Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะสำหรับผู้ป่วย

ธรรมะสำหรับผู้ป่วย

Description: ธรรมะสำหรับผู้ป่วย

Search

Read the Text Version

148 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย เวลาเราปฏิบตั ิธรรม ครบู าอาจารยจ์ ะสอนใหเ้ ราสังเกตความ  รู้สึกนึกคิด พอมีความรู้สึกความนึกคิดเกิดขึ้นมาก็ให้เห็นมัน แต ่ สว่ นใหญไ่ ม ่ “เหน็ ” หรอก กลบั เขา้ ไป “เปน็ ” มคี วามโกรธเกดิ ขนึ้  ก ็ ไม่ได้เห็นความโกรธ แต่ไปยึดเอาความโกรธเป็นของฉัน ฉันเป็น  ผโู้ กรธ  มคี วามเครียดเกิดขึ้น ก็ไม่เห็นความเครียด แต่ไปยึดเอา  ความเครยี ดเป็นของฉัน ฉนั กลายเปน็ ผู้เครียด  ในท�ำนองเดยี วกัน  เวลาเกดิ ความเจบ็ ความปวด ถา้ เรามสี ตเิ หน็ วา่  ความเจบ็ ความปวด  มนั เกดิ ขนึ้ กบั กาย เหน็ เทา่ นน้ั จะไมค่ อ่ ยทกุ ขเ์ ทา่ ไร แตพ่ อไปยดึ เอาวา่   ความเจ็บป่วยความปวดเป็นของฉัน ฉันเลยเจ็บปวดเลยทุกข์หนัก  กวา่ เดิม อยา่ งนีเ้ ปน็ เพราะการยดึ ตดิ วา่ เป็นฉนั  เป็นของฉนั ใหม่ๆ อาจจะมองเห็นยาก แต่ขอให้สังเกตว่า เวลาเราเจ็บ  ป่วยขึ้นมา มันจะมีความไม่พอใจเกิดขึ้น ความไม่พอใจนี้เกิดขึ้น  เพราะมีความยึดติดอยู่ลึกๆ ว่าร่างกายฉันต้องไม่เจ็บต้องไม่ป่วย  ความยึดติดท่ีว่าน้ีแหละท่ีท�ำให้ไม่ยอมรับความเจ็บป่วย มันท�ำให้  จิตดิ้นรนกระสับกระส่าย ไม่ยอมรับความจริง เราก็เลยเป็นทุกข ์ ยงิ่ ขนึ้  คนทวั่ ไปมกั ยดึ ตดิ วา่ รา่ งกายนจ้ี ะตอ้ งมสี ขุ ภาพด ี ตอ้ งแขง็ แรง  ต้องเป็นด่ังใจฉัน น้ีแหละคือสาเหตุข้ันแรกเลยที่ท�ำให้คนเราทุกข์  คือพอไปยึดว่าร่างกายน้ีเป็นฉันเป็นของฉัน เราก็อยากให้มัน  เปน็ ไปตามใจเรา เหมือนรถของฉนั จะมีรอยขดี รอยขว่ นไม่ได ้ หรอื  



150 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย วา่ บา้ นของฉนั จะเสอื่ มไมไ่ ด ้ เงนิ ของฉนั จะหายไมไ่ ด ้ กลอ้ งของฉนั   จะตอ้ งอยใู่ นสภาพดีตลอดเวลา นีค่ อื สง่ิ ที่เรายดึ ไวใ้ นใจ อะไรก็ตาม  ทเี่ รายดึ วา่ เปน็ ฉนั เปน็ ของฉนั  เราจะมคี วามคาดหวงั แบบนอ้ี ยใู่ นใจ ในท�ำนองเดียวกัน เม่ือเรายึดว่าร่างกายนี้เป็นของฉัน เราก็  จะมีความคาดหวังว่า ร่างกายน้ีก็จะป่วยไม่ได้ จะเจ็บไม่ได้ รวมทั้ง  จะแก่ไม่ได้ด้วย  ฉะนั้นพอเจ็บป่วยข้ึนมา เราจึงทุกข์มากเพราะว่า  มนั สวนทางกับความคาดหวังของเรา น่แี หละคือสาเหตแุ รกท่ีทำ� ให้  คนเราทุกข์เวลาเจ็บป่วย ท้ังๆ ท่ีความเจ็บป่วยนั้นไม่ได้หนักหนา  แต่พอมันไม่เป็นดั่งใจ แถมยังปรุงแต่งไปในทางเลวร้าย เช่นฉัน  เปน็ มะเร็งหรอื เปลา่  พอคดิ แค่นก้ี ใ็ จเสียเลย ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรารู้จักปล่อยรู้จัก  วางด้วยการตระหนักว่า มันไม่ใช่ของเรา ส�ำหรับคนธรรมดาก็ให ้ ตระหนักไว้ว่า ส่ิงท้ังหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง ควรพิจารณาอย่างนี ้ ตลอดเวลา ไม่ใช่มาพิจารณาเอาตอนที่เจ็บป่วยแล้ว แต่ควรจะ  พจิ ารณาตงั้ แตต่ อนทร่ี า่ งกายยงั สขุ สบายดอี ย ู่ เวลาทรี่ า่ งกายเราสขุ   สบายดีก็ควรระลึกว่า สักวันหน่ึงก็จะต้องเจ็บป่วย สักวันหนึ่งก็จะ  ต้องแก่ สักวันหนึ่งอวัยวะต่างๆ ก็จะแปรปรวนไป คือถ้าเราระลึก  นึกถึงความไม่เที่ยงอย่างน้ีอยู่บ่อยๆ ในยามท่ีมีสุขภาพดี ในยามท่ี 

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 151 ยงั หนมุ่ ยงั สาว พอเจบ็ ปว่ ยขนึ้ มาหรอื แกข่ น้ึ มา เรากจ็ ะไมท่ กุ ขม์ าก  แตถ่ า้ เราไมไ่ ดพ้ จิ ารณาอยา่ งนเี้ ลย พอเจบ็ ปว่ ยขนึ้ มาเรากเ็ ปน็ ทกุ ข์  แตว่ า่ กย็ งั ไมส่ าย เมอื่ เจบ็ ปว่ ยแลว้  เราควรยอมรบั วา่  นค่ี อื ความจรงิ   น่คี อื ธรรมดาของชีวติ  อยา่ ไปขัดขนื  อย่าปฏิเสธส่งิ ท่เี กิดขน้ึ แล้ว แม้ว่าโรคท่ีเกิดข้ึนกับเราจะเป็นโรคร้าย แต่ถ้าเรายอมรับ  ต้ังแต่แรกว่า นี้คือความจริงท่ีเกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์ใจก็จะลดลง  มีแต่ความปว่ ยกายเท่าน้นั   ในทางตรงขา้ มถ้าเราปฏเิ สธไม่ยอมรับ  ความจริง เอาแต่ตีโพยตีพายว่าท�ำไมถึงต้องเป็นฉันๆ เราจะทุกข ์ ทั้งใจทุกข์ท้ังกาย คนเจ็บคนป่วยหลายคนมักจะพูดเช่นน้ี รวมท้ัง  เวลาประสบเหตุร้าย เช่นของหาย ถ้าเราบ่นอย่างนี้ก็แสดงว่าเรา  ยงั ไม่ยอมรบั ความจริงว่าทกุ ๆ คน รวมท้งั เราด้วยมโี อกาสทจ่ี ะต้อง  เจอสง่ิ เหลา่ นนั้ ทงั้ นั้น แทนทจ่ี ะถามวา่ ท�ำไมถงึ ตอ้ งเปน็ ฉนั  เราควร  จะถามใหมว่ า่  ท�ำไมถงึ จะเปน็ ฉนั ไมไ่ ด ้ เพราะวา่ ใครๆ กป็ ว่ ย ใครๆ  ก็สญู เสยี ทรัพย์สนิ กนั  ใครๆ กส็ ญู เสียคนรกั กันทงั้ น้นั ถ้าเราระลึกเสมอว่าความไม่เที่ยง ความแก่ ความเจ็บความ  ปว่ ย ความพลดั พรากสญู เสยี  เปน็ ธรรมดาของชวี ติ  มนั จะชว่ ยท�ำให ้ เราปลอ่ ยวางไดม้ ากขน้ึ เวลาเกดิ เหตรุ า้ ย ทนี กี้ ม็ ปี ญั หาวา่  เราปลอ่ ย  วางได้แล้ว แต่ว่าบางครั้งทุกขเวทนาหรือความเจ็บปวดก็ยังมา 

152 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย รบกวน เอาล่ะป่วยไม่ว่า แต่ว่าป่วยแล้วท�ำอย่างไรถึงจะไม่เจ็บ  หลายคนยอมรบั ความปว่ ยไดแ้ ตย่ อมรบั ความเจบ็ ไมไ่ ด ้ ทกุ ขเวทนา  มนั แรงกลา้  ตรงนแี้ หละทเี่ ราจะตอ้ งกลบั มาพจิ ารณาวา่ สงิ่ ทเี่ จบ็ ปว่ ย  น้ีมันไม่ใช่เรา ร่างกายเจ็บแต่ไม่ใช่เราเจ็บ กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย  เป็นส่ิงท่ีท�ำได้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอนอุบาสกคนหน่ึงว่า แม้กายกระสับ  กระส่าย แต่ว่าอย่าให้จิตกระสับกระส่าย คือกายกับใจน้ีไม่ใช่สิ่ง  เดยี วกนั  กายปว่ ยแตใ่ จไมป่ ว่ ยอนั นที้ �ำได ้ กายรอ้ นแตใ่ จไมร่ อ้ นกไ็ ด ้ กายเจ็บแต่ใจไม่เจ็บก็ได้ จะทำ� อย่างนี้ได้ต้องอาศัยสติ ถ้าเรามีสติ  เวลาเกดิ ความเจบ็ ความปวดขน้ึ มา กใ็ หเ้ หน็ หรอื รทู้ นั ความเจบ็ ความ  ปวดนน้ั  อย่าปลอ่ ยใจใหเ้ ข้าไปจมอยู่ในความเจ็บปวด ใหเ้ ห็นความ  เจบ็ ความปวดวา่  มนั เกดิ ขนึ้ กบั กาย แตว่ า่ กายไปยดึ ตดิ ถอื มนั่ วา่ ฉนั   เจบ็  หรอื ฉนั เปน็ ผเู้ จบ็  หรอื วา่ ความเจบ็ เปน็ ของฉนั  ตรงนอ้ี าศยั สติ  ที่ค่อนข้างจะเข้มแข็งฉับไว แต่เราก็สามารถฝึกได้ในชีวิตประจำ� วัน  แมใ้ นขณะทกี่ ำ� ลงั เจบ็ ปว่ ย ถา้ เรามสี ตขิ น้ึ มา เราจะปลอ่ ยวางไดง้ า่ ย  ขนึ้  เรม่ิ ตง้ั แตก่ ารปลอ่ ยวางความคดิ ปรงุ แตง่  เชน่  ความคดิ ฟงุ้ ซา่ น  วา่ ฉนั เปน็ มะเรง็ หรอื เปลา่  ฉนั จะตายดไี หม นเี้ ปน็ ความคดิ ปรงุ แตง่   ทท่ี �ำให้เราทกุ ข์เพิ่มขึ้น

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 153 ทุกขเวทนาหรือความเจ็บปวดเป็นส่ิงที่สวยงาม แต่ว่าอย่าง  แรกที่เราสามารถท�ำได้คือ ปล่อยวางความคิดความนึก เวลาเรา  เผลอคิดฟุ้งซ่าน พอมีสติก็เห็นว่าความคิดน้ันเป็นอันหน่ึง ใจเป็น  อกี อนั หนง่ึ  แตถ่ า้ ไมม่ สี ตกิ ไ็ ปยดึ วา่ ความคดิ เปน็ ของฉนั  ฉนั เปน็ ผคู้ ดิ   ขนาดความคิดธรรมดาๆ เรายังไปยึดเลย นับประสาอะไรกับความ  ทุกข์ซ่ึงมีแรงดงึ ดดู จิตใจไดม้ าก คนเราพอยึดแล้ว เราไม่ได้ยึดแค่สิ่งดีๆ นะ สิ่งท่ีไม่ดีเราก็ยึด  อย่าไปคิดว่าเรายึดแต่ส่ิงดีๆ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง คนรัก หรือ  ความสุข สิ่งที่ไม่ดีคือความทุกข์ ความโกรธ ความเหม็น เราก็ยึด  ลองสังเกตดูถ้าเกิดเราไปถูกอุจจาระหรือถูกน้�ำปลา มันเหม็นใช่  ไหม เราทำ� อยา่ งไรเรากล็ า้ งมอื  เอาสบมู่ าขดั ถ ู เอานำ�้ มาลา้ ง เสรจ็   แล้วท�ำอย่างไรต่อ เราเอามือมาดมใช่ไหม เราไม่ชอบกล่ินอุจจาระ  กลนิ่ นำ�้ ปลาเพราะมนั เหมน็  แตก่ ย็ งั อดดมมนั ไมไ่ ด ้ พอรวู้ า่ ยงั มกี ลนิ่   ตดิ มอื อย ู่ เรากจ็ ะลา้ งตอ่  ลา้ งเสรจ็ ทำ� อยา่ งไร กเ็ อามาดมอกี  ทง้ั ๆ ที่  ไมช่ อบกล่ินทตี่ ดิ มอื  แตก่ ็ดมแลว้ ดมเลา่  นี่เปน็ การยดึ ตดิ อยา่ งหนง่ึ   เหมือนลิงเวลามือมันถูกกะปิ มันไม่ชอบกะปิมากเลย มันก็เลยเอา  มือมาถูกับพื้นเพ่ือก�ำจัดกะปิ ถูเสร็จก็จะเอามือมาดม ดมเสร็จยังม ี กลน่ิ อกี กจ็ ะถใู หม ่ ถจู นกระทงั่ ผวิ เปน็ แผลถลอกปอกเปกิ กย็ งั ไมเ่ ลกิ ถ ู คอื ยิ่งเกลยี ดกะปิกย็ ิ่งดมกะปอิ ยูน่ น่ั แหละ

154 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย ถ้าเราโกรธใครเกลียดใคร ใจก็ย่ิงคิดถึงคนน้ัน ความเจ็บก็  เหมือนกันนะ ความเจ็บเป็นสิ่งท่ีเราไม่ชอบ แต่เราก็ยึดติดมันโดย  ไม่รู้ตัว พอเจ็บปวดข้ึนมา ใจก็จะจดจ่ออยู่กับความเจ็บปวด ปวด  ตรงไหน ใจก็จะจดจ่อแต่ตรงน้ัน น่ีเรียกว่ายึดติด สาเหตุที่ยึดติด  ก็เพราะไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติเราจะปล่อยวางได้มากข้ึน เราจะเห็น  ทกุ ขเวทนาแตไ่ มเ่ ขา้ ไปยดึ ทกุ ขเวทนานนั้  แตว่ า่ ส�ำหรบั คนทยี่ งั ไมม่ ี  สตทิ ร่ี วดเรว็ ฉบั ไวกต็ อ้ งหาอะไรใหเ้ ปน็ ทย่ี ดึ เหนย่ี วของใจเอาไวก้ อ่ น  ใจจะได้ไมจ่ ดจอ่ ปกั ตรึงกบั ความเจบ็ ปวด เวลาเจบ็ ปวดถา้ สตยิ งั ไมม่ กี ำ� ลงั พอทจ่ี ะดงึ จติ ออกมาจากความ  เจบ็ ความปวดได ้ กค็ วรหาสงิ่ อนื่ มาเปน็ ทยี่ ดึ เหนยี่ วจติ ใจ เชน่  นกึ ถงึ   พระพุทธรูป ท่องบทสวดมนต์ในใจ พอท�ำอย่างนี้จิตก็จะมีที่ยึด  เหน่ียวหรือจุดสนใจ ท�ำให้ไม่ไปสนใจความเจ็บปวด การท�ำให้จิต  มสี มาธกิ บั อะไรสกั อยา่ ง ทำ� ใหค้ วามรสู้ กึ เจบ็ ปวดลดลง ทจ่ี รงิ นเี้ ปน็   วธิ ที ่ีเราทำ� อย่บู อ่ ยๆ หรอื เกิดขนึ้ กับเราอยบู่ อ่ ยๆ เราเคยไหม น่ังเป็นช่ัวโมงๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อยเลย ท�ำไมถึง  ไมเ่ มอ่ื ย เพราะวา่ กำ� ลงั ดหู นงั ฟงั เพลงหรอื กำ� ลงั เลน่ ไพ ่ พอใจจดจอ่   อยู่กับหนังเพลงหรือไพ่ก็เลยไม่ไปรับรู้ความปวดเม่ือย ความปวด  เมื่อยเกิดข้ึนแต่ใจไม่รับรู้ก็เลยไม่ทุกข์ อันนี้เพราะว่าใจมีส่ิงยึด 

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 155 เกาะ แต่ว่าส�ำหรับคนป่วย ส่ิงยึดเกาะที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นสิ่งที่เรา  นับถือ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราผูกพัน ท�ำให้ใจสบาย และปล่อยวาง  ความเจบ็ ปวดได้ นอกจากความคิดปรุงแต่งและความเจ็บปวดที่ควรปล่อยวาง  แล้ว ยังมีอีกอย่างท่ีเราควรปล่อยวางด้วย นั่นคือ ความยึดถือใน  ตัวฉันของฉัน หรือความยึดถือในตัวตน ซ่ึงเป็นความยึดติดที่  ลกึ ซงึ้ ทส่ี ดุ  การยดึ ตดิ ในตวั ตนเปน็ ตวั การส�ำคญั ของทกุ ข ์ ทง้ั ในยาม  ปกติและยามเจ็บป่วย อย่างที่บอกไว้แล้วว่าเรามักยึดติดถือม่ันว่า  รา่ งกายเปน็ ของฉนั เปน็ ตวั ตนของฉนั  ดงั นนั้ พอมนั มอี นั เปน็ ไป เรา  จงึ ทุกขร์ ะทม การยดึ ถอื ในตวั ตนเปน็ เรอื่ งทตี่ อ้ งอาศยั ปญั ญาถงึ จะปลอ่ ยวาง  ได้ นั่นคือ เกิดปัญญาจนเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวฉันของฉัน  แม้แต่ร่างกายน่ีก็ไม่ใช่ ความเข้าใจอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัย  ความทกุ ข ์ คอื ประสบกบั ความผนั ผวนปรวนแปรจนเหน็ ชดั วา่  ไมม่  ี อะไรทยี่ ดึ ถอื วา่ เปน็ ตวั ฉนั ของฉนั ไดเ้ ลย พดู อกี อยา่ งกค็ อื ชว่ งเวลาท่ ี เราจะปลอ่ ยวางไดด้ ที ส่ี ดุ กค็ อื ตอนทเี่ ราทกุ ข ์ ทกุ ขจ์ นรชู้ ดั วา่ รา่ งกาย  น้ไี ม่น่ายดึ ถอื

156 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย ทกุ คนเมอ่ื ใกลต้ ายก็จะมีทุกขเวทนาบบี คัน้ แตว่ า่ ถ้าเรามสี ติร้ทู ันทกุ ขเวทนา ไมป่ ฏเิ สธความเจ็บปวด ยอมรบั มนั อย่างทีเ่ ป็น ไม่ผลกั ไส ใจกจ็ ะนงิ่ ไดไ้ ม่กระเพื่อม จะมแี ตก่ ายเทา่ นั้นที่ทกุ ข์ แต่ใจไมท่ กุ ข์ไปด้วย เรายดึ ตดิ ถอื มน่ั ในรา่ งกายนเ้ี นอ่ื งจากเราคดิ วา่ รา่ งกายนเ้ี ทยี่ ง  เนื่องจากเราเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสุข พูดง่ายๆ ก็คือว่าเราไปยึด  เพราะเข้าใจว่ามันน่ายึด แต่เราไม่ได้เห็นว่ามันมีโทษอย่างไรบ้าง  เหมือนกับเราไปยึดเอาทรัพย์สมบัติว่าเป็นของฉัน เพราะว่ามันให ้ ความสุขกับเรา แต่ถ้าเม่ือใดก็ตามที่เรารู้ว่าทรัพย์สมบัติท้ังหลาย  สร้างปัญหาให้กับเรา ท�ำให้เรากังวล ท�ำให้เรากลุ้มใจ ท�ำให้เป็น  ทกุ ข ์ เราก็จะสละหรอื ปลอ่ ยวางไดง้ ่าย ความยดึ สิ่งตา่ งๆ เกิดขึ้นได ้ เพราะเราไปเขา้ ใจวา่ สงิ่ เหลา่ นน้ั เปน็ สขุ เทย่ี งแทเ้ ปน็ ตวั ตน แตเ่ มอื่ ใด  กต็ ามท่ีเราเห็นวา่ มนั ทกุ ขเ์ หลือเกิน ไมจ่ รี ังยงั่ ยนื  กจ็ ะเห็นวา่ มนั ไม่  น่ายึดก็จะปลอ่ ยวางได้

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 157 ในสมัยพุทธกาลมีหลายท่านที่บรรลุธรรมได้ยามที่ป่วยหนัก  ทงั้ นเี้ พราะทา่ นเหน็ วา่ รา่ งกายนเี้ ปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ  เหน็ ชดั เจนเลยวา่   สงั ขารไมน่ า่ ยดึ ถอื  อยา่ งเชน่ พระตสิ สะซง่ึ ปว่ ยหนกั มแี ผลพพุ องเตม็   ตวั  สง่ กลนิ่ เหมน็ จนไมม่ ใี ครอยากจะมาดแู ล แมก้ ระทง่ั พระดว้ ยกนั ก ็ เมนิ  จนกระทงั่ พระพทุ ธเจา้ ทราบขา่ ว จงึ เสดจ็ มาดแู ลเอาใจใส ่ เชด็   เนื้อเช็ดตวั  ท�ำความสะอาดจีวรซง่ึ เปรอะเปื้อนอุจจาระปัสสาวะ จน  ท่านรู้สึกดีข้ึน จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “อีกไม่นาน ร่างกาย น้ีจักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้งทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ อันหาประโยชน์มิได้” พระติสสะได้พิจารณาตามและประจักษ์ชัด  ด้วยตนเองร่างกายน้ีไม่น่ายึดถือเลย พอท่านเห็นชัด ปัญญาก็เกิด  ปล่อยวางสังขารได้อย่างส้ินเชิง ท�ำให้ท่านบรรลุอรหัตผลจังหวะ  เดยี วกับที่หมดลม มีภิกษุสงฆ์บางท่านแก่มาก เดินกระย่องกระแย่ง เดินแต่ละ  กา้ วลำ� บากมาก มคี ราวหนงึ่ ทา่ นเดนิ หกลม้  ตวั กระแทกพน้ื ปวด ใน  ขณะนั้นเองก็ได้เห็นชัดว่าสังขารน้ีไม่เที่ยงเลย เต็มไปด้วยความ  ทกุ ข์ ไมน่ ่ายึดถือเลย พอเห็นเชน่ นีท้ า่ นก็ปล่อยวางและบรรลธุ รรม  ในตอนน้ันเลย

158 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย เพราะฉะนั้นเวลาเราเจ็บป่วย ก็ขอให้ถือว่าร่างกายน้ีก�ำลัง  สอนธรรมแก่เรา ความเจ็บปวดก�ำลังสอนธรรมแก่เราว่า สังขารน้ ี ไม่เท่ียงเลย ไม่น่ายึดถือ และยึดถือไม่ได้ด้วย การพิจารณาเช่นน้ ี อยู่เสมอช่วยให้เราปล่อยวางได้เร็วข้ึนและหลุดจากความทุกข์ได้  ง่ายขน้ึ เวลาร่างกายเจ็บป่วยอย่าไปนึกว่าเราโชคร้าย เราท�ำกรรม  อะไรไว้หนอถึงเจ็บถึงป่วย ลองพิจารณาใหม่ว่าความเจ็บป่วยกำ� ลัง  สอนธรรมะใหแ้ ก่เรา เขาก�ำลังมาแสดงสัจธรรมให้เราเห็นว่า ส่ิงทง้ั   หลายทั้งปวงไม่น่ายึดถือ หากเราเปิดใจรับสัจธรรม ก็จะช่วยให้เรา  เกิดปัญญาและสามารถปล่อยวางได้ คือไม่ยึดติดว่าร่างกายน้ีเป็น  ฉนั เปน็ ของฉนั  ไมย่ ดึ ตดิ วา่ เปน็ ตวั ตน เราปลอ่ ยวางรา่ งกายนไ้ี ดม้ าก  เทา่ ไร ใจเรากจ็ ะเบามากขน้ึ เทา่ นนั้  แมว้ า่ รา่ งกายยงั ทกุ ขอ์ ย ู่ แตเ่ รา  ไม่ยึดว่าความเจ็บปวดเป็นของฉัน ไม่ส�ำคัญม่ันหมายว่าฉันปวด  หรอื ฉนั เจ็บป่วย ตรงนแ้ี หละทอี่ ยากจะใหผ้ ทู้ เ่ี จบ็ ปว่ ยมองวา่ ธรรมชาตกิ �ำลงั มา  เปดิ ใจใหเ้ ราคน้ พบสจั ธรรม  อาตมาอยากจะบอกวา่  เราสามารถหลดุ   พน้ จากความทกุ ขไ์ ด ้ ไมใ่ ชเ่ พราะเราหาย แตเ่ พราะเราปลอ่ ยวางได้  ถ้าเราเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หายก็อย่าไปเสียใจ ให้ตระหนักว่าท ่ี

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 159 เราทกุ ขอ์ ยตู่ อนนไ้ี มใ่ ชท่ กุ ขเ์ พราะโรค แตเ่ ราทกุ ขเ์ พราะความยดึ ตดิ   โรคอาจจะรักษาไม่หายแต่เราสามารถปล่อยวางความยึดติดได้ ถ้า  เราปล่อยวางความยึดติดได้ โรคร้ายก็ท�ำอะไรจิตใจเราไม่ได้อีกต่อ  ไป รา่ งกายแม้จะยังป่วยอยู่แตใ่ จไม่ไดป้ ว่ ยดว้ ย หากท�ำได้อย่างน้ี ในท่ีสุดแม้กระท่ังความตายก็ท�ำอะไรจิตใจ  เราไม่ได้ เพราะเราปล่อยวางได้แล้ว คนเรากลัวตายก็เพราะยังม ี ความยึดติด เรากลัวความสูญเสียเพราะเรายังยึดติดส่ิงต่างๆ มาก  มาย เช่น ทรัพย์สมบัติ คนรัก แต่พอเราปล่อยวางสิ่งต่างๆ ได ้ ความตายก็ไม่น่ากลัว ความตายกลับเป็นเครื่องเตือนใจที่ช่วย  นอ้ มใจเราให้เกิดความสงบ  อาตมาได้กล่าวมาพอสมควรแล้ว คงจะเป็นคติธรรมให้ทุก  ท่านเกิดก�ำลังใจในการเรียนรู้วิธีปล่อยวางจากความทุกข์ เรียนรู ้ วธิ ีท่ปี ลอ่ ยวางจากส่งิ ทีไ่ มพ่ งึ ปรารถนา เพ่ือใจเราจะได้ค้นพบความ  สุข ความอิสระ ความโปร่งเบา ขอให้ทุกท่านได้ค้นพบภาวะเช่นน้ี  ดว้ ยตัวของทา่ นเองทกุ คน

แมน่ ้ำ� เต็มฝงั่ ไม่ไหลทวนขนึ้ สทู่ ี่สูงฉนั ใด อายุของมนษุ ยท์ งั้ หลาย ย่อมไม่เวยี นกลับมา ส่วู ัยเด็กได้อีกฉนั นนั้ พทุ ธวจนะ

ค ํ า ถ า ม - ค ํ า ต อ บ อยากให้พระอาจารย์อธิบายเรื่องการปล่อยวาง มันแปลว่า วางเฉยไม่ต้องท�ำอะไรหรือเปล่า แล้วมันจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการ ท�ำงานหรอื ? การปล่อยวางไม่เป็นอุปสรรคต่อการท�ำงาน กลับช่วยให ้ ทำ� งานไดด้ ขี นึ้  แตต่ อ้ งอธบิ ายกอ่ นวา่  การปลอ่ ยวางขณะทำ� งานนนั้   มสี องความหมาย แบบท ี่ ๑ คอื  ปลอ่ ยวางจากความยดึ ถอื วา่ เปน็ ฉนั   เป็นของฉัน แบบท่ี ๒ คือ ปล่อยวางจากความยึดถือในเป้าหมาย  หรอื ผลทีจ่ ะเกดิ ขึ้น



พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 163 เอาแบบที่ ๒ ก่อน ถ้าเราท�ำงานด้วยความต้ังใจ แต่ไม่ไป  ใส่ใจกับผลที่จะเกิดข้ึนในวันข้างหน้า ใจเราจะสบายขึ้น เหมือนกับ  เราเดนิ ทาง แมเ้ สน้ ทางไกลแตใ่ จเรายงั ไมไ่ ปคดิ ถงึ เปา้ หมายวา่ เมอื่ ไร  จะถึง เม่ือไรจะถึง เรายังเดินต่อไปไม่หยุด การวางใจแบบนี้จะท�ำ  ให้เราเดินได้สบายกว่า ในทางตรงข้ามถ้าเราเดินด้วยใจที่นึกถึงแต่  เป้าหมาย คิดแต่ว่าเม่ือไรจะถึง เม่ือไรจะถึง เดินแบบนี้เราจะทุกข ์ มาก อย่างทีเ่ รียกว่ายึดตดิ ในผลหรือเป้าหมาย เวลาท�ำงานเราจะท�ำอย่างมีความสุข หากท�ำด้วยใจท่ีปล่อย  วางจากอนาคต หรือจากผลที่จะเกิดข้ึน คือ มันจะส�ำเร็จหรือไม ่ เป็นเรื่องอนาคต แต่ว่าตอนน้ีฉันขอท�ำอย่างเต็มที่ อาจจะไม่ส�ำเร็จ  ก็ได้ เพราะมันมีเหตุปัจจัยต่างๆ มากมายท่ีฉันควบคุมไม่ได้ แต่ว่า  ฉันก็จะพยายามท�ำอย่างเต็มท่ี  อันน้ีเป็นวิธีการท�ำงานแบบพุทธ  ตรงกบั คตขิ องจนี วา่ การกระทำ� เปน็ ของมนษุ ย ์ สว่ นความสำ� เรจ็ อยทู่ ฟ่ี า้   น่ีคือความหมายหน่ึงของการปล่อยวาง คือปล่อยวางจากความ  คาดหวังในผล ให้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราม่ันใจว่าสิ่งที่ก�ำลังท�ำอยู ่ เป็นของดีมีประโยชน์ก็ขอให้เราท�ำเต็มที่ ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร  อยา่ ไปสนใจ

164 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย ปล่อยวางอีกแบบ คือปล่อยวางจากความยึดถือว่าเป็นฉัน  เป็นของฉัน คือ บางคร้ังเราไปเข้าใจว่าเราจะทำ� งานได้ดีก็ต่อเม่ือ  งานนั้นเป็นของเรา แต่ถึงแม้มันไม่ใช่ของเรา เราก็ยังควรมีความ  รบั ผดิ ชอบตอ่ สง่ิ นนั้  เชน่  เรายมื เงนิ เขามา เรายมื รถเขามา เรายมื   โทรศัพท์เขามา ถึงแม้ว่าสิ่งท่ีเรายืมมาจะไม่ใช่ของเรา แต่เราต้อง  รับผิดชอบดูแลสิ่งเหล่านั้นใช่ไหม? คนท่ีบอกว่าในเมื่อสิ่งเหล่าน้ี  ไมใ่ ชข่ องฉัน ฉนั ไมด่ ูแล แสดงว่าเป็นคนไม่รับผดิ ชอบ การทเ่ี ราปลอ่ ยวางสงิ่ ตา่ งๆ วา่ ไมใ่ ชข่ องเรา ไมไ่ ดห้ มายความ  ว่าเราไม่รับผิดชอบส่ิงนั้น ความรับผิดชอบก็ยังมีอยู่ ถึงแม้ไม่ใช่  ของเรา เราสามารถทจ่ี ะดแู ลเอาใจใสส่ ่งิ ตา่ งๆ ได ้ โดยไมใ่ ชข่ องเรา  สามีภรรยาไม่ใช่ของเรา แต่ว่าเราก็ยังรับผิดชอบดูแลเขา มีความ  เมตตากรุณาต่อเขา เราไม่ได้ท�ำเพราะความยึดความติด เราท�ำ  เพราะเราเหน็ ว่าการทำ� ส่งิ น้ีเปน็ สง่ิ ท่ีดี การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่า ละท้ิงเรื่องความถูกความ  ผดิ  ละทงิ้ เรอ่ื งความดคี วามชว่ั  มนั ไมถ่ งึ ขนาดนน้ั  สง่ิ ไหนทด่ี สี ง่ิ ไหน  ท่ีเป็นประโยชน์เราก็ท�ำ แต่ว่าเราท�ำด้วยความไม่ยึดว่า ถ้าเป็นลูก  ของเรา ลูกต้องเชื่อฟังฉันนะ ลูกอย่างเถียงฉันนะ หากท�ำอย่างน้ ี เรยี กว่ายดึ ตดิ แลว้

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 165 คนท่ีคิดว่าการปล่อยวาง คือการไม่รับผิดชอบหรือการไม่ท�ำ  อะไรเลย อนั นเ้ี ปน็ ความเขา้ ใจทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง  มคี ราวหนงึ่ หลวงพอ่ ชา  ไปเยย่ี มไปดลู ูกศิษย์ท่ีพำ� นกั ตามกุฏติ า่ งๆ ลูกศษิ ยค์ นหนึง่ พักในกุฏิ  ท่มี ีหลงั คาร่วั  ทา่ นกป็ ลอ่ ยใหฝ้ นร่ัวลงมา ฝนร่วั ตรงไหนกย็ ้ายไปนั่ง  ทอ่ี นื่ ทม่ี นั ไมร่ ว่ั   หลวงพอ่ ชากถ็ ามพระรปู นนั้ วา่  ทำ� ไมถงึ ทำ� อยา่ งนนั้   พระรปู นนั้ ตอบวา่ ผมปลอ่ ยวางครบั   หลวงพอ่ ชาจงึ อธบิ ายวา่  ปลอ่ ย  วางในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่วางเฉยแบบควายนะ คือหลังคาเสียก็  ต้องซ่อมถึงแม้ว่าไม่ใช่กุฏิเรา ปล่อยวางไม่ได้แปลว่าน่ิงดูดาย ไม่  ท�ำอะไรเลย ปล่อยวางหมายถึงการปล่อยวางท่ีใจ แต่ว่ายังกระท�ำ  ดว้ ยความรบั ผดิ ชอบอย ู่ เราตอ้ งรจู้ กั แยกใหถ้ กู  เราควรทำ� ดว้ ยความ  รบั ผิดชอบแต่ดว้ ยใจทีป่ ล่อยวาง ฉะน้ันการดูแลครอบครัว ท�ำงานการ เราควรท�ำอย่างเต็มท่ ี แต่ว่าใจไม่ไปยึดว่าเป็นฉัน เป็นของฉัน ใครมาต�ำหนิงานการก็ไม่  รสู้ กึ วา่ มาตำ� หนเิ รา เพราะงานนนั้ ไมใ่ ชเ่ รา ใครมาวจิ ารณง์ าน กถ็ อื   วา่ ด ี เราจะไดแ้ กไ้ ขใหง้ านออกมาดยี ง่ิ ขน้ึ  ไมใ่ ชว่ า่ ใครมาแตะงานฉนั   กเ็ ทา่ กบั วา่ มาวจิ ารณฉ์ นั  เดย๋ี วนเี้ ราไปคดิ กนั แบบนน้ั กเ็ ลยทกุ ขม์ าก  ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาสแนะวา่  เวลาทำ� งานควรยกผลงานใหเ้ ปน็ ของ  ความว่าง อย่ายดึ ตดิ วา่ เป็นของฉนั มนั จะทำ� ใหท้ กุ ข์

166 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย ถ้าเราท�ำแบบปล่อยวาง ก็จะท�ำงานการได้เป็นอย่างดีและม ี ความสุขด้วย ได้ทั้งสองอย่างคืองานก็ได้ผล คนก็เป็นสุข ขอให ้ เข้าใจอย่างน้ี แต่เด๋ียวน้ีเราเข้าใจผิด ไปคิดว่าปล่อยวางคือปล่อย  มือ ไม่เอาธุระ ถ้าพระพุทธเจ้าปล่อยวางอย่างนั้น พระองค์ก็จะไม ่ สอนคนนานถึง ๔๕ ปีหรอก พระพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างของ  ผ้ทู ที่ ำ� งานอย่างปลอ่ ยวาง เมื่อกี้ที่บอกว่าปล่อยวางจากความคาดหวัง แสดงว่าผู้ป่วยที่ เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือผู้ป่วยท่ัวไป ถ้าเกิดว่าการมีความหวัง หรือก�ำลังใจในทางพุทธศาสนา เขาให้พูดอะไรบ้างเก่ียวกับความ หวงั ของคนไข้ ความหวังก็มีประโยชน์ แต่ว่าถ้าเราไปหวังมากไป เราก็จะ  ทกุ ข ์ เมอื่ มนั ไมเ่ ปน็ ไปตามความคาดหวงั  ยกตวั อยา่ งงา่ ยๆ คนทนี่ งั่   สมาธิด้วยความคาดหวังอยากให้ใจสงบ เขาจะนั่งสมาธิด้วยความ  ทกุ ขเ์ พราะใจไมย่ อมสงบ ยง่ิ อยากสงบใจกย็ ง่ิ ไมส่ งบ  ครบู าอาจารย์  จงึ สอนวา่ ใหท้ �ำสมาธดิ ว้ ยใจทปี่ ลอ่ ยวาง คอื ไมใ่ ชไ่ มน่ ง่ั นะ ปลอ่ ยวาง  ก็ยังตอ้ งนงั่ สมาธแิ ตน่ งั่ ด้วยความไม่คาดหวัง

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 167 สำ� หรบั คนธรรมดา เขายงั ตอ้ งการความคาดหวงั  เราใหก้ ำ� ลงั   ใจเขาได้ ท้ังหมดที่พูดมาอาตมาพูดส�ำหรับคนที่พอจะเข้าใจเรื่อง  ธรรมะแล้ว แต่ส�ำหรับคนท่ัวไปความหวังก็ยังจ�ำเป็นอยู่ อันนี้เราก็  ตอ้ งแนะนำ� ตามลำ� ดบั ขน้ั ของความเขา้ ใจของเขา คอื ดวู า่ เขามคี วาม  เขา้ ใจระดบั ไหน รจู้ กั ท�ำใจขนาดไหน บางคนรธู้ รรมะดแี ตว่ า่ ไมร่ จู้ กั   ทำ� ใจกไ็ ด ้ พอหมอบอกวา่ เปน็ มะเรง็ กเ็ สยี ศนู ยห์ รอื ชอ็ กทนั ท ี ตอนนนั้   สมองไม่รับรู้อะไรแล้ว แนะน�ำธรรมะอย่างไรก็ไม่รับ เขาตอนน้ัน  อาจต้องการแค่ค�ำปลอบโยนหรือก�ำลังใจ อันน้ีเป็นธรรมดาอย่าไป  คดิ วา่ คนทเี่ ขา้ ใจธรรมะแลว้  เขาไมต่ อ้ งการก�ำลงั ใจหรอื คำ� ปลอบโยน  เขาก็ต้องการเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะช่ัวครู่ชั่วยาม พอเขาตั้งสติได ้ แล้วก็จะเปิดใจฟังธรรมะ หรืออาศัยธรรมะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา  ของตัวได้

ถา้ ผทู้ ่ที ำ� ตนให้เดือดร้อน ดว้ ยการหลงใหลครำ�่ ครวญ จะทำ� ประโยชนอ์ ะไร ให้เกดิ ขึน้ ไดบ้ ้าง นักปราชญผ์ ู้รแู้ จง้ ก็คงจะทำ� อย่างน้นั ตามไปแล้ว พทุ ธวจนะ

เ ต ร ี ย ม ใ จ ใ น ย า ม ป่ ว ย ห น ั ก ในยามเจ็บป่วย ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทุกข์ท่ีกายเท่าน้ัน  หากใจก็พลอยทุกข์ด้วย เช่น มีความวิตกกังวล เครียด หงุดหงิด  หดหู่ หวาดกลัว ฯลฯ ใจที่เป็นทุกข์ย่อมทำ� ให้ร่างกายเสื่อมทรุดลง  หายยาก หรือฟื้นตัวได้ช้าลง ตรงกันข้าม ใจท่ีสงบหรือเบิกบานจะ  ช่วยใหร้ า่ งกายหายเร็วขึน้ และเจบ็ ปวดน้อยลง



พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 171 อยา่ งไรกต็ ามโรคภยั ไข้เจบ็ ในบางกรณ ี ก็ไม่สามารถรักษาให้  หายไดแ้ ละท�ำใหร้ า่ งกายเสอ่ื มทรดุ ลง จนไมส่ ามารถฟน้ื เปน็ ปกตไิ ด ้ เช่น เป็นอัมพฤกษ์หรือพิการ แม้กระน้ันใจก็ยังมีความส�ำคัญ ถ้า  หากรกั ษาใจไวใ้ หด้  ี เชน่  มคี วามสงบ จดจอ่ ในสง่ิ ทดี่ งี าม ความทกุ ข ์ กจ็ ะลดลง ไมท่ รุ นทรุ ายหรือกระสบั กระสา่ ย แม้ในกรณีท่ีเลวร้ายท่ีสุดคือป่วยหนัก จนมาถึงระยะสุดท้าย  ของชีวิต หมอ พยาบาล และเทคโนโลยีทั้งหลายอาจช่วยอะไรไม่  ไดม้ ากนกั  แตจ่ ติ ใจของเราเองกย็ งั สามารถเป็นท่พี ่ึงได้ ชว่ ยให้เป็น  ทุกข์นอ้ ยลงและมคี วามสงบไดใ้ นชว่ งสดุ ทา้ ยของชีวิต ด้วยเหตุน้ีในยามเจ็บป่วย การดูแลรักษาจิตใจ จึงเป็นเร่ือง  ส�ำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลรักษาร่างกาย บางคร้ังอาจส�ำคัญกว่า  ด้วยซ้�ำ โดยเฉพาะเม่ือร่างกายไม่สามารถเยียวยาได้อีกต่อไป เมื่อ  มาถึงจุดหนึ่งของชีวิต ร่างกายมีแต่จะทรุดลงและทุกข์หนักขึ้นจน  คุมไว้ไม่อยู่ แต่จิตใจของเราไม่ใช่เช่นนั้น สามารถเป็นสุขและสงบ  ไดจ้ วบจนวาระสุดทา้ ยของชีวติ เมอื่ ปว่ ยหนกั หรอื เมอ่ื รตู้ วั วา่ วาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ ใกลจ้ ะมาถงึ   จงึ ไมค่ วรปลอ่ ยเวลาใหเ้ ปลา่ ประโยชน ์ แตค่ วรใชเ้ วลาทเ่ี หลอื อยเู่ พอื่  

172 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย รกั ษาจติ และตระเตรยี มใจใหพ้ รอ้ มส�ำหรับช่วงสำ� คญั ท่ีสุดของชวี ติ ความตายนั้นเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมาเม่ือไร และเลือกไม ่ ได้ว่าจะตายอย่างไร แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเผชิญกับความ  ตายอย่างไร ด้วยความสงบหรือต่ืนตระหนก ด้วยความปล่อยวาง  หรือย้ือยุดสดุ กำ� ลงั หากเราต้องการเผชิญกับความตายด้วยความสงบและด้วย  ความรสู้ ึกปลอ่ ยวาง เราตอ้ งเตรยี มใจเสียแต่วันนี้ ดว้ ยวธิ ตี ่อไปน้ี ยอมรบั ความจริง ความจริงอย่างหน่ึงของชีวิตก็คือเราทุกคนต้องตาย ไม่มีใคร  ท่ีจะหลีกหนีความตายได้ เมอ่ื คนเราตอ้ งตายไมช่ า้ กเ็ รว็  จงึ ควรเตรยี มใจพรอ้ มรบั ความ  ตายอยู่ทุกเวลา และจะมีเวลาใดเล่าท่ีการท�ำใจพร้อมรับความตาย  จะเป็นเรื่องเร่งด่วนเท่ากับตอนท่ีก�ำลังป่วยหนัก เมื่อเราพร้อมรับ  ความตาย ความตายก็มิใช่เร่อื งน่ากลัวอีกตอ่ ไป

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 173 ตรงกันข้ามการไม่ยอมรับความตายท้ังๆ ที่วาระสุดท้ายใกล้  เข้ามาทุกขณะ มีแต่จะซำ้� เติมตัวเองให้เป็นทุกข์มากข้ึน ยิ่งไม่ยอม  รบั ความตายกย็ ง่ิ กลวั ความตาย และยง่ิ กลวั ความตายมากเทา่ ไร ใจ  กย็ ง่ิ เปน็ ทกุ ขม์ ากเทา่ นน้ั  พงึ ระลกึ วา่  ไมม่ อี ะไรนา่ กลวั เทา่ กบั ความ  กลัว แมแ้ ต่ความตายกไ็ มน่ ่ากลวั เทา่ กบั ความกลัวตาย อย่างน้อยทุกคืนก่อนนอนควรท�ำใจให้สงบและนึกถึงความ  ตายของตนว่าสักวันหน่ึงจะต้องมาถึง คืนน้ีอาจเป็นคืนสุดท้ายของ  ตนกไ็ ด ้ หรอื ไมก่ พ็ ิจารณาดงั นี้วา่ ชีวติ เปน็ ของไม่เที่ยง ความตายเปน็ ของเทีย่ ง อีกไม่นานรา่ งกายน้ี จกั ปราศจากวญิ ญาณ ถูกทอดทิง้ ทับถมแผ่นดนิ เหมอื นทอ่ นไมอ้ นั หาประโยชน์มไิ ด้

174 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย จติ ใจจดจอ่ กบั สิ่งดงี าม ในภาวะที่ร่างกายของเราก�ำลังเจ็บปวดแปรปรวนอยู่นั้น  ความทกุ ขท์ รมาน สามารถบรรเทาลงได ้ หากมกี ารเหนย่ี วน�ำจติ ใจ  ให้เป็นสมาธิหรือจดจอ่ อยู่กับสิง่ ดงี าม มีหลายวธิ ีท่ีช่วยให้จิตจดจ่อกบั สงิ่ ดีงาม ระลึกถงึ สิ่งศักดส์ิ ิทธิ์ สิ่งศักด์ิสิทธิ์ที่เราเคารพนับถือ อาจได้แก่ พระพุทธ พระ  ธรรม พระสงฆ ์ พระโพธสิ ตั ว ์ หรอื  ครบู าอาจารยผ์ เู้ ปน็ ปชู นยี บคุ คล  การระลึกนึกถึงส่ิงศักด์ิสิทธิ์ดังกล่าวจะช่วยให้จิตใจสงบขึ้น หากม ี พระพุทธรูป หรือรูปของพระโพธิสัตว์ และครูบาอาจารย์ที่เคารพ  นบั ถอื มาต้งั อย่ใู นห้องจะช่วยใหจ้ ิตใจมีสมาธิจดจอ่ ไดด้ ขี ้นึ สวดมนต์ การสวดมนต์อย่างต่อเน่ืองสม�่ำเสมอ โดยเฉพาะบทท่ีชวน  ให้ร�ำลึกถึงองค์คุณ หรืออานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธ์ิดังกล่าว ช่วยให้  ศรัทธาในใจเพิ่มพูน ยิ่งมีศรัทธามากเท่าไร จิตก็ยิ่งเป็นสมาธิและ  สงบนง่ิ ไดเ้ รว็ มากเทา่ นนั้  อกี ทงั้ ยงั ชว่ ยใหเ้ กดิ ก�ำลงั ใจ ในการเอาชนะ  ความกลัวต่างๆ ท่รี ุมเรา้

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 175 ฟังธรรม การฟงั ธรรม ไมว่ า่ จากเทป รายการวทิ ยโุ ทรทศั น ์ หรอื จากผทู้ ี ่ เราเคารพนบั ถอื โดยตรง (ซง่ึ เปน็ พระภกิ ษหุ รอื ฆราวาสกไ็ ด)้  เปน็ อกี   วธิ ีหนึ่งทช่ี ว่ ยนอ้ มจิตให้เป็นกศุ ล ไดท้ ั้งความสงบ กำ� ลังใจ และเกิด ปัญญา พึงระลึกว่าในยามเจ็บป่วย ไม่ใช่แต่ร่างกายของเราเท่าน้ันท่ ี ตอ้ งการยา ใจกต็ อ้ งการยาทเ่ี รยี กวา่ ธรรมโอสถดว้ ย ธรรมหรอื ความร้ ู ความเขา้ ใจในความเปน็ จรงิ ของชวี ติ  เปน็ เสมอื นโอสถทไ่ี มเ่ พยี งแต ่ เยียวยาจิตใจไม่ให้ทุกข์เท่านั้น หากยังเสริมสร้างจิตใจให้มีความ  เขม้ แขง็  สามารถเผชญิ กบั อปุ สรรคตา่ งๆ ได ้ โดยเฉพาะความผนั ผวน  ปรวนแปรต่างๆ ในเวลาใกล้ตาย ส�ำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการอ่านหรือฟังธรรม การได้สนทนา  กบั กลั ยาณมติ ร ผมู้ ปี ระสบการณห์ รอื ความเขา้ ใจในชวี ติ  เปน็ บนั ได  ไปสกู่ ารมใี จใฝ่สดบั ธรรม ท�ำสมาธิ อย่างไรก็ตามเราไม่ควรลืมว่า วิธีการสร้างความสงบในจิตใจ  ที่ดีท่ีสุดคือ การท�ำสมาธิภาวนา มีสมาธิภาวนาหลายแบบท่ีเรา 

176 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย สามารถท�ำได้แม้ในขณะท่ีนอนอยู่บนเตียง เช่น การก�ำหนดหรือ  จดจ่อกับลมหายใจเข้าและออก การจดจ่อกับท้องที่พองและยุบ  ทกุ คร้ังทหี่ ายใจเข้าและออก การก�ำหนดจิตอยกู่ ับอิริยาบถหรือการ  เคลือ่ นไหวของรา่ งกาย (เชน่ การคลงึ น้วิ ขยับมอื ไปมา) มีสมาธิภาวนาอย่างหนึ่งที่ช่วยในการผ่อนคลายทั้งกายและ  ใจ ไดแ้ ก ่ การกำ� หนดใจไปตามอวยั วะสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย ตงั้ แต ่ ศรี ษะจนถงึ ปลายเทา้  โดยนอนและวางแขนไวข้ า้ งตวั  เมอ่ื กำ� หนดใจ  ที่ศีรษะก็ให้บริกรรมหรือนึกในใจไปด้วยว่า “ผ่อนคลาย” แล้วค่อยๆ  เคลอื่ นลงไปทห่ี นา้ ผาก ควิ้  คาง ใบหนา้  ทา้ ยทอย ไหล ่ แขน ศอก  นวิ้  หนา้ อก หนา้ ทอ้ ง หลงั  สะโพก ตน้ ขา เขา่  นอ่ ง ไปจนถงึ ฝา่ เทา้   และนิ้วเทา้ ขณะทบ่ี รกิ รรมนนั้ กใ็ หก้ ลา้ มเนอ้ื ในแตล่ ะจดุ ผอ่ นคลายไปดว้ ย  อย่างเต็มท่ี ไร้ซึ่งการเกร็งหรือหดงอ ส่วนไหนที่เจ็บปวดชัดเจนก ็ ให้เวลานานหน่อย โดยอาจแผ่เมตตาหรือ “พูด” กับอวัยวะส่วนนั้น  ว่าขอให้หายเจ็บ กลับมาเป็นปกติไวๆ อาจเสริมด้วยจินตนาการ  ในทางบวก เช่น หากเป็นโรคหัวใจก็นึกภาพหัวใจว่ากำ� ลังมีความ  เข้มแข็งกระชุ่มกระชวย หรือนึกภาพว่ามีเลือดและภูมิคุ้มกันต่างๆ  หลงั่ ไหลเขา้ ไปคมุ้ ครองปอ้ งกนั อยา่ งเตม็ ท ี่ จะนกึ ภาพใหเ้ ปน็ เหมอื น 

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 177 เทพนิยาย เช่น มีเทวดา นางฟ้า หรืออัศวินม้าขาวก�ำลังขับไล่โรค  รา้ ยออกไปจากหวั ใจก็ได้ วิธีนี้ส�ำหรับผู้ยังไม่คุ้นเคย อาจต้องมีคนช่วยกล่าวนำ� เพ่ือให้  จิตก�ำหนดตาม แต่หากท�ำจนคุ้นเคยแล้วก็สามารถท�ำเองได้ หาก  จติ สงบและกายผอ่ นคลาย ความเจบ็ ปวดจะทเุ ลาไปไดม้ าก มผี ปู้ ว่ ย  หลายคนท่ีหายใจเหน่ือยหอบ กระสับกระส่าย เม่ือพยาบาลได้น�ำ  สมาธดิ ว้ ยวิธีนี้ ปรากฏวา่ หายใจช้าลง จิตใจสงบขึน้ ระลึกถงึ ความดีทไ่ี ด้ท�ำ คณุ งามความดที เี่ ราไดบ้ ำ� เพญ็  กเ็ ปน็ อกี สงิ่ หนงึ่ ทเ่ี ราควรระลกึ   ถึงด้วยความภาคภูมิใจ ในชีวิตของเราย่อมมีทั้งความส�ำเร็จและ  ความล้มเหลว แต่ไม่มีอะไรส�ำคัญเท่ากับความดีท่ีท�ำด้วยเจตนา  บรสิ ทุ ธ ์ิ ไมว่ า่ ความดที ท่ี ำ� กบั ลกู  กบั หลาน กบั พอ่ แม ่ กบั คนรกั  กบั   เพ่ือนร่วมงาน ตลอดจนความดีที่ทำ� ให้แก่ศาสนาและประเทศชาติ  ความดี อาทิ ความเสียสละความซ่ือสัตย์สุจริต ความเอื้อเฟื้อ มี  เมตตา เหล่านีล้ ้วนเป็นส่ิงท่นี า่ ภาคภมู ิใจ ความดีเหล่าน้ีคือ “บุญ” ท่ีไม่เพียงมีอานิสงส์ในภพหน้า  เท่านั้น หากยงั ชว่ ยเราไดเ้ มื่อวาระสดุ ทา้ ยใกล้มาถงึ  นั่นคอื ท�ำให้ใจ 

178 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย เป็นกุศล ไม่หวั่นต่อภพใหมท่ ี่จะมาถงึ อย่างไรก็ตามพึงระลึกว่าความดีน้ันเราสามารถท�ำได้ตลอด  เวลา แม้ในขณะที่นอนป่วย ก็ยังสามารถท�ำความดีได้ ท้ังทางกาย  วาจา และใจ นอกจากการท�ำใจให้เป็นกุศล รักษาวาจามิให้ไป  เบียดเบียนใครแล้ว เรายังสามารถท�ำความดีทางกายได้ อาทิ การ  ท�ำบุญแก่พระศาสนา สละทรัพย์เพื่อส่วนรวม หรือมอบเงินให้แก่  คนที่ทกุ ข์ยาก อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยท่ีเราไม่ได้ท�ำความดีเพิ่มเติม  ความดีท่ีเราท�ำจะไม่ไปไหน แต่จะกลับมาจัดสรรใจเราให้เป็นสุข  และสงบในทีส่ ุด จะว่าไปแล้วคนเราหากปว่ ยกายอย่างเดยี วกไ็ มค่ ่อยเทา่ ไหร่ แตส่ ่วนใหญม่ ักปว่ ยใจดว้ ย ปว่ ยใจคือ กงั วล กลวั ตน่ื ตระหนก เครียด กลุม้ ใจ ซึง่ มกั เกดิ จากการปรุงแต่งอนาคต ไปสร้างภาพท่ีเกินเลยจากความเปน็ จรงิ

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 179 ปลดเปล้ืองสงิ่ คา้ งคาใจ อปุ สรรคส�ำคญั ประการหนง่ึ ทท่ี �ำใหจ้ ติ ใจไมเ่ ปน็ สขุ  และท�ำให ้ อาการเจบ็ ปว่ ยทางกายกำ� เรบิ ขน้ึ กค็ อื  ความรสู้ กึ หว่ งกงั วลและความ  รู้สึกท่ียังค้างคาใจ ความรู้สึกดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยังทำ� ให้เรา  ยอมรบั ความตายได้ยาก ไมม่ ใี ครยนิ ดที จ่ี ะจากบา้ นไป ตราบใดทย่ี งั หว่ งกงั วลผคู้ นในบา้ น ฉนั ใด การจะจากโลกนไี้ ปขณะทยี่ งั มสี งิ่ ตดิ คา้ งใจอย ู่ ยอ่ มเปน็ เรอื่ งท่ ี ไมน่ า่ ยนิ ดฉี นั นนั้  แตใ่ นเมอื่ เวลาจากพรากใกลจ้ ะมาถงึ แลว้ ไมม่ อี ะไร  ดกี วา่ การละวางความห่วงใยและสะสางเร่อื งค้างคาใจให้หมดสน้ิ สิ่งท่ีเราปลดเปลื้องไม่ใหค้ ้างคาใจ ได้แก่ ภารกจิ ยงั ไม่แลว้ เสรจ็ ภารกิจดังกล่าวอาจไดแ้ กง่ านการที่รับผดิ ชอบอยู่ หนส้ี นิ ทย่ี งั   ไม่ได้ช�ำระ รวมถึงทรัพย์สมบัติท่ียังไม่ได้แบ่งสรร ประการหลังนี ้ เปน็ เรอ่ื งสำ� คญั มาก สำ� หรบั ผทู้ เี่ ปน็ พอ่ แมห่ รอื ผใู้ หญใ่ นครอบครวั  ใน  ขณะทยี่ งั มคี วามรสู้ กึ ตวั อย ู่ ควรจดั การใหแ้ ลว้ เสรจ็  ขอ้ นอี้ าจรวมถงึ   การกำ� หนดพธิ ศี พหรอื วธิ กี ารจดั การกบั ศพของตน เนอ่ื งจากบางคน 

180 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย ไมต่ อ้ งการใหล้ กู หลานจดั งานศพอยา่ งสน้ิ เปลอื ง ขณะทบ่ี างคนตอ้ ง  การอทุ ศิ ร่างกายของตนให้แก่โรงเรยี นแพทย์ ความรู้สกึ ผดิ ความขุ่นเคืองโกรธแคน้ ความนอ้ ยเนอื้ ต่�ำใจ ความรู้สึกดังกล่าวแม้จะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่อาจฝังลึก  และนอนเนื่อง ในยามใกล้ตายอาจผุดขึ้นมารบกวนจิตใจและเป็น  อปุ สรรคตอ่ การไปสสู่ คุ ต ิ ดงั นน้ั จงึ ควรปลดเปลอ้ื งออกไปใหห้ มดสนิ้   ไปจากใจ เมื่อรู้สึกผิดกับผู้ใดควรหาโอกาสขอโทษ หากขุ่นเคืองโกรธ  แคน้ ใครควรใหอ้ ภยั หรอื ใหอ้ โหส ิ จะไดไ้ มต่ อ้ งมเี วรกรรมสบื ตอ่ ไปใน  ปรภพ หากน้อยเน้ือต่�ำใจผู้ใดควรหาทางปรับความเข้าใจกับผู้นั้น  หรอื เผยความในใจกบั เขาพร้อมกบั ใหอ้ ภยั ไปดว้ ย ส�ำหรับผู้ท่ีไม่มีความรู้สึกดังกล่าวต่อใครคนหนึ่งเป็นการ  เฉพาะ เพื่อให้แน่ใจก็ควรกล่าวค�ำขอขมาหรือขออโหสิกรรมจาก  เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เราอาจล่วงเกินหรือเบียดเบียนไปโดย  ไม่รู้ตัวหรือระลึกไม่ได้ขอให้อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย ให้อยู่  เปน็ สขุ ดว้ ยกันทง้ั ส้นิ

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 181 ปลอ่ ยวางทุกสงิ่ ความรู้สึกค้างคาใจน้ันอาจไม่ได้มีกับทุกคนเมื่อใกล้ตาย แต่  ส่วนใหญ่แลว้ จะมีความห่วงกังวลคอยรบกวนจิตใจอย ู่ ได้แก่ ความ  หว่ งกงั วลลกู หลาน พอ่ แม ่ คนรกั  ไปจนถงึ ความหว่ งกงั วลในทรพั ย์  สิน และช่ือเสียงเกียรติยศ เป็นต้น ความห่วงกังวลดังกล่าวย่อม  ทำ� ใหอ้ ยูแ่ ละตายอยา่ งเปน็ ทกุ ข์ ผู้ท่ีไม่ต้องการตายอย่างเป็นทุกข์ควรละความห่วงใยใน  สิ่งทั้งปวงให้ได้ ส�ำหรับผู้ท่ีระลึกนึกถึงอนิจจังหรือความไม่เที่ยง  อยู่เสมอ การละวางย่อมได้ง่าย แต่ถึงแม้ไม่เคยนึกถึงเลย นี้เป็น  โอกาสสดุ ทา้ ยทจี่ ะตอ้ งเขา้ ใจและยอมรบั ความจรงิ ของชวี ติ วา่  ไมม่ อี ะไร  ทเ่ี ทย่ี งแท ้ ไมม่ อี ะไรทจ่ี รี งั  ความพลดั พรากเปน็ เรอื่ งธรรมดาของชวี ติ   ไม่ว่าจะรกั และผูกพนั แค่ไหน ในท่ีสุดกต็ อ้ งมวี นั พลดั พรากจากกัน ผู้ที่ห่วงกังวลลูกหลานควรพิจารณาว่า เราได้เลี้ยงดูเอาใจใส ่ เขามาตลอดชวี ติ แลว้  ควรวางใจไดว้ า่ เราไดท้ ำ� หนา้ ทข่ี องเราอยา่ งดี  ท่ีสุดแล้ว ขอให้มีความเชื่อมั่นว่าความรัก ความเอาใจใส่ และการ  ศึกษาที่เราได้มอบให้แก่เขา จะช่วยให้เขาอยู่ในโลกน้ีได้อย่างม ี ความสุขและมนั่ คงปลอดภัย

182 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย ผู้ที่ห่วงกังวลพ่อแม่ ควรพิจารณาว่าเราได้บ�ำเพ็ญตนเป็น  ลูกที่ดีของพ่อแม่ เคารพและเช่ือฟังพ่อแม่ ทำ� ความดีตามที่พ่อแม่  ส่ังสอน และเล้ียงดูพ่อแม่เมื่อมีโอกาส ขอให้ภูมิใจในความดีท่ีเรา  ได้ท�ำกับพ่อแม่ ขอให้มีความม่ันใจว่าท่านจะยังอยู่ต่อไปได้โดย  ไม่มีเรา เพียงแค่เราจากไปอย่างสงบก็ช่วยให้ท่านเป็นสุขอย่างยิ่ง  แล้ว กับคนรักและมิตรสหาย ก็ควรพิจารณาปล่อยวางในลักษณะ  เดยี วกนั  ใหร้ ะลกึ วา่ เราไดม้ บี ญุ วาสนาอยกู่ บั เขานานพอสมควรแลว้   หน้าที่ท่ีสมควรท�ำ เราก็ได้ท�ำมามากพอแล้ว บัดน้ีถึงเวลาท่ีเราจะ  ต้องลาจากไป ท่ีจริงเราก็เคยลาเขาเหล่าน้ีมาก่อนแล้ว ครั้งน้ีเพียง  แต่ลาจากไปนานกว่าคร้ังก่อนๆ เท่าน้ัน หากชาติหน้ามีจริงก็คง  ได้พบกันใหม่ กับทรัพย์สมบัติและช่ือเสียงเกียรติยศ ก็ควรพิจารณาว่า  สง่ิ เหลา่ นม้ี นั เปน็ ของเราจรงิ หรอื  เราเอามนั ไปดว้ ยไดห้ รอื ไม ่ แทจ้ รงิ   มันมาอยู่กับเราเพียงช่ัวคร้ังชั่วคราวเท่านั้น ก่อนมาอยู่กับเรา มัน  กเ็ คยเป็นของคนอน่ื มาแลว้  บดั นถี้ งึ เวลาทเ่ี ราจะมอบใหค้ นอ่ืนดแู ล  และใช้ประโยชน์ต่อไป

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 183 ละความห่วงกังวลแม้กระท่ังในร่างกาย ขอให้พิจารณาว่า  ร่างกายน้ีมิใช่ของเรา เราได้มาเปล่าๆ จากธรรมชาติผ่านมาทาง  พ่อแม่ บัดนี้ถึงเวลาท่ีจะคืนให้แก่ธรรมชาติไป ร่างกายนี้รับใช้เรา  มานานโดยไม่รู้จักหยุดหย่อน ถึงเวลาที่เขาจะได้พักผ่อนเสียท ี ปล่อยให้เขาไดก้ ลบั คืนส่ดู ิน น้�ำ ลม ไฟ ในธรรมชาติ การปลดเปลื้องความกังวลและส่ิงค้างคาใจ มีความส�ำคัญ  อยา่ งมากในภาวะใกลต้ าย เพราะหาไมป่ ลดเปลอื้ งใหห้ มดสนิ้  มนั จะ  ผุดข้ึนมารบกวนจิตใจและยากท่ีจะจัดการกับมันได้ เนื่องจากผู้ใกล ้ ตายนั้นสติจะอ่อนมาก ความรู้สึกตัวจะเลือนราง ไม่มีแรงต้านทาน  ความรสู้ กึ นกึ คดิ ใดๆ ทเี่ กดิ ขนึ้  จงึ ออ่ นไหวและกระเพอื่ มไดง้ า่ ย เมอื่   จิตใจไม่เป็นสุขถูกรบกวนด้วยความรู้สึกท่ีเป็นอกุศล หากสิ้นลมใน  ตอนนนั้ กจ็ ะไปสทู่ คุ ตหิ รอื อบายภมู ิ

184 ธ ร ร ม ะ สํ า ห ร ั บ ผู้ ป ่ ว ย สร้างบรรยากาศท่สี งบ ในทางพุทธศาสนาถือว่า สภาพของจิตก่อนตายนั้น เป็นตัว  ก�ำหนดว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือทุคติ อาการหรือพฤติกรรมของจิต  ก่อนตายนั้นจัดว่าเป็น “อาสันนกรรม” หรือกรรมใกล้ตายน้ัน โดย  ทวั่ ไปแลว้ อาสนั นกรรมยอ่ มใหผ้ ลกอ่ นกรรมใดๆ ทา่ นเปรยี บเหมอื น  โคท่ียัดเยียดอยู่ในคอก หากประตูคอกเปิดอยู่ ตัวท่ีอยู่ใกล้ประตู  ย่อมออกมาก่อนนั่นหมายความว่าหากต้องการไปสู่สุคติ กรรม  สุดท้ายก่อนตายน้ันจะต้องเป็นกุศลกรรม กล่าวอีกนัยหน่ึง ก่อน  สน้ิ ลม เราควรระลกึ ถึงสง่ิ ที่เปน็ กุศลหรือมีจิตท่เี ปน็ กศุ ล ด้วยเหตุนี้บรรยากาศรอบตัวผู้ใกล้ตายจึงเป็นสิ่งสำ� คัญ จิตที ่ เปน็ กศุ ลจะเกดิ ขน้ึ ได ้ กด็ ว้ ยบรรยากาศทมี่ คี วามสงบเงยี บ ไมอ่ กึ ทกึ   ครึกโครม โดยที่ลูกหลานญาติมิตร นอกจากจะไม่ร้องไห้ฟูมฟาย  หรือทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว ยังช่วยเป็นก�ำลังใจให้ผู้ป่วย และ  เหน่ียวน�ำใจเขาให้จดจ่อกับส่ิงดีงาม โดยเฉพาะในยามใกล้สิ้นลม  มีผู้มาเตือนสติให้ปล่อยวางความห่วงกังวลทั้งปวง ดังน้ันสมัยก่อน  จึงมักนิมนต์พระมาบอก “อะระหัง” ให้แก่ผู้ใกล้ตาย เพ่ือให้ใจน้อม  สคู่ วามพน้ ทุกขอ์ ย่างสน้ิ เชิง

พ ร ะ ไ พ ศ า ล   ว ิ ส า โ ล 185 บรรยากาศดังกล่าวหากผู้ใกล้ตายต้องการให้เกิดข้ึน ควร  เตรียมการเสียแต่เน่ินๆ เช่น ขอร้องให้ผู้มาเยี่ยมอดกล้ันต่อ  ความเศรา้ โศก ไมท่ �ำลายบรรยากาศทส่ี งบ มารว่ มกนั ท�ำสมาธหิ รอื   สวดมนต์ข้างเตียงตามโอกาส เราไม่อาจเลือกเวลา สถานที่ และลักษณะการตายได้ แต ่ อย่างน้อยเราก็สามารถเลือกได้ว่า จะเผชิญกับความตายด้วยจิตใจ  อยา่ งไร ดว้ ยอาการนง่ิ สงบหรอื ตนื่ ตระหนก ดว้ ยการปลอ่ ยวางหรอื   ด้ินรนขัดขืน นี้คือสิทธิท่ีมนุษย์ทุกคนสามารถเลือกได้ ไม่ว่าชะตา  กรรมในวาระสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะประสบกับสถานการณ์  เช่นใด มนั ก็ไม่สามารถยดั เยยี ดความทกุ ขใ์ ห้แกเ่ ราได้ เราทุกคนสามารถน�ำพาจิตใจให้เป็นอิสระจากความทุกข์ได้  แมก้ ายจะทกุ ขก์ ต็ าม นค้ี อื อสิ รภาพทเ่ี ราทกุ คนสามารถเขา้ ถงึ ได ้ แม้  ในวาระสุดท้ายของชวี ติ

บ ท ส ว ด ม น ต์ เ พ ่ื อ ก า ร อ บ ร ม จ ิ ต ภ า ว น า  แท้จริงบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาทุกบทล้วนแต ่ ส่งเสริมเก้ือกูลต่อการฝึกอบรมจิต หรือต่อการปฏิบัติภาวนาท้ังส้ิน  ผู้ใดสามารถสวดได้ประจ�ำวัน โดยเฉพาะสวดก่อนนอนก็จะเป็น  เคร่ืองบริหารจิต หรือพัฒนาจิตของตนเองได้เป็นอย่างดี เพราะ  นอกจากจะจำ� คำ� สอนของพระพทุ ธศาสนาไวไ้ ดแ้ ลว้  กย็ อ่ มกอ่ ใหเ้ กดิ   บุญกุศลทุกครั้งที่ได้สวดด้วย ท้ังยังสามารถท�ำจิตให้สงบ สะอาด  และเข้มแขง็ ข้ึนอีกด้วย แต่ในท่ีน้ีจะนำ� มากล่าวเฉพาะท่จี ำ� เป็นมาก  ซึ่งนักปฏิบัตินิยมใช้กันอยู่ และเก้ือกูลต่อการปฏิบัติกรรมฐาน  โดยตรงเท่านน้ั เริ่มต้นด้วยการจุดธูปเทียนบูชาพระ (หากมีธูปเทียนที่บูชา พระ และเวลาเพยี งพอ)

ค�ำนมสั การพระรัตนตรัย (บูชาพระพุทธเจา้ ) อะระหงั  สัมมาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พระผ้มู พี ระภาคเจ้า เป็นพระอรหนั ต์, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิน้ เชงิ ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง, พุทธงั  ภะคะวนั ตงั  อะภวิ าเทมิ ข้าพเจา้ อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจา้ ผูร้ ู้ ผู้ตื่น ผู้เบกิ บาน. (กราบ) (บูชาพระธรรม) สว๎ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, พระธรรมเป็นธรรมที่พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ตรสั ไว้ดีแล้ว, ธัมมงั  นะมะสาม,ิ ขา้ พเจ้านมัสการพระธรรม. (กราบ) (บูชาพระสงฆ)์ สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ปฏบิ ตั ิดีแลว้ , สงั ฆัง นะมาม.ิ ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์. (กราบ)

ค�ำนมสั การพระพทุ ธคณุ เบื้องตน้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจา้ พระองคน์ นั้ อะระหะโต ซ่งึ เปน็ ผู้ไกลจากกิเลส สัมมาสมั พุทธัสสะ ผตู้ รัสรู้ไดโ้ ดยพระองคเ์ อง (๓ คร้งั ) ค�ำนมสั การพระรตั นตรัย สักกัตว๎ า พทุ ธะระตะนงั โอสะถัง อุตตะมงั  วะรัง, หิตงั  เทวะมะนุสสานงั , พุทธะเตเชนะ โสตถนิ า, นสั สันตุปัททะวา สัพเพ, ทุกขา วปู ะสะเมนตุ เมฯ สักกัต๎วา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อตุ ตะมงั  วะรงั , ปะรฬิ าหปู ะสะมะนัง, ธมั มะเตเชนะ โสตถินา, นสั สันตุปัททะวา สพั เพ, ภะยา วปู ะสะเมนตุ เมฯ สกั กัตว๎ า สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, อาหุเนยยัง ปาหุเนยยงั , สงั ฆะเตเชนะ โสตถินา, นสั สันตุปทั ทะวา สัพเพ, โรคา วูปะสะเมนต ุ เมฯ

(แปล) เพราะการทำ� ความเคารพพระพทุ ธรตั นะ อนั เปน็ ดงั โอสถขนาน  เอกประเสริฐย่ิง ยังประโยชน์เกื้อกูลให้ส�ำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์  ทั้งหลาย เพราะเดชแห่งพระพุทธเจ้า ขออุปัทวะท้ังหลายทั้งปวง  จงพินาศไป ขอทุกขท์ ้ังหลายของเรา จงสงบระงบั โดยความสวสั ดี เพราะการท�ำความเคารพพระธรรมรัตนะ อันเป็นดังโอสถ  ขนานเอกประเสริฐย่ิง ส�ำหรับความสงบระงับความกระวนกระวาย  เพราะเดชแหง่ พระธรรม ขออปุ ทั วะทงั้ หลายทงั้ ปวงจงพนิ าศไป ขอ  ภยนั ตรายทั้งหลายของเรา จงสงบระงบั ไปโดยความสวสั ดี เพราะการท�ำความเคารพพระสงั ฆรตั นะ อนั เปน็ ดงั โอสถขนาน  เอกประเสรฐิ ยงิ่  ผคู้ วรคา่ แกก่ ารบชู า ควรคา่ แกก่ ารตอ้ นรบั ดว้ ยวตั ถุ  สง่ิ ของ เพราะเดชแหง่ พระสงฆ ์ ขออปุ ทั วะทง้ั หลายทงั้ ปวงจงพนิ าศ  ไป ขอโรคทง้ั หลายของเรา จงสงบระงบั ไปโดยความสวสั ดี* พระคาถาบทน้ี เป็นพระคาถาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงประทานใหไ้ ดท้ อ่ งบน่ กนั  (พระคาถาบทน ้ี สว่ นมากมคิ อ่ ยทราบ  กนั  ไปสวดแตบ่ ทอานสิ งสก์ นั เสยี หมด) ผใู้ ดหมนั่ สวดพระคาถาน ้ี จะ  ระงบั โรคภยั ไขเ้ จบ็  ทง้ั อายกุ จ็ ะยนื ยาว ใชเ้ สกยากนิ แกโ้ รคกไ็ ด ้ และผ ู้ ใดไดส้ วดเจรญิ อยเู่ ปน็ นจิ  นอกจากจะปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ รบกวน  แลว้  ยงั แคล้วคลาดจากภัยต่างๆ เช่น ราชภยั  โจรภยั  อีกดว้ ยฯ *อโุ พธ์ิ รักธรรมจริง  ถอดความภาษาไทย

โพชฌงั คปรติ ร โพชฌงั โค สะติสังขาโต ธมั มานัง วจิ ะโย ตะถา วริ ยิ ัมปตี ิปสั สทั ธ-ิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สพั พะทสั สนิ า มุนินา สมั มะทักขาตา ภาวติ า พะหุลกี ะตา สังวตั ตันต ิ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธยิ า เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถ ิ เต โหตุ สัพพะทาฯ เอกสั ม๎ งิ  สะมะเย นาโถ โมคคลั ลานญั จะ กัสสะปงั คลิ าเน ทกุ ขิเต ทสิ ว๎ า โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินนั ทติ ว๎ า โรคา มุจจงิ ส ุ ตังขะเณ เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โสตถิ เต โหต ุ สัพพะทาฯ เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลญั เญนาภปิ ีฬิโต จนุ ทัตเถเรนะ ตญั เญวะ ภะณาเปต๎วานะ สาทะรัง สัมโมทิต๎วา จะ อาพาธา ตมั หา วฏุ ฐาส ิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถ ิ เต โหตุ สัพพะทาฯ ปะหนี า เต จะ อาพาธา ติณณนั นมั ป ิ มะเหสนิ งั มัคคาหะตะกเิ ลสาวะ ปตั ตานปุ ปัตตธิ ัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

(แปล) โพชฌงค ์ ๗ ประการ คอื  สตสิ มั โพชฌงค ์ ธรรมวจิ ยั สมั โพชฌงค ์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัม-  โพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เหล่าน้ี อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรม  ทงั้ สิน้  ตรสั ไวช้ อบแลว้  อันบคุ คลมาเจริญ ท�ำใหม้ ากแลว้  ยอ่ มเปน็   ไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพ่ือนิพพาน และ เพ่ือความตรัสรู้ ด้วยค�ำสัตย์น ้ี ขอความสวสั ดี จงมีแกท่ า่ นทกุ เม่อื สมยั หนงึ่  พระโลกนาถเจา้  ทอดพระเนตรพระมหาโมคคลั ลานะ  และพระมหากสั สปะ อาพาธ ไดร้ บั ทกุ ขเวทนาแลว้  ทรงแสดงโพชฌงค ์ ๗ ประการ  ทา่ นทง้ั สองชนื่ ชมภาษติ นนั้  หายโรคในขณะนน้ั  ดว้ ยคำ�   สัตย์น้ี ขอความสวสั ด ี จงมีแก่ทา่ นทกุ เม่อื ครั้งหน่ึง แม้พระธรรมราชา อันความประชวรเบียดเบียนแล้ว  รบั สง่ั ใหพ้ ระจนุ ทเถระ แสดงโพชฌงคน์ น้ั  โดยเออื้ เฟอ้ื  กท็ รงบนั เทงิ   พระหฤทยั  หายประชวรโดยพลัน ด้วยค�ำสัตย์น้ี ขอความสวสั ดี จง  มีแกท่ า่ นทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายน้ัน อันพระมหาฤษีท้ัง ๓ องค์ ละได้แล้ว ถึง  ความไมบ่ งั เกดิ เปน็ ธรรมดา ดจุ กเิ ลสอนั มรรคกำ� จดั แลว้  ดว้ ยคำ� สตั ย์  นี ้ ขอความสวสั ดี จงมีแกท่ ่านทุกเม่ือ

พทุ โธ เม นาโถ ธมั โม เม นาโถ สังโฆ เม นาโถ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พ่ึงทรี่ ะลึกของเราตลอดชีวติ