ความสำคัญและลักษณะการทำลาย เข้าทำลายโดยใช้ปากเป็นแท่ง (stylet) ดูดน้ำเล้ียงจากส่วนของพืช ชอบทำลายยอด ใบ อ่อน ตาดอกอ่อน เม่ือพืชถูกทำลายโดยเฉพาะบริเวณก้านใบหรือเนื้อใบด้านล่างจะเป็นรอยด้านสี น้ำตาล ถ้าการระบาดรุนแรงพืชจะชะงักการเจริญเติบโต หรือแห้งตายในที่สุด ถ้าเกิดกับใบอ่อน หรือยอดอ่อน ก็จะทำให้ใบ หรือยอดอ่อนหงิก ขอบใบหงิกและม้วนงอขึ้นด้านบนทั้งสองข้าง ใบที่ ถูกทำลายมากจะเห็นเป็นรอยด้านสีน้ำตาล ถ้าเกิดในระยะพริกกำลังออกดอกก็จะทำให้ดอกพริก ร่วง ถ้าระบาดในช่วงพริกติดผลแล้วจะทำให้รูปทรงของผลบิดงอ หากเป็นช่วงที่มีอากาศแห้งแล้ง อาจทำความเสียหายมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ดินฟ้าอากาศมสี ่วนช่วยและเป็นอุปสรรคตอ่ การแพร่ กระจายอยา่ งเดน่ ชัด สภาพอณุ หภมู ิสูงความชืน้ ต่ำ และแสงแดดจดั ตลอดจนกระแสลมเป็นปจั จยั ที่เพลี้ยไฟสามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว เช่น ในฤดูแล้งมีอากาศแห้งและร้อนติดต่อกัน นานๆ แตห่ ากมีฝนตกมากๆ กก็ ำจดั หรือควบคุมการแพรร่ ะบาดของเพล้ียไฟพริกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ดงั นั้น จะพบวา่ ในฤดฝู นมักจะไมค่ ่อยมแี มลงศตั รูชนดิ น้ีระบาดเหมอื นในฤดูแลง้ รูปรา่ งลักษณะและชวี ประวตั ิ เพลี้ยไฟพริกเป็นแมลงที่มีขนาดเล็ก ลำตัวยาวเพียง 1 มม. สีน้ำตาลอ่อนทำลายพืชเมื่อ อยู่ในระยะตัวอ่อน และตัวเต็มวัย มีปีก 2 คู่ ประกอบด้วยขนเส้นเล็ก ตัวอ่อนแตกต่างจากตัวเต็ม วัยท่ีไม่มีปีกและมีขนาดเล็กกว่า และตัวเต็มวัยยังเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า เพลี้ยไฟพริกเจริญเติบโต จากไข่ที่ตัวแม่วางไว้ตามเส้นใบ ตัวอ่อนเมื่อออกจากไข่จะอาศัยดูดกินน้ำเล้ียงเช่นเดียวกับ ตัวเต็มวัย มกั จะพบอย่บู นตน้ พืช โดยเฉพาะที่ใบ ดอก ผล หรอื ส่วนท่ีออ่ นๆ ของตน้ พรกิ เมอ่ื โตเตม็ ท่ี กจ็ ะเข้าดกั แดต้ ามพืน้ ดนิ บริเวณโคนต้น และออกเปน็ ตวั เต็มวัย พชื อาหาร พบทำลายพืชท่ีสำคัญหลายชนิด ได้แก่ พริก ถ่ัวลิสง เงาะ มะม่วง ส้ม ส้มโอ มะละกอ มะขาม มังคุด ทุเรียน มะม่วงหิมพานต์ เปน็ ต้น ศตั รูธรรมชาติ - การปอ้ งกันกำจัด 1. สำรวจเพลี้ยไฟพริกบริเวณใต้ใบหรือส่วนอ่อนๆ ของพืช เช่น ตาดอก ดอก และใบอ่อน เมื่อเริ่มพบเพล้ียไฟ 5 ตัวข้ึนไปต่อส่วนของพืชน้ันๆ ควรหาทางกำจัดเสียต้ังแต่เนิ่นๆ ในข้ันต้นควร เพิ่มความช้ืนโดยการให้น้ำ อย่าปล่อยให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้พืชอ่อนแอ และเพล้ียไฟพริกก็ อาจจะระบาดอยา่ งรวดเรว็ แมลงศัตรูผัก เหด็ และไมด้ อก 43
2. ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด เช่น อิมิดาโคลพริด (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) หรือ ฟิโปรนิล (แอสเซนด์ 5% เอสซี) หรือ อิมาเม็กตินเบนโซเอต (โปร เคลม 1.92% อซี )ี อัตรา 40, 40 และ 20 มล./นำ้ 20 ลิตร ตามลำดับ พ เพลี้ยไฟฝ้าย (cotton thrips) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Thrips palmi Karny วงศ์ Thripidae อนั ดบั Thysanoptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทำลายส่วนต่างๆ ของพืช โดยใช้ปากท่ีเป็นแท่ง (stylet) เข่ียเน้ือเยื่อ พืชให้ช้ำแล้วจึงดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พืช ทำให้บริเวณที่ถูกดูดมีลักษณะอาการแตกต่างกัน เช่น อาการท่ีมักเกิดกับพืชแตงโม หากเกิดในระยะแตงโมทอดยอดจะทำให้ชะงักการเจริญเติบโต ลักษณะอาการที่เกิดจากเพล้ยี ไฟนีเ้ รยี กว่า ยอดต้ัง ในพชื มะเขือเปราะผลจากการทำลายทำให้เกิด รอยด้านท่ีผล เมื่อโตขึ้นทำให้คุณภาพผลผลิตต่ำ ส่วนในพืชผักชนิดอื่น เช่น กระเจี๊ยบเขียว ถั่วฝักยาว มะระ และแตงกวา ทำให้บริเวณใบท่ีถูกทำลายมีรอยแผลสีน้ำตาล ใบแห้ง ในการ ทำลายของเพล้ียไฟต่อส่วนเจริญของพืช ทำใหย้ อด ดอก ตาอ่อน ไมเ่ จรญิ เติบโต หากเป็นระยะพืช ขาดน้ำแล้วไม่ทำการแก้ไขป้องกันกำจัด จะทำให้พืชตายได้ ความเสียหายที่เกิดจากเพล้ียไฟแตก ต่างกัน เช่น ในกรณีของพืชแตงโมหากเพลี้ยไฟระบาดในช่วงอายุระยะ 1 เดือนหลังปลูกจะก่อให้ เกิดความเสียหายมาก ถ้าพ้นช่วงน้ันแล้วแตงโมจะทอดยอดก็จะทนการทำลายได้ดีกว่า ในกรณี ของพืชผักท่ีมีการส่งออกถึงจะมีความเสียหายไม่ชัดเจน แต่การติดไปของเพล้ียไฟชนิดนี้ไม่ว่าจะ เปน็ ระยะไข่ ตวั ออ่ น หรือตัวเตม็ วยั กต็ าม จะมีผลกระทบต่อการสง่ ออกทันที พบทำลายพืชไดเ้ กอื บ ตลอดปี การระบาดมกั พบเสมอในชว่ งฤดรู อ้ น หรือชว่ งท่มี ีอากาศแห้งแลง้ ฝนทิ้งชว่ งเป็นเวลานาน รูปรา่ งลกั ษณะและชีวประวัต ิ เพลี้ยไฟวางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ ในเนื้อเยื่อพืช ไข่มีสีขาวใส รูปร่างคล้ายเมล็ดถ่ัว มีขนาด เล็กประมาณ 0.1-0.2 มม. จากการศึกษาในอุณหภูมิระหว่าง 20-30 องศาเซลเซียส อายุไข่ ประมาณ 4-8 วัน ฟักเป็นตัวอ่อน การเจริญเติบโตของเพลี้ยไฟฝ้ายในระยะตัวอ่อนพบมี 3 ระยะ คอื ระยะแรกมลี ักษณะสีขาวใส ผอมเรียวเลก็ ขนาดลำตัวยาว 0.2 - 0.3 มม. ปลายท้องคอ่ นขา้ ง แหลม ตารวมขาวใส หนวดมี 7 ปลอ้ ง เคลอื่ นไหวตลอดเวลา และเร่ิมทำลายพชื ทันทีโดยดดู กินนำ้ เล้ียงเมื่อเข้าสู่ตัวอ่อนระยะท่ีสอง มีขนาดลำตัวยาว 0.3-0.4 มม. ลำตัวมีสีเหลืองเข้มข้ึน บริเวณ แมลงศตั รูผัก เหด็ และไมด้ อก 44
ปลายส่วนท้องไม่แหลมเหมือนระยะต้น ในระยะน้ีเคลื่อนไหวรวดเร็วและว่องไวมาก ส่วนตัวอ่อน ระยะท่ีสามเป็นระยะก่อนเข้าดักแด้ มีสีเหลืองเข้ม ลำตัวมีขนาด 0.5-0.7 มม. ตารวมสีเทาปนดำ ตาเดี่ยวสีแดง ตมุ่ ปีกบริเวณอกปลอ้ งทีส่ อง และสามเริม่ เจริญเตบิ โต ในระยะนเ้ี คลอ่ื นไหวชา้ ลงแต่ ยังคงทำลายพืชโดยดูดกินน้ำเล้ียง ระยะตัวอ่อนประมาณ 6-10 วัน ดักแด้มีสีเหลืองเข้ม ขนาดลำตัว 0.7-0.8 มม. ในระยะน้หี นวดกลบั ไปทางดา้ นหลงั แผ่นปีกท้ังสองเจรญิ มากข้ึน และมี ขนาดเกือบถึงปลายส่วนท้อง เพลี้ยไฟระยะน้ีไม่เคล่ือนไหวไม่กินอาหาร และเข้าดักแด้ในดิน ดกั แดม้ อี ายุ 3-4 วัน ตวั เต็มวัยมีสเี หลืองเขม้ ขนาดลำตัวยาว 0.8-1.0 มม. หนวดสีเหลืองมจี ำนวน 7 ปลอ้ ง ตารวมสเี ทาดำ ตาเด่ียว 3 ตาสีแดง ปีกยาวคลมุ มดิ ส่วนท้องมีสเี หลอื งปนนำ้ ตาลอ่อน ขน สเี ทายาวรอบปีก ปลอ้ งทอ้ งมจี ำนวน 10 ปลอ้ ง เพลย้ี ไฟระยะนี้เคล่อื นไหวรวดเรว็ และวอ่ งไว อายุ ตัวเต็มวยั พบระหว่าง 16-24 วนั จากการศกึ ษาที่อุณหภูมริ ะหว่าง 20-30 องศาเซลเซยี ส วงจรชีวิต ของเพลีย้ ไฟจากไขถ่ ึงตวั เตม็ วยั มอี ายุระหว่าง 14-23 วัน พชื อาหาร เพล้ียไฟฝ้ายเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญมากที่สุดอีกชนิดหน่ึง สามารถทำลายพืชได้หลายชนิด เช่น แตงโม มะเขือเปราะ มะเขือยาว แตงกวา มะระ ฟักเขียว ถั่วฝักยาว หน่อไม้ฝรั่ง ไม้ผล เช่น มะม่วง ส้มโอ องุ่น พืชไร่ เช่น ฝ้าย ยาสูบ งา ทานตะวัน ข้าวโพด ทำลายไม้ดอก เช่น กล้วยไม้ กุหลาบ เบญจมาศ ดาวเรือง เป็นต้น ศตั รธู รรมชาต ิ - การป้องกนั กำจดั 1. ขน้ั ต้นควรเพ่มิ ความชืน้ โดยการให้น้ำ อย่าปล่อยให้พชื ขาดน้ำ เพราะจะทำใหพ้ ืชออ่ นแอ และเพล้ียไฟฝ้ายก็อาจจะระบาดอย่างรวดเรว็ 2. ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด เช่น อิมิดาโคลพริด (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) หรือ ฟิโปรนิล (แอสเซนด์ 5% เอสซี) หรือ อิมาเม็กตินเบนโซเอต (โปร เคลม 1.92% อีซี) อัตรา 40, 40 และ 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร ตามลำดบั เพลี้ยไฟหอม (onion thrips) ช่ือวิทยาศาสตร์ Thrips tabaci Lindeman วงศ์ Thripidae อันดับ Thysanoptera แมลงศัตรูผกั เหด็ และไม้ดอก 45
ความสำคัญและลักษณะการทำลาย เพลย้ี ไฟหอมทำลายหน่อไมฝ้ รั่ง และกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาในดา้ นการสง่ ออกในปี 2530 ซ่ึงมผี ล ทำให้ประเทศญ่ีปุ่นไม่ยอมรับซื้อหน่อไม้ฝร่ังที่ส่งออกจากประเทศไทย เกษตรกรผู้ปลูกประสบ ความเสียหายอย่างมาก เพลี้ยไฟหอมชนิดน้ีท้ังตัวอ่อนและตัวเต็มวัยสามารถเข้าทำลายหน่อไม้ ฝรั่ง โดยการใชป้ ากทม่ี ลี ักษณะเปน็ แท่ง (stylet) เขยี่ เน้ือเย่ือพืชให้ชำ้ แล้วดูดนำ้ เลย้ี งจากเซลลพ์ ชื ท่ี ปลายหน่อ กาบใบและใบ ในระยะแรกของการเข้าทำลาย ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่พบร่องรอย หรือ อาการที่ถูกทำลาย แต่จะเห็นได้ชัดเจนก็ต่อเม่ือพืชถูกทำลายรุนแรงแล้ว หน่อไม้ฝรั่งจึงจะมี ลักษณะแคระแกรน ปลายหน่อเหลืองซีด กาบใบที่หุ้มบริเวณลำต้นมีสีน้ำตาล และแสดงอาการ เหี่ยว ซง่ึ หนอ่ ไมฝ้ รงั่ ที่มีลกั ษณะดงั กลา่ วจะขายไมไ่ ด้ราคา และท่ีสำคญั อย่างยง่ิ คอื ไมส่ ามารถส่ง ออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ ปัจจัยท่ีสำคัญต่อการระบาดของเพลี้ยไฟหอม ได้แก่ ฝน และ อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ซ่ึงจะลดการเคลื่อนย้ายและการระบาดของเพล้ียไฟหอมลงได้ มาก พบระบาดในช่วงฤดูร้อนหรืออากาศแห้งแล้ง ช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ของ ทกุ แหล่งท่ปี ลกู หน่อไม้ฝรั่ง รปู รา่ งลกั ษณะและชีวประวตั ิ เพลี้ยไฟหอมวางไขเ่ ป็นฟองเดยี่ วๆ ในเน้อื เย่ือพืชประมาณ 28-55 ฟอง ไขม่ สี ขี าวใส ระยะ ไข่ ประมาณ 4.8-8.5 วัน การเจริญเติบโตของเพลี้ยไฟหอมในระยะตวั ออ่ นพบมี 3 ระยะ คอื ระยะ แรกมีสีเหลืองใส หลังเข้าสู่ตัวอ่อนระยะที่สาม ซ่ึงเป็นระยะก่อนเข้าดักแด้ ตัวอ่อนมีสีเหลืองอ่อน หรือน้ำตาลอ่อน ในระยะนี้จะปรากฏตุ่มปีกบริเวณอกปล้องที่สองและสามเห็นชัดเจน เคล่ือนไหว ช้าลง แต่ยังคงทำลายพืชโดยการดูดกินน้ำเล้ียง ระยะตัวอ่อนประมาณ 6.8-8.5 วัน ดักแด้ มีสีเหลือง ในระยะน้ีหนวดวกช้ีไปทางด้านหลัง ตุ่มปีกท้ังสองข้างเจริญมากข้ึน จะขยายออกมา และโค้งไปตามลำตัวเกือบมิดส่วนท้อง และมีขนเส้นเล็กๆ สีน้ำตาลเห็นชัดเจน เพลี้ยไฟหอมระยะ น้ีไม่เคล่ือนไหว ไม่กินอาหารและเข้าดักแด้ในดิน ดักแด้มีอายุประมาณ 2.4-4 วัน ตัวเต็มวัยมี ขนาดลำตัว 1-1.1 มม. มสี ีเหลืองออ่ น หรือนำ้ ตาลออ่ น ซึ่งเกดิ จากจดุ สีนำ้ ตาลทก่ี ระจายตามแผน่ แข็งบริเวณ หัว อก และท้อง บางครั้งพบว่าจุดสีน้ำตาลเหล่านี้รวมตัวกันมีลักษณะเป็นแถบสี นำ้ ตาลเขม้ เพล้ียไฟหอมในระยะน้ีเคลือ่ นไหวรวดเรว็ และวอ่ งไว ตัวเตม็ วยั อายรุ ะหว่าง 18-20 วนั รวมวงจรชีวติ 14-19 วัน พืชอาหาร เพลี้ยไฟหอม เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของพืชหลายชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง หอม กระเทียม ฝ้าย ทานตะวนั น้ำเต้า บวบ ปอ มะเขือ ถ่ัว ยาสูบ และ มะเขือเทศ เปน็ ตน้ แมลงศัตรผู กั เหด็ และไมด้ อก 46
ศตั รูธรรมชาต ิ - การปอ้ งกนั กำจดั 1. วธิ ีกล โดยการตดิ กับดักกาวเหนียวสีเหลอื งจำนวน 80 กบั ดกั /ไร่ พบวา่ มปี ระสทิ ธิภาพ ในการดักจบั เพลี้ยไฟชนิดน้ีได้เป็นอยา่ งดี และสามารถลดการระบาดลงได ้ 2. ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพ เช่น อิมิดาโคลพริด (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) หรอื ฟโิ ปรนลิ (แอสเซน็ ด์ 5% เอสซ)ี อัตรา 40 และ 20 มล./นำ้ 20 ลิตร ตามลำดับ เพลี้ยจกั จัน่ ฝ้าย (leafhopper) / ชื่อวิทยาศาสตร์ Amrasca biguttula biguttula (Ishida) วงศ์ Cicadellidae อันดับ Homoptera ความสำคัญและลกั ษณะการทำลาย เพล้ียจักจั่นฝ้ายระบาดตามแหล่งปลูกทั่วไปในประเทศไทย เข้าทำลายในช่วงต้นพืชยังเล็ก ทำให้ต้นไม่เจริญเติบโตหรือตายได้ โดยทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบมีผลทำให้ ใบเปลย่ี นเป็นสนี ้ำตาล และงอลง ใบจะเห่ียวแหง้ และแห้งกรอบในทส่ี ุด ดงั นั้นในชว่ งทีพ่ ืชเล็กควร หมน่ั ตรวจนบั แมลงหากพบเพลยี้ จกั จนั่ ฝา้ ยเฉล่ยี สงู กว่า 1 ตวั ต่อใบควรทำการป้องกันกำจัด รูปร่างลักษณะและชวี ประวตั ิ ตัวเต็มวัยวางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ ตามบริเวณเส้นใบ หรือก้านใบพืช ไข่มีรูปร่างลักษณะโค้ง งอ สีเขียว ระยะไข่เฉล่ยี ประมาณ 6.3 วัน ตวั อ่อนทฟี่ กั ออกจากไขม่ ีสเี ขยี วอมเหลืองจาง ตัวอ่อนโต เตม็ ทีม่ ขี นาด 2 มม. เคลื่อนไหวรวดเร็ว มกี ารเจรญิ เติบโต 5 ระยะ ระยะที่ 1 อายุ 1.5 วนั ระยะท่ี 2 1.1 วัน ระยะที่ 3 1.2 วัน ระยะท่ี 4 1.5 วัน และระยะที่ 5 2 วัน รวมระยะตัวอ่อนเฉลี่ย 7.3 วัน ตัวเต็มวัยรูปร่างลักษณะยาวรี ขนาดเล็กประมาณ 2.5 มม. มีสีเขียวจาง ปีกโปร่งใสมีจุดสีดำ อยู่กลางปีกข้างละจุด เคลื่อนไหวและบินได้รวดเร็วมากเม่ือถูกรบกวน ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 21-30 วนั รวมวงจรชวี ติ เพล้ยี จักจน่ั ฝา้ ยเฉลย่ี 13.6 วนั พืชอาหาร พบทำลายพืชผักหลายชนิดที่สำคัญ ได้แก่ มะเขือเปราะ มะเขือยาว และกระเจ๊ียบเขียว เป็นตน้ นอกจากนยี้ ังพบทำลายฝ้าย และปอแก้ว แมลงศตั รผู กั เห็ดและไม้ดอก 47
ศัตรธู รรมชาต ิ - การป้องกันกำจดั 1. คลุกเมล็ดก่อนเพาะกล้าด้วยสารคาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 25% เอสที) อัตรา 40 กรัม/ เมล็ด 1 กก. 2. ใช้สารฆ่าแมลงท่ีมีประสิทธิภาพ เช่น อิมิดาโคลพริด (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) หรอื ฟโิ ปรนลิ (แอสเซ็นด์ 5% เอสซ)ี อตั รา 20 และ 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร ตามลำดบั แมลงหวขี่ าวยาสูบ (tobacco whitefly) ชื่อวิทยาศาสตร์ Bemisia tabaci (Gennadius) วงศ์ Aleyrodidae อนั ดับ Homoptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย แมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของมะเขือเทศ โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูด กินน้ำเล้ียงบริเวณใบ และเปน็ พาหะนำโรคทีเ่ กิดจากไวรสั การกระจายของแมลงและโรคทเ่ี กิดจาก แมลงหวี่ขาวยาสูบส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตร้อน แต่ก็พบในเขตก่ึงร้อนและเขตอบอุ่นด้วยเช่นกัน ทำความเสียหายให้กับมะเขือเทศในแหล่งปลูกท่ัวโลก ไวรัสของมะเขือเทศท่ีถ่ายทอดโดยแมลงหวี่ ขาวยาสูบมี 1 ชนิด คือ Tomato yellow leaf curl virus แมลงหว่ีขาวยาสูบพบระบาดทั่วไปใน แหล่งปลกู มะเขอื เทศ รูปร่างลักษณะและชวี ประวัติ แมลงหวี่ขาวยาสูบวางไข่เป็นกลุ่มใต้ใบพืช ก้าน ไข่จะติดกับเน้ือเย่ือของพืช รูปร่างยาวรีสี เหลอื งอ่อน ไขม่ ีขนาด 0.1-0.3 มม. ตวั อ่อนมีลกั ษณะแบนราบตดิ กับผวิ ใบ ลอกคราบ 3 ครั้ง ระยะ ตวั อ่อน 11-18 วัน ดักแดม้ ีขนาด 0.6-0.8 มม. ระยะดกั แด้ 5-7 วัน ตวั เต็มวยั จะออกจากดกั แดต้ รง รอยแตกทส่ี ่วนอก เพศเมยี วางไข่ได้สูงสุดมากกว่ารอ้ ยฟอง ตัวเตม็ วยั มอี ายุ 2-11 วัน สบื พันธ์แุ บบ parthenogenesis (การออกลูกเปน็ ตวั โดยไม่มีการผสมพันธ)์ุ พืชอาหาร พบทำลายในพืชเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น ฝ้าย ยาสูบ พริก มันเทศ มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ เขยี ว มะเขอื เปราะ ปอแกว้ ถัว่ เหลอื ง และถัว่ ต่างๆ แมลงศัตรผู ัก เห็ดและไมด้ อก 48
ศตั รูธรรมชาต ิ ศตั รธู รรมชาติที่พบมที ง้ั ตวั หำ้ และตัวเบยี น เชน่ แตนเบียน Encrasia sp. (F. Aphelinidae) แมลงช้างปีกใส Chrysopa basalis Walker และ Chrysopa sp. (F. Chrysopidae) ด้วงเต่า (Coccinellidae) บางชนิด และแมงมุมสกุลไลคอซา (Lycoza sp.) และ ออกซีออพิส (Oxyopes sp.) การป้องกนั กำจดั 1. คลุกเมล็ดก่อนเพาะกล้าด้วยสารคาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 25% เอสที) อัตรา 40 กรัม/ เมลด็ 1 กก. 2. ใช้สารฆ่าแมลงท่ีมีประสิทธิภาพป้องกันกำจัด เช่น อิมิดาโคลพริด (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) หรอื ฟิโปรนิล (แอสเซ็นด์ 5% เอสซ)ี อัตรา 40 และ 40 มล./น้ำ 20 ลติ ร แมลงศัตรผู ัก เหด็ และไม้ดอก 49
บรรณานกุ รม N ปิยรตั น์ เขยี นมีสุข กอบเกียรติ์ บันสทิ ธ์ิ นงพร กจิ บำรงุ จกั รพงศ์ พิริยพล ศรีสุดา โทท้ อง สมศกั ดิ์ ศิริพลต้ังม่ัน ลัดดาวัลย์ อินทร์สังข์ อุราพร ใจเพ็ชร ศรีจำนรรจ์ พิชิตสุวรรณชัย สมรวย รุ่งรัตนวารี สัจจะ ประสงค์ทรัพย์. 2542. แมลงศัตรูผัก. กลุ่มงานวิจัยแมลงศัตรูผัก ไม้ดอกและไม้ประดับ. กองกีฏและสัตววทิ ยา, กรมวิชาการเกษตร. 97 หน้า. ปยิ รตั น์ เขยี นมสี ขุ พมิ ลพร นนั ทะ และสมศกั ดิ์ ศริ พิ ลตงั้ มนั่ . 2544. การปอ้ งกนั กำจดั ศตั รกู ะหลำ่ ปลี โดยวิธีผสมผสาน. หน้า 270-280. ใน รายงานผลการดำเนินงาน การป้องกันกำจัด ศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน ครั้งที่ 4 กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร กระทรวง เกษตรและสหกรณ.์ สมศักดิ์ ศิรพิ ลตั้งมั่น สัจจะ ประสงคท์ รพั ย์ และ ปยิ รตั น์ เขยี นมสี ุข. 2544 ก. ประสทิ ธภิ าพของสาร ฆา่ แมลงและเช้อื แบคทีเรยี ในการปอ้ งกันกำจดั ดว้ งหมัดผกั . หนา้ 133-138. ใน รายงาน การคน้ คว้าและวิจัยประจำปี 2544 กองกีฏและสัตววิทยา กรมวชิ าการเกษตร กระทรวง เกษตรและสหกรณ.์ สมศักดิ์ ศริ ิพลตง้ั มนั่ สัจจะ ประสงคท์ รัพย์ และ ปยิ รตั น์ เขยี นมสี ุข. 2544ข. ทดสอบประสทิ ธิภาพ ของสารฆ่าแมลงเพ่ือป้องกันกำจัดหนอนเจาะยอดกะหล่ำ. หน้า 139-144. ใน รายงาน ผลการค้นคว้าและวิจัยประจำปี 2544 กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ สมศักด์ิ ศิริพลตั้งม่ัน สัจจะ ประสงค์ทรัพย์ อัจฉรา ตันติโชดก และ ปิยรัตน์ เขียนมีสุข. 2544. ประสิทธิภาพสารฆ่าแมลง เชื้อแบคทีเรีย และสารสกัดสะเดาในการป้องกันกำจัดหนอน ใยผัก. หน้า 93-106. ใน รายงานผลการค้นคว้าและวิจัยประจำปี 2544 กองกีฏและ สตั ววทิ ยา กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. อรัญ งามผ่องใส. 2547. สารเคมคี วบคุมศัตรูพชื . ภาควชิ าการจัดการศัตรูพืช คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวทิ ยาลัย สงขลานครินทร์. 348 หนา้ . Anonymous. 2006. IRAC Mode of Action Classification Version 5.2 (http:// www.iraconline.org/ classification/10/09/2006) แมลงศตั รูผกั เหด็ และไม้ดอก 50
แมลงศตั รู เหด็ และการปอ้ งกนั กำจดั อุราพร หนนู ารถ เหด็ เป็นพชื เศรษฐกจิ ทมี่ คี วามสำคญั อีกชนิดหนึ่งที่มคี ุณคา่ ทางดา้ นโภชนาการ และใหผ้ ล ตอบแทนต่อหน่วยสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว สามารถทำเป็นอาชีพเสริมรายได้หรือทำเป็นอาชีพ หลัก เกษตรกรผู้เพาะเห็ดสามารถเพาะได้ภายในครัวเรือน โดยใช้วัสดุเหลือใช้ นำมาทำเป็นวัสดุ ในการเพาะเห็ด เชน่ ฟางข้าว ขี้เลอ่ื ย และเปลือกถ่วั เหด็ ทมี่ คี วามสำคญั ทางเศรษฐกจิ ได้แก่ เหด็ นางฟา้ เหด็ ฟาง เห็ดหอม เห็ดนางรม เหด็ เป๋าฮอ้ื เห็ดแชมปญิ อง เห็ดหลนิ จือ และเห็ดหูหนู สภาพ ภูมิอากาศและการเกษตรของประเทศไทยเหมาะสมกับการผลิตเห็ดมาก ทั้งนี้เพราะประเทศไทยมี สภาพภูมิอากาศที่ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป มีความช้ืนสูง จากการติดตามปัญหาการระบาดด้าน แมลงศัตรู พบว่า เห็ดตระกูลนางฟ้า- นางรม หรือเห็ดที่เพาะถุงส่วนมาก มีปัญหาเก่ียวกับแมลง ศตั รูลงทำลาย จนทำให้เกดิ ความเสยี หายแกผ่ ลผลิต หนอนแมลงวันเซียริค (sciarid, Lycoriella sp.) หรือแมลงหว่ีเห็ดปีกดำ จะลงทำลาย กัดกินเห็ดในระยะที่เป็นตัวหนอน โดยแมลงวันเซียริดจะวางไข่บนก้อนเช้ือ ตั้งแต่ช่วงบ่มก้อนเชื้อ ไขม่ ลี ักษณะกลมรี ระยะไข่ 4 วนั จึงฟักเป็นหนอน หนอนเมือ่ ฟักออกจากไขใ่ หม่ๆ สว่ นหวั มจี ุดสดี ำ เห็นได้ชัดเจน หนอนมีลำตัวสีขาวใส สีครีม หรืออาจมีเหลืองส้ม บางครั้งส่วนหัวมีสีดำ หนอนมี ความยาวประมาณ 5 - 7 มม. ตวั หนอนเคลื่อนไหวไดร้ วดเร็วและกินจุมาก ระยะหนอน 10 วนั จึง เข้าดักแด้ เมื่อเข้าดักแด้ใหม่ๆ จะเป็นสีขาวและสีจะเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีดำเห็นได้ชัดเจนก่อน ออกเปน็ ตัวแก่ ระยะดกั แด้ 3 - 5 วัน ลกั ษณะของตัวแกจ่ ะมีสดี ำโดยเฉพาะทป่ี ีก ขนาดตวั ใกลเ้ คยี ง กับยุงบ้านมีขนาด 2 - 3 มม. ช่วงท้องแคบ ตัวแก่ไม่ทำลายหรือกัดกินเห็ดแต่อย่างไร วงจรชีวิต ท้ังหมดคือจากไข่ออกเป็นตัวแก่ประมาณ 25 - 30 วันหรือหนึ่งเดือน หนอนแมลงวันเซียริค ปจั จุบนั เป็นแมลงศัตรทู ่สี ำคัญของการผลติ เห็ดเชงิ การค้าโดยทว่ั ไป หนอนแมลงวนั ฟอรดิ (phorid, Megasellia sp.) หรอื แมลงวนั หลังโกง ตัวแกจ่ ะพบท้ัง ชนิดมีปีกและไม่มีปีกอยู่ในวงศ์ Phoridae ระยะหนอนจะทำลายเส้นใยเห็ดท่ีกำลังเดิน และมักจะ เจาะเข้าไปทำลาย ส่วนของโคนต้นและหมวกดอก ทำให้พรุนและเสียหายได้ แต่ความรุนแรงพบ น้อยกว่าพวกแมลงวันเซียรคิ ตวั แกช่ อบอยูใ่ นท่สี วา่ ง เชน่ บรเิ วณรอบโรงเรือนเพาะเห็ด แมลงหว่เี หด็ (scatpse sp.) เปน็ แมลงสีดำขนาดเล็กคลา้ ยกบั แมลงหว่ี ตวั แก่มักจะเกาะ ตามดอกเห็ด ก้อนเชอ้ื เหด็ ผนังโรงเรอื น และมักจะทำความรำคาญโดยตอมตาของผู้เข้าปฏิบัติงาน ในโรงเห็ดได้ ลักษณะการทำลายของหนอนจะเริ่มเจาะท่ีโคนดอกเห็ดโดยเฉพาะระยะก้ามปูทำให้ เห็ดแกร็นด้านน้ำตาลและเน่าเสียท้ังถุง การระบาดของแมลงชนิดนี้จะพบมากหลังการเพาะเห็ดได้ ประมาณ 5 – 6 เดือน หรือระบาดเป็นครงั้ คราว แมลงศัตรูผัก เห็ดและไมด้ อก 51
หนอนผีเส้ือ (tineid moth, Dasyses rugosella Strainton) ตัวหนอนหลังจากฟักออกมาแล้วก็จะกินอยู่บริเวณปากถุงหรือชอนไชไปตามผิวหรือเจาะ เข้าไปในก้อนเชื้อทีม่ ีเสน้ ใยเห็ดสีขาว ทำให้เสน้ ใยขาดเห็ดไมเ่ จรญิ และไม่ผลิตดอก หนอนบางส่วน อาจเจาะรูเข้าไปในก้อนเชื้อหรือชักใยรวมกับขี้เล้ือยไม้ยางพารา ซ่ึงเป็นส่วนประกอบของก้อนเชื้อ เพ่ือทำเป็นรังห่อหุ้มตัว เมื่อก้อนเชื้อเห็ดในถุงถูกทำลายจะสังเกตเห็นเป็นขุยสีน้ำตาลเป็นทางยาว คดเค้ียวไปมาและหากพบการทำลายอย่างรุนแรงก็จะเห็นมูลหนอนท่ีถ่ายออกมาสีน้ำตาลเต็มไป หมด บริเวณนี้จะพบเส้นใยเห็ดเพียงเล็กน้อยและเห็ดจะไม่สามารถผลิตดอกได้ ตัวแก่เป็นผีเส้ือ กลางวันขนาด 8 - 9 มม. พบเกาะอยู่ตามฝาผนังของโรงเรือนและปากถุงก้อนเช้ือเห็ด ปีกมีสี น้ำตาลสลับลายสีน้ำตาลดำ ปีกด้านล่างยาวกว่าปีกด้านบน ส่วนท้องสีน้ำตาลอ่อน ขณะเกาะนิ่ง อยู่กับที่จะเป็นรูปสามเหล่ียมคล้ายหลังคา การวางไข่จะวางบนจุกสำลีปิดถุงก้อนเชื้อ ไข่เป็นกลุ่ม มีเส้นใยครีมปกคลุม หนอนระยะวัยเล็กจะมีสีครีม ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ส่วนหัวและ ปากเป็นสีน้ำตาลเข้มเห็นได้ชัด บนส่วนอกด้านหลังติดส่วนหัวจะมีขีดสีน้ำตาลพาดตามขวางของ ลำตวั หนอนโตเต็มทมี่ ีขนาด 15 มม. ระยะวัยหนอนประมาณ 14 - 21 วนั หนอนผีเสื้อกินใบจาก ตัวแก่เป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดกลางมีขนปุกปุยด้านปลายท้อง วางไขบ่ ริเวณใบจากที่นำมาทำโรงเรอื นตวั หนอนมสี นี ้ำตาลหัวดำโต มีขนาดประมาณ 10 - 20 มม. หนอนวยั แรกจะกนิ วตั ถุทน่ี ำมาทำหลังคาโรงเห็ด เชน่ ใบจากทแ่ี ห้ง ประมาณฤดูฝนหรืออากาศเริ่ม ช้ืนจนใบจากที่นำมามุงหลังคาเริ่มเปียก ประกอบกับเห็ดท่ีเพาะในถุงเร่ิมออกดอก หนอนชนิดนี้ก็ จะเร่ิมเคล่ือนย้ายลงมาทำลายเห็ดในถุง ความรุนแรงของการทำลายที่พบประมาณ 20 % แต่ อย่างไรก็ควรจะตามอย่างใกล้ชิด เน่ืองจากเป็นศัตรูชนิดใหม่ที่มีบทบาท และเกษตรกรโดยทั่วไป ยงั จำเป็นต้องใชใ้ บจาก ใบตอง หญา้ คา เปน็ วสั ดุสำหรบั หลังคาโรงเรอื นเห็ด ด้วงเจาะเห็ด พบระบาดทำลายเห็ด ในสกุลนางฟ้า-นางรม โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ของด้วงจะเจาะกัดกินเห็ดเป็นอาหาร ระบาดมากในช่วงฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว โดยตัวเต็มวัยเพศ เมยี วางไขเ่ ป็นกลุ่มๆ กลมุ่ ละ 4-8 ฟอง ไข่จะฟกั เป็นตัวหนอน ภายใน 2-3 วัน หนอนเมือ่ ฟักออก มาใหม่ๆ จะใส แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น กัดกินอยู่ใต้หมวกเห็ด ระยะหนอน 3-4 วัน แล้วเข้า ดกั แดบ้ นกอ้ นเช้ือเห็ด ระยะดักแด้ 5-6 วัน วงจรชวี ติ ท้งั หมดของดว้ งเจาะเห็ดจากไข่จนเปน็ ตวั เต็ม วัย ประมาณ 15- 16 วัน แมลงหางดีด เป็นแมลงโบราณที่มีขนาดเลก็ มาก 0.5 - 10 มม. ไมม่ ีปีก ลำตัวออ่ นนมุ่ มี สแี ตกตา่ งกนั เชน่ สขี าว สีเทาดำ และสีแดง มปี ากแบบกดั กิน ท้องมี 6 ปลอ้ ง และมที ่อเลก็ ๆ อยู่ บริเวณปลายท้อง เรียกว่า collophore ซ่ึงเป็นลักษณะเฉพาะท่ีพบในแมลงหางดีดมีหน้าท่ีเป็นตัว ช่วยในการควบคุมความช้ืนและปริมาณน้ำที่เหมาะสม ที่เราเรียกว่าแมลงหางดีดนั้นมาจาก ลักษณะเฉพาะท่ีมีลักษณะคล้ายส้อมเรียกว่า furcula ซึ่งอยู่บริเวณตอนปลายของส่วนท้อง เป็น อวัยวะท่ีใช้ในการดีดตัวเมื่อถูกรบกวน ในสภาพปกติ furcula จะถูกพับเก็บไว้ด้านใต้ของส่วนท้อง โดยมีอวัยวะที่ยึดติดไว้เรียกว่า tenaculum และเมื่อต้องการดีดตัวจะปล่อย furcula ออกมา สามารถดีดตัวเองไดส้ งู ถึง 20 เทา่ ของความยาวลำตวั แมลงศตั รูผัก เหด็ และไมด้ อก 52
แมลงหางดีดท่ีพบระบาดเข้าทำลายในเห็ดท่ีเพาะด้วยถุงพลาสติกอยู่ในวงศ์ Entomobrinae ชอบอาศัยอยู่ในที่ชื้น เช่น วัสดุเพาะ (ขี้เล่ือย), ตามฟางข้าว เข้าทำลายเห็ดโดยกัดกินเส้นใยอ่อน และก้อนอาหารเห็ด ทำให้ก้อนเชื้อเห็ดที่มีเส้นใยเดินเกิดการยุบตัว กลายเป็นก้อนขี้เล่ือย แมลง หางดดี สามารถปรบั ตัวและแพร่ขยายพนั ธุ์ได้รวดเรว็ ชอบอยูร่ วมกนั เปน็ กลุ่ม ตวั เตม็ วัยเพศเมียจะ วางไข่เปน็ ฟองเด่ยี วๆ หรอื เป็นกลุ่มไข่ ไขม่ ลี ักษณะกลม สคี รีม ตัวอ่อนหลังจากฟกั ใหม่ๆ มีสขี าวใส จะเร่ิมกัดกินเส้นใยเห็ด ตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตหลายระยะ หลังจากน้ันจะกลายเป็นตัวเต็มวัยที่ สมบรู ณ์ อาศัยอยใู่ นก้อนเชอ้ื เหด็ และกนิ เส้นใยเหด็ เปน็ อาหาร การปอ้ งกนั กำจัดแมลงศตั รเู หด็ ที่ปลกู ในโรงเรือน 1. ระยะเตรียมโรงเรือน - ระยะน้ีเป็นช่วงเวลาท่ีสำคัญมากเพราะหากเตรียมภายในโรงเรือนที่สะอาดดีถูกสุขลักษณะ จะทำใหป้ ญั หาต่างๆ ทเี่ คยเกิดขนึ้ ลดลงมากกว่า 80 % - ต้องทำความสะอาดเพื่อฆ่าแมลงและเชื้อโรคสะสมด้วยสารคลอรอกซ์ อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร หรือใช้สารฆา่ แมลงชนิด ไดอะซนิ อน อตั รา 40 มล. หรือมาลาไทออน อัตรา 40 มล./น้ำ 20 ลิตร พ่นบริเวณพื้นฝาผนังและหลังคาโรงเรือนใหท้ ัว่ ทกุ ซอกทุกมุม ควรปิดโรง เรอื นใหม้ ิดชดิ และทิง้ ไว้อยา่ งนอ้ ย 7 – 10 วนั 2. ระยะโรยเชอ้ื เหด็ (at spawning) หรอื ระยะเตรยี มเปดิ จุกหรอื ระยะขนถุงเห็ดเขา้ พักโรงเรอื น 2.1 ติดตง้ั กับดกั กาวเหนียวสเี หลอื งชนดิ แบนหรอื ทรงกระบอกชนิดใดชนดิ หน่ึง จำนวน 6 – 8 ตัว/โรงเรือน (ขนาด 8 x 20 เมตร) โดยติดตั้งระหว่างช้ันเห็ดและมีระดับสูงจากพื้นโรง เรือนประมาณ 1.50 - 1.80 เมตร ท่ีสำคัญควรติดต้ังในท่ีๆ ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการ เข้าไปปฏิบัติงาน ไม่ถูกน้ำบ่อยถ้าเป็นไปได้ควรติดต้ังใกล้มุมมืดเพราะตัวแก่ของแมลง ชอบเกาะอาศัยอยู่ 2.2 เปลี่ยนหรือนำกับดักมาล้างด้วยน้ำมันเบนซินและทากาวเหนียวใหม่ทุก 10 – 15 วัน ตลอดฤดูการผลิตเห็ดแต่ละชนิด หรือพิจารณาว่าหากมีแมลงติดเต็มแล้วก็ควรนำมา เปลี่ยนหรือทากาวเหนียวซ้ำอีก ก็จะเพ่ิมประสิทธิภาพการดักจับและลดปริมาณของ แมลงที่จะทำลายเหด็ ได้ 2.3 พิจารณาพ่นเชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทุริงเยนซิส) หรือสารระงับการลอกคราบ (IGR) ชนิดใดชนิดหน่ึงตามคำแนะนำต่อไปนี้ รวม 1 คร้ังทันที (ในกรณีเห็ดกระดุม) หรือก่อน และหลังเปิดจุกสำลี (ในกรณีเห็ดถุง) และเลือกใช้สารฯ ชนิดใดชนิดหนึ่งตามคำแนะนำ ตอ่ ไปนร้ี วม 1 ครัง้ ทันท ี - เช้อื แบคทเี รยี (บาซิลลสั ทุริงเยนซิส) อตั รา 60 - 80 กรัม/นำ้ 20 ลิตร พน่ ทับลงบนถุงเพาะ - ไดฟูเบนซูรอน (ดิมิลิน 25% ดับบลิวพี) อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นทับลงบน compost หรือกอ้ นเชอ้ื เหด็ แมลงศตั รผู ัก เหด็ และไมด้ อก 53
3. ระยะกลบหน้า (at casing) ในกรณเี พาะเหด็ กระดุม - พจิ ารณาพน่ สารเช่นเดียวกับข้อ 2.3 อีกคร้ัง 4. ระยะเก็บเก่ียวรนุ่ แรก (at first picking) หรอื ดอกเหด็ รนุ่ แรก - หากพบตัวแก่ของแมลงเกาะตามมุมโรงเรือนหรือฝาผนัง มุมอับ และพิจารณาแล้วว่า จำเป็นใช้สาร ฯ แนะนำใหพ้ ่นด้วยมาลาไทออน อตั รา 20 มล. หรอื ไดอะซินอน อัตรา 40 มล./นำ้ 20 ลิตร โดยพ่นตามพนื้ มุมโรงเรอื น หรอื พนื้ ท่ีๆ แมลงเกาะอยู่ แตห่ า้ มพน่ ลงบน เห็ดหรือถูกเห็ดโดยตรง ซ่ึงนอกจากจะเกิดพิษตกค้างในดอกเห็ดแล้ว ยังอาจจะทำให้ ดอกเหด็ เกดิ อาการผิดปกตจิ นสง่ ขายในตลาดไม่ได้ 5. ระยะเก็บเกยี่ วผลผลติ รุน่ ท่ี 2 -3 (second – thrid picking) - หากยังพบว่าการระบาดยงั รุนแรงใหป้ ฏิบตั ติ ามขอ้ 3 และ 4 หลกั การบรหิ ารแมลงiศตั รเู หด็ โดยทวั่ ไป ตามท่ีไดก้ ลา่ วมาแลว้ แตต่ น้ ว่าแมลง ไร และศัตรูเห็ดทส่ี ำคัญๆ มักจะมีขนาดเล็กมาก การ กำจัดนับได้ว่าค่อนข้างลำบากมาก ท่ีว่าลำบากนั้นก็เพราะว่าการที่จะกำจัดศัตรูต่างๆ โดยการใช้ สารเคมีเหมือนอย่างพืชอ่ืนๆ น้ัน เป็นการเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมหาศาล คือ ด้านผู้ปลูกพืชหรือ ผลิตเอง ถ้าใช้โดยขาดความรู้และความรอบคอบและประสบการณ์ก็มักจะทำให้ดอกเห็ดหรือ เส้นใยเห็ดเป็นพิษแสดงอาการบดิ เบีย้ วผดิ ปกติ (Phytotoxic ) ซงึ่ ก็แนน่ อนทำใหค้ ณุ ภาพและราคา ลดลงไป อีกทั้งยังเป็นการเพ่ิมต้นทุนในการผลิตจากสารเคมีด้วย สำหรับด้านผู้บริโภคสดหรือสุกๆ ดิบๆ หากไดบ้ ริโภคเห็ดทมี่ ีสารเคมตี กค้างอยู่มากกอ็ าจถงึ ตายหรืออมั พาตได้ ดงั นนั้ การทีจ่ ะกำจดั แมลงศัตรูโดยใช้สารเคมีน้ันจึงควรใช้อย่างระมัดระวังและควรหลีกเล่ียงมากท่ีสุดเท่าที่จะทำได้ ควรพจิ ารณาเนน้ ถึงวิธกี ารป้องกนั ล่วงหน้ามากกว่ากำจัด แตล่ ะวธิ กี ็สามารถนำไปปฏบิ ตั ิได้ไม่ยาก นกั กล่าวคือ 1. การผลิตเห็ดเพ่ือบริโภคหรือจำหน่ายเป็นการค้าน้ัน การรักษาความสะอาดอย่างถูก หลักอนามัยและบริเวณรอบโรงเรือนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ซ่ึงอาจกระทำได้โดย การดูแลความสะอาดของผู้เข้าไปปฏิบัติงานหรือผู้เข้าเยี่ยมชมอย่างเคร่งครัด หรือก่อนที่จะนำเอา ถุงก้อนอาหารเห็ดเข้าโรงเรือนเพาะควรผ่านการฆ่าเช้ืออย่างถูกวิธีทุกคร้ังและก้อนอาหารเห็ดที่เน่า ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรนำออกไปทำลายโดยทันที ซ่ึงถ้าสามารถทำได้เช่นน้ี อย่างน้อยก็ เป็นการหลกี เลี่ยงหรือลดความเส่ยี งตอ่ ระบาดทำลายของแมลง – ศัตรเู หด็ ได้มากกวา่ 90 % 2. การว่างเว้นพักโรงเรือนหรือทำโรงเรือนเพาะให้ว่างเปล่า ไว้สักระยะเวลาหนึ่ง (emptying) จะเป็นการตัดวงจรชีวิตทั้งโรคแมลง – ศัตรูชนิดต่างๆ ท่ีระบาดและสะสมอยู่ในโรง เรือนได้ เช่น เรารู้ว่าหนอนแมลงวันท่ีระบาดทำลายเห็ดมีอายุค่อนข้างสั้นและชอบเข้าดักแด้ท ี่ แมลงศัตรูผกั เห็ดและไม้ดอก 54
ถงุ บรรจกุ อ้ นอาหารเห็ดหรือส่วนของเห็ดทเ่ี นา่ ซงึ่ ถ้าหากสามารถตัดช่วงนอี้ อกได้คือ ไม่มีถงุ เห็ดให้ วางไข่หรือดักแด้ พวกที่เหลอื สว่ นมากกจ็ ะตายหรือมีเปอรเ์ ซ็นตก์ ารรอดน้อยทีส่ ดุ และเมือ่ โรงเรือน ว่างเปล่าก็จะสามารถใชส้ ารรมได้ เช่น ใช้ฟอสฟิน เมททลิ โบรไมด์ เพ่ือฆ่าศตั รทู ุกชนดิ ได้ และหลงั จากนี้ยังสามารถทำความสะอาดไดอ้ ยา่ งถกู หลักวิธีดว้ ย 3. การดูแลเอาใจใส่ ในความเปล่ียนแปลงของเห็ดท่ีปลูกไว้ทุกระยะอย่างละเอียดเท่าท่ี ทำได้ โดยเป็นคนช่างสังเกต หมั่นเสาะหาความรู้หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เพ่ิม เช่น การนำเอาเครื่อง ดักจับไฟฟ้าชนิดหลอด (black -light) หรือกับดักกาวสี (sticky -trap) มาใช้ในโรงเรือน เพ่ือ ควบคุมปริมาณตัวแก่ของแมลงวันศัตรูเห็ดและอ่ืนๆ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากโดยจะสามารถ แก้ไขปัญหา หรอื เหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ข้นึ ได้ทนั ทว่ งที 4. หากมีความจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงและศัตรูไม่ได้ จริงๆ ก็ควรได้มีการศึกษาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้ถูกต้อง การออกฤทธิ์ของสารแต่ละชนิด การเลือกใช้สารให้ถูกกับชนิดของแมลงศัตรู ความเป็นพิษของสารและการสลายตัวของสารฯ ในเหด็ เป็นต้น สารเคมแี ต่ละชนดิ น้นั มีประสทิ ธภิ าพสามารถฆ่าแมลง - ศตั รู แต่ในขณะเดยี วกันก็ อาจทำให้ดอกเห็ดผิดปกติจนเสียหายหรือมีพิษตกค้างอยู่มากก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอย่าง ยิ่งท่ีจะใช้สารเคมีพ่นบนเห็ดโดยตรง แต่ควรเน้นในแง่การป้องกันจะดีกว่า เช่น ใช้กับพื้นโรง เรือนชัน้ วางเหด็ ตัวอาคารโรงเรือน เมื่ออยใู่ นระยะวา่ งเวน้ (emptying) หรืออาจใช้สารเคมผี สมกับ ก้อนอาหารเห็ดก่อนบรรจุถุง แต่หากจำเป็นต้องใช้สารเคมีจริงๆ ก็ควรพิจารณาใช้สารเคมีที่ได้รับ การทดสอบจากผู้ทำงานด้านน้ีทั้งในและนอกประเทศแล้ว อาทิ ไดอะซินอน (diazinon) หรือบาซู ดิน (basudin) มาลาไทออน (malathion) เชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทุริงเยนซิส) ซ่ึงบางชนิด สามารถระงับการลอกคราบชนิดต่างๆ เช่น สาร IGR (Insect Growth Regulator) สารในกลุ่ม ไพรีทรอยดซ์ ง่ึ มฤี ทธต์ิ กค้างคอ่ นข้างสน้ั และสำหรบั ยาโรคน้นั มเี บนโนมิล (benomyl) หรอื เบนเลท (benlate) และคารเ์ บนดาซิม (carbendazim) เป็นตน้ 5. สำหรบั ทา่ นทกี่ ำลงั คิดจะขยายกิจการปลกู เหด็ ใหใ้ หญ่โตกว้างขวางข้ึนไปก็ ควรจะมกี าร วางแผนการจัดการ (management) ในระดบั ต่างๆ ให้ดีกอ่ นลงมือดำเนนิ การ เชน่ มีการวางแผน ล่วงหน้าเก่ียวกับสายพันธ์ุ การป้องกันและกำจัดแมลงและโรค โดยเฉพาะแผนการตลาดหรือจะ ขายสินคา้ อยา่ งไร เมื่อไร และท่ไี หนนัน่ เอง ซ่ึงควรจะวางแผนไวท้ ง้ั 2 แบบ คอื แผนปฏิบัติการ เม่อื เหตกุ ารณป์ กตแิ ละแผนฉุกเฉิน ท้ังนเ้ี พ่อื หลกี เลีย่ งตอ่ การขาดทุนหรอื ลม้ ละลายให้มากท่สี ดุ ดังนั้น หากมีการปฏิบัติตามทางเลือกในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูเห็ดในการผลิตเห็ด โรงเรือน เพ่ือการค้าอย่างจริงจังและให้ผลตามที่คาดหวังไว้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาการเข้า ทำลายของแมลงศัตรเู หด็ ที่เกิดขน้ึ ตอ่ เกษตรกรผู้เพาะเห็ดทงั้ ในปัจจุบนั และอนาคตได ้ นอกจากนี้ ยังสามารถควบคุมการระบาดของแมลงวันศัตรูได้ สามารถลดความเสียหาย ของผลผลิตเห็ดได้อย่างน้อย 40% ของผลผลิตที่ได้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่ง เพื่อสร้างความ ม่นั ใจ ในการสง่ เสรมิ การเพาะและการผลิตเหด็ เพื่ออุตสาหกรรมการเกษตรเป็น “สินคา้ สง่ ออก” แมลงศตั รูผัก เหด็ และไม้ดอก 55
บรรณานกุ รม กอบเกียรต์ิ บันสิทธ์, พรทิพย์ วิสารทานนท์,ฉัตรชัย ศฤงฆไพบูลย์ และสัจจะ ประสงค์ทรัพย์ . 2544. แมลงไรศัตรูเห็ดในประเทศไทย.กองกีฏและสัตววิทยา.กรมวิชาการเกษตร, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรุงเทพฯ. 80 น. แมลงศตั รูผกั เห็ดและไม้ดอก 56
แมลงศตั ร ู ไมด้ อกและการปอ้ งกนั กำจดั y สมรวย รวมชยั อภกิ ุล ไม้ดอก จัดเป็นพืชท่ีสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งออก หรือใช้ ภายในประเทศ มีปลูกอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทยแต่พ้ืนที่ปลูกท่ีสำคัญ ได้แก่ ภาคกลาง และ ภาคเหนือ ในปัจจุบันได้ขยายพ้ืนท่ีปลูกมากข้ึน ทำให้เกิดปัญหาแมลงลงทำลายผลผลิต หรือติด ไปกบั ไม้ดอกทีส่ ่งออก ไม้ดอกที่ปลูกเป็นการค้า และมีปัญหาแมลงศัตรูพืชระบาดอยู่เป็นประจำ คือ กล้วยไม้ กุหลาบ เบญจมาศ เยอบีร่า และดาวเรือง เป็นต้น ซึ่งการผลิตไม้ดอกให้ได้คุณภาพเป็นที่ต้องการ ของตลาดนั้น ในการผลิตต้องคำนึงถึงแมลงศัตรูพืช เมื่อแมลงศัตรูพืชระบาดก็จำเป็นต้องทำการ ป้องกันกำจัด เพื่อลดการระบาดของแมลง ซ่ึงจะต้องอาศัยทั้งความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ ชีวประวัติ ฤดูกาลระบาด ลักษณะการทำลาย พืชอาหารและวิธีการป้องกันกำจัดท่ีมี ประสิทธภิ าพปลอดภยั ตอ่ ทั้งผผู้ ลิต และผ้บู ริโภค ซ่ึงปัญหาของแมลงศัตรพู ืชของไม้ดอกแตล่ ะชนดิ ก็มีความแตกต่างกันไป และจากการศึกษาและสำรวจพบแมลงศัตรูที่สำคัญ ได้แก่ เพล้ียไฟฝ้าย เพลี้ยไฟพริก เพล้ียไฟขอบปล้องหยัก หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย ด้วง กหุ ลาบ เพลยี้ หอย เพลี้ยอ่อน หนอนเจาะดอกมะลิ บัว่ กล้วยไม้ และหนอนชอนใบ เป็นตน้ ชนดิ ของ ไมด้ อกและแมลงศตั รทู ท่ี ำลาย y กลว้ ยไม ้ y กล้วยไม้เป็นพืชส่งออกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พืชชนิดน้ีอยู่ในวงศ์ Orchidaceae พ้ืนท่ีการผลิตกล้วยไม้ส่วนใหญ่อยู่ในแถบภาคกลาง ได้แก่ กรุงเทพฯ ราชบุรี ปทุมธานี อยุธยา สมุทรสาคร และนครปฐม และแหล่งปลูกเล้ยี งกล้วยไมใ้ หม่ อยใู่ นแถบจงั หวดั กาญจนบรุ ี เพชรบรุ ี และชลบรุ ี ตลาดสง่ ออกทีส่ ำคัญ ไดแ้ ก่ ญป่ี นุ่ สหรฐั อเมริกา และกลุ่มประเทศในสหภาพยโุ รป โดย ในปี พ.ศ. 2549 มีการสง่ ออก 23,334 ตนั มลู คา่ 2,581 ล้านบาท ปัญหาการปลูกกลว้ ยไมท้ ส่ี ำคญั คือ แมลงศัตรูพืช ซ่ึงการผลิตดอกกล้วยไม้เพื่อการส่งออกจะต้องเน้นคุณภาพ และผลผลิตต้อง ปลอดศัตรูพืช แมลงศตั รกู ลว้ ยไม้ ท่สี ำคัญ คอื เพลีย้ ไฟฝ้าย บ่วั กลว้ ยไม้ หนอนกระทู้หอม หนอน กระทู้ผกั แมลงศตั รผู กั เหด็ และไม้ดอก 57
ชนิดของแมลงศัตรูกล้วยไมแ้ ละส่วนของพชื ท่ีถกู ทำลาย ชนิดแมลงศตั รูพืช ส่วนของพชื ท่ถี กู ชื่อสามญั ชื่อวทิ ยาศาสตร ์ ทำลาย 1 . (เพcoลt้ยีtoไnฟฝth้าrยip s) Thrips palmi Karny ดอก 2. (บoวั่ rกchลi้วdยmไมid้ ge, Blossom midge) FCeolnt tarinia maculipennis ดอกตูม 3. (หcนoอmนmกoระnทcู้ผuักtw orm) (SFpaobdroicpiutesr)a litura กยอา้ นดด, ดอกอก , ใบ, 4 . (หbนeอeนt กarรmะทywหู้ อoมrm ) S(Hpuobdnoeprt)e ra exigua กย้าอนดด, ดอกอก , ใบ, กุหลาบ กหุ ลาบเปน็ ไมต้ ดั ดอกท่ีมสี สี นั สวยงาม และนิยมปลกู กนั แพรห่ ลายในประเทศไทย มีพื้นที่ ปลูกทวั่ ประเทศประมาณ 3,500 ไร่ แหลง่ ปลกู ทีส่ ำคญั ได้แก่ อ.พบพระ จ.ตาก กรงุ เทพฯ นนทบรุ ี นครปฐม ราชบุรี เชียงใหม่ เชียงราย หนองคาย อุบลราชธานี เลย สงขลา เป็นต้น กุหลาบเปน็ พชื ที่ มีแมลงศัตรูทำลายมากมายหลายชนิดได้แก่ หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยไฟ ด้วง กหุ ลาบ เพลย้ี หอย เพลย้ี ออ่ น หนอนกระทู้ผกั หนอนปลอก และหนอนเจาะลำตน้ กาแฟ ชนิดของแมลงศตั รกู ุหลาบและส่วนของพชื ทถ่ี ูกทำลาย ชนิดแมลงศตั รพู ชื สว่ นของพชื ท่ ี ถูกทำลาย ช่อื สามัญ ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ ใบ ดอก 1 . (หbนeอeนt กarรmะทywูห้ อoมrm ) Spodoptera exigua (Hubner) 2 . (หcนoอttนonเจbาะaสllwมoอrฝmา้ )ย ใบ , ดอก 3 . (หcนoอmนmกoระnทcู้ผuกั tw orm) Helicoverpa armigera (Hubner) 4. เพลย้ี ไฟพรกิ (chili thrips) ใบ , ดอก 5. ดว้ งกุหลาบ (rose beetle) Spodoptera litura (Fabricius) 6. เพลยี้ หอย (scale insect) ใบ , ดอก Scirtothrips dorsalis Hood ใบ , ดอก Adoretus compressus (Weber) กงิ่ , กา้ น , ลำตน้ Aulaeaspis rosae แมลงศัตรผู ัก เห็ดและไม้ดอก 58
เบญจมาศ J เบญจมาศเป็นไม้ตัดดอกที่มีความสำคัญที่มีการพัฒนาเพ่ือการส่งออกในอนาคต เนื่อง จากในปัจจุบันยังมีการนำเข้าดอกเบญจมาศจากต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ.2543 มีพน้ื ทปี่ ลกู ประมาณ 1,400 ไร่ แหลง่ ปลกู ใหญ่ทส่ี ำคัญได้แก่ นนทบรุ ี เชียงใหม่ เชียงราย สงขลา สุราษฎรธ์ านี ยะลา อบุ ลราชธานี อุดรธานี ขอนแกน่ หนองคาย นครราชสีมา เปน็ ตน้ แมลงศตั รทู ี่ พบทำลายเบญจมาศมีด้วยกันหลายชนิด อาทิ เพลี้ยไฟ เพล้ียอ่อน หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะ สมอฝา้ ย หนอนกระทูผ้ กั หนอนชอนใบ หนอนม้วนใบส้ม และหนอนกินใบซินกาเมยี ชนิดของแมลงศัตรูเบญจมาศและส่วนของพืชทีถ่ ูกทำลาย ชนดิ แมลงศัตรูพืช สว่ นของพชื ที่ถกู ช่อื สามัญ ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ ทำลาย 1 . (เพcoลmีย้ ไpฟoขsiอteบปthลriอ้pงsห) ยัก aMbicdroomceinpahliaslo(Cthrraipwsford) ดอก 2. (เพchลr้ยีyอsa่อnนt hemum aphid) MGiallcertotes iphoniella sanborni ใบ , ดอก , ยอดออ่ น 3 . ห(bนeอeนt กarรmะทyw้หู อoมrm ) Spodoptera exigua (Hubner) ใบ , ดอก 4. (หcนoอttนonเจbาะaสllwมoอrฝmา้ )ย (HHeulibcnoevre)r pa armigera ใบ , ดอก 5 . ห(cนoอmนmกoระnทcผู้ uักtw orm) Spodoptera litura (Fabricius) ใบ , ดอก 6. (แcมhลryงsวaันnหthนeอmนuชmอนlใeบaf miner) (LBirliaonmcyhzaardh)u idobrensis ใบ เยอบรี ่า < เยอบีร่าเป็นไม้ตัดดอกท่ีมีลู่ทางที่จะพัฒนาเพ่ือการส่งออกในอนาคต เป็นไม้ตัดดอกท่ีได้ รับความนิยมสูง เพราะมีสีสดใส มีหลายสี อายุการใช้งานทนทาน ในประเทศไทยมีพื้นที่ปลูก ประมาณ 3,000 ไร่ มแี หล่งผลติ ทีส่ ำคัญอยใู่ นจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก เชียงใหม่ เชียงราย นนทบรุ ี สมุทรสาคร นครศรีธรรมราช ภูเก็ต ขอนแก่น และอุบลราชธานี แมลงศัตรูท่ีพบทำลายเยอบีร่า มี ประมาณ 7 ชนิด อาทิ เพลีย้ ไฟ หนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝา้ ย หนอนกระทู้ผกั หนอนชอน ใบ หนอนมว้ นใบสม้ และหนอนกนิ ใบซนิ กาเมยี แมลงศตั รูผัก เห็ดและไม้ดอก 59
ชนดิ ของแมลงศตั รูเยอบรี า่ และสว่ นของพชื ที่ถูกทำลาย ชนดิ แมลงศัตรพู ชื สว่ นของพชื ท่ีถกู ทำลาย ชื่อสามัญ ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ ใบ ดอก 1. (เพcoลmี้ยไpฟoขsiอteบปthลri้อpงsห) ยกั (MCircarwocfoerpdh) alothrips abdominalis 2. (หbนeอeนt กarรmะทywหู้ อoมrm ) Spodoptera exigua (Hubner) ใบ , ดอก 3 . (หcนoอmนmกoระnทcู้ผuกั tw orm) Spodoptera litura (Fabricius) ใบ , ดอก มะลิ / มะลิเป็นไม้ดอกที่มีการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ พ้ืนที่ปลูกมะลิของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2542 มีประมาณ 5,500 ไร่ แหล่งปลูกใหญ่ได้แก่ นครปฐม นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน หนองคาย สมุทรสาคร และขอนแก่น พันธ์ุที่นิยมปลูกเป็นการค้า ได้แก่ มะลิลา ส่วนมะลิพันธุ์ส่ง เสริม ได้แก่ พันธุ์เพชร พันธ์ุแม่กลอง พันธ์ุราษฎร์บูรณะ และพันธุ์ชุมพร เป็นต้น ปัญหาการผลิต มะลิ คือ เกษตรกรมีการใช้สารฆ่าแมลงหลายชนิดผสมกันเป็นประจำทุก 2 – 3 วัน เพื่อป้องกัน กำจัดแมลงศัตรูที่สำคัญ โดยเฉพาะหนอนเจาะดอกมะลิ แมลงศัตรูมะลิจากการสำรวจของพิสมัย (2538) พบมดี ว้ ยกนั 13 ชนดิ ไดแ้ ก่ หนอนเจาะดอกมะลิ เพลยี้ ไฟ หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ ผัก หนอนฟัก หนอนลายจดุ หนอนม้วนใบสม้ แมลงหวข่ี าว หนอนชอนใบ มวน เพล้ยี หอย หนอน เจาะลำตน้ และเพลย้ี ไกฟ่ ้า ชนิดของแมลงศตั รดู าวเรืองและสว่ นของพชื ทถ่ี กู ทำลาย ชนิดแมลงศตั รูพชื สว่ นของพืชท่ีถกู ทำลาย ช่อื สามญั ชื่อวทิ ยาศาสตร์ ดอก, ยอดอ่อน 1. หนอนเจาะดอกมะลิ Hendecasis duplifascialis (jasmine flower borer) Hampson ดาวเรอื ง ดาวเรืองเป็นไม้ดอกท่ีสำคัญอีกชนิดหน่ึงที่ผลิตเพ่ือใช้ในประเทศ นิยมปลูกกันท่ัวไปใน ประเทศไทย พ้ืนที่ปลูกจากการสำรวจในปี พ.ศ. 2542 มีประมาณ 4,000 ไร่ โดยมีแหล่งปลูกที่ แมลงศัตรผู ัก เห็ดและไมด้ อก 60
สำคัญคือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี พบแมลงศัตรูทำลาย 5 ชนิด ได้แก่ หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก เพล้ียไฟ เพล้ียอ่อน และ หนอนชอนใบ ชนิดของแมลงศัตรดู าวเรืองและสว่ นของพชื ท่ีถกู ทำลาย ชนิดแมลงศัตรูพชื ส่วนของพืชท่ีถูก ทำลาย ชือ่ สามัญ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ ใบ , ดอก 1. หนอนกระทู้ผกั Spodoptera litura (Fabricius) ใบ , ดอก (common cutworm) Spodoptera exigua (Hubner) 2. หนอนกระทู้หอม Helicoverpa armigera (Hubner) ใบ , ดอก (beet armyworm) 3. หนอนเจาะสมอฝ้าย (cotton ballworm) แมลงศตั รไู ม้ดอกท่สี ำคญั บางชนดิ และj การปอ้ งกนั กำจดั เพลยี้ ไฟฝา้ ย (cotton thrips)j V ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Thrips palmi Karny วงศ์ Thripidae อนั ดับ Thysanoptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย เพลี้ยไฟที่สำคัญท่ีพบทำลายกล้วยไม้มีช่ือว่า เพลี้ยไฟฝ้าย โดยพบคร้ังแรกในฝ้ายและ ยาสูบ ท่ีเกาะสุมาตรา ชวา และอินเดีย มีเขตแพร่กระจายท่ัวไปในแถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้มานานแล้ว และเร่ิมเป็นแมลงศัตรูที่มีความสำคัญในเขตร้อน และเขตอบอุ่น ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยทำลายกล้วยไม้บริเวณดอก โดยใช้ปากที่มีลักษณะเป็นแท่ง (stylet) เขี่ยเน้ือเย่ือพืช แมลงศตั รูผกั เห็ดและไมด้ อก 61
เพื่อดูดน้ำเล้ียง ทำให้บริเวณที่ถูกทำลายมีรอยแผลสีน้ำตาล ความเสียหายจะเกิดข้ึนเมื่อพบ ทำลายท่ีดอกทำให้ดอกมีตำหนิ นอกจากนี้หากติดไปกับช่อดอกแล้วอาจมีปัญหาด้านการส่งออก ในอนาคตต่อไปได้ ซ่ึงประเทศปลายทางมีการเผาผลผลิต และไม่รับซื้อมาแล้ว เพลี้ยไฟฝ้ายพบ ทำลายพืชได้เกือบตลอดปี และพบปริมาณต่ำในช่วงฤดูฝน การระบาดมักพบเสมอในช่วงฤดูร้อน หรอื ช่วงทมี่ ีอากาศแห้งแลง้ ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน รปู รา่ งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ ไข่ เพล้ยี ไฟฝา้ ยวางไข่เป็นฟองเดย่ี วๆ สอดไว้ใต้เนอ้ื เยอ่ื พืช ไขม่ ีสีขาวใส รปู รา่ งคลา้ ยเมล็ด ถัว่ มขี นาดเลก็ มากประมาณ 0.1 - 0.2 มม. อายไุ ขป่ ระมาณ 4 - 5 วัน ตัวอ่อน การเจริญเติบโตของเพล้ียไฟฝ้ายในระยะตัวอ่อนมี 3 ระยะ คือ ระยะแรกมี ลกั ษณะขาวใส ผอมเรยี วเล็ก ขนาดลำตัวยาว 0.2 – 0.3 มม. ปลายทอ้ งค่อนข้างแหลม ตารวมขาว ใส หนวดมี 7 ปล้อง เคล่อื นไหวตลอดเวลา และเรมิ่ ทำลายพชื ทันที โดยดูดกนิ น้ำเล้ียง เมอื่ เข้าส่ตู วั ออ่ นระยะท่สี อง มขี นาดลำตวั ยาว 0.3 – 0.4 มม. ลำตวั มีสีเหลืองเขม้ ข้นึ บริเวณปลายส่วนทอ้ งไม่ แหลมเหมือนระยะแรก ในระยะน้ีเคล่ือนไหวรวดเร็ว และว่องไวมาก ส่วนตัวอ่อนระยะที่สามเป็น ระยะก่อนเข้าดักแด้มีสีเหลืองเข้ม ลำตัวมีขนาด 0.5 – 0.7 มม. ตารวมสีเทาปนดำ ตาเด่ียวสีแดง ตุ่มปีกบริเวณอกปล้องสองและสามเริ่มเจริญเติบโต ในระยะนี้เคล่ือนไหวช้าลงแต่ยังคงทำลายพืช โดยดูดกินน้ำเลีย้ ง ระยะตวั อ่อนประมาณ 6 – 10 วนั ดักแด้ มีสีเหลืองเข้ม ขนาดลำตัว 0.7 – 0.8 มม. ในระยะนี้หนวดจะวกกลับชี้ไปทางด้าน หลงั เหนือส่วนหวั แผน่ ปีกทงั้ สองเจริญมากขนึ้ และมีขนาดเกอื บถงึ ปลายสว่ นทอ้ ง เพลยี้ ไฟระยะน้ี ไมเ่ คลอื่ นไหว ไม่กินอาหาร และเข้าดกั แด้ในดิน ดกั แด้มอี ายุ 3 – 4 วนั ตวั เตม็ วัย มีสีเหลอื งเขม้ ขนาดลำตัวยาว 0.8 – 1.0 มม. หนวดสเี หลืองมีจำนวน 7 ปล้อง ตารวมสีเทาดำ ตาเดีย่ ว 3 ตา ปกี ยาวคลมุ มิดสว่ นทอ้ งมสี ีเหลอื งปนนำ้ ตาลออ่ น ขนยาวสีเทารอบ ปีก ปล้องท้องมีจำนวน 10 ปล้อง เพลี้ยไฟในระยะน้ีเคลื่อนไหวรวดเร็ว และว่องไว อายุตัวเต็มวัย พบระหวา่ ง 16 – 24 วนั วงจรชีวิตจากไขถ่ ึงตวั เตม็ วัย 14 - 23 วนั พืชอาหาร นอกจากพบทำลายกล้วยไม้แล้วยังพบเป็นแมลงศัตรูท่ีมีพืชอาหารที่สำคัญโดยเฉพาะพืช ผักเศรษฐกิจมากมายหลายชนิดในพืชผัก เช่น มะเขือเปราะ แตงโม แตงกวา มะระ ฟักเขียว ถั่วฝักยาว หน่อไม้ฝรั่ง และกระเจ๊ยี บเขียว ในไมผ้ ล เชน่ มะมว่ ง สม้ โอ และพทุ รา ในพชื ไร่ ไดแ้ ก่ ฝ้าย ยาสูบ งา ทานตะวัน และข้าวโพด ในไม้ดอก เชน่ กุหลาบ เบญจมาศ และดาวเรอื ง เป็นตน้ ศัตรธู รรมชาติ แมงมมุ แมลงศัตรูผัก เห็ดและไมด้ อก 62
การป้องกนั กำจัด 1. ควรหลีกเล่ียงการปลูกพืชอาหารในบริเวณแปลงกล้วยไม้ เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็น แหล่งขยายพนั ธ์ุ และแพร่พันธข์ุ องเพล้ยี ไฟชนิดน้ี 2. ในกรณีที่มีการปลูกพืชอาหารรอบๆ แปลงกล้วยไม้ควรทำการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟบน พืชอาหารเหลา่ น้นั ด้วย เพือ่ ลดการระบาดของเพลยี้ ไฟ 3. แนะนำให้เกษตรกรพ่นสารฆ่าแมลงท่ีมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันกำจัดเพล้ียไฟใน แปลงกล้วยไม้ หรือพืชอาหารรอบๆ แปลงด้วยสารฆ่าแมลงที่ทางกลุ่มกีฏและสัตววิทยาได้มีการ ศกึ ษาวจิ ัยมาแลว้ ซงึ่ ได้แก่ สารฆ่าแมลงกล่มุ ตา่ งๆ ดงั นี้ คือ กลุ่ม 1. - อิมิดาโคลพริค (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) อัตรา 20 มล./ นำ้ 20 ลติ ร - อะเซททามพิ ริค (โมแลน 20% เอสพ)ี อัตรา 5 กรัม/นำ้ 20 ลติ ร - ไทอะมีโทแซม/แลมบ์ดาไซฮาโลทริน (เอฟโฟเรีย 247 แซดซี 14.1/10.6% แซดซี) อัตรา 15 มล./นำ้ 20 ลติ ร กล่มุ 2. สปนิ โนแซด (ซคั เซส 120 เอสซี 12%เอสซี) อตั รา 15-20 มล./นำ้ 20 ลติ ร กล่มุ 3. สไปโรมซี เิ ฟน (โอเบรอน 240 เอสซี 24%เอสซี) อัตรา 10 มล./นำ้ 20 ลิตร กลุ่ม 4. อมิ าเม็กตนิ เบนโซเอต (โปรเครม 1.92 %อีซ)ี อัตรา 20 มล./ต่อน้ำ 20 ลติ ร กลมุ่ 5. ฟโิ ปรนลิ (แอสเซนด์ 5% เอสซ)ี อัตรา 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร กลมุ่ 6. ไซเพอร์เมทริน/โฟซาโลน (พารซ์ อน 28.75% อีซี) อตั รา 40 มล./น้ำ 20 ลติ ร ควรใช้สารฆ่าแมลงแต่ละกลุ่มสลับกันโดยแต่ละกลุ่มพ่นติดต่อกันไม่ควรเกิน 3 คร้ัง เพ่ือ ป้องกนั การสรา้ งความต้านทานสารฆา่ แมลงของเพลยี้ ไฟ โดยใช้ช่วงพน่ 5-7 วัน ในฤดรู ้อน หรือ 7- 10 วัน ในช่วงฤดูฝน ด้วยอัตราการพ่นสาร 120 ลิตรต่อไร่ และควรพ่นให้ทั่วเป็นละอองฝอยโดย เฉพาะบริเวณดอกเน่ืองจากเพล้ียไฟมักพบบริเวณดอกบานใหม่ๆ มากกว่าบริเวณอ่ืน และวิธีการ ตรวจนับเพลี้ยไฟในสวนของท่านควรใช้แว่นขยายตรวจตามบริเวณดอกดังกล่าว จะได้ข้อมูลที่ถูก ต้องกว่าการดูด้วยสายตา ทั้งน้เี พลยี้ ไฟเปน็ แมลงท่ีมีขนาดเลก็ มากอาจมกี ารเลด็ ลอดสายตาได ้ เพลี้ยไฟพริก (chili thrips) j ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Scirtothrips dorsalis Hood วงศ์ Thripidae อันดบั Thysanoptera แมลงศัตรูผัก เหด็ และไมด้ อก 63
ความสำคญั และลักษณะการทำลาย เพล้ียไฟพริกเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของกุหลาบ โดยตัวอ่อน และตัวแก่จะใช้ปากเข่ียดูด กินน้ำเลี้ยงจากบริเวณใบ ทำให้ใบมีลักษณะหงิกงอ มีรอยสีน้ำตาลดำ เห่ียวแห้ง ถ้าทำลายส่วน ดอกจะทำใหแ้ คระแกรน็ หรือทำใหก้ ลีบดอกมีสนี ้ำตาลไหม้และเห่ยี วแหง้ ในท่สี ุด รูปร่างลักษณะและชวี ประวตั ิ ดเู พล้ยี ไฟพรกิ หน้า 43 พืชอาหาร ดเู พล้ยี ไฟพริก หน้า 43 ศตั รธู รรมชาติ ดูเพลี้ยไฟพริก หนา้ 43 การป้องกันกำจัด แนะนำให้เกษตรกรพ่นสารฆ่าแมลงท่ีมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันกำจัดเพล้ียไฟใน แปลงกุหลาบ หรือพืชอาหารรอบๆ แปลง ด้วยสารฆ่าแมลงท่ีทางกลุ่มกีฏและสัตววิทยาได้มีการ ศกึ ษาวจิ ัยมาแล้วซึ่งได้แก่ - อมิ ิดาโคลพริค (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล10% เอสแอล) อตั รา 20 มล./น้ำ 20 ลติ ร - คาร์โบซลั แฟน (พอสซ์ 20% อีซ)ี อตั รา 50 มล./นำ้ 20 ลติ ร เพลย้ี ไฟขอบปล้องหยกั (composite thrips) / ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Microcephalothrips abdominalis (Crawford) วงศ์ Thripidae อันดับ Thysanoptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย เพลย้ี ไฟท้ังตัวอ่อน และตัวเตม็ วัยทำลายพืชโดยใชป้ ากเขย่ี ดูดนำ้ เลย้ี งโดยเฉพาะส่วนอ่อน หรือส่วนเจริญ การทำลายในดอกเพล้ียไฟจะเร่ิมเข้าทำลายตั้งแต่ดอกตูม ทำให้ดอกมีรูปร่างผิด ปกติ เพลี้ยไฟจะทำลายดอกเบญจมาศ ดาวเรืองและเยอบีร่าโดยการดูดน้ำเล้ียงดอก ทำให้กลีบ หงิกงอ ดอกมีสีคล้ำ หรือถ้าทำลายมากๆ ก็จะเป็นสีน้ำตาลเหี่ยวแห้ง ถ้าทำลายตั้งแต่ยังเป็นดอก ตูมดอกจะไม่บาน หรือมีขนาดเล็ก กลีบดอกเห่ียวแห้งจนเป็นสีน้ำตาล ในแกลดิโอลัสดอกที่ถูก แมลงศัตรูผัก เห็ดและไมด้ อก 64
ทำลายจะมสี ีซีดเปน็ ทางขาวๆ ดอกมีขนาดเล็กลงใบท่ถี กู ทำลายจะหงกิ งอเป็นคลืน่ มีรอยสนี ้ำตาล ดำ เหีย่ วแห้ง รูปรา่ งลักษณะและชีวประวัติ เป็นเพล้ียไฟขนาดกลาง สีน้ำตาลเข้ม หัวค่อนข้างเล็ก ปล้องหนวดมีจำนวน 7 ปล้อง มี ลักษณะเด่นตรงขอบปลายของปล้องท้องทุกปล้องมีลักษณะหยักคล้ายฟันเลื่อยสม่ำเสมอตลอด ปล้อง จงึ เรียกว่า เพลี้ยไฟขอบปลอ้ งหยกั พชื อาหาร นอกจากพบทำลายไม้ดอก เช่น เบญจมาศ เยอบีร่า ดาวเรือง แกลดิโอลัสแล้ว ยังพบลง ทำลายหน่อไม้ฝรั่ง กะเพรา ถัว่ ลสิ ง ขา้ วสาลี พรกิ ทุเรียน มงั คุด อีกดว้ ย ศตั รูธรรมชาต ิ - การปอ้ งกันกำจัด แนะนำให้เกษตรกรพ่นสารฆ่าแมลงท่ีมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันกำจัดเพล้ียไฟใน แปลงเบญจมาศ และเยอบีร่า หรือพืชอาหารรอบๆ แปลง ด้วยสารฆ่าแมลงท่ีทางกลุ่มกีฏและ สตั ววิทยาไดม้ กี ารศึกษาวิจยั มาแล้วซึ่งได้แก่ - อิมิดาโคลพริค (คอนฟดิ อร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) อัตรา 10-20 มล./น้ำ 20 ลติ ร - ไซเพอร์เมทรนิ /โฟซาโลน (พารซ์ อน 28.75% อซี )ี อัตรา 40 มล./นำ้ 20 ลิตร - คารโ์ บซลั แฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อัตรา 50 มล./นำ้ 20 ลติ ร เพลี้ยไฟที่ทำลายดอกเบญจมาศ และเยอร์บีร่า จะทำการป้องกันกำจัดยากกว่าพืชอ่ืนๆ หลายๆ ชนิด เพราะเบญจมาศ และเยอร์บีร่ามีกลีบดอกแน่นซ้อนกัน เพลี้ยไฟสามารถซุกซ่อนได้ โอกาสที่สารฆา่ แมลงจะกระจายทั่วถงึ อาจทำไดย้ าก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เพลีย้ ไฟในระยะดกั แด้ จะ สามารถทนได้ดี โดยจะหลบอยู่ภายในกลีบดอกย่อยของดอกเบญจมาศ และเยอบีร่า การพ่นสาร ฆา่ แมลงในการปอ้ งกันกำจดั เพล้ียไฟ คอ่ นขา้ งจะมีตลอดฤดกู าลปลกู คือ ต้งั แตเ่ รมิ่ เหน็ กลีบดอกสี เหลอื งจนเกบ็ ดอกหมดแปลง ,เพล้ียอ่อน (chrysanthemum aphid) ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Macrosiphoniella sanborni Gillette วงศ ์ Aphididae แมลงศัตรผู ัก เหด็ และไม้ดอก 65
อนั ดับ Homoptera ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย เพล้ียอ่อนท้ังตัวอ่อน และตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเล้ียงอยู่ที่ดอกเบญจมาศ เพลี้ยอ่อนจะขับ ถา่ ยนำ้ หวานออกมา และทำใหเ้ กิดราดำทดี่ อกเบญจมาศ พบระบาดได้ทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในช่วง อากาศคอ่ นขา้ งแหง้ แลง้ ถา้ ฝนตกเพลี้ยออ่ นจะลดปรมิ าณลงบา้ ง รปู รา่ งลักษณะและชวี ประวัติ เพล้ียอ่อนเป็นแมลงศัตรูขนาดเล็ก ตัวเต็มวัยจะมีรูปร่างกลม คือ ส่วนหัว และอกมีขนาด เล็ก ส่วนทอ้ งโต มสี ีดำขนาดประมาณ 2 - 2.5 มม. ตัวเต็มวัยมที ้งั แบบมปี กี และไมม่ ปี กี เพลีย้ อ่อน จะมีวงจรชวี ิตโดยตวั เต็มวยั จะออกลกู เปน็ ตวั อ่อนไดโ้ ดยไม่ตอ้ งผสมพนั ธ์กุ ับตวั ผู้ ตวั อ่อนมลี ักษณะ เหมือนตัวเต็มวัยแล้วจะเจริญกลายเป็นตัวเต็มวัยเลย ระยะตัวอ่อนประมาณ 4 - 8 วัน ปหี นงึ่ ๆ มีได้หลายอายุขยั ศัตรูธรรมชาต ิ เพล้ียอ่อนเป็นแมลงท่ีมีศัตรูธรรมชาติหลายชนิด ทั้งตัวห้ำตัวเบียน ตัวห้ำที่พบกัดกินเพลี้ย อ่อนที่พบเห็นอยู่เสมอโดยเฉพาะถ้าในบริเวณน้ันไม่ได้ใช้สารฆ่าแมลง แมลงเหล่านั้น คือ ด้วงเต่า อยูใ่ นอันดบั Coleoptera วงศ์ Coccinellidae ที่พบเสมอ ได้แก่ ดว้ งเต่าชนดิ Micraspis discolor (Fabricius) ตัวกลมมีสีส้มเป็นมัน ขนาดประมาณ 4 – 5 มม. อีกชนิดหน่ึง คือ Menochilus sexmaculatus (Fabricius) ตัวกลมมีสีส้มซีด มีลายเป็นหยัก 4 จุด และมีจุดสีดำ 2 จุด อยู่ส่วน ท้าย และ Coccinella transversalis (Fabricius) ตัวกลมสีส้มแดง มลี ายสดี ำเป็นหยกั 6 จุด ซง่ึ ดว้ งเตา่ ทัง้ ตัวออ่ นและตัวเตม็ วยั จะกัดกินเพลยี้ อ่อนได้ถงึ 1,167 ตัวตลอดชีวิต ส่วนแตนเบียนท่ีพบทำลายเพลี้ยอ่อนเสมอๆ ได้แก่ Aphidencytis sp. อยู่ในวงศ์ Encyrtidae อันดับ Homoptera จะทำลายเพลี้ยอ่อนโดยแตนเบียนจะวางไข่อาศัยอยู่ในตัวเพล้ีย อ่อนจนกว่าเพลี้ยอ่อนตาย มีลักษณะเป็นมัมมี่ก้อนกลมสีน้ำตาลดำแล้วตัวเต็มวัยก็ออกมา เพื่อ ทำลายเพล้ียออ่ นตอ่ ไป การปอ้ งกนั กำจดั แนะนำให้เกษตรกรพ่นสารฆ่าแมลงท่ีมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันกำจัดเพลี้ยอ่อนใน แปลงเบญจมาศ และเยอบีร่า หรือพืชอาหารรอบๆ แปลง ด้วยสารฆ่าแมลงที่ทางกลุ่มกีฏและ สัตววิทยาได้มีการศึกษาวิจัยมาแล้วซึ่งได้แก ่ - อิมิดาโคลพริค (คอนฟิดอร์ 100 เอสแอล 10% เอสแอล) อัตรา 10-20 มล./น้ำ 20 ลติ ร แมลงศตั รูผกั เห็ดและไมด้ อก 66
หนอนกระทู้หอม (beet armJyworm) ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Spodoptera exigua (Hubner) วงศ ์ Noctuidae อันดบั Lepidoptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย ดูหนอนกระทหู้ อม หนา้ 20 รปู ร่างลกั ษณะและชีวประวตั ิ ดหู นอนกระทู้หอม หนา้ 20 ศัตรูธรรมชาต ิ ดหู นอนกระทูห้ อม หนา้ 21 การป้องกนั กำจัด 1. วิธีกล โดยเก็บกลุ่มไข่ และหนอนทำลาย วิธีน้ีพบว่าได้ผลดี และลดการระบาดลงได้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 2. การใช้เช้อื จลุ นิ ทรยี ์ ทีแ่ นะนำให้ใช้ในการปอ้ งกนั กำจัด คือ ไวรัส (NPV) ของหนอนกระทู้ หอม อตั รา 30 มล./นำ้ 20 ลิตร ผสมสารจับใบในอตั ราตามฉลาก พน่ ในชว่ งเวลาเย็น ทุก 5 วนั ครงั้ เม่ือพบหนอนกระทู้หอมระบาด การป้องกันกำจัดโดยการใช้เชื้อไวรัส NPV เป็นวิธีการป้องกัน กำจัดได้ดีทส่ี ุดวิธหี น่ึง 3. สารสกัดสะเดา อตั รา 100 มล./น้ำ 20 ลิตร 4. สารฆา่ แมลง เช่น คลอร์ฟอู าซรู อน (อาทาบรอน 5 %เอสซี) อัตรา 20-40 มล./ น้ำ 20 ลติ ร พ่นสลับกบั เช้ือจุลนิ ทรีย์ หรือ สารสกัดสะเดา หนอนเจาะสมอฝา้ ย (cotton ballworm) ชื่อวิทยาศาสตร์ Helicoverpa armigera (Hubner) วงศ์ Noctuidae อันดับ Lepidoptera แมลงศัตรผู กั เห็ดและไมด้ อก 67
ความสำคญั และลกั ษณะการทำลาย ดูหนอนเจาะสมอฝ้าย หนา้ 25 รูปร่างลักษณะและชวี ประวตั ิ ดหู นอนเจาะสมอฝ้าย หน้า 26 ศตั รธู รรมชาต ิ ดูหนอนเจาะสมอฝ้าย หน้า 26 การปอ้ งกันกำจดั ใชเ้ ช้อื จุลนิ ทรยี ์ ไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝ้าย อตั รา 30 มล./นำ้ 20 ลิตร พน่ ทุก 5 วนั เมอ่ื พบแมลงระบาดในชว่ งเวลาเย็นโดยผสมกับสารจับใบ เปน็ วธิ ีทีพ่ บวา่ ให้ผลดใี นการปอ้ งกนั กำจดั หนอนกระท้ผู ัก (common cutworm) ชอื่ วิทยาศาสตร์ Spodoptera litura (Fabricius) วงศ์ Noctuidae อนั ดบั Lepidoptera ความสำคญั และลักษณะการทำลาย ดูหนอนกระทู้ผัก หน้า 23 รปู รา่ งลักษณะและชีวประวัติ ดูหนอนกระทู้ผัก หนา้ 23 ศตั รธู รรมชาติ ดูหนอนกระทผู้ กั หน้า 23 การป้องกันกำจัด 1. วิธีกล โดยเก็บกลุ่มไข่ และหนอนทำลาย วิธีน้ีพบว่าได้ผลดี และลดการระบาดลงได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพ 2. การใชเ้ ชอื้ จลุ ินทรยี ์ ได้แก่ ไวรสั NPV ของหนอนกระทผู้ กั อตั รา 30-50 มล./นำ้ 20 ลติ ร ผสมสารจับใบอตั ราตามฉลาก พ่นในชว่ งเวลาเย็นทุก 5 วนั คร้ัง เม่ือพบหนอนระบาด แมลงศตั รูผัก เห็ดและไม้ดอก 68
3. สารฆ่าแมลง เมื่อพบมกี ารระบาด สารฆา่ แมลงทแี่ นะนำ ไดแ้ ก่ - คลอร์ฟอู าซรู อน (อาทาบรอน 5% เอสซ)ี อัตรา 20 มล./นำ้ 20 ลติ ร - เมทท็อกซี่ฟีโนไซด์ (โปรดจิ ี้ 240 เอสซี 24% เอสซี) อตั รา 8 มล./น้ำ 20 ลิตร - ลูเฟนนูรอน (แมท็ 050 อซี ี 50% อีซี) อัตรา 24 มล./นำ้ 20 ลติ ร หนอนเจาะดอกมะลิ (jasmJine flower borer) ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Hendecasis dupifascialis Hampson วงศ์ Pyralidae อันดบั Lepidoptera ความสำคัญและลกั ษณะการทำลาย หนอนเจาะดอกมะลิเป็นแมลงศัตรูท่ีสำคัญที่สุด และทำความเสียหายร้ายแรงให้กับการ ปลูกมะลิ การทำลายโดยตัวหนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินภายในดอก ก่อให้เกิดความเสียหาย ใน ปัจจุบันมีการระบาดสะสมและทวีความรุนแรงมากย่ิงข้ึน จนนำไปสู่ปัญหาที่ต้องใช้สารฆ่าแมลง ค่อนข้างถ่ีและตลอดฤดูกาลปลูกด้วยช่วงพ่น 2–3 วันครั้ง และในแต่ละคร้ังมีการใช้สารฆ่าแมลง หลายชนิดผสมกันเพ่ือป้องกันกำจัดแมลงชนิดนี้ พบการระบาดทั่วทุกภาคในแหล่งที่ปลูกมะลิ ใน ประเทศไทยพบตลอดปี โดยเฉพาะในชว่ งฤดูฝน รปู รา่ งลกั ษณะและชวี ประวัติ ผีเสื้อหนอนเจาะดอกมะลิมีขนาดเล็กมากประมาณ 1.3 ซม. ตัวเมียวางไข่เป็นฟองเด่ียวๆ สีเหลืองบนกลีบดอก หรือก้านกลีบเล้ียงดอกและยอดอ่อน ระยะไข่ประมาณ 2 - 4 วัน ต่อมา เม่ือฟักเป็นตัวหนอน จะเจาะเข้าไปกัดกินอยู่ภายในดอกทำให้ดอกเป็นรอยช้ำ เห่ียวแห้งและร่วง หลน่ หนอนมี 4 วัย ระยะหนอนประมาณ 6 - 9 วัน ตัวหนอนโตเตม็ ท่ีลำตวั มสี ีเขียวหัวสดี ำ ขนาด ประมาณ 6.9 มม. ต่อมาจะเข้าดักแด้ท่ีโคนใบ หรือดอก ใบมีใยสีขาวหุ้มดักแด้ มีขนาด 5.1 มม. ระยะดกั แด้ 4 - 6 วนั ศตั รธู รรมชาต ิ - การป้องกันกำจัด พน่ สารฆ่าแมลง เมื่อพบมกี ารระบาด สารฆา่ แมลงทแี่ นะนำไดแ้ ก่ - ฟิโปรนลิ (แอสเซน็ ต์ 5% เอสซี) อัตรา 40 มล./น้ำ 20 ลิตร แมลงศตั รูผัก เหด็ และไม้ดอก 69
- ไซเพอรเ์ มทธิน/โพซาโลน (พารซ์ อน 28.75% อซี )ี อตั รา 80-120 มล./นำ้ 20 ลติ ร - คลอร์ไพริฟอส (ลอรส์ แบน 40% อีซ)ี อัตรา 80 มล./น้ำ 20 ลิตร ถ้าหากพบการระบาดทำการพ่นสารทุก 4 วันคร้ัง และไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลงชนิดเดียว กนั ตดิ ต่อกันหลายครั้ง เพราะจะทำให้แมลงสร้างความตา้ นทานตอ่ สารฆา่ แมลงชนดิ นนั้ ในแหลง่ ท่ี มกี ารต้านทานให้ใชอ้ ัตราสูง ชอื่ วิทยาศาสตร์ Ad^oreดtuว้ sงcกoหุmลprาeบssu(sroWseebebre etle) J วงศ์ Rutelidae อนั ดบั Coleoptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย ดว้ งกหุ ลาบเปน็ แมลงศตั รทู ี่สำคญั ของกุหลาบ มักจะพบการทำลายของแมลงชนิดนเ้ี มื่อมี การปลูกกุหลาบที่ไม่มีการดูแลท่ีเหมาะสม การทำลายจะเกิดเมื่อด้วงกุหลาบอยู่ในช่วงท่ีเป็นตัว เตม็ วัยเท่านัน้ สว่ นในระยะตัวหนอนจะอาศัยกินตามหน้าดินหรือมลู สตั ว์ ด้วงกุหลาบจะออกหากนิ ในเวลากลางคนื ส่วนในเวลากลางวนั จะพบตามดนิ ใกลร้ ากพชื ดงั น้นั ถา้ ไปตรวจดูในเวลากลางวัน จะไม่พบแต่จะพบรอยทำลายเท่าน้ัน ด้วงกุหลาบจะทำลายกุหลาบโดยกัดกินใบทำให้ต้นกุหลาบ ชะงักการเจริญเติบโต ถ้าทำลายส่วนของดอกก็จะทำให้ดอกเสียคุณภาพและไม่เป็นท่ีต้องการของ ตลาด ในประเทศไทยจะพบดว้ งกหุ ลาบอยทู่ ัว่ ไปและมักมกี ารทำลายรุนแรงในฤดูฝน รูปรา่ งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ ไข่ ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่ตามกองซากพืช กองมูล ปุ๋ยหมักต่างๆ โดยวางไข่เป็นกลุ่มๆ ละประมาณ 20 - 50 ฟอง ไข่มีลักษณะกลมรีเปลือกเรียบสีขาวขุ่น ระยะไข่ประมาณ 6 - 9 วัน หนอน ตัวหนอนเม่ือฟักออกจากไข่จะกินอาหารตามผิวดินหรือมูลสัตว์ ในระยะตัวหนอน จะใชเ้ วลาประมาณ 52 - 95 วัน หนอนตวั เต็มวยั ยาว 2 - 2.5 ซม. ดักแด้ เมื่อหนอนโตเต็มที่ก็จะเข้าดักแด้ในดิน ในระยะดักแด้จะใช้เวลาประมาณ 11 -14 วัน จงึ จะออกมาเป็นตวั เตม็ วัย ตัวเต็มวัย มีลักษณะตัวอ้วนป้อมค่อนข้างแบน สีน้ำตาลอ่อน ตาสีดำ มีขนสั้นละเอียด ปกคลุมทวั่ ตวั ขนาดลำตัวยาวประมาณ 1 ซม. ตวั เมียมอี ายุ 7 - 57 วนั หรอื โดยเฉล่ยี แล้วจะมีอายุ 28 วัน ส่วนตวั ผ้จู ะมอี ายุ 7 - 26 วัน หรือโดยเฉลย่ี ประมาณ 18 วัน แมลงศัตรผู ัก เห็ดและไมด้ อก 70
พืชอาหาร พบด้วงกุหลาบทำลายกุหลาบ และพบทำลายข้าวโพด มันสำปะหลัง กาแฟ กล้วย อ้อย องุ่น มะพรา้ ว ขนนุ เงาะ และชมพู่ ศัตรูธรรมชาต ิ - การปอ้ งกันกำจัด 1. ทำลายกองหญา้ หรือมลู สัตว์ ไม่ใหเ้ ปน็ ทีเ่ พาะขยายพนั ธุ์ 2. ถ้าสามารถทำไดใ้ ห้เก็บตวั เตม็ วยั ของด้วงกุหลาบที่ออกหากนิ ในเวลากลางคืนทำลายเสีย 3. ใช้กับดักแสงไฟ 4. ในช่วงท่มี ีการระบาดใหใ้ ชส้ ารฆ่าแมลง เช่น คารบ์ ารลิ (เซฟวิน 85% ดบั บลิวพ)ี อตั รา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นตอนเย็นเมื่อพบว่าด้วงกุหลาบระบาดและควรพ่นห่างกันทุก 7 วัน หรือเท่าที่ จำเปน็ บ่วั กลว้ ยไม้ (orchid midge, blossom midge) พ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Contarinia maculipennis Felt วงศ์ Cecidomyiidae อันดบั Diptera ความสำคัญและลกั ษณะการทำลาย บ่ัวกล้วยไม้ เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญอีกชนิดหน่ึงของกล้วยไม้ ตัวหนอนจะกัดกินกลีบดอก ด้านในใกล้กับบริเวณเกสร ทำให้กลีบดอกด้านในผิดปกติ มีผลให้ดอกตูมชะงักการเจริญเติบโต บิดเบ้ียว และหงิกงอ ต่อมาจะมีอาการเน่าเหลืองฉ่ำน้ำ และหลุดร่วงจากช่อดอก หากพบระบาด รุนแรงดอกตูมจะหลุดร่วงอย่างรวดเร็วฮวบฮาบจนเหลือแต่ก้านดอก ผู้ปลูกเล้ียงจึงเรียกแมลงชนิด นว้ี ่า “ไอฮ้ วบ” พบระบาดตลอดปี มกั พบกบั กล้วยไมส้ กุลหวาย และพบรนุ แรงในฤดฝู น รปู รา่ งลกั ษณะและชีวประวัติ ตัวเตม็ วยั เปน็ แมลงวันขนาดเล็กคลา้ ยยุงยาวประมาณ 1-2 มม. มีลำตวั สีดำ ขายาว มปี กี บาง 1 คู่ ปลายสดุ ของส่วนท้องมอี วยั วะวางไข่เปน็ ท่อเรยี วยาว ตัวเตม็ วัยวางไขใ่ นเนอื้ เยอื่ ของก้าน ช่อดอกกล้วยไม้ ระยะไข่ 2-4 วัน ตัวหนอนที่ฟักออกมามีสีขาวใส ไม่มีขา รูปร่างค่อนข้างแบน แมลงศัตรูผกั เหด็ และไม้ดอก 71
หนอนเมื่อโตเต็มที่มีสีเหลืองเข้มขนาดประมาณ 2-3 มม. เคล่ือนที่ได้โดยอาศัยการขยับตัวของ กล้ามเนอ้ื ส่วนอกและท้อง ระยะหนอน 15–23 วนั หลังจากนน้ั เข้าดกั แด้ มสี นี ้ำตาลในบรเิ วณวัสดุ ปลกู ระยะดกั แด้ 4-7 วนั ตัวเตม็ วัยมีอายปุ ระมาณ 2-5 วัน พชื อาหาร กล้วยไม้สกุลหวาย ศตั รธู รรมชาติ - การปอ้ งกนั กำจัด 1. ใชว้ ิธกี ล โดยเดด็ ดอกตูมที่มีอาการเน่าฉำ่ นำ้ หรือมอี าการบิดเบ้ียวมาทำลาย 2. หากพบมีการระบาดรุนแรง ควรพน่ ด้วยสารฆา่ แมลง - อมิ ิดาโคลพริค (คอนฟดิ อร์ 100 เอสแอล 10 % เอสแอล) อตั รา 40 มล./นำ้ 20 ลติ ร - ไซเปอรเ์ มทริน/ฟอสซาโลน (พารซ์ อน 28.75% อซี ี) อัตรา 80 มล./นำ้ 20 ลิตร - คารโ์ บซัลแฟน (พอสซ์ 20% อซี )ี อัตรา 100 มล./นำ้ 20 ลิตร - คลอร์ไพริฟอส (ลอร์สแบน 40% อีซี) อัตรา 80 มล./น้ำ 20 ลิตร โดยใช้ช่วงพ่น 3-5 วนั จนกวา่ การระบาดลดลง ,แมลงวันหนอนชอนใบ (chrysanthemum leaf miner) ชื่อวิทยาศาสตร์ Liriomyza huidobrensis (Blanchard) วงศ์ Agromyzidae อันดบั Diptera ความสำคัญและลักษณะการทำลาย แมลงวันหนอนชอนใบ เป็นแมลงศัตรูท่ีเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อไม้ดอกหลายชนิด ได้แก่ เบญจมาศ ดาวเรือง เยอบรี ่า เป็นตน้ ตวั เต็มวัยเพศเมียวางไข่ท่ีมีขนาดเล็กภายในผิวพืช เมือ่ ไขฟ่ ัก เป็นตัวหนอนที่มีลักษณะหัวแหลมท้ายป้าน ตัวหนอนชอนไชอยู่ในใบทำให้เกิดรอยเส้นสีขาว คดเค้ียวไปมา เม่ือนำใบพืชมาส่องดูจะพบหนอนตัวเล็กๆ สีเหลืองอ่อนโปร่งแสง ใส อยู่ภายใน เนื้อเย่ือใบพืช หากระบาดรุนแรงจะทำให้ใบเสียหายร่วงหล่น ซ่ึงจะมีผลต่อผลผลิตหากพืชนั้นๆ ไมส่ ามารถสร้างใบทดแทนได้ หรือถกู ทำลายอย่างหนกั พืชก็จะตายไปในทส่ี ุด แมลงศัตรูผัก เหด็ และไมด้ อก 72
รูปรา่ งลกั ษณะและชวี ประวตั ิ แมลงวนั หนอนชอนใบ ตัวเต็มวยั เป็นแมลงวนั ขนาดเลก็ มีขนาด 1 - 2 มม. ตัวเต็มวัยเพศ เมียวางไข่ใตส้ ่วนของเนื้อเย่ือบางๆ ของพืช ระยะไข่ 2 - 4 วนั เม่อื ฟักเป็นตวั หนอน จะมีลักษณะหัว แหลมท้ายป้าน (รูปกระสวย) ไม่เป็นปล้องชัดเจน ไม่มีขา เคลื่อนที่โดยการดีดตัว มีขนาดยาว ประมาณ 0.5 - 1 มม. จะชอนไชไปตามเน้อื เยอ่ื พืช ในระยะหนอนใชเ้ วลาประมาณ 7 - 10 วนั จงึ เข้าดักแด้ ดักแด้รูปร่างคล้ายเมล็ดข้าวสารอยู่ตามส่วนของพืชท่ีถูกทำลาย และตามใบท่ีร่วงหล่น ลงดนิ ขนาดดักแดย้ าว 0.8 - 1 มม. ในระยะดกั แด้ ใชเ้ วลาประมาณ 5 - 7 วนั จงึ ออกเปน็ ตวั เตม็ วัย แมลงวนั จะมีสดี ำหรอื สเี หลอื ง วงจรชวี ติ ประมาณ 3 - 4 สปั ดาห ์ พืชอาหาร พบทำลาย ไม้ดอก เช่น เยอบรี า่ แอสเตอร์ กหุ ลาบ ดาวเรือง เบญจมาศ ฯลฯ ศัตรธู รรมชาต ิ - การปอ้ งกันกำจัด 1. วิธีกล การเผาทำลายเศษใบพืชที่ถูกแมลงวันหนอนชอนใบทำลายตามพื้นดินจะ สามารถชว่ ยลดการแพร่ระบาดได้ เน่ืองจากดกั แดท้ อี่ ยตู่ ามเศษใบพืชจะถกู ทำลายไปด้วย 2. การใช้กบั ดักกาวเหนียวสีเหลอื ง อัตรา 80 กบั ดัก/ไร่ พบว่ามปี ระสิทธิภาพดใี นการดักจบั ตวั เตม็ วยั ของหนอนชอนใบเบญจมาศ 3. สารสกัดสะเดา อัตรา 100 มล./น้ำ 20 ลิตร สามารถป้องกันและกำจัดแมลงวันหนอน ชอนใบได ้ 4. สารฆา่ แมลง เบตา้ ไซฟลูทรนิ (โฟลเิ ทค 2.5% อซี )ี อตั รา 30 มล./น้ำ 20 ลิตร สามารถ กำจัดแมลงวนั หนอนชอนใบได้ แมลงศตั รูผกั เห็ดและไมด้ อก 73
บรรณานกุ รม พ กรมส่งเสริมการเกษตร. 2540. รายงานพื้นท่ีปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพื่อการค้า. กองแผนงาน กรมส่งเสรมิ การเกษตร. กรุงเทพฯ. กองกฏี และสตั ววทิ ยา. 2540. แมลงศตั รูผกั – ไมด้ อกไมป้ ระดับ. เอกสารประกอบการบรรยายการ อบรมหลักสูตรแมลง – สัตว์ศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด คร้ังท่ี 9, 24 มีนาคม - 4 เมษายน 2540. กองกฏี และสตั ววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร. 76 น. สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช. 2553. คำแนะนำการใช้สารฆ่าแมลงและสัตว์ศัตรูพืช ปี 2553. กรมวิชาการเกษตร, กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ กรงุ เทพฯ. 303 น. กองแผนงานและวิชาการ. 2542. ลำดับความสำคัญของพืชเพื่อการวิจัยของกรมวิชาการเกษตร. กองแผนงานและวชิ าการ กรมวชิ าการเกษตร. 12 น. กองส่งเสริมพืชสวน. 2537. คู่มือการผลิตไม้ตัดดอก. กองส่งเสริมพืชสวน กรมวิชาการเกษตร. 126 น. พสิ มยั ชวลติ วงษพ์ ร. 2538. แมลงศัตรไู มด้ อก ไมป้ ระดับของประเทศไทย. เอกสารวิชาการประจำ ปี 2538. กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ 148 น. พสิ มยั ชวลิตวงษพ์ ร และ อนนั ต์ วัฒนธญั กรรม. 2531. แมลงศัตรูไมด้ อก. กลมุ่ งานวิจยั แมลงศตั รู ผัก ไม้ดอก และไม้ประดับ กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร. บางเขน กรงุ เทพฯ. 41 น. ศริ ณิ ี พูนไชยศรี. 2544. เพลย้ี ไฟ Terebrantia. โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา ลาดพรา้ ว กรงุ เทพฯ. 75 น. Wongsiri, N. 1991. List of Insect Mite and Other Zoological Pest of Economic Plants in Thailand. Feclnical, Bulletin. Entomology and Zoology Department of Agriculture, Bangkok. 168 pp. แมลงศัตรูผัก เห็ดและไม้ดอก 74
แมลงศตั รผู กั ห'พอแไอพก้ xykntefo (Lkinwftjs)) *UpMoptmc YponomeuWa M timmuhifti vimuiadn 4 ด้านAหนMifeifln * ทเ >A - «Hi. K .vt 1 . •r ‘ ฒรร๎ . ปฟึ แ้ พนทนไทปท้ าณฮนไยฝฌั Tด้ทพด้าใฟ้ฝ'ก็ แ inritJ ^ Jv*K ใL - s X ; .13 m/# VIX 1' . ชด้ๆนAumil !เพฒเฮฟย้ ฝ’ก็ * * บา flmuAwดก้ แณรกพทยห หนB !เด้า เน|ห1เสย
หนอนกรรท้หู อม ( Spo๙opfera exigua (Hubner}} Lepidoptera: Noctuidae JLl \\' - -ไ ปีหนซีนกโะ:ห้หุ ซีม Ik หนซนี กโะชุห้ ซมี T 1$ฟ่ 'พ. «1 it r/ '- ร I*: w -.เ 1 * J1’ร'.ุ f'ill .I * - £/; ;r ตกเนๆหนซนี ก โะ:หหุ้ ซี น ผเคซีหนซีนกโะ:ฬหุ ซีม
พ าv f u n r r n h m i Mห ร มu u i h Si ะ.:' f£ ' ^ ^Htusnnr viHHinicwirfiiBWiriiHln 5พนพาทๆ พ»ฟ(ั ฟนั บนหาJaUTdf) ร %iS M m ^tfmmtsriww111ff!l Hพน!เไ]กร่ 1หเมมนห!เมพ้วใพฤJ
* หนอนกระท้ผู ก ( Spo๙optena titura (Fabricius }} พ Lepidoptera: Noctuidae ๕ sd1J1 i; y >- - *: ไข่หน'3UTlrะ:หุผ้ ้ก หนซีนกโะห้ผุ กั หเ่ี หงฟก่ ซซี กี จากก คมุ่ ไข่ >น lV jf* to J- */ ผกั เนๆหนซีนก1ะหุ้ผ้ก หนซนี กr ifi \\ K 1 % ไ? > r *:--= i' ; * gLi :X>ะ ซรี-/ . .. S3 ^หนซนี กrะห้ยุ ก้ กตกนผักกวางคงุ้ ปซิ งี เค้ ผเสัซหี น'ซีนกrะห้ผุ ก
ดักษณรการทืาฟาิ ยของหนอ นกระทู้ดกั บนพิช *-'ริ น'- - kMr My« > ;1 VIนอนกrะ:VIผกกตกนไบVI โก !frl a ST- - 1พ- . พi/j f e<* : หนซีUTl โะn1ๆผกก prrffนไบทะ:นา -. 1 f 5? * พ.. ร’ T --V ' wm . T Wi «v '* ^พ^ พ.' ท^^ พ'. คกmuะ:กาโหา่ คาย ปซี ี-งหนอนภ rะ:ข้ผทั บน-ห ITI หนซีนก โะ:พ้ผกท Prn นตซที หโก โะ:ย ะ:mก V * r* . 3. .หนซนี กIะnๆผักกคกนผคหโก คกmuะ: ปีซงี ผคหโกห่หี นซีนกโะ:หผ่ กฟา้ (หา่ คาย
หนอนเจกะยอศกะหลา {Hettufa undafis (Fabricius }} Lepidoptera: Fyralidae mm - - mท -ไ ปหี นซีนเจาะ:ยซี ตกะ:VIคา่ . * ÿ™ หนซนี เจาะ:ยซีตกะ:หคา 1เ ' - .ตก บ ตห้ นซีนเจาะ:ย ซี ตกะ:หค่า I %V '41 ะ\"- ร' - ^สรI พรุพ1: - .. Jj£: 4 ผเคaหนซนี เจาะ:ยซี ตก ะ:หคา ดกั ษณะการท้าลายฃองหนอ นเจก ะยอศกะหลา K 4- รพ? \\ : เ< \\ £. ? * .. Snmuะ:กาทาาคาย รองหนอนเอาะยอคกะหคำไนผักกาคราวปค
พนยนเจาะสมชฝิ ืาย {ttel&oveipa armigsrs (Hubnef)) Lapidoptera: Nnctuiflae <,; I พ |รท|§||& iff! iv* k พm gifeilliffigi ะเ C*mWเฒ1ะ-::.•ะ๙.= MF n 'm IA V. ไ*.R? นจ'' ะ-สเอth« าทท(นทๆทเนรทาธ ๒^ *m « V ฒ' i. หนชนmsitefifhe Kwmmร*จ\\ ฒ *JS ส1$8หนยนเทรฒสธาย 111 รโ่ ทษณะทาราาาสายรเชิงหนอนเจาะสนชิสายบนพืช T ปิ V' พุ * 1: ./ «• * / * .m jp -ะ:ะ: ซริ ฺ n * -Sx * - -7 i ::!ร XI ? I ท^ •mrtuwiะflมปฟ็ ไ็ อตพ้ เนใ!แเแะค ทพsrttittirt
I * rm 4 «1Jrimmisnnrn'iirincHifUHumBfliJflfl'm HSLhtnM ท M -1* * -^ . #1 p N Jig wuauwHtuBihiMngtiMviflfliihu *แนคนหาะ uelhสฑ่าเทธใมหปรไมมั ร่ ง่ ์ * ** * อ«11ใ นหาร เแ1 , 1Viเลนเแหห้ก
' si หนซี นเจาะ:PH มซีฝืายท'mนฝกั กIะ เจ ยบเฃ้ ยา สัตรฮู รรพรทติฃองหนอนเจารสพอผาย . EE - มานหฆาศ # : .:, , ำ;- ' JL มานหฆาศ เท ทกนี หนซนี เจาะ.fluซีฝาื ย ดกั muะก าโคาย โ]ซี-งหนซนี เจาะ รมซีฝาื ย เทา้ ย เรซ้ ี1ไาโดัหนซีนเจาะ flมซรี าย
VIทนแนกรเฟ1่ 1 (TttcftopftMto ni HUbmcri Laptop!Bra; Noctutoo r A r พน®!แนกทฟ่เา พน®!แพะดก้ เฟ้หน®นด้นทตเดา้ v\\ *ทเ1ด้เท|®!ฟบึ ทะพ®า iflปเ็ พน®นสบทรหท่ *น|เ ซนธฟ้ท3ฟ้าฝึไเ (LWVMM (xwfcu Lhnoaua] LopMoptm: LycunldM Bilหน®!)นืเ#ชเ,ใhสน V ด!้ ม(่ นรย1ท1ณฟฟ็ (้1ฬาสน
* I 1 * g ;i I ^ 3 I L: * เ¬ 3*\" JsL I3 I ห 2H*ร่ ร - IรL 3 พ & f* ih I 5 d. 3' i- !!<!!!!: ร¬ - li J *1 , 5 aร!ุ T 3*4 i ร ร 9 3 . * 1 J y :# 1: h' I= -'J ฝ1 สื r . >t 1 « £a I
หฆอนเจารHflมะ:เขึอ (L&ucinodสร orbonalis Guenee) LejSf&JOleca; pyraftfew m Wm .ia :: .j \" แพท็ท .... irmrraKMiBnimfavS'nmflmtfCMCiiJiiiVG ร นยาๆำหาเ \\เจง หumur ะ:htuiะ:illL *: rเ . *Jt f1rJmag :mjf1*r*mVJIาWTร» A ฒ; 1 i* :ร็ :%T iir รPะi: : .. .p ดก้ ษMSก]!ทไ้ ธไรญ! ,ÿ™ttEllfe ^หพญพาะพส รเซีธ ^^ ^หนอTJHแะฝ (ฒ Lepidoptera: Celeohiidae ;ะ . ft b *า ร^ - r พ * -ะ ** รร์ เ 3 ด้ทนWFflท!ทา้ ทi1 mimiQuAraitoiftffurift frfflu%tnrouAmftiirf?{tarlft
.เรพหร่เคย้ท [PhyfMmbipp rtaphan) Cotooptara:Chrytormfcte# ^พ7“ ' f w ^ -• ^ ^'Fl / 11 Mr ,. &>' ^8' *'*' 'ด้}งพฟคั ยท์ แทแเาซ ดพ้ พรฒรๆรารายน้ *tfniKUgทาnformาเ งfowtiTwiTni]ฬแ fjj dSF V3& ' ^1 V,' fc ป้ - ^ -mfl(hflHI1«ดพ้ ฬศป็ ใเหะนา้ -r #r Vi -' ก พฬฬ'ทในปก็ เฑศ y *a+ I > vt.;:: .. «. i ะ^* «c jri Y : & r >. ท ร\\ ;* Vt WHiMMffliKmiเท่าเทยทsth ^.Lkj li V mm if Aพ^
.y 11 V 2i ร AI รซ'ะ* ระ3=- 3 ะ __- 5 .น ร 3* เ5 1t IBฒ? Eส_ ! เใ o ^. 4เ =5£!' - 1T ; n. เระ
แพ?พวนผพไiT {B&ctrocora๒tsfmm (HeridelJ) DtpteFS r TephHlitfaa 4 เฌAritoidfthftว1ไงI1 fllimสก Bum r ^ ^ฬยฒรน เพท4 นนเไฟัวกงใท่ 1 บรI : รอยเาข ^ ^frSEiftWinส์รรึ พนรณเมfrf5ณพใย้อ •ทน'ใน พนขนนมณพใiพาหาซอ ทาฃในUfrtfiก เนหฟ้พพนข้นหบาฃ {Uriomyz# 5pp.) Diptera ะ Agromyzidae :. . rriiMl *:fr . . -I : if .ะรํ ; ?. . - ,ะ -. ะ . . ะ:•ะ ¬ *พไ1อ|นเนพง น«|นใบ (ท15 UUflUlWfttfuVflulLJ
ฒ*รเ m *เนเ(พ V -'เม แชน ห1-2 flfliUWT wiHMvninlhaiBtMiuflHlu'HiHiirwuluuuihi * - LSkz p- -1 vmMiuUMftjVMjlu ^ไนไพๆาได้ !น0น«1แนIrท St พ.k &' :£‘|, * *1 >. ^ 1 1 BI จเ \\* > - >^ . ซืฒ5ร JT •' # AnfiuEnwnnaWhAnuT) ทยท้าเทย1Mเพ(พรึพพยนหนใบบฟบ่ ปน็ ฝร่
*หนจนนพ ’เวน้ เจาร;คน้ ถั่ว (Motsfragromyza sojao (Zennlner) ; Dphiitmyia phasooliTryon) iptcna : AgromyzidBC พ 1 m หพอเนพเพชิเหท;ะ ^เ ::== * *Vbm Wifrง?นเจ ใ ะFพ่เ? (พกพิ รๆดI้ * เพลยไฟ่พรกิ (Scirtofhnps dorsalis Hood ) ThysannprtGra ; Thnpida0 yp; . * -Tiห?รไฟ ®ท fswriALSh ส j\"ห\"ห<๒น * -รเท»ฬา ท«ทพเพรปใิ ฟฟ!mjurhf ใบท%แแคงอทโเารใบหงีเพน *อกLAsunพ่รกั ทๆirtflfjlฟพfื crnissm
Itm ++ ^* y* ^ '* r -ร ^ JPI. .. f เส gp \":- • Jm ะ -เทขย็ ใฟ่ศ:ทLhi'Xเายพทมะฟอ็ เม่ภะ VJLr *Hflwinพ่รถั งพาfรการหา่ ท' ยขพWittยไฟฟซกี - 1,' I I* :1 เพส' ยั๋ ใฟทโ1กในมะ:เขีอเป1าะ ไนifltiwwvislaDfcJJnfln ^ช่ีงชใคราณพแไฟ่พซ์ ที ฟ้ าท้าย ราย ^เพพึ้ธ3rmi Mrowsce Jtojgluftute & gwfftd0 (IKhirifl)) Hcrnaptara 1 Cicadellidaa *“ . SBHJI'k''’2m yJ|* PฒI ข฿ิ\\ 3^๗^:P\" J:; I ^รเี \\ Mr พ้ฟท่ แททนาทน่ฟั า้ น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116