสมควร รู้จักบัณฑิตผู้มีปัญญา วา่ มใี จชว่ ยเหลือกนั จริง พึงบอกความทุกข์แก่บัณฑิตน้นั ดว้ ยการเปล่งวาจาที่อ่อนหวาน มปี ระโยชน์ แต่ถ้าหาบัณฑิตเช่นนั้นไม่ได้ พึงอดกล้ันทุกข์ของ ตนไว้ ควรรู้ประเพณีของโลกนี้ว่า คนเราจะเอาแต่สุข โดยส่วนเดียวไม่ได้ นักปราชญ์ (ผู้มีปัญญารู้แจ้ง) จงึ พจิ ารณาเห็นหริ ิ (ความละอายตอ่ บาป) และโอตตปั ปะ (ความเกรงกลวั ตอ่ บาป) อนั เปน็ ของจรงิ ดงั นน้ั จงึ อดกลนั้ ความทกุ ข์รอ้ นเอาไวเ้ พียงลำ� พังเทา่ นนั้ มิได้บอกแกผ่ ใู้ ด” พระราชาทรงสดับเช่นนน้ั จงึ ตรสั กับเขาว่า ทูต 23

“ทา่ นจงบอกแก่เราเถดิ เวลานเี้ หมาะควรแล้ว และ ในแวน่ แคว้นน้ี จะมีใครช่วยท่านไดด้ กี ว่าเราอกี ” เขาเห็นพระราชาทรงรับรองให้สมใจตนแล้ว จึง กราบทูลถึงทกุ ข์ทตี่ นมีอยู่ “ขา้ แต่มหาราช เพราะข้าพระองค์ตอ้ งการหาทรพั ย์ ใหอ้ าจารย์ จงึ ทอ่ งไปทวั่ แว่นแควน้ นิคมทั้งหลาย กระท่ัง หาทรพั ยม์ าไดเ้ ปน็ ทองคำ� ๗ แทง่ แตแ่ ลว้ กม็ าทำ� สญู หาย จมอยู่ในแม่น�้ำคงคานี้ เพราะเหตุน้ัน ข้าพระองค์จึงทุกข์ เศรา้ โศกมาก อดอาหารอยู่ ณ ท่ตี รงน้ี แม้ชาวบ้านชาวเมืองและทูตทั้งหลายท่ีพระองค์ ส่งมาถามไถ่นัน้ ข้าพระองคก์ ็คิดดแู ล้วด้วยใจตนวา่ ‘ทตู เหล่านี้ ไม่สามารถปลดเปล้ืองทุกข์ของข้าพระองค์ได้’ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จงึ ไมบ่ อกแก่เขาเหล่านั้น แต่เม่ือพระองค์เสด็จมา ข้าพระองค์คิดรู้ด้วยใจว่า ‘พระองคส์ ามารถเปลอ้ื งทกุ ขข์ องขา้ พระองคไ์ ดแ้ น’่ เพราะ เหตุน้นั จงึ ไดก้ ราบทูลทกุ ขใ์ ห้พระองค์ทรงทราบ” พระราชาทรงได้ยินเช่นนั้น ให้รู้สึกปล้ืมพระทัย และทรงเลื่อมใสในสติปัญญาของมาณพนี้มาก จึงได้ พระราชทานทองค�ำ ๑๔ แท่งแก่เขา พราหมณ์มาณพ ไดโ้ อกาสแล้ว จงึ ถวายโอวาทตักเตอื นพระราชาใหต้ ัง้ อยู่ 24

ในธรรม พระราชาก็ทรงด�ำรงอยู่ในโอวาทของเขา ครอง ราชสมบัติโดยธรรมสบื ไป จากน้ันเขาก็น�ำทรัพย์ไปมอบให้แก่อาจารย์ แล้ว บ�ำเพญ็ บญุ กศุ ลไปตลอดชวี ิต ประชุมชาดก พระราชาในครัง้ นัน้ ได้มาเป็น พระอานนท์ อาจารย์ ไดม้ าเป็น พระสารีบตุ ร สว่ นมาณพ คือ เราตถาคต นัน่ แล. ขอ้ คิดจากชาดก ๑. วิธีการแก้ไขปัญหาท่ีถูก ตรงจุด ตรงประเด็น ย่อมประสบความส�ำเร็จได้ตามความประสงค์ พราหมณ์ หนุ่มโพธิสัตว์ เลือกจะใช้วิธีน่ิงเงียบสร้างความสนใจให้ ชาวบ้านจนร�่ำลือไปถึงพระราชา เพราะคิดว่าพระราชา เทา่ น้นั ท่จี ะปลดเปลอื้ งปญั หาของตนได้ ๒. การรู้จักใช้เหตุผล เพ่ืออธิบายส่ิงต่าง ๆ ด้วย ปัญญา ผู้มสี ติปญั ญาฟังแล้วกส็ ามารถตรองตามได้ และ ช่ืนชม ในค�ำอธิบายที่ชัดเจน แจ่มชัดจนอดที่จะยกย่อง ในสติปญั ญาของผูพ้ ดู ไม่ได้ ทูต 25

26

๓) ปุณณนทีชาดก๓ ว่าด้วย การไม่ระลกึ ถึง สถานที่ตรสั พระเชตวนั มหาวิหาร ทรงปรารภ การสรรเสรญิ ปญั ญาของพระองค์ ต้นเรอื่ ง ความย่อมีว่า ในวันหนึ่ง ภิกษุท้ังหลายประชุม สนทนากนั ปรารภพระปญั ญาของพระตถาคต ในโรงธรรม วา่ “อาวโุ สทง้ั หลาย พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มพี ระปญั ญามาก มีพระปัญญาลึกซ้ึง มีพระปัญญาแจ่มใส มีพระปัญญา ว่องไว มีพระปัญญาแหลม มีพระปัญญาช�ำแรกกิเลส ทรงประกอบดว้ ยพระปัญญาเฉลยี วฉลาด.” พระศาสดาเสดจ็ มาตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บดั น้ี พวกเธอนง่ั สนทนากนั ดว้ ยเรอ่ื งอะไร ?.” เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ๓ ต้นฉบับ อรรถกถาปณุ ณนทชี าดก ทุกนิบาต, ล.๕๗, น.๓๓๘, มมร. ปณุ ณนที 27

มิใช่ในบัดน้ีเท่าน้ัน แม้เม่ือก่อนตถาคตก็มีปัญญาฉลาด ในอบุ ายเหมอื นกัน.” แล้วทรงน�ำเรอื่ งอดีตมาตรสั เล่า. เน้อื หาชาดกย่อ ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์สมบัติอยู่ ในกรุงพาราณสี๔ ขณะน้ัน มีชายคนหน่ึงถือก�ำเนิดใน ตระกลู ปโุ รหติ ๕ ตอ่ มา เมอื่ เจริญวัยรู้เดียงสาแล้ว บิดาได้ ส่งเขาไปศึกษาหาความรู้ท่ีเมอื งตกั กสลิ า ครั้นเมื่อบิดาถึงแก่กรรม เขาจึงได้รับต�ำแหน่ง ปโุ รหติ ตอ่ จากบดิ า มหี นา้ ทถ่ี วายคำ� แนะนำ� ในการปกครอง บา้ นเมอื งแด่พระเจา้ พาราณสี ๔ เมอื งพาราณสเี ป็นสถานทีเ่ กิดของชาดกพอ ๆ กับการศึกษาต้อง ไปเรียนท่ีตักกสิลา (ชื่อเมืองอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐ ปัญจาบ ปัจจบุ ันนี้ ตักศลิ าอย่ใู นเขตประเทศปากสี ถาน ต้ังอย่ทู าง ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของกรงุ อสิ ลามาบดั เมอื งตกั ศลิ าถอื กำ� เนดิ ขึ้นต้ังแต่ครั้งดึกด�ำบรรพ์ เป็นนครหลวงแห่งแคว้นคันธาระและ เป็นหน่งึ ในบรรดา ๑๖ แคว้นของชมพทู วีป ฯ) ๕ ต�ำแหน่งปุโรหิต ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็เป็นต�ำแหน่งองคมนตรี นนั่ เอง มหี นา้ ทค่ี อยถวายคำ� ปรกึ ษาในทางการเมอื งแดพ่ ระราชา ฯ 28

ไม่นานนัก มีบุคคลบางคนไม่พอใจในตัวเขา เกิดความริษยา๖ ท่ีเขาเป็นท่ีโปรดปรานของพระราชา จึงกราบทูลยุแหย่ จนพระราชาพิโรธไม่ได้ทรงใคร่ครวญ ใหร้ อบคอบเสยี กอ่ นและทรงมรี บั สงั่ ใหเ้ นรเทศเขาออกจาก กรงุ พาราณสีทนั ทีดว้ ยมรี บั สง่ั ว่า “ท่านจงออกไปจากเมืองของเรา อย่าอยู่ให้ขวางหู ขวางตาเราเลย” เมื่อเป็นคนดีแต่ถูกใส่ร้ายด้วยเรื่องอันไม่เป็นจริง เชน่ นน้ั และไดร้ บั อาชญาคอื การถกู เนรเทศออกจากมาตภุ มู ิ เขาจึงจ�ำใจต้องยอมรับชะตากรรม อพยพพาภรรยาและ บตุ รไปอาศัยอยู่ ณ หมู่บา้ นแหง่ หนึ่งในแคว้นกาสี ต่อมา พระราชาหายพิโรธ ทรงระลึกถึงความดี ของเขา จึงทรงด�ำริว่า ‘การที่เราจะส่งให้ใครไปตาม ท่านอาจารย์ให้กลับมาดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่เรา จะแต่งคาถาหนึ่งส่งไป ได้ทรงท�ำการประพันธ์ ๑ คาถา ซอ่ นความต้องการของพระองค์เอาไว้’ ๖ ขอ้ นเ้ี ปน็ เรอื่ งปกตสิ ำ� หรบั มนษุ ยท์ ไ่ี มอ่ ยากใหใ้ ครไดด้ เี กนิ หนา้ ถา้ ใครไดด้ กี จ็ ะเกดิ ความรษิ ยา ยกเวน้ บดิ ามารดาทจี่ ะเกดิ มทุ ติ า คอื ความปรารถนาดตี อ่ บุตรธิดาของตนเอง ปณุ ณนที 29

เม่ือประพันธ์คาถาเสร็จ ทรงมีรับส่ังให้ต้มเนื้อกา ห่อด้วยผ้าขาว ประทับตราหลวงด้วยทรงพระด�ำริว่า ‘หากปุโรหิตเป็นคนฉลาด เขาอ่านแล้วและได้กินเน้ือกา คงรู้ความประสงค์ของเราก็จะต้องกลับมา แต่ถ้าเขา เป็นคนเขลาไม่เขา้ ใจปรศิ นาของเรากค็ งไมก่ ลบั มา’ พระราชาได้ทรงลขิ ิตคาถาน้ลี งในใบลานว่า ‘ชนท้ังหลายพูดถึงแม่น้�ำท่ีเต็มแล้วว่า กาดื่มกินได้ ก็ดี พูดถงึ ข้าวกล้าทเ่ี กดิ แลว้ ว่า กาซ่อนอยู่ไดก้ ด็ ี, พูดถึง คนที่รักกันซ่ึงไปสู่ที่ในท่ีไกลว่า จะกลับมาถึงเพราะกา บอกขา่ วกด็ ,ี กาตวั นน้ั เรานำ� มาใหท้ า่ นแลว้ ขอเชญิ บรโิ ภค เนอื้ กาตวั นนั้ เถดิ พราหมณ์เอย๋ ’ เม่ือปุโรหิตได้อ่านหนังสือก็ทราบว่า ‘พระราชา ตอ้ งการพบตน’ จึงไดก้ ลา่ วคาถาที่ ๒ วา่ ในคราวใด พระราชาทรงระลึกถงึ เราจึงได้พระราช- ทานสง่ เนอ้ื กาใหเ้ รา คราวนน้ั เนอ้ื หงสก์ ด็ ี เนอ้ื นกกะเรยี น กด็ ี เนอ้ื นกยงู กด็ ี เปน็ ของทเี่ รานำ� ไปถวายแลว้ การไมร่ ะลกึ ถงึ เสียเลยเป็นความเลวทราม 30

พระราชาตอ้ งการอธบิ ายวา่ ความนยั ทซี่ อ่ นในคาถา ที่ ๑ วา่ ‘ชนท้ังหลายกล่าวถึงแม่น้�ำท่ีกาด่ืมได้ คือแม่น้�ำท่ี เต็มฝั่ง เพราะเมื่อใดที่กายืนอยู่บนฝั่งแม่น�้ำแล้วสามารถ ยืดคอลงไปดื่มได้ เมื่อนั้นแหละจึงเรียกว่า ‘แม่น�้ำที่กา ด่ืมได้’ ข้าวกล้าอ่อนท่ีเกิดงอกงามสมบูรณ์ จนกระท่ัง เม่ือกาบินเข้าไปสามารถซ่อนตัว จนมองไม่เห็นกาได้ จงึ เรยี กว่า ‘ข้าวกลา้ ท่ีกาหลบซ่อนได้’ บคุ คลผเู้ ปน็ ทร่ี กั จากกนั ไปไกลนาน ๆ ยอ่ มพดู ถงึ กนั เพราะไดเ้ ห็นกามาจับหรือได้ยินเสยี งกาส่งข่าววา่ ‘กากา’ จึงเข้าใจว่า ‘บุคคลผู้เป็นท่ีรักของเราซ่ึงจากไปนานคงจะ กลบั มาแลว้ เพราะกาส่งขา่ วนนั่ เอง’ บัดน้ี เน้ือนั้น เราน�ำมาให้ท่านแล้ว พราหมณ์เอ๋ย เชิญท่านรบั เนอ้ื กานไี้ ปบริโภคเถดิ ’ ฝา่ ยปโุ รหติ ไดอ้ า่ นคาถาและเนอ้ื กาตม้ แลว้ อดนอ้ ยใจ ไมไ่ ดว้ า่ ‘ในคราวน้ี พระราชาไดเ้ นอื้ กามา ทรงระลกึ ถงึ เรา จึงได้ส่งมาพระราชทาน แต่บางคราว ทรงได้เนื้อหงส์ แตก่ ลับทรงลืมเรา ปณุ ณนที 31

เม่ือพระราชาทรงมีความสุข ได้เนื้อหงส์ท่ีมีค่า ราคาแพง ทำ� ไมไมท่ รงนกึ ถงึ เรา แตเ่ มอื่ ไดเ้ นอ้ื การาคาตำ�่ แสดงว่าก�ำลังทรงมีความทุกข์จึงทรงนึกถึงเรา ต้องการ ใหเ้ ราชว่ ยแกป้ ญั หาให้ แต่ช่างเถิด ไม่ว่าจะได้เนื้อดีหรือไม่ก็ตาม การที่ ทรงระลกึ ถงึ เรากเ็ ปน็ ความดี การไมร่ ะลกึ นกึ ถงึ เลย ไมใ่ ช่ ส่ิงท่ีดีงาม เม่ือพระราชาทรงระลึกถึงเรา ทรงรอคอย การกลับมาของเรา ฉะนั้น เราก็สมควรท่ีจะกลับไป เขา้ เฝ้า’ ปุโรหิตได้เทียมยานไปเข้าเฝ้าพระราชา ท�ำให้ พระองคโ์ ปรดปรานมาก ได้ทรงพระราชทานคืนตำ� แหน่ง เดิมให้แกเ่ ขา ประชมุ ชาดก พระราชาในคร้ังนน้ั ไดเ้ ปน็ อานนท์ ในคร้ังน้ี สว่ นปโุ รหติ คอื เราตถาคต น้แี ล. ข้อคิดจากชาดก ๑. การท�ำงานท่ีมีหัวหน้างานในระดับต่าง ๆ ในฐานะลูกน้องนอกจากมีความรู้ ความสามารถแล้ว 32

ยังต้องระมัดระวังตัว ท�ำตนไม่ให้เด่นเกินคนอ่ืน จนถูก อิจฉาริษยาและใส่ร้าย แต่ต้องท�ำตัวให้เป็นท่ีช่ืนชม ของหัวหน้าและคนรอบข้าง ๒. หวั หนา้ ทไี่ มห่ นกั แนน่ หเู บา ฟงั ความขา้ งเดยี ว ขาดสติปัญญาในการไตร่ตรองให้รอบคอบขาดการ ตรวจสอบ ท�ำใหต้ ัดสนิ ใจที่ผดิ พลาดได้ บางอย่าง สามารถท�ำการแก้ไขได้ ความเสียหาย กไ็ มเ่ กดิ บางอย่างไม่มีโอกาสแก้ไขได้อีก ท�ำให้ต้องเสีย คนเกง่ คนดี ไปอยา่ งน่าเสียดาย ปุณณนที 33

34

๔) สจู ิชาดก๗ วา่ ดว้ ย เข็ม สถานท่ีตรสั พระวหิ ารเชตวนั ทรงปรารภ ปญั ญาบารมีแล้ว ต้นเรอ่ื ง คร้ังน้ัน พระศาสดาได้ตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายมา แล้วตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่เฉพาะแต่ในบัดนี้ เท่าน้ัน แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ ฉลาดในอุบายทีเดียว.” แล้วได้ทรงน�ำเอาเร่ืองในอดีต มาสาธก ดงั ต่อไปน.้ี เน้อื หาชาดกย่อ พระโพธสิ ตั วไ์ ดเ้ กดิ ในตระกลู ของชา่ งเหลก็ ทยี่ ากจน ในแคว้นกาสี เมื่อท่านเจริญวัยได้ร�่ำเรียนศิลปวิทยา จนเจนจบ ท่านเปน็ ผทู้ ท่ี �ำการงานได้อยา่ งประณีตงดงาม เกินกวา่ ชา่ งท่วั ๆ ไป ๗ ต้นฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก ฉกั กนิบาตชาดก, ล.๕๙, น.๑๒๘, มมร. สจู ิ 35

ในท่ีไม่ไกลจากหมู่บ้านของพระโพธสิ ัตว์ มีหมบู่ า้ น ชา่ งเหลก็ อกี กลมุ่ หนงึ่ ซงึ่ มบี า้ นอยถู่ งึ ๑,๐๐๐ หลงั คาเรอื น หัวหน้าหมู่บ้านช่างเหล็กหมู่บ้านนี้ เป็นท่ีโปรดปราน ของพระราชามาก ทรงแตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ ราชวลั ลภ (คนโปรด) ผู้ใกลช้ ิดของพระองค์ หวั หน้าช่างเหลก็ น้ันเป็นผูท้ ่มี ่งั คั่ง มีทรัพย์มากมาย เป็นท่ีเคารพรักนับถือของลูกบ้าน หัวหน้าช่างเหล็กนี้ มธี ดิ าทม่ี คี วามงามประดจุ เทพธดิ า กริ ยิ ามารยาทเรยี บรอ้ ย สมกบั เปน็ กลุ สตรี ทำ� ใหช้ ายหนมุ่ ทง้ั หลายพากนั มารบั จา้ ง ทำ� งานท่บี า้ นนายชา่ งเหล็ก เพื่อท่ีจะได้เหน็ นางทุก ๆ วนั จนเป็นท่เี ลอ่ื งลือของชนท้ังหลาย เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ยินค�ำชมนั้นก็ประทับใจ เกิด ความรู้สึกผูกพันในใจคิดว่า ‘เราต้องแสดงภูมิปัญญาให้ ประจักษ์ จึงจะสามารถรับธิดาของช่างเหล็กน้ันมาเป็น ภรรยาได้’ คิดดังน้ีแล้ว จึงน�ำเหล็กเนื้อดีที่สุดท�ำเป็น เข็มเล่มเล็กละเอียดท่ีสุดเล่มหน่ึง เจาะเป็นรูที่ก้นเข็ม แล้วถ่วงน้�ำไว้ จากนั้นก็ท�ำกลักเข็มเหมือนกับเป็นเข็ม อกี เลม่ หนง่ึ ทา่ นไดท้ ำ� เปน็ ชน้ั ๆ ถงึ ๗ ชนั้ (ทพี่ ระโพธสิ ตั ว์ ทำ� เชน่ น้ีได้ เพราะความรแู้ ละภูมิปญั ญาอนั สูงส่งมากเกนิ กวา่ คนธรรมดานน่ั เอง) 36

หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์ได้สอดเข็มนั้นไว้ใน กลกั เข็ม แลว้ เก็บไว้ทชี่ ายพก จากนั้นไดเ้ ดนิ ไปทหี่ มู่บ้าน เมอื่ ถามถงึ ทอี่ ยขู่ องหวั หนา้ ชา่ งเหลก็ กเ็ ดนิ ตรงไปยงั ทนี่ นั้ ได้ยืนอยู่ท่ีประตูพลางพูดข้ึนว่า “ใครต้องการซ้ือเข็มท่ี ไมข่ รขุ ระ ไมห่ ยาบ มรี รู อ้ ยดา้ ยอยา่ งดี ปลายเลม่ แหลมคม เกินกว่าเข็มธรรมดาท่ัวไป สามารถที่จะเย็บผ้าได้อย่าง สบาย โดยไมต่ อ้ งใช้แรงมากเลย” ขณะนั้น ธิดาช่างเหล็กก�ำลังใช้พัดใบตาลพัดให้ บดิ า ซง่ึ กำ� ลงั นอนพกั ผอ่ นหลงั จากรบั ประทานอาหารเชา้ เม่ือนางได้ยินเสียงที่ไพเราะของพระโพธิสัตว์ รู้สึก ชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก เกิดความสงสัยเช่นกันว่า ‘ใครหนอไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ถึงกับมาขายเข็มที่บ้าน ของช่างเหล็กท่ีมีฝีมือได้.’ คิดดังน้ีแล้ว นางจึงวางพัด แลว้ ออกไปยืนทีเ่ ฉลียง พลางกลา่ วกบั พระโพธสิ ตั ว์ว่า “คนทงั้ หลายตา่ งตอ้ งการสง่ิ ของทท่ี ำ� จากทน่ี ่ี แตท่ า่ น กลับมาขายของเช่นน้ีในแหล่งของช่างเหล็ก เป็นการ ไม่ฉลาดเลย ต่อให้ท่านประกาศขายอย่างน้ีตลอดท้ังวัน ก็ไม่มใี ครซือ้ หรอก” สูจิ 37

พระโพธิสัตว์ฟังแล้ว แทนที่จะโกรธกลับพูดว่า “ผมู้ ปี ญั ญาเขาไมก่ ลวั ตอ่ การพสิ จู น์ บดิ าของทา่ นสามารถ พสิ จู นไ์ ดเ้ องว่า เขม็ ทเ่ี ราขายนม้ี คี ุณภาพดเี พียงไร” เมอ่ื หวั หนา้ ช่างเหลก็ ผู้เปน็ พอ่ ไดย้ นิ การพูดจาของ คนท้งั สอง จงึ ลกุ ข้นึ ถามวา่ “ลูกก�ำลังพดู อย่กู บั ใคร ?” นางตอบว่า “ก�ำลังคุยกับคนขายเขม็ น่ะ พ่อ” เมื่อได้ฟังอย่างน้ัน ช่างเหล็กคิดอยากดูภูมิปัญญา ของพระโพธิสัตว์ จึงเชิญให้เข้ามาในบ้าน ครั้นรับไหว้ พระโพธสิ ตั วแ์ ลว้ จงึ ถามวา่ “ทเี่ จา้ มาทนี่ เ้ี พอ่ื ตอ้ งการทจ่ี ะ ขายเขม็ ใชไ่ หม ? ไหนเราขอดเู ขม็ ของเจ้าหน่อยเถดิ ” พระโพธิสัตว์ต้องการที่จะประกาศความสามารถ ของตน เพื่อเอาชนะใจของหัวหน้าช่าง จึงพูดข้ึนว่า “ขอท่านจงให้ช่างเหล็กทั้งหมดมาประชุมกันก่อนเถอะ กระผมอยากให้เหน็ พร้อม ๆ กัน” หัวหน้าช่างไม่ขัดความต้องการของพระโพธิสัตว์ สั่งให้ช่างเหล็กในหมู่บ้านทั้งหมดมาประชุมพร้อมกัน ตามค�ำขอ 38

หลงั จากนน้ั พระโพธสิ ตั วใ์ หน้ ำ� ทง่ั มาแทง่ หนงึ่ พรอ้ ม กับถาดสัมฤทธ์ิที่มีน�้ำเต็ม แล้วน�ำตลับเข็มอันละเอียด สวยงาม ออกมาจากชายพกมอบให้นายช่างเหล็กดู ทันทีท่ีนายช่างเห็น เนื่องจากเป็นของท่ีไม่เคยเห็นที่ใด มากอ่ นจงึ ถามวา่ “น่หี รอื เขม็ ทเ่ี จา้ จะขาย ?” พระโพธิสัตว์ตอบว่า “อาจารย์ นั่นไม่ใช่เข็มหรอก ครบั มนั เปน็ กลกั ชน้ั นอกสดุ ตา่ งหาก” แลว้ เอาเลบ็ แคะกลกั ออกทลี ะช้ัน จนถงึ ๖ กลักด้วยกนั น่เี ป็นผลงานท่ีแม้แต่ ช่างใหญ่เองก็ไม่เคยเห็นมากอ่ น เมอ่ื ชา่ งเหลก็ ทง้ั หลายไดช้ มศลิ ปะชน้ั ยอดเชน่ นแ้ี ลว้ ต่างพากันปรบมือ เปล่งเสียงชื่นชมยินดีกันถ้วนหน้า พระโพธิสัตว์จึงพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ขอให้ท่านบอกบุรุษ ที่มีก�ำลังยกท่ังข้ึนวางบนถาดน�้ำ แล้วตอกเข็มเล่มนี้ ลงไปเถดิ ” นายชา่ งเหลก็ ใหท้ ำ� ตามทพี่ ระโพธสิ ตั วบ์ อก เขม็ เลม่ เลก็ ละเอยี ดสวยงามนนั้ เมอื่ ตอกลงไปแลว้ กท็ ะลทุ ง่ั เหลก็ ลงไปลอยอยูบ่ นผิวนำ�้ อย่างนา่ อศั จรรย์ ช่างเหลก็ ทัง้ หมด เห็นเช่นน้ันถึงกับตะลึงในความสามารถ และภูมิปัญญา ของพระโพธิสัตว์ ต่างเอ่ยปากชมยิ่งข้ึนไปอีกว่า “ต้ังแต่ สูจิ 39

เป็นช่างเหล็กมา ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไดฟ้ งั เลยวา่ ชา่ งทม่ี ปี ญั ญาและความสามารถอยา่ งนม้ี อี ย”ู่ ต่างพากันปรบมือและชผู ้าแซซ่ อ้ งยินดยี ่งิ ขึน้ ไปอีก หวั หน้าช่างเหล็กคิดวา่ ‘ชายหนมุ่ นม้ี ที ัง้ ปญั ญาและ ฝมี อื เปน็ ผทู้ เ่ี หมาะสมโดยประการทง้ั ปวงทจี่ ะดแู ลกจิ การ ของเรา.’ เม่ือเห็นผู้ท่ีเหมาะสมแล้ว จึงเรียกธิดามา และ ประกาศในท่ามกลางทป่ี ระชุมว่า ธดิ าของเรานเ้ี หมาะสม ท่ีจะอยู่กบั เจ้า พลางหล่ังนำ�้ ยกธิดาให้ คร้ันหัวหน้าช่างเหล็กส้ินชีวิตไป พระโพธิสัตว์ได้ สืบทอดต�ำแหน่งหัวหน้าแทน ผลงานและภูมิปัญญา ของพระโพธิสัตว์น้ัน ได้สร้างช่ือเสียงขจรขจายไปทั่ว ทกุ สารทศิ ประชุมชาดกว่า ธิดาของหัวหน้าช่างเหล็กในกาลคร้ังนั้น ได้เป็น มารดาพระราหุล ในบดั น้ี ส่วนหวั หนา้ คือ เราตถาคต ฉะน้แี ล. 40

ขอ้ คดิ จากชาดก ๑. บุคคลที่จะประสบความส�ำเร็จในสิ่งที่ตนต้อง ประสงค์ นอกจากมีความสามารถที่แท้จริงแล้ว ยังต้อง แสดงฝีมือให้ผู้คนประจักษ์ ยิ่งคนในสายงานวิชาชีพ เดียวกันยอมรบั แสดงว่าเกง่ จริง ๒. การวางแผน การตระเตรียมการอย่างดี จึงจะ สามารถท�ำทุกส่ิงที่ตนตั้งเป้าหมายไว้ ให้บรรลุความ ประสงคไ์ ด้ สูจิ 41

42

๕) สุปปารกชาดก๘ ว่าดว้ ย ทะเล ๖ ประการ สถานท่ีตรัส พระวิหารเชตวนั ทรงปรารภ ปัญญาบารมแี ลว้ ตน้ เร่ือง เร่ืองโดยละเอียดมีว่า วันหนึ่งเวลาเย็น พวกภิกษุ พากนั รอพระตถาคตเสดจ็ ออกแสดงธรรมนงั่ ในธรรมสภา ตา่ งพรรณนาพระมหาปญั ญาบารมขี องพระทศพลวา่ “ผมู้ ี อายทุ ง้ั หลาย อัศจรรยย์ ิง่ นัก พระศาสดาทรงมพี ระปรชี า มาก มพี ระปรชี าหนกั หนา มพี ระปรชี าแจม่ ใส มพี ระปรชี า ว่องไว มีพระปรีชาคมคาย มีพระปรีชาหลักแหลม ทรง ประกอบด้วยพระปรีชาอันเป็นอุบายในกรณียะ๙ น้ัน ๆ หนักหนาเสมอด้วยแผ่นดิน ลึกซึ้งประหนึ่งมหาสมุทร ๘ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ชาดก, ล.๖๐, น.๙๗, มมร. ๙ อา่ นวา่ กะ-ระ-, กอ-ระ- แปลวา่ น. การอันพึงทำ� , งานอนั จำ� ทำ� , ธุระ, กจิ , หนา้ ท,ี่ เชน่ กรณยี กจิ (เหมือน กรณีย์). สุปปารก 43

กว้างขวางไม่ส้ินสุดดุจดังอากาศ ปัญหาท่ีตั้งข้ึนกัน ในชมพูทวีป ที่จะได้ช่ือว่าผ่านพ้นพระทศพลไปได้ ไม่มี เลยทีเดียว เหมือนคลื่นท่ีต้ังข้ึนในมหาสมุทร พอถึงฝั่ง เท่าน้ันก็แตกกระจายไป ฉันใด ปัญหาอันใดอันหน่ึง ที่ต้ังข้ึนก็มิได้ผ่านพ้นพระทศพลไปได้ ถึงบาทมูล พระศาสดาแลว้ ย่อมแตกฉานไปทีเดียว ฉนั นัน้ .” พระศาสดาเสดจ็ มาตรสั ถามวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ท่ีตถาคตมีปัญญา แม้ในครั้งก่อน ตถาคตกเ็ ป็นผมู้ ีปญั ญาดว้ ยญาณอนั ไมแ่ ก่กลา้ ถงึ จะเปน็ คนตาบอด ก็ยังรู้ได้ว่า ‘ในสมุทรตอนนี้มีรัตนะช่ือน้ี’ ด้วยการก�ำหนดน้�ำในมหาสมุทร.” ทรงน�ำอดีตนิทานมา ดังตอ่ ไปน้ี เนอ้ื หาชาดกยอ่ ในอดีตกาลพระเจ้ากุรุราช เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นกุรุ ไดม้ บี ้านอนั เป็นทา่ เรอื นามวา่ “ภรกุ ัจฉะ” คร้ังน้ัน พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นบุตรของ หัวหน้าต้นหนในบ้านกุรุกัจฉะ เป็นคนท่ีน่าเล่ือมใส ผิวพรรณเพียงดังทอง หมู่ญาติได้ขนานนามให้ท่านว่า “สุปารกกมุ าร” 44

ในกาลทมี่ อี ายุ ๑๖ กเ็ รยี นสำ� เรจ็ ศลิ ปะของตน้ หนแลว้ ตอ่ มาพอบดิ าล่วงลบั ไป กไ็ ด้เปน็ หวั หน้าตน้ หน ท�ำหนา้ ท่ี ตน้ หน ได้เป็นบณั ฑติ สมบูรณ์ด้วยญาณ บรรดาเรือท่ีท่านขึ้นไปแล้วเป็นไม่มีเรื่องท่ีเรียกว่า อับปางเลย ต่อมานัยน์ตาท้ังคู่ของท่านกระทบน�้ำเค็มนัก เลยเสียไป ตั้งแต่บัดนั้น ถึงท่านจะเป็นหัวหน้าต้นหนอยู่ ก็ท�ำ หนา้ ทตี่ น้ หนไมไ่ ด้ คดิ ว่า ‘เราพ่ึงพระราชาเลย้ี งชวี ิตเถอะ’ แลว้ เข้าไปเฝ้าพระราชา ครง้ั นนั้ พระราชาทรงแตง่ ตงั้ ทา่ นไวใ้ นหนา้ ทพ่ี นกั งาน ตีราคา ตั้งแต่บัดนั้น ท่านก็คอยประเมินราคา ช้างแก้ว ม้าแก้ว และกอ้ นแกว้ มกุ ดาแก้วมณเี ป็นตน้ . วันหนึ่ง คนทั้งหลายน�ำช้างตัวหน่ึง มีสีด�ำเหมือน สหี น่อหนิ ทูลถวายแดพ่ ระราชาดว้ ยคดิ วา่ ‘จะเป็นมงคล หตั ถ”ี พระราชาทอดพระเนตรช้างนน้ั แล้ว ตรัสวา่ “เจา้ ทงั้ หลายจงใหท้ ่านบณั ฑิตมาด.ู ” ครั้นพวกน้ัน น�ำช้างนั้นไปสู่ส�ำนักของท่านแล้ว ท่านใช้มือลูบสรีระของมันท่ัว ๆ ไป กล่าวว่า “ช้างตัวนี้ ไม่สมควรจะเป็นมงคลหัตถี มันค่อมอยู่หน่อยที่เท้าหลัง สุปปารก 45

ท้ังสองข้าง เพราะแม่ของช้างตัวน้ี เมื่อคลอดช้างตัวน้ี ในเวลาคลอดนั้น ไม่อาจรับไว้ทันด้วยบั้นขาได้ เหตุน้ัน มันเลยตกลงถึงแผ่นดนิ ขาหลงั ทงั้ คจู่ ึงค่อมไปเสยี .” คนเหล่านนั้ พากันถามพวกท่นี ำ� ช้างนน้ั มา พวกนั้น กลา่ วว่า “ทา่ นบณั ฑิตพูดจริง.” พระราชาทรงสดบั เหตนุ นั้ ทรงรา่ เรงิ ดพี ระทยั โปรด ใหพ้ ระราชทานทรพั ยแ์ กท่ ่าน ๘ กระษาปณ.์ อยู่มาอีกวันหนึ่ง มีคนน�ำม้าตัวหนึ่งมาทูลถวายแด่ พระราชาว่า ‘จะเป็นม้ามงคลได้’ พระราชาทรงส่งม้านั้น ไปสสู่ �ำนกั ของทา่ น ท่านใช้มือลูบคล�ำมนั เหมอื นกัน แล้ว บอกว่า “ม้าตัวน้ีไม่สมควร จะเป็นม้ามิ่งมงคลได้ เพราะ ในวันที่มันเกิดน้ันแล แม่มันตายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น มันไม่ไดน้ มแม่ จึงไมเ่ จรญิ เท่าทค่ี วร.” คนที่จูงมา้ มา พากนั กล่าววา่ “ถ้อยคำ� ของท่านเป็น ความจริงทง้ั นน้ั .” พระราชาทรงสดับแมเ้ รอ่ื งน้นั กท็ รงดพี ระทัย โปรด พระราชทาน ๘ กระษาปณ์เหมือนกัน. คร้ันวันหนึ่ง มีคนน�ำรถมาถวายแด่พระราชาว่า ‘จะเป็นรถมงคล’ พระราชาทรงส่งรถแม้นั้นไปสู่ส�ำนัก 46

ของท่าน ท่านคงใช้มือลูบคล�ำรถคันนั้นท่ัวแล้ว กล่าวว่า “รถคันน้ีสร้างด้วยต้นไม้เป็นโพรง เหตุน้ันไม่ควรแด่ พระราชา.” ถ้อยค�ำของท่านน้นั กไ็ ดเ้ ปน็ ความจริง พระราชาทรงสดับเรื่องน้ัน ก็ทรงยินดีโปรด พระราชทาน ๘ กระษาปณ์. ครงั้ นนั้ มคี นนำ� ผา้ กมั พลราคามาก มาถวายพระราชา พระองคน์ น้ั พระองคท์ รงสง่ ผา้ นน้ั ไปใหแ้ กท่ า่ นเหมอื นกนั ทา่ นใชม้ อื ลบู ผา้ นน้ั ไปทวั่ ผนื กลา่ ววา่ “ผา้ ผนื นม้ี รี อย หนูกัดอยู่แห่งหน่ึง.” คนเหล่านั้นซักฟอกดูเห็นรอยนั้น พากนั กราบทลู แดพ่ ระราชา พระราชาทรงสดับเร่ืองนั้น คงพระราชทาน ๘ กระษาปณ์ เท่าน้นั ท่านด�ำริว่า ‘พระราชาองค์น้ี เห็นข้ออัศจรรย์ถึง เพยี งนี้ คงประทาน ๘ กระษาปณ์ รางวัลเท่านี้เป็นรางวลั ส�ำหรับช่างกัลบก พระองค์คงมีเผ่าช่างกัลบกเป็นแน่ เราจะมวั มาบำ� รงุ พระราชาเชน่ นท้ี ำ� ไมกนั ไปสทู่ อ่ี ยขู่ องตน ตามเดมิ ดกี วา่ .’ ทา่ นเลยกลบั ท่าเรอื ภรกุ ัจฉะดังเดมิ . สุปปารก 47

เม่ือท่านพ�ำนักอยู่ในบ้านน้ัน พวกพ่อค้าจัดแจง เรือ ปรึกษากันว่า ‘จะหาใครมาเป็นต้นหน’ เห็นพ้อง กันว่า ‘เรือที่ท่านสุปารกบัณฑิตขึ้นไปแล้ว ไม่เคย อับปางเลย ท่านผู้น้ีเป็นบัณฑิตฉลาดในอุบายถึงจะเป็น คนตาบอด ท่านสุปารกบัณฑิตก็ยังเป็นผู้สูงสุด.’ พากัน เข้าไปหาท่านบอกว่า “ขอเชิญท่านมาเป็นต้นหนของ พวกข้าพเจา้ .” พระโพธิสัตว์ตอบตกลง แล้วข้ึนเรือของพวกน้ัน พากนั แล่นเรอื ไปสมู่ หาสมทุ ร เรือปลอดภยั ไปได้ ๗ วัน. ลำ� ดบั นน้ั ลมมใิ ชก่ าล บงั เกดิ พดั ผนั ขนึ้ แลว้ เรอื ลอย ไปเหนือสมุทรตลอด ๔ เดือน จนถึงสมุทรที่มีช่ือว่า “ขรุมาลี.” ในสมุทรน้ัน มีฝูงปลามีสรีระคล้ายคน มีจมูก แหลม พากนั ด�ำผุดด�ำว่ายอยูใ่ นน�ำ้ พระมหาสัตว์ เทียบทานดูตามต�ำรับต้นหน. ก็รู้ ว่าเรือแล่นไปผิดทางมาถึงทะเลตอนนี้ ท่ีเรียกกันว่า “ขรุ มาล.ี ” ในสมุทรตอนนั้น มีเพชรพร้อมมูล พระมหาสัตว์ คิดว่า ‘เพ่ือความปลอดภัยจะไม่บอกความจริง.’ แต่ใช้ อบุ ายใหท้ งิ้ ขา่ ยลงไป โดยทำ� นองทจี่ ะจบั ปลา ขนกอ้ นเพชร ขึน้ ใสใ่ นเรือ ใหท้ ง้ิ ข้าวของทีม่ คี า่ นอ้ ยเสยี 48

เรือผา่ นสมทุ รตอนนัน้ ไป ถงึ ตอนท่อี ัคคมิ าลี ถดั ไป สมทุ รตอนนน้ั เปลง่ แสงแจม่ จา้ ปรากฏเหมอื นกองเพลงิ ที่ ลกุ โพลง และเหมอื นพระอาทิตยเ์ ม่อื ยามเทีย่ ง. พระมหาสัตว์เม่ือถูกถาม จึงว่า “ทะเลตอนน้ี เขาเรยี กวา่ ‘อัคคิมาลี.’ ” ในทอ้ งทะเลน้นั มที องมากมาย. ฝา่ ยพระมหาสัตว์ กใ็ หเ้ อาทองแมจ้ ากทอ้ งทะเลนน้ั บรรทกุ เรอื แบบครง้ั กอ่ น ฝ่ายเรือแล่นพ้นท้องทะเลตอนนั้นไป ถึงท้องทะเล ตอนทีเ่ ปลง่ สีเหมอื นนมสดและนมสม้ อันมชี ่ือ “ทธิมาลี.” พระมหาสัตว์เมื่อถูกถาม จึงว่า “ทะเลนี้ เขาเรียก กันวา่ ‘ทธิมาล.ี ’ ” ในท้องทะเลนั้น มีเงินมากมาย. ท่านก็ให้พวกนั้น ขนเงนิ บรรทกุ เรอื แบบเดิม เรอื แลน่ ผา่ นทอ้ งทะเลนน้ั ถงึ ทอ้ งทะเลสเี ขยี ว สอ่ งแสง เหมอื นหญา้ คาสเี ขยี ว และเหมอื นขา้ วกลา้ ทกี่ ำ� ลงั งอกงาม อันมีชื่อวา่ “กสุ มาล.ี ” พระมหาสัตว์เมื่อถูกถาม จึงว่า “ทะเลน้ี เขาเรียก กนั วา่ ตอนนี้ ‘กุสมาลี.’ ” สุปปารก 49