Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน อนาคามี

Description: พุทธวจน อนาคามี

Search

Read the Text Version

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี ชื่อของอริยบุคคล (นัยท่ี ๖) 8๔ -บาลี . . ๓/๒๒๙/๒๓๐. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๗ จำาพวกเหล่าน้ีมีปรากฏ อยู่ในโลก ๗ จำาพวกเป็นอย่างไร คือ อุภโตภาควิมุตติ ปัญญาวมิ ุตติ กายสักขี ทิฏฐิปตั ตะ สทั ธาวิมุตติ ธัมมา- นุสารี สัทธานสุ าร.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย กอ็ ภุ โตภาควมิ ตุ ตบิ คุ คลเปน็ อยา่ งไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกตอ้ งดว้ ยก�ย ซง่ึ วิโมกข์อันสงบ อันไม่มีรูปเพร�ะก้�วล่วงรูปเสียได้่ และ อ�สวะทั้งหล�ยของผู้น้ันส้ินไป เพร�ะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญ� บุคคลนี้เราเรียกว่า อุภโตภ�ควิมุตติ ภิกษุ ทงั้ หลาย เรายอ่ มกลา่ ววา่ กจิ ทคี่ วรทาำ ดว้ ยความไมป่ ระมาท ยอ่ มไมม่ แี กภ่ กิ ษนุ ้ี ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะกจิ ทคี่ วรทาำ ดว้ ยความไมป่ ระมาท ภกิ ษนุ น้ั ทาำ เสรจ็ แลว้ และภกิ ษนุ นั้ เปน็ ผไู้ มอ่ าจทีจ่ ะประมาทไดอ้ กี . ภิกษุท้ังหลาย ก็ปัญญาวิมุตติบุคคลเป็นอย่างไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ ไมไ่ ดถ้ กู ตอ้ งดว้ ยก�ย ซึ่งวิโมกข์อันสงบ อันไม่มีรูปเพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ แต่ ๒๒๙

พุทธวจน-หมวดธรรม อ�สวะท้ังหล�ยของผู้น้ันสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วย ปัญญา ภิกษุทั้งหลาย บุคคลน้ีเราเรียกว่า ปัญญ�วิมุตติ ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจท่ีควรทำาด้วยความไม่ ประมาทยอ่ มไมม่ แี กภ่ กิ ษแุ มน้ ้ี ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะ กจิ ทคี่ วรทาำ ดว้ ยความไมป่ ระมาท ภกิ ษนุ น้ั ทาำ เสรจ็ แลว้ และ ภกิ ษนุ ัน้ เป็นผไู้ ม่อาจที่จะประมาทได้อกี . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กก็ ายสกั ขบี คุ คลเปน็ อยา่ งไร ภกิ ษุ ทง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ ถกู ตอ้ งดว้ ยก�ยซง่ึ วโิ มกข์ อันสงบ อันไม่มีรูปเพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ และอ�สวะ บ�งเหล่�ของผู้น้ันสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เราเรียกว่า ก�ยสักขี ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าว ว่า กิจท่ีควรทำาด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ ข้อ น้ันเพราะเหตุอะไร ภิกษุท้ังหลาย เพราะเราเห็นผลแห่ง ความไม่ประมาทของภิกษุแม้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เมื่อเสพ เสนาสนะทส่ี มควร คบหากลั ยาณมติ ร ทาำ อนิ ทรยี ใ์ หเ้ สมออยู่ กจ็ ะทาำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ ทส่ี ดุ แหง่ พรหมจรรย์ อนั ไมม่ อี ะไรยง่ิ ไปกวา่ ซ่ึงเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ได้ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจบุ นั เข้าถึงอยู่ ดงั น้ี เราจงึ กลา่ วว่า กจิ ทีต่ อ้ งทำาดว้ ย ความไมป่ ระมาท ย่อมมแี ก่ภกิ ษุน้.ี ๒๓๐

เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทฏิ ฐปิ ตั ตบคุ คลเปน็ อยา่ งไร ภกิ ษุ ท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องด้วยก�ย ซึ่งวิโมกข์อันสงบ อันไม่มีรูปเพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ แต่อ�สวะบ�งเหล่�ของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหล�ยท่ีตถ�คตประก�ศแล้ว เป็นธรรมอันผู้น้ันเห็นแจ้งแล้ว ประพฤติดีแล้วด้วย ปัญญ� บุคคลน้ีเราเรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจท่ีควรทำาด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ ภกิ ษนุ ้ี ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะเราเหน็ ผลแหง่ ความไม่ ประมาทของภกิ ษแุ มเ้ ชน่ นว้ี า่ ไฉนทา่ นผนู้ เี้ มอื่ เสพเสนาสนะ ท่ีสมควร คบหากัลยาณมิตร ทำาอินทรีย์ให้เสมออยู่ ก็จะ ทำาให้แจ้งซ่ึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า ซ่ึงเป็นประโยชน์ท่ีต้องการของกุลบุตรท้ังหลาย ผู้ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ได้ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปจั จบุ ัน เขา้ ถงึ อยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าววา่ กิจทตี่ อ้ งทำาด้วย ความไมป่ ระมาท ยอ่ มมีแก่ภิกษุนี้. ภิกษุท้ังหลาย ก็สัทธาวิมุตติบุคคลเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ไม่ได้ถูกต้องด้วย ก�ยซึ่งวิโมกข์อันสงบ อันไม่มีรูปเพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ แต่อ�สวะบ�งเหล่�ของผู้น้ันส้ินไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ๒๓๑

พุทธวจน-หมวดธรรม ดว้ ยปญั ญา อนงึ่ คว�มเชอ่ื ในตถ�คตของผนู้ นั้ ตง้ั มน่ั แลว้ มีร�กหย่ังลงม่ันแล้ว บุคคลนี้เราเรียกว่า สัทธ�วิมุตติ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เรากลา่ ววา่ กจิ ทค่ี วรทาำ ดว้ ยความไมป่ ระมาท ย่อมมีแก่ภิกษุน้ี ข้อน้ันเพราะเหตุอะไร เพราะเราเห็นผล แหง่ ความไม่ประมาทของภิกษแุ ม้เช่นน้วี ่า ไฉนทา่ นผู้น้ีเมือ่ เสพเสนาสนะอันสมควร คบหากัลยาณมิตร ทำาอินทรีย์ให้ เสมออยู่ กจ็ ะทาำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ ทส่ี ดุ แหง่ พรหมจรรย์ อนั ไมม่ อี ะไร ย่ิงไปกว่า ซ่ึงเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรท้ังหลาย ผอู้ อกจากเรอื นบวชเปน็ บรรพชติ โดยชอบ ไดด้ ว้ ยปญั ญาอนั ยิ่งเอง ในปจั จบุ ัน เขา้ ถงึ อยู่ ดังนี้ เราจงึ กลา่ ววา่ กิจทต่ี ้อง ทำาดว้ ยความไมป่ ระมาท ย่อมมแี ก่ภิกษนุ ้.ี ภิกษุทั้งหลาย ก็ธัมมานุสารีบุคคลเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องด้วย ก�ยซ่ึงวิโมกข์อันสงบ อันไม่มีรูปเพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ แต่อ�สวะบ�งเหล่�ของผู้นั้นส้ินไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อน่ึง ธรรมท้ังหล�ยที่ตถ�คตประก�ศแล้ว ย่อมทนต่อก�รเพ่งโดยประม�ณ ด้วยปัญญ�ของผู้นั้น และธรรมเหล่าน้ี คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สม�ธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ยอ่ มมแี กผ่ นู้ นั้ บคุ คลนเี้ ราเรยี กวา่ ๒๓๒

เปิดธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี ธัมม�นุส�รี ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจท่ีควรทำาด้วย ความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุแม้เช่นน้ีว่า ไฉนทา่ นผนู้ เ้ี มอื่ เสพเสนาสนะอนั สมควร คบหากลั ยาณมติ ร ทาำ อนิ ทรยี ใ์ หเ้ สมออยกู่ จ็ ะทาำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ ทสี่ ดุ แหง่ พรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรย่ิงไปกว่า ซ่ึงเป็นประโยชน์ท่ีต้องการของ กลุ บตุ รทง้ั หลาย ผอู้ อกจากเรอื นบวชเปน็ บรรพชติ โดยชอบ ได้ด้วยปัญญาอันย่ิงเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังน้ี เราจึง กลา่ ววา่ กจิ ทตี่ อ้ งทาำ ดว้ ยความไมป่ ระมาท ยอ่ มมแี กภ่ กิ ษนุ .้ี ภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธานุสารีบุคคลเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้อง ด้วยก�ยซึ่งวิโมกข์อันสงบ อันไม่มีรูปเพราะก้าวล่วงรูป เสียได้ แต่อ�สวะบ�งเหล่�ของผู้น้ันสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ผู้นั้นมีศรัทธ� มีคว�มรักใน ตถ�คตพอประม�ณ และธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตินทรยี ์ สม�ธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ยอ่ มมีแก่ ผนู้ ้ัน บุคคลนีเ้ ราเรียกวา่ สทั ธ�นสุ �รี ภิกษทุ ง้ั หลาย เรา กล่าวว่า กิจท่ีควรทำาด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแกภ่ กิ ษุนี้ ข้อน้ันเพราะเหตุอะไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ ๒๓๓

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ประมาทของภกิ ษแุ มเ้ ชน่ นว้ี า่ ไฉนทา่ นผนู้ เี้ มอ่ื เสพเสนาสนะ อันสมควร คบหากัลยาณมิตร ทำาอินทรีย์ให้เสมออยู่ก็จะ ทำาให้แจ้งซ่ึงท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรย่ิงไปกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ท่ีต้องการของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ได้ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปจั จุบนั เข้าถงึ อยู่ ดังนี้ เราจึงกลา่ วว่า กจิ ทีต่ อ้ งทาำ ด้วย ความไม่ประมาท ยอ่ มมแี กภ่ กิ ษนุ ี้. ๒๓๔

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี บุคคลตกน้�ำ 7 จ�ำ พวก 8๕ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/ ๐/ ๕. ภิกษุท้ังหลาย บุคคลเปรียบด้วยคนตกน้ำา ๗ จาำ พวกน้ี มปี รากฏอยใู่ นโลก ๗ จาำ พวกเป็นอย่างไร คือ (๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ จมลงคราวเดียวแล้ว ก็เปน็ อันจมอยนู่ ั่นเอง (๒) บางคนโผลข่ ึ้นมาแล้ว กลบั จมลงไปอีก (๓) บางคนโผล่ขึ้นมาแล้ว ทรงตัวอยู่ (๔) บางคนโผลข่ ึ้นมาแล้ว เหลยี วดูรอบๆ (๕) บางคนโผล่ขึ้นมาแล้ว ว่ายหาฝ่งั (๖) บางคนโผล่ข้นึ มาแล้ว เขา้ มาถึงท่ตี น้ื (๗) บางคนโผลข่ น้ึ มาแลว้ ขา้ มถงึ ฝง่ั เปน็ พราหมณ์ อยู่บนบก ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียวแล้ว ก็เป็นอันจมอยู่นั่นเองเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผ้ปู ระกอบด้วยอกศุ ลธรรมฝา่ ยดาำ โดย สว่ นเดยี ว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลทจ่ี มลงแลว้ คราวเดยี วแลว้ กเ็ ป็นอนั จมอย่นู น่ั เองเปน็ อย่างน้ีแล. ๒๓๕

พุทธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษุทง้ั หลาย ก็บคุ คลทีโ่ ผล่ขึ้นมาแลว้ กลับจมลง ไปอีกเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี โผล่ข้ึนมาได้ คือ เขามีศรัทธาดี หิริดิี โอตตัปปะดี วิริยะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาของเขาน้ัน ไม่ตั้งอยู่นาน ไมเ่ จรญิ ขน้ึ เสอื่ มไปฝา่ ยเดยี ว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลทโ่ี ผล่ ข้นึ มาแลว้ กลบั จมลงเปน็ อยา่ งนีแ้ ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้ว ทรงตัวอยู่ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ีโผล่ ขนึ้ มาได้ คอื เขามศี รัทธาดี หริ ิดิี โอตตปั ปะดี วริ ยิ ะดี และ ปัญญาดี ในกุศลธรรมท้ังหลาย สว่ นศรทั ธา หริ ิ โอตตปั ปะ วิริยะ และปัญญาของเขานั้น ไม่เสื่อมลง ไม่เจริญข้ึน คงที่อยู่ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลที่โผล่ข้ึนมาแล้ว ทรงตัวอยู่ เป็นอยา่ งนแ้ี ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลท่ีโผล่ข้ึนมาแล้ว เหลียวดู รอบๆ เปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี โผล่ข้ึนมาได้ คือ เขามีศรัทธาดี หิริดิี โอตตัปปะดี วิริยะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมท้ังหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป เขาเป็นโสด�บัน มีอันไม่ตกตำ่าเป็นธรรมดา เป็นผู้ ๒๓๖

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด อนาคามี เท่ียงท่ีจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ภิกษุท้ังหลาย บุคคลท่ีโผล่ ขน้ึ มาแล้ว เหลียวดรู อบๆ เป็นอย่างน้ีแล. ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลท่ีโผล่ข้ึนมาแล้ว ว่ายหาฝั่ง เปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี โผลข่ น้ึ มาได้ คือ เขามีศรัทธาดี หิริดีิ โอตตัปปะดี วิริยะดี และ ปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เขาเปน็ สกท�ค�มี มาสู่ โลกนอ้ี กี ครง้ั เดยี วเทา่ นนั้ แลว้ จะทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ ภกิ ษุ ทัง้ หลาย บุคคลทโี่ ผลข่ ึน้ มาแล้ว วา่ ยหาฝง่ั เป็นอย่างนแ้ี ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ข้ึนมาแล้ว เข้ามาถึง ท่ีต้ืนเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี โผล่ข้ึนมาได้ คือ เขามีศรัทธาดี หิริดีิ โอตตัปปะดี วิริยะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะโอรัมภาคิย- สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป เขาเปน็ โอปป�ตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในภพนนั้ มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ทโ่ี ผลข่ ึน้ มาแล้วเข้ามาถงึ ทตี่ นื้ เป็นอย่างน้แี ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ข้ึนมาแล้ว ข้ามถึงฝ่ัง เปน็ พราหมณ์ อยบู่ นบกเปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล บางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีศรัทธาดี หิริดีิ ๒๓๗

พุทธวจน-หมวดธรรม โอตตัปปะดี วิริยะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมท้ังหลาย เขากระทาำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทงั้ หลาย ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง ในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อยู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลทโ่ี ผลข่ น้ึ มาแลว้ ขา้ มถึงฝงั่ เปน็ พราหมณ์ อยู่บนบกเป็นอย่างนแ้ี ล ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเปรยี บดว้ ยคนตกนา้ำ ๗ จาำ พวก เหลา่ น้ีแล มีปรากฏอยู่ในโลก. ๒๓๘

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี บคุ คล ๔ จำ�พวก 8๖ -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ /๖/๕. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จาำ พวกนี้ มปี รากฏอยใู่ นโลก ๔ จาำ พวกเป็นอยา่ งไร คือ (๑) บคุ คลผไู้ ปตามกระแส (๒) บคุ คลผ้ไู ปทวนกระแส (๓) บุคคลผทู้ รงตัวอยู่ (๔) บคุ คลผขู้ ้ามถึงฝง่ั เป็นพราหมณ์ อย่บู นบก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กบ็ คุ คลผไู้ ปตามกระแสเปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ยอ่ มเสพกามทง้ั หลาย และย่อมกระทำากรรมอันเป็นบาป ภิกษุท้ังหลาย นี้เรา เรยี กวา่ บุคคลผู้ไปตามกระแส. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กบ็ คุ คลผไู้ ปทวนกระแสเปน็ อยา่ งไร ภิกษุทง้ั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ย่อมไม่เสพกาม และ ย่อมไม่กระทำากรรมอันเป็นบาป แม้มีหน้านองด้วยน้ำาตา รอ้ งไหอ้ ยู่ เพราะประกอบดว้ ยทกุ ขบ์ า้ ง เพราะประกอบดว้ ย โทมนัสบ้าง ก็ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธ์ิ บริบูรณ์ได้ ภกิ ษุทงั้ หลาย น้เี ราเรียกว่าบุคคลผู้ไปทวนกระแส. ๒๓๙

พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ทรงตัวอยู่เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นโอปป�ติกะ ปรินิพพานในภพน้ัน มีอันไม่กลับมาจากโลกน้ันเป็น ธรรมดา เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นีเ้ ราเรียกว่าบคุ คลผมู้ ตี นตง้ั อยูแ่ ลว้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กบ็ คุ คลผขู้ า้ มถงึ ฝง่ั เปน็ พราหมณอ์ ยู่ บนบกเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี กระทำาให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าบุคคล ผ้ขู ้ามถงึ ฝั่ง เป็นพราหมณอ์ ยู่บนบก. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จาำ พวกเหลา่ นแ้ี ลมปี รากฏ อยูใ่ นโลก. ๒๔๐

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด อนาคามี ผลของก�รประกอบตนในสขุ 87 -บาลี า. .ี / ๔๕/ ๖. จนุ ทะ กเ็ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ดแ้ ล คอื การทพ่ี วกปรพิ าชก อัญญเดียรถีย์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็เมื่อพวกท่าน ประกอบตนให้ติดเนื่องในความสุข ๔ ประการเหล่าน้ีอยู่ ผลกป่ี ระการ อานสิ งสก์ ปี่ ระการ อนั ทา่ นทง้ั หลายพงึ หวงั ได.้ จนุ ทะ พวกปรพิ าชกอญั ญเดยี รถยี ผ์ มู้ วี าทะอยา่ งนี้ อนั พวกเธอพงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ อาวโุ ส เมอ่ื พวกเราประกอบตน ใหต้ ดิ เนอ่ื งในความสขุ ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ลอยู่ ผล ๔ ประการ อานิสงส์ ๔ ประการอันพวกเราพึง หวังได้ ๔ ประการเป็น อย่างไร. อาวโุ ส ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นจ้ี ะเปน็ โสด�บนั มอี นั ไม่ ตอ้ งตกตา่ำ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทยี่ งมอี นั จะตรสั รใู้ นภายหนา้ เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป ข้อนี้เป็นผลประการที่ ๑ เป็น อานสิ งสป์ ระการที่ ๑. อาวโุ ส ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี ภกิ ษจุ ะเปน็ สกท�ค�มี มาสู่ โลกนี้คราวเดียวเท่าน้ัน แล้วจะทำาท่ีสุดแห่งทุกข์ เพราะ สังโยชน์ ๓ ส้ินไปและเพราะความที่ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางขอ้ นเี้ ปน็ ผลประการที่ ๒ เป็นอานสิ งสป์ ระการท่ี ๒. ๒๔๑

พุทธวจน-หมวดธรรม อาวโุ ส ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี ภกิ ษจุ ะเปน็ โอปป�ตกิ ะ ผจู้ ะ ปรินิพพานในภพน้ัน เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาจากโลกน้ันเป็น ธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำาท้ัง ๕ ส้ินไป ข้อนี้เป็นผล ประการท่ี ๓ เป็นอานิสงส์ประการท่ี ๓. อาวุโส ข้ออื่นยังมอี กี ภิกษุทำาให้แจง้ ซ่งึ เจโตวิมตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสนิ้ ไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ข้อน้ีเป็นผล ประการท่ี ๔ เปน็ อานสิ งส์ประการที่ ๔. อาวโุ ส เมอ่ื พวกเราเปน็ ผปู้ ระกอบตนใหต้ ดิ เนอื่ งใน ความสขุ ๔ ประการเหลา่ นแ้ี ลอยู่ ผล ๔ ประการ อานสิ งส์ ๔ ประการเหลา่ นี้ อันพวกเราพึงหวงั ได้ ดังน้ี. ๒๔๒

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี สัทธ�นสุ �รี ธัมม�นุส�รี โสด�บนั 88 -บาลี ข ฺ . ส.ํ ๗/๒๗๘/๔๖๙. ภิกษทุ งั้ หลาย ตา...หู...จมกู ...ล้ิน...กาย...ใจ เป็น สิ่งไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นปกติ มีความเปลี่ยนเป็น อยา่ งอ่ืนเป็นปกต.ิ ภิกษทุ ้ังหลาย บคุ คลใด มคี วามเช่ือ น้อมจติ ไปใน ธรรม ๖ อย่างน้ี ดว้ ยอาการอย่างน้ี บคุ คลนี้เราเรยี กวา่ เป็น สัทธานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม (หนทางแห่งความถูกต้อง) กา้ วลงสสู่ ปั ปรุ สิ ภมู ิ (ภมู แิ หง่ สตั บรุ ษุ ) ลว่ งพน้ ปถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจ ท่ีจะกระทำากรรม อันบุคคลทำาแล้ว จะเข้าถึงนรก กำาเนิด เดรจั ฉาน หรือเปรตวิสัย และไม่อาจจะทาำ กาละ ตราบเท่าที่ ยังไมท่ ำาให้แจง้ ซ่งึ โสดาปตั ติผล. ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ อย่างเหล่าน้ี ทนต่อการ เพง่ โดยประมาณอนั ยง่ิ แหง่ ปญั ญาของบคุ คลใด ดว้ ยอาการ อยา่ งน้ี บคุ คลนเ้ี ราเรยี กวา่ ธมั มานสุ ารี กา้ วลงสสู่ มั มตั ตนยิ าม (ระบบแห่งความถูกต้อง) ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ (ภูมิแห่งสัตบุรุษ) ลว่ งพน้ ปถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจี่ ะกระทาำ กรรม อนั บคุ คลทาำ แลว้ จะเขา้ ถงึ นรก กาำ เนดิ เดรจั ฉาน หรอื เปรตวสิ ยั และไมอ่ าจจะ ทาำ กาละ ตราบเทา่ ท่ยี ังไมท่ าำ ใหแ้ จ้งซึ่งโสดาปัตติผล. ๒๔๓

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย บุคคลใดย่อมรู้ ย่อมเห็นซึ่งธรรม ๖ อย่างเหล่าน้ี ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลน้ีเราเรียกว่า โสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกตำ่าเป็นธรรมดา เป็นผู้เท่ียงแท้ มีการตรสั รพู้ ร้อมเปน็ เบ้อื งหนา้ . (สูตรข้างบนนี้ -บาลี ขนฺธ. สำ. ๑๗/๒๗๘/๔๖9. ทรงแสดง อารมณ์แห่งอนิจจังเป็นต้น ด้วยธรรม ๖ อย่าง คือ อายตนะภายในหก ในสตู รถดั ไปทรงแสดงอารมณน์ น้ั ดว้ ยอายตนะภายนอกหก คอื รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ธรรม ก็มี, แสดงดว้ ยวิญญาณหก ก็ม,ี ดว้ ยสมั ผสั หก ก็ม,ี ด้วยเวทนาหก กม็ ี, ด้วยสัญญาหก กม็ ,ี ดว้ ยสญั เจตนาหก กม็ ,ี ด้วยตัณหาหก ก็ม,ี ด้วยธาตหุ ก กม็ ี, และด้วยขันธห์ ้า กม็ ี ทรงแสดงไว้ ดว้ ยหลกั การปฏบิ ัตอิ ย่างเดยี วกนั . -ผู้รวบรวม) ๒๔๔

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ผเู้ ชอ่ื มน่ั ในตถ�คต และส�ำ เรจ็ ในโลกน้ี 89หรือละโลกนไ้ี ปแล้วจึงสำ�เรจ็ -บาลี สก. อ.ํ ๒๔/ ๒๘/๖๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเหลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ เชอ่ื มน่ั ในเรา บุคคลเหล่าน้ันท้ังหมดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ บุคคล ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยทฏิ ฐิ ๕ จาำ พวกสาำ เรจ็ ในโลกนี้ อกี ๕ จาำ พวก ละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ สาำ เรจ็ บคุ คล ๕ จาำ พวกเหลา่ ไหนทส่ี าำ เรจ็ ในโลกน้ี คอื (๑) สัตตกั ขตั ตุปรมะ (๒) โกลงั โกละ (๓) เอกพชี ี (๔) สกทาคามี (๕) อรหนั ต์ในปัจจบุ นั บคุ คล ๕ จาำ พวกเหล่านีแ้ ล สาำ เร็จในโลกนี.้ บคุ คล ๕ จาำ พวกเหลา่ ไหน ละโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ สาำ เรจ็ คอื (๑) อนั ตราปรินพิ พายี (๒) อุปหจั จปรนิ ิพพายี (๓) อสังขารปรนิ ิพพายี ๒๔๕

พุทธวจน-หมวดธรรม (๔) สสังขารปรินพิ พายี (๕) อุทธงั โสโตอกนิฏฐคามี บคุ คล ๕ จาำ พวกเหลา่ นแ้ี ล ละโลกนไี้ ปแลว้ จงึ สาำ เรจ็ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเหลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ เชอ่ื มน่ั ในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ บุคคลผู้ สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิเหล่านั้น ๕ จำาพวกสำาเร็จในโลกนี้ และ ๕ จาำ พวกละโลกน้ีไปแลว้ จงึ สาำ เร็จ. ภิกษุท้ังหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหน่ึงเลื่อมใส อย่างไม่หวั่นไหวในเรา บุคคลเหล่านั้นท้ังหมดเป็นผู้ถึง กระแสนพิ พาน บคุ คลผถู้ งึ กระแสนพิ พาน ๕ จาำ พวกสาำ เรจ็ ในโลกน้ี อกี ๕ จาำ พวกละโลกนไี้ ปแล้วจงึ สาำ เร็จ บุคคล ๕ จาำ พวกเหลา่ ไหนทสี่ าำ เร็จในโลกนี้ คอื (๑) สัตตักขตั ตปุ รมะ (๒) โกลังโกละ (๓) เอกพชี ี (๔) สกทาคามี (๕) อรหันตใ์ นปัจจบุ นั (ทิฏเฺ ว ธมเฺ ม อรหา) บคุ คล ๕ จาำ พวกเหลา่ นีแ้ ล สาำ เรจ็ ในโลกน้ี. ๒๔๖

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด อนาคามี บคุ คล ๕ จาำ พวกเหลา่ ไหน ละโลกนไี้ ปแลว้ จงึ สาำ เรจ็ คอื (๑) อนั ตราปรินิพพายี (๒) อปุ หจั จปรินพิ พายี (๓) อสงั ขารปรนิ ิพพายี (๔) สสังขารปรนิ พิ พายี (๕) อุทธังโสโตอกนฏิ ฐคามี บคุ คล ๕ จาำ พวกเหลา่ นแ้ี ล ละโลกนไี้ ปแลว้ จงึ สาำ เรจ็ . ภิกษุท้ังหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเล่ือมใส อย่างไม่หวั่นไหวในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึง กระแสนิพพาน บุคคลผู้ถึงกระแสนิพพานเหล่าน้ัน ๕ จำาพวกสำาเร็จในโลกน้ี และ ๕ จำาพวกละโลกน้ีไปแล้วจึง สาำ เรจ็ . (ใน -บาลี ปฏิสมฺ. ขุ. ๓๑/๒๔๒/๓๖๐-๓๖๑. มีบาลี เหมอื นกนั น้ี แตพ่ ระไตรปฎิ กภาษาไทยฉบบั หลวง แปลสว่ นทา้ ยตา่ ง ออกไปเปน็ วา่ เชอ่ื มน่ั ในเรา กบั เชอ่ื มน่ั ในภพสทุ ธาวาส. -ผรู้ วบรวม) ๒๔๗

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี ผเู้ ปน็ อสังข�รปรินิพพ�ยี 90 ผูเ้ ปน็ สสงั ข�รปรนิ ิพพ�ยี -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ /๒๐๙/ ๖๙. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๔ จำาพวกนี้มีปรากฏอยู่ใน โลก ๔ จำาพวกเปน็ อย่างไร คือ บคุ คลบางคนในโลกน้ี เป็น สังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน (ทิฏฺเ ว ธมฺเม สสงฺขารปรินิพฺพายี) บางคนเมอื่ กายแตกทาำ ลายจงึ เปน็ สสงั ขารปรนิ พิ พายี (กายสสฺ เภทา สสงฺขารปรินิพฺพายี) บางคนเป็นอสังขารปรินิพพายีใน ปัจจุบัน (ทฏิ ฺเ ว ธมเฺ ม อสงขฺ ารปรินิพฺพายี) บางคนเมือ่ กายแตก ทาำ ลายจงึ เปน็ อสงั ขารปรนิ พิ พายี (กายสสฺ เภทา อสงขฺ ารปรนิ พิ พฺ าย)ี . ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีใน ปจั จบุ ันเปน็ อยา่ งไร คอื ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี พจิ ารณาเหน็ ในกายวา่ ไมง่ าม มีความสำาคญั ในอาหารว่าเป็นปฏิกลู มีความสำาคญั ในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารท้งั ปวงวา่ ไมเ่ ท่ียง และมรณสญั ญาของเธอตัง้ ไวด้ ีแล้วในภายใน เธออาศัยธรรมเป็นกำาลังของพระเสขะ ๕ ประการ นี้อยู่ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ท้ังอินทรีย์ ๒๔๘

เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี ๕ ประการนี้ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า คือ สัทธินทรีย์ วริ ยิ นิ ทรยี ์ สตนิ ทรยี ์ สมาธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ เพราะเหตทุ ่ี อนิ ทรยี ์ ๕ ประการนแ้ี กก่ ลา้ เธอยอ่ มเปน็ สสงั ขารปรนิ พิ พายี ในปจั จบุ นั เทยี ว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเปน็ สสงั ขารปรนิ พิ พายี ในปจั จบุ ันเปน็ อย่างน้ีแล. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กบ็ คุ คลเมอ่ื กายแตกจงึ เปน็ สสงั ขาร- ปรนิ พิ พายเี ปน็ อยา่ งไร คอื ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ พจิ ารณาเหน็ ในกายว่าไม่งาม … เธออาศัยธรรมเป็นกำาลังของพระเสขะ ๕ ประการนอ้ี ยู่ … แตอ่ นิ ทรยี ์ ๕ ประการนข้ี องเธอปรากฏวา่ ออ่ น … เพราะเหตทุ ่ีอนิ ทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน เธอเมอ่ื กาย แตกทาำ ลายจงึ เปน็ สสงั ขารปรนิ พิ พายี ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล เมอ่ื กายแตกทาำ ลายจงึ เปน็ สสงั ขารปรนิ พิ พายเี ปน็ อยา่ งนแี้ ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นอสังขารปรินิพพายีใน ปัจจุบันเป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม … บรรลุปฐมฌาน … บรรลุทุติยฌาน … บรรลุตติยฌาน … บรรลจุ ตตุ ถฌาน เธออาศยั ธรรมเปน็ กำาลงั ของพระเสขะ ๕ ประการนอี้ ยู่ … ทงั้ อนิ ทรยี ์ ๕ ประการนข้ี องเธอปรากฏวา่ แกก่ ลา้ … เพราะเหตทุ อี่ นิ ทรยี ์ ๕ ประการนแี้ กก่ ลา้ เธอยอ่ ม เป็นอสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน ภิกษุท้ังหลาย บุคคล เปน็ อสงั ขารปรนิ พิ พายใี นปัจจุบนั เปน็ อย่างนแี้ ล. ๒๔๙

พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลเมื่อกายแตกทำาลายจึงเป็น อสังขารปรินิพพายีเป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ี สงดั จากกาม … บรรลปุ ฐมฌาน … บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน… บรรลุ ตตยิ ฌาน … บรรลจุ ตตุ ถฌาน … เธออาศยั ธรรมเปน็ กาำ ลงั ของพระเสขะ ๕ ประการนี้อยู่ … แต่อินทรีย์ ๕ ประการน้ี ของเธอปรากฏว่าอ่อน … เพราะเหตทุ ี่อินทรีย์ ๕ ประการน้ี อ่อน เธอเมื่อกายแตกทำาลายจึงเป็นอสังขารปรินิพพายี ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อกายแตกทำาลายจึงเป็นอสังขาร ปรนิ ิพพายี อยา่ งนแี้ ล. ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำาพวกน้ีแล มีปรากฏอยู่ ในโลก. (ควรดปู ระกอบเพม่ิ เตมิ เรอ่ื ง “ปฏปิ ทาบรรลมุ รรคผล ๔ แบบ” ในหนา้ ๒9๐ ของหนังสอื เลม่ นี.้ -ผรู้ วบรวม) ๒๕๐

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี เปน็ ก�รย�กที่จะพย�กรณว์ �่ 91 ใครงดง�มและประณตี กว�่ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/ ๔๘/๔๖๐. สมยั หนง่ึ ทา่ นพระสวฏิ ฐะ ทา่ นพระมหาโกฏฐติ ะ ทา่ นพระสารบี ตุ ร ไดส้ นทนากันถงึ เร่อื ง บคุ คล ๓ จาำ พวกนี้ คอื กายสักขี ทฏิ ฐิปัตตะ และ สัทธาวิมตุ ติ ว่าชอบใจจำาพวกไหน ซง่ึ เปน็ ผูง้ ามกวา่ และประณตี กว่า ท่านพระสวฏิ ฐะได้ตอบวา่ ชอบใจบคุ คลผู้สทั ธาวมิ ุตติ ซึง่ เปน็ ผงู้ ามกวา่ และประณตี กว่า เพราะสทั ธินทรยี ข์ องบคุ คลนม้ี ีประมาณยง่ิ ทา่ นพระมหาโกฏฐติ ะไดต้ อบวา่ ชอบใจบคุ คลกายสกั ขี ซง่ึ เปน็ ผู้งามกว่าและประณีตกว่า เพราะสมาธินทรยี ข์ องบคุ คลนี้มีประมาณย่งิ ท่านพระสารบี ุตรไดต้ อบว่า ชอบใจบคุ คลผูท้ ฏิ ฐิปัตตะ ซง่ึ เปน็ ผู้งามกวา่ และประณตี กวา่ เพราะปัญญินทรยี ์ของบุคคลนีม้ ปี ระมาณย่งิ จากนน้ั ทา่ นพระสารบี ตุ รจงึ ไดพ้ าทง้ั หมด เขา้ ไปหาพระผมู้ พี ระภาค แลว้ ได้กราบทลู เรอื่ งท้ังหมดให้ทราบ สารบี ตุ ร การทจ่ี ะพยากรณใ์ นขอ้ นโ้ี ดยสว่ นเดยี ววา่ บรรดาบคุ คล ๓ จาำ พวกนี้ พวกใดเปน็ ผงู้ ามกวา่ และประณตี กว่าดังนี้ ไม่ใช่จะทำาได้โดยง่ายเลย เพราะข้อนี้เป็นฐานะ ที่จะมีได้ คือ พวกสัทธาวิมุตติเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็น อรหนั ต์ สว่ นพวกกายสกั ขแี ละทฏิ ฐปิ ตั ตะ ยงั เปน็ สกท�ค�มี หรืออน�ค�ม.ี ๒๕๑

พทุ ธวจน-หมวดธรรม สารบี ตุ ร การทจี่ ะพยากรณใ์ นขอ้ นโ้ี ดยสว่ นเดยี ววา่ บรรดาบคุ คล ๓ จาำ พวกนี้ พวกใดเปน็ ผงู้ ามกวา่ และประณตี กว่าดังนี้ ไม่ใช่จะทำาได้โดยง่ายเลย เพราะข้อนี้เป็นฐานะท่ี จะมไี ด้ คอื พวกกายสกั ขเี ปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ความเปน็ อรหนั ต์ ส่วนพวกสัทธาวิมุตติและทิฏฐิปัตตะ ยังเป็นสกท�ค�มี หรอื อน�ค�ม.ี สารบี ตุ ร การทจี่ ะพยากรณใ์ นขอ้ นโ้ี ดยสว่ นเดยี ววา่ บรรดาบคุ คล ๓ จาำ พวกนี้ พวกใดเปน็ ผงู้ ามกวา่ และประณตี กว่าดังน้ี ไม่ใช่จะทำาได้โดยง่ายเลย เพราะข้อนี้เป็นฐานะ ที่จะมีได้ คือ พวกทิฏฐิปัตตะเป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือความเป็น อรหนั ต์ สว่ นพวกสทั ธาวมิ ตุ ตแิ ละกายสกั ขี ยงั เปน็ สกท�ค�มี หรอื อน�ค�ม.ี สารีบุตร การทจ่ี ะพยากรณใ์ นขอ้ นโ้ี ดยสว่ นเดยี ววา่ บรรดาบคุ คล ๓ จาำ พวกน้ี พวกใดเปน็ ผงู้ ามกวา่ และประณตี กวา่ ไมใ่ ชจ่ ะทำาไดโ้ ดยง่ายเลย. ๒๕๒

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี ผู้พน้ ทุคติ หรือไมไ่ ปทคุ ติ 9๒ -บาลี าวา . ส.ํ ๙/๔๗ / ๕๓๐. มหาราช บคุ คลบางคนในโลกนี้ ประกอบดว้ ยความ เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … มีปัญญาร่าเริง เฉียบแหลม และประกอบ ด้วยวิมุตติ เขาย่อมกระทำาให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญา วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะท้ังหลายสิ้นไป ด้วย ปัญญาอันย่ิงเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ บุคคลน้ีพ้นจากนรก กาำ เนิดเดรจั ฉาน เปรตวสิ ยั อบาย ทุคติ วนิ บิ าต. มหาราช ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วย ความเลอื่ มใสอนั ไมห่ วน่ั ไหวในพระพทุ ธเจา้ … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … มปี ญั ญารา่ เรงิ เฉยี บแหลม แตไ่ มป่ ระกอบ ด้วยวิมุตติ เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องตำ่า ๕ สิ้นไป เขาเกดิ เปน็ อปุ ปาตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในภพทเี่ กดิ นนั้ มอี นั ไม่ กลบั จากโลกนนั้ เป็นธรรมดา บุคคลนกี้ พ็ น้ จากนรก กาำ เนดิ เดรัจฉาน เปรตวสิ ยั อบาย ทุคติ วินบิ าต. มหาราช ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วย ความเลอ่ื มใสอนั ไมห่ วนั่ ไหวในพระพทุ ธเจา้ … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม และ ๒๕๓

พุทธวจน-หมวดธรรม ไมป่ ระกอบด้วยวมิ ตุ ติ เพราะสังโยชน์ ๓ ส้นิ ไป และเพราะ ราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง เขาเปน็ สกท�ค�มี มาสโู่ ลกนี้ อีกคราวเดียวเท่าน้ัน จะกระทำาท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลน้ีก็ พน้ จากนรก กาำ เนดิ เดรจั ฉาน เปรตวสิ ยั อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต. มหาราช ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วย ความเลอื่ มใสอนั ไมห่ วนั่ ไหวในพระพทุ ธเจา้ … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม และ ไม่ประกอบด้วยวิมุตติ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาเป็น โสด�บนั มคี วามไมต่ กตาำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทยี่ งทจ่ี ะตรสั รู้ ในเบอ้ื งหนา้ บคุ คลนกี้ พ็ น้ จากนรก กาำ เนดิ เดรจั ฉาน เปรตวสิ ยั อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต. มหาราช ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ไมป่ ระกอบดว้ ย ความเลอ่ื มใสอนั ไมห่ วนั่ ไหวในพระพทุ ธเจา้ … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม และ ไมป่ ระกอบดว้ ยวมิ ตุ ติ แตว่ า่ เขามธี รรมเหลา่ น้ี คอื สทั ธนิ ทรยี ์ วริ ยิ นิ ทรยี ์ สตนิ ทรยี ์ สมาธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ธรรมทง้ั หลาย ทต่ี ถาคตประกาศแลว้ ยอ่ มทนตอ่ การเพง่ ดว้ ยปญั ญาของเขา (ย่ิง) กว่าประมาณ บุคคลน้ีก็ไม่ไปสู่นรก กำาเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสยั อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต. ๒๕๔

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี มหาราช ก็บุคคลบางคนในโลกน้ี ไม่ประกอบดว้ ย ความเลอ่ื มใสอนั ไมห่ วน่ั ไหวในพระพทุ ธเจา้ … ในพระธรรม … ในพระสงฆ์ … ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม และ ไมป่ ระกอบดว้ ยวมิ ตุ ติ แตว่ า่ เขามธี รรมเหลา่ น้ี คอื สทั ธนิ ทรยี ์ … ปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธา มีความรักในตถาคต พอประมาณ บคุ คลนก้ี ไ็ มไ่ ปสนู่ รก กาำ เนดิ เดรจั ฉาน เปรตวสิ ยั อบาย ทุคติ วินบิ าต. ๒๕๕

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ อนาคามี เทวด�ใดไมม่ ีพย�บ�ท 9๓ เทวด�นนั้ ไม่ม�สูค่ ว�มเปน็ อย่�งนี้ -บาลี . . ๓/๕๒๐/๕๗๕. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณะ ๔ จำาพวกนี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ วรรณะ ๔ จาำ พวกน้ี จะพงึ มีความแปลกกัน จะพงึ มีเครอื่ งกระทำาใหต้ า่ งกนั บา้ งไหม พระเจา้ ข้า. มหาราช วรรณะ ๔ จาำ พวกนี้ คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร มหาราช ในบรรดาวรรณะ ๔ จำาพวกนี้ วรรณะ ๒ จำาพวก คือ กษัตริย์และพราหมณ์ เรากล่าวว่า เป็นผู้เลิศ คือ เป็นท่ีกราบไหว้ เป็นที่ลุกรับ เป็นท่ีกระทำา อญั ชลี เป็นท่กี ระทำาสามีจกิ รรม. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ หมอ่ มฉนั มไิ ดท้ ลู ถามถงึ ความแปลกกนั ในปัจจุบันกับพระผู้มีพระภาค หม่อมฉันทูลถามถึงความแปลกกันใน สัมปรายภพกับพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณะ ๔ จำาพวกนี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณะ ๔ จำาพวกนี้ จะพึงมีความแปลกกัน จะพึงมีเคร่ืองกระทำาให้ ตา่ งกันบา้ งไหม พระเจ้าขา้ . มหาราช องคแ์ หง่ ภกิ ษผุ มู้ คี วามเพยี ร ๕ ประการนี้ ๕ ประการเปน็ อยา่ งไร คอื ๒๕๖

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี (๑) มหาราช ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผมู้ พี ระภาคพระองคน์ น้ั เปน็ อรหนั ต์ … เปน็ ผเู้ บกิ บานแลว้ เป็นผจู้ าำ แนกพระธรรม (๒) ภิกษุเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุสำาหรับย่อยอาหารอันสมำ่าเสมอ ไม่ เยน็ นกั ไมร่ อ้ นนกั เปน็ ปานกลาง ควรแกก่ ารทาำ ความเพยี ร (๓) เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา เปิดเผยตนตาม ความเปน็ จรงิ ในพระศาสดา หรอื ในเพอ่ื นพรหมจรรยท์ ง้ั หลาย ผ้เู ป็นวญิ ูชน (๔) เป็นผู้ปรารภความเพียรเพ่ือละอกุศลธรรม เพือ่ ยังกศุ ลธรรมใหถ้ งึ พรอ้ ม เปน็ ผู้มีกำาลัง มคี วามบากบน่ั มนั่ คงไมท่ อดธรุ ะในกศุ ลธรรมทั้งหลาย (๕) เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเคร่ือง พจิ ารณาความเกดิ และความดบั เปน็ อรยิ ะเปน็ เครอื่ งชาำ แรก กิเลส ใหถ้ งึ ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบ มหาราช เหลา่ นแ้ี ลองคแ์ หง่ ภิกษผุ ู้มีความเพยี ร ๕ ประการ. ๒๕๗

พทุ ธวจน-หมวดธรรม มหาราช วรรณะ๔ จาำ พวกนี้ คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ถ้าวรรณะ ๔ จำาพวกน้ัน เป็นผู้ประกอบด้วย องคแ์ หง่ ภกิ ษผุ มู้ คี วามเพยี ร ๕ ประการนี้ ขอ้ นนั้ กจ็ ะเปน็ ไป เพื่อประโยชนเ์ กื้อกลู เพ่อื ความสุขแกว่ รรณะ ๔ จำาพวกนนั้ ตลอดกาลนาน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณะ ๔ จำาพวกน้ี คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ถ้าวรรณะ ๔ จำาพวกนน้ั พงึ เป็นผู้ประกอบด้วย องคแ์ หง่ ภกิ ษผุ มู้ คี วามเพยี ร ๕ ประการนี้ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ในขอ้ นี้ วรรณะ ๔ จำาพวกนั้น จะพึงมีความแปลกกัน จะพึงมีเครื่องกระทำาให้ ตา่ งกนั บ้างไหม พระเจ้าข้า. มหาราช ในข้อนี้ เรากล่าวความต่างกันด้วยความ เพยี รแหง่ วรรณะ ๔ จาำ พวกนน้ั . มหาราช เปรียบเหมือนสัตว์คู่หน่ึง เป็นช้างท่ีควร ฝึกก็ตาม เป็นม้าที่ควรฝึกก็ตาม เป็นโคที่ควรฝึกก็ตาม เขาฝกึ ดแี ล้ว แนะนำาดีแล้ว คู่หนง่ึ ไม่ไดฝ้ ึก ไมไ่ ด้แนะนาำ . มหาราช ทา่ นจะทรงสาำ คญั ความขอ้ นน้ั เปน็ อยา่ งไร สัตว์คู่หน่ึงเป็นช้างท่ีควรฝึกก็ตาม เป็นม้าท่ีควรฝึกก็ตาม เปน็ โคทคี่ วรฝกึ กต็ าม เขาฝกึ ดแี ลว้ แนะนาำ ดแี ลว้ สตั วค์ หู่ นงึ่ ๒๕๘

เปิดธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี ท่ีเขาฝึกแล้วเท่านั้น พึงถึงเหตุของสัตว์ที่ฝึกแล้ว พึงยังภูมิ ของสัตวท์ ี่ฝกึ แล้วให้ถงึ พรอ้ มมิใชห่ รอื . อย่างนน้ั พระเจา้ ขา้ . มหาราช กส็ ตั วค์ หู่ นง่ึ เปน็ ชา้ งทคี่ วรฝกึ กต็ าม เปน็ มา้ ทคี่ วรฝกึ กต็ าม เปน็ โคควรฝกึ กต็ าม เขาไมไ่ ดฝ้ กึ ไมไ่ ดแ้ นะนาำ สัตว์คู่น้ันท่ีเขาไม่ได้ฝึกเลย จะพึงถึงเหตุของสัตว์ท่ีฝึกแล้ว จะพงึ ยงั ภมู ขิ องสตั วท์ ฝ่ี กึ แลว้ ใหถ้ งึ พรอ้ มเหมอื นสตั วค์ หู่ นงึ่ เปน็ ชา้ งทคี่ วรฝกึ กต็ าม เปน็ มา้ ทคี่ วรฝกึ กต็ าม เปน็ โคทคี่ วร ฝกึ กต็ าม ทีเ่ ขาฝึกดแี ลว้ แนะนำาดีแลว้ ดังนัน้ บา้ งหรอื ไม.่ ไมเ่ ปน็ อยา่ งน้นั เลย พระเจา้ ขา้ . มหาราช ฉันน้ันเหมือนกันแล ผลใดอันบุคคลผู้มี ศรทั ธา มอี าพาธนอ้ ย ไมโ่ ออ้ วด ไมม่ มี ายา ปรารภความเพยี ร มีปัญญา พึงถึงผลน้ัน บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา มีอาพาธมาก โอ้อวด มีมายา เกียจคร้าน มีปัญญาทราม จักถึงได้ ดังน้ี ข้อนไี้ ม่เปน็ ฐานะท่จี ะมไี ด้. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ พระผมู้ พี ระภาคตรสั สภาพอนั เปน็ เหตุ และตรสั สภาพอนั เปน็ ผลพรอ้ มกบั เหตุ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ วรรณะ ๔ จาำ พวกนี้ คอื กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร ถา้ วรรณะ ๔ จาำ พวกเหลา่ นน้ั ๒๕๙

พทุ ธวจน-หมวดธรรม พึงเป็นผู้ประกอบด้วยองค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ และ มีความเพียรชอบเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ วรรณ ๔ จำาพวกน้นั จะพึงมีความแปลกกัน พึงมีเคร่อื งกระทำาให้ต่างกันบ้างไหม พระเจา้ ขา้ . มหาราช ในข้อนี้ เราย่อมไม่กล่าวความต่างกัน ระหว่างวิมุตตกิ บั วิมุตติ ของวรรณะ ๔ จาำ พวกนน้ั . มหาราช เปรียบเหมือนบุรุษเก็บเอาไม้สาละแห้ง มาใสไ่ ฟ พงึ กอ่ ไฟใหโ้ พลงขน้ึ ตอ่ มา บรุ ษุ อกี คนหนง่ึ เกบ็ เอา ไม้มะม่วงแห้งมาใส่ไฟ พึงก่อไฟให้โพลงข้ึน และภายหลัง บุรุษอีกคนหน่ึงเก็บเอาไม้มะเด่ือแห้งมาใส่ไฟพึงก่อไฟให้ โพลงข้ึน. มหาราช ทา่ นจะทรงสาำ คญั ความขอ้ นน้ั เปน็ อยา่ งไร เปลวกับเปลว สีกับสี หรือแสงกับแสงของไฟท่ีเกิดข้ึนจาก ไมต้ า่ งๆ กนั นน้ั จะพงึ มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไรหรอื หนอ. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ไมพ่ งึ มคี วามแตกตา่ งกนั เลย พระเจา้ ขา้ . มหาราช ฉันน้ันก็เหมือนกัน เดชอันใดอันความ เพียรย่ำายีแล้ว เกิดข้ึนด้วยความเพียร ในข้อน้ี เราย่อมไม่ กลา่ วความต่างกันระหวา่ งวิมตุ ติกับวิมตุ ต.ิ ๒๖๐

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี … ข้าแต่พระองค์ผู้เจรญิ ก็เทวดามจี รงิ หรือ พระเจา้ ขา้ . มหาราช ก็เพราะเหตุอะไรท่านจึงถามอย่างนี้ว่า ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จริญ ก็เทวดามจี รงิ หรอื . ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ถา้ เทวดามจี รงิ เทวดาเหลา่ นนั้ มาสคู่ วาม เปน็ อย่างน้ี หรือไม่มาส่คู วามเป็นอย่างนี้ พระเจา้ ขา้ . มหาราช เทวดาเหล่าใดมีพยาบาท (สพฺยาปชฺฌา) เทวดาเหล่าน้ันมาสู่ความเป็นอย่างน้ี (อาคนฺตาโร อิตฺถตฺต) เทวดาเหล่าใดไม่มีพยาบาท (อพฺยาปชฺฌา) เทวดาเหล่าน้ัน ไมม่ าสูค่ วามเปน็ อย่างนี้ (อนาคนตฺ าโร อิตถฺ ตตฺ นตฺ ิ)1 … . ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมมีจริงหรอื . มหาราช กเ็ พราะเหตไุ รทา่ นจงึ ถามอยา่ งนวี้ า่ ขา้ แต่ พระองคผ์ ้เู จริญก็พรหมมีจรงิ หรอื ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ถา้ พรหมมจี รงิ พรหมนน้ั มาสคู่ วามเปน็ อย่างนี้ หรอื ไม่มาสคู่ วามเปน็ อยา่ งน้ี พระเจ้าขา้ . มหาราช พรหมใดมพี ยาบาท (สพยฺ าปชโฺ ฌ) พรหมนนั้ มาสคู่ วามเปน็ อยา่ งน้ี (อาคนตฺ า อติ ถฺ ตตฺ ) พรหมใดไมม่ พี ยาบาท (อพฺยาปชฺโฌ) พรหมน้ันไม่มาสู่ความเป็นอย่างน้ี (อนาคนฺตา อติ ถฺ ตฺตนฺต)ิ … . ๑. ในสว่ นน้ี มสี �ำ นวนแปลแบบอน่ื อกี เชน่ เทวด�เหล�่ ใดมที กุ ข์ เทวด�เหล�่ นน้ั ม�สู่ โลกน้ี เทวด�เหล�่ ใดไมม่ ที กุ ข์ เทวด�เหล�่ นน้ั ไมม่ �สโู่ ลกน้ี เปน็ ตน้ . ผรู้ วบรวม ๒๖๑

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี ผ้เู ป็นเสขะ 9๔ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗/๕๒๕. ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จรญิ พระองคต์ รสั ว่า เสขะๆ ดงั นี้ ดว้ ยเหตุมี ประมาณเท่าไรหนอ บุคคลจงึ ชอื่ ว่าเปน็ เสขะ. ภกิ ษุ ทเ่ี รียกชอ่ื ว่�เสขะ ด้วยเหตวุ ่�ยังตอ้ งศึกษ� ศึกษาอะไร ศึกษ�อธิศีลสกิ ข� ศกึ ษ�อธจิ ิตตสิกข� และ ศึกษ�อธปิ ัญญ�สิกข�. ภกิ ษุ ทเี่ รยี กชอื่ วา่ เสขะ ดว้ ยเหตวุ า่ ยงั ตอ้ งศกึ ษาแล. ๒๖๒

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี สิกข� ๓ 9๕ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๐๓/๕๒๙. ภิกษุท้ังหลาย สิกขา ๓ นี้ สิกขา ๓ เป็นอย่างไร คือ อธศิ ลี สกิ ขา อธิจติ ตสกิ ขา อธิปญั ญาสิกขา. ภิกษุท้ังหลาย ก็อธิศีลสิกขาเป็นอย่างไร ภิกษุ ท้งั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้มีศีล สำารวมแล้วด้วย ความสำารวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน สิกขาบททั้งหลาย ภกิ ษุทัง้ หลาย นีเ้ รยี กวา่ อธิศลี สกิ ข�. ภิกษุท้ังหลาย ก็อธิจิตตสิกขาเป็นอย่างไร ภิกษุ ท้งั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล ธรรมทง้ั หลาย บรรลปุ ฐมฌาน มวี ติ กมวี จิ าร มปี ตี แิ ละสขุ เกดิ แต่วิเวกอยู่. เพราะวิตกและวจิ ารสงบไป จงึ บรรลทุ ตุ ยิ ฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดข้ึน ไม่มี วติ ก ไมม่ วี จิ าร มปี ตี แิ ละสขุ เกดิ แตส่ มาธอิ ยู่ เพราะปตี สิ น้ิ ไป จงึ มอี เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะ เสวยสขุ ดว้ ยกาย บรรลตุ ตยิ ฌาน ทพี่ ระอรยิ ะทง้ั หลายสรรเสรญิ วา่ ผไู้ ดฌ้ านนี้ เปน็ ผมู้ อี เุ บกขา มสี ตอิ ยเู่ ปน็ สขุ เพราะละสขุ และทกุ ข์ และดบั โสมนสั โทมนสั กอ่ นๆ ได้ จงึ บรรลจุ ตตุ ถฌาน ไมม่ ที กุ ข์ ไมม่ สี ขุ มอี เุ บกขาเปน็ เหตใุ หส้ ตบิ รสิ ทุ ธอ์ิ ยู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นเ้ี รยี กว�่ อธจิ ติ ตสกิ ข�. ๒๖๓

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ก็อธิปัญญาสิกขาเป็นอย่างไร ภิกษุ ทง้ั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ยอ่ มรชู้ ดั ตามความเปน็ จรงิ วา่ นที้ กุ ข์ นเ้ี หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ นค้ี วามดบั ทกุ ข์ นขี้ อ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดับทกุ ข์ ภกิ ษทุ ั้งหลาย นเี้ รียกว่� อธิปัญญ�สิกข�. ภิกษุทง้ั หลาย เหล่านแ้ี ลสิกขา ๓. ๒๖๔

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี บรรพชิตกับคฤหสั ถ์ 9๖ ละสังโยชนไ์ ด้ไมเ่ ท่�กนั -บาลี . . ๓/๒๐๗/ ๙๙. อนุรุทธะท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ีได้ฟังว่า ภิกษุชื่อน้ีทำากาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดาำ รงอยใู่ นอรหตั ตผล กท็ า่ นนนั้ เปน็ ผอู้ นั ภกิ ษนุ น้ั ไดเ้ หน็ เอง หรือได้ยินมาว่า ท่านนั้นเป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้น เปน็ ผมู้ ธี รรมอยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาอยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ วี หิ ารธรรมอยา่ งนบี้ า้ ง วา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผพู้ น้ วเิ ศษแลว้ อยา่ งนบ้ี า้ ง ภกิ ษนุ นั้ เมอ่ื ระลกึ ถงึ ศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ และปัญญาของภิกษุนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพ่ือความ เปน็ อย่างน้ันบา้ ง. อนรุ ทุ ธะทงั้ หลาย ความอยสู่ าำ ราญยอ่ มมไี ดแ้ กภ่ กิ ษุ แมด้ ว้ ยประการฉะนีแ้ ล. อนุรุทธะท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ีได้ฟังว่า ภิกษุชื่อน้ีทำากาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นโอปป�ติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจาก โลกน้ันเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สิ้นไป ก็ ทา่ นนนั้ เปน็ ผอู้ นั ภกิ ษนุ น้ั ไดเ้ หน็ เองหรอื ไดย้ นิ มาวา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผมู้ ศี ลี อยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผมู้ ธี รรมอยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ๒๖๕

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ทา่ นนน้ั เป็นผู้มีปญั ญาอย่างนีบ้ า้ ง ว่าทา่ นนนั้ เป็นผ้มู ีวหิ าร- ธรรมอย่างน้ีบ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างน้ีบ้าง ภกิ ษนุ นั้ เมอ่ื ระลกึ ถงึ ศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ และปญั ญาของ ภิกษนุ ้นั จะนอ้ มจติ เข้าไปเพอื่ ความเป็นอยา่ งน้นั บา้ ง. อนรุ ทุ ธะทงั้ หลาย ความอยสู่ าำ ราญยอ่ มมไี ดแ้ กภ่ กิ ษุ แมด้ ว้ ยประการฉะนี้แล. อนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ีได้ฟังว่า ภกิ ษชุ อื่ นท้ี าำ กาละแลว้ พระผมู้ พี ระภาคทรงพยากรณว์ า่ เปน็ สกท�ค�มี จักมายังโลกน้ีคราวเดียวเท่าน้ัน แล้วทำาท่ีสุด ทกุ ขไ์ ด้ เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป และเพราะราคะ โทสะและ โมหะเบาบาง ก็ท่านนั้นเป็นผู้อันภิกษุน้ันได้เห็นเองหรือ ได้ยินมาว่า ท่านน้ันเป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็น ผมู้ ธี รรมอยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาอยา่ งนบี้ า้ ง วา่ ท่านน้ันเป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างน้ีบ้าง ว่าท่านน้ันเป็นผู้พ้น วเิ ศษแลว้ อยา่ งนบี้ า้ ง ภกิ ษนุ นั้ เมอ่ื ระลกึ ถงึ ศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ และปัญญาของภิกษุนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความ เป็นอย่างนนั้ บ้าง. อนรุ ทุ ธะทงั้ หลาย ความอยสู่ าำ ราญยอ่ มมไี ดแ้ กภ่ กิ ษุ แม้ดว้ ยประการฉะนแี้ ล. ๒๖๖

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด อนาคามี อนุรุทธะท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภกิ ษชุ อื่ นท้ี าำ กาละแลว้ พระผมู้ พี ระภาคทรงพยากรณว์ า่ เปน็ โสด�บัน มีความไมต่ กตำ่าเป็นธรรมดา เป็นผเู้ ที่ยง มอี นั จะ ตรสั รเู้ ปน็ เบอื้ งหนา้ เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป ถา้ ทา่ นนน้ั เปน็ ผอู้ นั ภกิ ษนุ นั้ ไดเ้ หน็ เอง หรอื ไดย้ นิ มาวา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผมู้ ศี ลี อย่างนี้บ้าง ว่าท่านน้ันเป็นผู้มีธรรมอย่างน้ีบ้าง ว่าท่านนั้น เป็นผมู้ ปี ัญญาอย่างนีบ้ ้าง วา่ ทา่ นเปน็ ผมู้ ีวิหารธรรมอย่างน้ี บา้ ง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผพู้ น้ วเิ ศษอยา่ งนบ้ี า้ ง ภกิ ษนุ นั้ เมอื่ ระลกึ ถงึ ศรทั ธา ศีล สตุ ะ จาคะ และปญั ญาของภิกษนุ ัน้ จะนอ้ ม จติ เข้าไปเพ่ือความเป็นอยา่ งนัน้ บ้าง. อนรุ ทุ ธะทงั้ หลาย ความอยสู่ าำ ราญยอ่ มมไี ดแ้ กภ่ กิ ษุ แม้ด้วยประการฉะน้ีแล. (ถัดไปได้ตรัสถงึ ภิกษณุ ี โดยมีนัยอย่างเดยี วกันกบั ในกรณขี องภิกษ)ุ อนรุ ทุ ธะทงั้ หลาย อบุ าสกในธรรมวนิ ยั นไี้ ดฟ้ งั มาวา่ อุบาสกช่ือน้ีทำากาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เปน็ โอปป�ตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในภพนนั้ มอี นั ไมก่ ลบั จากโลก นน้ั เปน็ ธรรมดา เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป กท็ า่ นนนั้ เปน็ ผู้อันอบุ าสกนน้ั ไดเ้ ห็นเองหรอื ได้ยินมา วา่ ท่านน้นั เป็น ๒๖๗

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ผมู้ ศี ลี อยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผมู้ ธี รรมอยา่ งนบี้ า้ งวา่ ทา่ น เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาอยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ วี หิ ารธรรมอยา่ งน้ี บ้าง ว่าท่านน้ันเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง อุบาสกน้ัน เม่อื ระลกึ ถึงศรัทธา ศลี สุตะ จาคะ และปญั ญาของอุบาสก นั้น จะนอ้ มจติ เข้าไปเพอ่ื ความเปน็ อยา่ งนัน้ บา้ ง. อนุรุทธะท้ังหลาย ความอยู่สำาราญย่อมมีได้แก่ อบุ าสก แมด้ ้วยประการฉะนี.้ อนรุ ทุ ธะทง้ั หลาย อบุ าสกในธรรมวนิ ยั นไ้ี ดฟ้ งั มาวา่ อุบาสกชื่อน้ีทำากาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกท�ค�มี จกั กลบั มายังโลกนเ้ี พียงคราวเดยี ว แล้วทำา ทส่ี ดุ ทกุ ขไ์ ด้ เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะ เบาบาง กท็ ่านนั้นเปน็ ผอู้ นั อบุ าสกน้นั ไดเ้ ห็นเอง หรอื ไดย้ นิ มา วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ ศี ลี อยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ ธี รรมอยา่ งนบ้ี า้ ง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาอยา่ งนบี้ า้ ง วา่ ท่านน้ันเป็นผู้มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าท่านนั้นเป็นผู้พ้น วิเศษแล้วอย่างน้ีบ้าง อุบาสกนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะและปัญญาของอุบาสกนน้ั จะนอ้ มจติ เขา้ ไปเพอ่ื ความเป็นอย่างน้นั บ้าง. ๒๖๘

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี อนุรุทธะท้ังหลาย ความอยู่สำาราญย่อมมีได้แก่ อบุ าสก แมด้ ้วยประการฉะนแ้ี ล. อนรุ ทุ ธะทง้ั หลาย อบุ าสกในธรรมวนิ ยั นไ้ี ดฟ้ งั มาวา่ อุบาสกช่ือนี้ทำากาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นโสด�บันมีความไม่ตกตำ่าเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มี อันจะตรัสรู้เป็นเบ้ืองหน้า เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ก็ท่าน น้ันเป็นผู้อันอุบาสกนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า ท่านนั้น เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง ว่าท่านน้ันเป็นผู้มีธรรมอย่างนี้บ้าง วา่ ทา่ นนน้ั เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาอยา่ งนบี้ า้ ง วา่ ทา่ นนนั้ เปน็ ผมู้ วี หิ าร ธรรมอย่างน้ีบ้าง ว่าท่านน้ันเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างน้ีบ้าง อบุ าสกนั้นเมือ่ ระลึกถงึ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปญั ญา ของอบุ าสกนนั้ จะนอ้ มจติ เขา้ ไปเพอ่ื ความเปน็ อยา่ งนน้ั บา้ ง. อนุรุทธะท้ังหลาย ความอยู่สำาราญย่อมมีได้แก่ อุบาสก แมด้ ้วยประการฉะน้ีแล. (ถดั ไปไดต้ รสั ถงึ อบุ าสกิ า โดยมนี ยั อยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณขี องอบุ าสก) ๒๖๙

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี ละสังโยชนไ์ ด้ ถึงจะท�ำ ท่ีสุดทุกขไ์ ด้ 97 -บาลี . . ๓/๒๓๘/๒๔๓. ขา้ แตพ่ ระโคดม คฤหสั ถบ์ างคนยงั ละสงั โยชนข์ องคฤหสั ถไ์ มไ่ ด้ เมอื่ ตายไป ยอ่ มทาำ ทีส่ ดุ ทุกขไ์ ด้มอี ยู่หรอื . วจั ฉะ คฤหสั ถท์ ยี่ งั ละสงั โยชนข์ องคฤหสั ถไ์ มไ่ ดแ้ ลว้ เมือ่ ตายไป จะทำาทส่ี ดุ ทกุ ขไ์ ด้นน้ั ไมม่ ีเลย. ขา้ แตพ่ ระโคดม กค็ ฤหสั ถบ์ างคนยงั ละสงั โยชนข์ องคฤหสั ถไ์ มไ่ ด้ เมื่อตายไป เข้าถึงโลกสวรรค์ได้ มอี ยู่หรอื . วัจฉะ คฤหัสถ์ที่ละสังโยชน์ของคฤหัสถ์ยังไม่ได้ เม่ือตายไป ได้ไปสวรรค์น้ัน ไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่สามร้อย ไม่ใช่ส่ีร้อย ไม่ใช่ห้าร้อยเท่านั้น โดยที่แท้ มี อยู่มากทเี ดยี ว. ขา้ แตท่ า่ นพระโคดม อาชวี กบางคน เมอื่ ตายไป จะทาำ ทสี่ ดุ ทกุ ขไ์ ด้ มอี ย่บู ้างหรอื . วัจฉะ อาชีวกบางคน เม่ือตายไป จะทำาท่ีสุดทุกข์ ได้น้นั ไม่มเี ลย. ขา้ แตท่ า่ นพระโคดม กอ็ าชวี กบางคน เมอื่ ตายไป จะไปสวรรคไ์ ด้ มอี ยหู่ รอื . ๒๗๐

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ อนาคามี วัจฉะ นับแต่กัปน้ีย้อนไป ๙๑ กัป เราระลึกไม่ได้ ว่าได้เห็นอาชีวกอ่ืนท่ีไปสวรรค์ นอกจากอาชีวกพวกเดียว ท่ีเปน็ กรรมวาที กริ ิยาวาท.ี ขา้ แตท่ า่ นพระโคดม เมอ่ื เปน็ เชน่ นน้ั ลทั ธขิ องเดยี รถยี เ์ ปน็ อนั สญู โดยทสี่ ดุ จากคณุ เคร่อื งไปสู่สวรรค์อย่างน้ันหรือ. อยา่ งนน้ั วจั ฉะ ลทั ธขิ องเดยี รถยี น์ ้ี เปน็ อนั สญู โดยทส่ี ดุ แมจ้ ากคณุ เครอ่ื งไปสสู่ วรรค.์ ๒๗๑

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี ขอ้ แตกต�่ งระหว�่ งอรยิ ส�วกผไู้ ดส้ ดบั 98กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื เสวยเวทน� -บาลี ส า. ส.ํ ๘/๒๕๗/๓๖๙. ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเสวยสุข เวทนาบา้ ง ทกุ ขเวทนาบา้ ง อทกุ ขมสขุ เวทนาบา้ ง อรยิ สาวก ผู้ได้สดับแล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทกุ ขมสขุ เวทนาบ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ในบุคคล ๒ จำาพวกนั้น อะไรเป็น ความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นเครื่องทำาให้ต่างกัน ระหว่างอรยิ สาวกผู้ได้สดับ กับปถุ ชุ นผู้ไมไ่ ด้สดบั . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั อนั ทกุ ขเวทนาถกู ตอ้ งแลว้ ยอ่ มเศรา้ โศก ราำ่ ไรราำ พนั ทบุ อกคราำ่ ครวญ ยอ่ มถงึ ความหลงไหล เขายอ่ มเสวยเวทนา ๒ อยา่ ง คอื เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมอื นนายขมงั ธนู พงึ ยงิ บรุ ษุ ดว้ ยลกู ศร แลว้ ยิงซำา้ บุรุษน้นั ด้วยลกู ศรดอกท่ี ๒ อกี ก็เม่ือ เป็นอย่างนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศร ๒ อย่าง คอื ทางกายและทางใจ ภกิ ษุทง้ั หลาย ปุถุชนผ้ไู ม่ได้สดบั กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั อนั ทกุ ขเวทนาถกู ตอ้ งแลว้ ยอ่ มเศรา้ โศก ๒๗๒

เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี รา่ำ ไรราำ พนั ทบุ อกคราำ่ ครวญ ยอ่ มถงึ ความหลงไหล เขายอ่ ม เสวยเวทนา ๒ อย่าง คือเวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ อน่ึง เขาย่อมเป็นผู้มีความขัดเคืองเพราะทุกขเวทนานั้น นน่ั เอง ปฏฆิ �นสุ ยั ใด อนั เกดิ เพราะทกุ ขเวทนา ปฏฆิ านสุ ยั นน้ั ยอ่ มนอนตามแกเ่ ขา ผมู้ คี วามขดั เคอื งเพราะทกุ ขเวทนานนั้ เขาผู้อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมจะพอใจในกามสุข ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมไม่รู้ อุบายเคร่ืองสลัดออกจากทุกขเวทนา นอกไปจากกามสุข และเมอ่ื เขาพอใจในกามสขุ อยู่ ร�ค�นุสัยใด อนั เกิดเพราะ สขุ เวทนา ราคานสุ ยั นนั้ ยอ่ มนอนเนอ่ื ง (ในบคุ คลนนั้ ) เขายอ่ ม ไม่รู้ซึ่งเหตุเกิด (สมุทย) ความต้ังอยู่ไม่ได้ (อตฺถงฺคม) คุณ (อสสฺ าท) โทษ (อาทนี ว) และอบุ ายเปน็ เครอื่ งสลดั ออก (นสิ สฺ รณ) แหง่ เวทนาเหลา่ นนั้ ตามความเปน็ จรงิ เมอื่ เขาไมร่ เู้ หตเุ กดิ ความต้ังอยู่ไม่ได้ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออก แห่งเวทนาเหล่าน้ัน ตามความเป็นจริง อวิชช�นุสัยใด อัน เกดิ เพราะอทุกขมสขุ เวทนา อวิชชานุสยั น้ัน ยอ่ มนอนเน่อื ง (ในบุคคลน้ัน) ถ้าเสวยสุขเวทนา เขาย่อมเป็นผู้ติดใจ เสวย สขุ เวทนานนั้ ถา้ เสวยทกุ ขเวทนา เขายอ่ มเปน็ ผตู้ ดิ ใจ เสวย ทกุ ขเวทนาน้นั และถ้าเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนา เขาย่อมเปน็ ผู้ติดใจ เสวยอทุกขมสขุ เวทนานนั้ . ๒๗๓

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปุถุชนผไู้ ม่ได้สดับน้ี เราเรียกว่า เป็น ผปู้ ระกอบดว้ ยชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกขะโทมนัส และอปุ ายาสะ เรากลา่ วว่า เป็นผู้ประกอบดว้ ยทุกข.์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สว่ นอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั อนั ทกุ ขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่รำ่าไรรำาพัน ไม่ทุบอก ครา่ำ ครวญ ไมถ่ งึ ความหลงไหล เขายอ่ มเสวยเวทนาทางกาย อยา่ งเดยี ว ไม่ไดเ้ สวยเวทนาทางใจ. ภิกษุท้ังหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู พึงยิง บรุ ษุ ดว้ ยลกู ศร แลว้ ยงิ ซา้ำ บรุ ษุ นน้ั ดว้ ยลกู ศรดอกที่ ๒ ผดิ ไป ก็เม่ือเป็นอยา่ งนี้ บรุ ุษน้นั ยอ่ มเสวยเวทนาเพราะลกู ศรดอก เดยี ว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั กฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่รำ่าไร่รำาพัน ไมท่ บุ อกครา่ำ ครวญ ไมถ่ งึ ความหลงไหล เขายอ่ มเสวยเวทนา ทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ อนึ่ง เขาย่อม ไมม่ คี วามขดั เคอื งเพราะทกุ ขเวทนานน้ั ปฏฆิ านสุ ยั ใด อนั เกดิ เพราะทกุ ขเวทนา ปฏฆิ านสุ ยั นน้ั ยอ่ มไมน่ อนตามแกเ่ ขา ผไู้ มม่ ี ความขดั เคอื งเพราะทกุ ขเวทนานนั้ เขาผอู้ นั ทกุ ขเวทนาถกู ต้องแล้ว ย่อมจะไม่พอใจในกามสุข ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะอริยสาวกผู้ได้สดับน้ัน ย่อมรู้ชัดซ่ึงอุบายอ่ืน อันเป็น เครอ่ื งสลดั ออกจากทกุ ขเวทนา นอกไปจากกามสขุ เมอื่ เขา ๒๗๔

เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ อนาคามี ไม่พอใจในกามสุข ราคานุสัยใด อันเกิดเพราะสุขเวทนา ราคานุสัยนั้น ย่อมไม่นอนเนื่อง (ในบุคคลน้ัน) เขาย่อมรู้ชัด ซง่ึ เหตเุ กดิ ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ คณุ โทษ และอบุ ายเปน็ เครอ่ื ง สลดั ออกแหง่ เวทนาเหลา่ นนั้ ตามความเปน็ จรงิ เมอื่ เขารชู้ ดั ซง่ึ เหตเุ กดิ ความตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ คณุ โทษ และอบุ ายเปน็ เครอ่ื ง สลดั ออกแหง่ เวทนาเหลา่ นน้ั ตามความเปน็ จรงิ อวชิ ชานสุ ยั ใด อนั เกดิ เพราะอทกุ ขมสขุ เวทนา อวชิ ชานสุ ยั นนั้ ยอ่ มไมน่ อน เนอ่ื ง (ในบคุ คลนนั้ ) ถา้ เสวยสขุ เวทนา เขายอ่ มเปน็ ผไู้ มต่ ดิ ใจ เสวยสุขเวทนาน้ัน ถ้าเสวยทุกขเวทนา เขาย่อมเป็นผู้ไม่ ติดใจ เสวยทุกขเวทนานั้น ถ้าเสวยอทุกขมสุขเวทนา เขา ย่อมเปน็ ผูไ้ ม่ตดิ ใจ เสวยอทุกขมสุขเวทนานนั้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ น้ี เราเรยี กวา่ เปน็ ผปู้ ราศจากชาติ ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนัส และอปุ ายาสะ เราย่อมกล่าวว่า เป็นผู้ปราศจากทกุ ข.์ ภิกษุทั้งหลาย น้ีแลเป็นความพิเศษ เป็นความ แปลกกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหต้ า่ งกนั ระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ด้ สดบั กบั ปุถชุ นผไู้ ม่ได้สดับ. ๒๗๕

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี ธรรมทน่ี �่ อัศจรรย์ในธรรมวนิ ยั น้ี 99 -บาลี อ ก. อ.ํ ๒๓/๒๐๗/ ๐. ตรัสเพราะปรารภเหตุมีภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์อยู่หมู่ภิกษุสงฆ์ใน วันอโุ บสถ ภิกษุทั้งหลาย บดั นี้ เธอท้งั หลายพงึ ทาำ อุโบสถเถดิ พึงแสดงปาตโิ มกข์เถิด. ภิกษุท้ังหลาย ต้ังแต่กาลบัดนี้เป็นต้นไป เราจักไม่ แสดงปาติโมกข.์ ภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตจะพึงแสดงปาติโมกข์ ในบรษิ ทั ที่ไมบ่ รสิ ุทธ์ิ นี้มใิ ช่ฐานะ มิใชโ่ อกาส. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในมหาสมทุ รมธี รรมทนี่ า่ อศั จรรยอ์ นั ไม่เคยมีมา ๘ ประการ ท่ีพวกอสูรเห็นแล้วๆ ย่อมอภิรมย์ ธรรม ๘ ประการเปน็ อย่างไร คือ … ภิกษุท้ังหลาย ข้อท่ีมหาสมุทรลาดลุ่ม ลึกลงไป โดยลำาดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ น้ีเป็นธรรมที่น่า อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาของมหาสมุทรประการที่ ๑ ท่ีพวก อสรู เห็นแลว้ ๆ จึงอภิรมย์อย่.ู ๒๗๖

เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด อนาคามี … ภิกษุท้ังหลาย ข้อที่มหาสมุทรเต็มเป่ียมอยู่ เสมอไมล่ น้ ฝงั่ นเ้ี ปน็ ธรรมอนั นา่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมมี าของ มหาสมทุ รประการที่ ๒ ทพี่ วกอสรู เหน็ แลว้ ๆ จงึ อภริ มยอ์ ย.ู่ … ภิกษุทั้งหลาย ข้อท่ีมหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วย ซากศพ และในมหาสมุทรคล่ืนยอ่ มซัดเอาซากศพเขา้ หาฝ่ัง ให้ข้ึนบกทันที น้ีเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาของ มหาสมทุ รประการที่ ๓ ทพี่ วกอสรู เหน็ แลว้ ๆ จงึ อภริ มยอ์ ย.ู่ … ภิกษุทั้งหลาย ข้อท่ีแม่นำ้าสายใหญ่ๆ บางสาย คอื แมน่ าำ้ คงคา ยมนุ า อจริ วดี สรภู มหี แมน่ าำ้ เหลา่ นนั้ ไหล ไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปล่ียนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาของมหาสมุทรประการท่ี ๔ ท่ีพวกอสูรเห็น แลว้ ๆ จงึ อภริ มยอ์ ยู.่ … ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่แม่นำ้าทุกสายในโลกย่อม ไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลง สู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็ม เพราะนำ้าน้ันๆ น้ีเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาของ มหาสมทุ รประการที่ ๕ ทพ่ี วกอสรู เหน็ แลว้ ๆ จงึ อภริ มยอ์ ย.ู่ ๒๗๗

พุทธวจน-หมวดธรรม … ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอ้ ทม่ี หาสมทุ รมรี สเดยี ว คอื รสเคม็ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาของมหาสมุทร ประการท่ี ๖ ทพี่ วกอสูรเหน็ แลว้ ๆ จงึ อภิรมยอ์ ยู.่ … ภิกษุท้ังหลาย ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมาย หลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้ว มณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศลิ า แก้วประพาฬ เงนิ ทอง ทบั ทิม มรกตนเ้ี ปน็ ธรรมทนี่ า่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมมี าของมหาสมทุ ร ประการท่ี ๗ ทพ่ี วกอสูรเหน็ แลว้ ๆ จงึ อภิรมย์อย.ู่ … ภิกษุท้ังหลาย ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำานัก อาศัยของส่ิงมีชีวิตใหญ่ๆ ส่ิงมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังน้ี คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีรา่ งกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐โยชน์ กม็ ีอยู่ น้ีเป็นธรรมที่ นา่ อศั จรรยอ์ นั ไมเ่ คยมมี าของมหาสมทุ รประการท่ี ๘ ทพี่ วก อสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมยอ์ ย่.ู ภิกษุทั้งหลาย ในมหาสมุทรมีธรรมท่ีน่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา ๘ ประการเหล่านี้แล ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภริ มย์อยู.่ ๒๗๘